The-Excise-Department-Deny-Tax-Car-Reduce

จากผลกระทบของโควิด-19 ที่ผ่านมา ทำให้วงการอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยเกิดความระส่ำระสายอย่างหนัก นับตั้งแต่การประกาศหยุดการผลิตรถยนต์หลายค่าย ยอดสั่งซื้อของซัพพลายเออร์ตก ไปจนถึงการเลิกจ้างขั่วคราว หรือการปิดกิจการ สร้างผลกระทบต่อคนไทยในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์นับแสนคน

อีกทั้งยอดขายรถใหม่ที่ดิ่งเหว โดยยอดผลิตรถยนต์ในประเทศเดือนเมษายน 2563 มีจำนวน 24,711 คัน ลดลง 83.55 % เรียกว่าต่ำสุดในรอบ 30 ปี ส่วนยอดผลิตสะสมเดือนมกราคม – เมษายน 2563 มีจำนวนทั้งสิ้น 478,393 คัน ลดลง 32.78%

3-Way-To-Find-More-Money-For-Salesperson

โดยหลายฝ่ายทำใจแล้วว่า ยอดขายรถยนต์ใหม่ในปี 2563 นี้ ไม่ถึง 1 ล้านคันอย่างแน่นอน และยังไม่รู้ด้วยว่า ในปี 2564 นี้ ตลาดรถยนต์ของใหม่โอกาสฟื้นตัวมีมากน้อยแค่ไหน

อ่านเพิ่มเติม : กรมสรรพสามิต “ดับฝัน” กลุ่มยานยนต์ เสนอรีดภาษีรถเก่า บีบให้คนซื้อรถใหม่ ทำไม่ได้!

อ่านเพิ่มเติม : สรรพสามิต คิดดูก่อน! ค่ายรถขอลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์ 50% ผลจากโควิด-19

Covid-19-And-Secondhand-Cars-Dealer

เมื่อช่วงกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทางกลุ่มทุนสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต่างเข้าหารือกับทางกรมสรรพสามิต เสนอลดภาษีรถยนต์ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19

ซึ่งล่าสุด ทางกรมสรรพสามิตเองก็ประกาศชัดแล้วว่า จะไม่มีการลดภาษีสรรพสามิตแต่อย่างใด งานนี้ งัดเหตุผลสู้กันแหลกแน่นอน!

ด้าน นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย สมาคมผู้ประกอบการรถใช้แล้ว และตัวแทนภาคสถาบันการเงิน ลิสซิ่ง ว่า กรมสรรพสามิตยืนยันชัดเจนว่าจะไม่ลดอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์ 50% ตามข้อเสนอ เนื่องจากอาจเกิดผลกระทบกับการขายรถใหม่ รถเก่า หยุดซื้อขาย ที่จะเซ็นสัญญาก่อนหน้า

“กรมสรรพสามิตไม่ลดภาษีรถยนต์ 50% ซึ่งความชัดเจนนี้จะทำให้การขายรถใหม่และมือสองเข้าสู่ภาวะปกติ การลดภาษีไม่มีประโยชน์” นายพชร กล่าว

Covid-19-And-Secondhand-Cars-Dealer

อีกทั้งการปรับลดภาษีสรรพสามิต ก็ช่วยให้คนซื้อรถในราคาถูกลงไม่มาก เช่น รถกระบะรุ่นมาตรฐาน ลดราคาลงไปแค่ 2,000 บาท หรือถ้าเป็นรถซิตี้ คาร์ ก็ช่วยลดภาษีไปได้แค่ 30,000 บาท/คัน สำหรับรถในท้องตลาดเท่านั้น แต่กลุ่มที่ได้ประโยชน์ จะเป็นรถยนต์ที่มีราคาสูง ซึ่งกรมสรรพสามิตเองไม่ต้องการลดภาษีให้

รวมไปถึงอาจเป็นการแทรกแซงกลไกตลาด กระทบต่อราคาซื้อ-ขาย รถมือสองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ด้านโครงการรถเก่าแลกรถใหม่ แม้ว่าจะยังไม่ได้พิจารณาในเวลานี้ แต่ก็เป็นที่เห็นด้วยทั้งในกลุ่มผู้ผลิตรถใหม่ และผู้ขายรถมือสอง เนื่องจากเป็นการจัดการรถยนต์เก่าอย่างเป็นระบบ และช่วยลดมลพิษในอากาศได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งก็ต้องมาถกกันในวาระต่อไปว่า ในทางปฏิบัตินั้น จะกำหนดอายุรถ หรือเงื่อนไขต่างๆ อย่างไร

อ่านเพิ่มเติม : สรุป ข้อดี ข้อเสีย เก็บภาษีรถเก่าอายุเกิน 10 ปี เพื่อกระตุ้นยอดขายรถใหม่

