Prepare-Car-In-Winter-Season

ในช่วงเดือนพฤศจิกายนแบบนี้ ประเทศไทยเราก็เริ่มเข้าสู่หน้าหนาวกันแล้วนะครับ (แม้ว่าบางจังหวัดทางภาคใต้ ตอนนี้ยังอยู่ในฤดูมรสุม ต้องเจอกับฝนตกหนัก แต่อากาศก็ยังเย็นจนสัมผัสได้เช่นกัน)

แต่ก็เชื่อได้ว่า หลายๆ ท่านตอนนี้ เริ่มได้สัมผัสอากาศเย็นๆ ทั้งในช่วงกลางคืน และในช่วงเช้ามืด จนรู้สึกอยากออกไปขับรถเที่ยว ขึ้นภู ขึ้นดอย สัมผัสไอหมอก ไอหนาว หรือแม่คนิ้งกันแล้ว …

CARRO ขอแนะนำวิธีการดูแลรักษารถยนต์ เพื่อเตรียมพร้อมไว้ใช้งานในฤดูหนาวครับ.

นอกเหนือจากการดูแลรักษารถยนต์ส่วนต่างๆ ระดับของเหลวจุดต่างๆ โดยทั่วไปแล้ว สิ่งที่สำคัญและควรปฏิบัติในหน้าหนาว มีอาทิเช่น …

Prepare-Car-In-Winter-Season

1. เมื่อหมอกลง

ช่วงฤดูหนาว จะมีหมอกปกคลุมมากกว่าปกติ และพื้นถนนอาจลื่นได้ ควรขับรถด้วยความระวัง เปิดไฟใหญ่ หรือไฟต่ำทุกครั้ง เพื่อให้สามารถมองเห็นสภาพเส้นทางได้ชัดเจนขึ้น แต่ไม่ควรใช้ไฟสูง เพราะไฟสูงจะยิ่งทำให้มองไม่เห็นทางข้างหน้า เพราะแสงไฟจะสะท้อนกับหมอกจนเกิดการฟุ้ง และทำให้ทัศนวิสัยในการขับขี่ลดน้อยลง …

แต่ถ้าหมอกหนามากจริงๆ แนะนำให้หาที่จอดพักริมทางในที่ปลอดภัย ไม่จอดข้างทางหรือบนไหล่ทาง ที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ดีกว่าครับ

หรือในกรณีที่หมอกลงจัดมาก ควรขับขี่ที่ความเร็ว 40-50 กม./ชม. เพื่อกะระยะรอบด้านและเบรกได้ทัน เมื่อเห็นสิ่งกีดขวางในระยะใกล้อยู่ตรงหน้า

Prepare-Car-In-Winter-Season

2. ไฟตัดหมอก หน้า-หลัง

การใช้ไฟตัดหมอกอย่างปลอดภัย คือ ช่วงที่มีฝนตกปรอยๆ หรือฝนตกหนัก หรือหมอกลงมาก เพื่อให้รถที่ขับสวนมามองเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น นอกจากนี้ การขับรถขึ้นภูเขาสูงในช่วงฤดูหนาว ที่มีหมอกหนามากกว่าปกติ ไฟตัดหมอกจะช่วยให้ทัศนวิสัยในการขับขี่ดีขึ้น

รถบางรุ่น (โดยเฉพาะรถยุโรป) มีติดไฟตัดหมอกหลังมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานด้วย ซึ่งออกแบบไว้ใช้เฉพาะในยามหมอกลงจัดเท่านั้น แต่หลายคนก็ใช้งานแบบไม่ต้องถูกต้อง เปิดไฟตัดหมอกหลังอย่างพร่ำเพรื่อยามถนนแห้ง ทำให้แยงตาผู้ที่ขับขี่ที่ตามหลัง เพิ่มความเสี่ยง ในการเกิดอุบัติเหตุได้

Prepare-Car-In-Winter-Season

3. ระบบไล่ฝ้า

การขับรถในช่วงฤดูหนาว อุณหภูมิที่ไม่สมดุลระหว่างด้านในและด้านนอกรถ ทำให้ไอน้ำจับตัวเป็นละอองฝ้าเกาะกระจกรถ ส่งผลต่อทัศนวิสัยในการมองเห็นเส้นทาง กรณีเกิดฝ้าที่กระจกข้างและกระจกหน้าด้านในรถ ให้เพิ่มความเย็นเครื่องปรับอากาศ โดยเลื่อนหรือกดสวิตซ์ระบบปรับอากาศไปที่สัญลักษณ์ไล่ฝ้าที่กระจกหน้า หรือลดกระจกรถลงเล็กน้อย เพื่อปรับอุณหภูมิในและนอกห้องโดยสารรถให้สมดุลกัน จะช่วยให้ละอองฝ้าจางหายได้

กรณีเกิดฝ้าที่กระจกด้านหน้าภายนอกรถ ให้เปิดใช้อุปกรณ์ที่ปัดน้ำฝน และฉีดน้ำเช็ดกระจกควบคู่ไปด้วย จะช่วยไล่ละอองฝ้าและขจัดคราบสกปรกบนกระจก กรณีเกิดฝ้าที่กระจกหลังรถ ให้เปิดปุ่มไล่ฝ้า เพื่อให้ขดลวดความร้อนบริเวณกระจกหลังรถทำงาน พอเมื่อละอองฝ้าจางหายไป ให้ปิดปุ่มไล่ฝ้า เพราะความร้อนจะทำให้กระจกรถ และฟิล์มกรองแสงเสื่อมสภาพเร็วขึ้น

Prepare-Car-In-Winter-Season

4. ปิดแอร์ขับรถ

การปิดแอร์ขับรถนั้นก็ถือเป็นสิ่งที่ดี (เฉพาะในหน้าหนาว) โดยหากคุณขับรถบนถนนที่ออกนอกเมือง รถไม่ติด ตอนเช้าๆ อากาศเย็นๆ คุณก็ปิดระบบปรับอากาศ ลดกระจกด้านข้างลง เพื่อรับลมและความเย็นสบายจากธรรมชาติ ที่ช่วยให้เครื่องยนต์ไม่ต้องหมุน “คอมเพรสเซอร์” และช่วยให้ประหยัดน้ำมันได้มากขึ้นถึง 5-10% เลยทีเดียว

การปิดแอร์ขับรถในหนาว ควรทำในนอกเมือง เพราะในเมืองมีแต่ควันพิษ ถ้าหากคุณไม่ชอบลมปะทะหน้า อาจจะปิด A/C (Air Compressor) ของระบบแอร์ เพื่อตัดการทำงานของชุดคอมเพรสเซอร์แอร์ แล้วเปิดแต่พัดลมแอร์ พร้อมกันนี้ปรับสวิทช์การหมุนเวียนอากาศภายในห้องโดยสาร สลับเป็นรับอากาศจากภายนอกเข้าสู่ห้องโดยสาร ที่สามารถรับลมจากภายนอก และช่วยให้กลิ่นไม่พึงประสงค์ในห้องโดยสาร ลดลงตามไปด้วยก็ได้

หวังว่าเคล็ดลับดีๆ ที่ทาง CARRO นำมาฝาก เหมาะสำหรับเอาไว้เตรียมตัว และปฏิบัติตอนขับรถในหน้าหนาวนะครับ

ส่วนใครที่อยากขายรถ เพื่อไปซื้อรถคันใหม่มาใช้เร็วๆ นี้ CARRO เรารับซื้อรถของคุณ สามารถเข้าไปเช็คราคา ตีราคาขายรถก่อนได้ โดยใส่ข้อมูลรถของคุณที่นี่เลย กับ CARRO Express > https://th.carro.co/sell-car/express หรือโทร. 02-508-8425

หรือใครจะ Inbox มาสอบถามก็ได้เช่นกัน ที่ Facebook CARRO Thailand หรือสะดวก Add Line ก็ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

Daihatsu-Hijet-Cargo

หนึ่งในไฮไลท์ของบูธ Daihatsu ในงาน Tokyo Motor Show 2017 นอกจากที่ไดฮัทสุจะนำรถต้นแบบ และรถ K-Car ที่ใส่ชุดแต่งแบบต่างๆ มาโชว์ให้ผู้ชมได้ตื่นตาตื่นใจกันแล้ว

Daihatsu-Hijet-Cargo

แต่ในอีกมุมเล็กๆ มุมหนึ่งที่คนทั่วไปอาจไม่สนใจกันมากนัก นั่นคือ “Daihatsu Hijet Cargo” (ไดฮัทสุ ไฮเจ็ท คาร์โก้) ปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ ขวัญใจคนชอบรถตู้เล็ก ก็นำมาเปิดตัวในงานนี้ด้วย

Daihatsu-Hijet-Cargo

Daihatsu-Hijet-Cargo

กันชนหน้าแบ่งออกเป็น 3 สะดวกในการเปลี่ยนเมื่อเสียหายเฉพาะจุด

สำหรับ “Daihatsu Hijet Cargo” (ไดฮัทสุ ไฮเจ็ท คาร์โก้) เจเนอเรชั่นที่ 10 นี้ แม้ว่าจะผลิตขายกันตั้งแต่เดือนธันวาคม 2004 แล้ว ถึงเวลาพลิกโฉมครั้งใหญ่ทั้งภายนอกและภายใน ให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น ด้วยหน้าตาที่ดูคล้ายกับหุ่นยนต์ ชุดไฟหน้าพร้อมไฟแบบ LED คู่ไปกันชุดกันชนหน้าที่ออกแบบใหม่เป็น 3 ส่วน เพื่อสะดวกในการเปลี่ยนเวลาชนถูกเฉพาะจุด และไฟตัดหมอกขนาดเล็กติดตั้งด้านล่าง พร้อมชุดไฟท้ายปรับรูปแบบใหม่เล็กน้อย

