ท่าออกำลังกาย ขณะรถติด

มาออกกำลังกายกันเถอะ ด้วย 7 ท่าที่ทำได้แม้รถติด

ขณะที่คุณกำลังนั่งเบื่อหน่ายอยู่ในรถที่ติดนานๆ ทำได้แค่มองโน้นนี้นั้นไปเรื่อยๆ และหาอะไรทำเรื่อยเปื่อย รถก็ยังติดอยู่ที่เดิม ลองหันมาออกกำลังกายเบาๆ ภายในรถยนต์ของคุณดูสิ ด้วยท่าง่ายๆ ที่คุณสามารถทำได้ อีกทั้งยังทำให้คุณเกิดความเพลิดเพลิน และช่วยให้กล้ามเนื้อ Fit & Firm ขึ้นอีกด้วย คุณจะได้ไม่เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์

 

1.ท่าออกกำลังกายบริหารกล้ามเนื้อขา

ยกขาซ้ายขึ้นจากพื้นและจากเก้าอี้ ในลักษณะที่เข่างอเล็กน้อย ยกค้างไว้ นับ 1-8 แล้ววางขาลงช้าๆ ถ้ารถยังไม่เขยื้อน ทำขาขวาต่อเลย ทำแบบนี้สลับไปมาสัก 4-5 รอบ ( มากกว่านี้ก็ได้ )

 

2.ท่าออกกำลังกายบริหารหน้าท้อง

ผ่อน หรือ คลายลมหายใจออก ช้าๆเต็มที่ ท้องแฟบเกร็งหน้าท้อง นับในใจ 1-8 แล้วสูดลมหายใจเข้าสึกๆ ช้าๆ นะ อย่ารีบ ท้องป่อง เกร็งหน้าท้องนับในใจ 1-8 แล้วคลายลมหายใจออกอีก ทำสลับกัน 4-5 รอบ ( มากกว่านี้ก็ได้ )

 

3.ท่าออกกำลังกายบริหารแขนและหน้าอก

วางมือทั้งสองข้างบนพวงมาลัยรถ วางมือซ้ายที่ตำแหน่ง 9 นาฬิกา และมือขวาที่ตำแหน่ง 3 นาฬิกา เหยียดแขนทั้งสองข้างให้ตึง แล้วออกแรงผลักพวงมาลัยไปข้างหน้าช้าๆ ( ถ้ารถเคลื่อนให้ดึงเบรกมือไว้ชั่วคราว ) แล้หยุดนับ 1-8 แล้วเปลี่ยนทิศทางการออกแรง เป็นดึงพวงมาลัยเข้ามาหาตัวทำคล้ายๆกับเบรกรถจนตัวโก่งนั้นล่ะ แล้วหยุด นับ 1-8 ทำแบบนี้กลับไปกลับมา 4-5 รอบ ( มากกว่านี้ก็ได้ )

 

4.ท่าออกกำลังกายบริหารข้อศอก

ตั้งข้อศอกซ้ายทำมุม 90 องศากับลำตัว กำหมัดให้หมัดของคุณอยู่บริเวณแถวสะดือ ดันข้อศอกซ้ายเข้ากับพนักเก้าอี้ข้างๆนับ 1-8 แล้วสลับทำแบบเดียวกันกับข้อศอกขวา แต่ให้ดันข้อศอกขวาเข้ากับประตู ( อย่าลืมล็อคประตูรถก่อนนะ ) ทำแบบนี้กลับไปกลับมา 4-5 รอบ ( มากกว่านี้ก็ได้ )

 

5.ท่าออกกำลังกายบริหารสะโพก

ใช้มือทั้งสองข้างจับเนื้อสะโพก ( ถ้าทำมากๆได้ก็ให้ทำลงไปถึงแก้มก้นได้เลย ) บีบให้แน่น แน่นอนก้นของท่านจะทับมือ นับ 1-8 แล้วคลาย ( ทำเหมือนกับนวดกล้ามเนื้ออื่นๆ ) ทำซ้ำ 4-5 รอบ ( มากกว่านี้ก็ได้ )

 

6.ท่าออกกำลังกายบริหารหัวไหล่

ยกไหล่ขึ้นให้สูงที่สุด สูงจนรู้สึกคอหดเลยแล้วยกค้างไว้ 1-8 แล้วหมุนหัวไหล่ โดยหมุนไปด้านหลังก่อน แล้วหมุนควงหัวไหล่กลับมาด้านหน้า หมุนควงหัวไหล่ไปด้านหลัง แล้วหมุนควงหัวไหล่ไปด้านหน้า ถ้าทำผิดทางก็ไม่เป็นไร ทำอันไหนก่อนหลังก็มีค่าเท่ากันลดไหล่ลงตามปกติ แล้วก็ยกไหล่ขึ้นทำแบบเดิมซ้ำอีก ทำ 4-5 รอบ ( มากกว่านี้ก็ได้ )

 

7.ท่าออกกำลังกายบริหารกล้ามเนื้อหน้า

ท่านี้ต้องอาศัยความสามารถทางการแสดงเล็กน้อย โดยให้คุณทำหน้าทำตาแสดงอารมณ์ต่างๆ เช่น ตกใจ,เสียใจ,ดีใจ,และโกรธ ทำแต่ละท่าแล้วค้างไว้นับ 1-8 แล้วเริ่มแสดงหน้าตาท่าใหม่หมุนเวียนกันไป เพื่อบริหารกล้ามเนื้อแต่ละส่วนบนใบหน้า ( แต่ระวังอย่าไปทำใกล้ๆกระจก เดี๋ยวรถข้างๆเขาจะเข้าใจผิด )

 

หมายเหตุ : การออกกำลังกายในรถ จะเลือกทำท่าไหนก่อนก็ได้ แต่ควรพยายามทำสับเปลี่ยนหมุนเวียนให้ครบทุกท่านะจ๊ะ !

 

Source :
วารสารโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน
siamca.com

เว็บรถมือสอง

 ใครจะเชื่อว่าอยู่ๆ กระแสรถมือสองจะกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง ซึ่งจริงๆ แล้วก็สืบเนื่องมาจากหลายปัจจัยรวมกัน โดยหลักๆ ก็เป็นเรื่องของมูลค่าเงินนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจที่ฝืดเคือง ที่ทำให้ความสามารถในการใช้จ่ายของประชาชนลดลง และราคาของรถมือหนึ่งที่ถูกปรับให้มีมูลค่าสูงขึ้นจากโครงการปรับภาษีรถใหม่เมื่อต้นปี 2016 ก็ล้วนเป็นปัจจัย ที่จะทำให้กระแสการซื้อ-ขาย รถมือสองเป็นไปในทางที่ดีขึ้น เพราะคนส่วนใหญ่ที่คิดจะซื้อรถมือหนึ่ง ก็หันมาเทใจให้กับรถมือสองมากขึ้น จึงไม่น่าแปลกใจนักว่าทำไมช่วงสองปีให้หลังมานี้ ตลาดมือสองจึงมีความคึกคัก และมีพัฒนาการไปในทางที่ดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด

อย่างเว็บไซต์ซื้อ-ขายรถมือสองของ th.carro.co ที่กำลังมาแรง เป็นหนึ่งในตลาดมือสองออนไลน์ที่ได้รับผลตอบรับที่ดี และมีการพัฒนาระบบ เพื่อเน้นการตอบสนองผู้บริโภคให้ตรงจุด

ยิ่งหลังจากที่ตลาดมือสองมีแนวโน้มที่จะเฟื่องฟูมากขึ้นเรื่อยๆ CARRO ก็ได้เร่งพัฒนาเว็บไซต์ และเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายจะสามารถซื้อ-ขาย ได้อย่างมั่นใจ อย่างที่ไม่เคยมีเว็บไซต์ไหนทำมาก่อน แล้วความกังวลใจทั้งหลายที่มีต่อการซื้อรถมือสองของคุณจะหายไป เพราะเว็บไซต์ CARRO มีสิ่งเหล่านี้ !

รถมือสอง

1. ระบบการค้นหารถที่ตรงใจ

นับว่าเป็นจุดเด่นที่สามารถช่วยอำนวยความสะดวกให้กับใช้งานเว็บไซต์ทุกคนได้อย่างแท้จริง เนื่องจาก CARRO สามารถค้นหาได้ตั้งแต่ รุ่นย่อย ช่วงระยะเวลาของปี (โดยสามารถกรองเฉพาะแต่ปีนั้น หรือช่วงระยะเวลา 2–10 ปี ขึ้นไปก็ได้) ประเภทของเกียร์ เครื่องยนต์ ไปถึงจำนวนไมล์เลยทีเดียว

ซึ่งจุดเด่นเหล่านี้ก็ล้วนเป็นข้อดีสำหรับผู้บริโภค เพราะคนที่มีสเปครถมือสองในดวงใจจะได้สามารถหารถที่ตรงใจได้ในเวลาอันรวดเร็ว ไม่เสียเวลาไปนั่งหาให้ยุ่งยาก ดังนั้น ถ้าไม่อยากเสียเวลากับการหารถ การใช้ระบบค้นหาอย่างละเอียดของ CARRO คือหนึ่งในตัวเลือกที่ดี

จุดเด่น : ค้นหารถที่ถูกใจได้อย่างละเอียด แม้กระทั่งเลือกเลขไมล์ และระบบเกียร์

ข้อแตกต่าง : สามารถกรองรถได้ละเอียดมากกว่าเว็บไซต์รถมือสองอื่นๆ ทำให้คุณสามารถค้นหารถที่ต้องการได้เร็ว และตรงตามความต้องการ

รถมือสอง

2. เว็บไซต์ใช้งานง่าย มีบริการให้เลือกเยอะ

อีกหนึ่งจุดเด่นของ CARRO เลยก็คือเว็บไซต์มีความโดดเด่น ทันสมัย ใช้งานง่าย ไม่ยุ่งยาก มีระบบครื่องคำนวณที่ช่วยให้คุณกำหนดการชำระเงินค่างวดต่อเดือนได้ เพียงใส่ ราคารถ เงินดาวน์ อัตราดอกเบี้ย และระยะเวลาการผ่อนชำระ อีกทั้งมีบริการอื่นๆ นอกจากการซื้อขายรถมือสองให้เลือกมากมาย ซึ่งคุณสามารถเลือกใช้บริการ ได้ตรงตามใจต้องการ

นอกจากนี้ CARRO ยังบริการด้วยใจ เพื่อให้คุณมีความพึ่งพอใจอย่างสูงสุด 100%

จุดเด่น: มีบริการครบครัน มีให้เลือกเยอะ มาใช้บริการ CARRO ครบและจบในที่เดียว

ข้อแตกต่าง: บริการด้วยความจริงใจ ใส่ใจในทุกๆรายละเอียด และส่งรถถึงมือคุณ

รถมือสอง

3. ปรึกษาได้ทุกเรื่อง ที่เกี่ยวกับรถมือสอง

ถึงแม้ว่า CARRO จะเป็นสื่อกลางในการ ซื้อ-ขายรถมือสอง แต่คุณก็สามารถปรึกษา CARRO ได้ทุกเรื่องถ้าเกี่ยวกับรถมือสอง อาทิ ให้ CARRO ช่วยตามหารถคันที่คุณอยากได้ ถามรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับรถคันนั้น ปรึกษาเรื่องการขอจัดไฟแนนซ์ บริการประเมินสมรรถนะในการขับขี่รถก่อนการซื้อ-ขาย และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งหากคุณมีข้อสงสัย หรืออยากให้ CARRO ช่วยเป็นที่ปรึกษาให้กับคุณ สามารถโทรมาปรึกษาได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 02-508-8425