ส่วนใครที่อยากขายรถ หรือมีเพื่อนฝูงกำลังหาที่ขายรถอยู่ CARRO เรารับซื้อรถของคุณ สามารถเข้าไปเช็กราคา ตีราคาขายรถก่อนได้ โดยใส่ข้อมูลรถของคุณที่นี่เลย กับ CARRO Express > https://th.carro.co/sell-car/express หรือโทร. 02-508-8425

หรือใครจะ Inbox มาสอบถามก็ได้เช่นกัน ที่ Facebook CARRO Thailand หรือสะดวก Add Line ก็ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

Car Manufacturers-Need-Help-Reduce-Excise-Tax

ตามที่กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) ร้องขอให้รัฐบาลออกมาตรการเยียวยา หลังยอดขายร่วงหนัก กระทบโรงงานผลิต และซัพพลายเชนทั้งระบบ ซึ่งมีผลต่อการจ้างงาน ขณะที่ยอดผลิตรถ 4 เดือนแรกของปี (ม.ค.-เม.ย. 2563) ทำได้ 478,000 คัน ลดลง 32% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

โดยกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ยื่นข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ดังนี้

1. ขอลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์ 50% ช่วยให้รถยนต์ราคาถูกลง

2. เปิดโครงการ รถเก่าแลกคันใหม่ รัฐบาลสนับสนุน 1 แสนบาท

3. เลื่อนการบังคับใช้มาตรฐานไอเสียยูโร 5 และ ยูโร 6 ออกไป ซึ่งเดิมจะเริ่มปี 2564 และ 2565 ตามลำดับ

Purchase-Car-In-Motor-Show

ด้านนายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า กรมฯได้รับหนังสืออย่างเป็นทางการจาก สอท.เรียบร้อยแล้ว แต่ขอพิจารณาในรายละเอียดของข้อเสนอดังกล่าวก่อน ซึ่งตามหลักการแล้วกรมสรรพสามิตพร้อมให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากโควิด- 19 ทุกราย จึงเร่งพิจารณาเพื่อหาข้อสรุปให้ได้โดยเร็วที่สุด

MG-ZS-EV-2019

อย่างไรก็ตาม หากให้มองถึงเหตุผลของผู้ประกอบการรถยนต์ที่ระบุว่า ยอดขายในประเทศและการส่งออกรถยนต์ชะลอตัวลงมากนั้น การช่วยเหลือด้านการ “ลดภาษีรถยนต์” ไม่ใช่ทางออกที่เหมาะสม เนื่องจากรถยนต์ที่ค้างสต๊อกอยู่นั้น ถูกเรียกเก็บภาษีแล้ว ดังนั้นคงต้องพิจารณาว่า หากจะต้องให้ความช่วยเหลือจะต้องเป็นในลักษณะใดถึงจะเหมาะสม

“กรมจัดเก็บภาษีตั้งแต่หน้าโรงงาน ตอนรถยนต์ผลิตออกมาขายที่โชว์รูมหรือเพื่อรอส่งออกแล้ว ดังนั้นไม่รู้ว่ายอดขายของรถยนต์กลุ่มนี้ลดลง กรมจะช่วยอะไรได้ ดังนั้นต้องไปดูก่อนว่าข้อเสนอของเขาคืออะไร และเราจะช่วยอะไรได้บ้าง ซึ่งตามหลักการแล้ว กรมอยากช่วยเต็มที่เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งนี้เป็นเรื่องวิกฤต” นายพชร กล่าว

สรุป ถ้าหากกรมสรรพสามิต มีผลสรุปลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์ 50% ตามข้อเสนอ ก็ต้องหารือเรื่องนี้กับ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และท้ายที่สุด ก็ต้องให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในเรื่องนี้ด้วย

ส่วนใครที่อยากขายรถ หรือมีเพื่อนฝูงกำลังหาที่ขายรถอยู่ CARRO เรารับซื้อรถของคุณ สามารถเข้าไปเช็กราคา ตีราคาขายรถก่อนได้ โดยใส่ข้อมูลรถของคุณที่นี่เลย กับ CARRO Express > https://th.carro.co/sell-car/express หรือโทร. 02-508-8425

หรือใครจะ Inbox มาสอบถามก็ได้เช่นกัน ที่ Facebook CARRO Thailand หรือสะดวก Add Line ก็ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

ขอขอบคุณข่าวจาก:

