Trick-To-Get-Secondhard-Car-For-You

สำหรับใครที่มองหารถยนต์สภาพดี คุณภาพไม่มีที่ติ นอกเหนือจากรถยนต์มือหนึ่งป้ายแดงแล้ว รถยนต์มือสองก็ตอบโจทย์ได้ไม่แพ้ใครเหมือนกันนะครับ แถมยังมีราคาที่ประหยัดกว่า เรื่องของคุณภาพก็แทบจะไม่ต่างกับมือหนึ่งมากนัก

เทคนิคง่ายๆ ซื้อรถมือสองให้คุ้ม

แต่แน่นอนว่าการซื้อรถมือสองนั้นมีเงื่อนไข และการตรวจสอบ การตรวจเช็กสภาพรถก็เป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้ใครเลยด้วยนะ เพราะถ้าเราเจอคนขายที่ไว้ใจได้ก็ถือว่าโชคดีของเรา แต่หากเจอกับมิจฉาชีพ คงไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีสักเท่าไร ดังนั้น Masii เลยมีเทคนิคการเลือกซื้อรถมือสองแบบง่ายๆ มาฝากเพื่อนๆ ชาว CARRO กันครับ

Trick-To-Get-Secondhard-Car-For-You

ราคาต้องเหมาะสม

สำหรับรถมือสองนั้นต้องยอมรับก่อนว่ามีหลากหลายราคาเอามากๆ ให้เราเลือกได้อย่างอิสระ และเหตุที่ทำให้รถมือสองนั้นมีราคาที่แตกต่างกันออกไปก็เพราะยี่ห้อรถ รุ่นรถ รวมไปถึงเลขไมล์ และสภาพรถที่ใช้งานมา ดังนั้นเราก็ต้องเลือกดูยี่ห้อ รุ่น ให้เหมาะสมกับเรทราคาที่เราตั้งไว้ สภาพต้องดี

ใครๆ ก็อยากได้รถสภาพดีๆ ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นรถมือหนึ่ง หรือรถมือสอง แต่ถ้าหากเลือกมองราคาถูกไว้ก่อน กลับได้รถมือสองมาในสภาพที่ไม่โอเค ต้องคอยไปเสียค่าซ่อมตามหลัง แบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการเลือกซื้อรถมือหนึ่ง ทางที่ดีเราควรเช็กสภาพรถมือสองอย่างละเอียดให้ครบถ้วน ถ้าไม่มั่นใจก็ลองให้ผู้เชี่ยวชาญ หรือมีความรู้มาตรวจดูจะดีที่สุด

ดูรถหลายๆ คัน

ต้องมีความใจเย็นในการเลือกซื้อรถมือสอง ค่อยๆ ตัดสินใจไปทีละขั้นตอน และถ้าหากมีเวลา ให้เราลองเปรียบเทียบรถมือสองที่เราต้องการดูแต่ละที่ และเก็บข้อมูลเพื่อประกอบตัดสินใจอีกครั้ง

Trick-To-Get-Secondhard-Car-For-You

เลือกแหล่งซื้อที่น่าเชื่อถือ

ใช่ว่าเราจะซื้อรถมือสองที่ไหนก็ได้นะครับ บางที่อาจจะมาอยู่ในรูปแบบมิจฉาชีพ หลอกหลวงเรา นำเสนอโดยการให้ราคาที่พิเศษกับเรา แต่ที่แท้อาจจะเลือกรถยนต์ที่ย้อมแมวมาขายให้กับเรา ดังนั้น การเลือกซื้อผ่านบริษัทที่ได้รับความน่าเชื่อถือจะช่วยให้เราอุ่นใจได้รถมือสองที่คุณภาพดีแน่นอน ต่อให้ซื้อรถยนต์มือสองแล้ว การทำประกันรถยนต์ก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน หากเกิดอุบัติเหตุใดๆ บนท้องถนน ประกันจะช่วยดูแลคุ้มครองเราอยู่ คลิกที่นี่ เพื่อเช็กเบี้ยประกันรถยนต์ได้ทันที

มีข้อมูลสงสัยอยากสอบถาม โทรเข้ามาที่ 02 710 3100 เรามีทีมงานคอยให้คำตอบอยู่ครับ

ขอขอบคุณบทความดีๆ จาก www.masii.com

Carro-Not-Forget-If-Double-Parking

อะไรเอ่ย หายากกว่าค่าผ่อนรถ คำตอบก็คือ “ที่จอดรถ” นั่นเองครับ ค่าผ่อนรถถ้าเรามีการวางแผนการเงินที่ดี ไม่สุรุ่ยสุร่าย ยังไงก็มีเงินผ่อนรถแน่ๆ

แต่ที่จอดรถนี่สิครับ บางทีวนแล้ววนอีก วนจนตาลาย ก็ยังหาที่จอดรถไม่เจอซักที ทางเลือกที่เหลืออยู่ก็คือต้อง “จอดซ้อนคัน” แต่การจอดรถซ้อนคันนั้นมีอะไรต้องคำนึงและห้ามลืมบ้าง วันนี้เพนกวิน Frank ได้นำมาเสนอคุณแล้ว

Not-Forget-If-Double-Parking

1. คำนึงถึงระยะห่าง

ถ้าเราจอดรถในซองที่มีเส้นแบ่งชัดเจนก็คงไม่เป็นปัญหา แต่การจอดซ้อนคันมันไม่มีเส้นแบ่งเป็นสัญลักษณ์ให้เรา แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะ ถ้าใครกังวล แฟรงค์ขอแนะนำให้คุณ “เว้นระยะห่างให้มากกว่าปกติ” โดยแฟรงค์แนะนำให้มีพื้นที่ว่างอย่างน้อยหนึ่งช่วงรถ ที่ต้องทำอย่างนี้ก็เพื่อความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกกรณีต้องมีการเคลื่อนย้ายรถด้วย

2. ดูทำเลที่จอดรถซ้อนคันของเราด้วย

การจอดรถซ้อนคัน ใช่ว่าจะจอดที่ไหนก็ได้นะครับ เพราะถ้าเราจอดไม่ดูทำเลอาจกลายเป็นว่าไปขวางทางเข้าออกของคนอื่น หรือดันไปจอดในที่ที่มีความลาดชันมากจนอาจเกิดอุบัติเหตุรถไหลไปชนคันอื่นได้ ดังนั้น เราต้องดูทำเลที่จอดให้ดีๆ นะครับ ห้ามลาดชัน ห้ามขวางทาง จำให้มั่น