จุดเด่น: สามารถโทรมาเพื่อปรึกษากับ CARRO ได้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับรถมือสอง

ข้อแตกต่าง: เว็บไซต์อื่นอาจจะมีหน้าที่เป็นสื่อกลางในการ ซื้อ-ขาย รถมือสอง แต่ CARRO เป็นมากกว่านั้น ด้วยบริการให้คำปรึกษาต่างๆ CARRO จะเปรียบเสมือนเป็นเพื่อนคู่คิด เป็นตัวช่วยให้คุณเลือกซื้อรถมือสองได้ง่ายขึ้น

รถมือสอง

4. มีบทความดีๆ ให้อ่านมากมาย

สำหรับคนที่ไม่เชี่ยวชาญเรื่องรถ หรืออยากจะหาข้อมูล และรายละเอียดเกี่ยวกับรถยนต์ และรถมือสองเพิ่มเติมก็สามารถอ่านบทความสาระดีๆ ซึ่งจะมีทั้งข่าวสารเกี่ยวกับรถยนต์ใหม่ๆ บทความเกี่ยวกับการโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์อย่างละเอียด ไฟแนนซ์ การดูแลรักษารถยนต์ และอื่นๆ อีกมากมาย สามารถตามไปอ่านได้ที่ คลิก th.carro.co/blog หรือ ติดตามข่าวสารได้ที่ CARRO Thailand fanpage ได้เช่นกัน

จุดเด่น: มีบทความเกี่ยวกับรถยนต์ให้อ่าน ทั้งข่าวรถยนต์ใหม่ และรถมือสอง รวมถึงบทความที่เป็นสาระน่ารู้ดีๆ มากมาย

ข้อแตกต่าง: บทความบนเว็บไซต์ CARRO ไม่ได้มีเพียงแต่บทความที่อัพเดตรถใหม่เท่านั้น แต่ยังมีบทความอื่นๆที่ให้ความรู้ที่เกี่ยวกับรถ และสาระน่ารู้ที่น่าสนใจในกระแสปัจจุบันอีกด้วย

 

สร้างรายได้

รถยนต์คันคู่ใจของคุณ
สามารถสร้างรายได้ ด้วยวิธีเหล่านี้ !!

ความคิดของคนส่วนใหญ่ ก่อนที่จะซื้อรถยนต์คันแรก คงคิดแค่ว่าตอนซื้อมาแล้ว เวลาจะออกไปไหน มาไหนได้สะดวก หรือเอาไว้ใช้เดินทางไปทำงานในชีวิตประจำวันเท่านั้น แต่จะว่าไปแล้ว รถยนต์ส่วนตัวก็เป็นอะไร ที่ค่อนข้างใช้กำลังทรัพย์อยู่พอสมควรเลย เพราะนอกจากจะค่างวดที่ต้องผ่อนแล้ว ยังมีค่าซ่อมแซม ค่าน้ำมัน ค่า พ.ร.บ. และอื่นๆ อีกมากมาย


ซึ่งมนุษย์เงินเดือนอย่างเรา บางครั้งก็มีเหตุจำเป็นที่ต้องใช้เงินเยอะอยู่เหมือนกัน ทำให้รายจ่ายมากกว่ารายรับ แต่อย่าพึ่งเครียดหรือกังวลมากไป วันนี้ เราจะบอกคุณว่ามีวิธีสร้างเงินจากรถยนต์คันคู่ใจของคุณ  บางทีเผลอๆ อาจมีเงินเก็บเพิ่มขึ้นอีกต่างหาก มีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย !!

 

Uber

1. Uber

เรียกได้ว่าเป็นช่องทางโดยสารที่กำลังได้รับความนิยม เพราะง่ายกว่าการเรียกแท็กซี่ที่บางทีไม่ใช่แค่หายาก แต่โบกแล้วดันไม่ไปก็มี ตัดปัญหาด้วยการเรียก Uber ซะเลย สำหรับท่านที่มีรถยนต์เป็นของตัวเองอยู่แล้ว และอยากหารายได้เพิ่มเติม Uber ก็เป็นอีกช่องทางที่ดีทีเดียว

โดยการสมัคร Uber ก็ง่ายๆ คุณสามารถลงทะเบียนได้ทั้งทางเว็บไซต์ออนไลน์ ( www.uber.com ) สมัครผ่านแอพพลิเคชัน ตามงานที่ Uber ไปจัดกิจกรรมเปิดระบบพาร์ทเนอร์ หรือลงทะเบียนผ่านแอพ LINE

จากนั้นก็แค่รอการติดต่อจาก Uber เข้ารับการอบรม และเพิ่มข้อมูลบัญชีธนาคารในระบบ เพียงแค่นี้คุณก็พร้อมที่จะออกไปเริ่มขับหารายได้เข้าตัวแล้ว ซึ่งในประเทศไทย Uber มีเงื่อนไขสำหรับตัวผู้ขับดังนี้

  • มีอายุ 21 ปีขึ้นไป
  • มีใบอนุญาตให้ขับรถในประเทศไทยได้
  • ได้เข้าอบรมเพื่อเป็นพาร์ทเนอร์ร่วมขับ

 

Grab

2. Grab

เป็นอีกหนึ่งช่องทางโดยสารที่เรียกรถผ่านแอพพลิเคชัน Grab หรือผ่านไลน์ได้โดยตรง ซึ่งเงื่อนไขการสมัครขับรถกับ Grab ง่ายๆ เพียงกรอกประวัติผ่าน www.grab.com บวกกับมีโทรศัพท์สมาร์ทโฟน ไม่ว่าจะเป็นระบบ Android หรือ iOS ได้ทุกชนิด และรถยนต์ ( ถ้ามีข้อสงสัยว่ารถยนต์ของคุณสามารถขับแกร็บคาร์ได้หรือไม่ เช็คได้ที่ GrabCar ) ซึ่งทาง Grab เองไม่กำหนดจำนวนชั่วโมงขั้นต่ำอีกด้วย จะขับเมื่อไรก็ได้

 

ติดสติ๊กเกอร์

3. แปะโฆษณาบนรถยนต์

วิธีนี้ที่ประเทศอเมริกาเป็นที่นิยมอย่างมาก เพราะเป็นอีกหนึ่งวิธีสร้างเงินง่ายๆ ด้วยรถยนต์คันคู่ใจของคุณ ด้วยการติดสติ๊กเกอร์เป็นโฆษณาตามตัวรถ ซึ่งวิธีแบบนี้คุณน่าจะเคยเห็นรถเมล์ หรือรถแท็กซี่ที่ทำกันเป็นประจำอยู่แล้ว แต่รถยนต์ส่วนตัวของเราเองก็สามารถทำได้เหมือนกันนะ แถมยังง่าย ไม่ต้องลงทุน แค่ขับไปไหนมาไหนบ่อยๆ ก็คุ้มแล้ว สำหรับใครที่สนใจ ติดต่อลงทะเบียนตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ธันวาคม 2560 ได้ที่ Carro thailand หรือเบอร์ติดต่อ 096-463-3298

 

 

รับ-ส่ง-ของ

 

4. รับส่งของ

เชื่อหรือไม่ว่างานรับส่งของโดยใช้รถยนต์ของตัวเราเองถ้าขยันๆ บางเดือนอาจได้เงินสูงถึง 30,000 – 40,000 บาท ต่อเดือนเลยทีเดียว เยอะกว่าพนักงานตามบริษัททั่วๆ ไปเสียอีก โดยการรับส่งของมีหลายแบบ เช่น รับส่งของให้ห้างสรรพสินค้าหรือร้านค้า ส่งผัก ปลา ผลไม้ ส่งอาหาร แต่บางทีส่งเครื่องซักผ้าก็มี

ซึ่งในกรณีหลังอาจจะต้องมีความรู้ในด้านการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ซักหน่อย โดยมีข้อดีที่ไม่ค่อยต้องรับคำสั่งจากใครมากนัก เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบความเป็นอิสระ เรียกได้ว่าเป็นอีกวิธีการสร้างเงินจากรถที่น่าสนใจ และน่าสนุกทีเดียว

 

 

Source : rabbit.co.th

4 จุดสำคัญของรถมือสอง ประเมินไว้อุ่นใจแน่นอน

เพราะจำนวนรถยนต์ใช้แล้วที่หมุนเวียนอยู่ในตลาดมือสองก็มีมากมายซะเหลือเกิน รวมถึงหลายคนก็อาจจะไม่มีประสบการณ์ในการเลือกซื้อรถ ซึ่งเหตุผลนี้ก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้หลายคนเกิดความกังวลใจ จนไม่กล้าเปิดใจซื้อรถมือสองดูสักที เนื่องจากแต่เดิมคนไทยส่วนมากก็มักจะฝังใจว่ารถยนต์ใช้แล้ว มักจะเป็นรถที่สภาพไม่ดีที่นำมาย้อมแมวขายต่อ ทำให้ภาพลักษณ์ของรถยนต์ใช้แล้วดูไม่น่าเชื่อถือ แต่ในความเป็นจริงแล้ว รถมือสองที่มีสภาพดีก็ยังมีอยู่จริง

ซึ่งการที่จะตามหาซื้อรถยนต์ใช้แล้วที่มีสภาพดีนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เพราะในปัจจุบันนี้ก็มีบริษัทที่รับตรวจสภาพ หรือเช็คสภาพรถให้เลือกอยู่ไม่น้อย แต่ที่สะดวกมากสุดเห็นทีต้องยกให้กับเว็บไซต์สื่อกลางในการซื้อ-ขายรถมือสองอย่าง Carro (คาร์โร)

ซึ่งแต่เดิมทีแล้วเว็บไซต์นี้ได้มีบริการตรวจสภาพรถที่ตรวจจากโครงสร้างรถ และค่าความหนาบางของสี โดยการตรวจนี้จะบอกได้ว่ารถคันไหนบ้างที่โครงสร้างรถยังสมบูรณ์ มีความปลอดภัยในการขับขี่ และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจให้ครอบคลุม และตอบโจทย์ผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น ด้วยการปรับการตรวจสภาพ เป็นการประเมินสมรรถนะของรถว่ามีประสิทธิภาพในการขับขี่ออกถนนมากน้อยเพียงใด โดยทางเว็บไซต์จะทำการรายงานผลตามความเป็นจริง และมีใบเซอร์ให้สำหรับรถคันที่ได้รับการตรวจแล้ว โดยการประเมินสมรรถนะการขับขี่ของรถมือสองจะแบ่งออกเป็นการตรวจ 4 จุดหลักๆ คือ

เช็กรถมือสองอย่างไร

1. ตรวจภายนอก

นับว่าเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในการตรวจสอบ และเป็นการตรวจสอบที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งถ้าหากใครที่พอมีความรู้เรื่องการเช็คสภาพอยู่แล้ว ก็คงพอจะตรวจสอบได้ด้วยตนเอง แต่สำหรับคนที่ไม่ประสบการณ์ หรือไม่เชี่ยวชาญ ทางคาร์โรก็จะช่วยดูให้ตั้งแต่ ล้อรถ สปอยเลอร์ กระจกมองข้างซ้าย-ขวา ไปจนถึงการดูระยะช่องไฟระหว่างชิ้นส่วนต่าง ๆ

เช็กรถมือสองอย่างไร

2. ตรวจภายในห้องโดยสาร

เมื่อมีการตรวจภายนอก ก็ย่อมต้องมีการตรวจภายในห้องโดยสารควบคู่กันไปด้วย ซึ่งการตรวจสอบภายในห้องโดยสารนี้ ไม่ได้ตรวจแค่สภาพของวัสดุ หรืออุปกรณ์ (เช่น พรม ช่องเก็บของ ช่องวางแก้ว แผงหลังคา) เพียงเท่านั้น แต่จะตรวจสอบไปจนถึงระบบไฟฟ้าภายในรถด้วย อย่างเช่น ไฟแผงคอนโซล ไฟแผงหน้าปัทม์ เครื่องเสียง และอื่นๆ อีกมากมาย