Parking-Safety-Tips-For-Your-Car

ปัญหาการหาที่จอดรถไม่ได้สักที ยอมรับเลยว่าเป็นปัญหาที่คอยกวนใจให้กับเราได้ตลอดเวลาเลย จนบางครั้งก็อดไม่ได้ที่จะพึ่งพาไสยศาสตร์ให้ช่วยเราหาที่จอดรถให้ได้สักที แต่ก็ใช่ว่าทุกที่จอดรถที่เราจะเจอจะสร้างความสบายใจให้แก่เรา บางทีรถป้ายแดง หรือรถมือสอง ก็ต้องการความปลอดภัย หากเจอที่ที่ดูไม่เหมาะกับการจอดรถ ก็ขอเลือกไม่จอดดีกว่า รวมไปถึงอันตราย และการเสี่ยงต่อรถหายด้วย

ดังนั้นวันนี้ masii เลยมีเคล็ดลับมาบอกว่าที่จอดรถแบบไหนที่เราควรหลีกเลี่ยงบ้าง

Parking-Safety-Tips-For-Your-Car

ใต้ต้นไม้ใหญ่

หากอากาศร้อนระอุ หลายคนมักจะมองหาที่จอดรถใต้ต้นไม้ใหญ่เพราะต้นไม้สามารถให้ร่มเงากับรถของเราได้ แต่เพื่อนๆ ทราบกันไหมครับว่า การจอดรถใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่นั้น ต้องแลกกับความเสี่ยงที่กิ่งไม้ต่างๆ จะโค่นหักใส่รถของเราได้ ซึ่งอาจสร้างความเสียหายให้กับรถยนต์ และในช่วงหน้าฝนแบบนี้ หากเลี่ยงได้ทาง มาสิ แนะนำให้เลี่ยงไปก่อนเลยครับ

ที่มืดและเปลี่ยว

การเลือกจอดรถในที่มืดและเปลี่ยวนั้น รวมไปถึงการจอดรถห่างไกล และลับสายตานั้น ปฎิเสธไม่ได้ว่าเลยว่าการกระทำนี้เป็นการง่ายต่อการที่รถของเราจะหายจากการถูกโจรกรรมแน่ๆ และสิ่งของในรถอาจจะโดนขโมย หรืออาจจะโดนทุบกระจกก็เป็นไปได้ ดังนั้นวิธีที่ดีที่ในการเลือกจอดรถ ควรหาที่จอดที่เหมาะสม มีแสงสว่างพอเพียง อีกทั้งยังมีผู้คนพลุกพล่าน

Parking-Safety-Tips-For-Your-Car

ทางลาดชัน

มือใหม่ต้องฟังเลย เวลาเดินทางออกต่างจังหวัด อาจจะเห็นว่าไม่ค่อยจะมีรถวิ่งสักเท่าไรนั้น และมีเหตุจำเป็นต้องจอดข้างทาง สิ่งที่เพื่อนๆ ควรหลีกเลี่ยงไปก่อน คือ การจอดรถบนลาดชัด หรือบนเนินเขา ครับ เพราะว่านอกจากจะส่งผลต่อระบบเบรกรถของเราแล้ว ยังเสี่ยงต่อการรถไหลอีกด้วย สร้างความเสียหายให้กับรถของเรา และคนอื่นด้วย

และเมื่อเกิดอุบัติเหตุกับรถยนต์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นทั้งมีคู่กรณี หรือไม่มีคู่กรณี การเลือกทำประกันรถยนต์ไว้จะช่วยคุ้มครองค่าใช้จ่าย และค่ารักษาพยาบาลให้เราได้ เรียกได้ว่าสร้างความอุ่นใจ และแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายได้ หากใครสนใจประกันรถยนต์ คลิกที่นี่ เพื่อเปรียบเทียบเบี้ยประกันได้ทันที มีข้อมูลสงสัยโทร 02 710 3100 เรามีทีมงานคอยให้คำแนะนำครับ

ขอขอบคุณบทความดีๆ จาก www.masii.com

Carro-Covid-19-And-Secondhand-Cars-Dealer

ตอนนี้ต้องบอกได้เลยว่าตลาดรถมือสองบ้านเรา เจอวิกฤตช่วงโควิด-19 เข้าไป กระทบถึงบรรดาภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ถ้วนหน้า นับตั้งแต่รถใหม่ป้ายแดง ที่สต๊อกรถยนต์ยังล้น ซัพพลายเออร์มีคำสั่งซื้อลดลงเรื่อยๆ จนค่ายรถยนต์หลายค่ายต้องประกาศหยุดสายการผลิตชั่วคราว

นับตั้งแต่การประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน รวมถึงการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) และการรณรงค์ Work From Home “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา ก็กระทบต่อภาวะการขายรถยนต์อย่างหนัก ซึ่งในวงการรถมือสองก็กระทบไปด้วย จากการที่ลูกค้าถูกเลิกจ้างชั่วคราว หยุดทำงานโดยไม่รับเงินเดือน หรือถูกปลดออกจากงาน

MR.CARRO จะมาวิเคราะห์ตลาดรถมือสอง ปี 2020 หลังจากหมดโควิด-19 จะเป็นอย่างไร? โอกาสทอง หรือ หน้ามืด!