Not-Forget-If-Double-Parking

3. จอดรถให้สามารถเคลื่อนย้ายได้

เพราะการจอดรถซ้อนคัน เราต้องคำนึงถึงรถคันที่เราไปซ้อนด้วยครับ ดังนั้น เราต้องจอดรถให้ดี เพื่อให้สามารถเคลื่อนย้ายรถได้สะดวก โดยแฟรงค์แนะนำให้คุณทำตามดังนี้ครับ

1. ตั้งล้อให้เป็นแนวตรง ก่อนที่จะดับเครื่องและลงจากรถ ให้เราหมุนพวงมาลัยให้เป็นแนวตรงก่อนครับ เพื่อที่เวลาคนจะมาเคลื่อนย้ายรถเราจะได้เข็นเป็นเส้นตรง ไม่เบี้ยวไปชนรถคันอืนๆ
2. เข้าเกียร์ N หรือเกียร์ว่าง เพื่อให้รถสามารถเคลื่อนย้ายได้ ห้ามใส่เกียร์ P เด็ดขาดนะครับ
3. เอาเบรกมือลง หลายคนเคยชินกับการจอดรถโดยยกเบรกมือขึ้น แต่ถ้าเราจอดรถซ้อนคัน ต้องห้ามเอาเบรกมือขึ้นเด็ดขาดครับ

4. ทิ้งเบอร์ติดต่อไว้ซักหน่อย

สุดท้ายแล้วเผื่อไว้สำหรับกรณีฉุกเฉิน ให้เราลองเขียนข้อความชื่อ พร้อมเบอร์ติดต่อแนบไว้หน้ากระจกรถของคุณ หากเกิดปัญหาอะไรขึ้น ก็จะมีคนติดต่อคุณได้นั่นเองครับ

และนี่ก็คือสิ่งที่ห้ามลืมเมื่อจอดรถซ้อนคัน ที่จะช่วยให้การจอดรถซ้อนคันของคุณปลอดภัยขึ้นอย่างแน่นอนครับ แต่ไม่ว่าจะปลอดภัยแค่ไหน เปอร์เซนต์การเกิดอุบัติเหตุก็ยังคงไม่เป็นศูนย์อยู่ดี ดังนั้น อย่าลืมทำประกันรถยนต์จาก www.frank.co.th ไว้ดูแลคุณนะครับ

Carro-What-Reason-To-Get-Car-Insurance

เพื่อนๆ หลายคน มักจะมองว่าการซื้อประกันภัยรถยนต์ไม่ว่าจะเป็นชั้นไหนๆ เป็นเพื่อการคุ้มครองทั้งเรา และตัวรถในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน รวมไปถึงครอบคลุมค่าใช้จ่าย ในกรณีที่ตัวเราต้องเข้าโรงพยาบาล หรือรถยนต์ของเราเกิดความเสียหาย

เหตุผลที่ควรทำประกันรถยนต์ติดรถไว้

อาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไรนักที่เพื่อนๆ หลายคนอาจจะมองว่าการทำประกันรถยนต์ไม่ใช่สิ่งจำเป็นสักเท่าไรเพราะเนื่องจากตัวเราเองก็รู้จักในการขับขี่อย่างมีสติ และมีความปลอดภัย จึงรู้สึกว่าการทำประกันรถยนต์ที่ต้องคอยเสียเบี้ยประกันไม่ใช่เรื่องที่คุ้มค่า อีกทั้งยังมี พ.ร.บ. รถยนต์ที่คอยดูแลเรื่องค่ารักษาพยาบาลเบื้องต้นให้เราอยู่แล้ว

ทาง masii อยากจะขอแนะนำให้เพื่อนๆ ให้ความสำคัญกับการทำประกันดูนะครับ เพราะว่าหากเราทำประกันรถยนต์ไว้จะเป็นการแบ่งเบาภาระ และค่าใช้จ่ายของเราได้เยอะเลย สำหรับใครยังไม่มั่นใจ วันนี้ตามผมไปอ่านเหตุผลดีๆ ที่ควรทำประกันติดรถไว้กันนะครับ

What-Reason-To-Get-Car-Insurance

1. คุ้มครองหากเกิดอุบัติเหตุรถชน

อุ่นใจได้เลยครับ ไม่ว่าเพื่อนๆ จะเลือกทำประกันชั้นไหนก็จะคุ้มครองทั้งรถเรา รถคู่กรณีด้วยนะ โดยจะแบ่งความคุ้มครองตามกรมธรรม์ ดังนี้

ประกันรถยนต์ชั้น 1 คุ้มครองมากที่สุด ทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นชนรถ ชนสิ่งของต่างๆ ที่ไม่ใช่รถยนต์ก็คุ้มครองด้วยครับ หรือเคลมได้ทุกกรณีหากเกิดการชน
ประกันรถยนต์ชั้น 2+ คุ้มครองเทียบกับชั้น 1 เลย จะต่างตรงที่ว่า ต้องสามารถระบุคู่กรณีได้
ประกันรถยนต์ชั้น 3+ คุ้มครองซ่อมรถเราให้กรณีที่ระบุคู่กรณีได่เท่านั้น

2. ดูแลค่าใช้จ่าย รักษา หากเกิดอุบัติเหตุ

แน่นอนว่า เราทำประกันรถยนต์เพื่อคอยช่วยดูแลครอบคลุมความรับผิดชอบต่อคู่กรณี ทั้งชีวิตและทรัพย์สินของตัวเราและคู่กรณี เช่น ช่วยดูแลค่าใช้จ่ายสำหรับค่ารักษาพยาบาล รวมไปถึงค่าซอมแซ่มรถยนต์ตามทุนประกันด้วยครับ

What-Reason-To-Get-Car-Insurance

3. มีเจ้าหน้าที่จากประกันช่วยเจรจาหากเกิดอุบัติเหตุ

ใครๆ ก็ต่างรักรถยนต์ของเราเป็นธรรมดา หากเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน มักจะพบเจอกับคู่กรณีที่อารมณ์ร้อน พูดจาด้วยถ้อยคำไม่สุภาพ ถ้าเป็นแบบนั้นคงยากที่เราจะเจรจาต่อรองกัน แต่หากเราทำประกันรถยนต์ไว้ อุ่นใจได้แน่นอน เพราะเราสามารถโทรเรียกเจ้าหน้าที่ประกันมายังที่เกิดเหตุ และเจรจากับคู่กรณีได้ครับ แถมยังช่วยต่อรองกับคู่กรณีได้ง่ายมากขึ้นด้วย