เช็กรถมือสองอย่างไร

3. เครื่องยนต์

มาถึงการตรวจสอบที่สำคัญที่สุด และเป็นส่วนที่ผู้คนให้ความสนใจเป็นลำดับต้นๆ นั้นก็คือการตรวจสอบเครื่องยนต์ เนื่องจากเครื่องยนต์นั้นถือเป็นหัวใจหลักที่จะทำให้รถขับเคลื่อน ดังนั้นถ้าหากเครื่องยนต์มีสภาพที่ไม่พร้อม หรือบกพร่อง นั้นก็อาจจะทำให้การขับขี่ของคุณไม่ปลอดภัย โดยการเช็คเครื่องยนต์นั้นจะประกอบไปด้วย เช็คการรั่วซึมของเหลว เช็คระดับและสีของเหลวต่าง ๆ ตรวจสายพานเครื่อง แบตเตอรี่ สภาพสายไฟและท่อน้ำต่างๆ ไปจนถึงสายพานเครื่อง

เช็กรถมือสองอย่างไร-2

4. ทดลองขับ

หลังจากที่ตรวจเช็คองค์ประกอบภายใน และภายนอกเรียบร้อยแล้ว ก็มาถึงคิวของการทดลองขับจริงกันบ้าง โดยทางคาร์โรจะทำการทดลองขับจริง และเช็คสิ่งผิดปกติ หรือตรวจดูจุดบกพร่องระหว่างที่ทำการทดลองนี้ ซึ่งจะมีการเช็คตั้งแต่การสตาร์ทรถว่ามีเสียงดังผิดปกติหรือไม่ รอบของเครื่องยนต์ทำงานปกติหรือเปล่า ไปจนถึงการตรวจเช็คระบบเบรค ระบบคลัทช์ เกียร์ และดูว่าเมื่อมีการหมุนพวงมาลัยนั้นรถจะมีอาการผิดปกติหรือไม่

นอกจากการประเมินสมรรถนะทั้ง 4 จุดนี้ ทางคาร์โรยังมีบริการตรวจสอบเอกสาร โดยดูจากเลขตัวถัง เลขเครื่องยนต์ และเลขทะเบียน ว่าข้อมูลทั้งหมดนั้นสอดคล้องกันหรือไม่ รวมถึงตรวจประวัติว่ารถมือสองคันนั้นมีประวัติการโจรกรรมหรือไม่ ทำให้นอกจากคุณจะได้รับรู้ถึงประสิทธิภาพของการขับขี่แล้ว ยังสามารถทราบถึงประวัติของการโจรกรรมรถอีกด้วย หากใครกำลังมองหารถมือสองสภาพดี ลองให้คาร์โรช่วยคุณเลือกด้วยการประเมินสมรรถนะรถทั้ง 4 จุดนี้ เพราะคุณจะได้มั่นใจได้ว่ารถที่คุณซื้อไปนั้นคุ้มค่ากับราคาที่คุณต้องจ่าย สนใจ คลิก

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์คันใหม่ มาขายรถกับทาง Carro Express สิ! คลิกเลยที่ https://th.carro.co/sell-car/express รับรองได้เงินเร็ว ไว ทันใจแน่นอน!

Carro Automall ตลาดรถ

ส่วนใครสนใจจะซื้อรถมือสอง Carro แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ คุณสามารถจองรถได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น! พร้อมคำนวณสินเชื่อและค่างวด ได้ภายในเว็บไซต์ทันที!

ซึ่ง Carro เรามีรถให้คุณเลือกมากมาย รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพโดย Carro Certified อย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 160 จุด, การันตีคืนเงินภายใน 5 วัน, รับประกันเครื่องยนต์และเกียร์ 1 ปี, รับประกันไม่กรอไมล์ และไม่ประสบอุบัติเหตุหนัก ไฟไหม้ หรือน้ำท่วม พร้อมรับประกันคุณภาพรถ 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร!

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” เลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา รวมถึงมีเทคโนโลยีสนับสนุนฝ่ายขาย ทั้ง Digital Device ที่เชื่อมต่อกับ Digital Screen นำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และจัดการเรื่องเอกสารให้กับลูกค้าให้ตั้งแต่ต้นจนจบ บวกกับ Online Viewing Service ที่ลูกค้าสามารถวิดีโอคอล ตรวจสภาพรถยนต์คันที่สนใจได้แบบเรียลไทม์ ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ Carro สิ!

หรือถ้าหากคุณสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงกรอกชื่อ-เบอร์โทรศัพท์ และรถที่คุณสนใจ ไว้ที่ “รับการแจ้งเตือน” เมื่อมีรถที่คุณต้องการ Carro จะรีบติดต่อไปยังคุณทันที สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> Carro Thailand โทร. 02-460-9380 หรือทาง Line @carrothai

3 สิ่ง ที่ผู้ซื้อห้ามพลาด เมื่อจะไปซื้อรถมือสอง รู้ไว้! จะได้ไม่โดนหลอก

เชื่อว่าทุกคนที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงรถยนต์มือสองต้องเคยได้ยินปัญหาประเภท “รถสวมทะเบียน” “รถย้อมแมว” “รถตัดต่อ” หรือกรณีเลวร้ายสุดๆ อย่าง “รถขโมยมาขาย” มาก่อนแน่นอน ซึ่งใครที่ต้องประสบเหตุการณ์ทำนองนี้เข้ากับตัวเองก็คงเจ็บปวดใจไปตามๆ กัน เสียทั้งทรัพย์ ทั้งความรู้สึก แถมดีไม่ดียังต้องเสียเวลาไปขึ้นโรงขึ้นศาลอีกด้วย เพราะเหตุนี้เอง ภาพลักษณ์ของวงการรถมือสองจึงยังคงติดลบในสายตาของคนไทยจำนวนมาก ทั้งที่ผู้ประกอบการดีๆ ก็มีอยู่มากมาย

แต่เดี๋ยวนี้ช่องทางในการซื้อรถยนต์มือสองมีเพิ่มขึ้นมามากมาย แต่วิธีการดั้งเดิมที่ใช้กันมาตลอดก็คือ การซื้อจากคนขายโดยตรง หรือเลือกซื้อจากเต็นท์รถมือสองทั่วไป

ทางทีมงาน CARRO Thailand ได้ให้ความเห็นว่า “ในปัจจุบันนี้ผู้บริโภคจำนวนมากกว่า 80% เลือกหาข้อมูลรถมือสองผ่านช่องทางออนไลน์ โดยผ่านเว็บไซต์รถมือสองทั่วๆ ไป ซึ่งแต่ละเจ้าก็มีจุดเด่นที่ไม่เหมือนกัน แต่ทาง CARRO และ CARRO Automall ได้ให้ความสำคัญกับบริการที่แตกต่างจากเว็บไซต์รถยนต์ทั่วไป เพื่อให้ผู้ที่สนใจซื้อรถมือสอง ได้มีโอกาสได้ตรวจสอบความมั่นใจในด้านต่างๆ ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกหารถแต่ละคัน ซึ่งถือว่าเป็นจุดเด่นที่เหนือกว่าเว็บไซต์รถมือสองเจ้าอื่นๆ”

ดังนั้น CARRO ขอแนะนำให้ตรวจสอบเบื้องต้น 3 อย่างใหญ่ๆ คือ คนขาย, เล่มทะเบียน, สภาพรถยนต์ ที่หลายคนอาจมองข้ามไปก่อนการซื้อรถมือสองซักคัน ดังนี้

3-Trick-Before-Buy-Secondhand-Car

1. เช็คคนขาย

การเช็คคนขายแบบง่ายๆ เลยก็คือ ผู้ขายรถมือสองให้กับคุณอย่างน้อยต้องมีคุณสมบัติ 2 ข้อนี้

1.1 มีตัวตนจริง และเป็นเจ้าของรถตัวจริง
ซึ่งในจุดนี้ต้องมีหลักฐานยืนยัน ได้แก่ บัตรประจำตัวประชาชน (หรือสำเนาบัตรประชาชน ที่มีการเซ็นรับรองอย่างถูกต้อง กำกับว่าใช้ในกิจธุระใด) และสมุดเล่มทะเบียนรถ ซึ่งชื่อที่ปรากฎอยู่บนเล่มทะเบียนว่าเป็นผู้ครอบครองกรรมสิทธิ์รถเป็นคนล่าสุด จะต้องมีชื่อตรงกับในบัตรประชาชน

1.2 มีช่องทางที่สามารถติดต่อกับผู้ขายได้อย่างสะดวก
การติดต่อกับผู้ขายนั้นต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นระหว่างการตกลงซื้อขาย หรือแม้แต่เสร็จสิ้นกระบวนการซื้อและโอนไปแล้วก็ตาม จงตระหนักว่าคุณไม่มีทางรู้เลยว่าหลังจากซื้อรถยนต์ใช้แล้วมาขับขี่จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปบ้าง ฉะนั้นจึงไม่ควรนิ่งนอนใจกับข้อมูลส่วนนี้

ด้วยเหตุนี้ ทาง CARRO Automall จึงพร้อมมอบความมั่นใจให้คุณด้วยการรับประกันคุณภาพรถถึง 2 ปี หรือ 20,000 กิโลเมตร ทันที! พร้อมการันตีความพึงพอใจ คืนรถได้ภายใน 5 วันอีกด้วย!

ต่อทะเบียนรถ ภาษีขาดเกิน 3 ปี

2. เช็คเล่มทะเบียนรถ

ก่อนจะเช็คเล่มทะเบียน อยากให้เข้าใจตรงกันก่อนว่า เล่มทะเบียนรถให้ข้อมูลอะไรกับคุณได้บ้าง ข้อมูลบนเล่มทะเบียนแบ่งเป็น 3 ส่วนหลักๆ ได้แก่ 

1. รายการจดทะเบียน ทำให้ทราบว่ารถจดทะเบียนตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่ไหน ให้ข้อมูลพื้นฐานของรถ (ยี่ห้อ/รุ่น/รุ่นย่อย/ปี/สี/เครื่องยนต์/เชื้อเพลิง ฯลฯ) รวมถึงข้อมูลเฉพาะอย่างเลขเครื่อง และเลขตัวถังด้วย 

2. เจ้าของรถ จะบอกได้ว่าใครเคยถือกรรมสิทธิ์รถคันนี้บ้างตามลำดับ 

3. รายการบันทึกของเจ้าหน้าที่ (มักจะอยู่ที่หน้า 18 ของเล่มทะเบียน) เป็นส่วนที่ทำให้รู้ว่ารถมีที่มาที่ไปอย่างไร และผ่านอะไรมาบ้าง เช่น จดทะเบียนที่จังหวัดไหน เป็นรถจดประกอบหรือไม่ เคยเปลี่ยนชนิดเชื้อเพลิง เปลี่ยนสี ติดแก๊ส ฯลฯ หรือไม่ เป็นต้น

ส่วนการตรวจสอบเล่มทะเบียนอย่างละเอียดด้วยตัวเอง มีขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้

2.1 เช็คข้อมูลในรายการบันทึกของเจ้าหน้าที่ก่อน ว่าตรงกับสิ่งที่คนขายบอกคุณหรือไม่ ถ้าไม่ตรง ขอเตือนไว้เลยว่า “อันตราย” แล้ว โดยเฉพาะเรื่องใหญ่ๆ อย่างการเปลี่ยนเครื่อง เปลี่ยนสี

