When-Your-Friend-Crashes-Your-Car

เชื่อว่าคนมีรถหลาย ๆ คนต้องเคยเจอกับเหตุการณ์นี้ คือการที่มีคนใกล้ตัวที่สนิทชิดเชื้อกัน หรือเหล่าเพื่อนฝูงที่มาขอยืมรถยนต์ไปใช้งาน ด้วยความสนิทก็อาจจะให้ไปโดยไม่ได้คิดอะไร แต่ถ้าเกิดเพื่อนของคุณดันโชคไม่ดี ขับรถยนต์ของคุณไปประสบอุบัติเหตุเข้า และเกิดความเสียหายขึ้นกับตัวรถ เจอแบบนี้เข้าไป เจ้าของรถยนต์อย่างคุณจะทำยังไงดี? แล้วประกันรถยนต์จะจ่ายเงินให้ไหมนะ

When-Your-Friend-Crashes-Your-Car

ประกันภัยรถยนต์คุ้มครองใครบ้าง?

ทุกครั้งที่มีการซื้อรถยนต์ใหม่ เจ้าของรถยนต์จะต้องทำประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.) และประกันภาคสมัครใจซึ่งก็คือประกันรถยนต์ชั้น 1, ชั้น 2 และชั้น 3 โดยต้องมาพิจารณากันตรงนี้ว่า รูปแบบของประกันภัยรถยนต์ที่เจ้าของรถยนต์ทำไว้เป็นแบบใด มีขอบเขตความคุ้มครองเท่าใด และคุ้มครองใครบ้าง โดยหลัก ๆ แล้ว จะแบ่งออกเป็นดังต่อไปนี้

ประกันรถยนต์แบบไม่ระบุชื่อผู้ขับขี่

หากเจ้าของรถยนต์ทำประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจแบบไม่ระบุชื่อผู้ขับขี่เอาไว้ ก็คือประกันจะคุ้มครองความรับผิดและความเสียหายอันจะเกิดขึ้นกับตัวรถยนต์ในระหว่างที่ใช้งานรถยนต์ ถึงแม้ว่าผู้ขับจะไม่ใช่เจ้าของรถยนต์ แต่ถ้าเป็นผู้ขับขี่ ณ ขณะนั้นโดยได้รับความยินยอมจากเจ้าของก่อนใช้งานรถยนต์แล้ว ก็จะอยู่ในขอบเขตความคุ้มครองของประกันในรูปแบบนี้

โดยทางบริษัทฯ จะชดเชยค่าเสียหายของตัวรถยนต์ตามเงื่อนไขที่กำหนด ถึงแม้ว่าเพื่อนจะยืมรถไปขับ ก็ยังสามารถรับความคุ้มครองจากประกันได้

ประกันภัยรถยนต์แบบระบุชื่อผู้ขับขี่

หากเจ้าของรถยนต์ทำประกันภัยแบบระบุชื่อผู้ขับขี่ ซึ่งเป็นประกันที่มีรูปแบบการคุ้มครองความรับผิดและความเสียหายของรถยนต์ในกรณีที่เกิดเหตุกับรถยนต์ในขณะที่มีผู้ที่ถูกระบุชื่อไว้ในกรมธรรม์เป็นผู้ขับรถยนต์เท่านั้น

โดยการทำประกันแบบระบุชื่อ จะสามารถระบุชื่อผู้ขับขี่ลงในกรมธรรม์ได้ถึง 2 คน กรณีที่มีเพื่อนยืมรถไปแล้วขับชน หากเพื่อนไม่ใช่เจ้าของชื่อที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ ก็จะไม่ได้รับความคุ้มครองหรือเงินชดเชยจากจากประกันรูปแบบนี้

When-Your-Friend-Crashes-Your-Car

ถ้าเพื่อนเอารถไปขับ แต่ไม่มีใบขับขี่?

ถ้าเพื่อนที่ยืมรถยนต์ไปขับ ไม่มีใบอนุญาตขับขี่ แล้วขับรถยนต์ของคุณไปเกิดอุบัติเหตุ ก็จะมีความผิดฐานไม่มีใบขับขี่ รัฐจะเป็นผู้เสียหาย ไม่ใช่คู่กรณี แต่ถ้ารถยนต์ของเราเป็นฝ่ายถูกชน เจ้าของรถยนต์สามารถเรียกร้องค่าเสียหายจากคู่กรณีได้ แต่ถ้าเรา(หรือเพื่อนที่ยืมรถไปขับ) เป็นฝ่ายผิด ก็ต้องพิจารณาแยกเป็นกรณีดังต่อไปนี้

ไม่เคยสอบใบขับขี่มาก่อน ไม่มีใบขับขี่

หากผู้ขับไม่มีใบขับขี่มาก่อน บริษัทประกันจะคุ้มครองเฉพาะความเสียหายของบุคคลภายนอก หรือ ความเสียหายของตัวรถยนต์เท่านั้น

มีใบขับขี่ แต่ไม่ได้พกมาด้วย/หมดอายุ/ถูกยึด

หากเพื่อนที่ยืมรถยนต์ไปมีใบขับขี่ แต่อาจจะไม่ได้พกมาด้วย หรือใบขับขี่หมดอายุ-ถูกยึด กรณีนี้ประกันภัยรถยนต์แบบไม่ระบุชื่อผู้ขับ จะให้ความคุ้มครองและชดเชยค่าเสียหายให้ตามเงื่อนไข

อย่างไรก็ตาม การขับขี่ยานยนต์โดยไม่มีใบอนุญาตขับขี่ เป็นการทำผิดกฎหมายจราจร ไม่ควรปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีความเสี่ยงอุบัติเหตุสูง และถ้าถูกจับได้ก็จะมีความผิดและโดนปรับได้

นอกจากประกันภัยรถยนต์ แล้วเพื่อนที่ยืมรถยนต์ไปขับ ต้องรับผิดชอบอะไรไหม?

นอกเหนือจากความคุ้มครองจากประกันภัยรถยนต์แล้ว หากเรารู้สึกว่ารถยนต์เกิดความเสียหายมาก ก็สามารถเจรจาต่อรองเพื่อให้เพื่อนรับผิดชอบค่าเสียหายได้

หรือในกรณีที่เพื่อนนำรถไปชนจนไม่สามารถเคลมได้ คู่กรณีก็สามารถยื่นเรื่องฟ้องร้องทางแพ่งและทางอาญาที่ตัวของเพื่อนคนนั้นได้เช่นกัน

หากคู่กรณีเป็นฝ่ายขับมาชน เจ้าของรถยนต์ก็ต้องเป็นผู้ไปเรียกร้องค่าชดเชยจากคู่กรณีและต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เป็นส่วนต่างเอง แต่สามารถเจรจาให้เพื่อนที่ยืมรถไปขับเป็นผู้จ่ายเงินส่วนนั้นแทนได้