Daihatsu-Hijet-Cargo

Daihatsu-Hijet-Cargo

ภายใน ดีไซน์ใหม่ ส่วนด้านหลังเบาะนั่งขนาดเล็ก เน้นการใข้งานเป็นหลัก

ห้องโดยสารภายใน ปรับปรุงแผงคอนโซลหน้าให้ดูเหลี่ยมขึ้น ปรับปรุงจุดเก็บของต่างๆ ให้ดูอเนกประสงค์และสะดวกต่อการใช้งานมากยิ่งขึ้น ส่วนด้านหลังไม่เน้นการตกแต่ง เน้นการใช้งานเป็นหลัก

Daihatsu-Hijet-Cargo

กล้องคู่หน้าแบบ 3 มิติ หรือ Stereo Camera

ในส่วนของระบบความปลอดภัย ถือเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ ที่ ไดฮัทสุ ได้เพิ่มระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ Smart Assist III เข้ามาใน Hijet Cargo ประกอบไปด้วย ระบบ Autonomous Emergency Braking หยุดรถอัตโนมัติในกรณีที่อาจเกิดการชน ทำงานร่วมกับระบบ Pedestrian Detection ตรวจจับคนเดินถนนโดยอาศัยกล้องหน้าแบบ 3 มิติหรือ Stereo Camera เข้ามาช่วย, ระบบ Lane Departure Warning เตือนเมื่อรถออกนอกเลนโดยไม่ตั้งใจ, ระบบ False Start Suppression Control ป้องกันการเข้าเกียร์เดินหน้า-ถอยหลัง ผิด ขณะออกตัว, ระบบ Automatic High Beam ลดไฟสูงอัตโนมัติ และระบบ Vehicle Start Warning ส่งสัญญาณเตือนผู้ขับเมื่อรถด้านหน้าออกตัวหลังจากได้รับสัญญาณไฟเขียวโดยเพิ่มความสามารถในการหลีกเลี่ยงการชนคนเดินเท้า เป็นต้น

ในส่วนของเครื่องยนต์ … คาดว่ายังคงใช้เครื่องยนต์ตัวเดิมขนาด 660 ซีซี รหัส KF แบบ 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว ให้แรงม้าสูงสุด 53 แรงม้า (PS) ที่ 7,200 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 6.1 กก.-ม. (60 นิวตันเมตร) ที่ 4,000 รอบ/นาที ประหยัดน้ำมันมากๆ ให้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง (ตามโหมด JC08) สูงสุด 17.2 กม./ลิตร ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด

ในส่วนของรุ่น Cruise เครื่องยนต์เป็นแบบ 660 ซีซี รหัส KF แบบ 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว Turbo ให้แรงม้าสูงสุด 64 แรงม้า (PS) ที่ 5,700 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 9.3 กก.-ม. (91 นิวตันเมตร) ที่ 2,800 รอบ/นาที ให้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง (ตามโหมด JC08) เพียงแค่ 17.2 กม./ลิตร ในรุ่น 2WD และ 16.6 กม./ลิตร ในรุ่น 4WD ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด

Daihatsu-Hijet-Cargo

มีให้เลือกใน 3 รุ่นย่อย ได้แก่ “Special” “Deluxe” และ “Cruise”

Daihatsu-Hijet-Cargo

โดย ไดฮัทสุ เตรียมเปิดตัวจำหน่ายเจ้า Hijet Cargo กันอีกครั้งในเร็วๆ นี้ ที่ญี่ปุ่น ส่วนในไทย โอกาสที่จะนำเข้ามาขายนั้น คงบอกได้แต่เพียงว่า ถ้านำเข้ามาก็คงไม่มีใครซื้อ เพราะรวมภาษีแล้ว คงเกือบถึงหนึ่งล้านบาท …

ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก http://car.watch.impress.co.jp/

2018-Isuzu-D-Max-Minorchange

อีซูซุ ฉลองครบรอบ 60 ปีของการดำเนินธุรกิจในไทย ด้วย “D-Max” Blue Power โฉมใหม่!

2018-Isuzu-D-Max-Blue-Power

อีซูซุ เผยโฉม “Isuzu D-Max 1.9 – 3.0 Ddi Blue Power” (อีซูซุดีแมคซ์ 1.9 และ 3.0 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์) ส่งท้ายปีทองด้วยความยิ่งใหญ่ ฉลองครบรอบ 60 ปี อีซูซุในประเทศไทย สานต่อความแรงของ “ปรากฏการณ์ อีซูซุบลูเพาเวอร์” ให้กระหึ่มต่อเนื่อง พร้อมปรับราคาเพิ่มขึ้น 3,000 – 30,000 บาท

พร้อมจัดงานใหญ่ 60 ปีของอีซูซุที่อยู่เคียงคู่สังคมไทย และเปิดตัวรถปิคอัพรุ่นใหม่ล่าสุด ในวันที่ 9 พฤศจิกายน ศกนี้ และรอบสาธารณชนในวันเสาร์ที่ 11 พฤศจิกายน ศกนี้ ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1 อิมแพค เมืองทองธานี

Isuzu-D-Max-Blue-Power

อีซูซุดีแมคซ์ บลูเพาเวอร์ เป็นรถปิกอัพที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง นับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อปลายปี 2558 ด้วยความโดดเด่นของเครื่องยนต์ดีเซล ซูเปอร์คอมมอนเรล รุ่นล่าสุด ซึ่งพัฒนาภายใต้แนวคิด “The Power of Less” มาใช้ในรถปิกอัพครั้งแรกในโลก อีกทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นรถที่มีการออกแบบที่ล้ำสมัยและลงตัว

2018-Isuzu-D-Max-Blue-Power

ในปี 2560 ซึ่งเป็นวาระครบรอบ 60 ปีของการดำเนินธุรกิจอีซูซุในประเทศไทย อีซูซุพร้อมแล้วที่จะตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดรถปิกอัพเมืองไทยอีกครั้งด้วย “ใหม่! อีซูซุ ดีแมคซ์ 1.9 และ 3.0 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์” ขีดสุดแห่งนวัตกรรมเปลี่ยนโลก ที่พัฒนาให้สมบูรณ์แบบขึ้นในทุกๆ ด้าน ภายใต้แนวคิด Sharp/ Aggressive/ Solid หรูหราและสง่างามยิ่งขึ้น ผสานความสปอร์ตและล้ำสมัย รวมทั้งบรรยากาศใหม่ภายในห้องโดยสารแต่ละรุ่นที่บ่งบอกเอกลักษณ์เฉพาะตัว

2018-Isuzu-D-Max-Blue-Power

ควบคู่กับการติดตั้งนวัตกรรมใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้รถ อาทิ ครั้งแรกในวงการปิกอัพกับไฟหน้าใหม่แบบ Bi-LED พร้อม Multifunctional Daylight อีกทั้งยังปรับระดับสูง-ต่ำของไฟหน้าได้ถึง 4 ระดับ ความบันเทิงเหนือระดับกับ ใหม่! Isuzu iConnect พร้อม Built-in Navigator และใหม่ล่าสุด “อีซูซุอินไซท์” ที่โหลดข้อมูลผ่าน Smartphone ได้ ต่อยอดความสะดวกสบายสูงสุดตามแบบฉบับอีซูซุ

Isuzu-D-Max-Blue-Power

นอกจากนี้ยังได้เพิ่มสมรรถนะการบรรทุกใหม่ให้กับ “Isuzu D-Max Blue Power Spark” (อีซูซุดีแมคซ์ บลูเพาเวอร์ สปาร์ค) โดยมีเกียร์ธรรมดา 6 สปีด พร้อมเกียร์โอเวอร์ไดร์ฟถึง 2 ตำแหน่ง คือ เกียร์ 5 และ 6 ให้เลือกในรุ่นเครื่องยนต์ อีซูซุ 1.9 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ ด้วยอัตราทดใหม่ ทรงพลัง ให้กำลังฉุดลากสูงยิ่งขึ้น ออกตัวดีแม้บรรทุกหนัก

2018-Isuzu-D-Max-Blue-Power

ใหม่! อีซูซุดีแมคซ์ 1.9 และ 3.0 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ แต่ละรุ่นได้รับการเติมเต็มความสมบูรณ์แบบสู่ขีดสุดแห่งนวัตกรรมเปลี่ยนโลก อาทิ

– ใหม่! อีซูซุดีแมคซ์ V-Cross MAX 4×4 สปอร์ตออฟโรด ดีไซน์ภายนอกใหม่! ผสานความแกร่งและสปอร์ตเป็นหนึ่งเดียว ดุดัน บึกบึนเต็มขั้น ด้วยโทนสีเทาดำ ไฟหน้าดีไซน์ใหม่แบบ Bi-LED พร้อม Multifunctional Daylight กระจังหน้าใหม่พร้อม Engine Hood Garnish พร้อมชุดแต่งรอบคัน MAX 4X4 ล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่แบบทูโทน ขนาด 18 นิ้ว ห้องโดยสารบรรยากาศใหม่! เพิ่มความสะดวกสบาย หรูหรา พร้อมสัญลักษณ์ V-Cross ที่เบาะนั่งกึ่งหนังแท้ทูโทนสีน้ำตาลเทาเดินด้ายสีส้ม

2018-Isuzu-D-Max-Blue-Power

– ใหม่! อีซูซุดีแมคซ์ บลูเพาเวอร์ รุ่น Hi-Lander สะดุดตากับกระจังหน้าโครเมี่ยม และชุดไฟหน้าดีไซน์ใหม่แบบ Bi-LED พร้อม Multifunctional Daylight ไฟส่องสว่างเวลากลางวัน พร้อมทำหน้าที่เป็นไฟหรี่เวลากลางคืน ล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ขนาด 18 นิ้ว พร้อมดีไซน์ห้องโดยสารใหม่ กว้างขวาง สะดวกสบาย เบาะนั่งกึ่งหนังแท้สีน้ำตาล