Covid-19-And-Secondhand-Cars-Dealer

จากข้อมูลของ คุณภิญโญ ธนวัชราภรณ์ นายกสมาคมผู้ประกอบการรถยนต์ใช้แล้ว ได้กล่าวถึงเกี่ยวกับผู้ประกอบการรถมือสองที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ไว้ในแฟนเพจของทางสมาคมฯ ว่า

“ผู้ประกอบการที่ดี ต้องปรับตัวให้เร็วและแม่นยำ การถือ Stock เป็นจำนวนมากเกินไปจะทำให้อุ้ยอ้าย และปรับตัวได้ช้า ผู้ประกอบการควรถือ Stock ที่ปลอดภัย เน้นรถที่ซื้อง่ายขายคล่อง และเน้นรถ Brand หลัก ที่มีความเสี่ยงต่ำ เน้นขายได้เร็ว และกำไรไม่ต้องมากลด Stock ที่ไม่มีความจำเป็นออก ถ้าจำเป็นต้อง Cut Loss ก็ให้ Cut Loss ให้เร็ว อย่าก่อหนี้เพิ่มถ้าไม่จำเป็น เพราะดอกเบี้ยไม่มีวันหยุด ในขณะที่รายได้ในปีนี้ อาจจะลดลงตลอดทั้งปี อาจต้องยอมขายรถในราคาที่เบียดกับต้นทุน เพื่อให้รถออกจากเต็นท์ไว อาจจะยอมขายขาดทุนด้วยซ้ำ แต่ก็ต้องรีบขาย

ซึ่งทางนายกสมาคมผู้ประกอบการรถยนต์ใช้แล้ว ได้แนะนำถึงวิธีรับมืออีกว่า “ทางรอดของเราคือ ปรับตัวให้เร็วและแม่นยำ ถือสต๊อกในจำนวนที่ปลอดภัย เน้นแบรนด์หลักที่มีความเสี่ยงต่ำ ขายเร็วกำไรไม่ต้องมาก ที่สำคัญอย่าสร้างภาระหนี้ใหม่ที่ไม่จำเป็น เพราะดอกเบี้ยจะไม่ลดลงตาม”

“และผู้ประกอบการ ควรมองหาช่องทางที่จะเพิ่มมูลค่าของการบริการ รวมถึงการสร้างความมั่นใจ เชื่อถือ และความปลอดภัยให้แก่ผู้บริโภคและสังคม เนื่องจากสถานการณ์เหล่านี้ เป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาปกติ นี่จึงเป็นโอกาสที่จะทำให้เราได้เข้าไปมีส่วนร่วมและอยู่ในใจของผู้บริโภค”

“ยอดขายรถมือสองในตอนนี้ ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ยอดขายหายไปประมาณ 40% ขณะที่สถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อสุดๆ เพราะปัจจุบัน 90% เป็นลูกค้าขอสินเชื่อผ่านไฟแนนซ์ และ 10% ซื้อรถด้วยเงินสด”

Covid-19-And-Secondhand-Cars-Dealer

ถ้าจำกันได้ ช่วงต้นปี 2563 บรรดาค่ายรถหลายค่ายในบ้านเรา ต่างประเมินถึงยอดขายรถยนต์ป้ายแดงปีนี้ ที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจย่ำแย่ในปีที่ผ่านมา บางค่ายโชว์ตัวเลขที่หนึ่งล้านคัน ส่วนบางค่ายก็ต่ำกว่าล้านคัน ถ้าหลังจากผ่านวิกฤตโควิด-19 นี้ไป ผมคาดว่ายอดขายรถป้ายแดงปีนี้น่าจะไม่ถึง 9 แสนคันด้วยซ้ำไป เนื่องจากผู้บริโภคได้รับผลกระทบไปอย่างหนัก ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศ อาจจะเหลือเพียง 7 แสนคัน ซึ่งลดลงประมาณร้อยละ 30 และอาจจะลงไปถึง 5 แสนคัน ด้วยซ้ำไป!