ดูเหมือนว่า ขั้นตอนการขอเคลมต่างๆ จากประกันภัยรถยนต์ ในกรณีนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะมีบุคคลอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยนั่นเอง เชื่อว่าถ้าเจอแบบนี้เข้าไป ก็คงจะปวดหัวไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะตัดสินใจให้ใครยืมรถยนต์ไปใช้ ให้คิดไตร่ตรองให้ดี หรือสังเกตพฤติกรรมการขับขี่ของคนคนนั้นให้ดีเสียก่อน หากรู้สึกว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์สูง ก็อย่าให้ยืมเลยดีกว่า เพราะมันอาจจะไม่คุ้ม

Howto-Prevent-Car-Theft

กว่าจะได้เป็นเจ้าของรถยนต์สักคันนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะฉะนั้น เราก็ต้องดูแลรถยนต์อย่างใส่ใจ เพื่อให้รถมีสภาพที่ดี พร้อมใช้งาน และอยู่กับเราไปนาน ๆ

ไม่เพียงแค่เรื่องของอุบัติเหตุที่สร้างความเสียหายให้กับรถยนต์เท่านั้น แต่ยังหมายรวมไปถึงเรื่อง “รถยนต์หาย” ที่จะสร้างปัญหาและผลกระทบทางการเงินให้ไม่น้อยเลย เพราะฉะนั้น กันไว้ดีกว่าแก้ ด้วยเคล็ดลับเหล่านี้เลย

เคล็ดลับการดูแลรถยนต์ เพื่อป้องกันรถหาย

Howto-Prevent-Car-Theft

จอดรถยนต์ในพื้นที่สว่าง มองเห็นง่าย

เมื่อคุณต้องจอดรถยนต์ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย อย่างเช่นห้างสรรพสินค้า หรือลานจอดรถสาธารณะ แนะนำให้เลือกจอดในพื้นที่ที่มีแสงสว่างส่องทั่วบริเวณ และผู้คนที่สัญจรไปมาสามารถมองเห็นได้ง่าย ไม่อยู่ในที่ลับตาคน เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้เหล่ามิจฉาชีพใช้ความมืดในการแอบขโมยรถหรืองัดรถของคุณ

ลำดับถัดมาก็คือ เมื่อมีแสงสว่างแล้ว ก็ควรมีกล้องวงจรปิดที่จับภาพบริเวณลานจอดรถเอาไว้ด้วย เพื่อช่วยในการสอดส่องดูแล หากเกิดเหตุใดๆ ขึ้นมาจริง ๆ จะได้ใช้ภาพที่ถูกบันทึกไว้ด้วยกล้องวงจรปิดมาใช้เป็นหลักฐานในการจับตัวคนร้ายได้

อย่าลืมล็อกรถให้เรียบร้อย

เป็นวิธีป้องกันรถยนต์หายแบบง่ายๆ ที่ต้องเริ่มต้นที่ตัวเองเลย กับการล็อกรถยนต์ ซึ่งเป็นด่านแรกในการป้องกัน หากเจ้าของรถยนต์ไม่รอบคอบ แล้วเผลอจอดรถทิ้งไว้โดยไม่ได้ล็อกให้เรียบร้อย ก็เป็นการเปิดโอกาสให้เหล่ามิจฉาชีพดีๆ นี่เอง เพราะฉะนั้น สิ่งที่ควรทำก่อนเดินออกจากตัวรถยนต์ก็คือการเช็กให้เรียบร้อยว่าได้ทำการล็อกรถยนต์แน่นสนิทแล้ว

โดยคุณสามารถซื้อที่ล็อกพวงมาลัยรถยนต์มาใช้เพิ่มเติม เพื่อลดความเสี่ยงในการลักลอบขับรถยนต์ออกไป ต่อให้เหล่ามิจฉาชีพจะสะเดาะกลอนประตูเข้ามาในรถของเราได้ แต่ก็ไม่สามารถขับออกไปได้ และอาจจะเสียเวลากับการปลดล็อกกลอนพวงมาลัยเป็นเวลานาน ซึ่งในขณะนั้นก็จะมีคนสังเกตเห็นความผิดปกติได้ก่อน

ใช้ระบบป้องกันการสตาร์ทเครื่องยนต์

ลองใช้เทคโนโลยีมาช่วยก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ ระบบป้องกันการสตาร์ทเครื่องยนต์ที่ว่าก็คือ Engine Immobilizer System ที่จะคอยตรวจสอบในตอนที่เราเสียบกุญแจรถเพื่อสตาร์ทรถ โดยทั้งลูกกุญแจและแม่กุญแจจะทำการส่งสัญญาณสื่อสารโค้ดเฉพาะ หากว่าการเข้ารหัสมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น ระบบจะตัดสัญญาณการสตาร์ทเครื่องยนต์ทันที จึงไม่สามารถสตาร์ทรถยนต์ได้อีก วิธีนี้เหมาะกับรถยนต์ที่ขับมือเดียว มีกุญแจชุดเดียว เพราะกุญแจปั๊มจะไม่สามารถนำมาใช้เข้ารหัสกับระบบป้องกันนี้ได้

Howto-Prevent-Car-Theft

เช็กการทำงานของสัญญาณกันขโมยเสมอ

หากว่ากันตามความเป็นจริง สัญญาณกันขโมยในรถยนต์นั้นอาจเป็นระบบที่ไม่ได้ถูกนำมาใช้งานอย่างเต็มที่เท่าใดนัก เราจะรู้ก็ต่อเมื่อมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับรถยนต์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยมีใครอยากให้เกิดนัก แล้วถ้าการทำงานของสัญญาณกันขโมยผิดปกติล่ะ เราจะรู้ได้อย่างไร?

ดังนั้น การเช็กการทำงานของสัญญาณกันขโมยรถยนต์จึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก จึงไม่อยากให้ผู้ใช้รถยนต์ทุกคนมองข้ามไป เราจึงควรตรวจสอบให้เพื่อให้มั่นใจได้ว่าระบบการทำงานของมันยังคงอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานได้เสมอ จะได้อุ่นใจมากขึ้นด้วย

เลือกความคุ้มครองจากประกันภัยรถยนต์

การทำประกันรถยนต์ที่มีความคุ้มครองครอบคลุมกรณีที่รถยนต์หาย เป็นการวางแผนเพื่อรองรับความเสี่ยงได้อีกทางหนึ่ง เพราะถ้าเกิดรถหายขึ้นมาจริง ๆ คุณสามารถแจ้งกับทางบริษัทประกันภัย เพื่อให้ทางประกันฯ มาตรวจสอบสถานที่ วันเวลาที่รถหาย และช่วยดำเนินการเรื่องการเคลมประกันและจ่ายเงินค่าชดเชยกับบริษัทประกันภัยตามข้อตกลงที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ ทั้งนี้ ความคุ้มครองจากประกันรถยนต์ยังช่วยดูแลในกรณีอื่น ๆ ที่รถยนต์ได้รับความเสียหายอีกด้วย