– ใหม่! อีซูซุดีแมคซ์ บลูเพาเวอร์ รุ่น Cab 4 และ Spacecab ปรับลุคใหม่ สปอร์ต ทรงพลัง โฉบเฉี่ยวขั้นสุดในทุกมิติ ตอบรับทุกไลฟ์สไตล์ ไฟหน้าดีไซน์ใหม่แบบ Bi-LED พร้อม Multifunctional Daylight และกระจังหน้าโครเมี่ยมดีไซน์ใหม่ บรรยากาศห้องโดยสารใหม่! โทนสีเทาเข้ม เท่ ลงตัว

2018-Isuzu-D-Max-Blue-Power

นอกจากนี้ยังเพิ่มฟังก์ชั่นล้ำสมัย เติมเต็มความสุนทรีย์ให้ทุกการเดินทางด้วยระบบความบันเทิงสมบูรณ์แบบ ใหม่! ISUZU iConnect พร้อม Built-in Navigator หน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว พร้อม Air Mirroring รองรับการเชื่อมต่อแบบ ไร้สายกับ Smartphone สะดวกสบายเพื่อไลฟ์สไตล์เหนือระดับ และ ใหม่ล่าสุด “อีซูซุอินไซท์” ที่พัฒนาไปอีกขั้นผ่านแอพพลิเคชั่นใหม่ สามารถดาวน์โหลดข้อมูลรายงานการขับขี่อีซูซุอินไซท์ผ่านสมาร์ทโฟน เพื่อประสิทธิภาพในการขับขี่ ทั้งด้านความปลอดภัย และประหยัดน้ำมัน

Isuzu-D-Max-Blue-Power

“ใหม่! อีซูซุดีแมคซ์ 1.9 และ 3.0 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์” มีหลายรุ่นให้เลือกตามความต้องการ โดยมี 8 สีให้เลือก พร้อม 3 สีใหม่ล่าสุด สำหรับราคาปรับเพิ่มขึ้น 3,000 – 30,000 บาท

แต่ถ้าติดเรื่องงบประมาณ แนะนำให้ลองดูรถกระบะ Isuzu D-Max มือสองสภาพดีๆ สักคัน ในราคาที่ถูกกว่ารถป้ายแดง ก็ลองเข้าไปเลือกค้นหาได้ที่ https://th.carro.co/buycar/isuzu-dmax ครับผม!

Tokyo-Motor-Show-2017

งานแสดงรถยนต์ยิ่งใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น “Tokyo Motor Show 2017”

Tokyo-Motor-Show-2017

ประมวลภาพรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุด รถต้นแบบ และอื่นๆ ในงานมหกรรมยานยนต์ “Tokyo Motor Show 2017” งานแสดงรถยนต์อีกหนึ่งงานในญี่ปุ่น จัดต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 1954 ถึงปัจจุบันเป็นครั้งที่ 45

โดยงานนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 ตุลาคม – 5 พฤศจิกายน 2560 ณ Tokyo Big Sight เมือง Tokyo ประเทศญี่ปุ่น … ทาง CARRO ขอรวบรวมภาพบรรยากาศ พร้อมรถเปิดตัวใหม่มาให้ชมกันครับ

Toyota-Century

Toyota Century

Toyota-Tj-Cruiser

Toyota Tj Cruiser

Toyota-Auto-Body-LCV-D-Cargo-Concept

Toyota Auto Body LCV D Cargo Concept

Toyota-Auto-Body-Wonder-Capsule-Concept

Toyota Auto Body Wonder Capsule Concept

Nissan-1Mx

Nissan 1Mx

Nissan-Leaf-Nismo-Concept

Nissan Leaf Nismo Concept

Honda-Sports-EV-Concept

Honda Sports EV Concept

Honda-Urban-EV-Concept

Honda Urban EV Concept

Mazda-Kai-Concept

Mazda Kai Concept

Subaru-Viziv-Performance-Concept

Subaru Viziv Performance Concept

Subaru-WRX-STi-S208

Subaru WRX STi S208

Lexus-LS500h

Lexus LS500h

Daihatsu-DN-Compagno

Daihatsu DN Compagno

Daihatsu-DN-U-Space

Daihatsu DN U Space

Daihatsu-Thor

Daihatsu Thor

Daihatsu-Hijet-Cargo

Daihatsu Hijet Cargo

Mitsubishi-e-Evolution-Concept

Mitsubishi e-Evolution Concept

Suzuki-Swift-Sport

Suzuki Swift Sport

Suzuki-XBEE

Suzuki XBEE

Suzuki-e-SURVIVOR

Suzuki e-SURVIVOR

Suzuki-Spacia-Custom-Concept

Suzuki Spacia Custom Concept

Isuzu-FD-SI

Isuzu FD-SI

Isuzu-Elf-EV

Isuzu Elf EV

Isuzu-6X6

Isuzu 6X6

Isola-Volta-Zagato-Vision-Gran-Turismo

Isola Volta Zagato Vision Gran Turismo

Renualt-Megane-RS

Renualt Megane RS

Volkswagen-I.D.-BUZZ

Volkswagen I.D. BUZZ

BMW-Concept-Z4

BMW Concept Z4

Mercedes-AMG-Project-ONE

Mercedes-AMG Project ONE

Mercedes-Benz-Concept-EQA

Mercedes-Benz Concept EQA

Smart-Vision-EQ-Fortwo

Smart Vision EQ Fortwo

Mitsubishi-E-Fuso-Vision-ONE

Mitsubishi E-Fuso Vision ONE

UD-Trucks-Quon

UD Trucks Quon

ขอบคุณภาพจาก http://car.watch.impress.co.jp/

รถใหม่หลายหลายรุ่น เตรียมเปิดตัวก่อนและในงาน Motor Expo 2017

2018-BMW-X3

งาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 34” หรือ The 34th Thailand International Motor Expo 2017 ภายใต้แนวคิด “ยานยนต์ยุคใหม่ ฝันไกลที่กลายเป็นจริง” หรือ “New Age Vehicles … A Distant Dream Come True” ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน – 11 ธันวาคม 2560 ณ อิมแพค ชาเลนเจอร์ 1-3 เมืองทองธานี พร้อมนำรถรุ่นใหม่ๆ ทั้งที่เปิดตัวก่อนงานเริ่ม และภายในงานของปีนี้ มีมาให้ชมกันมากมายหลายรุ่น

Carro ขอนำเสนอรถยนต์ใหม่ๆ ที่เตรียมเปิดตัวก่อนและในงาน Motor Expo 2017 โดยในเดือนพฤศจิกายนนี้ บริษัทรถยนต์หลายแบรนด์ ต่างเตรียมเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ กันหลายค่าย Carro ขอแนะนำให้ทุกท่านได้ทราบข้อมูลและรายละเอียดต่างๆ ครับผม …

Toyota C-HR

Toyota-C-HR

Toyota C-HR (โตโยต้า ซี-เอชอาร์) รถ Crossover ในรูปแบบ 4 ประตู ที่ปีนี้มาแรงจริงๆ โดยในงาน Motor Expo 2017 มีความเป็นไปได้ว่า Toyota จะนำรถมาโชว์ก่อนขายจริงในปีหน้านี้ คาดว่าราคาเริ่มต้นต่ำกว่าหนึ่งล้านบาท

Volvo XC60

Volvo-XC60-2018

หลังจากที่ Volvo (วอลโว่) ประสบความสำเร็จกับการขาย Volvo XC90 ใหม่ ไปทั่วโลกนับตั้งแต่ปีที่ผ่านมา รวมถึงในไทยก็มียอดขายที่น่าพอใจ ในเดือนนี้ วอลโว่ เปิดตัว Volvo XC60 รุ่นใหม่ Crossover SUV ที่ดีไซน์และตกแต่งไม่แพ้รุ่นพี่อย่าง XC90 ในวันที่ 8 พฤศจิกายน มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน T8 Twin Engine แบบ Plug-In Hybrid และเครื่องยนต์ดีเซล D4 ให้เลือก … ในราคา 3,090,000 – 3,590,000 บาท

Mazda CX-5

Mazda-CX-5-2018

Mazda (มาสด้า) เปิดตัว Crossover SUV รุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง “Mazda CX-5” ใหม่ ในวันที่ 13 พฤศจิกายน มาพร้อมเครื่องยนต์ SkyActiv-G ขนาด 2.0 ลิตร 175 แรงม้า แบบใหม่ และเครื่องยนต์ดีเซล SkyActiv-D ขนาด 2.2 ลิตร 165 แรงม้า ในราคา 1,290,000 – 1,770,000 บาท

MG ZS

MG-ZS-2018

MG (เอ็มจี) ประเทศไทย เปิดตัว MG ZS (เอ็มจี แซดเอส) ในวันที่ 14 พฤศจิกายน ต่อจากตลาดจีนและอังกฤษที่เปิดตัวไปก่อนหน้า โดยในตลาดจีน ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร 120 แรงม้า ในราคา 679,000 – 789,000 บาท

BMW X3

BMW-X3-2018

BMW X3 (บีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์ 3) ใหม่ (G01) เปิดตัวในไทย 16 พฤศจิกายน นี้ ถือว่ารวดเร็วมาก เพราะ BMW X3 ใหม่ เพิ่งเปิดตัวครั้งแรกที่งานแฟรงก์เฟิร์ต มอเตอร์ โชว์ 2017 ไปเมื่อกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา มาพร้อมดีไซน์ภายนอกโฉมใหม่หมด แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของ BMW เช่นเคย ในราคา 3,699,000 บาท

