ไฟแนนซ์-รถมือสอง

จัดไฟแนนซ์รถบ้านมือสองด้วยตัวเองแบบง่ายๆ
ไม่ต้องมีคนค้ำประกันก็ทำได้!

ไฟแนนซ์, รถมือสอง

เหตุผลหลักๆ ที่ทำให้ใครหลายคนตัดสินใจควักกระเป๋านำเงินไปซื้อรถยนต์ส่วนตัวใช้ ก็เพราะความสะดวกสบาย และความเป็นส่วนตัว และทำให้รถยนต์กลายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการใช้ชีวิตของคนไทยไปซะแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคนที่อาศัยอยู่ในเมืองกรุง หรือชนบท รถยนต์ส่วนก็ยังคงเป็นตัวเลือกที่สามารถอำนวยความสะดวกได้ดีที่สุด

แต่เนื่องด้วยเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัวอยู่ในทุกวันนี้ คนที่กำลังจะควักกระเป๋าซื้อรถใหม่ก็ต้องคิดให้ดี เพราะนอกจากในเรื่องของเศรษฐกิจ ก็ยังมีเรื่องของราคารถมือหนึ่งที่เพิ่มสูงมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หลายคนหันมานิยมรถมือสองมากกว่า เพราะรถบ้านมือสองสมัยนี้มีราคาถูกกว่า และรถบางคันก็ยังอยู่ในสภาพดีพร้อมใช้งาน

ถ้าหากคุณต้องการซื้อรถบ้านมือสองสักคัน แต่ไม่อยากซื้อเงินสด ต้องการจัดไฟแนนซ์รถมือสองก็สามารถทำได้ แต่หลายคนอาจจะกังวลว่าจะจัดไฟแนนซ์รถมือสองผ่านไหม

ซึ่งสิ่งที่เป็นปัญหาสำหรับคนที่ต้องการจัดไฟแนนซ์ส่วนใหญ่คือเรื่องของ ‘คนค้ำประกัน’ เพราะคงไม่มีใครอยากจะมาร่วมเป็นหนี้กับคุณ เนื่องจากถ้าหากลูกหนี้มีการหนีหนี้ คนค้ำประกันจะตกเป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบแทนทั้งหมด

ซึ่งอันที่จริงแล้วคุณก็สามารถจัดไฟแนนซ์รถมือสองได้โดยไม่จำเป็นต้องมีคนค้ำประกัน แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของผู้ขอจัดไฟแนนซ์รถมือสองด้วยว่าจะสามารถขอจัดไฟแนนซ์รถมือสองแบบไม่มีคนค้ำได้หรือไม่

ซึ่ง Carro เว็บไซต์ซื้อ-ขายรถมือสอง ได้เล็งเห็นถึงข้อกังวลของผู้ซื้อทั้งหลาย และได้ทำการรวบรวมข้อมูลทั้งหมด มาไขข้อข้องใจให้กับผู้ที่ต้องการซื้อรถบ้านมือสอง และจัดไฟแนนซ์ด้วยตนเอง ว่าถ้าหากไม่ต้องใช้คนค้ำประกันจะสามารถทำได้หรือไม่?! และบุคคลเหล่านั้นจะต้องมีคุณสมบัติใดบ้าง

ไฟแนนซ์, รถมือสอง

  1. ประกอบอาชีพที่มั่นคง และมีรายรับสม่ำเสมอ

คุณสมบัติแรกสำหรับผู้ที่ต้องการจัดไฟแนนซ์ต้องมีคือ การประกอบอาชีพที่มั่นคง ยิ่งถ้าคุณเป็นพนักงานประจำ ข้าราชการ หรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ ที่มีเงินเดือนเข้าบัญชีต่อเนื่อง และสม่ำเสมอก็จะยิ่งมีเครดิต มากกว่าคนที่ประกอบอาชีพอิสระ โดยทางบริษัทไฟแนนซ์ก็จะประเมินว่าเงินเดือนคุณสูงเกินจากค่าผ่อนชำระที่จะต้องส่งในแต่ละเดือนหรือไม่ ถ้าจะให้ดีเงินเดือนของคุณควรมีจำนวนมากกว่างวดประมาณ 2-3 เท่าขึ้นไป

 

  1. หลักฐานที่แสดงถึงรายได้

ไม่ว่าจะเป็นสลิปเงินเดือนย้อนหลัง หรือว่า Statement ย้อนหลัง ก็นับว่าเป็นหลักฐานที่ทางบริษัทไฟแนนซ์จะสามารถตรวจสอบได้ว่าคุณมียอดรายรับตรงกับที่แจ้งไว้หรือเปล่า ที่สำคัญยอดเงินที่เข้าบัญชีก็ต้องมีความสม่ำเสมอ ซึ่งส่วนใหญ่จะต้องใช้หลักฐานย้อนหลังประมาณ 6 เดือน

 

  1. ที่อยู่อาศัยต้องเป็นหลักแหล่ง

ในส่วนของเรื่องที่อยู่อาศัยก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่บริษัทไฟแนนซ์จะต้องประเมิน ยิ่งถ้าหากผู้ขอจัดไฟแนนซ์มือสองมีที่อยู่อาศัยตรงตามทะเบียนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการอยู่อาศัยกับพ่อแม่ สามีภรรยา หรือเป็นบ้านของตนเอง ก็จะทำให้การจัดไฟแนนซ์รถมือสองถูกอนุมัติได้ง่ายมากกว่าการอยู่ห้องเช่า หรือบ้านเช่า

 

  1. มีประวัติการชำระหนี้ที่ดี

สิ่งที่สำคัญเป็นอันดับสุดท้ายที่บริษัทไฟแนนซ์รถมือสองจะต้องประเมินคือ ประวัติการชำระหนี้ หรือที่เรียกกันว่า ‘เครดิตบูโร’ (link: https://www.ncb.co.th) ยิ่งคุณมีประวัติการชำระหนี้ที่ดีมากเท่าไหร่ การอนุมัติไฟแนนซ์รถมือสองก็จะเป็นเรื่องง่ายมากขึ้นเท่านั้น ถ้าหากใครไม่แน่ใจว่าประวัติการชำระหนี้ของคุณเป็นอย่างไร ก็สามารถไปขอได้ที่ศูนย์ตรวจเครดิตบูโรตามสถานที่ต่างๆ

เพียงแค่ผู้ขอจัดไฟแนนซ์รถมือสองมีคุณสมบัติเบื้องต้นตามนี้ก็จะสามารถจัดไฟแนนซ์รถมือสองโดยไม่จำเป็นต้องมีคนค้ำประกัน แต่เงื่อนไข หรือคุณสมบัติบางอย่างอาจจะแตกต่างกันไปตามแต่ละเงื่อนไขของบริษัทไฟแนนซ์รถมือสองที่คุณเลือก หรือถ้าหากคุณอยากทราบข้อมูลเกี่ยวกับไฟแนนซ์เรื่องอื่นๆ เพิ่มเติม สามารถอ่านได้ที่ (https://th.carro.co/blog2/)

แต่สำหรับคนที่ยังไม่มีรถบ้านมือสองคันที่ถูกใจ ก็สามารถเข้าไปเลือกดูได้ที่ (ตลาดรถมือสอง) ที่จะมีรถบ้านมือสองสภาพดีให้เลือกมากมาย หรือคุณมีรถคันเก่าที่อยากจะขายก็สามารถนำมาขายได้ที่ Carro เช่นกัน เรามีบริการอย่าง ขายรถแบบด่วน (link: https://th.carro.co/sell-car-express) เพื่อนำเงินไปซื้อรถคันใหม่ รับรองว่าให้ราคาที่ดีที่สุด พร้อมปิดการขายภายใน 24 ชั่วโมง หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มได้ใน Facebook: Carro Thailand

 

I-tim-Light

จับปรับจริง! ไฟท้ายไอติม หรือไฟ LED ที่สว่างจ้าเกินไป

ไฟไอติม

เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์มานานหลายปีแล้ว สำหรับการเปลี่ยนไฟหรี่ หรือไฟเลี้ยวท้ายรถเป็นสีฟ้า (หรือที่เรียกกันว่า “ไฟไอติม”) ซึ่งพบว่ามีความสว่างมากกว่าปกติ นิยมติดกันในรถเก๋ง รถกระบะ และรถบัสขนส่งผู้โดยสาร

ไฟไอติม

ตามกฎหมายสากลทั่วโลก กำหนดไว้ว่า ไฟหรี่หน้ารถต้องเป็นสีเหลือง ไฟเบรกต้องเป็นสีแดง และไฟเลี้ยวต้องเป็นสีเหลือง หรือสีเหลืองอำพัน (หรือสีแดงก็ได้ ในสหรัฐอเมริกา) โดยไฟหรี่หน้ารถ และท้ายรถ กฎหมายระบุไว้ชัด ให้ใช้ไฟสีขาวหรือสีเหลืองเท่านั้น หากไปใช้ไฟหรี่สีอื่นๆ นอกเหนือจากนี้ก็ถือว่าผิดกฎหมาย

ไฟไอติม

กรณีพบรถโดยสารสาธารณะ ฝ่าฝืนดัดแปลงอุปกรณ์ส่องสว่างในลักษณะดังกล่าว เป็นความผิดตามตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 71 ฐานใช้รถที่มีอุปกรณ์ส่วนควบไม่ถูกต้องตามที่กำหนด ต้องระวางโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 50,000 บาท และอาจถูกสั่งระงับการใช้รถจนกว่าจะดำเนินการแก้ไขเรียบร้อย

ไฟไอติม

ในส่วนของรถที่จดทะเบียนตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 ที่มีการแก้ไขดัดแปลงโคมไฟหน้าให้เป็นแสงสีอื่น หรือดัดแปลงอุปกรณ์ส่วนควบหรือเพิ่มเติมส่วนหนึ่งส่วนใดเข้าไป จนทำให้แสงมีความสว่างจ้ามากเกินไป มีความผิดตามมาตรา 12 ฐานเพิ่มเติมสิ่งใดสิ่งหนึ่งเข้าไปซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจของผู้อื่น ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท

