Rover-LandRover-RangeRover

สิ่งที่เรากำลังจะคุยกันต่อไปนี้ น่าจะเป็นคำถามที่คนขายรถ เต็นท์รถมือสอง ไปจนถึงเซลส์ขายรถจำนวนมาก ต้องเคยถูกลูกค้าถามมาก่อน ว่า Rover (โรเวอร์), Land Rover (แลนด์ โรเวอร์) และ Range Rover (เรนจ์ โรเวอร์) (อาจรวมแบรนด์ Roewe ด้วย) เป็นรถยี่ห้อเดียวกันหรือเปล่า?

MR.CARRO แน่ใจว่า มีคนไทยจำนวนไม่น้อยเลยที่ยังสับสนในเรื่องนี้ เพราะในตลาดรถยนต์บ้านเรานิยมรถญี่ปุ่นกันส่วนใหญ่ ถ้าหากถามเรื่องรถ Toyota, Honda รับรองว่าเข้าใจตรงกัน ไม่มีสับสนอย่างแน่นอน

เอาล่ะ MR.CARRO จะมาเคลียร์กันให้ชัดๆ ไปเลยครับว่า Rover, Land Rover และ Range Rover สรุปว่ามันยี่ห้อเดียวกันมั้ย?

Rover-Mini-Cooper-S-Final-Edition-UK-Spec

Rover Mini รถยอดฮิตในยุค 90 ของ Rover Group ในบ้านเรา

รถ Rover กับ Land Rover (และ Range Rover) ในปัจจุบัน ถือเป็นรถคนละยี่ห้อกัน แต่ยังคงมีความเกี่ยวข้องกันในอดีต ดังนี้

– Land Rover เป็นชื่อยี่ห้อหรือแบรนด์ (Make) ซึ่งถือกำเนิดขึ้นในปี 1948
– ส่วน Range Rover เป็นชื่อรุ่น (Model) และถือกำเนิดขึ้นในปี 1970
– แต่ Rover เป็นบริษัทผู้ผลิตในอดีต! (หรือเป็นที่รู้จักในนาม Rover Company และ Rover Group) อดีตเป็นบริษัทในเครือของ BMW ปัจจุบันเป็นแบรนด์ในเครือของ TATA Motors ซึ่ง Rover ยังไม่มีผลิตรถขายในตอนนี้ …
– อีกฟากหนึ่งของโลก SAIC Motor ของจีน ได้ตัดสินใจซื้อแบรนด์ MG (MG เคยเป็นแบรนด์รถที่เคยอยู่ในเครือของ Rover Group) ในปี 2548 ช่วงที่อุตสาหกรรมยานยนต์ในอังกฤษล่มสลาย จากทาง BMW (ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์รถทั้งหมดของ Rover Group ในเวลานั้น) และเคยร่วมทุนประกอบรถยนต์ Rover ในเซี่ยงไฮ้ พอเมื่อรถยนต์ Rover เลิกกิจการ ทาง SAIC ก็ยังประกอบรถขายต่อ แต่ไม่ได้ซื้อแบรนด์ Rover ต่อจาก BMW จึงต้องเปลี่ยนชื่อมาเป็น “Roewe” (โรวี่) แทน

สรุปคือ

– Land Rover กับ Rover ในอดีตนั้น เป็นคนละยี่ห้อกัน! แต่ผลิตจากบริษัทเดียวกัน
– และ Jaguar Land Rover Corporate เป็นบริษัทที่เกิดจากรวมกันของ Jaguar และ Land Rover ภายใต้การบริหารของบริษัทแม่ในปัจจุบัน ซึ่งก็คือ TATA Motors

Rover-600

Rover 623 GSi อีกรุ่นยอดฮิต ของ Rover บ้านเราในอดีต

ถ้าคุณยังสับสนอยู่ Carro มี Timeline ให้คุณดู! วงจรชีวิตอันแสนสับสนวุ่นวายของ Land Rover มีดังนี้

จะเห็นได้เลยว่า Land Rover นั้นถูกส่งต่อไปหลายบริษัทมาก และสามารถสังเกตได้ในช่วงตั้งแต่ปี 1994 – 2008 จะพบว่า Land Rover และ Range Rover เคยอยู่กับ BMW ตั้งแต่ปี 1994 ต่อมาในปี 2000 BMW ได้ขายให้กับกลุ่ม Ford Premier Automotive Group (PAG) ไป

ส่วน Jaguar นั้นมาเอี่ยวด้วยในตอนท้าย เพราะ Ford ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Jaguar และ Land Rover ตัดสินใจขายบริษัทลูกทั้งสองให้กับ TATA Motors ในปี 2008 แล้ว TATA Motors ซึ่งเป็นบริษัทแม่ ก็จับเอา Jaguar กับ Land Rover มายัดเข้าในบริษัทลูกที่มีชื่อว่า Jaguar Land Rover Corporate

Land-Rover-Defender-110

Land Rover Defender รถรุ่นสร้างชื่อเสียงของ Land Rover ในบ้านเราตั้งแต่อดีต

หากจะพูดถึงประวัติของรถ Rover, Land Rover และ Range Rover ในไทย ก็ขอย้อนไปสักประมาณยุค 90 ในยุคนั้น กำแพงภาษีรถยนต์ถูกลดลงมา ทำให้บรรดาบริษัทรถนำเข้าได้นำเข้ามาขายในไทยกันเพียบ ซึ่งรวมถึงรถยี่ห้อ Rover, Land Rover, Range Rover และ MG ซึ่งอยู่ในเครือ Rover Group ถูกนำเข้ามาขายโดย บริษัท ไทยอัลติเมทคาร์ จํากัด (เป็นบริษัทลูกของทาง ไทยรุ่งยูเนี่ยนคาร์ ของตระกูลเผอิญโชค ปัจจุบันขายแค่รถยนต์ของ Thairung อย่างเดียว)

จากความผันผวนทางด้านเศรษฐกิจเข้ามาเยือนไทยเมื่อปลายปี 2539 ทำให้ ไทยอัลติเมทคาร์ ได้รับผลกระทบจากยอดขายที่หดตัวลงอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ต้นปี 2540 เป็นต้นมา ถึงแม้ว่าจะสามารถรักษาระดับยอดขายเอาไว้ได้ก็ตาม

ต่อมาบริษัทก็เกิดวิกฤต จนต้องขายรถเหลือเพียงแค่แบรนด์ Land Rover และ Range Rover เท่านั้น ก่อนที่ ไทยอัลติเมทคาร์ จะเลิกขายรถที่นำเข้าจากอังกฤษไปประมาณปลายปี 2552

Range-Rover

Range Rover รถ SUV สุดหรู ยอดนิยมของผู้บริหารในบ้านเรามาตั้งแต่ยุค 90

บริษัท กัววา อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ถือสิทธิ์แบรนด์แลนด์โรเวอร์ และเรนจ์โรเวอร์ ในยุโรปและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ ASEAN ครอบคลุม 27 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วย จึงแต่งตั้งผู้แทนจำหน่ายรายใหม่ 2-3 เจ้า (ซึ่งอยู่ได้ไม่นาน ก็ปิดไปเพราะปัญหาทางการเงิน) ก่อนจะมาได้ บริษัท อินช์เคป (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ Jaguar และ Land Rover ในปัจจุบัน

คงต้องพูดกันตรงๆ ว่า Land Rover ก็ไม่ใช่ค่ายรถที่มียอดขายรถในไทยสูงสักเท่าไหร่ ไม่เชื่อลองถามหา Land Rover รุ่นยอดนิยมสิ คนที่จะตอบคุณได้นั้น หากไม่ใช่คนที่ติดตามข่าวในแวดวงยานยนต์อย่างสม่ำเสมอ ก็น่าจะเป็นคนที่เล่นรถประเภทนี้จริงๆ หรือชื่นชอบรถยุโรปเป็นทุนเดิม ซึ่งก็ไม่ใช่กลุ่มที่ใหญ่มากในประเทศไทย

เหตุปัจจัยที่น่าจะเป็นตัวการให้ Land Rover ไม่บูมในประเทศไทยเท่าที่ควร ก็คงจะเป็นราคาจำหน่ายที่สูงมาก ค่านิยม กับรถรุ่นที่ตัวแทนจำหน่ายเลือกเข้ามาขาย รวมถึงจำนวนศูนย์บริการที่มีไม่มาก นี่ไม่ใช่ปัญหาของ Land Rover เพียงค่ายเดียว แต่ยังรวมถึงค่ายรถยุโรปหลายๆ เจ้าอีกด้วย

Range-Rover-Sport-Plug-in-Hybrid-2018

Range Rover ในปัจจุบัน ในราคาบ้านเราที่สูงลิบลิ่ว

จบไปแล้วกับสาระความรู้ว่าด้วยเรื่องของ Land Rover หากคุณไม่อยากพลาดเรื่องราวข่าวสารใหม่ๆ และสนใจรับโปรเด็ดๆ ก่อนใคร กดติดตาม Fanpage CARRO Thailand แล้วเราจะได้ใกล้ชิดกันมากกว่าเดิม!