2.2 หากรถคันนั้นมีประวัติการแจ้งจอด หรือเล่มเก่าชำรุด/สูญหาย ขอให้ขีดเส้นใต้ไว้ในใจเลยว่ามีความไม่ชอบมาพากล (แต่ไม่ได้แปลว่าคุณจะถูกหลอกเสมอไปหรอกนะ) โดยเฉพาะรถที่เคยแจ้งจอด ไม่ว่าจะชั่วคราวหรือถาวรก็ตาม มีความเป็นไปได้สูงว่ารถอาจมีปัญหาจนเจ้าของเดิมซ่อมไม่ไหว รวมถึงรถอาจไม่ได้รับการดูแล และการซ่อมบำรุง เพราะไม่ได้ถูกใช้งาน

ส่วนกรณีที่ผู้ขายเคยขอเล่มทะเบียนใหม่ เพราะเล่มเก่าชำรุด/สูญหายนั้น แม้จะมีโอกาสเกิดขึ้นได้จริง แต่ผู้ซื้อรถยนต์มือสองทุกคนควรรอบคอบไว้ก่อน หากชอบรถคันนั้นมากก็ควรไปโอนที่กรมขนส่งให้ถูกต้อง ทางที่ดีอย่าเพิ่งโอนเงินให้คนขายจนกว่ากระบวนการโอนรถจะสิ้นสุด

2.3 เช็คในหน้าเจ้าของรถ ส่วนนี้จะบอกลำดับผู้ถือกรรมสิทธิ์เรียงจากเก่าไปใหม่ตามวันที่ครอบครองรถ ทำให้ได้รู้ว่ารถผ่านมาอย่างน้อยกี่มือแล้ว และเคยเป็นกรรมสิทธิ์ของธนาคารหรือไม่ นอกจากนี้บางคนอาจจะมีเงื่อนไขของตัวเอง เช่น ไม่ชอบรถที่วัยรุ่นขับเพราะไม่ค่อยถนอมรถ เป็นต้น ซึ่งคุณสามารถตรวจสอบตรงส่วนนี้ได้

2.4 ตรวจสอบในหน้ารายการจดทะเบียน ควรเริ่มจากการเช็ควันจดทะเบียน (วัน/เดือน/พ.ศ.) ว่าจดในปีเดียวกันกับรุ่นปีของรถ (ค.ศ.) หรือไม่

ตัวอย่าง คุณสนใจโตโยต้าคัมรี่มือสองคันหนึ่ง รุ่นปีของรถคือปี 2010 (พ.ศ. 2553) แต่รถจดทะเบียนในปี 2554 (มักเกิดจากการที่เจ้าของเดิมใช้ป้ายแดงนานข้ามปี ลากจด) เท่ากับว่าปัจจุบันรถมีอายุการใช้งานมา 6 ปีแล้ว ไม่ใช่ 5 ปีตามวันจดทะเบียน ฉะนั้นก็บวกลบดูดีๆ ว่าค่าเสื่อมสภาพของรถจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าไหร่

2.5 ตรวจเลขตัวถังรถว่ามีหมายเลขตรงกับในเล่มทะเบียนหรือไม่ เลขตัวถังรถจะระบุตำแหน่งอยู่ในเล่มทะเบียน เช่น ด้านในห้องเครื่องยนต์ บริเวณแผงคอนโซล บริเวณเสากลางตัวรถด้านคนนั่ง หรือคนขับ หรือบริเวณคานหน้า ฯลฯ เมื่อเจอเลขแล้วตรวจสอบให้ดีว่าตรงกับในเล่มหรือไม่

นอกจากนี้ควรสังเกตุด้วยว่าเวลาลูบแล้วขรุขระผิดปกติ และมีความคมผิดปกติ หรือมีร่องรอยการตัดแปะ หรือตอกตัวเลขมาใหม่หรือไม่ พึงระลึกไว้ว่ารถยนต์มือสองที่ใช้งานมาอย่างปกตินั้นจะไม่มีปัญหาในส่วนนี้เด็ดขาด (อย่างมากก็แค่ฝุ่นจับหรือเปรอะเปื้อนบ้างเท่านั้น)

2.6 ขั้นตอนปราบเซียนคือเช็คเลขเครื่องยนต์ เลขเครื่องยนต์จะอยู่ไม่ด้านซ้ายก็ขวาเครื่องยนต์ แต่ตัวเลขดูค่อนข้างยากสักหน่อย มักเป็นรอยขีดบาง ๆ อีกทั้งมักจะเปรอะด้วยคราบฝุ่นหนาหรือไม่ก็คราบน้ำมันเครื่อง ฉะนั้นควรเพ่งหาให้ดี ๆ จากนั้นก็เช็คว่าตรงกับเลขบนเล่มทะเบียนหรือเปล่า

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้จะไม่เป็นปัญหาเลย หากคุณซื้อรถด้วยเงินสดแบบตกลงกันปุ๊บ ไปโอนที่กรมขนส่งฯ ปั๊บ เพื่อหลีกเลี่ยงการโอนลอยที่อาจมีปัญหาตามมาได้ ซึ่งในส่วนนี้ พนักงานกรมขนส่งฯ ก็จะตรวจสอบเลขเครื่องยนต์และเลขตัวรถให้อย่างละเอียด และมักไม่ค่อยมีปัญหาอะไรหลุดรอดไปได้

ในเรื่องรายละเอียดของเล่มทะเบียนและการจดทะเบียนรถนั้น คุณสามารถเข้าไปหาข้อมูลเพิ่มเติมหรือติดต่อสอบถามได้ที่ เว็บไซต์ของกรมขนส่งทางบก

3-Trick-Before-Buy-Secondhand-Car

3. เช็คสภาพรถ

หากคุณไม่ใช่คนที่เชี่ยวชาญด้านรถจริงๆ ในส่วนนี้คงต้องพึ่งช่างหรือผู้เชี่ยวชาญจะดีกว่า แต่หากไม่สะดวกให้ช่างมาเช็คให้ หรือเกรงใจคนขาย ไม่สะดวกจะออกปากขอนำรถไปตรวจ (หรือขอแล้วยึกยัก ไม่ยอม) จุดที่ควรเช็คอย่างละเอียดมีดังนี้

เช็คจุดที่รับแรงกระแทกเมื่อถูกชน (ชนคันอื่น + คันอื่นมาชน)

1. ตำแหน่งแรกคือฝากระโปรงหน้า ลองเปิดกระโปรงดูเครื่องภายในว่าหน้าตายังดูดีอยู่หรือไม่ ข้างในไม่ควรมีตำหนิประเภท รอยแตก รอยบิ่น รอยคดงอ หรือมีสีสันวาววับกว่าปกติ โดยส่วนมากรถยนต์มือสองทั่วไปที่อายุการใช้งานยังไม่มากนัก มักจะมีสติ๊กเกอร์ และตราปั๊มต่างๆ จากศูนย์อยู่ครบถ้วน ถ้าไม่มีร่องรอยอะไรทำนองนี้เหลืออยู่เลย ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าอาจถูกเปลี่ยนยกชุด

2. จุดที่ง่ายต่อการสังเกตคือคานหน้า เพราะรถที่ชนหนักๆ มานั้นคานต้องมีการบิดงอผิดรูปแน่ๆ ซึ่งในจุดนี้คนขายก็อาจจะไปให้อู่ทำมาให้อย่างสวยงาม หรือเปลี่ยนชุดคานหน้าใหม่ แต่อย่าลืมว่าของที่เสียหายไปแล้ว ซ่อมอย่างไรก็ไม่มีวันเหมือนเดิมได้ จุดสังเกตก็มีอยู่เช่น สีของคานไม่เสมอกัน สีเงาเป็นมัน (ปกติสีของคานมักจะเป็นสีด้านกว่าสีตัวถัง) สีมีรอยแตก โค้งไม่เท่ากันหรือโค้งไม่เป็นธรรมชาติ ฝั่งซ้ายกับฝั่งขวาหน้าตาไม่เหมือนกัน บิดงอเกินไปหรือเรียบเกินไป หรือสติ๊กเกอร์คำเตือนต่างๆ ที่ติดไว้ หรือตัวเลขที่ตอกไว้ ไม่มี เป็นต้น

3. ตำแหน่งถัดไปคือฝากระโปรงหลัง เปิดขึ้นมาเช็คขอบกระโปรงว่ามีร่องรอยหรือไม่ หากเคยชนหนักมา แม้จะผ่านการซ่อมมาแล้วก็มักจะมีรอยแตกรอยบิ่นอยู่ตามขอบกระโปรง ซึ่งพื้นของส่วนเก็บสัมภาระท้ายรถควรจะเรียบเสมอกัน ไม่มีรอยบุบ รอยนูนใดๆ (ควรเช็คใต้พรมด้วย แต่ทางที่ดีก็ควรขออนุญาตเจ้าของรถก่อน)

4. ตำแหน่งสุดท้ายคือขอบประตู และเสากลางตัวรถ หากรถที่ชนหนักมา ขอบประตูมักมีรอยเชื่อม ซึ่งการดูร่องรอยพวกนี้ได้ต้องดึงขอบยางออกก่อน (ซึ่งต้องขอคนขายก่อนตามมารยาทที่ดี) ตรงนี้จะเห็นได้ชัดเจนเลยว่าทำมาหรือไม่ เพราะขอบประตูปกติจะเรียบกริบ ไม่มีร่องรอยใดๆ แต่ถ้าผ่านมืออู่มาแล้วจะเห็นรอยเชื่อมเป็นจุด ๆ อย่างชัดเจน

ในส่วนของส่วนเสากลางประตูตัวรถนั้น ปกติถ้าเป็นรถมาจากโรงงาน หลายรุ่นมักจะใช้เป็นสีดำด้าน เพราะเป็นส่วนสัมผัสที่มักเผชิญกับรอยขูดขีดบ่อย จึงมักจะไม่ทำสีจุดนี้ (แต่รถหลายรุ่นก็ทำเป็นสีเดียวกับตัวรถ) แต่ถ้าคันใดทำสีเดียวกับตัวรถทับสีดำของเดิม ก็อาจจะเคยโดนชนมาได้ ต้องสังเกตดีๆ ว่ารถคันอื่นๆ ในรุ่นเดียวกัน สีผิดแผกไปจากรถที่เราดูหรือเปล่า

3-Trick-Before-Buy-Secondhand-Car

3 + 1. เช็คสี

การเช็คสี เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากที่จะสังเกตด้วยตาเปล่า เพราะอู่บางแห่งก็เก็บงานได้เนียนกริ๊บ จนแทบไม่เหลือให้ผิดสังเกต แต่แบบที่เราสามารถมองเห็นแล้วบอกได้ว่า ชนหนักชัวร์ ก็คือรถที่สีแตกเป็นริ้วเป็นรอย (แบบที่เรียกว่าแตกลายงา) ซึ่งกรณีนี้แปลว่าทำมาไม่ดี อู่ฝีมือแย่

นอกจากนี้ก็คือการพิจารณาว่าสีมีความมันวาว และความหนาบางเสมอกันหรือไม่ หรืออาจจะลองเทียบกับรถรุ่นเดียวกัน แต่เป็นรถป้ายแดงก็จะง่ายขึ้นมาก ถ้าตรงไหนที่สีควรด้านแต่กลับเป็นเงามัน แปลว่าทำมาแน่นอน (ซึ่งอาจไม่ได้ชนหนักก็ได้ ควรพิจารณาหลายส่วนประกอบกันด้วย)

สุดท้ายใครไม่อยากพลาด หรือเสียเวลามาเช็คหรือตรวจสอบเอง แนะนำให้มาปรึกษา CARRO ตามช่องทางการติดต่อด้านล่างนี้ เพราะเราเชี่ยวชาญด้านรถยนต์มือสองเป็นอย่างดี เพียงแค่ไว้ใจให้เราบริการ คุณจะไม่มีวันผิดหวังอย่างแน่นอน

Carro Automall / คาร์โร ออโต้มอลล์

ส่วนใครที่กำลังมองหารถคันใหม่ ที่สภาพพร้อมต่อการใช้งานในตอนนี้ CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ พร้อมตอบโจทย์คุณด้วยคอนเซปต์ “click.buy.drive.” สามารถจองรถได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น! พร้อมคำนวณสินเชื่อและค่างวด ได้ภายในเว็บไซต์ทันที!