ซึ่งภาคการผลิตรถยนต์ในประเทศปีนี้ ต่ำกว่าเป้าเยอะ รวมถึงยอดส่งออกด้วย สะท้อนถึงปัญหาเศรษฐกิจได้ดีเลยทีเดียว

โดยปกติ กรณีเศรษฐกิจไม่ดี ยอดขายรถใหม่จะลดลง แต่ยอดขายรถมือสองนั้น มักได้รับผลกระทบไม่มากนัก เนื่องจากผู้ที่มีกำลังเล่นรถป้ายแดงไม่ไหว ก็จะหันไปซื้อรถมือสองแทน ซึ่งในตลาดรถมือสองตอนนี้ ก็มีหลายรุ่น ที่ถูกลงกว่าเดิมในหลักหมื่นบาท ไปจนถึงหลักแสนบาท ถึงเราเชื่อว่าหากวิกฤตนี้ผ่านพ้นไป ราคารถมือสองคงไม่ได้ตกต่ำแบบในเวลานี้แน่นอน

จากการสำรวจของทีมงาน CARRO พบว่า รถหลายรุ่นที่ราคาลดเยอะพอสมควร อาทิ Toyota Yaris รุ่นปี 2014 ราคาลงมาอยู่ที่ประมาณ 250,000 บาท จากเดิมอยู่ที่ประมาณเกือบๆ 3 แสนบาท ส่วน Honda Jazz (GK) ราคาปรับมาอยู่ที่ 370,000 บาท ซึ่งจากเดิมราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณเกือบๆ 4 แสนบาท

หรือ Honda Civic (FC) ราคาปรับลงมาเหลือเริ่มต้นที่ 5 แสนกว่าบาท จากเดิมเริ่มต้นอยู่ที่ 6 แสนกว่าบาท และ Toyota Camry รุ่นปี 2012 ราคาเริ่มต้นหล่นลงมาอยู่ที่ 4 แสนกว่าบาท ส่วนในตัวโฉม Hybrid ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 450,000 บาท

แต่ในครั้งนี้ ลูกค้ารายใหญ่ที่มีฐานเงินเดือนไม่มาก ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของตลาดรถมือสอง ตกงานกันเป็นจำนวนมาก รถมือสองย่อมได้รับผลกระทบไปเต็มๆ คาดว่าจะมีลูกค้าทิ้งรถ เนื่องจากผ่อนไม่ไหวกันเป็นจำนวนมาก กำลังซื้อที่พอมีอยู่ประปราย ถึงตอนนี้ “นิ่งสนิท” มีแต่ผู้อยากขายรถเป็นจำนวนมาก แต่ผู้ซื้อก็ยังมีอยู่ แต่ก็ต้องเป็นผู้ที่มีเงินเย็น รอช้อนของถูกอยู่ในมือจริงๆ

Buy-Secondhand-Car-Oldyear-Or-Newyear

สรุป

ผลกระทบของโควิด-19 ต่อวงการรถมือสองนั้น เนื่องจากผู้บริโภคได้รับผลกระทบจำนวนมหาศาล จากแต่เดิมเศรษฐกิจของไทยก็แย่อยู่แล้วยิ่งส่งผลกระทบอย่างมาก จากธุรกิจบริการต่างๆ ต้องปิดบริการกันเยอะมาก ต้องขายรถเท่าทุน หรือขายตัดขาดทุนก็ต้องยอม

เมื่อคนขาดสภาพคล่อง จนต้องมีการขอพักชำระหนี้ ชลอการจ่ายค่างวดรถกันยกใหญ่ และการจะซื้อรถสักคัน การอนุมัติสินเชื่อรถยนต์มือสองของไฟแนนซ์ ก็ต้องเข้มงวดมากขึ้นกว่าเดิมมาก ทำให้ตลาดรถมือสองในปี 2563 นี้ ว่าหน้ามืดทีเดียว

แต่ก็ยังเป็นโอกาสอยู่บ้าง สำหรับดีลเลอร์ที่มีสะสมเงินเย็นไว้อยู่มาก เนื่องจากตอนนี้เองก็มีลูกค้านำรถมาขายกันเป็นจำนวนมาก เป็นโอกาสในการช้อนซื้อรถเข้าเต็นท์ได้ในราคาถูก เลือกรถคันที่ชอบได้ เพื่อเอาไว้ขายต่อในอนาคต แต่ก็เป็นส่วนน้อยอยู่ดี เพราะบรรดาผู้ประกอบการส่วนใหญ่ ก็เป็นเงินหมุน เงินกู้ ทั้งนั้น

ก็ได้แต่ต้องบอกคำว่า “สู้ สู้” ครับ!