ส่วนถ้าใครอยากขายรถ สามารถขายรถคันเดิมกับ CARRO Express ได้ เรายินดีรับซื้อรถของคุณ ได้เงินไว เร็ว พร้อมปิดการขายได้ทันที แค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรืออยากตีราคารถก่อน สามารถ Inbox สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ —> เพิ่มเพื่อน

แหล่งข้อมูลบางส่วนจาก:

nissan-sylphy

รีวิว Nissan Sylphy นิสสัน ซิลฟี่ มีดีที่ขนาด (ใหญ่)

รีวิว Nissan Sylphy นิสสัน ซิลฟี่ มีดีที่ขนาด (ใหญ่)

ดูเหมือนความนิยมของรถในกลุ่มคอมแพ็คคาร์ที่มีผู้เล่นในตลาดอย่างโตโยต้า อัลติส , ฮอนด้า ซีวิค , มาสด้า3 , เชฟโรเลต ครูซ , ฟอร์ด โฟกัส , นิสสัน ซิลฟี

ดูจะเงียบเหงา แลดูไม่ค่อยคึกคักสักเท่าไรสำหรับเซกเมนต์นี้ แต่เร็วๆนี้คาดว่าตลาดจะมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดอีกระลอก เพราะฮอนด้าจะมีการเปิดตัวซีวิคในรุ่นใหม่ เช่นเดียวกับฟอร์ด โฟกัส ส่วนโตโยต้า อัลติส ,มาสด้า 3 ก็ยังคงสดใหม่ หรือเชฟโรเลต ครูซ ที่แอบไปแต่งหน้าทาปาก

ขณะที่แบรนด์ที่ยังดูนิ่งๆน่าจะเป็น นิสสัน ซิลฟี่ ซึ่งวันนี้ผู้เขียนจะหยิบมาบอกเล่าว่ารถรุ่นนี้มีอะไรพกพาดีไซน์แบบไหน โดยก่อนหน้าที่จะเล่าถึงรูปลักษณ์ ก็ต้องบอกก่อนว่ารถรุ่นนี้มีขนาดเครื่องยนต์ให้เลือก 2 แบบ ได้แก่รุ่น1.6 ลิตร และ 1.8 ลิตร โดยในรุ่น 1.6 ลิตรนั้นมีตัวเลือกเพิ่มขึ้นมาด้วยการใส่เทอร์โบ ซึ่งใครที่เป็นสาวกของค่ายนิสสันก็ย่อมจะรู้ว่าเทอร์โบจากค่ายนี้มันไม่ธรรมดาแน่ๆ อย่างไรก็ตามวันนี้เราจะพาไปสัมผัสกับในรุ่น1.8ลิตร ที่มีให้เลือกด้วยกัน  2 รุ่นย่อยคือ V และ SV สนนราคาก็ตั้งแต่ 914,000 – 933,000 บาท

โดยการออกแบบด้านหน้าจะเห็นกระจังหน้า – กันชนหน้าดีไซน์สปอร์ต แตกต่างเพียงเล็กน้อยกับในรุ่น1.6 ลิตรตัวล่างที่เป็นกระจังหน้าแบบโครเมียม เช่นเดียวกับไฟหน้าที่มาพร้อมกับไฟหน้าโปรเจคเตอร์เลนส์ ซีนอน สามารถปรับระดับอัตโนมัติ มีไฟตัดหมอกคู่หน้าให้ ไฟหรี่และบั้นท้ายของซิลฟีเป็นแบบแอลอีดี มุมมองด้านข้างจะเห็นสเกิร์ตเล็กๆให้ดูมีมิติ มีความเป็นสปอร์ต ตัวเส้นสายด้านข้างทำให้ตัวรถไม่ดูแข็งกระด้างเกินไป ส่วนล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้วก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่แต่อย่างใด แต่ถ้าถามว่าสวยที่สุดหรือยัง หรือเหมาะกับดีไซน์ตัวรถไหม…ก็ต้องบอกว่า…ยังไม่สุด!สำหรับดีไซน์ล้อแบบนี้

มาดูภายในห้องโดยสารกันบ้าง โดยรวมๆประเมินจากสายตาถือว่ากว้างขวางมาก โดยมิติของรถรุ่นนี้มีความยาว 4,615 มม. ความกว้าง 1,760 มม. ความสูง 1,495 มม. ซึ่งถือว่าสูงที่สุดเมื่อเทียบกับรุ่นอื่นๆในคลาสเดียวกัน ส่วนภายในห้องโดยสารของรุ่น1.8 ลิตรจะมีให้เลือก 2 แบบคือสีเบจ ในรุ่น V  และสีดำในรุ่น  SV  วัสดุภายในก็มีทั้งแบบลายไม้และสีเงิน มาดูที่พวงมาลัยกันบ้าง โดยตัวพวงมาลัยหุ้มหนังสามารถปรับระดับได้4ทิศทาง และสามารถสั่งงานต่างๆผ่านปุ่มมัลติฟังก์ชั่นทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น ระบบเปลี่ยนหน้าจอ MID บนพวงมาลัย ,การควบคุมเครื่องเสียง , Cruise Controlระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ

ตัวมาตรวัดของซิลฟีเป็นแบบอนาล้อกเรืองแสงและสามารถปรับระดับแสงได้ ถือว่าดูง่าย สบายตา ตัวจอมัลติฟังก์ชั่น ดิสเพลย์จะให้ข้อมูลอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันในขณะขับขี่ หรืออัตราสิ้นเปลืองโดยเฉลี่ย,ความเร็วเฉลี่ย ,ระยะทางที่ขับขี่, อุณหภูมิภายนอก  ตรงคอนโซลกลางจะพบกับระบบปรับอากาศแยกซ้ายขวา อัตโนมัติ ต่ำลงมาจะเจอกับหน้าจอแอลอีดีขนาด 5 นิ้ว พร้อมทั้งความบันเทิงต่างๆอาทิ เครื่องเล่นวิทยุ,ซีดี,เอ็มพี3,ช่องเสียบ AUX IN ลำโพง 6 ตัว,สามารถเชื่อมต่อ Bluetooth และระบบนิสสัน คอนเนคแอพพลิเคชั่นที่เอาไว้เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนเพื่อท่องโลกออนไลน์หรือโลกโซเซียลของเรา

ด้านความสบายในห้องโดยสาร สำหรับผู้ขับขี่นั้น ตัวเบาะที่นั่งปรับได้ 6 ทิศทาง ส่วนเบาะผู้โดยสารด้านหน้าปรับได้ 4 ทิศทาง พื้นที่ด้านหน้ากว้างขวางนั่งสบายไม่อึดอัด เช่นเดียวกับด้านหลังสามารถนั่งสามคนได้สบาย ไม่ว่าจะสูงยาว-อ้วนเตี้ยก็รับได้ แถมด้านหลังยังมีช่องแอร์เป็นของตัวเอง ถือว่าเป็นจุดเด่นของรถรุ่นนี้เลยก็ว่าได้  และที่โดดเด่นอีกประการของรถรุ่นนี้ก็คือ พื้นที่ด้านหลังในการเก็บของมีความจุมากถึง 510 ลิตร ซึ่งถือว่าเยอะมาก เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบการขนของสัมภาระต่างๆ

โดยรวมแล้วในแง่ของดีไซน์ ยังไม่ถึงกับว้าว แต่ถ้าพูดถึงจุดเด่นอย่างห้องโดยสารที่กว้างขวาง สะดวกสบายก็ถือว่าตอบโจทย์ เอาเป็นว่าใครที่กำลังมองหารถในเซกเมนต์นี้อยู่ ก็ลองแวะเข้าไปสัมผัสและทดลองขับกันก่อนจะตัดสินใจกันอีกที

ถ้าถามเฉพาะเรื่องหน้าตาการออกแบบ ก็ต้องบอกว่าสวยงามตามมาตรฐาน แต่ไม่ถึงกับต้องร้อง “ว้าว” เพราะผู้เขียนมองแว่บแรกนึกว่า อัลเมร่า ซึ่งเป็นอีโคคาร์ที่มีขนาดที่ใหญ่มากกกกกและเป็นรุ่นที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าของนิสสัน แต่พอมาดูมุมด้านข้างกับการตกแต่ง อุปกรณ์ต่างๆแล้วก็ค่อยร้องอ๋อ..นี่มันซิลฟี่จ๊ะ!! มิใช่ อัลเมร่า!!