เพียงเท่านี้เพือนๆ ก็คงจะทราบถึงข้อดีสำหรับการทำประกันรถยนต์ติดไว้กันแล้วใช่มั้ยครับ จริงๆ แล้วประกันรถยนต์ยังครอบคลุมอีกหลากหลายกรณีเลยนะครับ หากใครที่สนใจอยากทำประกันรถยนต์ คลิกที่นี่ เพื่อเช็กเบี้ยประกันได้ทันที มีข้อมูลอยากสอบถามโทรเข้ามา 02 710 3100 เรามีทีมงานคอยให้คำตอบอยู่ครับ

ขอขอบคุณบทความดีๆ จาก www.masii.com

Carro-Masii-Old-Car-Can-Do-First-Class-Insurance

ในปัจจุบัน การเลือกซื้อหรือใช้งานรถยนต์มือสอง ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยเหตุผลที่ว่ารถมือสองมักจะเสนอขายในราคาที่ถูกกว่า รวมไปถึงถ้าหากเราเลือกรถมือสองที่มีคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นสภาพรถทั้งในและนอก เราเองก็จะได้รถมือสองที่คุณภาพดีไม่แพ้รถมือหนึ่งเลย

หากมีรถยนต์เป็นของตัวเอง การเลือกทำประกันรถยนต์เป็นสิ่งสำคัญที่เพื่อนๆ หลายคนควรทำ แต่สำหรับรถมือสอง เราควรจะทำประกันรถยนต์ชั้น 1 เลยดีมั้ยนะ หรือว่าควรเลือกตามความเหมาะสมกับตัวเองดี วันนี้ masii มาคำตอบมาฝากชาว Carro กันจ้า

Carro-Masii-Old-Car-Can-Do-First-Class-Insurance

เพื่อนๆ หลายคนมักจะมองว่าการเลือกทำประกันรถยนต์ชั้น 1 ให้กับรถมือสองเป็นสิ่งที่สิ้นเปลือง เพราะเนื่องจากมีการใช้งานมาสักระยะแล้ว หากเป็นรถมือหนึ่ง หรือรถป้ายแดง แบบนี้สิที่ควรจะทำ

แต่การทำประกันรถยนต์นั้นเรามีไว้เพื่อความอุ่นใจ ในกรณีที่เกิดความเสี่ยงด้านอุบัติเหตุกับเพื่อนๆ แม้จะมีความมั่นใจว่าขับรถปลอดภัยอยู่แล้ว แต่อุบัติเหตุบนท้องถนนสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ

ดังนั้น การเลือกทำประกันรถยนต์ชั้น 1 จะช่วยให้เพื่อนๆ อุ่นใจได้มากขึ้นกว่าเดิม เพราะได้รับความคุ้มครองที่ครอบคลุมกว่าประกันรถยนต์ชั้นอื่นๆ อย่างแน่นอน

Carro-Masii-Old-Car-Can-Do-First-Class-Insurance

แต่เพื่อนๆ คนไหนที่ขับรถมือสอง เกิดอยากจะทำประกันชั้น 1 ควรจะเป็นรถยนต์ที่อายุไม่เกิน 10 ปีนะ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละบริษัทประกัน เพราะบางแห่งก็สามารถรับรถยนต์ที่มีอายุมากกว่า 10 ปี ได้อีกด้วยนะ

สำหรับเพื่อนๆ คนไหนที่มองหาประกันรถยนต์ที่เบี้ยไม่แพงนัก ประกันรถยนต์ชั้น 2+ นั้นเหมาะมากๆ สำหรับรถมือสอง เพราะให้ความคุ้มครองใกล้เคียงกับประกันชั้น 1 เลย หลักๆ คือ คุ้มครองความเสียหายต่อร่างกายและทรัพย์สินของคู่กรณี ค่ารักษาพยาบาล และค่าชดเชยอุบัติเหตุ

หากสนใจอยากทำประกันรถยนต์ เพื่อนๆ สามารถ คลิกที่นี่ เพื่อเปรียบเทียบประกันรถยนต์​ รวมไปถึงเช็กเบี้ยประกันรถยนต์ได้อีกด้วยนะ หากมีคำถามสงสัย สามารถโทรเข้ามาได้ที่ 02-7103100 เรามีทีมงานคอยให้คำตอบอยู่จ้า

ขอขอบคุณบทความดีๆ จาก www.masii.com

Frank-X-Carro-Car-Insurance-Type3-Plus

สวัสดีครับชาว CARRO หากคุณสงสัยว่า “รถมือสองจำเป็นต้องมีประกันรถยนต์ไหม?” คงต้องบอกว่า “จำเป็นครับ” หากคุณมีงบไม่มากแต่ต้องการความดูแลทุกการขับขี่ แนะนำประกันรถยนต์ชั้น 3+ หรือประกันชั้น 3 พลัสก็เหมาะ เพราะเบี้ยไม่แพงความคุ้มครองก็ไม่เบาเลยครับ

ด้วยข้อดี คือ “เบี้ยถูก” ประกันชั้น 3+ เบี้ยประกันรถยนต์จึงมีราคาถูกที่สุดตามทุนประกันที่ 100,000 บาท และประกัน 3+ ยังเหมาะกับรถยนต์ที่มีอายุ 4-15 ปีขึ้นไป หมายความว่า รถมือสองซื้อประกันชั้นนี้ได้แน่ๆ และดูแลค่าซ่อมรถยนต์เราหากเกิดอุบัติเหตุด้วยนะครับ ซึ่งให้ความคุ้มครองเพิ่มเติมจากประกันภัยภาคบังคับ หรือ พ.ร.บ. รถยนต์ ที่เรามี จึงช่วยให้ผู้ขับขี่รถมือสองอุ่นใจทุกการขับขี่ได้อีกเปราะ

ประกันชั้น 3+ คุ้มครองเหตุอะไร ?

หากคุณกำลังสงสัยว่า ประกันชั้น 3+ นั้นคุ้มครองอะไรบ้าง เดี๋ยวจะสรุปให้เข้าใจแบบสั้น ๆ ตามนี้ครับ

  • คุ้มครองหากเกิดเหตุรถชนรถ ดูแลค่ารักษาพยาบาล ดูแลกรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์ เพิ่มเติมจากพ.ร.บ.
  • หากเกิดอุบัติเหตุประกันชั้น 3+ จะช่วยรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก ตามทุนประกันของคุณ
  • ดูแลเฉพาะเหตุรถชนรถเท่านั้น และต้องระบุคู่กรณีให้ชัดเจน มีหลักฐานในการแจ้งเคลม
  • กรณีขับรถชนคนเสียชีวิต ประกัน 3+ จะช่วยประกันตัวผู้ขับขี่ในคดีอาญาที่ต้องส่งฟ้องศาล ตามทุนประกันที่เลือกไว้