ซึ่งรถทุกคันของ CARRO Automall คุณไม่ต้องกังวลเลยในเรื่องของรถจมน้ำ รถน้ำท่วม หรือรถจมบาดาล เพราะเราไม่นำรถที่ถูกน้ำท่วมมาขายโดยเด็ดขาด และรถทุกคันยังผ่านการตรวจสภาพอย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 200 จุด อีกด้วย

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” ฟีเจอร์ใหม่ล่าสุดในการดูรถเสมือนจริงผ่านระบบออนไลน์ เป็นรายแรกของธุรกิจรถมือสองในประเทศไทย คุณสามารถดูรูปรถทั้งภายนอก ภายใน กันได้แบบ 360 องศา รวมถึงยังสามารถฟังเสียงเครื่องยนต์จากรถคันที่คุณสนใจได้อีกด้วย!

เพราะเรามั่นใจในคุณของรถยนต์ทุกคัน เราจึงกล้ารับประกันคุณภาพรถนานถึง 2 ปี หรือ 20,000 กิโลเมตร! อีกทั้งยังการันตีความพึงพอใจ คืนเงินได้ภายใน 5 วันอีกด้วย! ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ CARRO Automall สิ!

หรือถ้าหากสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall Thailand โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall ครับ

3-Truly-About-Home-Car

หลายคนที่ไม่ได้คลุกคลีอยู่ในแวดวงรถยนต์มือสองคงได้มีงงกับคำว่า “รถบ้านมือสอง” กันบ้างแน่ๆ จริงๆ แล้วคำว่า “รถบ้าน” คืออะไร? แบบเดียวกับรถแคมป์เคลื่อนที่ที่สามารถลากไปจอดตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ได้หรือเปล่า? คำตอบคือ “ไม่ใช่” เพราะในวงการรถยนต์มือสอง คำว่า “รถบ้านมือสอง” หมายถึงรถยนต์ที่ผ่านการใช้งานในชีวิตประจำวันทั่วไป และเจ้าของรถนำมาขายต่อ ซึ่งอาจจะประกาศขายเอง หรือนำมาลงขายตามเว็บไซต์ที่เป็นสื่อกลางซื้อขายรถยนต์ใช้แล้วก็ได้

ปัจจุบันนี้ รถบ้านถือเป็นรถประเภทที่ผู้สนใจซื้อรถยนต์มือสองจำนวนมากมองหา เพราะเชื่อมั่นว่าจะได้รถที่มีสภาพดีกว่า รวมถึงคาดหวังถึงการใช้งานที่ทะนุถนอมมากกว่าด้วย

แต่รู้ไหมว่า มีความจริงเกี่ยวกับรถบ้านมือสองหลายข้อทีเดียวที่หลายคนยังคงเข้าใจผิด! ที่อาจจะทำให้บางคนมองรถบ้านมือสองในแง่ลบไปอย่างน่าเสียดาย มาดูกันว่า 3 ข้อที่คนไทยมักเข้าใจผิดเรื่องรถบ้านมือสองมีอะไรบ้าง ไปดูกัน

3-Truly-About-Home-Car

1. False: รถบ้านมักมีราคาแพง

    True: รถบ้านก็มีทั้งถูกและแพงตามสภาพ แถมต่อรองราคากับคนขายได้โดยตรงด้วย !

รถบ้านที่ราคาถูกมากๆ ก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะเมื่อเจ้าของรถรีบใช้เงิน คนซื้อก็จะยิ่งได้เปรียบเพราะมักจะได้รถทีี่มีคุณภาพเกินราคา ปกติแล้วรถบ้านที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว ผู้ขายก็จะขายกันตามสภาพ รถสภาพดีก็ย่อมมีราคาสูงที่ขึ้น ซึ่งถือเป็นเหตุผลที่หลายคนน่าจะยอมรับได้ นอกจากนี้ การซื้อรถบ้านยังดีตรงที่คนซื้อสามารถต่อรองราคากับผู้ขายได้โดยตรงด้วย! ถ้าเจอคนขายใจดี คุณก็มีโอกาสจะได้ส่วนลดอีกมากเลย

3-Truly-About-Home-Car

2. False: รถบ้านจัดไฟแนนซ์ยาก

    True: ความยากง่ายในการจัดไฟแนนซ์ขึ้นอยู่กับประวัติการชำระหนี้ของผู้ขอจัดล้วนๆ !

เรื่องการขอสินเชื่อรถยนต์เป็นสิ่งที่ผู้ที่สนใจซื้อรถบ้านหลายคนกังวลมาก กลัวว่ารถบ้านจะจัดไฟแนนซ์ยาก ไปจนถึงกลัวว่าจะเจอดอกเบี้ยสูง อันที่จริงแล้วการขอจัดไฟแนนซ์รถบ้านนั้น โอกาสที่จะผ่านหรือไม่ผ่านขึ้นอยู่กับเครดิตทางการเงินของผู้จัดเอง ส่วนดอกเบี้ยก็ควรเปรียบเทียบกันให้ดีระหว่างองค์กรที่ให้สินเชื่อรถยนต์ใช้แล้วแต่ละแห่ง ส่วนใหญ่หากผู้ซื้อที่ไม่มีปัญหาด้านเครดิต รวมถึงสามารถบริหารจัดการการเงินของตัวเองได้ดีก็มักไม่มีปัญหาใดๆ กับการจัดไฟแนนซ์รถบ้าน

3-Truly-About-Home-Car

3. False: คนขายรถบ้านชอบหมกเม็ด ไม่บอกว่าอะไรเสียบ้าง

    True: ไม่จริงเสมอไป ตรวจสภาพรถก่อนซื้อเท่านั้นคือคำตอบ !

ต้องยอมรับว่าในสังคมคนรักรถบ้าน ก็มีทั้งคนดี และมิจฉาชีพ ซึ่งฝ่ายแรกแม้จะมีจำนวนมากกว่า แต่ฝ่ายหลังมักสร้างกระแสทางลบให้บ่อยครั้ง ผู้ซื้อรถบ้านสามารถป้องกันตัวเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพได้ง่ายๆ ด้วยการขอตรวจสอบสภาพรถก่อนทำการตกลงซื้อขาย โดยทำการตรวจกับองค์กรที่เชื่อถือได้ โดยปัจจุบันเว็บไซต์สื่อกลางขายรถบ้านมือสองหลายแห่ง ก็มีบริการตรวจสภาพรถบ้านให้กับผู้ซื้อเช่นกัน

เรื่องรถจะถูกมิจฉาชีพนำมาย้อมแมวขายหรือไม่นั้น มักไม่ค่อยมีปัญหา เพราะเมื่อผู้ซื้อรถยนต์ใช้แล้ว ก็ต้องไปทำการโอนรถที่กรมการขนส่งทางบก เจ้าพนักงานก็จะต้องทำการตรวจสอบรถให้อยู่แล้ว รถที่มีการสวมทะเบียน ปลอมเลขตัวถัง เลขเครื่องยนต์ หรือปลอมแปลงเอกสาร จึงไม่น่าจะเล็ดลอดกระบวนการนี้ไปได้ (รายละเอียดการตรวจสอบสภาพรถของกรมขนส่งทางบกสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ ที่นี่ )

อย่างไรก็ตาม ถือเป็นเรื่องที่รอบคอบกว่าหากผู้ซื้อรถบ้านขอนำรถเข้าตรวจสอบสภาพก่อนซื้อ เพื่อเช็คความพร้อมในการขับขี่จริงบนท้องถนน และยังเป็นการเตรียมความปลอดภัยเพื่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้ซื้อรถเองด้วย

แต่ก็ต้องทำใจไว้อย่างหนึ่ง ถ้าหากคุณซื้อรถบ้านนั้น ส่วนใหญ่เป็นการขายรถ “ตามสภาพ” ซึ่งผู้ขายส่วนใหญ่มักไม่มีรับประกันอะไรให้ นอกเสียจากว่าความเชื่อใจซึ่งกันและกัน ถ้าเกิดมีอะไรเสียขึ้นมา ก็ต้องควักกระเป๋าเงินซ่อมเอง แต่ถ้าหากเป็นรถมือสองปีใหม่ๆ (บางคัน) อาจจะยังมีการประกันตัวรถจากทางผู้ผลิตเหลืออยู่ ถ้าหากเกิดมีอะไรชำรุด หรือบกพร่องขึ้นมาในระยะรับประกัน ก็ยังสามารถเคลมกับทางศูนย์บริการได้

ส่วนใครที่สนใจซื้อรถบ้าน แต่ยังคงกังวลเรื่องราคา การจัดไฟแนนซ์ รวมถึงไม่มั่นใจเรื่องสภาพรถ ลองเข้าไปเลือกชมรถบ้านมือสองได้ที่ th.carro.co ศูนย์รวมรถยนต์ใช้แล้วคุณภาพดีที่ให้ความมั่นใจกับคุณได้เรื่องสภาพรถที่มีคุณภาพสูง เป็นที่ปรึกษาในด้านการขอสินเชื่อรถมือสอง และมีรถบ้านมือสองจำนวนมากในหลายระดับราคา ให้คุณเลือกสรรอย่างจุใจแน่นอน

ส่วนใครที่อยากขายรถ เพื่อนำเงินไปใช้ในช่วงโควิด-19 ระบาด CARRO เรารับซื้อรถของคุณ สามารถเข้าไปเช็กราคา ตีราคาขายรถก่อนได้ โดยใส่ข้อมูลรถของคุณที่นี่เลย กับ CARRO Express > https://th.carro.co/sell-car/express หรือโทร. 02-508-8425

หรือใครจะ Inbox มาสอบถามก็ได้เช่นกัน ที่ Facebook CARRO Thailand หรือสะดวก Add Line ก็ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

รถมือสอง-1-คัน-มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง

ซื้อรถมือสอง ต้องเตรียมค่าใช้จ่ายเท่าไร

ใครที่อยู่ในแวดวงธุรกิจรถมือสองต้องเคยเจอคำถามประเภท มีเงิน XXX,XXX บาท ซื้อรถได้มั้ย? รถรุ่นนี้ รุ่นโน้นต้องดาวน์เท่าไหร่? จะซื้อรถมือสองมีเงินเท่านี้พอมั้ย? ฯลฯ หรือคำถามอะไรประมาณนี้มาก่อนแล้วแน่ๆ นี่คือคำถามยอดฮิตที่คนขายรถมือสองต้องเคยฟัง! (แถมชอบฟังด้วยนะ)

ยิ่งธุรกิจรถยนต์มือสองเติบโตและพัฒนามากขึ้นทุกวัน ผู้ขับขี่รถยนต์ในไทยก็ยิ่งหันมาหารถยนต์มือสองมากขึ้น คำถามแบบนี้ก็ยิ่งได้ยินได้ฟังบ่อยครั้งขึ้นไปตามๆ กัน เพราะคนซื้อหลายคนก็ไม่รู้ว่าการจะซื้อรถมือสองสักคันนั้นมีค่าใช้จ่ายโดยรวมเท่าไหร่  บางทีเล็งรถคันหนึ่งไว้กลับต้องไปเลือกอีกคันแทนเพราะเกินงบ! เรื่องแบบนี้ก็มีให้เห็นมาแล้ว

ฉะนั้นมาดูกันเลยดีกว่า ว่าการซื้อรถมือสอง 1 คันจะมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง จะได้คำนวณงบประมาณถูก! และตัดสินใจได้ง่ายกว่าเดิมด้วย!