ส่วนข้อดีของรถรุ่นนี้ที่ประทับใจก็คือภายในห้องโดยสารที่กว้างขวาง ใครที่ต้องการความโอ่อ่าสะดวกสบายก็น่าจะถูกใจกับเจ้ารถรุ่นนี้ไม่น้อย

mazda-bt-50

Review Mazda BT-50 จากหนุ่มหล่อเจ้าสำอาง กลายมาเป็นหนุ่มหล่อคมเข้ม

พูดถึงตลาด รถปิกอัพ ในบ้านเรา แน่นอน ว่าภาพจำของหลายคน หน้าตา ของรถปิกอัพนั้นจะต้อมีสไตล์ แข็งแกร่ง บึกบึน  พร้อมลุยไปในทุกเส้นทาง แต่สำหรับมาสด้า บีที -50 คันนี้ ต้องบอกว่าภาพจำดังกล่าวค่อยๆ เลือนหาย

ตั้งแต่มาสด้าส่ง บีที -50 คันนี้ออกสู่ตลาดบ้านเราเมื่อช่วง 3 ปีที่ผ่านมาหรือ ราวปี พ.ศ.2555 ได้สร้างปรากฎการณ์ใหม่ให้กับตลาดปิกอัพ เพราะมาสด้าตั้งใจให้ รถ คันนี้ออกมาเป็นรถปิกอัพเข้าไปมาขึ้น เน้น ความสะดวกสบายภายในห้องโดยสาร ใส่ความเป็นรถเก๋ง หรือพูดให้เข้าใจ มากขึ้น คือ ใส่ความเป็นเมือง เติมความหรูหรา  ให้เป็นรถปิกอัพที่ อัพเกรด ขับขี่ใช้ชีวิตในสังคมเมืองได้แบบไม่เคอะเขิน

แต่ในความเป็นจริงดูจะขัดแย้งกับโพซิชั่นที่มาสด้า วางไว้ เพราะด้วยขนาดของตัวถัง และขนาดโดยรวมของตัวรถแล้ว รถคันนี้น่าจะมีไซส์ที่ใหญ่สุดในบรรดารถปิกอัพบ้านเรา วัดจากการทดสอบในบรรดารถปิกอัพทั้งจากฝั่งอเมริกัน และยุโรป  บอกได้เลยว่า มาสด้า บีที -50 คันนี้ใหญ่คับเลนที่สุด

ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อขับในทางนอกเมือง วิ่งระหว่างจังหวังหวัดรถคันนี้ ให้ความรู้สึกคล่องตัว และขุมพลัง ของแรงม้าทั้ง 150 ตัวที่ 3,700 รอบ ของเครื่องยนต์ดีเซล Di-Thunder Pro 2.2 ลิตร ทำงานพร้อมเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด นั้นหายห่วงทั้งขุมกำลัง และความคล่องตัวในการขับขี่ ยิ่งทางตรงยาว หรือ สภาพถนนค่อนข้างโล่งนั้น เจ้า บีที คันนี้สามารถโลดโจนทะยานไปข้างหน้าได้ชนิดที่หาตัวจับได้ยาก…

ส่วนความหนึบหนับ  การยึดเกาะถนนนั้น ถือว่าทำออกมาได้ค่อนข้างเนียนกริบลบภาพปิกอัพเดิมๆ ที่ท้ายเบาออกไป แต่หากนำมาใช้ขับขี่เอง….ตามคอนเซ็ปต์ที่ เป็นปิกอัพเพื่อความสะดวกสบาย สไตล์ เก๋ง เพิ่ม ความหรูหรา และภูมิฐานเมื่อใช้งานงานเมืองนั้น  หากพูดตามคอนเซ็ปต์นั้นสวยหรู แต่เมื่อทดลองใช้งานจริงรถปิกอัพอย่างไร ภาพก็ยังคงเป็นรถปิกอัพเพียงแค่ เสริมด้วยชุดแต่ง อุปกรณ์ความเนี๊ยบเข้ามา


แต่เมื่อมาพูดถึงเรื่อง ความรู้ขณะขับขี่… นั้นคนละเรื่อง ด้วยขนาดของตัวรถที่ใหญ่ กลับกลายเป็นปัญหา ยิ่งสภาพการจราจรที่หนาแน่นในเขตเมืองแล้ว  นอกจากทัศนวิสัยของตัวรถนั้นดีเยี่ยม เพราะขนาดสูงใหญ่ทีมีให้มองหน้า มองหลัง มองข้าง นั้นชัดเจน แต่ความคล่องตัวของตัวรถหายไปจะเปลี่ยนเลน มุดขึ้นลง ซ้ายขวา นั้นต้องกะระยะให้ดี แถมยิ่งต้องตั้งสติ ระมัดระวัง เพื่อนร่วมเส้นทาง กลายเป็นความกังวล

ส่วนพวงมาลัยนั้นคนละเรื่องกับการวิ่งนอกเมื่อง เพราะทั้งหนักและต้องออกแรง (อาจจะเป็นเพราะต้องเพิ่มทักษะ ความระมัดระวังยิ่งขึ้น อีกสิ่งที่ค่อนข้างลำบากคือจังหวะการจอดถอยเข้า ออกซอง ต้องกะระยะ ให้ชัวร์ภายในห้องโดยสารไม่ทิ้งกลิ่นอายความสปอร์ต  ใส่ใจในรายละเอียดตั้งแต่คอนโซลหน้า เบาะที่นั่ง  อุปกรณ์อำนวยความสะดวก มีมาให้ครบครัน

มาสด้า บีที -50 ปิกอัพ สไตล์รถยนต์นั่งสปอร์ต หรูหรา  เหมาะสมสำหรับการวิ่งทั้งนอกเมืองและนอกเมือง แต่ การขับขี่ในเมือง ผู้ขับที่เป็นสุภาพสตรี อาจจะเหมาะกับคุณผู้หญิงที่บุคลิกทะมัดทะแมงคล่องตัว น่าจะเหมาะสม(กว่า)  เพราะด้วยขนาดตัวรถค่อนข้างใหญ่ อาจจะทำให้การควบคุมการขับขี่ในเส้นทางในเมืองนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แถมจะสุนทรีย์ทางการขับขี่อาจจะหายไปแต่ถ้า มั่นใจ…. และชื่นชอบรถสไตล์นี้ ต้องบอกว่า มาสด้า BT-50 คันนี้ นั้นน่าสนใจไม่น้อย ที่สำคัญ คุณจะกลายเป็นสาวมั่น สาวเท่ขึ้นมาทันที

Smart-Reasons-For-Buy-Used-Car

ซื้อรถมือสองดีไหม?? คำถามนี้อาจยังติดใจของคนที่กำลังจะตัดสินใจซื้อรถหลายท่าน ด้วยเหตุผลนานับประการ

Used-Car

แต่ความเป็นจริงแล้ว!! รถมือสองมีดีกว่าที่คุณคิดมาก เมื่อยังไม่แน่ใจ CARRO จะช่วยให้คุณได้เห็นมุมมองใหม่ ของการที่จะซื้อรถมือสอง มันไม่ยากเลยที่จะมีรถมือสองดีๆ สักคันมาใช้งาน และถ้าคำตอบของคุณยังไม่แน่ใจว่าจะเลือกรถมือสองหรือไม่…

ลองมาดูเหตุผลง่ายๆ ที่จะทำให้คุณมองรถมือสองเปลี่ยนไป …

Used-Car

1. ได้รถในราคาที่ถูกกว่า!!

งบประมาณเป็นปัจจัยหลักของการเลือกซื้อรถ จะดีไหม? หากมีรถขับในรุ่นเดียวกับคนอื่น แต่ซื้อมาในราคาที่ถูกกว่ารถมือสองจะช่วยประหยัดเงินของคุณ และได้รถรุ่นที่ยังไม่ตกรุ่น ในตลาดรถยนต์มือสองจะเห็นว่ามีรถป้ายแดง ที่ถูกนำมาขายเป็นมือสองเยอะพอสมควร

ถ้าคุณเลือกซื้อรถมือสอง แทนที่จะเป็นป้ายแดง รถมือสองที่ปีเก่ากว่าปีปัจจุบัน และยังไม่ตกรุ่น จะช่วยคุณประหยัดเงินไปตั้งแต่ หลักหมื่นไปจนถึงแสนบาท

:: รถมือสองสภาพเหมือนรถป้ายแดงมีเยอะ ลองเลือกรถในรุ่นปีที่เก่าลงมาจากปัจจุบันสัก 2-3 ปี จะทำให้คุณประหยัดได้เป็นแสน

รถมือสองที่น่าสนใจดูเพิ่มเติม

Used-Car

2. รถมือสองสภาพดีๆ มีเยอะ

สิ่งที่ผู้ซื้อโดยทั่วไปคิดกันก็คือ “รถมือสองต้องไม่ดี เคยชนหนักจนต้องขาย” แต่ในความเป็นจริงแล้วรถมือสองไม่เป็นแบบนั้นทั้งหมด รถมือสองที่สภาพดีมีขายอยู่เยอะ ไม่จริงเสมอไปที่รถมือสองทุกคันจะต้องเคยชนหนัก อาจจะเพียงแค่เฉี่ยวเล็กน้อยไม่ส่งผลต่อโครงสร้างรถยนต์ ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้กับรถใช้งานทั่วไป

สาเหตุที่รถยนต์แต่ละคันจะถูกนำมาขายเป็นรถมือสองมีได้หลายเหตุผล ไม่ว่าจะเป็น เจ้าของจำเป็นต้องขายทั้งที่ยังอยากเก็บไว้ใช้อยู่ หรือจะเป็นรถที่ถูกยึดมาเพราะผ่อนไม่ไหว เป็นต้น

:: อย่าไปกลัวที่จะซื้อรถมือสอง ผู้ช่วยมีเยอะ ซื้อรถมือสองไม่ยากอย่างที่คิด 

Used-Car

3. ออกรถง่ายๆ ไม่ต้องรอ

รถป้ายแดงสมัยนี้ รอรถตั้งแต่ 3 เดือนยาวไปถึงครึ่งปี ยิ่งจองรถที รับรถปีหน้า ในรุ่นรถยอดนิยมขาดตลาด และก็มีข่าวอยู่บ่อยๆ ว่ารถป้ายแดงออกมาและเกิดปัญหาต่างๆ ไม่ได้มาตรฐาน

แล้วสำหรับผู้ซื้อที่ต้องการใช้รถจริงๆ ละจะทำอย่างไร ??