Lexus NX

Lexus-NX

Lexus NX (เลกซัส เอ็นเอ็กซ์) รุ่นไมเนอร์เชนจ์ มาภายใต้แนวคิด “The urbaNXplorer” ตอบโจทย์ความต้องการของคนเมืองยุคใหม่ ที่มีวิถีชีวิตไม่ซ้ำใคร ถือเป็นรถ Lexus รุ่นที่ขายดีที่สุดของเลกซัสในประเทศไทย นับตั้งแต่เปิดตัวในปี 2557 จนถึงปัจจุบัน ด้วยยอดจำหน่ายรวมภายในประเทศกว่า 1,400 คัน พร้อมการันตีถึงความนิยมด้วยยอดจำหน่ายสะสมทั่วโลก กว่า 400,000 คัน

มาพร้อมกับระบบเครื่องยนต์ 2 ทางเลือก ไม่ว่าจะเป็น ระบบ Hybrid ขนาด 2.5 ลิตร ในรุ่น NX300h เต็มสมรรถนะและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วยระบบ Lexus Hybrid Drive อัจฉริยะ และขุมพลังเครื่องยนต์ Turbo 4 สูบแถวเรียง ขนาด 2.0 ลิตร ในรุ่น NX300 ให้สมรรถนะแรงเต็มพลังในทุกระดับความเร็ว

พร้อมเป็นเจ้าของ Lexus NX รุ่นปรับโฉมใหม่ ได้แล้ววันนี้

NX300
– รุ่น F Sport แบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ราคา 4,450,000 บาท
– รุ่น Grand Luxury ราคา 3,440,000 บาท

NX300h
– รุ่น F Sport ราคา 4,050,000 บาท
– รุ่น Premium ราคา 3,550,000 บาท
– รุ่น Grand Luxury ราคา 3,140,000 บาท
– รุ่น Luxury ราคา 2,930,000 บาท

Lexus LS

Lexus-LS500

ถึงเวลาที่ Lexus จะเปิดตัวรถธงของค่ายอย่าง “Lexus LS” (เลกซัส แอลเอส) ใหม่ ที่พัฒนามาจากรถต้นแบบอย่าง “LF-FC” โดยมาพร้อมขุมพลังขนาด 3.5 ลิตร ในรูปแบบ V6 และ V6 ทวินเทอร์โบ พร้อมเครื่องยนต์ V6 ขุมพลังไฮบริด ที่คาดว่าราคาในบ้านเรา น่าจะอยู่ที่หลักสิบล้านบาทเลยทีเดียว … พบกันได้ในวันที่ 21 พฤศจิกายน นี้ …

Mercedes-AMG GT

Mercedes-AMG-GT-R

แม้ว่าทาง Mercedes-Benz (เมอร์เซเดส-เบนซ์) จะเตรียมเปิดตัวรถรุ่นใหม่ล่าสุดในตระกูล Mercedes-AMG GT ในวันที่ 20 พฤศจิกายน นี้ แต่ก็ยังไม่มีรายละเอียดใดๆ ที่ออกมาบอกว่า จะเปิดตัวรุ่นไหนบ้าง … ในตระกูล Mercedes-AMG GT

Mercedes-Benz S-Class / Maybach S-Class

Mercedes-Benz-S-Class-Sedan

Mercedes-Benz (เมอร์เซเดส-เบนซ์) ยังเตรียมเปิดตัวสุดยอดรถยนต์หรูแห่งยุค อย่าง รถยนต์ระดับเรือธง “The new S-Class” ที่สุดแห่งความสง่า มาพร้อมกับ ความหรูหรา ดีไซน์เหนือระดับ ความสะดวกสบายอันไร้ขีดจำกัด และระบบเทคโนโลยีความปลอดภัยอันล้ำสมัย

Mercedes-Benz-Maybach-S-Class

และ “The Maybach S-Class” (มายบัค เอส-คลาส) สุดยอดแห่งยนตรกรรมที่รวบรวมความเป็นที่สุดของสมรรถนะเหนือชั้นกับประสิทธิภาพในทุกๆ ด้าน ไว้อย่างครบครัน เหมาะสำหรับท่านผู้นำ … พบกันได้ในวันที่ 27 พฤศจิกายน นี้ครับ

Mitsubishi Triton Athlete

Mitsubishi-Triton-Athlete

Mitsubishi (มิตซูบิชิ) เตรียมเปิดตัว Triton รุ่นพิเศษ “Triton Athlete” (ไทนทัน แอทลีท) สปอร์ต พันธุ์เข้ม เร้าใจทุกมุมมองด้วยชุดแต่งพิเศษรอบคันจากโรงงาน ในงาน Motor Expo 2017

Subaru XV

Subaru-XV-2018

Subaru XV (ซูบารุ เอ็กซ์วี) รถ Crossover ที่เคยสร้างกระแสความนิยมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และสร้างยอดขายให้กับ Motorimage ผู้นำเข้ารถยนต์ซูบารุในบ้านเราได้มากพอสมควร ถึงเวลาเปลี่ยนโฉมใหม่ตามญี่ปุ่น พัฒนาขึ้นบนแพล็ตฟอร์มล่าสุด “Subaru Global Platform” ร่วมกันกับ Impreza ใหม่ คาดว่ามาพร้อมเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ส่งกำลังผ่านเกียร์ CVT แบบ 7 สปีด เตรียมเปิดตัวในงาน Motor Expo 2017 นี้

Toyota Hilux Revo (Minorchange)

Toyota-Hilux-Revo-2018

เป็นข่าวลือในวงในมานานหลายเดือนแล้วสำหรับ Toyota Hilux Revo (โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่) กับยอดขายที่ดูเหมือนโตโยต้าจะไม่เป็นปลื้มนัก ในที่สุด เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน โตโยต้า จึงเผยโฉมไมเนอร์เชนจ์ของ Hilux Revo ปรับหน้าตาดูดุดันขึ้น เพิ่มออพชั่น กระตุ้นยอดขายให้มากขึ้น และเสนอรุ่นแกร่งๆ อย่าง “Rocco” (ร็อคโค่) สำหรับคนพันธุ์ลุย … ในราคาตั้งแต่ 523,000 – 1,154,500 บาท

Isuzu D-Max (Minorchange)

2018-Isuzu-D-Max-Blue-Power

Isuzu (อีซูซุ) ฉลองครบรอบ 60 ปีในไทย พร้อมกับมีเซอร์ไพรส์ กับการเปิดตัว Isuzu D-Max Minorchange เล็กๆ ปรับเปลี่ยนกระจังหน้าใหม่ เพิ่มออพชั่นหลายอย่าง ในวันที่ 9 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ส่วนราคาอย่างเป็นทางการ ต้องรอในงาน Motor Expo 2017 ครับ

KIA Stinger

KIA-Stinger

จากกระแสข่าวที่ว่า Kia Thailand วางแผนเปิดตัว Kia Stinger (เกีย สตริงเกอร์) รถ Mid-Size แบบ Liftback 5 ประตูสุดหรู ภายในปลายปีนี้ช่วงงาน Motor Expo 2017 นั้น จะเปิดตัวด้วยราคาหลักล้าน (เท่าไหร่) และมาพร้อมเครื่องยนต์แบบไหน (ในเวอร์ชั่นต่างประเทศ มีทั้งเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 ลิตร Turbo, และ V6 ขนาด 3.3 ลิตร Turbo รวมไปถึงแบบดีเซลขนาด 2.2 ลิตร Turbo ที่ทุกแบบมาคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด) ต้องติดตามกันเร็วๆ นี้ครับ

Audi A5 Sportback & Audi A4 Avant

Audi-Motor-Expo-2017

Audi (ออดี้) ในงาน Motor Expo ครั้งนี้ ส่งรุ่นใหม่มาโชว์ถึง 2 รุ่นทั้ง Audi A5 Sportback (ออดี้ เอ5 สปอร์ตแบ็ค) และ Audi A4 Avant Black Edition (ออดี้ เอ4 อาวอง แบล๊ค เอดิชั่น) โดยรถรุ่น Audi A5 Sportback เป็นรถยนต์นั่งแบบ 5 ประตู ตกแต่งแบบสปอร์ต ด้วยชุดแต่งภายนอกแบบ S line ในราคา 4,299,000 บาท และอีกรุ่นคือ Audi A4 Avant Black Edition รถแวนแบบสปอร์ตเหนือระดับ ในราคาเริ่มต้น 3,249,000 บาท

MINI John Cooper Works Countryman

MINI-JCW-Countryman

MINI (มินิ) ส่ง MINI John Cooper Works Countryman (มินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ คันทรีแมน) ใหม่ มาโชว์ในฐานะรถยนต์เอนกประสงค์ Premium Compact มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และห้องโดยสารที่กว้างขวางยิ่งขึ้น พร้อมความแรงของเครื่องยนต์ที่มีถึง 231 แรงม้า ให้ความคล่องตัวในการขับขี่ และยังคงให้ความรู้สึกคลาสสิคของ “Go-Kart-Feeling” ซึ่งจะเปิดราคาในงาน Motor Expo 2017 นี้

Aston Martin DB11 V8

Aston-Martin-DB11-V8

Aston Martin (แอสตัน มาร์ติน) เตรียมเปิดตัว “Aston Martin DB11 V8” รถสปอร์ตหรูในรูปแบบ GT อย่างเป็นทางการในประเทศไทย และเป็นการเปิดตัวครั้งแรกในอาเซียน ในวันที่ 21 พฤศจิกายน นี้

King-Rama-5-Royal-Cars

23 ตุลาคม ปิยมหาราชรำลึก

Rama-5-Opening-of-the-Railway-Line

วันที่ 23 ตุลาคมของทุกปี ถือเป็นวันที่ระลึกสำคัญของชาติ และเป็นวันที่เศร้าสลดอย่างใหญ่หลวงของพระบรมวงศานุวงศ์และปวงชนทั่วประเทศ เป็นวันระลึกถึง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่ทรงประชวรและเสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งอัมพรสถานพระราชวังดุสิต

พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอเนกประการ ทั้งในการปกครองบ้านเมือง และพระราชทานความร่มเย็นเป็นสุขแก่ปวงชนชนทุกหมู่เหล่า ทุกเชื้อชาติ จึงได้ถวายพระนามว่า “พระปิยมหาราช” หรือ “พระพุทธเจ้าหลวง”

และเป็นยุคสมัยของการเปลี่ยนแปลงประเทศสยามให้มีความทันสมัยขึ้นอย่างมากมาย ทั้งในด้านไฟฟ้า ประปา ไปรษณีย์ การสร้างทางรถไฟสายยุทธศาสตร์ระหว่างกรุงเทพฯ และนครราชสีมา การสร้างสะพาน ขุดคลอง ตัดถนน การพยาบาล การแพทย์ ฯลฯ

พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์

ย้อนกลับไปในปี 2444 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ทรงประชวรต้องเสด็จฯ ไปรักษาพระองค์ ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ขณะประทับรักษาพระองค์ ณ ที่นั้น ได้ทรงสั่งซื้อรถยนต์คันหนึ่ง เป็นรถเดมเลอร์เบนซ์ ซึ่งถือเป็นรถชั้นเยี่ยมที่สุดขณะนั้น

ทรงซื้อรถคันดังกล่าวจากมองซิเออร์ เอมีเล เจลลีเนค (Emil Jellinek) ผู้เป็นตัวแทนจำหน่ายรถเดมเลอร์เบนซ์ในประเทศฝรั่งเศส ต่อมาภายหลังรถยนต์เดมเลอร์เบนซ์ ก็เปลี่ยนชื่อเป็น “เมอร์เซเดส-เบนซ์” (Mercedes-Benz) อันโด่งดังในปัจจุบัน

Mercedes-Benz-Rama-5

จากบันทึกห้องสมุดที่รวบรวมประวัติศาสตร์เก่าแก่ของ Mercedes-Benz Classic Center ณ เมืองสตุ๊ตการ์ด ประเทศเยอรมนี พบว่า มีการสั่งรถเมอร์เซเดส-เบนซ์คันแรก จากสถานทูตไทยกรุงปารีส (Ambassador of Siam in Paris, Avenue de Eglau from the “Automobile-Union Paris”, 39. Avenue des Champs Elysees) โดยรถได้ถูกส่งมาถึงเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 1904 (ปี 2447) เป็นรถยนต์รุ่น 28 แรงม้า 4 สูบ เครื่องยนต์ 35 แรงม้า หมายเลขแชสซีส์ คือ 2397 และหมายเลขเครื่องยนต์คือ 4290

ในขณะนั้น กรมหลวงราชบุรีฯ ทรงเร่งการประกอบรถยนต์แทบทุกวัน พอรถเสร็จก็ทรงว่าจ้างคนขับชาวอังกฤษขับรถคันนั้นพาพระองค์ท่าน พร้อมด้วย ม.จ. อมรทัต กฤดากร หลวงสฤษดิ์สุทธิวิจารณ์ (ม.ร.ว. ถัด ชุมสาย) ตระเวนทั่วยุโรปภาคกลางเป็นการทดลองเครื่อง แล้ววนกลับไปยังปารีส

เมื่อเสด็จกรมหลวงราชบุรีฯ เสด็จกลับถึงเมืองไทย ก็ได้ทรงนำรถคันนั้นขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นที่พอพระราชหฤทัยยิ่งนัก รถยนต์คันนี้คือรถยนต์พระที่นั่งคันแรกในประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งผู้ที่ทำหน้าที่สารถีคือ เสด็จกรมหลวงราชบุรีฯ นั่นเอง

Mercedes-Benz-28Hp

ในปีต่อมา ได้มีการสั่งรถเมอร์เซเดส-เบนซ์เข้ามาอีก และได้น้อมเกล้าฯ ถวายรถยนต์ เมอร์เซเดส-เบนซ์ แบบ 28 แรงม้า ปี 1905 ทำความเร็วได้ 73 กม./ชม. แด่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นับว่าเป็นรถยนต์พระที่นั่งคันแรกในสยาม ต่อมาได้รับพระราชทานนามว่า “แก้วจักรพรรดิ” ในทำนองเดียวกันกับโบราณราชประเพณีที่มีการพระราชทานนามแก่ช้างเผือกคู่บารมี โดยชื่อของรถยนต์พระที่นั่งคันนี้ มีความหมายว่า เป็นประดุจหนึ่งในแก้วเจ็ดประการอันเป็นของคู่พระบารมีแห่งองค์ราชันย์

รถพระที่นั่งคันนี้เกือบเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ เมื่อมาถึงคณะกรรมการตรวจรับช่วยกันเติมน้ำมันเบนซินใส่ถัง โดยไม่มีใครสังเกตเห็นละอองน้ำมันลอยฟุ้งไปถึงตะเกียงรั้ว ซึ่งแขกยามแขวนไว้ในโรงม้าที่อยู่ใกล้ๆ กว่าจะรู้ก็ต่อเมื่อน้ำมันเบนซินในปี๊บ ลุกเป็นไฟอย่างฉับพลัน ต้องช่วยกันใช้ฟ่อนหญ้าสำหรับม้ากินฟาดดับไฟ แขกโรงม้าต้องวิ่งไปเอาถังน้ำมาช่วยดับอีกแรง ทุกคนต้องอกสั่นขวัญแขวนเมื่อตรวจพบว่าเปลวไฟลวกสีรถเกรียมไปแถบหนึ่ง บานประตูใช้ไม่ได้อีกข้างหนึ่ง

ผู้รับผิดชอบที่นำข่าวร้ายไปกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ พระเจ้าลูกยาเธอกรมหลวงราชบุรีฯ ขณะที่ทรงประทับอยู่ที่สวนอัมพร ทรงนิ่งอึ้งชั่วครู่ ก่อนที่รับสั่งให้ซ่อมแซมความเสียหาย 2-3 สัปดาห์ต่อมา รถซ่อมเสร็จ คณะกรรมการจึงนำรถมาถวายให้ทอดพระเนตรพระองค์ขึ้นประทับ และทรงลองขับดูชั่วครู่ ทรงรู้สึกว่าต้องพระราชหฤทัย

พระองค์ได้ทรงพระราชทานนามแก่รถยนต์พระที่นั่งคันนี้ว่า “แก้วจักรพรรดิ” รถยนต์พระที่นั่งคันนี้พระองค์ทรงโปรดปรานมาก และก็ได้รับใช้พระองค์ท่านอย่างซื่อสัตย์เป็นเวลาหลายปี

Mercedes-Benz

ในปี 2451 วาระเฉลิมพระชนม์พรรษาครบ 56 พรรษา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริที่จะสั่งซื้อรถยนต์ มาเป็นของขวัญพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการชั้นสูง เพื่อจะได้ใช้ประโยชน์แก่แผ่นดินสืบไป

ในการนี้ทรงโปรดเกล้าให้ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ สั่งซื้อจากประเทศฝรั่งเศส จำนวน 10 คัน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามแก่รถยนต์เหล่านี้แต่ละคัน ในลักษณะเดียวกับที่พระราชทานนามแก่ช้าง เพื่อแสดงถึงฐานะและความมั่งมี เช่น แก้วจักรพรรดิ มณีรัตนา ทัดมารุต ไอยราพต กังหัน ราชอนุยันต์ สละสลวย กระสวยทอง ลำลองทัพ พรายพยนต์ กลกำบัง สุวรรณมุขี

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก

  • หนังสือราชยานยนต์หลวงโบราณแห่งสยาม ของสมาคมรถโบราณลุฟท์ฮันซ่า-คาสตรอล
  • หนังสือ Silver Star Chronicle 100 Year Mercedes-Benz Thailand
  • ตำนานดาวสามแฉกในกรุงสยาม mercedes-benz.co.th
King-Rama-9-Royal-Car

ยุคเริ่มแรกของรถยนต์ในโลกและในประเทศไทยเมื่อหนึ่งร้อยกว่าปีที่แล้ว มาพร้อมกับช่วงที่พระราชวงศ์ไทยได้ไปศึกษาต่อในประเทศแถบยุโรป ซึ่งเวลานั้น มีบริษัทรถยนต์ในยุโรปและอเมริกาเหนือ เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก โดยพระราชวงศ์หลายพระองค์ ต่างก็สนพระทัยในรถยนต์ จวบจนรถยนต์คันแรก ได้ถูกนำเข้ามาในสมัยรัชกาลที่ 5 และเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นในรัชกาลต่อมา

King-Rama-9

ล่วงมาจนถึงยุคของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9 ครั้งยังทรงพระเยาว์ มีโอกาสได้ไปศึกษาต่อ ณ เมืองโลซาน สวิตเซอร์แลนด์ มีแรงบันดาลพระทัยมาจาก สมเด็จพระบรมราชชนนี ทรงนิยมท่องเที่ยวโดยรถยนต์ในภูมิประเทศแถบที่ประทับ และได้มีโอกาสเรียนรู้วิทยาการต่างๆ ของชาวตะวันตกมากมาย รวมไปถึงด้านรถยนต์ ซึ่งเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงให้ความสนใจมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์

ตลอดรัชสมัยอันยาวนาน มีรถยนต์ยอดเยี่ยมของโลกหลายรุ่น ได้รับใช้พระเจ้าแผ่นดินของปวงชนชาวไทย.

Fiat-500-Topolino

Fiat Topolino

เมื่อทรงเจริญพระชันษา ได้ทรงขอพระราชทานอนุญาตจากสมเด็จพระราชชนนี เพื่อทรงซื้อ Fiat 500 “Topolino” (ชื่อ “Topolino” ในภาษาอิตาลี หมายถึง “Micky Mouse” หรือ หนูตัวเล็ก ในภาษาอังกฤษ) เพราะ “ดู ตลก และน่ารักดี” เป็นรถประเทศอิตาลี มีเครื่องยนต์ขนาด 500 ซีซี 4 สูบ 13 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 4 สปีด ทำความเร็วได้สูงสุด 85 กม./ชม.