สำหรับดีลเลอร์รายใด หรือผู้ประกอบการรายใด ตอนนี้ยังพอมีกำลังซื้อรถอยู่ หรือผู้ที่อยากขายรถแบบเยอะๆ ในสถานการณ์เช่นนี้ สามารถ Inbox มาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand หรือโทร. 02-508-8425 ในเวลาทำการ (จันทร์-ศุกร์ 9.30 – 18.30 น.) หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่นี่ครับ @Carropartner —> เพิ่มเพื่อน

Trick-To-Choose-Secondcand-Car-And-Cost

ในช่วงสถานการณ์วิกฤตอย่างโควิด-19 หรือเชื้อไวรัสโคโรนาที่กำลังแพร่กระจายไปทั่วโลกแบบนี้ แน่นอนว่าเพื่อนๆ คนไหนที่ปกติต้องอาศัยระบบขนส่งสาธารณะในบ้านเมืองเราตอนนี้ คงปฎิเสธกันไม่ได้ว่าได้รับผลกระทบจากวิกฤตนี้อย่างเต็มๆ จนเพื่อนๆ หลายคนให้ความสนใจกับการซื้อรถยนต์มือสองสภาพดีๆ มาขับใช้เป็นการส่วนตัวแทน

แบบนี้ Masii เลยมีเกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ มาฝากเพื่อนๆ ชาว CARRO กันว่า หากซื้อรถมือสองเราต้องมีค่าใข้จ่ายอะไรบ้างนะ

เลือกซื้อรถมือสอง ต้องมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง

โดยปกติแล้วเพื่อนๆ สามารถซื้อรถมือสองได้ 2 รูปแบบคือ เงินสด และไฟแนนซ์ ทั้งนี้ทั้งนั้นจะขึ้นอยู่ความสะดวกของเพื่อนๆ เลย รวมไปถึงการเลือกซื้อทั้งสองแบบจะมีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันออกไปด้วย เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาดูกันดีกว่าว่าเราจะต้องมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้างนะ

Trick-To-Choose-Secondcand-Car-And-Cost

ซื้อรถด้วยเงินสด

แม้เราจะเก็บเงิน หรือหาเงินสด และเงินก้อน มาซื้อรถมือสองให้จบไปเลยรวดเดียว เพราะไม่อยากจะมีค่าใช้จ่ายหรือผ่อนชำระเพิ่มเติม แต่อย่าลืมนะครับ ยังมีอีกหลายส่วนที่เพื่อนๆ ต้องเตรียมรับมือไว้เลย สำหรับค่าใช้จ่ายดังต่อไปนี้

  • ค่ารถยนต์ – ค่าใช้จ่ายตรงนี้เป็นเรื่องปกติ โดยเป็นราคาตามที่ได้ตกลงการซื้อขายไว้
  • ค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% – ราคารถมือสองที่เราซื้อไปนั้นยังไม่ใช่ราคาสุทธินะครับ ต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายสำหรับภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ไปด้วย
  • ค่าโอนรถ – เป็นค่าใช้จ่ายที่ทางกรมขนส่งทางบกจะเรียกเก็บ
  • ค่าประกันรถยนต์ – เพื่อความอุ่นใจ การเลือกทำประกันรถยนต์จะช่วยความคุ้มค่าให้เราได้

Trick-To-Choose-Secondcand-Car-And-Cost

ซื้อรถแบบผ่อนด้วยไฟแนนซ์

สำหรับการเลือกซื้อรถด้วยวิธีนี้ เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เพราะเราไม่ต้องหาเงินก้อนมาจ่ายทีเดียว แต่เลือกเป็นวิธีการผ่อนชำระไปในแต่ละเดือน ทั้งนี้ก็จะมีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างจากการเลือกซื้อรถมือสองด้วยเงินสดอยู่เล็กน้อย ดังต่อไปนี้

  • ค่างวด – ค่าใช้จ่ายที่เราต้องใช้จ่ายสำหรับผ่อนค่ารถมือสองของเราในแต่ละเดือน และเพิ่มค่าภาษีมูลค่าเพิ่มเติม 7% ไปด้วย
  • ดอกเบี้ย – ดอกเบี้ยรถมือสองจะถูกคิดตามสภาพรถที่เราเลือกซื้อมา ทั้งรุ่น ปี และยี่ห้อ โดยปกติส่วนมากดอกเบี้ยจะอยู่ที่ประมาณ 7% หรือตามเงื่อนไขของแต่ละบริษัท

เพียงเท่านี้เพื่อนๆ ก็สามารถทราบถึงรายละเอียดสำหรับค่าใช้จ่ายของการเลือกซื้อรถมือสองแล้ว รวมไปถึงการเลือกทำประกันรถยนต์ เน้นย้ำว่ารถมือสองที่เราซื้อมาก็สามารถทำประกันรถยนต์ได้เช่นกัน คลิกที่นี่ เพื่อเช็กเบี้ยประกันได้ทันที หากมีข้อมูลสงสัยอยากสอบถามเรื่องประกันรถยนต์ สินเชื่อรถ โทร 02 710 3100