สำหรับคนที่จะซื้อรถแล้ว เรื่องหนึ่งที่เป็นข้อดีของรถมือสอง คือทางผู้ขายมีโปรโมชั่นต่างๆ ในการช่วยให้ผู้ซื้อสามารถเป็นเจ้าของรถได้ง่าย อำนวยความสะดวกเต็มที่

ถ้าซื้อเงินสด ก็สามารถรับรถไปได้เลยในทันที แต่ถ้างบประมาณของรถที่จะซื้อไม่พอต้องมี การขอไฟแนนซ์  ไม่ว่าจะเป็นทั้งในเรื่องฟรีดาวน์ ดาวน์น้อย หรือการขอไฟแนนซ์ที่พยายามให้ผ่านแม้ผู้ซื้อจะติดแบล็คลิสต์

:: ถ้าต้องการใช้รถ ไม่อยากรอ รถมือสองคือทางเลือกที่ดีที่สุด อีกอย่างที่สำคัญถ้าซื้อเงินสดได้จะช่วยประหยัดเงินของคุณไปได้อีกเยอะ

Used-Car

4. ได้รถในฝันในราคาที่เอื้อมถึง

เคยคิดไหม? ว่าฝันอยากได้รถบางคันแต่ราคาป้ายแดง แพงจนเกินเอื้อมจริงๆ เช่น Mercedes-BenzBMW ทั้งด้วยความเป็น Brand นำเข้าจากต่างประเทศ และเต็มไปด้วย Option ราคาป้ายแดงในปัจจุบันเริ่มต้นก็ไม่ต่ำกว่า 2 ล้านบาทแล้ว

แต่เมื่อเวลาผ่านไป รถป้ายแดงกลายเป็นมือสอง ราคารถที่เคยฝันไว้ราคาก็ลดลงพอให้ผู้ฝันในรถรุ่นนั้นๆ เอื้อมถึง เป็นรถมือสองน่าใช้ และสภาพดี แม้จะเป็นรถเก่าแต่ในรถ (บางรุ่น) เทคโนโลยีที่ให้มากับรถยังทันสมัยกว่ารถป้ายแดงในปัจจุบัน (บางรุ่น) เสียอีก

ปัจจุบันในตลาดรถยนต์มือสอง บางรุ่น Mercedes-Benz, BMW ราคาถูกกว่ารถป้ายแดง ที่จะทยอยขึ้นราคามากขึ้นทุกวัน แบบนี้การซื้อรถมือสองจึงเป็นทางเลือกที่ดีอีกทางหนึ่ง ที่ผู้ซื้อจะได้รถที่เคยฝันไว้

Used-Car

:: ในแต่ละคนความชอบ ความใฝ่ฝัน ไม่เหมือนกัน ตอนออกใหม่รถคันนั้นอาจจะแพงไป และข้อดีของรถมือสองก็อยู่ตรงนี้ คือทำให้ความฝันยังสามารถเป็นจริงได้อยู่ในราคาที่ถูกกว่าทั้งหมดเป็นแค่เหตุผลเบื้องต้น ที่จะบอกให้ผู้ซื้อรู้จักกับมุมมองใหม่ๆ ของการซื้อรถ รถมือสองไม่น่ากลัวอย่างที่ใครๆ คิดมีผู้ช่วยในด้านต่างๆ ของการเลือกรถที่คุณต้องการ ไม่แน่บางที การซื้อรถมือสอง อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะกับคุณที่สุดก็เป็นได้

สำหรับใครที่อ่านจบแล้ว รู้สึกอยากขายรถคันเดิมแบบด่วนๆ เพื่อนำเงินไปซื้อรถมือสองในฝันคันใหม่ ปรึกษา CARRO หรือขายรถกับ CARRO ได้ครับ โดยได้ราคาที่คุณพอใจ พร้อมปิดการขายภายใน 24 ชั่วโมง เชิญเข้าไปกรอกรายละเอียดได้ที่ https://th.carro.co/sell-car/express หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มได้ใน Fanpage “CARRO Thailand” ครับผม

mazda-3

Review Mazda3 ใหม่ สปอร์ตกว่าพี่..สวยกว่าพี่..น้องว่าไม่มีแล้วค่ะ !!

กดปุ่มสตาร์ทเครื่อง มาสด้า 3 ใหม่ ที่หลังแป้นพวงมาลัยเบาๆ เสียงคำรามของเครื่องยนต์สกายแอคทีฟ ก้องเข้ามาในห้องโดยสารให้รู้สึกได้ถึงพละกำลัง

และยิ่งเมื่อกดคันเร่งลงไปก็ยิ่งทำให้เห็นว่าเส้นทางแห่งความสนุกเร้าใจได้เริ่มขึ้นแล้ว ด้วยกำลังที่เรียกมาตั้งแต่ตีนต้น แบบชนิดหลังกระแทกเบาะ เมื่อเผลอกดคันเร่งแรงไปหน่อยเดียว

เส้นทางช่วงแรกยังอยู่ในชุมชน ทำให้ได้เห็นถึงความคล่องแคล่ว จากการหลบหลีกรถราเพื่อนร่วมถนนที่ทำได้อย่างสบายมือ และยิ่งเมื่อพ้นตัวเมือง ที่ทั้งทำความเร็วได้มากขึ้น รวมถึงเส้นทางคดโค้ง ช่วยให้ซึมซับถึงเทคโนโลยีสกายแอคทีฟที่มาสด้าภูมิใจนำเสนอมาตลอด ว่าเป็นอีกขั้นของอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่พัฒนาขึ้นจากเครื่องยนต์สันดาปแบบเดิมให้มีสมรรถนะสูงขึ้น ประหยัดน้ำมัน และมลพิษลดลง

และมาสด้า 3 แฮทช์แบ็ค 5 ประตู ใหม่นี้ พัฒนาให้เป็นสกายแอคทีฟแบบเต็มรูปแบบ ไม่ใช่แค่เครื่องยนต์เพราะช่วงล่าง พวงมาลัย ตัวถัง ระบบส่งกำลัง เบรก ให้มีความหนึบแน่น และสนุกสนานอยู่ในคันเดียว ภายนอกให้ความรู้สึกราวกับสปอร์ตหรูจากยุโรป กระจังหน้าเอกลักษณ์เฉพาะ ทรงห้าเหลี่ยม ลากยาวถึงไฟหน้า ไบ-ซีนอน พร้อมไฟสว่างกลางวัน หรือ แอลอีดี เดย์ไทม์ เส้นสายด้านข้างพริ้วไหวต่อเนื่องไปจนถึงด้านท้าย เฉียบคม ให้ความรู้สึกถึงพลัง ไฟท้ายดีไซน์สอดรับกับไฟหน้า

ภายในมาสด้าได้ออกแบบใหม่ จนทำให้ห้องโดยสารกว้างขึ้น โดยเฉพาะเบาะนั่งด้านหลัง ที่หลายคนเคยเปรยเบาๆ ว่าทั้งเจนเนอเรชั่น 1-2 ค่อนข้างแคบ  ดีไซน์ทุกอย่างเน้นอารมณ์สปอร์ต พวงมาลัยสามก้าน ตกแต่งด้วยวัสดุมันวาว พร้อมระบบมัลติฟังก์ชั่น แต่ที่ทำให้มาสด้า 3 ใหม่ ต่างจากรถญี่ปุ่นทั่วไป คือ แผงควบคุมอุปกรณ์ที่อยู่ตรงคอนโซลกลาง ที่นอกจากใช้ควบคุมทุกอย่างแล้ว ยังใช้ในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ ให้เป็นหนึ่งเดียวกับตัวรถ ทำให้เบียดใกล้กับรถยุโรปชั้นดีได้อย่างกระชั้นชิด โดยมีจอแสดงผลดีไซน์โดนๆ อยู่กลางคอนโซลหน้า

และอีกสิ่งที่บ่งชี้ถึงความล้ำสมัย จอกระจกขนาดเล็กแสดงความเร็วแบบดิจิตอล อยู่เหนือมาตรวัดต่างๆ ไสตล์สปอร์ต เลื่อนตัวขึ้นมาเมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ และเลื่อนเก็บเมื่อดับเครื่องยนต์ หลังจากทดสอบไประยะหนึ่ง รับรู้ถึงอารมณ์การขับขี่ ที่ล้อกันไปกับ โคโดะ ดีไซน์ หรือจิตวิญญาณแห่งการเคลื่อนไหว เพราะไม่ว่าจะโค้งไหน เนินไหน ทำได้กระชับฉับไว มั่นใจกับช่วงล่าง ที่เอาอยู่ทุกครั้ง ประกอบกับพวงมาลัยคมกริบ วางรอยล้อได้อย่างใจ

เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ให้ความสะใจทั้งบนย่านความเร็วสูงที่แม้จะขึ้นไปถึงกว่า 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ที่เรียกมาได้ในเวลาแค่อึดใจ ไม่ว่าจะถนนเปียก หรือแห้ง ก็ยังรู้สึกถึงความเสถียรไม่มีวอกแวกให้ต้องหวาดหวั่น การเข้าโค้ง หรือหลบสิ่งกีดขวาง ที่บังเอิญเส้นทางที่ใช้ในวันนั้น มีพายุฝนพัดผ่าน ทำให้ต้นไม้ล้มเป็นระยะๆ ต้องโยกซ้าย-ขวา กันเป็นพัลวัน แต่ก็ผ่านได้อย่างเนียนๆ

เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดทำงานได้อย่างนุ่มนวล และถ้ายังไม่สะใจ มีโหมดเกียร์ธรรมดา ให้ได้สนุกยิ่งขึ้น มั่นใจกับระบบเบรก เพราะไม่ว่าจะเบรกในย่านความเร็วต่ำแค่กดเบาๆ หรือจังหวะทำความเร็วสูง แม้จะอยู่บนถนนเปียก ก็หยุดได้ฉับไว และไม่มีอาการท้ายปัด ล้อตายเลยแม้แต่น้อย

Mercedes-benz เปิดตัวต่อเนื่อง C-Class 2016 Cabriolet รุ่นเปิดประทุนสุดหรู ครั้งแรกในงาน Geneva มอเตอร์โชว์ 2016

หลังจาก Mercedes-benz เปิดตัว C-Class Coupe 2016 ไปอย่างเป็นที่ฮือฮา แถมยังเข้าไทยด้วย ความเซอร์ไพรส์ยังไม่หมดแค่นั้น เมื่อเบนซ์ได้เปิดตัวรุ่นเปิดประทุน ‘C-Class 2016 Cabriolet’ มาแบบติดๆ โดยได้ออกมาโชว์ตัวครั้งแรกให้คนทั่วโลกชื่นชมที่งาน ‘Geneva มอเตอร์โชว์ 2016’ ที่จัดขึ้น ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์

จะไม่ให้ตื่นเต้นอย่างไรไหว ในเมื่อครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เบนซ์ได้ทำรุ่นเปิดประทุนสำหรับ C-Class ออกมาเป็นครั้งแรก เพราะในเจเนอเรชั่นแรกมีแค่ตัว 4 ประตูเท่านั้น แต่พอมาในปีนี้ เบนซ์ได้เพิ่มรุ่น 2 ประตู (C-Class Coupe 2016) และรุ่นเปิดประทุน (C-Class 2016 Convertible) โดยมีการปรับเปลี่ยนดีไซน์ให้มีความหรูหรา โฉบเฉี่ยว ทันสมัย และล้ำหน้าด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ มากยิ่งขึ้น

ในส่วนของการดีไซน์เรียกได้ว่าเหมือนกันแทบจะทุกอย่างกับรุ่นคูเป้ แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือตัวนี้จะถูกโหลดให้เตี้ยลงกว่าเดิม 15 มิลลิเมตร และในส่วนของหลังคาจะถูกหดลงมา 0.2 นิ้ว

จุดเด่นของ C-Class Cabriolet 2016 ตัวนี้คือ
– ตัวถังรุ่น W205 เพื่อออกแบบมาให้รองรับตัวเปิดประทุนตั้งแต่ต้น เนื่องจากมันสามารถทนต่อแรงกดเวลาที่ถอดหลังคาได้เป็นอย่างดีมากกว่าตัวอื่น
– หลังคาเป็นผ้าสีเบสิกคือสีดำ แต่สามารถเลือกเปลี่ยนสีได้ตามใจชอบ  โดยมีสีให้เลือกคือ สีแดงเข้ม สีน้ำตาลเข้ม และสีน้ำเงินเข้ม
– ในส่วนของวัสดุยังใช้ ‘อลูมินั่มอัลลอย’ เหมือนกับรุ่นคูเป้ กับส่วนถังด้านข้าง และด้านหน้า เพื่อทำให้รถมีน้ำหนักเบา และสามารถลู่ลมได้ดี ส่วนกระจังหน้าเป็นทรง Diamond
– หลังคาผ้าสามารถเปิด-ปิด ได้ภายในเวลา 20 วินาที ในขณะที่รถเคลื่อนที่ความเร็วไม่เกิน 50 กิโลเมตร/ชม.
– C-Class เปิดประทุนทุกรุ่นจะมีระบบส่งกำลังเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ
– ระบบ AIRCAP ที่สามารถป้องกันลมมาหมุนเวียนภายในห้องโดยสารเมื่อเปิดหลังคา
– ระบบ ATRSCARF ระบบเป่าลมร้อนบริเวณต้นคอ เมื่อเปิดหลังคาในขณะที่อุณหภูมิต่ำ
– ระบบ Air Suspension มาพร้อมกับเพลาขับเคลื่อนหน้า-หลัง ที่สามารถเลือกปรับมุมได้

C-Class Coupe Cabriolet 2016‘ มีให้เลือกทั้งหมด 6 รุ่น คือ
– C220d เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 2.2L 172 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 231 กิโลเมตร/ชม.
– C250d เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 2.2L 207 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 243 กิโลเมตร/ชม.
– C180 เครื่องยนต์เบนซิล 4 สูบ 1.6L 158 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 222 กิโลเมตร/ชม.
– C200 เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0L 187 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 235 กิโลเมตร/ชม.
– C250 เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0L 214 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 244 กิโลเมตร/ชม.
– C300 เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0L 248 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตร/ชม.
– C400 4Matic เครื่องยนต์เบนซิน V6 3.0L 388 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตร/ชม.
– C43 4Matic เครื่องยนต์เบนซิน V6 3.0L 372 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตร/ชม.

แต่น่าเสียดายที่เบนซ์ ซี-คลาส เปิดประทุนคันนี้ไม่ได้เข้าไทย ซึ่งถ้าใครอยากเห็นของจริงก็สามารถตามไปดูได้ที่งาน Geneva มอเตอร์โชว์ 2016 ระหว่างวันที่ 3 – 13 มีนาคม 2559 นี้

honda-mobilio

รีวิว Honda Mobilio อเนกประสงค์ก็ใช่!! แถมพกดีไซน์สปอร์ตมาอีก

ฮอนด้า โมบิลิโอ เปิดตัวสู่ตลาดบ้านเรามาหลายปีแล้ว และตอนนี้ก็ยังมีรถป้ายแดงขายกันอยู่ แถมยอดขายในแต่ละเดือนก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่แต่อย่างใด เรียกได้ว่าขายได้เรื่อยๆ โดย Honda Mobilio มือสองรุ่นนี้ มาพร้อมเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร มีให้เลือกทั้งหมด 4 รุ่น ได้แก่

  • S MT ราคา  597,000 บาท
  • S CVT ราคา 642,000 บาท
  • V CVT ราคา 682,000 บาท
  • และรุ่นท็อป RS CVT ราคา 739,000 บาท

ขณะที่คู่แข่งตรงๆของโมบิลิโอ ก็คือโตโยต้า อแวนซ่า นั้นก็มีให้เลือก 5 รุ่น ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 584,000 – 749,000 บาท งานนี้ถ้าวัดเฉพาะราคาแล้วในรุ่นเริ่มต้นพี่โตโยต้าเคาะราคาได้ยั่วยวนใจกว่า แต่เมื่อหันไปดูรุ่นจัดเต็มอย่างรุ่นท้อปนั้น โมบิลิโอ ก็ชนะเลิศเพราะมีราคาที่ต่ำกว่า


สำหรับรถอเนกประสงค์ในกลุ่มนี้ เดิมทีมักจะดีไซน์กันมาแบบขาดๆ เกินๆ จะเล็กก็ไม่ใช่ จะใหญ่ก็ไม่เชิง ซึ่งผู้ผลิตรถยนต์แต่ละเจ้าก็คงพยายามที่จะแก้ไข และดีไซน์ออกมาให้สามารถตอบโจทย์ของลูกค้าให้ได้ดีมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างโมบิลิโอ ที่มีการออกแบบให้ดูทันสมัย มีเพิ่มมูลค่าด้วยการแต่งนั่นนิด ใส่นี่หน่อย แต่ในแง่ของอรรถประโยชน์เพื่อการใช้สอยก็ไม่ละทิ้งไป เรียกได้ว่าลูกค้าเห็นตัวรถแล้วก็รู้สึกว่าคุ้มค่ากับที่จะจ่ายออกไป

โดยมิติของโมบิลิโอ นั้น มาพร้อมความยาว 4,398 มม. ความกว้าง 1,683 มม. และความสูง 1,603 มม.