เรียกได้ว่า ประกันชั้น 3+ ช่างเป็นประกันภัยที่ดีต่อใจรถมือสอง เพราะมีความคุ้มครองแบบพลัสๆ ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก Frank.co.th ประกันที่รวดเร็ว เรียบง่าย และจริงใจกับคุณ

Renew-Or-Choose-New-Company-Car-Insurance

ลังเลใจไม่น้อยเมื่อประกันรถยนต์ใกล้หมดแบบนี้ จะต่อประกันรถยนต์ที่เก่าดี หรือที่ใหม่ดีนะ มีข้อดีข้อเสียต่างกันยังไง ตามเรามาดูกันเลยดีกว่า 

ต่อประกันรถยนต์กับที่เดิม

ใครที่อยากจะต่อประกันรถยนต์ที่เดิมนั่น เหมาะมากๆ สำหรับใครที่ธุรกิจรัดตัว เวลาว่างไม่เยอะ ไม่ต้องการความยุ่งยากให้กับชีวิต เพราะจะต่อประกันรถยนต์ใหม่สักเจ้า นอกเหนือจากเบี้ยประกันแล้ว เราต้องศึกษาเงื่อนไขอื่นๆ เพิ่มเติม แถมต้องคอยเปรียบเทียบประกันอีก ทำให้หลายคนตัดปัญหาที่แสนยุ่งยากเหล่านั้นดว้ยการต่อประกันภัยรถยนต์ที่เดิมแทน

นอกจากนี้ ข้อดีของการต่อประกันรถยนต์ที่เดิม คือ มีส่วนลดเบี้ยประกันภัยในปีต่อไป หากคุณต้องการตัดรายจ่าย ถ้าได้ความคุ้มครองเท่าเดิม แต่จ่ายน้อยลง ที่เดิมนี่แหละที่ตอบโจทย์! แถมยังสะดวกสบายไม่ต้องตระเตรียมเอกสารใหม่ๆ ให้ยุ่งยาก 

ถ้าประกันรถยนต์เจ้าเดิมของคุณไม่มีปัญหา ตอบโจทย์ครบถ้วนอยู่แล้ว ก็คงไม่มีใครคิดจะอยากเปลี่ยนเจ้าประกันรถยนต์หรอก จริงไหมล่ะ

Renew-Or-Choose-New-Company-Car-Insurance

ต่อประกันรถยนต์เปลี่ยนที่ใหม่

ถ้าประกันรถยนต์เจ้าเก่าไม่ค่อยตอบโจทย์เอาเสียเลย การเปลี่ยนไปต่อประกันรถยนต์เจ้าใหม่ๆ น่าจะตอบโจทย์มากกว่า! นอกจากนี้การเปลี่ยนเจ้าต่อประกันรถยนต์นั้น ให้ข้อดีใจแง่การเคลมนั่นเอง เพราะหากคุณเคลมบ่อย อยากจ่ายเบี้ยปีหน้าถูกลง จะต้องย้ายค่ายไปหาเจ้าใหม่จะช่วยให้เบี้ยประกันคุณถูกลงมากกว่า

นอกจากนี้ อาจจะมีสิทธิ์ได้รับส่วนลดมากกว่าอีกด้วย เพราะหลายเจ้ามักมีโปรโมชั่นลดแลกแจกแถมให้กับลูกค้าใหม่ๆ  แต่การเปลี่ยนเจ้า เปลี่ยนที่ต่อประกันรถยนต์ใหม่นั่น มีข้อเสียคือเสี่ยงนั่นเอง เสี่ยงว่าถ้าเราเปรียบเทียบไม่ดี ก็อาจจะเจอประกันรถยนต์ที่แย่กว่าเจ้าเก่าได้ และกว่าจะเปลี่ยนก็ต้องรออีกทีปีหน้าเลยนะ! 

แบบนี้เลือกยังไงให้ชัวร์ ? 

สำหรับใครที่ยังลังเล ชั่งใจว่าจะต่อประกันรถยนต์ที่ไหนดี ที่เก่า หรือที่ใหม่ดีนะ ขอแบบนี้บอกเลยว่าไม่ตายตัว และขึ้นอยู่กับเงื่อนไข ปัจจัยต่างๆ ขอแต่ละคน เช่น ถ้าประกันเจ้าเดิมดี มีส่วนลดต่างๆ ที่น่าสนใจ เวลาเคลม ไปอู่ซ่อมก็สบาย ไม่ยากอะไร คุณก็อาจจะต่อที่เดิมก็ได้

แต่ถ้าใครที่อยากจะเปลี่ยนที่ใหม่ แสวงหาประกันรถยนต์ที่ดีกว่าประกันรถยนต์เดิมๆ ลองมาทำความรู้จักกับ บริการเปรียบเทียบประกันรถยนต์จาก rabbit finance ที่ให้คุณเปรียบเทียบประกันรถยนต์ได้สะดวกสบาย ไม่ต้องยุ่งยาก ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีก็สามารถค้นหาประกัรรถยนต์พร้อมโปรโมชั่นที่โดนใจ เหมาะกับเงินในกระเป๋าได้ง่ายๆ ไม่ต้องยุ่งยากอีกต่อไป

Claim-Car-Insurance-About-Flood

ช่วงนี้ หลายต่อหลายพื้นที่ของประเทศไทย ก็อยู่ในช่วงฤดูมรสุม โดนพายุฝนกระหน่ำกันไปถ้วนหน้า ถ้าท่านใดสามารถขนข้าวของ ขนรถหนีน้ำได้ทัน ก็ถือว่าโชคดีไป แต่บางหลายอาจจะขนข้าวขนของ ขนรถหนีไม่ทัน (เช่น รถจอดอยู่ชั้นใต้ดินของคอนโดมิเนียม) โดนน้ำท่วมไปต่อหน้าต่อตาเลยทีเดียว นับเป็นความสูญเสียที่มหาศาล ทั้งทรัพย์สินและที่อยู่อาศัย

สำหรับประกันภัยรถยนต์บางชนิด เช่น ประกันภัยชั้น 1 ที่มีครอบคลุมไปถึงภัยธรรมชาติ หรือประกันภัยแบบพิเศษ อาทิเช่น ประกันภัยชั้น 2+ และ 3+ เป็นต้น หากรถใครที่มีประกันภัยชนิดดังกล่าว ก็จะช่วยลดความกังวลในการจ่ายค่าซ่อมไปได้บ้าง

Claim-Car-Insurance-About-Flood

หากรถโดนน้ำท่วมแล้ว (แล้วรถมีประภันภัย เช่น ชั้น 1) จะมีวิธีเคลมประกันได้อย่างไร กรณีน้ำท่วมรถ