ทั้งหมดนี้คือเคล็ดลับในการดูแลป้องกันไม่ให้รถยนต์หาย ที่ rabbit finance นำมาแบ่งปันเหล่าคนรักรถทุกท่าน เพราะรถยนต์เป็นสินทรัพย์ชิ้นใหญ่ที่มีราคาสูง จึงอยากให้ทุกคนรักษาให้ดี เพื่อให้รถยนต์คันโปรดอยู่กับคุณไปนานๆ

Claim-Car-Insurance-From-Flood-Damage

ช่วงนี้พวกเราคงต้องเผชิญพายุดีเปรสชั่นกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแน่นอนว่าฝนตกแบบนี้คงเป็นเรื่องที่สร้างความลำบากใจให้ใครต่อใครหลายคน รวมไปถึงเพื่อน ๆ ที่อาศัยอยู่ในตัวเมือง เกิดน้ำท่วมทีไรมักจะพบกับปัญหาน้ำท่วม น้ำขัง ซึ่งส่งต่อผลเสียต่อรถยนต์ของเรา ถ้าเกิดกรณีน้ำท่วมรถเรา สามารถเคลมประกันได้ไหม ให้ masii บอกคำตอบเพื่อน ๆ กันดีกว่า

ถ้าน้ำท่วมรถเราจะเคลมประกันได้ไหม

Claim-Car-Insurance-From-Flood-Damage

บางครั้งที่ฝนตกหนัก ๆ ก็อาจส่งผลให้เกิดน้ำท่วมขังบนท้องถนน หรือท่วมบ้านเรือนที่พักอาศัย ซึ่งน้ำท่วมนี้ถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ ซึ่งจัดให้อยู่ในความคุ้มครองประเภทภัยธรรมชาติ สำหรับประเภทประกันภัยที่ครอบคลุมภัยธรรมชาตินั้น มีดังนี้

  • ประกันรถยนต์ชั้น 1
  • ประกันรถยนต์ชั้น 2+ (บางกรมธรรม์)
  • ประกันรถยนต์ชั้น 3+ (บางกรมธรรม์)

น้ำท่วมรถแบบไหนถึงสามารถเคลมประกันได้

Claim-Car-Insurance-From-Flood-Damage

น้ำท่วมรถขณะจอดอยู่ที่บ้านหรือลานจอดรถ

ในกรณีแบบนี้คือการจอดรถอยู่ที่บ้าน จอดที่ลานจอดรถ แล้วมีพายุฝนตกหนักติดต่อกันหลายวันจนเกิดน้ำท่วม น้ำป่าไหลหลาก ไม่สามารถย้ายรถได้ทัน

น้ำท่วมขณะเดินทางบนท้องถนน

รถติดอยู่บนท้องถนนขณะที่ฝนตก น้ำก็ท่วม ติดมาอยู่หลายชั่วโมงจนเกิดน้ำท่วมขังทำให้รถยนต์ของเพื่อน ๆ เกิดความเสียหาย สามารถแจ้งเคลมประกันได้เช่นกัน

น้ำท่วมรถแบบไหนที่ไม่สามารถเคลมประกันได้

Claim-Car-Insurance-From-Flood-Damage

ตั้งใจขับผ่านเส้นทางน้ำท่วม

กรณีเพื่อน ๆ ทราบอยู่แล้วว่าบริเวณพื้นที่ข้างหน้าที่เราจะต้องขับรถผ่านนั้นมีน้ำท่วม แต่ก็ยังขับรถลุยน้ำท่วมไป จนทำให้รถยนต์เกิดความเสียหาย เช่น น้ำเข้าห้องเครื่อง เครื่องยนต์ดับ ฯลฯ แบบนี้จะไม่สามารถเคลมประกันได้ เพราะมีเจตนาที่ชัดเจน

น้ำท่วมรถนอกอาณาเขต

กรณีต้องขับรถไปต่างประเทศ เช่น ขับรถไปประเทศเพื่อนบ้านแล้วเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม จะไม่สามารถเคลมประกันได้ เพราะว่ารถยนต์ของเพื่อน ๆ ประสบเหตุนอกประเทศไทยซึ่งถือว่าอยู่นอกอาณาเขตที่ให้ความคุ้มครองนั่นเอง

เมื่อเพื่อน ๆ ทราบกันแล้วว่าหากน้ำท่วมแบบนี้ กรณีไหนที่สามารถเคลมประกันได้ และกรณีไหนที่ไม่สามารถเคลมประกันได้ ก็หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับทุกคนในช่วงนี้พายุหน้าฝนนี้ สุดท้ายใครที่มองหาประกันรถยนต์ สามารถ คลิกที่นี่ เพื่อเช็กเบี้ยประกันได้ทันที

ขอขอบคุณบทความดี ๆ จาก www.masii.com

Buy-New-Car-Or-Secondhand-Car-What-Is-Better

เชื่อว่า หลาย ๆ คนอาจจะชั่งใจหรือลังเลอยู่ว่าถ้าหากจะซื้อรถยนต์สักคันหนึ่งนั้น เราควรเลือกระหว่างมือหนึ่งใหม่เอี่ยมไปเลย หรือรถมือสองที่สภาพยังดีอยู่ ซึ่งแน่นอนว่าคงมีหลายเสียงบอกมาว่า หากซื้อรถทั้งทีก็เอาดีๆ ไปเลย แบบนี้ เรามาลองเปรียบเทียบความคุ้มค่ากันดีไหมว่า ซื้อรถยนต์มือหนึ่งหรือรถมือสอง แบบไหนจะคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปมากกว่า

ซื้อรถใหม่ เอารถมือหนึ่งหรือรถมือสอง อะไรดีกว่ากัน

Buy-New-Car-Or-Secondhand-Car-What-Is-Better

1. ราคาที่ต้องจ่าย

ต้องยอมรับว่าปัจจุบันนี้เงินทองเริ่มหายากมากขึ้น การจะซื้อรถยนต์สักคันจึงเป็นสิ่งที่ต้องคิดและทบทวนหลายรอบว่า ซื้อรถรุ่นไหนคุ้มกว่ากันนะ เมื่อเกิดคำถามหรือกำลังลังเลอยู่นั้น ลองให้ masii เปรียบเทียบให้ดูกันดีกว่า

รถมือหนึ่ง

ถึงแม้ราคาของรถมือหนึ่ง หรือรถป้ายแดงจะแพงกว่า แต่กลับเสียดอกเบี้ยและเงินดาวน์น้อยกว่ารถมือสอง ปัจจุบันนั้นรถมือหนึ่งมีความน่าซื้อมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอัตราดอกเบี้ยถูกกว่า มีโปรโมชั่นดี ๆ อย่างดอกเบี้ย 0% หรือลดเงินดาวน์ รวมไปถึงมีวิธีการเลือกผ่อนชำระค่างวดได้หลากหลายรูปแบบ ซึ่งทำให้ใครหลายคนตัดสินใจเลือกซื้อรถมือหนึ่งกันเป็นจำนวนมาก