ไฟไอติม

หากท่านพบเจอรถที่เปลี่ยนไฟหรี่ หรือไฟเลี้ยวท้ายรถเป็นสีฟ้า (หรือที่เรียกกันว่า “ไฟไอติม”) หรือไฟ LED แบบอื่นๆ ที่มีความสว่างจ้ามากเกินไป สามารถแจ้งร้องเรียนไปที่ 1584 กรมการขนส่งทางบก ได้ตามช่องทางต่อไปนี้

– Facebook : “1584 ร้องเรียนรถโดยสารสาธารณะ”
– Line ID : “1584dlt”
– E-Mail : [email protected]

ไฟไอติม

โดยต้องแนบหลักฐานเป็นภาพนิ่ง หรือภาพเคลื่อนไหว ระบุสถานที่ เวลาที่พบเหตุ ชื่อและข้อมูลผู้แจ้งเรื่องร้องเรียน เพื่อความรวดเร็วในการดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ขับเคลื่อนล้อหน้า,-ขับเคลื่อนล้อหลัง

มาทำความรู้จัก “ขับเคลื่อนล้อหน้า” และ “ขับเคลื่อนล้อหลัง” กัน

ขับหน้า-VS-ขับหลัง

เชื่อว่าคนใช้รถมือสอง หลายๆ คน ต้องเคยได้ยินคำว่า “ขับเคลื่อนล้อหน้า”, “ขับเคลื่อนล้อหลัง”, “FF”, “FR” หรืออะไรทำนองนี้ มาก่อนแล้วแน่ๆ และรู้ไหมว่า ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าและล้อหลังนั้น นอกจากจะมีข้อดี ข้อเสีย ที่แตกต่างกันแล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัย ที่ทำให้ราคารถมือหนึ่ง และรถมือสองแต่ละรุ่น สูงต่ำต่างกันอีกด้วย!

เพื่อให้การเลือกซื้อรถมือสองของคุณง่ายกว่าเดิม และตรงตามวัตถุประสงค์ของการใช้งานมากที่สุด บทความนี้จึงช่วยรวบรวมรายละเอียดของระบบขับเคลื่อนล้อหน้าและล้อหลัง รวมถึงเปรียบเทียบจุดเด่นจุดด้อย เพื่อเป็นตัวช่วยในการเลือกซื้อรถมือสองของคุณ

มาดูกันว่า ระบบขับเคลื่อนของรถมือสองแบบไหน ที่จะตรงใจ และตรงตามการใช้งานของคุณมากที่สุด!

ขับหน้า-VS-ขับหลัง

ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า (FWD: Front Wheel Drive)

เป็นระบบขับเคลื่อนแบบที่พบมากที่สุดในบรรดารถยนต์ที่ผลิตออกมาในปัจจุบันก็ว่าได้ โดยเฉพาะรถญี่ปุ่นส่วนใหญ่ รถตลาด และอีโคคาร์รุ่นต่างๆ รถที่ขับเคลื่อนล้อหน้า จะมีจุดสังเกตตรงที่เพลาขับเคลื่อน จะต่อกับชุดเกียร์โดยตรงแล้วเชื่อมกับล้อหน้าทั้งสองข้าง ทำให้เพลาหน้าของรถมีหน้าที่ในการบังคับเลี้ยว และรับกำลังที่ส่งผ่านมาจากเกียร์ด้วย

ขับหน้า-FF-T

นอกจาก FWD ซึ่งเป็นคำกว้างๆ ที่ใช้เรียกกันแบบสากลแล้ว หลายคนน่าจะเคยเห็นอักษรย่อ FF (Front Engine Front Wheel Drive) มาก่อน FF คือรูปแบบการวางเครื่องยนต์ไว้ด้านหน้า ขนานกับส่วนหน้าของรถยนต์ และใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ทำให้หลายคนอุปมาว่า ระบบส่งกำลังแบบนี้ ก็เหมือนกับการออกแรงดึงรถให้เคลื่อนไปข้างหน้านั่นเอง

ตัวอย่าง รถมือสองขับเคลื่อนล้อหน้าที่คุ้นเคยกันดีในแวดวงรถมือสอง ที่ได้รับความสนใจอย่างมากบนเว็บไซต์สื่อกลางซื้อขายรถยนต์มือสองคาร์โร ก็คือรถญี่ปุ่นรุ่นยอดนิยมอย่าง Honda Civic, Toyota Corolla AltisHonda Accord ฯลฯ นั่นเอง

ขับหน้า-FF-L

อย่างไรก็ตาม ไม่จำเป็นเลย ที่รถญี่ปุ่นจะต้องเป็นรถขับหน้าทุกรุ่น เพราะรถเก๋งขนาด Full-Size หรือรถกระบะ ก็ยังคงใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหลังอยู่ และรถยุโรปบางรุุ่น (มักจะเป็นรถเล็ก) ก็นิยมผลิตรถที่ขับเคลื่อนล้อหน้าออกมาขายเช่นกัน เช่น Mercedes Benz A-Class และ Mini Cooper เป็นต้น นอกจากนี้รถ SUV ส่วนใหญ่ ก็มักเป็นรถที่ขับเคลื่อนล้อหน้า แต่จะสามารถเปลี่ยนเป็นขับเคลื่อนสี่ล้อได้โดยอัตโนมัติ เช่น Honda CR-V เป็นต้น

Toyota-Sprinter-Trueno-AE86

ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง (RWD: Rear Wheel Drive)

เราจะพบว่า รถมือสองขับเคลื่อนล้อหลังที่เห็นได้ตามท้องถนนในประเทศไทย ส่วนใหญ่มักจะเป็นรถยุโรป และสปอร์ตคาร์ รวมถึงรถกระบะเป็นส่วนใหญ่ รถที่ขับเคลื่อนล้อหลัง อาจจะแบ่งตามตำแหน่งการวางเครื่องยนต์ได้ดังนี้

ขับหลัง-FR

– FR (Front Engine Rear Wheel Drive) คือรถที่ขับเคลื่อนล้อหลัง แต่มีการวางเครื่องยนต์ตามยาวไว้ด้านหน้า แล้วส่งกำลังผ่านเพลากลางไปยังเฟืองท้าย กระจายกำลังไปยังล้อหลังทั้งสองข้าง มักพบได้ในรถยุโรปรุ่นใหญ่ๆ และหรูหรา เช่น Mercedes Benz C-Class, E-Class และ S-Class เป็นต้น

ขับหลัง-FMR

– FMR (Front Midship Engine Rear Wheel Drive) คือรถที่ขับเคลื่อนล้อหลัง และเครื่องยนต์ก็ยังวางไว้ด้านหน้า แต่พยายามร่นระยะของตำแหน่งการวางเครื่องยนต์ให้ถอยหลังมามากที่สุด โดยเครื่องยนต์จะถูกวางไว้หลังแนวเพลาล้อหน้า ซึ่งจะทำให้รักษาสมดุลระหว่างตัวถังด้านหน้าและด้านหลังได้มากกว่า ตัวอย่างก็เช่น Honda S2000, Mazda RX-8, Ferrari F12 Berlinetta เป็นต้น

ขับหลัง-RMR-T

– MR (Mid Engine Rear Wheel Drive) คือรถขับเคลื่อนล้อหลังที่เครื่องยนต์ถูกวางไว้ตรงกลาง อาจจะวางขวางหรือวางตามยาวก็ได้ เป็นรูปแบบการวางเครื่องยนต์ที่ทำให้รถกระจายน้ำหนักได้ดีที่สุด ตัวอย่างรถแบบนี้ก็คือ Toyota MR2, Honda NSX นั่นเอง

ขับหลัง-RR

– RR (Rear Engine Rear Wheel Drive) คือรถขับเคลื่อนล้อหลังที่วางเครื่องยนต์ไว้ด้านท้าย โดยมีเกียร์อยู่ด้านหน้า เครื่องยนต์จึงมักเป็นเครื่องขนาดเล็กและไม่มากชิ้น เราจะเห็นได้จากบรรดาสปอร์ตคาร์ ที่มักจะดีไซน์ด้านหน้าให้ลาดลงสุดๆ เพื่อลดแรงเสียดทาน ตัวอย่างก็คือรถตระกูล Porsche บางรุ่น หรือ Volkswagen Beetle รุ่นเก่า เป็นต้น

รหัสย่อที่กล่าวมานี้ คือ Layout หรือโครงร่างของรถยนต์ที่ขับเคลื่อนล้อหลัง ซึ่งคุณสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบการทำงานของเลย์เอาต์แต่ละแบบได้ ที่นี่

Toyota-MR2

ข้อดี – ข้อด้อย ของระบบขับเคลื่อนล้อหน้า และขับเคลื่อนล้อหลัง

ขับเคลื่อนล้อหน้า (FWD) ขับเคลื่อนล้อหลัง (RWD)
ราคา ถูกกว่า เพราะใช้ชิ้นส่วนน้อยกว่า ทำให้รถมีต้นทุนในการผลิตต่ำกว่า แพงกว่า เพราะรถมีระบบส่งกำลังที่ซับซ้อนกว่า และใช้ชิ้นส่วนมากกว่า แน่นอนว่าย่อมส่งผลให้ค่าซ่อมบำรุงสูงกว่าด้วย
ความทนทาน ทนทานน้อยกว่า เพราะเพลาหน้าต้องรับหน้าที่เลี้ยว หมุน และรับกำลังที่ส่งมาจากเกียร์ จึงทำให้ทั้งเพลาและยางล้อหน้ามีโอกาสที่จะสึกหรอเร็วกว่า