1. แจ้งเคลมกับบริษัทประกันภัย ให้มาตรวจสอบความเสียหายที่เกิดขึ้น หรือถ้าไม่สะดวกก็ถ่ายรูปรถยนต์รอบๆ รถเอาไว้ ตอนที่เกิดน้ำท่วมเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน

2. บริษัทประกันภัยก็จะติดต่อนัดหมายผู้เอาประกันภัย เพื่อเข้าไปตรวจสอบรถยนต์คันที่เสียหาย หรือาจจะขอนัดคุณไปดูว่า รถคันที่เสียหายตอนนี้ จอดอยู่ ณ สถานที่แห่งใด ก่อนจะลากรถไปยังอู่ซ่อมรถ หรือศูนย์บริการ เพื่อทำการตรวจสอบสภาพรถ

3. อู่หรือศูนย์บริการ ก็จะทำการประเมินความเสียหาย ประเมินรายการจัดซ่อม ซึ่งสามารถตัดสินออกได้เป็นอีก 2 แบบ ได้แก่

  • กรณีรถยนต์เสียหายอย่างสิ้นเชิง (หรือ Total Loss) คือ ส่วนใหญ่บริษัทประกันภัย จะประเมินมูลค่าความเสียหายที่ 70% ของมูลค่ารถคันนั้น ซึ่งหากพิจารณาจากความเสียหาย ในกรณีนี้คือ รถจมน้ำท่วมมิดคัน หรือ ท่วมเกินช่วงคอนโซลหน้า ซึ่งจะสร้างความเสียหายให้กับทั้งห้องโดยสาร
    หากบริษัทประกันภัยพิจารณาแล้วว่า รถยนต์คันดังกล่าว ไม่คุ้มที่จะซ่อมให้กลับมาสภาพเดิมได้ ซึ่งรวมถึงเครื่องยนต์ ก็จะชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ให้ตามทุนประกันภัยที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ โดยเจ้าของรถหรือผู้รับผลประโยชน์ ต้องโอนกรรมสิทธิ์ (คืนซากรถ) ให้กับบริษัทประกันภัย และกรมธรรม์ฉบับดังกล่าวก็ถือเป็นอันสิ้นสุดความคุ้มครองไป
  • กรณีรถยนต์เสียหายบางส่วน (หรือ Partial Loss) คือ รถยนต์ไม่เสียหายมากนัก สามารถซ่อมให้กลับมาใช้งานได้ตามเดิม บริษัทประกันภัยก็จะพิจารณาให้เป็นลักษณะความเสียหายบางส่วนเท่านั้น ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการประเมินของบริษัทประกันภัยด้วย ซึ่งมีรายละเอียดตามนี้

 

OIC-Repair-method-of-each-water-level-rank

 

ระดับ A น้ำท่วมถึงพื้นรถยนต์ ประเมินค่าซ่อม 8,000-10,000 บาท มีรายการที่ต้องดำเนินการ 15 รายการ เช่น ตรวจสอบแบ็ตเตอรี่ (ถอดขั้ว/ตรวจสอบน้ำกลั่น/ไฟ-ชาร์ท) ทำความสะอาดตัวรถ ล้าง-อัด-ฉีด ขัดสี ถอดเบาะนั่ง หน้า-หลัง ถอดคอนโซลกลาง (คันเกียร์) ถอดพรมในเก๋ง-ซักล้าง-ตาก-อบแห้ง ถอดคันเร่ง (รถที่ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้าและเซ็นเซอร์)

ถอดลูกยางอุดรูพื้นรถและทำความสะอาด ล้างทำความสะอาดห้องเครื่อง-เป่าแห้ง ตรวจสอบทำความสะอาดระบบเบรก 4 ล้อ/ผ้าเบรก ทำความสะอาดสายไฟ-ปลั๊กไฟด้วยน้ำยาเคมีภัณฑ์ ตรวจสอบชุดท่อพักไอเสีย (แคทธาเรติค)

ระดับ B น้ำท่วมถึงเบาะนั่ง ประเมินค่าซ่อม 15,000 -20,000 บาท มีรายการที่ต้องดำเนินการ 26 รายการ โดยเพิ่มเติมจาก 15 รายการในระดับ A คือ การถ่ายน้ำมันเครื่อง-เกียร์-เฟืองท้าย กรองน้ำมันเครื่อง-กรองอากาศ-กรองเบนซิน-กรองโซล่า ตรวจระบบจุดระเบิด หัวเทียน จานจ่าย หัวฉีด ตรวจสอบชุดเพลาขับ

ถอดทำความสะอาดแผงประตูทั้ง 4 บาน ตรวจชุดสวิทซ์สตาร์ท-กล่องควบคุมไฟ- กล่องฟิวส์ ถอดทำความสะอาดไล่ความชื้นระบบเข็มขัดนิรภัย ถอดทำความสะอาดชุดมอเตอร์ยกกระจกไฟฟ้า ตรวจสอบทำความสะอาดเบาะ ถอดทำความสะอาด (ไดสตาร์ทและไดชาร์จ) เพื่อไล่ความชื้น

Claim-Car-Insurance-About-Flood

ระดับ C น้ำท่วมถึงส่วนล่างของคอนโซลหน้า ประเมินค่าซ่อม 25,000-30,000 บาท มีรายการที่ต้องดำเนินการ 39 รายการ โดยเพิ่มเติมจาก ระดับ A และ B คือ ตรวจสอบชุดอีโมไรท์เซอร์/ระบบ GPS (ที่ติดมากับรุ่นรถ) ตรวจสอบไล่น้ำออกจากเครื่องยนต์ ท่อไอดี ห้องเผาไหม้ ตรวจสอบลูกปืนไดชาร์ท ลูกรอก ตรวจสอบทำความสะอาดระบบไฟส่องสว่าง (ไฟหน้า-ท้าย-เลี้ยว) ตรวจเช็คระบบขับเลี้ยวไฟฟ้า

ถอดตรวจเช็คตู้แอร์ มอเตอร์ โบวเวอร์ เซ็นเซอร์ ถอดหน้าปัดเรือนไมล์ เกจ์ ถอดตรวจเช็คระบบไฟฟ้าและสายไฟขั้วต่างๆ ตรวจเช็คระบบเครื่องเสียง-วิทยุ-แอมป์-ลำโพง ตรวจเช็คระบบเบรก (ABS) ตรวจชุดหม้อลมเบรก/ แม่ปั้มบน-ล่าง ตรวจสอบลูกปืนล้อ-ลูกหมาก-ลูกยางต่างๆ ผ้าหลังคา/แมกกะไลท์