รถมือสอง

รถมือสองในปัจจุบันมีให้เลือกซื้อมากมาย แต่สิ่งที่หลาย ๆ คนมักจะกลัวกันคือ การไม่ทราบประวัติและข้อมูลของรถว่าได้ผ่านอะไรมาแล้วบ้าง แต่สำหรับเรื่องที่เราควรยอมรับก็คือ ในจำนวนเงินที่เท่ากันนั้นสามารถซื้อรถมือสองที่รุ่นใหญ่กว่า หรือซื้อรุ่นท็อปก็ได้ และแน่นอนว่าหลายคนที่หันมาเลือกซื้อรถมือสองคงเป็นเพราะราคาที่เข้าถึงได้ รวมไปถึงคุณภาพรถก็ดีไม่แพ้รถมือหนึ่งนั่นเอง

Buy-New-Car-Or-Secondhand-Car-What-Is-Better

2. สมรรถนะ

รถมือหนึ่ง

หากมองหาสิ่งที่โดดเด่นในรถมือหนึ่งนั่นก็คือ เรื่องของสมรรถนะเครื่องยนต์ ที่มีระบบขับเคลื่อนที่ดีกว่า มีรูปลักษณ์ภายนอกที่ใหม่เอี่ยม ทันสมัย อีกทั้งรถยนต์บางรุ่นยังช่วยเรื่องการประหยัดพลังงาน แถมมีฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่ช่วยดูแลเรื่องความปลอดภัยอีกด้วย เราจึงสามารถไว้วางใจคุณภาพของการใช้งานได้ทันที รวมไปถึงหากรถมีปัญหาก็สามารถติดต่อเคลมประกันกับศูนย์ได้โดยตรง

รถมือสอง

ปฎิเสธไม่ได้ว่าสภาพการใช้งานรถมือสองคงดีไม่เท่ากับรถมือหนึ่ง เพราะยังไงก็ต้องผ่านการใช้งานมาแล้วไม่มากก็น้อย ซึ่งการจะเลือกซื้อรถมือสองจำเป็นต้องเช็กเลขไมล์ก่อน เพื่อประเมินการใช้งานรถ รวมถึงบำรุงรักษา แต่ถ้าหากโชคดีว่ารถมือสองที่เราเล็งไว้มีสภาพดี เราก็คงไม่ต้องเสียเงินจำนวนมากเพื่อการซ่อมแซมในอนาคต

Buy-New-Car-Or-Secondhand-Car-What-Is-Better

3. ออปชั่นเสริมในรถ

รถมือหนึ่ง

ยิ่งมีรถใหม่ออกมามากขึ้นเท่าไร เทคโนโลยีภายในรถก็ยิ่งพัฒนามากขึ้น ทั้งเรื่องของการพัฒนาออปชั่นต่าง ๆ ที่ทันสมัยให้สามารถรองรับและอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ขับขี่และผู้โดยสาร รวมไปถึงระบบสั่งงานด้วยเสียง ระบบตรวจจับความอ่อนล้าของผู้ขับขี่ และด้วยออปชั่นเทคโนโลยีที่ดีขึ้น ราคาของรถมือหนึ่งจึงสูงมากขึ้นไปด้วย

รถมือสอง

แม้ออปชั่นภายในรถจะไม่ได้ดีหรือทันสมัยเท่ารถมือหนึ่ง แต่บางออปชั่นในรถมือหนึ่งก็อาจไม่ได้ตอบโจทย์ผู้ขับขี่เสมอไป เทียบกับรถมือสองบางคันที่มีออปชั่นจำกัด แต่กลับตอบโจทย์การใช้งานของผู้ขับขี่ได้มากกว่า ทั้งยังมีราคาที่ถูกกว่าการซื้อรถมือหนึ่ง หากใครที่มีงบไม่มาก การซื้อรถมือสองก็น่าจะเหมาะกับเรามากกว่า

เพียงเท่านี้เพื่อนๆ ก็สามารถนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ประกอบการตัดสินใจได้ว่า รถมือหนึ่งหรือรถมือสอง จะตอบโจทย์เราได้มากที่สุด แต่ทั้งนี้ไม่ว่าจะเลือกซื้อรถแบบไหน ก็ควรทำประกันรถยนต์ควบคู่ไว้ ช่วยเพิ่มให้เราอุ่นใจขณะขับขี่ได้ตลอดเวลา คลิกที่นี่ เพื่อเช็กเบี้ยประกันรถยนต์ราคาเริ่มต้นที่หลักร้อยได้ทันที

ขอขอบคุณบทความดีๆ จาก www.masii.com

4-Good-Choices-For-Secondhand-Car

ปฏิเสธไม่ได้ว่าหากพูดถึง รถมือสอง หลายคนมักจะเบือนหน้าหนี เพราะรู้สึกว่าการซื้อรถมือสองจะไม่อุ่นใจเท่ากับซื้อรถมือหนึ่ง แต่จริงๆ แล้ว รถมือสองที่วางขายอยู่ในปัจจุบันนั้นถือได้ว่า สภาพของรถยนต์นั้นสูสีไม่แพ้รถมือหนึ่งแต่อย่างใดเลย วันนี้ masii เลยนำเหตุผล 4 ข้อดีของรถมือสองที่ไม่ควรมองข้ามมาฝากกัน

4-Good-Choices-For-Secondhand-Car

1. ราคาประหยัดกว่า

ถ้าถามเหตุผลส่วนใหญ่ที่หลายคนเลือกซื้อรถมืองคงหนีไม่พ้นกับ ราคาของรถยนต์ที่แสนประหยัด จึงถือได้ว่าเป็นเหตุผลที่ทำให้ใครๆ ต่างตัดสินใจซื้อรถมือสองมาใช้งานกัน

และเนื่องจากยิ่งเวลาของรถผ่านไปนานเท่าไร ราคาก็จะยิ่งถูกลงมากขึ้น จึงไม่แปลกใจที่ใครหลายคนจะเลือกซื้อรถมือสอง เพราะช่วยให้ประหยัดได้ด้วย

2. ได้รถขนาดและคุณภาพเหมาะสม

เหตุผลที่หลายคนเบือนหน้าหนีไป เพราะว่าสภาพรถมือสอง อาจจะไม่ได้คุณภาพที่ดีเท่ากับรถมือหนึ่ง

แต่สำหรับรถมือสองที่มีประวัติการใช้งานที่ดี และไม่เคยชนหนักหรือประสบอุบัติเหตุมาก่อน ก็จะส่งผลให้ผู้ซื้อตัดสินใจได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม รวมไปถึงราคาของรถมือสองที่ถูกลงอาจทำให้เราได้ขนาดรุ่นรถใหญ่มากขึ้น และมีระบบความปลอดภัยที่ดีอีกด้วย