ดังที่ทราบกันอยู่แล้วว่า ในการซื้อรถยนต์มือสองโดยทั่วไป คนซื้อก็จะสามารถซื้อได้ 2 แบบ คือซื้อด้วยเงินสด และซื้อเงินผ่อน ด้วยการขอสินเชื่อรถมือสองจากสถาบันการเงิน หรือที่เรียกว่าการจัดไฟแนนซ์นั่นเอง

 

เมื่อคุณซื้อรถด้วยเงินสด ค่าใช้จ่ายหลักๆ ในการซื้อรถมือสอง 1 คันจะมีดังนี้

1. ค่ารถ ตามราคาที่ได้ตกลงกันไว้ระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย ซึ่งในส่วนนี้จะมี VAT หรือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% บวกรวมเข้าไปด้วย ฉะนั้นก่อนที่จะเลือกรถแต่ละคันควรคำนึงถึงภาษีส่วนนี้ไว้เช่นกัน เพราะราคาที่คุณตกลงกับคนขายนั้นยังไม่ใช่ราคาสุทธิแต่อย่างใด

ตัวอย่าง คุณสนใจ Honda Civic ราคา 500,000 บาท เงินที่คุณต้องใช้จ่ายจริงก็คือ 500,000 + VAT 7% ซึ่งเท่ากับ 535,000 บาท

เอาเป็นว่าในส่วนของค่ารถนี้ก็ต้องคำนวณกันดีๆ ก่อน! จะได้รู้ว่าเงินที่คุณมีอยู่ในมือครอบคลุมแค่ไหน และเพียงพอที่จะนำไปใช้จ่ายในส่วนอื่นๆ หรือไม่!

2. ค่าโอนรถ เป็นส่วนที่ต้องชำระที่กรมขนส่งทางบก ประกอบไปด้วย ค่าธรรมเนียม 5 บาท ค่าโอน 100 บาท และส่วนสุดท้ายที่แพงที่สุดคือ ค่าอากรซื้อขายซึ่งประเมินโดยสรรพากร คิดเป็นร้อยละ 0.5 ของราคารถยนต์ (ที่มักพูดกันว่าแสนละห้าร้อยนั่นเอง)

ตัวอย่าง คุณซื้อรถ Honda Civic มาในราคา 500,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการโอนรถของคุณคือ ค่าธรรมเนียม 5 บาท + ค่าโอนรถ 100 บาท + ค่าอากรซื้อขายรถ 2,500 บาท รวมทั้งหมดเป็น 2,605 บาท

ในส่วนนี้บางคราวผู้ขายหรือเต้นท์รถก็จะเป็นผู้รับผิดชอบในการชำระค่าใช้จ่ายให้ และหากคุณซื้อรถมือสองจากเต้นท์ บางเต้นท์ก็อาจจะให้โปรโมชั่น หรือรวมอยู่ในค่าจองอยู่แล้ว ฉะนั้นต้องพูดคุยกันให้เคลียร์ก่อนว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในส่วนนี้

3. ค่าประกัน ก็คือเงินที่คุณต้องจ่ายเพื่อทำประกันภัยรถยนต์นั่นเอง ค่าประกันจะสูงหรือต่ำขึ้นอยู่กับระดับชั้นที่คุณเลือก รวมถึง Segment ของรถด้วย เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่ายิ่งระดับชั้น (และค่าประกัน) สูงมากเท่าไหร่ ทุนประกันและความคุ้มครองก็ครอบคลุมมากขึ้นเท่านั้น ในส่วนนี้ หากคุณซื้อรถจากเต้นท์ บางเต้นท์อาจจะมีโปรโมชั่นแถมฟรีประกันภัยให้คุณด้วย ต้องลองสอบถามให้ดีๆ

ในส่วนของการซื้อด้วยเงินสด ค่าใช้จ่ายหลักๆ ก็จะมีดังที่กล่าวมานี้ แต่ในบางกรณี อาจจะมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่คุณต้องรับผิดชอบอีก เช่น ค่าจอง หากคุณเลือกดูรถยนต์มือสองจากเว็บไซต์ต่างๆ ผู้ขายก็อาจจะขอค่าจองไว้ก่อน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าคุณจะซื้อรถจริง และยังอาจมีค่าใช้จ่ายในกรณีที่รถที่คุณซื้อเกินอายุที่จดทะเบียนไว้แล้ว เช่น ค่าพรบ. ค่าต่อภาษีรถยนต์ ค่าปรับของกรมขนส่งฯ รวมไปถึงค่าซ่อมบำรุง ค่าตกแต่ง ฯลฯ ตามความพอใจของคุณเองหลังการซื้อขาย ซึ่งนอกจากจะต้องสอบถามให้ดีก่อนตกลงซื้อขายกันแล้วก็ต้องเผื่อเงินและเผื่อใจไว้ด้วย

 

การซื้อรถด้วยการขอสินเชื่อหรือจัดไฟแนนซ์ก็เป็นวิธีการยอดนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ข้อดีของการซื้อรถแบบผ่อนคือคุณไม่ต้องเสียเงินทีเดียวก้อนใหญ่ แต่ในขณะเดียวกัน ค่าใช้จ่ายในการซื้อรถมือสองก็จะเพิ่มขึ้นมาบางส่วนด้วย มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง!

1. ค่าจองรถ (อาจมีหรือไม่มีก็ได้) เป็นค่าใช้จ่ายเพื่อยืนยันกับผู้ขายว่าคุณสนใจรถคันนี้จริงๆ และจะซื้อรถอย่างแน่นอน ซึ่งถ้าคุณเปลี่ยนใจ ไม่ซื้อรถตามที่ตกลงกันไว้ เงินส่วนนี้ก็จะถูกผู้ขายยึดไปเป็นค่าเสียเวลาและเสียโอกาสนั่นเอง

ค่าจองรถมักจะขึ้นอยู่กับราคาของรถด้วย กล่าวคือ หากคุณเลือกซื้อรถ segment ใหญ่ๆ หรือรถหรูราคาแพง ค่าจองก็จะขยับสูงขึ้นไปตามกัน แต่โดยทั่วไปแล้ว ค่าจองในกลุ่มรถตลาดก็จะอยู่ที่ราวๆ 5,000 – 10,000 บาท

หากคุณซื้อรถยนต์มือสองจากเต้นท์รถ ค่าจองรถอาจจะรวมค่าโอน และค่าใช้จ่ายส่วนอื่นๆ ไว้ด้วย ก่อนจะตกลงซื้อถามควรถามไถ่ให้เข้าใจตรงกันเสียก่อน

ค่าใช้จ่ายต่างๆ อาจถูกลง หากมีการดำเนินการขอสินเชื่อแล้วไม่ผ่าน บางบริษัทอาจจะคืนเงินส่วนนี้ให้คุณ (ต้องถามให้เคลียร์แต่แรก)

2. ค่ารถ ก็คือส่วนที่คุณต้องไปผ่อนให้ไฟแนนซ์นั่นเอง ดังที่ยกตัวอย่างไว้ข้างต้น หากคุณซื้อ Honda Civic ในราคา 500,000 บาท จ่ายเงินดาวน์ไป 50,000 บาท อีก 450,000 บาทที่เหลือ คุณก็จะต้องชำระเป็นรายเดือนให้กับไฟแนนซ์

แล้ว VAT 7% จะยังต้องเสียอยู่ไหม? คำตอบคือเสียแน่นอน! VAT 7% จะอยู่ในยอดผ่อนชำระแต่ละเดือนที่คุณต้องผ่อนให้กับไฟแนนซ์นั่นเอง ซึ่งแปลว่ายิ่งผ่อนนานก็ยิ่งเสีย VAT ไปเลยยาวๆ ควรจะรวบรัดการผ่อนชำระหนี้ให้ัสั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อผลประโยชน์ของตัวคุณเอง

3. เงินดาวน์ คือเงินสดที่คุณต้องสมทบในการกู้ยืมจากไฟแนนซ์ อธิบายง่ายๆ ก็คือ ไฟแนนซ์ไม่ได้ให้คุณกู้เงินได้ 100% คุณต้องชำระเงินค่ารถด้วยตัวเองส่วนหนึ่ง ซึ่งเงินก้อนที่คุณต้องออกเองนี้ เรียกว่า “เงินดาวน์” ปกติแล้วเงินดาวน์มักจะอยู่ที่ 10% ของราคารถ แต่อาจเพิ่มขึ้นได้ในกรณีที่คุณซื้อรถหรู รถเก่า หรือรถประเภทที่ไฟแนนซ์มองว่ามีความเสี่ยงสูงกว่ารถยนต์มือสองทั่วไป

ตัวอย่าง คุณซื้อรถ Honda Civic ราคา 500,000 บาทโดยการขอสินเชื่อจากไฟแนนซ์ คุณต้องจ่ายเงินดาวน์ 10% ซึ่งคิดเป็น 50,000 บาท (แล้วอีก 450,000 บาทไฟแนนซ์จะออกให้คุณ แล้วคุณก็ผ่อนชำระเป็นรายเดือน+ดอกเบี้ยให้กับไฟแนนซ์อีกที)

4. ค่าจัดไฟแนนซ์ ในการจัดไฟแนนซ์ก็จะมีค่าจัดที่ทางบริษัทรับจัดไฟแนนซ์จะคิดจากคุณอีกที ค่าจัดก็คือค่าดำเนินการด้านเอกสารและอื่นๆ ของไฟแนนซ์นั่นเอง หากคุณซื้อรถยนต์มือสองจากเต้นท์ การขอจัดไฟแนนซ์ก็จะง่ายกว่าเดิมอีกหน่อย เพราะเต้นท์รถมือสองมักมีคอนเนคชั่นที่ดีกับไฟแนนซ์

5. ค่าโอน คือเงินที่ต้องชำระที่กรมขนส่งทางบกดังที่อธิบายไว้คร่าวๆ แล้วด้านบน แต่หากคุณจัดไฟแนนซ์ ค่าโอนอาจจะเสียหลายต่อ เพราะต้องโอนรถเป็นกรรมสิทธิ์ของไฟแนนซ์ก่อน แล้วจึงโอนมาเป็นชื่อคุณหลังจากผ่อนชำระจนครบ แต่ส่วนนี้ไฟแนนซ์บางเจ้าอาจจะจัดการให้ ต้องถามให้ดีแต่แรก

6. ค่าประกัน คือค่าใช้จ่ายในการทำประกันภัยรถนต์ดังที่อธิบายไว้คร่าวๆ แล้วด้านบน

7. ดอกเบี้ย ทุกการกู้ยืมจากสถาบันการเงินก็ย่อมต้องมีการคิดดอกเบี้ย! ดอกเบี้ยไฟแนนซ์รถยนต์มือสองจะมีการประเมินจากยี่ห้อ รุ่น และปี (อายุ) ของรถมือสองคันนั้น ซึ่งถ้ารถยิ่งเก่า ยิ่งอายุการใช้งานมาก ดอกเบี้ยก็จะยิ่งแพง เพราะมีค่าเสื่อมสภาพสูง ปกติแล้วสถาบันการเงินต่างๆ จะมีการคิดดอกเบี้ยในอัตราที่ต่างกันไม่มากนัก โดยมากแล้วดอกเบี้ยรถยนต์มือสองจะไม่เกิน 7%