ระดับ D น้ำท่วมถึงส่วนบนของคอนโซลหน้า ประเมินค่าซ่อมเริ่มต้นที่ 30,000 บาท ขึ้นไป มีรายการที่ต้องดำเนินการ 40 รายการ โดยเพิ่มเติมจาก ระดับ A – C มา 1 รายการ คือ ทำสี (กรณีสีรถได้รับความเสียหาย) ซึ่งในกรณีนี้ทางบริษัทผู้รับประกันภัยอาจพิจารณาคืนทุนประกันภัยให้กับผู้เอาประกันภัยก็ได้

และระดับ E รถยนต์จมน้ำทั้งคัน ซึ่งในกรณีนี้ บริษัทผู้รับประกันภัยจะคืนทุนประกันภัย ให้กับผู้รับประกันภัยสถานเดียว

Claim-Car-Insurance-About-Flood

โดยที่บริษัทประกันภัย จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด เช่น ค่าทำความสะอาดภายในรถ ซักเบาะ พรม ขัดสี ทำความสะอาดต่างๆ ซึ่งคุณสามารถนำหลักฐานไปเคลมประกันภัยได้เช่นกัน

และเมื่อรถซ่อมเสร็จนำกลับมาใช้ ถ้าพบปัญหาจากระบบต่างๆ ของตัวรถ ที่เป็นสาเหตุเกิดจากตอนถูกน้ำท่วม ก็สามารถแจ้งบริษัทประกันภัยได้ทันที เพื่อเคลมความเสียหายต่อเนื่องครับ

CARRO-MSIG-Insurance-Promotion-2020

หากรถของคุณที่ใช้งานในช่วงนี้ ต้องเสี่ยงกับการเจอน้ำท่วมบ่อยๆ ไม่ว่าจะขับรถไปเจอ หรือจอดรถไว้อยู่กับที่ ก็ลองทำประกันภัยชั้น 2+ (Safe Guard 2+) หรือ 3+ (Safe Guard 3+) ของทาง MSIG Insurance ดูสิ เพราะว่าประกันภัยดังกล่าวมี Cover เรื่องซ่อมรถกรณีรถถูกน้ำท่วมเพิ่มเติมด้วย คลิกเลยที่ ซื้อประกันภัยรถยนต์ CARRO X MSIG ประกันภัย อีกทั้งช่วงนี้ยังมี ฟรี! บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง ทั่วประเทศอีกด้วย

ส่วนใครที่อยากขายรถที่ถูกน้ำท่วมมา ไม่ว่าจะเป็นรถบ้าน รถมือสอง ก็สามารถปรึกษากับทางเราดูก่อนได้ เพียงแค่คุณขายรถคันเดิมกับ CARRO ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ CARRO Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

หากท่านใดอ่านแล้วยังมีข้อสงสัย หรือมีปัญหาไม่ได้รับความเป็นธรรม ในการเคลมประกันภัยจากบริษัทประกันภัย ก็สามารถติดต่อได้ที่ สายด่วน คปภ. 1186 ครับผม

แหล่งที่มา :

5-Ways-To-Save-Insurance-Premium

เป็นที่ทราบกันดีว่า ประกันภัยชั้น 1 มักจะแถมมาให้กับรถป้ายแดงแทบจะทุกคันอยู่แล้ว เรียกว่าเป็นมาตรฐานเลยก็ว่าได้ ซึ่งถือว่าเป็นความคุ้มครองที่มีให้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น เราชนเขา เขาชนเรา หรือเกิดจากสิ่งที่เหนือความคาดหมาย เช่น ภัยธรรมชาติ ภัยจากก่อการร้าย เป็นต้น

แต่พอหลังจากที่ประกันภัยชั้น 1 หมดอายุแล้ว ถ้าเราต้องการจะต่ออายุใหม่ ก็ต้องเตรียมเงินไว้จ่ายค่าเบิ้ยประกันนับหมื่นบาทเลยทีเดียว ซึ่งหลายคนในเศรษฐกิจฝืดเคืองแบบนี้ มีรายจ่ายสารพัด นอกจากค่าผ่อนรถแล้ว รายจ่ายในการทำประกันภัยรถ ก็ยังจำเป็นต้องทำอีกด้วย (สำหรับคนที่เพิ่งซื้อรถได้ไม่นาน หรือเพิ่งมือใหม่หัดขับ มีไว้มันก็อุ่นใจน่ะ)

Mr.Carro จึงขอแนะนำวิธีทำประกันภัยชั้น 1 อย่างไร ให้ถูกกว่าปกติสูงสุดถึง 50% ครับ.

5-Ways-To-Save-Insurance-Premium

1. ส่วนลดเบี้ยประกันรถจากประวัติดี

อันนี้ถือเป็นรางวัลของคนที่ขับรถดี ไม่มีเคลมครับ (ซึ่งบริษัทประกันภัยก็ชอบด้วย ฮา…) จึงมีส่วนรถเบี้ยประกันสำหรับประวัติการขับรถดี มีทั้งหมด 4 ขั้นตอน

– ขั้นแรก ลด 20% เมื่อไม่มีการเคลมในปีแรก
– ขั้นที่ 2 ลด 30% เมื่อเมื่อไม่มีการเคลมใน 2 ปีติดต่อกัน
– ขั้นที่ 3 ลด 40% เมื่อเมื่อไม่มีการเคลมใน 3 ปีติดต่อกัน
– ขั้นที่ 4 ลด 50% เมื่อเมื่อไม่มีการเคลมใน 4 ปีติดต่อกัน หรือมากกว่านั้น

แต่ถ้าเกิดว่า เราเกิดเป็นฝ่ายผิดหรือประมาท (พูดง่ายๆ คือ ขับรถไปชนคน หรือสิ่งของ นั่นล่ะ) ส่วนลดเบี้ยประกันของคุณ ก็จะลดลงตามขั้นไป

2. เลือกทุนประกันรถยนต์ที่เหมาะสม

การเลือกทุนประกันรถยนต์ครับ ล้วนมีผลต่อเบี้ยประกันเช่นกัน ซึ่งจะมีโปรแกรมคำนวณอัตโนมัติ จากนักคณิตศาสตร์ประกันภัย ให้ได้ทุนประกันที่เหมาะสมที่สุดอยุ่ที่ 80% ของราคารถยนต์ในปีแรก และจะคำนวณเป็น 90% ของทุนประกันปีก่อนหน้าไปเรื่อยๆ ซึ่งช่วงราคานี้ สามารถเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ตามการคำนวณ เพราะทุนประกันมาก ก็ต้องจ่ายค่าเบื้ยประกันมากตามไปด้วย