4-Good-Choices-For-Secondhand-Car

3. ซื้อผ่านเงินสดได้ง่าย

ราคาของรถมือสองจะถูกกว่ารถป้ายแดงเป็นธรรมดาอยู่แล้ว หลายคนจึงมีความคิดที่ว่าเก็บออมเงินสะสมเพื่อนำไปซื้อรถมือสองกันมากกว่า และในปัจจุบันนั้น การซื้อรถมือสองยังสะดวกสบายได้มากขึ้นกว่าเดิมด้วยการยื่นขอกู้ผ่านธนาคาร หรือสถาบันทางการเงินได้อีกด้วยนะ

4. ค่าเสื่อมรถราคาน้อยกว่าป้ายแดง

หากเพื่อนๆ เลือกซื้อรถมือหนึ่งป้ายแดงออกจากโชว์รูม แน่นอนว่ามูลค่าของรถอาจจะตกลงมา แต่สำหรับรถมือสองในปัจจุบันนั้นหล่นลงจากป้ายแดงมาก้อนใหญ่แล้ว

หากไม่พึงพอใจกับรถมือสองคันปัจจุบัน ต้องการจะเปลี่ยนคันใหม่ มูลค่าอาจจะลดลงเพียงแค่หลักหมื่นบาทเท่านั้นเอง

ใช่ว่ารถมือสองคันที่เราซื้อมาจะเลือกทำประกันรถยนต์ไม่ได้นะ เรายังสามารถทำประกันรถยนต์เพื่อความอุ่นใจขณะขับขี่ได้ทุกเวลา คลิกที่นี่ เพื่อเช็กเบี้ยประกันรถยนต์หรือสอบถามเกี่ยวกับประกันรถยนต์ผ่านเว็บไซต์ได้ทันที เรามีเจ้าหน้าที่คอยให้คำปรึกษาอยู่ค่ะ

ขอขอบคุณบทความดีๆ จาก www.masii.com

Safety-Driving-At-Rain-Season

ขับขี่รถยนต์บนท้องถนนช่วงฝนตกสุดแสนจะอันตราย เพราะนอกจากถนนจะเปียกลื่นแล้ว ทัศนวิสัยในการมองเห็นทางก็ย่อมจะไม่มีด้วยเช่นกัน วันนี้ rabbit finance ขอแนะวิธีขับรถอย่างปลอดภัยในช่วงฤดูฝนมาฝากกัน

ขับรถช่วงหน้าฝนต้องระวังอะไรบ้าง

1. ไม่ขับรถเร็ว

สิ่งไม่คาดคิดขณะที่กำลังขับรถช่วงหน้าฝนย่อมเกินขึ้นได้เสมอกับอุบัติเหตุต่างๆ ฉะนั้นแล้วเมื่อฝนตก ตอนเวลาที่ขับรถอยู่บนท้องถนนควรที่จะลดความเร็วลงจากปกติ เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุ หรือมีต้นไม้หักกีดขวางทางถนนไว้ก็จะได้เบรกทัน ทำให้ไม่เกิดความสูญเสีย เพราะเรายังสามารถที่จะเบรกได้ทันนั่นเอง

2. ไม่เหยียบเบรกกะทันหัน

ช่วงฝนตกพื้นถนนมีความลื่นหรือมีน้ำขังอยู่บนท้องถนน จึงควรขับรถอย่างระมัดระวังเป็นอย่างมากต้องมีสติกว่าการขับรถในช่วงปกติเป็นเท่าตัว เพราะเมื่อขับรถยนต์อยู่บนท้องถนนแล้วเกิดเบรกกระทันหัน อาจทำให้รถของเรานั้นที่ขับอยู่เกิดเสียการทรงตัวจนไม่สามารถควบคุมรถได้ เพราะจากความลื่นของถนนอาจทำให้รถไถลจนไปชนรถด้านหน้าได้ รวมไปถึงรถที่ตามหลังมาด้านหลังอาจเบรกไม่ทันและชนท้ายของเราได้เช่นกัน

Safety-Driving-At-Rain-Season

3. เลี่ยงถนนที่เป็นแอ่งน้ำ

เมื่อเกิดฝนตกตอนขับขี่รถยนต์ ทำให้บางพื้นที่ของท้องถนนนั้นเกิดน้ำท่วมขัง ฉะนั้นแล้วเพื่อความปลอดภัยในเวลาขับรถช่วงหน้าฝน ความหลีกเลี่ยงถนนช่วงที่มีน้ำขัง หรืองแอ่งน้ำ เพราะอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ ในขณะที่ถนนเปียกหรือมีน้ำเพิ่มมากขึ้นบนพื้นถนน ทำให้ยางหมุนอยู่บนฟิล์มน้ำแทน อันเป็นเหตุให้รถเสียการควบคุม และเกิดอาการลื่นไถลได้นั่นเอง

4. เปิดไฟรถยนต์

การเปิดไฟหน้าและหลังรถจะช่วยทำให้ผู้ขับรถนั้นสามารถมองเห็นถนนในช่วงเวลาที่มืดได้ดีขึ้น และผู้ขับขี่คนอื่นทั้่งที่อยู่คันหน้าและคันหลังจะได้เห็นสัญญาณไฟรถของเราชัดเจนมากขึ้น และทำให้เกิดความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ฉะนั้นแล้วต้องไม่ลืมว่าช่วงที่มีฝนตกหนักนั้นการมองเห็นเส้นทางของถนนจะมีความยากมากกว่าปกติ ต้องขับด้วยความระมัดระวัง

Safety-Driving-At-Rain-Season

5. ทิ้งช่องว่างระยะห่างในการขับขี่

ช่วงที่เกิดฝนตกหนัก ถนนหนทางมีความเปียกและลื่น จึงทำให้ต้องมีการเว้นระยะห่างของการขับรถเพิ่มขึ้น เพื่อให้สามารถหยุดรถได้ทันและเพื่อความปลอดภัยนั่นเอง ฉะนั้นเมื่อต้องขับรถในช่วงหน้าฝนต้องขับรถอย่างมีสติ เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงอุบัติเหตุในช่วงที่เกิดฝนตกหนัก กับสภาพอากาศที่ไม่ปกติอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ตลอดเวลานั่นเอง

6. ประกันรถยนต์

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีความจำเป็นต้องเดินทางขับรถช่วงหน้าฝน ต้องมีความระมัดระวังในการขับขี่มากยิ่งขึ้น แต่ถ้าเรามีประกันรถยนต์ก็จะช่วยเพิ่มความอุ่นใจให้กับผู้ขับขี่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่ารักษาพยาบาลที่ไม่ต้องสำรองจ่ายไปก่อน และไม่ว่าถูกหรือผิดก็มีสิทธิ์ได้รับค่าเสียหายตามประเภทของกรมธรรม์ได้

หากสนใจทำประกันรถยนต์แต่ไม่รู้ว่าจะทำประกันรถที่ไหนดี สามารถเช็กราคาประกันรถยนต์ได้ที่ rabbit finance หรืออ่านบทความดีๆ จากเราได้เป็นประจำ