โดยมี พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีระพงศ์ภาณุเดช นักแข่งเจ้าดาราทอง ผู้มีชื่อเสียงทั่วยุโรปมาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ถวายการฝึกหัดขับรถ

เมื่อวันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม 2491 เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น เมื่อรถยนต์ตอนเดียวเล็กๆ คันหนึ่ง แล่นอย่างรวดเร็วตามถนนผ่านเมืองมอร์จ (Morges) มุ่งสู่ นครเจนีวา (Geneva) โดยผู้ขับมิได้คาดการณ์ว่า รถบรรทุกที่อยู่ข้างหน้าจะหยุดอย่างกะทันหันเพื่อมิให้ชนผู้ขี่จักรยานสองคนบนถนน แม้ผู้ขับรถยนต์คันเล็กจะเหยียบห้ามล้อแล้ว รถยนต์คันเล็กก็ปะทะท้ายรถบรรทุกเข้าอย่างจัง ผู้ขับรถยนต์คันเล็กนั้นคือ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งทรงได้รับบาดแผลฉกรรจ์ที่พระเนตรข้างขวา ผู้โดยเสด็จในรถพระที่นั่งคือ นายอร่าม รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ ได้รับบาดเจ็บกะโหลกศีรษะร้าว

หลังจากนั้น รถที่ทรงโปรดในเวลาต่อมา ก็จะเป็นรถยี่ห้อ Delahaye จัดว่าเป็นรถยนต์สมรรถนะสูง ของประเทศฝรั่งเศส ที่ก่อตั้งขึ้นโดย Émile Delahaye ในปี 1894

Delahaye-GFA-135M-Convertible

Delahaye G.F.A. 135 M Convertible

Delahaye G.F.A. 135 M Convertible ปี 1952 ตัวถังผลิตโดย Henri Chapron ตัวรถผลิตโดย Société Des Automobiles Delahaye (G.F.A. ย่อมาจาก Groupe Français de l’Automobile)

ตัวถังแบบเปิดประทุน หมายเลขตัวถัง 801401 ส่วนเครื่องยนต์ (หมายเลขเครื่องยนต์ แอนน์ 6787) 6 สูบ 3 คาร์บูเรเตอร์ ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์ไฟฟ้า 4 สปีด มีตัวควบคุมการเดินหน้าถอยหลัง ใช้ยาง Firestone ขนาด 6.00 X 17

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงซื้อในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แล้วส่งมายังประเทศไทยในภายหลัง ป้ายทะเบียน ก.ท.ด. 0008

Delahaye-GFA-178

Delahaye G.F.A. 178

Delahaye G.F.A. 178 ปี 1952 (วันที่ซื้อ คือ : 18/4/95) ตัวถังผลิตโดย Henri Chapron ตัวรถผลิตโดย Société Des Automobiles Delahaye

ตัวถังแบบ Saloon หมายเลขตัวถัง 820029 ส่วนเครื่องยนต์ รหัส 2AL-183 6 สูบ 3 คาร์บูเรเตอร์ ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์ไฟฟ้า 4 สปีด มีตัวควบคุมการเดินหน้าถอยหลัง ใช้ยาง Dunlop ขนาด 6.00/6.50 X 18

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงใช้ตั้งแต่ประทับอยู่ที่เมือง Lausanne ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ป้ายทะเบียน 1ด-0009 กรุงเทพมหานคร

Delahaye-GFA-178-Wagon

Delahaye G.F.A. 178

Delahaye G.F.A. 178 ปี 1952 (วันที่บนแผงหน้าปัด คือ : 25/2/96) ตัวถังผลิตโดย Henri Chapron ตัวรถผลิตโดย Société Des Automobiles Delahaye

ตัวถังแบบ Saloon (ต่อมาถูกดัดแปลงเป็นตัวถัง Station Wagon โดย บริษัท ไทยประดิษฐ์ จำกัด โดยมี Sunroof บนหลังคา) หมายเลขตัวถัง 820038 ส่วนเครื่องยนต์ (หมายเลขเครื่องยนต์ 820038) รหัส 1AL-183 6 สูบ คาร์บูเรเตอร์เดี่ยว ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์ 4 สปีด ใช้ยาง Dunlop ขนาด 6.00/6.50 X 18

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงใช้ตั้งแต่ประทับอยู่ที่เมือง Lausanne ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ป้ายทะเบียน ก.ท.ด. 0009

Delahaye-180

Delahaye G.F.A. 180

Delahaye G.F.A. 180 ปี 1953 ตัวถังผลิตโดย Henri Chapron (หมายเลขตัวถัง 6961) ตัวรถผลิตโดย Société Des Automobiles Delahaye

ผลิตเมื่อปี 2496 ตัวถังแบบลีมูซีน (หมายเลขแชสซีส์ 825018) มีหน้าต่างกระจกกั้นพระที่นั่งตอนหน้า และตอนหลัง กระจกหน้าต่างแบบไฮดรอลิก และหน้าต่างรับแดด (ซันรูฟ) บนหลังคา จุดระเบิดด้วยคอยล์ ส่งกำลังผ่านเกียร์ 4 สปีด

ผู้ซื้อคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช

Delahaye-VRLD

Delahaye VLR

Delahaye VLR (ย่อมาจาก Véhicule léger de Reconnaissance Delahaye) ปี 1953 รถผลิตโดย Société Des Automobiles Delahaye เมื่อปี 2496 (วันที่บนแผงหน้าปัด คือ : 24/9/96) ตัวถังแบบรถจี้ป (หมายเลขแชสซีส์ 836206)

พวงมาลัยซ้าย เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ (หมายเลขเครื่อง 57939) ใช้ระบบไฟฟ้า 24 โวลท์ และหล่อลื่นแบบอ่างแห้ง ส่งกำลังผ่านเกียร์ 4 สปีด พร้อมเกียร์ Low และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ใช้ยาง Goodyear ขนาด 7.00 X 16

ผู้ซื้อคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ปัจจุบันติดป้ายทะเบียน กงจักร 0002

Amilcar-CO

Amilcar CO

Amilcar CO (รถเปิดประทุน) ผลิตโดย Atelier et Générale Carrosserie, Paris. ตามแบบของ Farina (หมายเลขแชสซีส์ Dans La Series 11041)

ผลิตในปี 2470 นับเป็นหนึ่งในจำนวนรถอนุกรม C6 Cruiser ซึ่งเริ่มการผลิตเป็นครั้งแรกเมื่อ ปี 2469 และเป็นหนึ่งในจำนวนรถแข่งเพียงไม่กี่คัน ที่ได้รับการบรรจุเข้าสู่สายการผลิต ตัวถังเปลี่ยนเป็นแบบดังที่ปรากฎเมื่อปี 2490 ขับเคลื่อนด้วยกำลังของเครื่องยนต์ Simca-เดอโอ 4 สูบ 1100 ซีซี รุ่นปี 2489 (หมายเลขเครื่อง 90025) ส่งกำลังผ่านเกียร์ไฟฟ้า 4 สปีด ใช้ยาง Michelin ขนาด 4.75/500-19

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงซื้อรถคันนี้ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์

Mercedes-Benz-300-SL-(W198)

Mercedes-Benz 300 SL (W198) “Gullwing Coupe”

Mercedes-Benz 300 SL (W198) “Gullwing Coupe” ปี 1955 ทะเบียน 1ด-0010 กรุงเทพมหานคร (ปัจจุบัน ทะเบียน 1ด-1110 กรุงเทพมหานคร) ราชยานยนต์หลวงคันนี้ จอมพล ป. พิบูลสงคราม อดีตนายกรัฐมนตรี น้อมเกล้าฯ ถวาย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในปี 2498 และเข้าประจำการเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2498

Mercedes-Benz 300 SL (W198) “Gullwing Coupe” ปัจจุบันมีเพียง 8 คันในประเทศไทย และคันนี้ถือว่ามีสภาพสมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทย

Mercedes-Benz-190-SL

Mercedes-Benz 190 SL (W121)

Mercedes-Benz 190 SL (W121) สีน้ำเงิน ที่ในหลวงทรงขับเมื่อคราวเสด็จฯ เยือนยุโรปห้าประเทศ ในปี 2503 ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงใช้ เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินเยือนยุโรป 5 ประเทศ ในปี 2503 และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำกลับมาใช้ในประเทศไทย

Daimler-DE36

ส่วนรถยนต์พระที่นั่งหลักในงานราชพิธียุคนั้น จะเป็นรถจากประเทศอังกฤษ ได้แก่ Daimler DE36 ตัวถังโดย Hooper (Couchbuilder) แบบเดียวกับพระราชินีอังกฤษ และผู้นำของนานาประเทศเลือกใช้ นอกจาก Daimler แล้วยังมี Jaguar Mk VII M และ Armstrong Siddeley Sapphire เป็นรถยนต์พระที่นั่งรองด้วย

เมื่อเสด็จนิวัติพระนคร พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้เสด็จออกเยี่ยมพสกนิกรไปทั่วทุกภาค เมื่อเสด็จออกต่างจังหวัด จะทรงใช้รถ Mercedes-Benz 300 แบบเดียวกับที่รู้จักกันดีในชื่อ “เบนซ์ อาเดนนาวเออร์” (Benz Adenauer) ที่ทรงมีครบทุกรุ่น