น้ำหอม-รถยนต์

ไร้กลิ่นอับในรถยนต์ ด้วยวิธีธรรมชาติเหล่านี้

รถยนต์คันคู่ใจของคุณดันมีเหตุบางอย่าง ที่ทำให้เกิดกลิ่นไม่พึ่งประสงค์ในรถยนต์อย่างเช่น กลิ่นอาหาร กลิ่นรองเท้า กลิ่นเหม็นอับต่างๆ ซึ่งคุณคงไม่ปลื้มสักเท่าไร ที่กลิ่นเหล่านี้จะติดตามหลอกหลอนไปในทุกๆที่ และคุณดันไม่ชอบกลิ่นของที่ฉีดระงับกลิ่นที่มีขายตามท้องตลาดทั่วไป

แต่ไม่เป็นไร Carro จะเป็นเพื่อนช่วยหาทางแก้ไขปัญหาเช่นนี้ ด้วยวิธีช่วยลดกลิ่นจากธรรมชาติ อีกทั้งยังเสมือนน้ำหอมที่ช่วยเพิ่มบรรยากาศ ให้รถยนต์ของคุณสดชื่นไร้กลิ่นอับต่างๆ อีกด้วย

 

ใบเตย


ความหอมคลาสสิกที่ใช้ได้เกือบทุกที่ที่มีกลิ่นอับ ไม่ว่าจะในรถยนต์ ห้องน้ำ ห้องครัว หรือแม้กระทั่งในตู้เย็น นอกจากนี้ไม่ได้ให้แค่กลิ่นหอมอย่างเดียว แต่มันยังมีคุณสมบัติกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์อีกด้วย โดยวิธีใช้ คือนำใบเตยสดมามัดรวมเป็นกำๆ ในขนาดที่พอดี ไม่เล็กมากไปเดี๋ยวไม่ได้ผลนะ หรือมากไปจนเกิดกลิ่นแรงทำให้เวียนหัว หลังจากนั้นนำไปวางบนรถ เพียงเท่านี้รถยนต์ของคุณก็ไร้กลิ่นอับ อีกทั้งยังมีความสดชื่นที่ได้กลิ่นใบเตย

 

ถ่าน


ถ่านในที่นี้คือถ่านไม้หุงข้าว ( ไม่ใช่ถ่านอัลคาไลน์นะจ๊ะ 55+ ) จะเหมาะสำหรับเจ้าของรถที่ไม่ชอบกลิ่นใดๆเลย ชอบกลิ่นธรรมชาติแบบเดิิมๆ เพราะถ่าน มีคุณสมบัติดูดกลิ่นทุกชนิดได้ค่อยข้างดีเลยทีเดียว วิธีนำมาใช้ เลือกถ่านก้อนที่พอเหมาะ นำใส่ถุงผ้าขาวบาง ต่อจากนั้นหาเชือกมัดปาก แล้วนำวางไว้ตามมุมต่างๆภายในรถ แค่นี้ ปัญหากลิ่นกวนใจก็หมดไป ง่ายนิดเดียวเอง

 

ดอกไม้


มีหลากหลายชนิดให้เลือก อาทิเช่น ดอกมะลิ ดอกกุหลาบ ดอกจำปีจำปา เป็นต้น ชอบกลิ่นของดอกไม้ชนิดใดเลือกแล้ว นำมาวางไว้ในรถ หรือจะเด็ดเอาแต่กลีบกับเกสรของมัน ใส่ถุงผ้าขาวบางมาแขวนไว้ในรถก็ได้ รถยนต์ของคุณก็จะกลิ่นอวบอวนไปด้วยกลิ่นของดอกไม้ที่คุณชื่นชอบ ทำให้การขับรถที่อาจตึงเครียดนั้นผ่อนคลายขึ้นอีกด้วย

 

ผลไม้อบแห้ง และสมุนไพร


วิธีนี้ง่ายแต่ก็ต้องอาศัยความละเอียดในการลงมือทำเล็กน้อย เริ่มที่ นำผลส้มกับผลแอปเปิลมาฝานให้เป็นแว่นบางๆ จากนั้นนำเข้าไปอบในไมโครเวฟด้วยความร้อน 250 องศาเซลเซียสประมาณ 1 ½ ชั่วโมง และหมั่นเปิดดูทุก ๆ ครึ่งชั่วโมงเพื่อป้องกันการไหม้เกรียม เมื่อเสร็จเรียบร้อยให้นำทั้งส้มและแอปเปิลอบแห้งมาผสมกับเปลือกไม้ กานพลู และโป๊ยกั๊ก ในขวดโหลที่มีฝาปิดและทิ้งไว้ 1 วัน จึงจะเปิดฝาและนำไปวางไว้ในรถยนต์ได้

 

พิมเสน


ลักษณะพิเศษของกลิ่นพิมเสน คือ หอม เย็น แถมยังออกฤทธิ์ที่ดีต่อหัวใจ และปอด เรียกได้ว่า นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นสมอง และทางเดินหายใจ เหมาะสำหรับคนที่วิงเวียนศีรษะบ่อยๆ อีกทั้งยังดับกลิ่นอับได้อย่างดี

 

เมื่อรู้กันอย่างนี้แล้ว ว่ามีวิธีอะไรบ้างที่สามารถช่วยกำจัดกลิ่นอับในรถยนต์ของคุณได้ ก็อย่าลืมลองทำกันดูนะ อีกทั้งบางอย่างสามารถหาได้ง่ายภายในบ้านของคุณ ซึ่งรับรองได้ว่าปัญหากลิ่นไม่พึงประสงค์ในรถยนต์จะหมดไป ไม่ต้องไปร้านคาร์แคร์บ่อยๆ แต่ถ้าลองทำดูแล้วแต่ยังมีกลิ่น แสดงว่าเบาะของคุณสกปรกจนเกินเยี่ยวยา แนะนำให้ไปคาร์แคร์ ลองอบโอโซนดูสักครั้งก็ได้นะจ๊ะ

 

 

Source : thairath.co.th

 

Help-You-Choose-Secondhand-Cars

รถมือสองคันแรกของคุณ รุ่นไหนดี?? ให้  CARRO ช่วยคิด!!

จะซื้อรถมือสองคันแรก เอารุ่นไหนดี? ในยุคเศรษฐกิจไม่ดี แล้วเงินที่มีจะพอมั้ย? หลายคนอาจจะคิดไม่ตก ให้ CARRO ช่วยคิดดีกว่า!

หลักการเลือกซื้อรถมือสองคันแรกแบบ CARRO นั้นไม่ยุ่งยากอะไรเลย แค่ก่อนจะซื้อรถมือสอง ให้คุณถามตัวเองก่อนว่าซื้อรถคันนี้ไปเพื่ออะไร? ตัวคุณเองมีไลฟ์สไตล์แบบไหน? รวมถึงรถคันที่สนใจนั้นมีราคามือหนึ่งเท่าไหร่ โฉมอะไร อายุการใช้งาน และสภาพเป็นอย่างไร? และข้อสุดท้าย งบประมาณที่คุณตั้งไว้คือเท่าไหร่?

ยิ่งในตลาดรถมือสองปัจจุบัน มีรถให้เลือกมากมาย สำหรับการเลือกซื้อรถมือสอง CARRO ขอแบ่งไลฟ์สไตล์ของผู้ขับขี่รถออกเป็น 5 สาย ดังนี้ …

Nissan-Almera-มือสอง

1. สายเน้นคุ้ม มองหารถที่ใช้ในชีวิตประจำวัน

หากมองในแง่ซื้อแล้วคุ้ม ใช้ไปยาวๆ และใช้ได้หลายโอกาส รถซีดาน (รถเก๋ง 4 ประตู) น่าจะเป็นคำตอบที่ใช่ที่สุด และเมื่อพิจารณาจากความนิยมของคนส่วนใหญ่ ยอดขายรถซีดานของค่ายรถต่างๆ ในไทยก็ยังคงสูง ด้วยเหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะรถซีดานโดยมากมีรูปร่างสมส่วนปราดเปรียว เหมาะกับชีวิตคนเมืองซึ่งต้องเผชิญภาวะรถติด และต้องซอกแซกตามซอกซอยแคบ

อีกทั้งข้อดีข้อสำคัญของรถซีดานทั่วๆ ไปก็คือ เสียภาษีน้อย เพราะมักเป็นรถที่มีเครื่องยนต์ขนาดเล็ก (ในกรณีนี้คือรถตลาดทั่วไป ไม่รวมถึงรถสมรรถนะสูงนะ) ไม่กินน้ำมัน หรือปล่อยมลพิษมากนัก

Honda-City-มือสอง

รถซีดานนั้นมีหลาย Segment ซึ่ง Segment ใหญ่ๆ ราคาก็ขยับขึ้นตามไปด้วย สำหรับสายเน้นคุ้ม เน้นใช้ขับขี่ประจำวันโดยไม่ได้ใช้งานฮาร์ดคอร์มาก CARRO ขอแนะนำรถในกลุ่ม Eco-Car, Sub-Compact Car, Compact Car เพราะรถกลุ่มนี้เป็นรถไซส์กำลังเหมาะสำหรับการขับขี่ในระยะไม่ไกลมาก ราคาไม่สูงเกินเอื้อม ทำให้ไม่สร้างภาระทางการเงินที่หนักเกินไป และถ้าบำรุงรักษาตามระยะ คุณจะสามารถใช้งานได้คุ้มค่าแน่นอน

ตัวอย่างรุ่นรถในกลุ่มนี้

Eco-Car : Nissan Almera / Suzuki Ciaz / Toyota Yaris ATIV / Mitsubishi Attrage

Sub-Compact Car : Toyota Vios / Mazda2 / Honda City

Compact Car : Honda Civic / Toyota Altis / Mitsubishi Lancer / Nissan Sylphy ฯลฯ

Isuzu-MU-X-มือสอง

2. สายรักครอบครัว ชอบรถไซส์ใหญ่ ขับเที่ยวก็ได้ ขับไปทำงานก็โก้!

สำหรับคนที่กำลังมองหารถครอบครัว หรือรถไซส์ใหญ่ที่ขับขี่ทางไกลได้อย่างไม่เป็นปัญหา รถ PPV (รถอเนกประสงค์พื้นฐานกระบะ) น่าจะเป็นคำตอบที่ใช่ของคุณ! เพราะมีความอึด ถึก ทน และแรงเยอะแบบกระบะ แต่ขณะเดียวกันก็มีพื้นที่ห้องโดยสารกว้างขวาง จุผู้โดยสารได้มาก และมีพื้นที่จุสัมภาระอย่างเหลือเฟือ!

รถ PPV เป็นรถที่เหมาะสำหรับการใช้ไปยาวๆ เช่นกัน เพราะ PPV หลายรุ่นในปัจจุบันก็ดีไซน์ออกมาอย่างโฉบเฉี่ยว เรียกว่าคนโสดขับขี่ได้โดยไม่เขิน คนมีครอบครัวก็ใช้แล้วคุ้มสุดๆ!