แต่ไม่สามารถเลือกทุนประกันให้สูงเกินมูลค่ารถได้นะครับ เพราะว่ารถทุกคันมันมีค่าเสื่อมจากการใช้งานครับ ซึ่งมูลค่ารถยนต์จะลดลงเรื่อยๆ ปีละ 10% หรือตามราคากลางรถยนต์ในปีนั้นๆ

3. เพิ่มค่า Excess Fee ช่วยลดค่าเบี้ยได้

ค่า Excess Fee ถือเป็นค่าเสียหายส่วนแรกในกรณีเกิดอุบัติเหตุแล้วเป็นฝ่ายผิด หรือไม่มีคู่กรณี ซึ่งปกติจะอยู่ที่ครั้งละ 1,000 บาท แต่หากมั่นใจว่าเราคนขับรถดี ไม่ชนบ่อยๆ การเลือกประกันภัยที่มีค่าเสียหายส่วนแรกสูงๆ (ประมาณ 2,000 – 5,000 บาท) ก็ช่วยประหยัดค่าเบี้ยประกันได้เช่นกัน

4. ระบุชื่อคนขับรถ

การระบุชื่อและอายุของผู้ขับขี่ (ว่าใครเป็นคนขับรถคันนี้แน่นอน) ก็ลดเบี้ยประกันภัยชั้น 1 ได้เช่นกัน โดยอัตราค่าเบี้ยประกันที่ลดลง มีลักษณะเป็นลำดับขั้นตามอายุของผู้เอาประกัน โดยหากระบุผู้ขับขี่ 2 คน ให้ยึดผู้ที่มีอายุน้อยสุดเป็นหลัก ดังนี้

– อายุ 18-24 ปี ได้ส่วนลด 5%
– อายุ 25-35 ปี ได้ส่วนลด 10%
– อายุ 36-50 ปี ได้ส่วนลด 15%
– อายุ 50 ปีขึ้นไป ได้ส่วนลด 20%

5. เลือกซ่อมอู่นอกก็ได้

บางกรณีที่รถคุณมีแค่รอบเฉี่ยวชนเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่จำเป็นต้องเคลมเพื่อเข้าศูนย์บริการอย่างเดียวก็ได้ ลองเลือกอู่ซ่อมรถที่ไว้ในได้ และเป็นพันธมิตรกับบริษัทประกันภัยที่คุณจะทำอยู่ดู เพราะการเลือกประกันแบบซ่อมอู่ ช่วยประหยัดค่าเบี้ยประกันได้ 10-30% ทีเดียว

ลองเลือกดูตามความเหมาะสมนะครับ แล้วคุณจะได้ขับรถอย่างสบายใจ และประหยัดเงินอีกด้วยครับ

Carro-Masii-Car-Insurance-For-New-Driver

ปัจจุบันนี้ผู้คนหันมาออกรถยนต์ส่วนตัวกันมากขึ้น เพราะว่าสะดวกสบายในการเดินทาง สามารถขับไปไหนมาไหนก็ได้ ซึ่งแน่นอนว่าคนขับรถทุกคนต้องผ่านประสบการณ์การเป็นมือใหม่หัดขับกันทั้งนั้น

ยิ่งบางคนออกรถใหม่ป้ายแดงด้วย ยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังในการขับรถมากขึ้นไปอีก แล้วอย่างนี้ประกันรถยนต์แบบไหน จะเหมาะสำหรับมือใหม่หัดขับกันบ้าง เราไปหาคำตอบพร้อมกันเลยจ้า

Car-Insurance-For-New-Driver-

ประกันรถยนต์แบบไหน เหมาะสำหรับมือใหม่หัดขับ อย่างที่ทราบกันว่าประกันรถยนต์นั้นมีหลายประเภท และมีความคุ้มครองที่แตกต่างกันไปตามค่าเบี้ยกรมธรรม์ ซึ่งประกันรถยนต์ที่ได้รับความนิยมสำหรับหนุ่มๆ สาวๆ มือใหม่หัดขับ ก็คงหนีไม่พ้นประกันรถยนต์ชั้น 1 ที่ให้ความคุ้มครองได้ครอบคลุมกว่าประกันรถยนต์ประเภทอื่น ตามมาด้วย ประกันรถยนต์ชั้น 2+ และ ประกันรถยนต์ชั้น 3+ ซึ่งให้ความคุ้มครองดังนี้

Car-Insurance-For-New-Driver

ประกันรถยนต์ชั้น 1

  • ให้ความคุ้มครองครอบคลุมทุกกรณี ทั้งการชนแบบมีและไม่มีคู่กรณี
  • คุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สิน ร่างกายและชีวิตของผู้เอาประกัน
  • คุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สิน ร่างกายและชีวิตของคู่กรณี
  • คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลสำหรับผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร และคู่กรณี
  • คุ้มครองอุบัติเหตุส่วนบุคคล
  • คุ้มครองกรณีรถยนต์สูญหาย ไฟไหม้ หรือน้ำท่วม
  • เงินค่าประกันตัวผู้ขับขี่ในคดีอาญา

ประกันรถยนต์ชั้น 2+

  • ให้ความคุ้มครองรถยนต์ของผู้เอาประกันในกรณีที่ชนกับรถยนต์เท่านั้น
  • คุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สิน ร่างกายและชีวิตของคู่กรณี
  • คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลสำหรับผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร และคู่กรณี
  • คุ้มครองอุบัติเหตุส่วนบุคคล
  • คุ้มครองกรณีรถยนต์สูญหาย ไฟไหม้ หรือน้ำท่วม
  • เงินค่าประกันตัวผู้ขับขี่ในคดีอาญา

ประกันรถยนต์ชั้น 3+

  • ให้ความคุ้มครองรถยนต์ของผู้เอาประกันในกรณีที่ชนกับรถยนต์เท่านั้น
  • คุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สิน ร่างกายและชีวิตของคู่กรณี
  • คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลสำหรับผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร และคู่กรณี
  • คุ้มครองอุบัติเหตุส่วนบุคคล
  • เงินค่าประกันตัวผู้ขับขี่ในคดีอาญา
  • ไม่คุ้มครองกรณีรถยนต์สูญหาย ไฟไหม้ หรือน้ำท่วม

Car-Insurance-For-New-Driver

เมื่อเพื่อนๆ ได้รู้กันไปแล้วว่าประกันรถยนต์ประเภทไหนที่เหมาะสำหรับมือใหม่หัดขับกันบ้าง ทั้งนี้หากใครสนใจอยากทำประกันรถยนต์ ก็สามารถ คลิกที่นี่ หรือโทรติดต่อกับมาสิได้เลยที่ 02-7103100 และนอกจากจะทำประกันรถยนต์แล้ว ก็อย่าลืมขับรถกันอย่างปลอดภัย ไม่ประมาท และปฏิบัติตามกฎจราจรกันอย่างเคร่งครัดด้วยนะคะ

ค่า Excess ของประกันภัยรถยนต์ คืออะไร?