Carro-Roojai-Driving-Safety-In-Rain-Season

เรื่องถนนลื่นคือความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ หากต้อง “ขับรถหน้าฝน” ความปลอดภัยบนท้องถนน จึงกลายเป็นสิ่งที่คุณต้องพึงนึกถึงไว้เสมอตอนที่อยู่หลังพวงมาลัยและมีสายฝนตกบนหน้ากระจกรถคุณ หากผู้ขับขี่มีเทคนิคในการขับขี่ที่ดี เส้นทางฝนตกที่ต้องเผชิญก็ไม่ใช่ปัญหา และสามารถขับไปถึงจุดหมายปลายทางได้โดยสวัสดิภาพ

Driving-Safety-In-Rain-Season

Roojai.com จะพาคุณไปดูเทคนิค “ขับรถหน้าฝน” อย่างปลอดภัย เราจะแนะนำว่าอะไรบ้างที่ต้องทำ อะไรบ้างที่ต้องเตรียม และ ข้อควรระวัง ขณะขับรถหน้าฝน

“ขับรถหน้าฝน” ถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพและปลอดภัยมากกว่าเดิม

อย่าเล่นโทรศัพท์มือถือ

สมาธิคือสิ่งสำคัญในการขับขี่ ด้วยสถานการณ์ที่ฝนตกหนัก ทรรศนะวิสัยการมองเห็นไม่ชัดเจน สิ่งรบกวนมีรอบตัวขณะขับขี่ การโฟกัสแต่สิ่งที่อยู่บนถนนข้างหน้าย่อมสำคัญกว่าหน้า Feed บน Facebook ดังนั้น “อย่าหยิบมือถือ” ให้วางมือถือไว้ไม่ต้องเล่น หากต้องขับรถขณะที่ฝนตก เพื่อช่วยเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนนในทุกเส้นทางของคุณ

Driving-Safety-In-Rain-Season

สภาพยางรถยนต์ไม่ไหว ต้องเปลี่ยน

ถ้ายางรถยนต์เสื่อมสภาพแล้วก็จะทำให้ความสามารถในการเกาะถนนลดน้อยลง ยิ่งขับรถหน้าฝน ถนนลื่นยิ่งน่ากลัว ทางที่ดีควรตรวจสอบสภาพยางของรถคุณว่าเก่าไปหรือเปล่า ยังพอใช้งานได้หรือไม่ หรือว่าเนื้อยางไม่ไหวแล้วที่จะเกาะถนนก็ควรเปลี่ยนใหม่ แล้วคุณจะมั่นใจในจังหวะเลี้ยว จังหวะเบรก และทุกจังหวะของการขับขี่ได้มากกว่าเดิม ไม่เฉพาะแต่ตอนถนนเปียกเท่านั้น ตอนถนนแห้งรถก็ขับขี่ได้ดีกว่าเดิมกับยางใหม่

เตรียมยางปัดน้ำฝนให้พร้อม

Driving-Safety-In-Rain-Season

หงุดหงิดมั้ย? เวลาที่ปัดกระจกหน้ารถแล้วไม่สะอาด ช่วงหน้าฝนยิ่งควรเตรียมใบปัดน้ำฝนให้พร้อมกับประสิทธิภาพการทำงานที่เต็มร้อย ปัดแล้วสะอาดทันที ไม่ใช่เสื่อมสภาพ ยิ่งปัดยิ่งสกปรกมองไม่เห็น เตรียมพร้อมไว้ถ้าถึงเวลาก็ต้องเปลี่ยน ไม่ใช่จะใช้งานทีก็นึกขึ้นได้ที แบบนี้มีแต่เสี่ยงกับเสี่ยง

ถ้าไม่ไหว ให้จอดข้างทาง

ฝนตกหนัก ๆ บางทีข้างหน้าก็แทบจะมองไม่เห็นอะไรอยู่แล้ว วางใจไม่ได้ก็หาที่จอดข้างทางดีกว่า ถ้าคุณประเมินแล้วขับต่อไปยิ่งเสี่ยง ข้างหน้ามองไม่เห็น ข้างหลังก็มองยาก ให้หาที่จอดรถข้างทางที่เป็นที่สำหรับจอดปลอดภัยมากที่สุด ที่สำคัญอย่าจอดสุ่มสี่สุ่มห้าหรือจะจอดตรงไหนก็จอด เพราะอาจจะยิ่งอันตรายมากกว่าเดิม คนอื่นมองไม่เห็นแล้วขับมาชนเอาได้

ให้เว้นระยะห่างจากรถคันหน้ามากกว่าเดิม

ฝนตกหนักๆ ไม่ควรใช้ความเร็วสูงนั้นถูกต้องแล้ว แต่ที่สำคัญอีกข้อก็คือ ควรเว้นระยะห่างจากรถคันข้างหน้าให้มากกว่าเดิม เผื่อจังหวะไม่คาดฝัน เหยียบเบรกกระทันหัน จะได้ไม่เกิดอุบัติเหตุ ห่างสัก 12-15 เมตรได้ยิ่งดี ถ้าอยู่ในเส้นทางที่รถโล่ง เผื่อระยะเบรกไว้สักหน่อย ยังไงก็ปลอดภัยกว่า

ใช้ความเร็วไม่เกิน 60 กม./ชม.

“ฝนตกถนนลื่น” คำนี้หลายคนน่าจะเคยได้ยิน และเมื่อขับรถเร็ว ๆ ต้องเบรกกระทันหันในบางสถานการณ์ สมรรถนะรถจะดีแค่ไหนก็เอาไม่อยู่ถ้าถนนลื่น ถ้าไม่อยากเสี่ยง อย่าขับรถเร็วเมื่อฝนตก แม้ฝนจะหยุดแล้วแต่ถนนยังลื่นอยู่ก็ไม่ควรขับเร็วมากเกินไป ขับรถหน้าฝน ที่ความเร็ว 60 กม./ชม. น่าจะปลอดภัยที่สุด

Driving-Safety-In-Rain-Season

เปิดไฟรถทั้งหน้าและหลัง

เปิดไฟหน้าก็เพื่อให้ทัศนวิสัยในการมองเส้นทางของคุณทำได้ง่ายขึ้น ส่วนไฟท้ายก็เพื่อให้รถคันหลังเห็นรถของคุณได้ง่ายขึ้นเช่นกัน หลายคนถ้าเคยเจอเส้นทางที่ฝนตกหนักจริง ๆ จะรู้ดีว่ามันยากแค่ไหนที่จะมองเห็นรถคันข้างหน้า เพราะฉะนั้นการเปิดไฟรถทั้งหน้าและหลัง ก็จะช่วยป้องกันอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นและเพิ่มความปลอดภัยบนถนนได้เป็นอย่างดี