ส่วนคู่แข่งอย่าง อแวนซ่า นั้น มีความยาว 4,140 มม. ,ความกว้าง 1,660 มม. และความสูง 1,695 มม. ถือว่ามิติใกล้เคียงกัน ไม่ได้แตกต่างอะไรกันมากมาย แต่ในแง่ของความสดใหม่ การดีไซน์ นั้นผู้เขียนก็แอบให้คะแนนโมบิลิโอมากกว่า

สำหรับดีไซน์ของโมบิลิโอ ตัวกระจังหน้าโครเมียมดีไซน์สปอร์ต ไฟหน้าโปรเจคเตอร์พร้อมทั้งไฟหรี่แบบแอลอีดี ด้านล่างลงมาหน่อยจะเห็นไฟตัดหมอกคู่หน้า และฮอนด้า ยังแอบเพิ่มความดุดันกับกันชนหน้าลายสปอร์ต เช่นเดียวกับมุมมองด้านข้างๆ จะมีสเกิร์ตเพิ่มมาตรง กรอบประตู และล้ออัลลอย ขนาด 15 นิ้ว ที่ส่วนตัวชอบมาก เพราะดีไซน์สวยจริงอะไรจริง แถมมองจากมุมนี้ตัวรถแอบดูหรูหรา เห็นแล้วนึกถึงรถอเนกประสงค์ในรุ่นใหญ่ๆ ของฮอนด้า ไม่ว่าจะเป็นโอดิสซีย์, สปาด้า

ส่วนบั้นท้ายของโมบิลิโอนั้นก็มีสเกิร์ตครบ ทั้งด้านบนที่มาพร้อมกับไฟเบรกดวงที่ 3 แบบแอลอีดี และกันชนหลังก็ดีไซน์ให้ดูสปอร์ตพร้อมทั้งมีลูกเล่นด้วยการทำปลอกท่อไอเสียสแตนเลส

มาดูภายในห้องโดยสารกันบ้าง อย่างที่บอกว่านี่คือรถอเนกประสงค์ ดังนั้นในแง่ของการขนคน และขนของนั้นจะเป็นหัวใจหลัก โดยโมบิลิโอ มีที่นั่งทั้งหมด 3 แถว สามารถนั่งได้ 7 คน แต่ถ้าอยากนั่งแบบสบายๆควรจะนั่งแค่ 6 ที่นั่งเท่านั้น เว้นซ่ะแต่แถว 2 จะมีผู้โดยสารตัวเล็กๆมานั่งเบียดกันให้ครบ 3 คน  ตัวเบาะนั่งแถว 2 มีพนักพิงและเลื่อนได้ 3 ระดับ และยังสามารถพับแบบ 60:40 ได้ หรือว่าจะพับแบบตลบเดียวก็ได้ ทำได้ง่ายมากไม่ต้องเปลืองแรง

นอกจากนั้นยังปรับเลื่อนไปข้างหน้าหรือดันไปข้างหลังตามความต้องการของผู้โดยสารได้ ซึ่งตรงนี้เองจะช่วยให้ผู้โดยสารแถว 3 แอบมีพื้นที่ในการวางขาเพิ่มขึ้นด้วย อย่างไรก็ตามหากเดินทางในระยะทางไกลๆและผู้โดยสารแถว 3 มีรูปร่างสูง ยาว ก็อาจจะเมื่อยล้าได้ แต่ในแถว 2 หรือที่นั่งคู่หน้า ก็ไม่ต้องห่วงนั่งได้สบาย


ความพิเศษในรุ่นท้อปของโมบิลิโอ ยังมีเพราะเบาะนั่งแถว 3 พนักพิงปรับเอนได้ 2 ระดับ ส่วนใครที่ต้องการจะขนสัมภาระก็ไม่ต้องห่วง เพราะเบาะแถว 2 และ 3 สามารถพับได้ โดยแถว 3 จะพับแยกแบบ 50:50 ใครต้องการเก็บของแบบไหนก็จัดสรรพื้นที่กันตามสะดวก  ส่วนใครที่ห่วงเรื่องอากาศร้อน – เย็นก็ไม่ต้องกังวลใจไป เพราะโมบิลิโอมีระบบปรับอากาศติดอยู่ตรงเพดานแถว 2 ที่จะกระจายความเย็นสำหรับผู้โดยสารแถว 2 และ แถว 3 ส่วนลำโพงที่ติดตั้งมากับรุ่นนี้มีด้วยกัน 4 ตัว

และสำหรับผู้ขับขี่ก้อสามารถควบคุมเครื่องเสียงได้ผ่านพวงมาลัยโดยไม่ต้องไปเอื้อมมือไปเตะที่หน้าจอ และสิ่งที่สังเกตเห็นหลังจากเข้ามาอยู่ในตัวรถก็คือที่วางแก้ว ที่กระจายอยู่รอบคัน นับรวมๆกันมีกว่า 11 จุด หันไปทางไหนก็เห็นแต่ที่วางแก้ว!!

โดยสรุปจากข้อมูลและการสัมผัสแบบพอหอมปากหอมคอ ก็แอบเทใจให้โมบิลิโอ มากกว่ารุ่นอื่นๆในเซกเมนต์เดียวกัน เพราะหน้าตาที่ดูสปอร์ต รูปทรงโดยรวมมีมิติ แถมยังแอบหรูในบางมุม กล่าวคือรวมๆของรถรุ่นนี้มีความลงตัวที่สุดในแง่ของการออกแบบในมุมมองของผู้เขียนเอง งานนี้ต้องบอกว่าหน้าตาดีมีชัยไปกว่าครึ่ง!!!

bmw-218

รีวิว :: BMW 218i Active Tourer M คิดดี….แต่ดีไซน์ยังไม่สุด!!

แปลกหูแปลกตาไม่ใช่น้อย สำหรับรถในรุ่น ซีรี่ส์ 2 Active Tourer ของค่ายใบพัดสีฟ้า บีเอ็มดับเบิลยู เพราะแว่บแรกที่ได้เห็นนึกว่าเป็นรถสัญชาติญี่ปุ่น มองอีกมุมก็เหมือนสัญชาติอเมริกัน …..มาอ๋อเอาก็ตอนเห็นกระจังหน้าและโลโก้นี่แหละ

สำหรับมุมมองด้านหน้าของ BMW 218i Active Tourer M Sport แน่นอนว่าสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์คือกระจังหน้า ไล่เรียงมาถึงไฟหน้าแอลอีดีที่มีคุณสมบัติช่วยส่องสว่างเวลาเข้าโค้ง มุมซ้ายขวาด้านหน้ามีไฟตัดหมอก ที่ถูกครอบด้วยดีไซน์เก๋ๆ ตัวฝากระโปรงดูมีมิติเล็กน้อยเพราะมีการออกแบบเส้นสาย ทำให้ดีไซน์ด้านหน้าไม่ดูเรียบจนเกินไป อย่างไรก็ตามรูปทรงของตัวถังด้านหน้าที่มีขนาดเล็กๆ สั้นๆ กะทัดรัด ก็ยังแปลกตาอยู่ดี

ไล่เรียงมาด้านข้าง จะเห็นเส้นโค้งหลังคาและประตูขนาดใหญ่ ที่โดดเด่นอีกอย่างคือล้ออัลลอยของชุดแต่ง M ขนาด 18 นิ้ว แบบ Double Spoke ส่วนด้านหลังมีไฟท้ายรูปทรงแอล สปอยเลอร์หลังคา ส่งให้รถดูสปอร์ตมากขึ้น ขณะที่ประตูท้ายรถเปิดปิดง่าย และเปิดได้กว้างมากขึ้นเพราะมีขอบต่ำและตัวบานประตูก็มีขนาดใหญ่ โดยสรุปรูปลักษณ์ภายนอกของรถรุ่นนี้ยังไม่ค่อยถูกใจเท่าไร ดูขาดๆ เกินๆไม่สุด

เข้ามาสำรวจตรวจสอบภายในของรถรุ่นนี้ เดิมทีไม่ค่อยประทับใจกับดีไซน์ภายนอกสักเท่าไร แต่พอเข้ามาสัมผัสข้างใน ได้เห็นวัตถุดิบต่างๆที่นำมาตกแต่ง ก็ต้องบอกว่าพรีเมียม กริ๊บจริงๆ ตัวเบาะกับคอนโซลจะเห็นด้ายสีฟ้าตัดขอบกับสีดำของตัวคอนโซลและเบาะ ทำให้ดูดีมีมูลค่า อย่างไรก็ตามสิ่งที่ไม่ค่อยชอบใจสักเท่าไรน่าจะเป็นเรื่องของเบาะ เพราะเป็นเบาะผ้าสลับด้วยหนัง Alcantara ที่ดูจะบำรุงรักษาลำบาก

เมื่อลองเข้ามานั่งหลังพวงมาลัย ก็มีการปรับที่นั่งให้เหมาะสมกับสรีระ ซึ่งแน่นอนว่ารถระดับนี้สามารถปรับได้ด้วยระบบไฟฟ้า แถมยังมีลูกเล่นตรงเบาะที่นั่ง ที่ยกสูงช่วยเพิ่มวิสัยทัศน์ นอกจากนั้นแล้วยังสามารถเลื่อนปรับขยับไปด้านหน้าได้ มีให้ทั้งเบาะฝั่งคนขับและผู้โดยสารคู่หน้า โดยอารมณ์แรกที่ได้ลองเข้าไปนั่งรู้สึกแปลกๆ เหมือนจะเกะกะ แต่พอลองขยับๆ จนเข้าที่เข้าทางก็ต้องบอกว่าช่วยอำนวยความสะดวกสบายให้กับผู้โดยสารได้ดีไม่น้อย แถมตัวเบาะโอบกระชับ ไม่ไหลไม่ลื่น อย่างไรก็ตามผู้โดยสารที่เป็นผู้ใหญ่ (มาก) คุณพ่อหรือคุณแม่อาจจะไม่ชอบใจ เพราะดูขึ้นลงลำบาก แถมสัมผัสแรกในตอนที่จะก้าวขาไปนั่งก็ดูจะลำบากเล็กน้อย