เรื่องอุบัติเหตุระหว่างขับรถ เป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ซึ่งหลังจากเกิดเรื่องเกิดราวขึ้นมาแล้ว สิ่งแรกที่เจ้าของจะต้องทำ นั่นคือ โทรเรียกประกันภัยรถยนต์ เพื่อมาตกลงกันระหว่างคู่กรณี

แต่บางคนก็อาจจะอารมณ์เสีย เพราะทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้เป็นฝ่ายผิด หรือเป็นฝ่ายก่ออุบัติเหตุก่อน กลับต้องมาเสียเงินจ่ายในจุดนี้ เพราะไม่มีคู่กรณี หรือไม่สามารถระบุคู่กรณีได้ ซึ่งในทางประกัน ถือว่าเป็นความไม่ระมัดระวังในการใช้งาน

MR.CARRO จะมาเล่าให้ฟังกันครับ ว่าทำไม ถึงต้องเสียค่า Excess (ค่าเอ็กเซส) ด้วย ..

What-Is-Excess-In-Insurance

ภาพจาก ตำรวจทางหลวง

สำหรับค่า Excess นั่นหมายถึง “ค่าเสียหายส่วนแรกเมื่อมีการเคลมที่เข้าเงื่อนไข” จัดเป็นค่าใช้จ่าย “ภาคบังคับ” ไม่ว่าคุณจะทำประกันภัยชั้นไหน หรือบริษัทใดก็ตาม ก็ต้องจ่ายหมด ซึ่งก็จะมีทั้งกรณีที่ต้องจ่าย และ กรณีที่ไม่ต้องจ่าย โดยเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ หมวดความคุ้มครองต่อรถยนต์ ข้อ 4 นั้น ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายส่วนแรก …

กรณีไหนบ้าง ที่เข้าข่ายการเก็บค่า Excess นั่นก็คือ

1. รถเสียหาย ที่ไม่ได้เกิดจากการชน หรือคว่ำ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจากความประมาท หรือความซวยของเจ้าของรถ อาทิเช่น ขับรถเหยียบตะปู มีรอยขูดขีดที่ตัวรถ รถตกถนน หินดีดใส่รถ สีรถเสียหาย เป็นต้น
2. หรือถูกชน แต่ไม่สามารถหาคู่กรณีได้ (เช่น มอเตอร์ไซค์วิ่งมาเฉี่ยวประตูรถตอนรถติด แล้วหนีไป ตามจับไม่ได้ หรือรถคันหน้าวิ่ง ทำหินดีดใส่ที่ตัวรถ เป็นต้น)
3. การเคลมสีรถรอบคัน เป็นต้น

What-Is-Excess-In-Insurance

ภาพจาก ตำรวจทางหลวง

แล้วกรณีไหนบ้างล่ะ ที่ไม่ต้องจ่ายค่า Excess ก็จะขอยกตัวอย่าง เช่น

1. ชน (สิ่งของ สถานที่ ที่ไม่ใช่ “รถ”) มีสภาพบุบ แตก ร้าว หรือไม่มีสภาพบุบ แตก ร้าว ที่ต้องเห็นได้ชัดเจน และบอกลักษณะการเกิดเหตุได้ เป็นต้น
2. ชน (คน หรือ สัตว์) หรือวัตถุที่ยึดแน่นกับพื้นดิน เช่น เสา กำแพง ประตู ต้นไม้ ราวสะพาน ป้ายจราจร ฟุตบาท เป็นต้น

What-Is-Excess-In-Insurance

ภาพจาก ตำรวจทางหลวง

ค่า Excess ปกติจ่ายกันเท่าไหร่?

ปกติแล้ว ค่า Excess บริษัทประกันภัยจะเรียกเก็บครั้งละ 1,000 – 2,000 บาท ต่อ 1 “เหตุการณ์” เท่านั้น แต่ทั้งนี้ถ้าเกิดขึ้นหลายเหตุการณ์ (เช่น รถมีรอยบุบ หลายๆ แผล) ก็จะถูกเรียกเก็บค่า Excess มากขึ้นตามไปด้วย

What-Is-Excess-In-Insurance

ภาพจาก ตำรวจทางหลวง

แล้วทำไมบางกรณี รถที่ทำประกันชั้น 1 เกิดเรื่อง น่าจะเข้าข่ายเสียค่า Excess แต่ทำไมถึงไม่เสียค่า Excess?

การเคลมมี 2 แบบ คือ

เคลมสด หมายถึง เกิดเรื่องปุ๊บ ก็แจ้งเคลมประกันเลย แบบนี้รถชนกันแล้วรอประกันมาที่เกิดเหตุ
เคลมแห้ง คือ เกิดเหตุนานแล้ว จำไม่ได้ว่าโดนอะไรที่ไหนบ้าง แจ้งเคลมทีเดียว หรือแจ้งเคลมเก็บแผลรอบคัน

ในทางประกันภัยถือว่ามีความต่างกันมาก เพราะการเคลมรถยนต์กับสิ่งอื่นๆ (ที่ไม่ใช่รถยนต์) นั้น เช่น คน สัตว์ สิ่งของ ที่ทำให้ตัวรถเสียหาย ผู้เอาประกันภัยไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนแรก แต่ต้องแจ้งให้บริษัทประกันภัยทราบถึงลักษณะการเกิดเหตุ วัน เวลา และสถานที่ ได้อย่างชัดเจน

สำหรับในครั้งต่อไป เราจะมาอธิบายกันถึง “ค่าเสียหายส่วนแรกแบบสมัครใจ (Deductible)” ให้ผู้อ่านได้หายสงสัยกันต่อครับ

ส่วนใครที่อยากขายรถ มาขายรถกับ CARRO Express สิ! ได้ราคาดี พร้อมปิดการขายภายใน 24 ชั่วโมง! หรือจะ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

และอีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน อยากซื้อรถคุณภาพเยี่ยม มาซื้อกับ CARRO Automall สิ!

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่หาไม่ได้ สามารถสั่งตามออเดอร์ได้ที่นี้ > https://th.carro.co/buy-car หรือโทร. 02-508-8690 อีกทั้งยัง Inbox เข้ามาสอบถามก็ได้เช่นกันได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง หรือทาง Line เชิญเลยครับที่ @carroautomall