เพียงเท่านี้ การขับรถหน้าฝน ก็จะปลอดภัยมากยิ่งขึ้น เตรียมรถให้พร้อม ถ้าคนขับรู้เทคนิคการใช้รถด้วย ยังไงก็ถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ แต่ถึงอย่างไรรถทุกคันควรมีประกันรถยนต์ติดไว้ “ชัวร์” ขึ้นอีกขั้นว่าหากเกิดอุบัติเหตุก็ไม่ต้องกังวล และที่ Roojai.com ประกันรถออนไลน์ เราก็มีแผนประกันให้คุณเลือกและปรับเปลี่ยนได้เองตามต้องการ ซื้อง่าย ไม่ซับซ้อน ราคาดี และเชื่อใจได้ ต้อง Roojai.com รู้ใจกว่า ประหยัดกว่า แถมผ่อนเบี้ยสบายกระเป๋านานถึง 10 งวด ไม่ง้อบัตรเครดิต ใช้บัตรเดบิตผ่อนได้อีกด้วย

Carro-Priceza-Insurance-For-Secondhand-Car

ในกรณีที่คุณซื้อรถมือหนึ่งป้ายแดงคุณจะได้รับประกันชั้น 1 มากับรถของคุณด้วย แต่หากคุณซื้อรถยนต์มือสองมาแล้ว ในบ้างครั้งก็อาจจะไม่มีประกันภัยมาให้ด้วย ซึ่งหลายๆ คนก็คงเกิดคำถามที่ว่า แล้วจะซื้อประกันแบบไหนดีให้กับรถมือสองละ?

ในส่วนนี้แนะนำให้ลองดูหลายๆ ปัจจัยเป็นส่วนประกอบ ตั้งแต่ลักษณะการขับขี่ หรือการใช้งานรถของคุณ จนไปถึงสภาพและอายุของรถ หากเป็นไปได้การเลือกใช้ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ก็ยังคงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด

แต่หากคุณไม่สามารถซื้อประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ได้ ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2+ ก็ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อย ที่นี้เรามาดูถึงเหตุผลกันบ้างดีกว่า ว่าทำไมถึงต้องเลือกใช้ประกันภัยรถยนต์ 2 ตัวนี้

Insurance-For-Secondhand-Car

ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1

จะทำให้คุณสามารถขับขี่รถยนต์มือสองได้อย่างอุ่นใจมากขึ้น เนื่องจากประกันภัยชนิดนี้ถือได้ว่าเป็นประกันภัยที่ให้การคุ้มครองทั้งคนทั้งรถครอบคลุมมากที่สุดเลยก็ว่าได้ หากรถของคุณเกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะจากรถชนกัน รถชนริมฟุตบาท หรือแม้แต่เศษหินกระเด็นมาชนกระจกก็สามารถเรียกเครมได้ทุกกรณี หากมีการได้รับบาดเจ็บประกันภัยชนิดนี้ก็ให้ความดูแลทั้งกับตัวคุณ และคู่กรณีอีกด้วย

Insurance-For-Secondhand-Car

ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2+

เป็นประกันภัยที่ให้การคุ้มครองเกือบเทียบเท่ากับประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 เพียงจะประกันภัยชนิดนี้จะมีความแตกต่างกันตรงที่เมื่อเกิดอุบัติเหตุจะต้องมีคู่กรณีร่วมด้วย นั่นจึงทำให้ประกันภัยชนิดนี้ไม่ได้คุ้มครองอุบัติเหตุชนสิ่งอื่น ๆ เช่น เสาไฟฟ้า รั้ว ต้นไม้ กำแพง หรือการพลิกคว่ำ และหากเกิดอุบัติเหตุกับรถยนต์คุณจะต้องทราบถึงเลขทะเบียนรถของฝ่ายคู่กรณีด้วยเพื่อใช้แจ้งเครมประกันกับเจ้าหน้าที่

ดังนั้น หากจะเลือกซื้อประกันภัยรถยนต์ชั้น 2+ แนะนำให้คุณติดตั้งกล้องหน้า-หลังรถ และขับขี่อย่างระมัดระวังมากกว่าการทำประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ขึ้นมาเล็กน้อย

การทำประกันรถยนต์มือสองนั้น ก็ไม่ได้มีความแตกต่างจากการเลือกซื้อประกันภัยให้รถยนต์มือหนึ่งสักเท่าไร เพราะสุดท้ายแล้วคุณก็ต้องเลือกซื้อประกันภัยรถยนต์ตามความเหมาะสมกับประเภทรถ และลักษณะการขับขี่

ก่อนเลือกซื้อแนะนำให้คุณลองหาข้อมูลของบริษัทประกันภัยเอาไว้หลายๆ เจ้า ร่วมความถึงรีวิวต่างๆ จากผู้ใช้งานจริง เพื่อนำมาเปรียบเทียบถึงข้อดี-ข้อเสีย จะได้เลือกประกันภัยที่มีความคุ้มค่า และเหมาะกับคุณได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเรื่องของค่าเบี้ยประกันภัยที่ต้องจ่าย ทุนประกันที่ให้ความคุ้มครอง ไปจนถึงรายละเอียดและเงื่อนไขของกรมธรรม์ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่คุณไม่ควรมองข้าม จะได้ไม่เกิดปัญหาตามมาแล้วมานั่งปวดหัวในภายหลัง

หากสนใจเปรียบเทียบประกันรถยนต์ คลิกที่นี่ เปรียบเทียบฟรี ทั้งเบี้ย ความคุ้มครอง ครบทุกรูปแบบในที่เดียว หรือสามารถติดตามข่าวสารได้ที่เพจ Pricezamoney เรามีแอดมินคอยให้คำแนะนำครับ

Parking-Safety-Tips-For-Your-Car

ปัญหาการหาที่จอดรถไม่ได้สักที ยอมรับเลยว่าเป็นปัญหาที่คอยกวนใจให้กับเราได้ตลอดเวลาเลย จนบางครั้งก็อดไม่ได้ที่จะพึ่งพาไสยศาสตร์ให้ช่วยเราหาที่จอดรถให้ได้สักที แต่ก็ใช่ว่าทุกที่จอดรถที่เราจะเจอจะสร้างความสบายใจให้แก่เรา บางทีรถป้ายแดง หรือรถมือสอง ก็ต้องการความปลอดภัย หากเจอที่ที่ดูไม่เหมาะกับการจอดรถ ก็ขอเลือกไม่จอดดีกว่า รวมไปถึงอันตราย และการเสี่ยงต่อรถหายด้วย

ดังนั้นวันนี้ masii เลยมีเคล็ดลับมาบอกว่าที่จอดรถแบบไหนที่เราควรหลีกเลี่ยงบ้าง

Parking-Safety-Tips-For-Your-Car

ใต้ต้นไม้ใหญ่

หากอากาศร้อนระอุ หลายคนมักจะมองหาที่จอดรถใต้ต้นไม้ใหญ่เพราะต้นไม้สามารถให้ร่มเงากับรถของเราได้ แต่เพื่อนๆ ทราบกันไหมครับว่า การจอดรถใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่นั้น ต้องแลกกับความเสี่ยงที่กิ่งไม้ต่างๆ จะโค่นหักใส่รถของเราได้ ซึ่งอาจสร้างความเสียหายให้กับรถยนต์ และในช่วงหน้าฝนแบบนี้ หากเลี่ยงได้ทาง มาสิ แนะนำให้เลี่ยงไปก่อนเลยครับ