ขอขอบคุณบทความดีๆ จาก www.masii.com

ประเมินราคารถ ขายออกไว สำหรับคนอยากขายรถ CARRO

“การตีราคารถ” หรือ “การประเมินราคารถ” นี่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่คนอยากขายรถควรรู้ไว้ เพื่อที่คุณจะได้ตั้งราคารถได้ หากเวลาต้องการขายรถ เนื่องจากถ้าคุณตั้งราคาได้อย่างสมเหตุสมผล นอกจากคุณจะขายรถได้ไวแล้ว ยังได้มูลค่าที่เหมาะสมกับราคาประเมินในเวลานั้นอีกด้วย

แต่ก็ยังมีคำถามมากมายเข้ามาอยู่เรื่อย ว่า ทำไมรถผมตั้งราคาแบบนี้ ถึงขายไม่ออกสักที? หรือทำไมเต็นท์รถ ดีลเลอร์รถมือสอง ถึงไม่ให้ราคาตามที่ใกล้เคียงกับที่เขาขาย?

MR.CARRO จะมาแนะนำการประเมินราคาง่ายๆ ให้สำหรับคนที่กำลังต้องการขายรถ ทำอย่างไรให้ขายรถได้ไว ได้ราคาดี จะได้มีไว้เป็นเกณฑ์ในการตั้งราคาครับ

Carro-Appraisal-Secondhand-Car

1. หาราคากลางของตลาด

ก่อนคุณจะขายรถสักรุ่นใดรุ่นหนึ่ง ลองเปรียบเทียบกับราคากลางในตลาดดูก่อน ว่ารถยี่ห้อ-รุ่น ปีเดียวกับรถคุณ ราคาประมาณเท่าไหร่? เพราะรถมือสอง ช่วง 1-2 ปีแรก ราคาจะตกไวมาก ถ้าไม่ใช่รถที่เป็นแบรนด์ยอดนิยม ราคาก็จะยิ่งตกมากกว่ารถแบรนด์ตลาด หรือแบรนด์ญี่ปุ่น โดยมาแล้ว รถมือสองอายุ 4-5 ปี ราคาจะตกไปประมาณครึ่งหนึ่ง ของมูลค่าตอนออกป้ายแดง

ถ้าหากเป็นรถอายุมากกว่า 10 ปีขึ้นไป ราคาก็จะตกเริ่มค่อยๆ น้อยลงเรื่อยๆ 5-10% จนไปถึงจุดที่ค่อนข้างคงที่แล้ว ในรถที่อายุมากกว่า 20 ปีขึ้นไป

ส่วนประเภทรถ … มีผลครับ รถแบบ Eco-Car, Sub-Compact Car และ Compact Car ราคาจะตกน้อยกว่ารถเก๋งประเภท Mid-Size Car หรือ Full-Size Car ส่วนรถ MPV และ SUV (บางรุ่น) ราคาจะตกมากกว่ารถกระบะ ถ้าเป็นรถคลาสสิค รถซูเปอร์คาร์ ราคากลางนั้นอาจจะไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจระหว่างผู้ซื้อ-ผู้ขาย มากกว่า

กรณีถ้ารีบ ร้อนเงิน ช่วงนี้จำเป็นต้องใช้เงินด่วน ก็ตั้งราคาให้ต่ำกว่าราคาตลาดหน่อย เพื่อที่จะได้ดึงดูดใจผู้ซื้อ และสามารถปล่อยรถออกได้ไว

กรณีไม่รีบร้อน อาจจะขายรถด้วยเหตุที่ไม่ใช่เรื่องร้อนเงิน ก็อาจจะตั้งราคาไม่พอๆ กับราคากลางในเวลานั้นก็ได้ แต่ถ้ามั่นใจว่าสภาพรถดีจริง มีประวัติครบๆ รวมถึง Book Service เช็คศูนย์ครบทุกครั้งจากศูนย์บริการ สามารถตรวจสอบประวัติรถย้อนหลังได้ ก็ตั้งราคาไว้สูงหน่อยได้

แต่ถ้าจะขายรถแบบผ่อนไม่หมด ผ่อนไม่ไหว (ยิ่งช่วงนี้หาเงินลำบาก กรณีผ่อนรถไม่ไหวมีเยอะมาก) ก็อาจจะต้องยอมขายแบบขาดทุน เข้าเนื้อ ด้วยการขายดาวน์ และนำสัญญาผ่อนไปทำการรีไฟแนนซ์ ให้คนที่ซื้อไปเป็นคนจัดการไปผ่อนต่อแทน