*ขึ้นอยู่กับการบำรุงรักษาด้วย*

ทนทานกว่า เพราะมีการกระจายแรงไปยังส่วนต่างๆ ได้ดีกว่า
การประหยัดเชื้อเพลิง ประหยัดน้ำมันมากกว่า เพราะสูญเสียกำลังเครื่องยนต์น้อยกว่า และรถมีน้ำหนักเบากว่า สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากกว่า เพราะต้องส่งกำลังผ่านเพลากลาง ทำให้ต้องใช้กำลังมาก
การใช้พื้นที่ห้องโดยสาร ใช้น้อยมาก เพราะระบบเครื่องยนต์มักมีขนาดกะทัดรัดและอยู่ด้านหน้ารถ ทำให้เสียพื้นที่ห้องโดยสาร เพราะต้องมีอุปกรณ์เพื่อส่งกำลังไปยังล้อหลัง หากติดตั้งเครื่องยนต์ตรงกลางหรือท้ายรถก็จะยิ่งกินพื้นที่ห้องโดยสารมาก
ความสมดุลในการเข้าโค้ง สมดุลมากกว่าเพราะการวางเครื่องยนต์ไว้ที่ด้านหน้าของรถทำให้ล้อหน้ามีแรงยึดเกาะ (Traction) สูง กว่า แต่ก็อาจเกิด Understeer (หน้าดื้อ) ได้ ทำให้โค้งแล้วหลุดหรือแหกโค้ง สมดุลน้อยกว่า อาจมีอาการ Oversteer (ท้ายปัด) ได้ ซึ่งจะควบคุมได้ยากกว่า
ความสมดุลเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ สมดุลดีกว่า เนื่องจากทำอัตราเร่งช่วงต้นได้เร็วกว่าและดีกว่า แต่เป็นข้อเสียด้วยเช่นกันเพราะทำให้แรงยึดเกาะช่วงออกตัวมีน้อย เพราะน้ำหนักจะถ่ายเทไปด้านหลัง (นึกภาพดึงรถจากด้านหน้า) สมดุลน้อยกว่าในเครื่องแบบ FR แต่เครื่องแบบ อื่นๆ ก็ดีพอๆ กับขับหน้า แต่อาจจะให้ความรู้สึกหนักหน่วงกว่าตอนออกตัว (นึกภาพดันรถจากด้านหลัง)
ความสมดุลเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง สมดุลน้อยกว่า เพราะน้ำหนักกระจายตัวไม่ดี ซึ่งเป็นผลให้ควบคุมรถขณะเบรกได้ยากกว่า ทรงตัวได้ดีกว่าเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง

ระบบขับเคลื่อนแบบไหน เหมาะกับใคร

จากการเปรียบเทียบข้อดีข้อด้อยข้างต้น เราจะเห็นได้ว่า รถที่ขับเคลื่อนล้อหน้า เหมาะกับการขับขี่ระยะสั้นด้วยความเร็วต่ำมากกว่า ดังนั้น จึงเหมาะกับผู้ขับขี่ที่อยู่ในเมืองใหญ่ที่มีการจราจรติดขัด เพราะรถกินน้ำมันน้อยกว่า รวมถึงสามารถใช้พื้นที่ในห้องโดยสารได้มากกว่าอีกด้วย

ส่วนรถที่ขับเคลื่อนล้อหลัง หากไม่ใช่รถที่ใช้ในกิจกรรมบางอย่างโดยเฉพาะ เช่น ใช้แข่งขันความเร็วในสนามแข่งรถ ก็เป็นรถที่เหมาะสมกับการขับขี่บนถนนโล่งๆ ที่สามารถทำความเร็วได้ จึงน่าจะเหมาะกับคนที่เดินทางไกลบ่อย คนต่างจังหวัดที่ไม่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์รถติด หรือคนรักสปอร์ตคาร์ที่มีรถไว้ขับเล่นเป็นครั้งคราว ไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้รถในชีวิตประจำวัน

อย่างไรก็ตาม รถขับหลังก็เป็นรถที่สามารถใช้ขับขี่ในเมืองได้อย่างไม่เป็นปัญหา ดังที่เราเห็นได้จากรถยุโรปจำนวนมาก ที่ขับอยู่บนถนนในกรุงเทพฯ แต่คนขับต้องมีทักษะในการบังคับรถพอสมควร เพราะรถขับหลังมักมีน้ำหนักมากกว่ารถขับหน้า และอาจเกิดอาการท้ายปัดขึ้นได้เวลาเข้าโค้ง ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น

Honda-Jazz

รถขับหน้า – รถขับหลัง มีวิธีดูอย่างไร

หลายคนอาจจะมีคำถามในใจว่า จะรู้ได้อย่างไร ว่ารถคันไหนขับเคลื่อนล้อหน้า หรือล้อหลัง? วิธีการดูง่ายๆ มี 2 แบบคือ

ดูจากการวางเครื่องยนต์ ปกติแล้ว รถที่ขับเคลื่อนล้อหลังส่วนใหญ่จะวางเครื่องตามยาว ส่วนรถขับเคลื่อนล้อหน้ามักจะวางเครื่องตามขวาง ขนานไปกับส่วนหน้าของรถ (แต่ก็จะมีรถบางรุ่น ที่วางเครื่องยนต์ตามแนวยาว แต่ขับเคลื่อนล้อหน้าเช่นกัน เช่น Audi หรือ Subaru รุ่นขับหน้าบางรุ่น)

ดูจากเพลา รถที่ขับเคลื่อนล้อหน้า เพลาจะต่อกับชุดเกียร์ออกสู่ล้อหน้าทั้ง 2 ข้าง ในขณะที่รถขับเคลื่อนล้อหลังจะมีเพลากลางและเฟืองท้าย เมื่อพิจารณาประกอบกับรูปแบบการวางเครื่องยนต์แบบต่างๆ ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ก็จะสามารถบอกระบบขับเคลื่อนได้แน่นอนกว่า

ถือว่าครบถ้วนชัดเจนสำหรับบทความ ขับหน้า VS ขับหลัง หากท่านใดสนใจอยากหาความรู้กับบทความดีๆ เพิ่มเติม สามารถรับชมต่อได้ใน https://th.carro.co/blog2/ ได้เลย

ขอขอบคุณภาพประกอบระบบขับเคลื่อนจาก Wikipedia

10-Family-Secondhand-Cars

สำหรับใครหลายๆ คน ที่ตอนนี้ อาจจะเพิ่งแต่งงาน หรือกำลังเริ่มสร้างครอบครัว หรือมีลูกอยู่แล้ว 1-2 คน และกำลังตัดสินใจซื้อรถยนต์มือสองซักคัน ถือเป็นอีกตัวเลือกที่ดี เพื่อนำเงินส่วนที่เหลือ ไปผ่อนบ้าน หรือใช้จ่ายในครอบครัว จ่ายค่าเทอมลูก เป็นต้น (แต่คนโสดจะซื้อไปใช้ ก็ได้เช่นกันนะครับ)

MPV-Family-Car

โดยรถยนต์ที่เหมาะสมหน่อย ก็คงหนีไม่พ้นรถยนต์แนวๆ MPV ที่นั่งได้หลายคน ขนของก็ได้ ไปได้กันทั้งครอบครัว ในราคาตัวรถที่ไม่แพงจนเกินไปนัก

Toyota-Innova

MR.CARRO ขอแนะนำรถครอบครัวมือสอง 10 รุ่น 10 คัน ในราคาคุ้มค่า ในราคาไม่เกิน 400,000 บาท ที่น่าซื้อมาใช้ ให้ทุกท่านได้พิจารณากันครับ.

Toyota-Avanza

1. Toyota Avanza F600 / F650

Toyota Avanza (โตโยต้า อแวนซ่า) ถือเป็นรถยนต์นั่งอเนกประสงค์ 5 ประตู 7 ที่นั่ง นำเข้าจากอินโดนีเซีย ชื่อรุ่นมาจากคำว่า “Avanzato” ในภาษาอิตาลี หรือ “Advance” ในภาษาอังกฤษ … ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงนับตั้งแต่เปิดตัวในเดือนกรกฎาคม 2547 เป็นต้นมา ในรูปแบบรถยนต์นั่งแนวใหม่ “Compact Multi – Purpose Vehicle” ที่มีความคุ้มค่า ขนาดห้องโดยสารใช้แนวคิดการออกแบบ “Tall Boy” หลังคาทรงสูง รองรับผู้โดยสารในการเดินทางได้ถึง 7 คน วางตำแหน่งเบาะนั่งแบบ Flex And Fold ปรับได้อิสระ สามารถปรับเปลี่ยนตำแหน่งเบาะนั่งเพื่อบรรทุกสัมภาระ พร้อมด้วยความคล่องตัว ประหยัดน้ำมัน ทนทาน อัตราการดูแลรักษาต่ำ

Toyota-Avanza

Toyota Avanza เจเนอเรชั่นแรก มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.3 ลิตร รหัส K3-VE แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว VVT-i ให้แรงม้าสูงสุด 88 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 12.3 กก.-ม. (120 นิวตัน-เมตร) ที่ 3,200 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และอัตโนมัติ 4 สปีด

ในรุ่นไมเนอร์เชนจ์ เปิดตัวเมื่อเดือนตุลาคม 2551 อัพเกรดเครื่องยนต์เป็นขนาด 1.5 ลิตร รหัส 3SZ-VE แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว VVT-i ให้แรงม้าสูงสุด 109 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 14.4 กก.-ม. (141 นิวตัน-เมตร) ที่ 4,400 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และอัตโนมัติ 4 สปีด …

โดย Avanza (F600) ในตลาดรถมือสอง (ปี 2561) ราคาอยู่ที่ประมาณ 145,000 – 360,000 บาท

Toyota-Avanza

ส่วน Toyota Avanza ในโมเดลที่ 2 เปิดตัวไปเมื่อช่วงเดือนมกราคม 2555 พลิกโฉมสู่ความเป็นสปอร์ตมากขึ้น ออกแบบใหม่หมด ทั้งภายนอกและภายใน แถมรองรับผู้โดยสารได้ 7 ที่่นั่งเหมือนเดิม