ที่มืดและเปลี่ยว

การเลือกจอดรถในที่มืดและเปลี่ยวนั้น รวมไปถึงการจอดรถห่างไกล และลับสายตานั้น ปฎิเสธไม่ได้ว่าเลยว่าการกระทำนี้เป็นการง่ายต่อการที่รถของเราจะหายจากการถูกโจรกรรมแน่ๆ และสิ่งของในรถอาจจะโดนขโมย หรืออาจจะโดนทุบกระจกก็เป็นไปได้ ดังนั้นวิธีที่ดีที่ในการเลือกจอดรถ ควรหาที่จอดที่เหมาะสม มีแสงสว่างพอเพียง อีกทั้งยังมีผู้คนพลุกพล่าน

Parking-Safety-Tips-For-Your-Car

ทางลาดชัน

มือใหม่ต้องฟังเลย เวลาเดินทางออกต่างจังหวัด อาจจะเห็นว่าไม่ค่อยจะมีรถวิ่งสักเท่าไรนั้น และมีเหตุจำเป็นต้องจอดข้างทาง สิ่งที่เพื่อนๆ ควรหลีกเลี่ยงไปก่อน คือ การจอดรถบนลาดชัด หรือบนเนินเขา ครับ เพราะว่านอกจากจะส่งผลต่อระบบเบรกรถของเราแล้ว ยังเสี่ยงต่อการรถไหลอีกด้วย สร้างความเสียหายให้กับรถของเรา และคนอื่นด้วย

และเมื่อเกิดอุบัติเหตุกับรถยนต์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นทั้งมีคู่กรณี หรือไม่มีคู่กรณี การเลือกทำประกันรถยนต์ไว้จะช่วยคุ้มครองค่าใช้จ่าย และค่ารักษาพยาบาลให้เราได้ เรียกได้ว่าสร้างความอุ่นใจ และแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายได้ หากใครสนใจประกันรถยนต์ คลิกที่นี่ เพื่อเปรียบเทียบเบี้ยประกันได้ทันที มีข้อมูลสงสัยโทร 02 710 3100 เรามีทีมงานคอยให้คำแนะนำครับ

ขอขอบคุณบทความดีๆ จาก www.masii.com

Trick-To-Choose-Secondcand-Car-And-Cost

ในช่วงสถานการณ์วิกฤตอย่างโควิด-19 หรือเชื้อไวรัสโคโรนาที่กำลังแพร่กระจายไปทั่วโลกแบบนี้ แน่นอนว่าเพื่อนๆ คนไหนที่ปกติต้องอาศัยระบบขนส่งสาธารณะในบ้านเมืองเราตอนนี้ คงปฎิเสธกันไม่ได้ว่าได้รับผลกระทบจากวิกฤตนี้อย่างเต็มๆ จนเพื่อนๆ หลายคนให้ความสนใจกับการซื้อรถยนต์มือสองสภาพดีๆ มาขับใช้เป็นการส่วนตัวแทน

แบบนี้ Masii เลยมีเกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ มาฝากเพื่อนๆ ชาว CARRO กันว่า หากซื้อรถมือสองเราต้องมีค่าใข้จ่ายอะไรบ้างนะ

เลือกซื้อรถมือสอง ต้องมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง

โดยปกติแล้วเพื่อนๆ สามารถซื้อรถมือสองได้ 2 รูปแบบคือ เงินสด และไฟแนนซ์ ทั้งนี้ทั้งนั้นจะขึ้นอยู่ความสะดวกของเพื่อนๆ เลย รวมไปถึงการเลือกซื้อทั้งสองแบบจะมีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันออกไปด้วย เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาดูกันดีกว่าว่าเราจะต้องมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้างนะ

Trick-To-Choose-Secondcand-Car-And-Cost

ซื้อรถด้วยเงินสด

แม้เราจะเก็บเงิน หรือหาเงินสด และเงินก้อน มาซื้อรถมือสองให้จบไปเลยรวดเดียว เพราะไม่อยากจะมีค่าใช้จ่ายหรือผ่อนชำระเพิ่มเติม แต่อย่าลืมนะครับ ยังมีอีกหลายส่วนที่เพื่อนๆ ต้องเตรียมรับมือไว้เลย สำหรับค่าใช้จ่ายดังต่อไปนี้

  • ค่ารถยนต์ – ค่าใช้จ่ายตรงนี้เป็นเรื่องปกติ โดยเป็นราคาตามที่ได้ตกลงการซื้อขายไว้
  • ค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% – ราคารถมือสองที่เราซื้อไปนั้นยังไม่ใช่ราคาสุทธินะครับ ต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายสำหรับภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ไปด้วย
  • ค่าโอนรถ – เป็นค่าใช้จ่ายที่ทางกรมขนส่งทางบกจะเรียกเก็บ
  • ค่าประกันรถยนต์ – เพื่อความอุ่นใจ การเลือกทำประกันรถยนต์จะช่วยความคุ้มค่าให้เราได้

Trick-To-Choose-Secondcand-Car-And-Cost

ซื้อรถแบบผ่อนด้วยไฟแนนซ์

สำหรับการเลือกซื้อรถด้วยวิธีนี้ เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เพราะเราไม่ต้องหาเงินก้อนมาจ่ายทีเดียว แต่เลือกเป็นวิธีการผ่อนชำระไปในแต่ละเดือน ทั้งนี้ก็จะมีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างจากการเลือกซื้อรถมือสองด้วยเงินสดอยู่เล็กน้อย ดังต่อไปนี้

  • ค่างวด – ค่าใช้จ่ายที่เราต้องใช้จ่ายสำหรับผ่อนค่ารถมือสองของเราในแต่ละเดือน และเพิ่มค่าภาษีมูลค่าเพิ่มเติม 7% ไปด้วย
  • ดอกเบี้ย – ดอกเบี้ยรถมือสองจะถูกคิดตามสภาพรถที่เราเลือกซื้อมา ทั้งรุ่น ปี และยี่ห้อ โดยปกติส่วนมากดอกเบี้ยจะอยู่ที่ประมาณ 7% หรือตามเงื่อนไขของแต่ละบริษัท

เพียงเท่านี้เพื่อนๆ ก็สามารถทราบถึงรายละเอียดสำหรับค่าใช้จ่ายของการเลือกซื้อรถมือสองแล้ว รวมไปถึงการเลือกทำประกันรถยนต์ เน้นย้ำว่ารถมือสองที่เราซื้อมาก็สามารถทำประกันรถยนต์ได้เช่นกัน คลิกที่นี่ เพื่อเช็กเบี้ยประกันได้ทันที หากมีข้อมูลสงสัยอยากสอบถามเรื่องประกันรถยนต์ สินเชื่อรถ โทร 02 710 3100

ขอขอบคุณบทความดีๆ จาก www.masii.com