ตัวอย่างรุ่นรถในกลุ่มนี้

Toyota Fortuner / Mitsubishi Pajero Sport / Ford Everest / Isuzu MU-7 / Isuzu MU-X

Honda-CR-V-มือสอง

3. สายรักกิจกรรม รักการช็อป ชอบขับขี่ในเมืองใหญ่

สำหรับคนแอคทิวิตี้เยอะจัด หรือขาช็อปที่กลัวว่ารถซีดานจะมีที่จุของไม่พอ รถอเนกประสงค์ และอีโคคาร์ประเภท Hatchback น่าจะเป็นคำตอบที่ใช่ของคุณ เพราะเป็นรถที่ออกแบบมาให้สามารถใช้พื้นที่ห้องโดยสารได้คุ้มค่าที่สุด สามารถจุของได้มาก (บางรุ่นสามารถพับเก็บเบาะหลังเพื่อเพิ่มพื้นที่จุสัมภาระได้) หากคุณเน้นขับขี่ในเมืองใหญ่ อีโคคาร์ก็เพียงพอแล้วสำหรับความต้องการ แต่หากคุณเป็นสายกิจกรรม ต้องการบรรทุกสัมภาระมาก และออกท่องเที่ยวบ่อยๆ CARRO ขอแนะนำรถ Crossover SUV ตามด้านล่างเลย!

ตัวอย่างรุ่นรถในกลุ่มนี้

Sub-Compact Crossover SUV : Toyota C-HR / Honda HR-V / Nissan Juke / Mazda CX-3 / MG GS ฯลฯ

Compact Crossover SUV : Mazda CX-30 / Subaru XV / Honda CR-V / Nissan X-Trail / MG HS ฯลฯ

Hyundai-H-1-มือสอง

4. สายครอบครัวใหญ่ เพื่อนเยอะ รวมก๊วนถึงไหนถึงกัน!

ถ้าเน้นจุคนล่ะก็ ไม่มีอะไรจะตอบโจทย์ได้ดีกว่ารถตู้อีกแล้ว! รถตู้ที่เป็นที่นิยมกันในปัจจุบันก็มีหลายต่อหลายรุ่น เช่น Toyota Hiace, Toyota Commuter เป็นต้น หากมองหารถที่หรูหราขึ้นมาหน่อย รถแบบ MPV หรือ Minivan ก็ตอบโจทย์ได้ตรงเผงเลย! และรถรุ่นที่ขายดีมากๆ ในตลาดมือสองก็คือ Hyundai H-1, Toyota Alphard และ Toyota Vellfire นั่นเอง! รับรองว่า 3 รุ่นนี้หาซื้อได้ง่ายและมีหมุนเวียนในตลาดมือสองให้เลือกซื้อตามต้องการแน่นอน

ตัวอย่างรุ่นรถในกลุ่มนี้

รถ MPV ขนาดเล็ก – กลาง : Toyota Wish / Toyota Noah / Toyota Voxy / Toyota Estima / Nissan Serena / Honda Odyssey / Mitsubishi Delica D:5 ฯลฯ

รถ MPV ขนาดใหญ่ :  Hyundai H-1 – Grand Starex / Toyota Vellfire / Toyota Alphard / Nissan Elgrand / Volkswagen Caravelle – Multivan ฯลฯ

Isuzu-D-Max-มือสอง

5. สายเน้นประกอบอาชีพ พร้อมขับขี่ทุกสภาพถนน แถมบรรทุกสัมภาระได้มาก

เน้นประกอบอาชีพ และถึกทนทาน ต้องเลือกกระบะเลย! ปัญหาจุกจิกน้อย บรรทุกสินค้าได้ แถมบางรุ่นก็จัดออพชั่น ข้างในมาน้องๆ รถซีดานเลยทีเดียว หากใครยังติดภาพว่ารถกระบะนั่งไม่สบายอยู่ ขอให้คิดดูใหม่!

เป็นที่รู้กันว่า รถกระบะมีรุ่นย่อยให้เลือกตามขนาดเครื่องยนต์ (เริ่มต้นที่ 1.9 ลิตร ของ Isuzu D-Max) และความสะดวกสบาย (อีกนับหนึ่งคือจำนวนตอน/จำนวนประตู) นั่นเอง รุ่นพื้นฐานมักจะเป็นรุ่นตอนเดียว ไม่มีแค็บ เหมาะสำหรับการใช้ในเชิงพาณิชย์อย่างจริงจัง ไม่เหมาะจะขับขีในชีวิตประจำวันมากนัก แต่ถ้าเน้นความสะดวกสบาย บรรทุกของก็ได้ ขับประจำวันก็ชิล CARRO แนะนำแบบกระบะ 2 ตอน 4 ประตูเลย! แล้วคุณจะพบว่าห้องโดยสารของปิคอัพบางรุ่นนั้น สบายกว่าขับรถเก๋งบาง Segment เสียอีก!

ตัวอย่างรุ่นรถในกลุ่มนี้

Isuzu D-Max / Toyota Hilux Vigo – Revo / Nissan Navara / Mitsubishi Triton / Ford Ranger ฯลฯ

แต่ถ้าคุณอยากขายรถคันเดิม เพื่อไปซื้อรถคันใหม่ หรือรับเงินก้อนไปใช้ สามารถขายรถคันเก่ากับ CARRO ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ CARRO Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

เจาะลึก-NewYaris

เจาะลึก! Toyota Yaris Hatchback ใหม่ มีเพิ่มอะไรให้บ้าง ในแต่ละรุ่นย่อย?

Toyota-Yaris-Head

หลังจากที่ Toyota ได้เปิดตัว Yaris Hatchback Minorchange (ยาริส แฮทช์แบ็ค ไมเนอร์เชนจ์) ไปแล้วเมื่อวานที่ผ่านมา เชื่อได้ว่าแฟนๆ โตโยต้า ที่กำลังสนใจและอยากซื้อรถใหม่ หรือกำลังต้องการศึกษาข้อมูลของ Yaris Hatchback ในตอนนี้ คงอยากรู้เป็นแน่แท้ว่า มีอะไรจัดมาให้ หรือเพิ่มขึ้นมาในแต่ละรุ่นย่อยบ้าง?

ทาง CARRO ขอรวบรวมข้อมูลอุปกรณ์มาตรฐานของ Yaris ทุกรุ่นย่อย มาให้ทุกท่านได้พิจารณากันครับ

Toyota Yaris Hatchback มีให้เลือกทั้งหมด 4 รุ่นย่อย ได้แกรุ่น J ECO, J, E และ G มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.2 ลิตร รหัส 3NR-FE แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว Dual VVT-i ให้แรงม้าสูงสุด 86 แรงม้า 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 11.0 กก.-ม. (108 นิวตัน-เมตร) ที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i

มิติตัวรถยาว 4,145 มม. กว้าง 1,730 มม. สูง 1,475 มม. (รุ่น G 1,500 มม.) ระยะฐานล้อ 2,550 มม.

Toyota-Yaris-Safety

และสีใหม่! Citrus Mica Metallic (มาแทนสี Frozen Blue Metallic)

รุ่น J ECO ราคา 479,000 บาท

Toyota-Yaris-J-Eco-Grade

Toyota-Yaris-J-Eco-Grade-Interiorอุปกรณ์มาตรฐานรุ่น J ECO

– ล้อกระทะเหล็กแบบ 14 นิ้ว
– ไฟหน้าแบบมัลติรีเฟลกเตอร์ ฮาโลเจน
– ไฟท้ายแบบ LED Light Guiding
– เสาอากาศแบบสั้น
– ที่ปัดน้ำฝนแบบธรรมดา
– กระจกมองข้างสีดำ
– มือจับประตูสีดำ
– พวงมาลัยแบบยูรีเทน ปรับสูง-ต่ำ ได้
– เบาะนั่งหุ้มวัสดุผ้า
– กระจกไฟฟ้าคู่หน้า (ด้านหลังแบบมือหมุน)
– เบาะนั่งด้านหลังพับได้
– ไฟอ่านแผนที่
– Eco Meter
– กุญแจรีโมท
– ลำโพง 2 ตำแหน่ง (ไม่มีเครื่องเสียง)
– กระจกมองข้างแบบธรรมดา
– ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง (คู่หน้า / ด้านข้าง / ม่านนิรภัยด้านข้าง และ หัวเข่าฝั่งคนขับ)
– ระบบเบรก ABS/EBD และระบบเสริมแรงเบรก BA
– ระบบควบคุมการทรงตัว VSC
– ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC
– ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC

รุ่น J ราคา 529,000 บาท

Toyota-Yaris-J-Grade

Toyota-Yaris-J-Grade-Interior

อุปกรณ์มาตรฐาน (ที่เพิ่มมาจากรุ่น J ECO)

– ล้อกระทะเหล็กแบบ 15 นิ้ว พร้อมฝาครอบล้อ
– กระจกมองข้างสีเดียวกับตัวรถ
– มือจับประตูสีเดียวกับตัวรถ
– กระจกไฟฟ้า 4 บาน
– เบาะคนขับปรับสูง-ต่ำได้
– กระจกมองข้างปรับไฟฟ้า
– เครื่องเสียง AM/ FM / CD / MP3 / WMA พร้อม USB / AUX

รุ่น E ราคา 559,000 บาท
Toyota-Yaris-E-Grade

Toyota-Yaris-E-Grade-Interior

อุปกรณ์มาตรฐาน (ที่เพิ่มมาจากรุ่น J)

– ล้อแม็กขนาด 15 นิ้ว
– แผ่นกันความร้อนใต้ฝากระโปรง
– ที่ปัดน้ำฝนหน่วงเวลาและปรับตั้งเวลาได้
– กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว
– กระจกบังลมหน้า Acoustic Glass
– กระจกแต่งหน้าบริเวณที่บังแดดคู่หน้า
– เบาะหลังปรับพับแยก 60:40
– แผงปิดห้องสัมภาระท้ายรถ
– มาตรวัดเรืองแสง
– จอแสดงข้อมูลการขับขี่ (MID)
– ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ
– Bluetooth
– ลำโพง 4 ตำแหน่ง
– สวิตช์ควบคุมเครื่องเสียงที่พวงมาลัย
– กระจกมองข้างปรับ-พับไฟฟ้า
– สัญญาณกะระยะท้าย
– กุญแจ Immobilizer
– สัญญาณกันขโมย TDS

รุ่น G ราคา 609,000 บาท

Toyota-Yaris-G-Grade

Toyota-Yaris-G-Grade-Interior

อุปกรณ์มาตรฐาน (ที่เพิ่มมาจากรุ่น E)

– ไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ พร้อม LED Light Guiding
– ไฟหน้าเปิด-ปิด อัตโนมัติ พร้อมระบบ Follow-Me-Home
– ไฟส่องสว่างแบบ LED Daytime Running Lights
– ไฟตัดหมอกหน้า
– กระจังหน้าตกแต่งด้วยโครเมียม ด้านล่างสีดำเงา
– เสาอากาศแบบครีบฉลาม
– มือจับประตูโครเมียม
– พวงมาลัยและหัวเกียร์หุ้มหนัง ตกแต่งด้วยแถบเมทัลลิก
– ระบบ Smart Entry และ Push Start

หากคุณกำลังตัดสินใจซื้อรถรุ่นนี้อยู่ ขอให้คำนึงว่า เรามีความต้องการใช้งานแบบไหน งบประมาณมีอยู่เท่าไหร่ เพราะออพชั่นบางอย่าง ก็อาจไม่ได้จำเป็นใช้งานเสมอไป ลองตัดสินใจหรือพิจารณาเลือกซื้อดู …

แต่ถ้าติดเรื่องงบประมาณ แนะนำให้ลองดู Yaris Hatchback มือสองสภาพดีๆ สักคัน หรืออยากได้ Yaris Hatchback รุ่นท็อปสุด ในราคาที่ถูกกว่ารถป้ายแดง ก็ลองเข้าไปเลือกค้นหาได้ที่ https://th.carro.co/ ครับผม!