ในระยะนี้ยังทรงเริ่มสนพระราชหฤทัยรถอเมริกัน ตามยุคสมัยเช่นเดียวกับพระองค์เจ้าพีระฯ ผู้เป็นองค์ที่ปรึกษา ทรงซื้อ Cadillac Fleetwood ปี 1955 ใช้เป็นรถยนต์พระที่นั่งส่วนพระองค์ ภายหลังจึงทรงเลือกใช้รถพระที่นั่งสำหรับเสด็จฯ เยี่ยมราษฎร ที่สามารถลุยเข้าพื้นที่ทุรกันดารได้มากขึ้นอย่าง Jeep และ Land Rover แทนรถยนต์พระที่นั่งแบบ 4 ประตู

แหล่งที่มาบางส่วนจาก:

  • ภาพจาก หนังสือ “เกิดวังปารุสก์” ของสำนักพิมพ์ ริเวอร์ บุ๊คส์
  • ข้อมูลจาก นพ.สมคนึง ตัณฑ์วรกุล และหนังสือ ราชยานยนต์โบราณแห่งสยาม

โคโรลล่าเวอร์ชั่นญี่ปุ่น ปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ครั้งที่สอง

Corolla-Axio-Exterior

Corolla-Fielder-Exterior

Toyota Corolla Axio และ Corolla Fielder เป็นรถซีดานขนาดคอมแพ็ค ที่พัฒนาขึ้นแตกต่างไปจาก Corolla ที่จำหน่ายในตลาดโลกโดยสิ้นเชิง ตามสไตล์อนุรักษ์นิยมของญี่ปุ่น ซึ่งถูกปรับไมเนอร์เชนจ์ครั้งแรกไปเมื่อปี 2558 และในเดือนนี้ Toyota Japan ได้ปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์อีกรอบ ให้ดูทันสมัยขึ้น ก่อนจะเปิดตัวรุ่นใหม่จริงๆ ในปี 2018 นี้

Corolla-Axio-Exterior

สำหรับชื่อรุ่นของ “Axio” นั้น มาจากภาษากรีก “Axia” หมายถึง “Value” หรือ “Quality” ในภาษาอังกฤษ ส่วน “Fielder” ก็มาจากภาษาอังกฤษ ตามความหมายคือ คนรับลูกในกีฬาเบสบอล และคริกเก็ต

Corolla-Fielder-Exterior

Corolla-Fielder-Exterior

Toyota Corolla Axio และ Fielder มีการปรับโฉมกระจังหน้าเพียงเล็กน้อย ด้วยการปรับขอบบนของกระจังหน้าให้บางขึ้น ปรับมิติของกระจังหน้าให้นูนขึ้น ปรับกระจังหน้า และเปลี่ยนทรงกันชนหน้าใหม่ ออกแบบช่องรับอากาศ ซ้าย-ขวา ของกันชนหน้า ดูให้ดูเข้มขึ้น

Corolla-Axio-Interior

Corolla-Axio-Interior

ภายในห้องโดยสาร แทบไม่มีอะไรต่างไปจากเดิม มีแค่มีการเปลี่ยนโทนสีภายในห้องโดยสารสำหรับรุ่นย่อย “W x B” มีให้เลือกทั้งโทนสีดำคาดด้วยสีเทา และโทนสีขาว

Corolla-Fielder-Interior

Corolla-Fielder-Interior

ด้านระบบความปลอดภัยถูกติดตั้งระบบ Toyota Safety Sense C พร้อมเพิ่มระบบ Intelligent Clearance Sonar (ICS) ระบบเบรกอัตโนมัติ เมื่อมีรถตัดผ่านขณะถอยหลัง หรือถอยจอดใกล้วัตถุในระยะกระชั้นชิดเกินไป โดยระบบจะตัดกำลังเครื่องยนต์พร้อมเหยียบเบรกให้อัตโนมัติ

Corolla-Fielder-Utility

สำหรับ Toyota Corolla Axio และ Corolla Fielder เครื่องยนต์มีให้เลือก 4 แบบ ได้แก่ …

เครื่องเบนซินขนาด 1.3 ลิตร (เฉพาะ Corolla Axio) รหัส 1NR-FE แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว VVT-i ให้แรงม้าสูงสุด 95 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 12.3 กก.-ม. ที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i อัตราสิ้นเปลืองน้ำเชื้อเพลิงอยู่ที่ 20.6 กม./ลิตร (ตามมาตรฐาน JC08)

เครื่องเบนซินขนาด 1.5 ลิตร รหัส 2NR-FKE แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว VVT-iE ให้แรงม้าสูงสุด 109 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 13.9 กก.-ม. ที่ 4,400 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i อัตราสิ้นเปลืองน้ำเชื้อเพลิงอยู่ที่ 23.4 กม./ลิตร (ตามมาตรฐาน JC08)

ส่วนในรุ่นระบบขับเคลื่อนล้อหน้า เกียร์ธรรมดา 5 สปีด และแบบ 4WD จะเป็นเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร รหัส 1NZ-FE 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว VVT-i ให้แรงม้าสูงสุด 109 แรงม้า (103 แรงม้า ในรุ่น 4WD) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 14.1 กก.-ม. (13.5 กก.-ม. ในรุ่น 4WD) ที่ 4,400 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i อัตราสิ้นเปลืองน้ำเชื้อเพลิงอยู่ที่ 18.0 กม./ลิตร (ตามมาตรฐาน JC08)

Corolla-Axio-Hybrid-Engine

ด้านขุมพลังไฮบริด เป็นเครื่องเบนซินขนาด 1.5 ลิตร รหัส 1NZ-FXE 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว VVT-i ให้แรงม้าสูงสุด 100 แรงม้า ที่ 4,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 11.3 กก.-ม. ที่ 3,600-4,400 รอบ/นาที พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 61 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ CVT

Corolla-Fielder-Utility

Toyota Corolla Axio มีสีให้เลือก 9 สี ราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 1,526,040 เยน ในรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ ไปจนถึงสูงสุด 2,482,920 เยน ในรุ่น Hybrid ส่วน Corolla Fielder มีสีให้เลือก 9 สี ราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 1,656,720 เยน ในรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ ไปจนถึงสูงสุด 2,536,920 เยน ในรุ่น Hybrid

Toyota-Soluna-King-Rama-9

Toyota-Soluna-King-Rama-9

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร) นอกจากจะทรงมีพระปรีชาสามารถในทุกๆ ด้าน ยังมีสิ่งหนึ่งที่คนในวงการ “อุตสาหกรรมยานยนต์” น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และสถิตอยู่ในใจคนโตโยต้าตราบนิจนิรันดร์

หลายๆ คน คงเคยเห็นภาพของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงขับรถ Toyota Soluna (โตโยต้า โซลูน่า) สีฟ้า ทะเบียน 1ด-0956 กรุงเทพมหานคร

Toyota-Soluna-ในหลวง-รัชกาลที่9

เรื่องนี้ นายนินนาท ไชยธีรภิญโญ รองประธานกรรมการ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เคยให้สัมภาษณ์สารสภาวิศวกรรม ฉบับเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2550 และนายวิเชียร เอมประเสริฐสุข รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ให้สัมภาษณ์ในวาระครบ 50 ปี ที่โตโยต้าทำธุรกิจในประเทศไทย

หลังจากที่รัฐบาลประกาศลอยตัวค่าเงินบาทเมื่อวันที่ 2 ก.ค. 2540 ได้เกิดวิกฤตฟองสบู่แตก บริษัทไฟแนนซ์ล้ม ผู้คนตกงานมากมาย จากนั้นในเดือน พ.ย. ปีเดียวกัน ก็เกิดข่าวลือว่าทางโตโยต้า ประเทศญี่ปุ่น จะประกาศปิดโรงงานที่เกตเวย์ เตรียมเลิกจ้างพนักงานกว่า 5,500 คน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านทรงเป็นห่วงว่าราษฎรของพระองค์จะตกงาน จึงทรงมีพระราชดำริขอซื้อรถยนต์โตโยต้าโซลูน่าเพื่อให้คนไทยได้มีงานทำ จนกลายมาเป็นรถยนต์ฝีมือของคนไทยซึ่งเป็นราษฎรของพระองค์ท่าน

จึงรับสั่งให้เลขานุการส่วนพระองค์แจ้งว่า พระองค์ทรงมีพระราชประสงค์สั่งซื้อ รถ Toyota Soluna 1 คัน โดยให้พนักงานที่ทำนั้นไม่ต้องเร่งรีบ ใช้มือทำก็ได้ ไม่ต้องใช้เครื่องจักร เพื่อที่พนักงานโตโยต้าคนไทยจะได้มีงานทำนานๆ โดยหลังจากที่โตโยต้าทราบ จึงตั้งใจทำให้รถมีอะไรพิเศษ โดยติดชื่อรุ่นและเลขเป็นแบบไทย ไม่เคยทำมาก่อนในรถยนต์รุ่นไหน

ซึ่งเมื่อรถยนต์คันดังกล่าวนั้นแล้วเสร็จ ก็ได้มีการนำไปถวายพระองค์ ในช่วงเดือนธันวาคม 2540 พระองค์ทรงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ 600,000 บาท ให้กับทางโตโยต้า แต่ทางโตโยต้านั้นไม่ขอไม่รับเงินนั้นไว้

Toyota-Expo-2017-Soluna

Model รถยนต์ Toyota Soluna ที่ทาง Toyota จัดทำขึ้นเป็นพิเศษ

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระราชดำริใหม่ว่า ให้นำเงินนั้นไปตั้ง “โรงสีข้าว” เพื่อช่วยเหลือชาวนาละแวกใกล้เคียงโรงงานผลิตรถ เพราะโตโยต้ามีการบริหารจัดการที่ดี จึงควรตั้งโรงสีข้าวตัวอย่างขึ้นเอง แล้วขายข้าวที่ได้จากโรงสีในราคาสวัสดิการให้แก่พนักงานหรือชาวบ้าน และขายผลพลอยได้ เช่น แกลบและรำ ให้แก่เกษตรกรชุมชนที่เลี้ยงหมู ดังนั้นทั้งหมดนี้จึงเป็นที่มาของ “โรงสีข้าวรัชมงคล” ที่ดำเนินการต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันนั่นเอง