Toyota-Avanza

สำหรับ Toyota Avanza ในโฉมเจเนอเรชั่นที่ 2 มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร รหัส 3SZ-VE แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว VVT-i ให้แรงม้าสูงสุด 101 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 13.6 กก.-ม. (133 นิวตัน-เมตร) ที่ 4,400 รอบ/นาที และสามารถใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 ได้ ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และอัตโนมัติ 4 สปีด …

โดย Avanza (F650) ในตลาดรถมือสอง (ปี 2561) อยู่ที่ประมาณ 300,000 – 550,000 บาท

Toyota-Wish

2. Toyota Wish

จากรถที่เคยนำเข้ามาโชว์ก่อนเปิดตัว Toyota Wish (โตโยต้า วิช) ในงานมอเตอร์โชว์ เมื่อเดือนเมษายน 2546 ก่อนจะเปิดจำหน่ายในบ้านเราเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2546 สร้างความตื่นเต้นให้กับตลาดรถยนต์ในบ้านเรามาก เพราะผลิตและจำหน่ายในประเทศไทยเป็นแห่งที่ 2 ของโลกต่อจากประเทศญี่ปุ่น ช่วงแรกสร้างยอดขายเป็นที่น่าพอใจ รูปทรงดูทันสมัย แม้เวลาจะผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว

มีการปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ในปี 2548 แต่เนื่องจากกลุ่มตลาดที่ซ้ำซ้อนกับ Toyota Innova และยอดขายที่ตกมากช่วงปลายอายุตลาด ไม่คุ้มกับการผลิต Wish ก็เลยต้องหายจากตลาดไป …

Toyota-Wish

Toyota Wish ในประเทศไทย จะมีเบาะนั่ง 6-7 ที่ ใช้เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร รหัส 1AZ-FE แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว VVT-i ให้แรงม้าสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 19.6 กก.-ม. (192 นิวตัน-เมตร) ที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด Super ECT + Sport Sequential

โดย Wish ในตลาดรถมือสอง (ปี 2561) ราคาอยู่ที่ประมาณ 255,000 – 480,000 บาท

Toyota-Innova

3. Toyota Innova

Toyota Innova (โตโยต้า อินโนว่า) ถูกพัฒนาขึ้นมาจากโครงการ IMV (Innovative International Multi-Purpose Vehicle) มูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาทของ “โตโยต้า” โดยเป็นโมเดลที่ 2 ของโตโยต้า ภายใต้โครงการ IMV ที่เปิดตัวทำตลาดในไทยเดือนตุลาคม 2547 และเป็นรถแนว MPV รุ่นที่ได้รับความนิยมในบ้านเรามาก ทั้งในกลุ่มคนที่มีครอบครัว หรือในกิจการรถแท็กซี่ก็ตาม นำเข้ามาจากประเทศอินโดนีเซีย มีทั้งแบบ 7 และ 8 ที่นั่ง …

Toyota-Innova

Toyota Innova โฉมไมเนอร์เชนจ์ครั้งแรก

ปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ครั้งแรก ในเดือนตุลาคม 2551 และครั้งที่สองในวันที่ 7 กันยายน 2554 พร้อมกับตัดรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลออกไป

Toyota-Innova

Toyota Innova โฉมไมเนอร์เชนจ์ครั้งที่สอง

มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 ลิตร รหัส 1TR-FE แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว VVT-i ให้แรงม้าสูงสุด 136 แรงม้า ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 18.6 กก.-ม. (182 นิวตัน-เมตร) ที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด

และเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.5 ลิตร รหัส 2KD-FTV แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว D4-D Turbo ให้แรงม้าสูงสุด 102 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 26.5 กก.-ม. (260 นิวตัน-เมตร) ที่ 1,600-2,400 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด

โดย Innova ในตลาดรถมือสอง (ปี 2561) ราคาอยู่ที่ประมาณ 230,000 – 500,000 บาท (เป็นราคาโดยประมาณ สำหรับรุ่นก่อนปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ครั้งที่ 2)

Honda-Stream

4. Honda Stream

การมาของ “Honda Stream” (ฮอนด้า สตรีม) ทำให้ตลาดรถยนต์ในกลุ่ม MPV 7 ที่นั่ง ตื่นตัวขึ้นมากกว่าเดิม ด้วยรูปทรงที่ดูสวยงาม มุมด้านข้างดูโค้งมนพริ้วไหว ใช้พื้นฐานโครงสร้างเดียวกับ Civic โดยขยายช่วงล้อและยืดฐานล้อ ให้มีขนาดห้องโดยสารใหญ่เพียงพอสำหรับนั่งได้ 7 ที่นั่ง เปิดตัวไปในบ้านเราเมื่อกันยายน 2545 โดยนำเข้ามาจากประเทศอินโดนีเซีย

ใช้เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร ซึ่งเป็นเครื่องยนต์บล็อกเดียวกับที่วางใน CR-V รหัส K20A แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว i-VTEC LEV ให้แรงม้าสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 19.4 กก.-ม. (191 นิวตัน-เมตร) ที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด S-Matic

ต่อมา … เพิ่มรุ่นพิเศษ “Stream Sports Version” ใส่ชุดสเกิร์ตรอบคัน ไฟตัดหมอก และกระจังหน้าแบบใหม่

Honda-Stream

พอในปี 2547 Honda ก็ได้ปรับโฉม Stream กันอีกครั้ง … แต่การมาของ Toyota Wish ก็ทำให้ Honda Stream ยอดขายตกวูบ และในที่สุดก็เลิกขายในไทยไป หลังจากมีการเปลี่ยนโฉมใหม่ …

โดย Stream ในตลาดรถมือสอง (ปี 2561) อยู่ที่ประมาณ 190,000 – 360,000 บาท

Mitsubishi-Space-Wagon

5. Mitsubishi Space Wagon

ช่วงที่ตลาดรถ MPV กำลังหอมหวาน มิตซูบิชิ ก็กระโดดลงมาเล่นในตลาดนี้ในเดือนพฤศจิกายน 2547 ด้วยการส่ง “Mitsubishi Space Wagon” (มิตซูบิชิ สเปซแวกอน) เป็น Mid-Size Minivan ที่ใหญ่กว่าคู่แข่ง ชิงส่วนแบ่งการตลาด ด้วยจุดขาย 2 ส่วน คือ ภาพลักษณ์หรูหรา ราคาไม่แตกต่างหรือใกล้เคียงมากกับคู่แข่ง และจุดขายส่วนที่ 2 คือ Multi Purpose ซึ่งทำให้รถยนต์สำหรับผู้บริหาร ไม่ใช่แค่การนั่งจากที่บ้านไปที่ทำงาน แต่หมายถึงใช้รถเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ได้อย่างเต็มที่ ส่วนในโฉมไมเนอร์เชนจ์ เปิดตัวเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2550

Mitsubishi-Space-Wagon

ทั้งนี้ ชื่อ “Space Wagon” เป็นที่รู้จักและคุ้นหูคนไทยมานาน ตั้งแต่ Mitsubishi นำเข้า Space Wagon (หรือ Mitsubishi Chariot ในญี่ปุ่น) เข้ามาขาย ส่วนในต่างประเทศใช้ชื่อว่า “Grandis”

Mitsubishi-Space-Wagon

ใช้เครื่องยนต์ขนาด 2.4 ลิตร รหัส 4G69 แบบ 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว MIVEC ให้แรงม้าสูงสุด 165 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 22.1 กก.-ม. (224 นิวตัน-เมตร) ที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด INVECS-II

โดย Space Wagon ในตลาดรถมือสอง (ปี 2561) อยู่ที่ประมาณ 299,000 – 600,000 บาท

Suzuki-APV

6. Suzuki APV

ซูซูกิ เริ่มกระโดดลงมาเล่นในตลาดรถ MPV ครั้งแรก โดยส่ง “Suzuki APV” (ซูซูกิ เอพีวี) ตัวโชว์มาก่อนในช่วงงาน Motor Expo ปี 2547 ก่อนจะวางจำหน่ายจริงในช่วงเดือนมีนาคม 2548 โดยนำเข้าจากประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งก็ได้รับความนิยมมากจากครอบครัวคนไทย เพราะนั่งได้มากถึง 8 ที่นั่ง รวมไปถึงตลาดรถแท็กซี่เองก็มีซื้อไปใช้เช่นกัน อีกทั้ง ซูซูกิ ยังนำมาดัดแปลงเป็นรถกระบะบรรทุกขนาดเล็กอย่าง “Carry” อีกด้วย และปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ในปี 2551

Suzuki-APV

ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร รหัส G16A แบบ 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว ให้แรงม้าสูงสุด 92 แรงม้า ที่ 5,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 13.0 กก.-ม. (127 นิวตัน-เมตร) ที่ 4,500 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด

โดย APV ในตลาดรถมือสอง (ปี 2561) อยู่ที่ประมาณ 180,000 – 350,000 บาท

Suzuki-Ertiga

7. Suzuki Ertiga

Suzuki Ertiga (ซูซูกิ เออร์ติกา) รับช่วงสานต่อความสำเร็จต่อจากรุ่น APV พัฒนาให้ดีขึ้นในทุกมิติ เปิดตัวในบ้านเราเมื่อเดือนมีนาคม 2556 รถอเนกประสงค์แบบ MPV 7 ที่นั่ง ชูความสะดวกสบายสามารถปรับใช้งานได้หลากหลาย เจาะกลุ่มครอบครัวคนรุ่นใหม่ ซึ่งนำเข้ามาจากประเทศอินโดนีเซีย

Suzuki-Ertiga

มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.4 ลิตร รหัส K14B แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว VVT ให้แรงม้าสูงสุด 92 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 13.3 กก.-ม. (130 นิวตัน-เมตร) ที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และอัตโนมัติ 4 สปีด รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20