ส่วนห้องโดยสารด้านหลัง มีช่องแอร์แยกอิสระ ไม่ต้องห่วงเรื่องความร้อน ตัวเบาะที่นั่งก็นั่งสบาย ไม่ติดหัว มีพื้นที่วางขา ถ้าผู้โดยสารแข้งขายาวหน่อยก็ปรับเลื่อนเพื่อเพิ่มพื้นที่วางแข้งขาของตนเองได้ และสำหรับผู้โดยสารที่ต้องการจะขนสัมภาระต่างๆและพื้นที่ห้องด้านหลังไม่พอก็สามารถพับเบาะที่นั่งได้ เพราะตัวเบาะพนักพิงแยกอิสระ 3 ชิ้น เป็นแบบสัดส่วน 40:20:40  พับง่าย และทำให้พื้นที่ด้านหลังเรียบสนิทไปด้วยกันหมด และหากพื้นที่จัดเก็บยังไม่พอ ก็จะมีช่องเก็บสัมภาระที่อยู่ใต้พื้น มีความจุประมาณ 70 ลิตรและมีถาดเอนกประสงค์สำหรับไว้เก็บของชิ้นเล็กๆเปิดปิดง่าย ไม่ยุ่งยาก แต่ช่วยในการจัดเก็บสัมภาระด้านหลังได้อย่างเป็นสัดเป็นส่วนมากขึ้น

ย้อนกลับมาดูอุปกรณ์เทคโนโลยีที่ใส่มาในรถรุ่นนี้กันดูบ้าง ที่เห็นเด่นชัดคือหน้าจอแอลอีดีขนาด 6.5 นิ้ว มีปุ่มควบคุม iDrive และแอพพลิเคชั่น BMW สำหรับเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนภายในรถ ขณะที่พวกวิทยุหรือการเชื่อมต่อยูเอสบี AUX หรือบลูธูทก็มีพร้อมสรรพ

ส่วนข้อมูลเทคนิคของรถรุ่นนี้ ในส่วนของขุมพลังอยู่ที่ 1.5 ลิตร เครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ เทคโนโลยี บีเอ็มดับเบิลยู ทวินพาวเวอร์ เทอร์โบ ทำงานประสานกับเทคโนโลยี EfficientDynamics และระบบ ConnectedDrive เพื่อการเชื่อมต่อแบบรอบด้าน ขณะที่มิติตัวถังมาพร้อมกับความยาว 4,342 มม.,ความกว้าง 1,800 มม. และความสูง 1,586 มม. กำลังสูงสุด 136 แรงม้าที่ 4,400 รอบต่อนาที ,แรงบิดสูงสุดที่ 220 นิวตันเมตร ที่1,250 รอบต่อนาที ความเร็วสูงสุด 205 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระบบขับเคลื่อนเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ

เรียกได้ว่าภายในชนะเลิศ แต่ภายนอกยังไม่ค่อยถูกใจสักเท่าไรนักสำหรับ BMW 218i Active Tourer M Sport  เอาเป็นว่าใครที่สนใจคงต้องลองไปสัมผัสกันดูที่โชว์รูมและศูนย์บริการจำนวน 22 แห่ง ใกล้ที่ไหนไปที่นั่น  สนนราคารถรุ่นนี้อยู่ที่ 2,499,000 บาท

BMW 218i Active Tourer M Sport อารมณ์แรกที่ได้เห็นจากด้านหน้าดูเป็นรถสปอร์ต แต่พอมาดูด้านข้างกลายเป็นรถเก๋งกึ่งครอบครัว กึ่งเอนกประสงค์ไปซ่ะอย่างนั้น โดยรวมๆในแง่ของดีไซน์การออกแบบไม่ค่อยพึงพอใจสักเท่าไรนัก ดูยังขาดๆเกินๆแต่พอเข้ามานั่งด้านในห้องโดยสาร ก็ต้องบอกว่าเรียบหรู เกร๋ๆตามสไตล์บีเอ็มดับเบิลยู เบาะนั่งสบาย ภายในกว้างขวาง มีพื้นที่จัดเก็บสัมภาระล้นปรี่ เรียกได้ว่าตัดสินใจลำบากจริงๆว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ!!!งานนี้คงต้องไปวัดกันที่สมรรถนะว่าจะตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานหรือไม่อย่างไร!!!!

volvo-s60

Review Volvo S60 – ซีดานเรียบหรู เอกลักษณ์เฉพาะในแบบวอลโว่

ซีดานเรียบหรู เอกลักษณ์เฉพาะในแบบวอลโว่ “ทุกชีวิตปลอดภัยในวอลโว่ …..สโลแกนที่อยู่ยงคงกระพันของรถยนต์จากประเทศสวีเดน แม้ช่วงหลังๆจะเงียบๆนิ่งๆแต่ก็ไม่ได้หายไปไหน

ยังคงทำตลาดในบ้านเราแบบค่อยเป็นค่อยไป แถมข่าวล่ามาเร็วก็คือเพิ่งจะมีการปรับโครงสร้างองค์กรการบริหารภายใน ซึ่งหลังจากนี้ก็น่าจะมีความชัดเจน และมีแนวทางตลาดออกมาแข่งขันกับคู่ต่อสู้ในกลุ่มเดียวกันได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ

สำหรับผู้เขียนเองเพิ่งจะมีโอกาสได้สัมผัสและทดลองนั่งวอลโว่ ในรุ่น  S 60 T5 (220 HP) จริงๆในรุ่นนี้มีให้เลือกอีกหนึ่งตัวคือ S60 T4F (180HP) ความแตกต่างคือขนาดของเครื่องยนต์ แรงม้า ที่ในรุ่น S 60 T5  มาพร้อมเครื่องยนต์ที่ใหญ่กว่า  1969 ซีซี.แรงม้าอยู่ที่ 220 HP ขณะที่รุ่น S60 T4F มาพร้อมกับขุมพลัง 1596 ซีซี. 180 แรงม้า

ส่วนตัวเครื่องยนต์ของทั้งคู่รองรับเบนซิน สนนราคาในรุ่น  S 60 T5 อยู่ที่ 2,449,000 บาท

โดยรวมแล้วในความคิดเห็นของผู้เขียนเอง มองว่าในแง่ดีไซน์ภายนอกนั้นหากเทียบกับคู่แข่งในเซ็กเมนต์เดียวกัน แล้วผู้เขียนแอบเทใจให้กับคู่แข่งมากกว่า เพราะคู่แข่งอีก 2 แบรนด์อย่างบีเอ็มดับเบิลยู และเมอร์เซเดส-เบนซ์ในช่วงหลังๆมีการออกแบบรถให้ดูหนุ่มขึ้น สปอร์ตขึ้น

ขณะที่วอลโว่ นั้นแม้จะใส่ลูกเล่นหรือดีไซน์ใหม่แต่ก็ยังมีบุคลิกของผู้ใหญ่ใจดี สุขุม นุ่มลึกมากกว่า มาสำรวจภายในห้องโดยสาร แน่นอนว่ารถระดับนี้ ตัววัสดุอุปกรณ์ต่างๆนั้นค่อนข้างดูดี มีระดับ การดีไซน์หรือการออกแบบก็ไม่มากไปไม่น้อยไป ผู้เขียนเองแอบชอบใจกับภายในที่ดูสปอร์ต มากกว่าดีไซน์ภายนอกเสียอีก

โดยเฉพาะเบาะที่นั่งขนาดใหญ่โตในคู่หน้า นั่งสบาย โอบกระชับ การตัดเย็บเบาะที่นั่งดูใส่ใจในทุกรายละเอียด

เรียกว่าฝีมือกริ๊บจริงๆ ตรงแผงคอนโซลกลางยังเต็มไปด้วยสารพัดปุ่ม โดยมีหน้าจอสำหรับและเป็นที่ตั้งของระบบแอร์คอนดิชั่นที่มีระบบ Electronic Climate Control ช่วยรักษาอุณหภูมิในห้องโดยสารและยังสามารถปรับแยกกันได้ระหว่างคันขับและผู้โดยสารด้านหน้า ไล่ลงมาตรงกลางระหว่างเบาะคู่หน้าจะมีที่วางแก้ว ที่พักแขนซึ่งสามารถเก็บของต่างๆซึ่งในบริเวณนี้นี่เองที่จะมีช่องเสียบยูเอสบีซ่อนตัวอยู่

จุดเด่นหรือเทคโนโลยีที่วอลโว่พยายามนำเสนอในรถหลายๆรุ่นก็ถูกนำมาใส่ไว้ในรถรุ่นนี้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะเทคโนโลยี Sensus ที่จะรวบรวมความบันเทิงเริงใจทั้งหมดมาไว้ในระบบนี้ แถมยังสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านเทคโนโลยีนี้ได้อีกต่างหาก ซึ่งจุดนี้ผู้เขียนแอบเสียดายที่ยังไม่ได้ทดลองเล่นระบบดังกล่าว  โดยระหว่างการเดินทางมัวแต่ฟังเพลงจากวิทยุรวมไปถึงเปิดซีดีตามปกติ ก็เลยไม่ได้ทดสอบระบบดังกล่าวว่าเสถียรหรือใช้งานยากง่ายอย่างไร