Toyota-Soluna-Catalogue-1

Toyota Soluna จากโครงการรถ AFC (Affordable Family Car) ซึ่งเป็นรถยนต์ที่วิจัยและพัฒนา และเริ่มต้นผลิตในไทยเป็นแห่งแรก คันแรกออกจากสายการผลิตเป็นทางการ ในวันที่ 7 ธันวาคม 2539 และโตโยต้า ได้แถลงข่าวความคืบหน้าของรถยนต์รุ่นนี้ ที่ โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ ในวันที่ 9 ธันวาคม 2539

คำว่า “Soluna” นั้น มาจากการนำคำว่า “Sol” ซึ่งมาจากคำว่า “Solar” แปลว่า ดวงอาทิตย์ กับคำว่า “Lunar” แปลว่า พระจันทร์ มารวมกัน

Toyota Soluna เปิดตัวสู่สื่อมวลชนในวันที่ 28 มกราคม 2540 และเปิดตัวสู่สาธารณชนในวันที่ 31 มกราคม 2540 มาพร้อม Slogan “Great Journey การเดินทางที่ยิ่งใหญ่” และมี โด๋ว-มรกต โกมลบุตร เป็นพรีเซ็นเตอร์ในช่วงแรก เพียง 3 วันของงานเปิดตัว ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ได้ใบสั่งจองที่มากเป็นประวัติการณ์ถึง 28,765 ใบ (15,335 ใบ ในงานเปิดตัว และ 13,430 ใบ จากดีลเลอร์)

Toyota-Soluna-Thai

มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร รหัส 5A-FE แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ให้แรงม้าสูงสุด 95 แรงม้า ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 126 นิวตัน-เมตร ที่ 4,800 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 3 สปีด

Toyota-Soluna-Thai

Toyota-Soluna-Thai

ในเดือนพฤษภาคม 2541 Soluna ยังมีรุ่นพิเศษที่สร้างความฮืฮฮาด้วย “Soluna Special Version” (โซลูน่า สเปเชี่ยล เวอร์ชั่น) มีชื่อเป็นภาษาไทยและเลขไทย ติดที่ฝากระโปรงหลัง เป็นรุ่นแรกในโลกของรถโตโยต้า ที่ติดชื่อรุ่นรถและตัวเลขเครื่องยนต์เป็นภาษาท้องถิ่น

ที่มาจากจากการที่รถยนต์โตโยต้า โซลูน่า ได้รับรางวัลรถยอดเยี่ยมแห่งปี 1998 ในประเภทเครื่องยนต์ไม่เกิน 1.5 ลิตร ในการประกวดรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี 1998 โดยการตัดสินจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของสมาคมและสถาบันการศึกษาทางวิศวกรรมศาสตร์ และสื่อมวลชน

Toyota-Soluna-Thai

โตโยต้าจึงฉลองโอกาสแห่งความภาคภูมิใจนี้ด้วยการออกรุ่น “โซลูน่า สเปเชี่ยล เวอร์ชั่น” ที่ผลิตขึ้นเจำนวนจำกัด 600 คัน โดยเน้นความสปอร์ต และเพียบพร้อมด้วยอุปกรณ์ตกแต่งมากกว่ารุ่นพื้นฐาน

Toyota-Soluna-Thai

เริ่มจากชุดอุปกรณ์ตกแต่งสไตล์สปอร์ตตลอดคัน จำนวน 12 รายการ และมีสัญลักษณ์รุ่นเป็นภาษาไทย ที่เปิดประตูด้านข้าง กระจกมองข้างและคิ้วกันกระแทกสีเดียวกับตัวรถ ล้อแม็กพร้อมยางขนาด 175/65 R14 สปอยเลอร์หลังพร้อมไฟเบรก นอกจากนี้ยังเพิ่มคิ้วบังลมด้านหลังเพื่อป้องกันแสงแดดและคิ้วบังลมด้านข้างป้องกันละอองฝน

Toyota-Soluna-Thai

หลังจากปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ในปี 2542 ปรับหน้าตาใหม่ กันชนใหม่ ไฟท้ายใหม่ หรือที่บรรดาเต็นท์รถมือสองเรียกกันว่า “ไฟท้ายหยดน้ำ” ก่อนจะเลิกจำหน่ายไปในเดือนพฤศจิกายน 2545

ต่อมา โตโยต้า โซลูน่า ในรุ่นถัดไปจึงพัฒนาเป็น โซลูน่า วีออส (Soluna Vios) และชื่อของ “Soluna” ก็หายไปจากตลาดจริงๆ ในเดือนตุลาคม 2548 โดยเป็น Toyota Vios (โตโยต้า วีออส) จวบจนปัจจุบัน

แหล่งที่มา:

Toyota-Century-2018

All-New Toyota Century หน้าตาโบราณ อนุรักษ์นิยม ท่ามกลางเทคโนโลยีอันล้ำสมัยทั้งคัน

Toyota-Century

Toyota Century (โตโยต้า เซ็นจูรี่) ถือเป็นรถเรือธงของโตโยต้า นับตั้งแต่ปี 1967 เป็นที่สุดของความหรูหราในแบบฉบับญี่ปุ่น และถือเป็นสัญลักษณ์ของรถสุดหรูของญี่ปุ่นอีกหนึ่งรุ่น ชื่อรุ่นมาจากภาษาอังกฤษ ที่แปลว่า “ศตวรรษ” (100 ปี ของ Sakichi Toyoda ผู้ก่อตั้งบริษัท Toyota) และประกอบรถรุ่นนี้ด้วยมือ … ในไทยก็มีรถรุ่นนี้อยู่หลายคัน

ออกจำหน่ายครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน 1967 ใช้เครื่องยนต์ V8 ขนาด 3.0 ลิตร พร้อมกับปรับโฉมเล็กน้อยอีกหลายครั้ง และเปลี่ยนเครื่องยนต์ V8 เป็นขนาด 3.4 ลิตร และ 4.0 ลิตร กระทั่งในเดือนเมษายน 1997 จึงออกเจเนอเรชั่นที่ 2 มา อัดเทคโนโลยีอันทันสมัยอย่างเต็มที่ พร้อมใช้เครื่องยนต์ V12 ขนาด 5.0 ลิตร และคงหน้าตาโบราณไว้เช่นเดิม มากว่า 2 ทศวรรษ…

Toyota-Century

ในงาน Tokyo Motor Show 2017 โตโยต้า ได้เวลาเตรียมนำเสนอ Century เจเนอเรชั่นที่ 3 ใหม่หมดจด และพร้อมที่จะออกจำหน่ายตาม Order เร็วๆ นี้ …

ดีไซน์ของรถ ยังอนุรักษ์นิยมเหมือนเคย แต่ปรับรูปโฉมและเส้นสายให้ทันสมัยยิ่งขึ้น มาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ๆ ในรถยุคปัจจุบัน อาทิเช่น ไฟหน้าแบบ Full LED พร้อมระบบปรับไฟหน้าอัตโนมัติ Adaptive High Beam System (AHS), พร้อมไฟ LED Daytime Running Lights, ชายล่างประดับด้วยแถบโครเมี่ยมรอบคัน และไฟท้ายแบบ LED เสริมขอบโครเมี่ยม

Toyota-Century

ออกแบบภายใต้หลักการ “Monozukuri” (“โมโนซุคุริ”) คือการออกแบบอย่างสร้างสรรค์ และประณีต ตามสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิม

Toyota-Century

มีขนาดตัวถังที่ใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นก่อน มีมิติตัวถังยาว 5,335 มม. กว้าง 1,930 มม. และสูง 1,505 มม. มีระยะฐานล้อ 3,090 มม.

Toyota-Century

ห้องโดยสารภายในยังหรูหรา มีพื้นที่ภายในที่กว้างกว่าเดิม คอนโซลหน้าตกแต่งด้วยลายไม้ชั้นดี เบาะนั่งภายในเลือกได้ 2 แบบ คือ เบาะผ้าคุณภาพสูงทำจากขนสัตว์ 100% และเบาะหนังแท้ให้เลือก

Toyota-Century

ในส่วนของเบาะที่นั่งด้านหลังมีเพียง 2 ที่นั่ง มาพร้อมระบบอุ่นและนวดตัว พร้อมระบบควบคุมผ่านจอ LCD ตรงกลางคอนโซลหลัง สามารถควบคุมเครื่องปรับอากาศและที่นั่งได้ทุกที่นั่ง มีโต๊ะเขียนหนังสือและไฟส่องแบบ LED กับระบบเครื่องเสียงพรีเมี่ยมพร้อมลำโพงอีก 20 ตัว

Toyota-Century

สำหรับเครื่องยนต์ถูกแทนที่ด้วยขุมพลังใหม่แบบ Hybrid ขนาด 5.0 ลิตร รหัส 2UR-FSE แบบ V8 DOHC 32 วาล์ว D4-S ที่ยกมาจาก Lexus LS600h โฉมที่แล้ว ให้แรงม้าสูงสุด 394 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 520 นิวตัน-เมตร พร้อมระบบไฮบริด Toyota Hybrid System II มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว

Toyota-Century

ระบบช่วงล่าง ถูกออกแบบใหม่หมดเพื่อลดการสั่นสะเทือน เก็บเสียงได้ดีขึ้น และนุ่มนวลขึ้นในเวลาวิ่ง พร้อมยางรถยนต์ใหม่ ส่วนระบบความปลอดภัยก็มีการติดตั้งชุดระบบ “Toyota Safety Sense P” เป็นต้น

All-New Toyota Century เตรียมเปิดตัวในงาน Tokyo Motor Show 2017 ปลายเดือนตุลาคมนี้