โดย Ertiga ในตลาดรถมือสอง (ปี 2561) อยู่ที่ประมาณ 340,000 – 550,000 บาท

Chevrolet-Zafira

8. Chevrolet Zafira

Chevrolet Zafira (เชฟโรเลต ซาฟิร่า) เป็นการเปิดศักราชของ GM ภายใต้บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด โดยลงทุนตั้งโรงงานประกอบที่ จ.ระยอง และทำตลาด Zafira ด้วยแบรนด์ Chevrolet เป็นรุ่นแรก (ไม่ใช้แบรนด์ Opel ในไทยอีกต่อไป) เปิดตัวในช่วงปี 2542 เป็นรถแบบ 7 ที่นั่ง รูปทรงกะทัดรัด ภายในห้องโดยสารออกแบบหรูหรา มีเบาะนั่งแบบ Flex7 สามารถพับเก็บได้สะดวกรวดเร็ว ถือเป็นจุดเด่นของ Zafira

มีเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.8 ลิตร รหัส Z18XE แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ECOTEC ให้แรงม้าสูงสุด 115 แรงม้า ที่ 5,400 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด

Chevrolet-Zafira

และเครื่องยนต์ขนาด 2.2 ลิตร รหัส Z22SE แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ECOTEC ให้แรงม้าสูงสุด 145 แรงม้า ที่ 5,800 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 22.3 กก.-ม. (203 นิวตัน-เมตร) ที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด

โดย Zafira ในตลาดรถมือสอง (ปี 2561) อยู่ที่ประมาณ 89,000 – 180,000 บาท

Proton-Exora

9. Proton Exora

Proton Exora (โปรตอน เอ็กซ์โซร่า) เป็นการกลับมาของ บริษัท พระนครโอโตเซลส์ จำกัด ที่หันกลับมาขายแบรนด์ “Proton” (โปรตอน) รถยนต์จากประเทศมาเลเซีย กับรถแนว MPV 7 ที่นั่ง เปิดตัวไปในเดือนพฤศจิกายน 2552 มาพร้อมรูปทรงสง่างาม หรูหรา ตั้งแต่หัวจรดท้าย ดีไซน์ตัวถังตามหลัก Aerodynamics ภายในกว้างขวาง มีแอร์สำหรับที่นั่งแถวที่ 2 และ 3 ด้วย
Proton-Exora

สำหรับ Exora และ Exora Prime มาพร้อมเครื่องยนต์ Campro ขนาด 1.6 ลิตร แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว พร้อมระบบวาล์วแปรผัน CPS และท่อไอดีแปรผัน VIM ให้แรงม้าสูงสุด 125 แรงม้า ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 15.3 กก.-ม. (150 นิวตัน-เมตร) ที่ 4,500 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และอัตโนมัติ 4 สปีด … มีรุ่นติดตั้งแก๊ส LPG ให้เลือกด้วยนะ

Proton-Exora-Turbo

ในปี 2555 จึงนำเข้า Exora Turbo มาเป็นตัวเลือกในตลาดเพิ่มอีกหนึ่งแบบ มีเฉพาะรุ่น High-Line มาพร้อมเครื่องยนต์ CFE ขนาด 1.6 ลิตร แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว Turbo Intercooler ให้แรงม้าสูงสุด 138 แรงม้า ที่ 5,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 20.9 กก.-ม. (205 นิวตัน-เมตร) ที่ 2,000-4,000 รอบ/นาที

โดย Exora ในตลาดรถมือสอง (ปี 2561) อยู่ที่ประมาณ 185,000 – 340,000 บาท

Kia-Carens

10. KIA Carens

KIA Carens (เกีย คาเรนส์) เป็นรถรุ่นเดียวในกลุ่ม Mini MPV ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล ภายในห้องโดยสารกว้างและยาว สูงโปร่ง เพียงพอกับ 7 ที่นั่ง และประหยัดน้ำมัน เป็นรถที่นำเข้าจากประเทศเกาหลีใต้ และเป็นรถมือสองที่หายากในบ้านเราอีกหนึ่งรุ่น

Kia-Carens

ใช้เครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.0 ลิตร แบบ 4 สูบเรียง CRDi Turbo Intercooler ให้แรงม้าสูงสุด 112 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 25.0 กก.-ม. ที่ 2,000 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด

โดย Carens ในตลาดรถมือสอง (ปี 2561) อยู่ที่ประมาณ 180,000 – 260,000 บาท

Mr.CARRO หวังว่ารถครอบครัวมือสอง 10 รุ่น 10 คัน ในราคาคุ้มค่า ไม่เกิน 4 แสนบาท ที่นำมาเสนอนั้น น่าจะถูกใจหลายๆ คนกันนะครับ

ส่วนถ้าใครอยากขายรถ สามารถขายรถคันเก่ากับ CARRO Express ได้ เรายินดีรับซื้อรถของคุณ ได้เงินไว เร็ว พร้อมปิดการขายได้ทันที แค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรืออยากตีราคารถก่อน สามารถ Inbox สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ —> เพิ่มเพื่อน

AMG-50th-Anniversary

เอเอ็มจี (AMG) ฉลองครบรอบ 50 ปี แห่งความสำเร็จ ในปี 2017

Mercedes-AMG-GT-Roadster

ถ้าพูดถึงสำนักแต่ง และชุดแต่งที่คนใช้รถ เมอร์เซเดส-เบนซ์ รู้จักกันดีที่สุด คงต้องยกให้ “AMG” ที่ออกเสียงในภาษาเยอรมันว่า “อามาเก้” หรือในภาษาอังกฤษ “เอเอ็มจี”

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา Mercedes-AMG (เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี) ได้สร้างและรักษาชื่อเสียงของการเป็นผู้ผลิตรถยนต์สปอร์ตและรถยนต์สมรรถนะสูง ที่สะท้อนจากความสำเร็จ ทั้งด้านกีฬามอเตอร์สปอร์ตและด้านการพัฒนารถยนต์

MBTh_50th-Anniversary-of-Mercedes-AMG_Photos

เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมือง Affalterbach (อัฟฟาวเตอร์บาค) ประเทศเยอรมนี ถือเป็นบริษัทลูกของกลุ่ม Daimler AG (เดมเลอร์ เอจี) โดยพนักงานของบริษัทฯ ต่างยึดมั่นในหลักการเดียวกัน คือการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ “ขับเคลื่อนทุกสมรรถนะ – Driving Performance” ซึ่งถือเป็นหัวใจหลักของแบรนด์

https://www.youtube.com/watch?v=nJJWv7QVpDM

AMG ก่อตั้งขึ้นที่เมือง Burgstall (เบิร์กชตาร์ล) โดยมร.ฮานส์ แวเนอร์ อาวฟเรชท์ (Hans-Werner Aufrecht) และ มร.แอร์ฮาร์ด เมลเชอร์ (Erhard Melcher) ในปี 1967 ด้วยการใช้โรงโม่แป้งเก่าๆ เป็นที่ตั้งของโรงปรับแต่งรถแห่งแรก พร้อมใช้ชื่อว่า “ศูนย์วิศวกรรม ออกแบบ และทดสอบเครื่องยนต์ที่พัฒนาขึ้นเพื่อการแข่งขัน – Engineering office and design and testing centre for the development of racing engines” โดยตัวอักษร AMG นั้นมาจากคำว่า “Aufrecht and Melcher, Großaspach” (อาวฟเรชท์ และเมลเชอร์ จากหมู่บ้านโกรซาชปาค) ซึ่งหมู่บ้านดังกล่าวนี้ เป็นสถานที่เกิดของ มร.อาวฟเรชท์

MBTh_50th-Anniversary-of-Mercedes-AMG_Photos

ในปี 1971 เอเอ็มจีมีชื่อเสียงในชั่วข้ามคืน หลังจากที่รถยนต์ AMG 300 SEL 6.8 สีแดง ชนะการแข่งขันกับรถยนต์กลุ่มเดียวกันอย่างขาดลอยในรายการรถแข่งประเภท 24 ชั่วโมง ที่สนามสปา-ฟรังโกชอมป์ อีกทั้งยังสามารถทำคะแนนรวมได้เป็นอันดับ 2 ด้วย

เอเอ็มจี พัฒนาจากผู้ผลิตเครื่องยนต์สำหรับรถยนต์สมรรถนะสูงเป็นผู้ผลิตรถสปอร์ตซาลูน และสปอร์ตคูเป้ หลังจากตั้งโรงงานที่เมืองอัฟฟาวเตอร์บาค ในปี 1976

AMG-500-SEC

มร.เมลเชอร์ พัฒนานวัตกรรมฝาครอบกระบอกสูบใหม่ ที่ทำงานสอดคล้องกับระบบวาล์วแบบ 4 วาล์ว/ลูกสูบ 1 ลูก (Four-Valve Technology) ด้วยตนเองในปี 1984 ซึ่ง AMG ประยุกต์ใช้นวัตกรรมนี้อย่างเป็นทางการครั้งแรกในเครื่องยนต์ V8 ความจุกระบอกสูบ 5 ลิตรของรถยนต์ Mercedes-Benz 500 SEC ความเก่งกาจของ มร.เมลเชอร์ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของปรัชญา “1 ช่างฝีมือต่อเครื่องยนต์ 1 เครื่อง – One Man, One Engine” ที่ Mercedes-AMG ยึดถือจนปัจจุบัน

Mercedes-AMG-W124

นวัตกรรมฝาครอบกระบอกสูบใหม่ที่ มร.เมลเชอร์ คิดค้นนั้น ใช้ในรถยนต์ Mercedes-Benz S-Class รุ่น AMG และรุ่นซาลูน ตั้งแต่ปี 1986 ก่อนจะเริ่มใช้กับ E-Class Coupé รหัสตัวถัง W124 ในปีต่อมา ซึ่งรถยนต์รุ่นนี้ มีกำลังถึง 360 แรงม้า จึงได้รับสมญาว่า “The Hammer” จากสื่อมวลชนด้านรถยนต์ในสหรัฐอเมริกา