อย่างไรก็ตามระบบเครื่องเสียงที่ติดตั้งมาค่อนข้างจะถูกใจ เปิดทีก็บูม บูม  ลื่นหูดีแท้ ช่วยให้การเดินทางไม่เงียบเหงาและไม่น่าเบื่อ โดยรวมในแง่ของดีไซน์ หากวัดเฉพาะภายนอกนั้น ตัวผู้เขียนมองว่าเป็นรถที่มีสไตล์เรียบหรู ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ แต่ก็ไม่ได้ว้าว!!! ส่วนภายในนั้น ถูกใจผู้เขียนมากกว่าเพราะให้อารมณ์สปอร์ต ดูวัยรุ่น ล้ำสมัย เอาเป็นว่าใครที่อยากเป็นเจ้าของคงต้องไปทดลองขับกันดูว่าแท้จริงแล้วบุคลิกของรถรุ่นนี้เป็นอย่างไร จะถูกใจหรือไม่ จะหนุ่มหรือจะแก่ ก็ลองไปทดลองขับและสัมผัสกันได้ที่โชว์รูมวอลโว่ทั่วประเทศ

mercedes-benz-gle

Review Mercedes-Benz GLE-Class ครอสโอเวอร์หรู ราคาเริ่ด

ช่วงหลังๆ ดูเหมือนค่ายดาวสามแฉก จะมีรถรุ่นใหม่-ดีไซน์เก๋รๆ มาทำตลาดในบ้านเรามากขึ้น จากเดิมที่เน้นคลาส ซี-คลาส, อี-คลาส เอส-คลาส ทุกวันนี้ก็จัดเต็ม มีทั้งเอเอ็มจี, เอ, บี, ชี, ซีแอลเอ, ซีแอลเอส, อี, จีแอล, จีแอลเอ, จีแอลอี, เอ็ม, เอส, เอสแอลซี และวี เรียกได้ว่าครบ!!ตั้งแต่รถเก๋งคันเล็กดีไซน์พอเหมาะ ยันรถตู้ขนาดใหญ่ดีไซน์หรู ล่าสุดได้มีโอกาสสัมผัสกับรถในกลุ่มเอนกประสงค์ เอสยูวีหรือที่เบนซ์ให้คำนิยามว่าเป็นครอสโอเวอร์ ในรุ่น เมอร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลอี 450 เอเอ็มจี คูเป้

แรกพบสบตากับเมอร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลอี 450 เอเอ็มจี คูเป้ บอกเลยว่าโลโก้ดาวสามแฉกขนาดใหญ่นี่เตะตามาก ตัวกระจังหน้าเรื่อยไปจนถึงไฟหน้าทรงสปอร์ตแบบ  Avant-garde ไม่เพียงเท่านั้นไฟหน้ายังมาพร้อมเทคโนโลยีใหม่แบบเต็มรูปแบบ LED Intelligent Light System และเมื่อไล่ระดับสายตามมายังด้านข้างก็มีจุดดึงดูดสุดๆนั่นก็คือล้อแม็กของชุดแต่งเอเอ็มจีแบบ 22 นิ้ว 5 ก้านคู่ นี่ดูดุดัน เข้มมาก เมื่อสำรวจตรวจสอบมาถึงด้านหลังก็จะพบกับลิ้นสปอยเลอร์และแถบแถบโครเมียมที่ลาดยาว และไฟท้ายแอลอีดีซ้าย-ขวาก็ช่วยให้ดีไซน์ด้านหลังของรถคันนี้ดูไม่เทอะทะมากเกินไป

มาดูกันที่ภายใน สำหรับห้องโดยสารของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลอี 450 เอเอ็มจี คูเป้ โดยรวมค่อนข้างกว้างขวาง มีมิติการตกแต่งภายในที่ดูหรูหรา แต่แฝงความดุดันเล็กน้อย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเบาะหนังสีดำทรงสปอร์ต และเช่นเคยเบาะสามารถปรับให้เหมาะสมกับสรีระของเราได้ด้วยระบบไฟฟ้า และยังมีฟังก์ชั่นจดจำเหมือนดังเช่นรถรุ่นอื่นๆของเบนซ์ ส่วนพวงมาลัยเป็นแบบมัลติฟังก์ชั่นที่เต็มไปด้วยปุ่มต่างๆถึง 12 ปุ่มเพื่อเอื้อต่อการใช้งานง่าย และแอบเพิ่มลุกส์ให้ดูดุด้วยการหุ้มหนังให้ดูสปอร์ตไล่ระดับสายตามาที่แผงคอนโซล ที่มีลายไม้มาแซมๆ

และอย่างที่กล่าวไว้ รถคันนี้เป็นรถที่ดูหรูหรา แต่แอบดุในตัว ซึ่งความดุจะเป็นแบบผู้ใหญ่ ดูน่าเกรงขาม โดยแผงคอนโซลด้านหน้ามีจอแสดงผลขนาดใหญ่ 20.3 เซนติเมตร ที่จะช่วยเหลือผู้ขับขี่ทั้งการเป็นเนวิเกเตอร์,การต่อบลูธูท,การเปิดดูภาพถ่ายผ่านยูเอสบีหรือเอสดีการ์ด,การถอยจอดรถเพราะมีกล้องด้านหลังและยังมีกล้องแสดงภาพแบบ 360 องศาอีกด้วย

ส่วนความบันเทิงก็สามารถเชื่อมต่อระบบมัลติมีเดียในรูปแบบต่างๆทั้งอินเทอร์เน็ต,วิทยุ-ซีดีเพื่อฟังเพลง ซึ่งความโดดเด่นที่ผู้ขับขี่และผู้โดยสารที่ชอบฟังเพลงแบบดังๆเปิดแบบตูมๆอย่างเราก็ไม่ต้องห่วง เพราะรถคันนี้มาพร้อมระบบเสียงรอบทิศทางนั้นเอง

ส่วนคอนโซลตรงกลางที่คั่นระหว่างผู้ขับขี่และผู้โดยสาร นอกเหนือจากจะมีช่องเก็บของแล้ว ยังเป็นที่รวมของปุ่มอีกแล้ว โดยเป็นปุ่มปรับระบบช่วงล่างแบบต่างๆให้เหมาะสมกับสภาพท้องถนนที่ผู้ขับขี่จะต้องพบเจอ  จุดดึงดูดสายตาของรถคันนี้ที่ผู้ขับขี่หรือผู้โดยสารจะต้องมองอีกประการก็คือหลังคาซันรูฟขนาดใหญ่ สามารถเปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า และด้วยสภาพอากาศร้อนๆแบบบ้านเรา ก็ไม่ต้องกังวลเพราะมีแผงบังแดดที่ทำงานด้วยระบบไฟฟ้าเช่นเดียวกัน เรียกว่ากดปุ๊ป มาปั๊ป และแผงดังกล่าวยังดูเนียนตาไม่ได้ดูแปลกแตกต่างไปกับตัวรถเลย

ลองมาดูพื้นที่ห้องโดยสารด้านหลังกันนิดหนึ่ง สำหรับตัวเบาะเป็นสีเดียวกับเบาะด้านหน้า ส่วนความกังวลใจว่าพื้นที่ด้านหลังจะเล็กไปไหม หรือ หากผู้โดยสารที่ตัวสูงใหญ่เข้ามานั่งแล้วจะดูอึดอัดไหม ก็ต้องบอกว่า อาจจะมีบ้างเล็กน้อยเพราะดีไซน์การออกแบบของตัวรถ ที่หลังคาโค้งลาดลงมา แต่โดยรวมๆก็ต้องบอกว่า นั่งได้ สบาย ไม่ได้รู้สึกติด หรือ อึดอัดมากเท่าไร และเมื่อเปิดดูฝากระโปรงรถเพื่อสำรวจพื้นที่จัดเก็บสัมภาระต่างๆก็ถือว่ากว้างขวาง เพียงพอกับมนุษย์ (ที่ชอบ) ขนได้อย่างแน่นอน

เรียกได้ว่าบอกเล่ากันพอหอมปาก หอมคอ ข้อมูลต่างๆโฟกัสเฉพาะดีไซน์การออกแบบและภายใน-ภายนอก หากจะสมรรถนะ หรือ การตอบสนองต่างๆสามารถอ่านรีวิวข้างเคียงได้ แต่โดยสรุปหากคุณผู้ชายที่กำลังมองหารถอเนกประสงค์ที่ขับแล้วดูหรูหรา แอบดุเล็กน้อย และรองรับไลฟ์สไตล์ทั้งการทำงานในเมือง และการขับขี่ท่องเที่ยวทั้งในแบบโสดๆ หรือแบบครอบครัวที่จะเดินทางไปที่ต่างๆในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เจ้าเมอร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลอี 450 เอเอ็มจี คูเป้ ก็ดูจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย ก็เอาเป็นว่า “เคาะ” หรือ “ดีล” ไปเลยสำหรับรถรุ่นนี้ สนนราคาสวยๆอยู่ที่ 7.99 ล้านบาทเท่านั้น!!!