Mercedes-Benz-190-E-2.5-16-Evolution-II-DTM

ในปี 1988 AMG เป็นผู้ผลิตรถยนต์ Mercedes-Benz 190 E สำหรับการแข่งขัน และยังเป็นทีมงานผู้ดูแลทีมที่ใช้รถยนต์รุ่นดังกล่าวในการแข่งขันรายการเยอรมัน ทัวริ่ง คาร์ แชมเปียนชิฟ (DTM) ด้วย

Mitsubishi-Galant-AMG

Mitsubishi-Galant-AMG

Mitsubishi Galant AMG มาพร้อมชุดแต่ง และเครื่องยนต์ที่โมดิฟายโดย AMG

Mitsubishi-Debonair-AMG

Mitsubishi Debonair AMG รถธงจากค่าย Mitsubishi ที่โมดิฟายโดย AMG

นอกจากนั้น ทาง AMG (ก่อนที่จะเป็นบริษัท In-House ในเครือ Mercedes-Benz) ยังได้เคยโมดิฟายรถยนต์ให้กับทาง Mitsubishi ด้วย ดังที่ปรากฏใน Galant AMG และ Debonair AMG จัดเต็มทั้งเครื่องยนต์ และอุปกรณ์ตกแต่งรอบคัน

AMG ตกลงร่วมมือกับ Mercedes-Benz ในปี 1990 โดย AMG เริ่มต้นเป็นผู้พัฒนาและผลิตรถแบบสปอร์ตของ Mercedes-Benz ตั้งแต่ปี 1991

Mercedes-C36-AMG

รถยนต์รุ่นแรกที่เอเอ็มจีผลิตร่วมกับกลุ่มบริษัทเดมเลอร์-เบนซ์ (ชื่อในขณะนั้น) คือรุ่น C 36 AMG ซึ่งวางจำหน่ายในปี 1993 ด้วยยอดขายสูงถึง 5,000 คันเมื่อนับถึงปี 1997 ถือเป็นรถยนต์ของ AMG ที่ขายดีที่สุดในขณะนั้น นอกจากนี้รถยนต์รุ่นนี้ยังได้รับการคัดเลือกให้เป็นรถ Safety Car อย่างเป็นทางการรุ่นแรกของการแข่งขันรถฟอร์มูล่าวัน ในปี 1996 อีกด้วย

Mercedes-C32-AMG

รถยนต์รุ่น C 32 AMG ที่ออกวางจำหน่ายในปี 2001 นั้นใช้ระบบเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด ที่พัฒนาขึ้นใหม่ร่วมกับเครื่องยนต์ 3.2 ลิตร V6 พร้อม Super charger นอกจากนี้ยังมีระบบสัมผัสอันเป็นนวัตกรรมใหม่ ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่เปลี่ยนเกียร์ได้ตามใจปรารถนา

Mercedes-Benz-SLS-AMG

รถสปอร์ต Mercedes-Benz SLS AMG ที่ออกวางจำหน่ายในปี 2009 ถือเป็นรถสปอร์ตรุ่นแรกที่ Mercedes-AMG พัฒนาขึ้นโดยไม่อาศัยทีมงานภายนอกบริษัทเลย ซึ่งรถรุ่นนี้ได้รับความนิยมจากลูกค้าทั่วโลก ด้วยเอกลักษณ์พิเศษมากมาย ทั้งเสียงเครื่องยนต์อันโดดเด่น สมรรถนะที่เหนือใคร และประตูที่ทรงปีกนกนางนวล

Mercedes-Benz-SLS-AMG-GT3

ในปี 2011 เอเอ็มจีผลิตรถแข่งรุ่นแรกของบริษัทฯ คือรถยนต์รุ่น SLS AMG GT 3 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่ตลาดรถสปอร์ตที่มีสมรรถนะสูงเทียบเท่ารถแข่งของแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์

Mercedes-AMG-GT-S

ในปี 2014 Mercedes-AMG ยังตอกย้ำภาพความเป็นผู้ผลิตรถสปอร์ตระดับแถวหน้าของโลก ด้วยการนำเสนอรถสปอร์ตระดับเรือธงตระกูล Mercedes-AMG GT ที่พัฒนามาจากรากฐานของรถสปอร์ตตระกูล SLS ซึ่งรถยนต์รุ่นนี้ถือเป็นรถสปอร์ตตระกูลที่ 2 ที่พัฒนาโดย Mercedes-AMG ทั้งหมด แนวคิดต่างๆ ทั้งการวางเครื่องยนต์ให้อยู่บริเวณตอนกลางของตัวรถ (Mid-Engine Concept) เพลาส่งกำลังแบบใหม่ รวมทั้งโครงสร้างตัวถังที่ใช้อะลูมิเนียมเป็นวัสดุหลักนั้นเป็นผลจากความตั้งใจของทีมวิศวกรที่ต้องการขับ เน้นประสบการณ์การขับขี่ที่น่าประทับใจที่สุด

Mercedes-AMG-A45

Mercedes-AMG จัดจำหน่ายรถยนต์ได้กว่า 70,000 คันในปี 2015 ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ ซึ่งตัวเลขนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากการขยายกลุ่มลูกค้าของแบรนด์ให้กว้างขึ้น ด้วยการนำเสนอ Compact สมรรถนะสูงตระกูล 43 รวมถึงรถยนต์ Mercedes-Benz รุ่น AMG ทั้งในตระกูล C-Class, SUV และ Compact

Mercedes-AMG ก้าวเข้าสู่ปีที่ 50 ในปี 2017 ด้วยสถิติยอดขายเกือบ 100,000 คัน ในปีก่อนหน้า

MBTh_50th-Anniversary-of-Mercedes-AMG_Photos

ปัจจุบัน นับตั้งแต่เดือนมกราคม 2017 ลูกค้าของ Mercedes-AMG จะมีรุ่นรถยนต์ให้เลือกสรรสูงถึง 50 รุ่นที่ครอบคลุมตั้งแต่รถยนต์คอมแพค ที่ใช้เครื่องยนต์แบบ 4 สูบ ที่ทรงพลังที่สุด รถสปอร์ตรุ่น S 65 ที่ใช้เครื่องยนต์ 12 สูบ รถซาลูนและรถเอสเตทที่ใช้เครื่องยนต์หลากหลายแบบ หรือแม้แต่รถ SUV รถยนต์สไตล์ Coupe รถเปิดประทุน Cabriolet และ Roadster

MBTh_50th-Anniversary-of-Mercedes-AMG_Photos

และ Mercedes-AMG ยังเป็นผู้พัฒนาเครื่องยนต์แบบ 8 สูบ ทั้งสำหรับรถยนต์ Mercedes-AMG และรถยนต์ Mercedes-Benz รุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ V8 โดยรถยนต์ เมอร์เซเดส-เบนซ์ อีกด้วย

โปรโมชั่นรถใหม่ ประจำเดือนตุลาคม 2560 เชิญชมได้ด้านล่างครับ.

Toyota

Toyota-Yaris-2017

Toyota Yaris ATIV

Toyota ปรับราคา Yaris และ Yaris ATIV ขึ้น 1-1.6 หมื่นรุ่นทุกย่อย

ราคาจำหน่าย Toyota Yaris ATIV ใหม่ มีดังนี้

– J Eco ราคาเดิม 469,000 บาท (เพิ่มขึ้น 10,000 บาท) เป็น 479,000 บาท
– J ราคาเดิม 529,000 บาท (เพิ่มขึ้น 10,000 บาท) เป็น 529,000 บาท
– E ราคาเดิม 549,000 บาท (เพิ่มขึ้น 10,000 บาท) เป็น 559,000 บาท
– G ราคาเดิม 599,000 บาท (เพิ่มขึ้น 10,000 บาท) เป็น 609,000 บาท
– S ราคาเดิม 619,000 บาท (เพิ่มขึ้น 16,000 บาท) เป็น 635,000 บาท

ราคาจำหน่าย Toyota Yaris ใหม่ มีดังนี้

– J Eco ราคาเดิม 479,000 บาท (เพิ่มขึ้น 10,000 บาท) เป็น 489,000 บาท
– J ราคาเดิม 529,000 บาท (เพิ่มขึ้น 10,000 บาท) เป็น 539,000 บาท
– E ราคาเดิม 559,000 บาท (เพิ่มขึ้น 10,000 บาท) เป็น 569,000 บาท
– G ราคาเดิม 609,000 บาท (เพิ่มขึ้น 10,000 บาท) เป็น 619,000 บาท

มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 เป็นต้นไป

Nissan

Nissan-Leaf

โปรดีจากนิสสัน ข้อเสนอพิเศษ

Note

ฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่ง Nissan Premium Protection 1 ปี*

“Nissan Easy Pay” ผ่อนเริ่มต้นเพียง 4,150 บาท* [(สำหรับงวดที่ 1-60), เงินดาวน์ 30% (170,400 บาท), ดอกเบี้ย 3.89% และงวดที่ 61 (227,200 บาท),คำนวณจากรุ่น 1.2V CVT ราคา 568,000 บาท]

Almera

ฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่ง Nissan Premium Protection 1 ปี

เลือกรับข้อเสนอพิเศษ*:
(1) “Nissan Easy Pay” ผ่อนเริ่มต้นเพียง 3,990 บาท [(สำหรับงวดที่ 1-60), เงินดาวน์ 30% (161,100 บาท),ดอกเบี้ย 2.13% และงวดที่ 61 (177,210 บาท), คำนวณจากรุ่น 1.2 E Sportech ราคา 537,000 บาท]
หรือ
(2) ดาวน์ต่ำสุด 19,999 บาท (คำนวณจากส่วนลดเงินดาวน์ 33,701 บาท ที่ดาวน์ 10% รุ่น 1.2 E Sportech ราคา537,000 บาท) และ คูปองน้ำมัน มูลค่า 8,000 บาท

Almera Nismo

ฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่ง Nissan Premium Protection 1 ปี

เลือกรับข้อเสนอพิเศษ*:
(1) “Nissan Easy Pay” ผ่อนเริ่มต้นเพียง 3,990 บาท [(สำหรับงวดที่ 1-60), เงินดาวน์ 32% (174,720 บาท), ดอกเบี้ย 2.56% และงวดที่ 61 (180,180 บาท), คำนวณจากรุ่น 1.2E NISMO ราคา 546,000บาท]
หรือ
(2) ดาวน์ต่ำสุด 19,999 บาท (คำนวณจากส่วนลดเงินดาวน์ 34,601 บาท ที่ดาวน์ 10% รุ่น 1.2 E NISMO ราคา 546,000 บาท)

X-Trail

อัตราดอกเบี้ยต่ำสุด 0% (เงินดาวน์ 30% ระยะเวลาผ่อนชำระ 24-48 เดือน)
ฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่ง Nissan Premium Protection 1 ปี

Navara

Single Cab

ราคาพิเศษ 499,000 บาท*
ฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่ง Nissan Premium Protection 1 ปี
* สำหรับ S/Cab S 6MT

King Cab

ฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่ง Nissan Premium Protection 1 ปี
เลือกรับข้อเสนอพิเศษ:
(1) ข้อเสนอพิเศษ มูลค่า 80,000 บาท*
หรือ
(2) “Nissan Easy Pay” ผ่อนเริ่มต้นเพียง 4,500บาท [(สำหรับงวดที่ 1-60), เงินดาวน์ 24% (149,280 บาท), ดอกเบี้ย 1.92% และงวดที่ 61 (248,800 บาท), คำนวณจากรุ่น K/Cab 17.2MY S 6MT ราคา 622,000 บาท]
* สำหรับรุ่น K/Cab Sportech

Double Cab

ราคาพิเศษ 629,000 บาท*
ฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่ง Nissan Premium Protection 1 ปี
* สำหรับรุ่น D/Cab S 6MT ที่เช่าซื้อกับบริษัท นิสสัน ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด เท่านั้น

Navara

Sportech

อัตราดอกเบี้ย 0* (เงินดาวน์ 25%, ระยะเวลาผ่อนชำระ 24-48 เดือน)
ฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่ง Nissan Premium Protection 1 ปี
เพิ่มมูลค่ารถเก่าเมื่อแลกซื้อรถใหม่ (Trade-in bonus) 10,000 บาท

Black Edition

อัตราดอกเบี้ย 0* (เงินดาวน์ 25%, ระยะเวลาผ่อนชำระ 24-48 เดือน)
ฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่ง Nissan Premium Protection 1 ปี

Sylphy

MY2016
ฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่ง Nissan Premium Protection 1 ปี
อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 0% (เงินดาวน์ 30%, ระยะเวลาผ่อนชำระ 24-48 เดือน)
ข้อเสนอพิเศษ มูลค่า 20,000 บาท

MY2018
ฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่ง Nissan Premium Protection 1 ปี
อัตราดอกเบี้ย 0% (เงินดาวน์ 30%, ระยะเวลาผ่อนชำระ 24-48 เดือน)

Teana

อัตราดอกเบี้ยต่ำสุด 0% (เงินดาวน์ 25%, ระยะเวลาผ่อนชำระ 24-48 เดือน)
ฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่ง Nissan Premium Protection 1 ปี

March (20 กม./ลิตร)

ฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่ง Nissan Premium Protection 1 ปี

เลือกรับข้อเสนอพิเศษ*:
(1) “Nissan Easy Pay” ผ่อนเริ่มต้นเพียง 3,330 บาท [(สำหรับงวดที่ 1-60), เงินดาวน์ 23% (92,400 บาท), ดอกเบี้ย 1.15% และงวดที่ 61 (147,000บาท), คำนวณจากรุ่น 1.2 S MT ราคา 420,000 บาท] หรือ
(2) ดาวน์ต่ำสุด 4,999 บาท (คำนวณจากส่วนลดเงินดาวน์ 37,001 บาท ที่ดาวน์ 10% รุ่น 1.2 S MT ราคา 420,000 บาท)

– เงื่อนไขพิเศษนี้สำหรับลูกค้าที่เช่าซื้อกับ บ. นิสสัน ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จก.
– สำหรับลูกค้าที่จองและรับรถภายในวันที่ 1-31 ตุลาคม 2560

Honda

Honda-Promotion-10-2017

ออกรถฮอนด้า คุ้มค่า กับข้อเสนอพิเศษ วันนี้ – 31 ตุลาคม 2560

Mazda

Mazda2

Mazda2

ทางเลือกที่ 1 : ดอกเบี้ย 2.15% ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี และ Mazda Care Program 3 ปี

ทางเลือกที่ 2 : ดาวน์ 5% ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี

Mazda3

ดอกเบี้ย 1.99%
ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี
และ Mazda Care Program 3 ปี

Mazda CX-3

ดอกเบี้ย 2.15%
ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี
และ Mazda Care Program 3 ปี

Mazda CX-5

ทางเลือกที่ 1 : ดอกเบี้ย 0% นาน 6 ปี ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี และ Mazda Care Program 3 ปี

ทางเลือกที่ 2 : ดาวน์ 5% ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี และ Mazda Care Program 3 ปี

ทางเลือกที่ 3 : ผ่อนเริ่มต้น 13,900 บาท/เดือน ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี และ Mazda Care Program 3 ปี

Mazda MX-5

ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี
และโปรแกรมขยายการรับประกันคุณภาพรถยนต์สูงสุด 5 ปี หรือ 140,000 กิโลเมตร

Mazda BT-50 PRO

ดาวน์เริ่มต้น 35,000 บาท
ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี
และ Mazda Care Program 5 ปี

Mitsubishi

Mitsubishi-Attrage-Promotion-10-2017

ข้อเสนอสุดพิเศษ สำหรับมิตซูบิชิ มิราจ และ แอททราจ

ฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่ง 3 ปี พร้อมกล้อง Action Camera รวมมูลค่าสูงสุด 52,000 บาท*
ฟรี รับประกันคุณภาพรถยนต์ (Diamond Warranty) นาน 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (แล้วแต่ระยะใดจะถึงก่อน)**
ฟรี ค่าแรงเช็คระยะ 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (แล้วแต่ระยะใดจะถึงก่อน)**
ฟรี บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง นาน 3 ปี*
1 – 31 ต.ค. 2560

เงื่อนไข:
*สำหรับลูกค้าที่จองและรับรถยนต์มิตซูบิชิ มิราจทุกรุ่น ตั้งแต่วันที่ 1 – 31 ตุลาคม 2560 รับฟรีเบี้ยประกันภัยชั้นหนึ่งไดมอนด์ โพรเทคชั่น พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง เป็นระยะเวลานาน 3 ปี มูลค่าสูงสุด 47,238 บาท ตามเงื่อนไขการรับประกันภัยและทุนประกันภัยที่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กำหนด และ รับฟรีกล้อง Action Camera ระบบ 4K มูลค่า 3,990 บาท โดยเงื่อนไขการรับประกันกล้องดังกล่าวเป็นไปตามที่ บริษัท แบรนด์ ไอเดนติตี้ แอนด์ อินโนเวชั่น จำกัด กำหนด อนึ่ง ลูกค้าควรศึกษาวิธีการใช้งาน และข้อควรระวัง ที่ระบุไว้ในคู่มือการใช้งานกล้อง

**การรับประกันคุณภาพรถยนต์ (Diamond Warranty) 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (แล้วแต่ระยะใดจะถึงก่อน) ระยะเวลาการรับประกันของชิ้นส่วนและอุปกรณ์แต่ละชนิดอาจแตกต่างกันตามที่ระบุไว้ในสมุดรับบริการและคู่มือการใช้รถ และรายการฟรีค่าแรงเช็คระยะนาน 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (แล้วแต่ระยะใดจะถึงก่อน) มูลค่า 7,650 บาท อัตราค่าแรงที่นำมาคำนวณอ้างอิงจากอัตราค่าแรงกลาง บริการฟรีเฉพาะค่าแรงเช็คระยะตามที่กำหนดไว้ในบัตรตรวจเช็คระยะฟรีในสมุดรับบริการและคู่มือการใช้รถ ซึ่งรถยนต์ของลูกค้าจะได้รับการตรวจสอบและบำรุงรักษาตามรายการที่ระบุไว้ โดยลูกค้าสามารถเข้ารับบริการที่ศูนย์บริการมาตรฐานของผู้จำหน่ายมิตซูบิชิที่ได้รับการแต่งตั้งเท่านั้น

Mitsubishi-Triton-Promotion-10-2017

ข้อเสนอสุดพิเศษ สำหรับมิตซูบิชิ ไทรทัน

ฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่ง 3 ปี พร้อมกล้อง Action Camera รวมมูลค่าสูงสุด 69,000 บาท
ฟรี รับประกันคุณภาพรถยนต์ (Diamond Warranty) นาน 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (แล้วแต่ระยะใดจะถึงก่อน)
ฟรี ค่าแรงเช็คระยะ 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (แล้วแต่ระยะใดจะถึงก่อน)
ฟรี บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง นาน 3 ปี
1 – 31 ต.ค. 2560

Mitsubishi-PajeroSport-Promotion-10-2017

ข้อเสนอสุดพิเศษ สำหรับมิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ใหม่

ฟรี กล้อง Action Camera ระบบ 4K มูลค่า 3,990 บาท
ฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่ง 3 ปี
ฟรี รับประกันคุณภาพรถยนต์ (Diamond Warranty) นาน 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (แล้วแต่ระยะใดจะถึงก่อน)
ฟรี ค่าแรงเช็คระยะ 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (แล้วแต่ระยะใดจะถึงก่อน)
ฟรี บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง นาน 3 ปี
1 – 31 ต.ค. 2560

Mitsubishi-Promotion-9-10-2017

เพื่อเป็นการตอกย้ำถึงความพึงพอใจของลูกค้าของ มิตซูบิชิ เจ้าของรถยนต์ มิตซูบิชิ1 สามารถนำรถยนต์เข้ารับบริการที่ศูนย์บริการมาตรฐานของ มิตซูบิชิ มากกว่า 200 แห่งทั่วประเทศ เช็ครถยนต์ฟรี 21 รายการ พร้อมรับส่วนลดพิเศษ 10%1 สำหรับค่าอะไหล่ที่ร่วมรายการ รวมไปถึงเบรก โช๊คอัพ และเคมีภัณฑ์ เมื่อลูกค้านำรถยนต์เข้ารับบริการเช็คระยะ1 ทั้งนี้ ลูกค้าที่เข้ารับบริการตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นไป รับของที่ระลึกฟรีเป็น ไฟฉายฉุกเฉินอเนกประสงค์ มูลค่า 400 บาท โดยข้อเสนอพิเศษทั้งหมด มีผลตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2560

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมอบแคมเปญพิเศษให้กับลูกค้าใหม่ของ มิตซูบิชิ ฟรีกล้องแอคชั่น คาเมร่า พร้อม แพคเกจ 35531 ประกอบไปด้วย ประกันภัยชั้น 1 ฟรี 3 ปี และฟรีการรับประกันคุณภาพรถยนต์นาน 5 ปี2 พร้อมฟรีค่าแรงการเช็คระยะนาน 5 ปี2 ทั้งยังมีบริการช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมงเป็นเวลานาน 3 ปี สำหรับผู้ซื้อรถยนต์ มิตซูบิชิ รุ่นใหม่ ทุกรุ่นทั้ง ปาเจโร สปอร์ต, ไทรทัน, แอททราจ และ มิราจ

1 เงื่อนไขเป็นไปตามบริษัทฯ กำหนด
2 5 ปีหรือ 100,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน

Isuzu

Isuzu-D-MAX-Promotion-10-2017

อีซูซุดีแมคซ์ บลูเพาเวอร์ ซื้อง่าย!… ทุกข้อเสนอ

(1) กรณีดาวน์ 5% / คำนวณจากรุ่นสเปซแค็บ เอส 1,900 ซีซี เกียร์ธรรมดา สีธรรมดา (2) ผ่อนเพียง 4,990 บาทต่อเดือน โดยคำนวณค่างวดต่อเดือนจากงวดที่ 1-59 สำหรับกรณีดาวน์ 28% ผ่อน 60 เดือน / อ้างอิงอัตราดอกเบี้ย ณ เดือน ตุลาคม 2560 / คำนวณจากรุ่นสเปซแค็บ เอส 1,900 ซีซี เกียร์ธรรมดา สีธรรมดา / รายการส่งเสริมการขายนี้ไม่รวมถึงรถรับจ้าง รถเช่า รถที่ซื้อภายใต้เงื่อนไขพิเศษอื่นๆ และรถที่ขายฟลีท / บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขโดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า / เฉพาะผู้จำหน่ายอีซูซุที่ร่วมโครงการ / ของแถมไม่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้

Isuzu-D-MAX-V-Cross-Promotion-10-2017

ลุยเหนือชั้น เต็มพลังออฟโรด ตั้งแต่ 1-31 ต.ค. 2560

(*) เงื่อนไขเป็นไปตามที่สถาบันการเงิน (บริษัท ตรีเพชรอีซูซุลิสซิ่ง จำกัด) ที่ร่วมรายการกับบริษัทฯ กำหนด / รายการส่งเสริมการขายนี้ไม่รวมถึงรถรับจ้าง รถเช่า รถที่ซื้อภายใต้เงื่อนไขพิเศษอื่นๆ และรถที่ขายฟลีท / บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขโดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า / สำหรับผู้ที่ซื้อรถปิกอัพอีซูซุ ดีแมคซ์ รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ทุกรุ่น /อ้างอิงอัตราดอกเบี้ย ณ เดือนตุลาคม 2560 / เฉพาะผู้จำหน่ายอีซูซุที่ร่วมโครงการ / ของแถมไม่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้

Isuzu-MU-X-Promotion-10-2017

เอกสิทธิ์พิเศษ เมื่อซื้อ ใหม่! อีซูซุมิว-เอ็กซ์ บลูเพาเวอร์ เงื่อนไขไฟแนนซ์สุดพิเศษดอกเบี้ยเพียง… 1.30% และเงื่อนไขพิเศษอื่นๆ วันนี้ – 31 ต.ค. 2560

*อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 1.30% เมื่อซื้อรถ ใหม่! อีซูซุมิว-เอ็กซ์ บลูเพาเวอร์ เงื่อนไขไฟแนนซ์เป็นไปตามที่ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุลิสซิ่ง จำกัด กำหนดอ้างอิงดอกเบี้ยเดือน กันยายน-ตุลาคม 2560

MG

MG-Promotion-9-2017

MG Mega Bonus โปรโมชั่นสุดคุ้มค่าที่ทำให้คุณเป็นเจ้าของรถ MG ได้ง่ายขึ้น พบกับข้อเสนอสุดพิเศษ รถยนต์ MG ทุกรุ่น ที่โชว์รูม MG พร้อมกันทั่วประเทศ วันนี้ – 31 ต.ค. 2560

Chevrolet

Chevrolet-Promotion-9-2017

เชฟโรเลต… ฝนนี้มีเซอร์ไพรส์ ดอกเบี้ย 0.99% พิเศษ ฟรีประกันชั้น 1 ทุกรุ่น อย่าพลาด ข้อเสนอเฉพาะคุณ ที่โชว์รูมเชฟโรเลต ทั่วประเทศ 1-31 ต.ค. 2560

Honda-StepWGN-Spada

ปรับหน้าตาดูทันสมัย ควบคู่ไปกับเครื่องยนต์พลังไฮบริด

Honda StepWGN / StepWGN Spada (ฮอนด้า สเตปแวกอน / สเตปแวกอน สปาด้า) โฉมปัจจุบันที่วางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่น เปิดตัวครั้งแรกเมื่อเดือนเมษายน 2015 ก็ได้เวลาปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ เพื่อช่วงชิงยอดขายจากคู่แข่งซะที

Honda-StepWGN-Spada

โดย StepWGN Spada โฉมไมเนอร์เชนจ์ที่คุณกำลังเห็นอยู่นี้ ทาง Honda ได้ปรับปรุงหน้าตาให้ดูทันสมัย (หรือดูเหมือนหุ่นยนต์?) และร่วมสมัยกับการออกแบบในฮอนด้ารุ่นอื่นๆ อาทิเช่น ชุดกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ มาพร้อมไฟหน้าแบบ LED รวมไปถึงชุดไฟท้ายแบบ LED และสปอยเลอร์หลังดีไซน์ใหม่ เป็นต้น

Honda-StepWGN-Spada

Honda-StepWGN-Spada

มาพร้อมมิติตัวถังยาว 4,695 มม. (รุ่น Spada 4,760 มม.) กว้าง 1,695 มม. สูง 1,840 มม. และระยะฐานล้อ 2,890 มม.

Honda-StepWGN-Spada

Honda-StepWGN-Spada

ห้องโดยสารภายใน สะดวกสบายด้วยเบาะนั่งผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้ามี Heater ในเบาะ สนุกไปกับระบบ Infotainment แบบหน้าจอสัมผัส คอนโซลกลางติดตั้ง USB จ่ายไฟ 2 จุด ติดตั้งเครื่องเล่น DVD แบบพับเก็บได้ พร้อมหน้าจอขนาด 9 นิ้ว สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง พร้อมระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ Triple Zone และระบบฟอกอากาศ Plasma Cluster เป็นต้น

Honda-StepWGN-Spada

Honda-StepWGN-Spada

Honda StepWGN Spada ไมเนอร์เชนจ์ มาพร้อมระบบความปลอดภัย Honda Sensing ใหม่ ประกอบด้วยระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน – Adaptive Cruise Control (ACC), ระบบเตือนการชนด้านหน้าและตรวจจับคนเดินถนนด้วยกล้องและเรดาร์พร้อมระบบช่วยเบรก- Collision Mitigation Braking System (CMBS), ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ – Lane Keeping Assist System (LKAS) รวมไปถึงระบบแจ้งเตือนและช่วยเหลือเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ – Road Departure Mitigation (RDM) with Lane Departure Warning (LDW) เป็นต้น

Honda-StepWGN-Spada

Honda StepWGN Spada มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร รหัส L15B แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว VTEC Turbo Intercooler ให้แรงม้าสูงสุด 150 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 20.7 กก.-ม. (203 นิวตันเมตร) ที่ 1,600-5,500 รอบ/นาที ประหยัดน้ำมันได้ดีเลยทีเดียว ให้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง (ตามโหมด JC08) ได้มากถึง 17.0 กม./ลิตร ในรุ่น B 2WD ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ CVT

และเครื่องยนต์ไฮบริด ขนาด 2.0 ลิตร รหัส LFA-H4 แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว i-VTEC + i-MMD ให้แรงม้าสูงสุด 145 แรงม้า (PS) ที่ 6,200 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 17.8 กก.-ม. (175 นิวตัน-เมตร) ที่ 4,000 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ให้แรงม้าสูงสุด 184 แรงม้า (PS) ที่ 5,000-6,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 32.1 กก.-ม. (315 นิวตัน-เมตร) ที่ 0-2,000 รอบ/นาที ให้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง (ตามโหมด JC08) ได้มากถึง 25.0 กม./ลิตร และส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ CVT

Honda StepWGN Spada มีสีให้เลือกทั้งหมด 8 สี และ 5 รุ่นย่อย ในราคาเริ่มต้นที่ 2,852,280 เยน ไปจนถึง 3,559,680 เยน

Honda-StepWGN-Spada

ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก www.honda.co.jp