หรือกรณีในที่นำรถไปตีราคาที่เต็นท์รถ หรือดีลเลอร์รถ มัก “เสนอราคา” มาให้คุณเท่านี้ๆ แล้ว (ซึ่งอาจจะต่ำกว่าราคากลาง 10-30% เพราะการทำธุรกิจก็ต้องมีค่าใช้จ่าย และกำไรเพื่อความอยู่รอด รถที่ขายได้ไว ดอกเบี้ยก็จ่ายน้อย แต่ถ้ารถคนไม่นิยม ใช้เวลานานกว่าจะขายออก ดอกเบี้ยเดินตลอด ต้องแบกต้นทุนสูง ราคารถก็จะถูกกดมากขึ้น) ถ้าคุณไม่พึงพอใจ ก็อาจจะขอเพิ่มก็ได้ หรือถ้าไม่พึงพอใจอีก ก็ต้องตระเวนนำรถไปตีราคากลางหลายๆ ที่ จนกว่าจะพอใจ

Carro-Appraisal-Secondhand-Car

2. คำนวณราคารถด้วยตัวเอง

ถ้าเกิดราคารถมือสองที่ทางเต็นท์รถ หรือดีลเลอร์รถ เสนอมาให้คุณแล้วรู้สึกไม่ถูกใจ ไม่พึงพอใจ ก็ลองคำนวณราคารถด้วยตัวเองกันก่อน ตามข้อมูลด้านล่างนี้

การคำนวณราคารถด้วยตัวเอง ราคาขึ้นอยู่กับการจัดของไฟแนนซ์ช่วงนั้นๆ เช่น …

ราคาไฟแนนซ์เสนอมา X 0.7 (รถสวยสภาพเยี่ยม คุณด้วย 0.7) ก็จะตีราคาได้สูงขึ้นมาหน่อย

ตอนนี้ ราคาไฟแนนซ์มา X 0.6 (ตอนนี้ คูณด้วย 0.6)

กรณีที่คุณต้องการขายรถคันเดิม สมมติ ราคารถตอนซื้อมาป้ายแเดง 1 ล้านบาท

หักค่าเสื่อมราคา 25% ก็จะเหลือ 750,000 บาท ภาษี VAT 7% ประมาณ 52,500 บาท รวมก็ 825,000 บาท

ถ้าคุณต้องการขายแบบได้ส่วนต่างเพิ่มประมาณ 10% หรือ 82,500 บาท ก็จะตั้งขาย 900,000 บาท บวกลบ ซึ่งขึ้นอยู่กับปีรถ ยี่ห้อรถ รุ่นรถ และสภาพรถด้วย เพราะบางทีถ้าตั้งราคานี้ ก็อาจจะขายออกได้ช้า ในช่วงสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ หรือความนิยมในรถรุ่นที่คุณใช้ นิยมกันมากหรือน้อย

การคำนวณยังมีแบบอื่นๆ แบ่งออกได้เป็น 3 แบบ

1. แบบทางบัญชีทั่วไป คิด ลดลงเท่ากันทุกปี จนปีสุดท้ายเหลือมูลค่า 1 บาท เป็นราคาซาก

เช่น รถ ราคา 5 แสนบาท มีอายุใช้งาน 5 ปี

ค่าเสื่อม ปีที่ 1 = 100,000 // ปีที่ 2 = 100,000 // ปีที่ 3 = 100,000 // ปีที่ 4 = 100,000 // ปีที่ 5 = 99,999 เหลือค่าทางบัญชี 1 บาท

ถ้าขายได้มากกว่า 1 บาท ถือเป็นกำไร

2. คิดแบบเชิงบัญชีบริหาร จะคิดโดยอ้างอิงราคาตลาด หรือ Flat Rate ก็ได้ แต่มูลค่าสุดท้ายจะเท่ากับมูลค่าที่คาดว่าจะขายได้

เช่น รถ ราคา 5 แสนบาท มีอายุใช้งาน 5 ปี เมื่อสิ้นปีที่ 5 จะขายซากได้ในราคา 30% ของราคาที่ซื้อในปีแรก

ดังนั้น ค่าเสื่อมระหว่างปีที่ 1 ถึงปีที่ 5 = ราคาซื้อ – ราคาขายซาก = 500,000 – (500,000 * 30%) = 350,000 บาท

คิดค่าเสื่อม แบบเส้นตรง 5 ปี

ค่าเสื่อม ปีที่ 1 = 70,000 // ปีที่ 2 = 70,000 // ปีที่ 3 = 70,000 // ปีที่ 4 = 70,000 // ปีที่ 5 = 70,000 เหลือค่าซาก 150,000 บาท

แบบที่ 3 คิดตามราคาตลาด

เช่นจากข้อมูลทางสถิติ พบว่า ราคาขายต่อรถยนต์เมื่อสิ้นปีที่ 1 – 5 เมื่อเทียบกับราคารถใหม่ พบว่ามีมูลค่า 70%, 65%, 50%, 40%, 30% ของราคารถที่ซื้อในปีปัจจุบันตามลำดับ

ดังนั้น ค่าซากในปีที่ i = ราคาค่าซากเมื่อสิ้นปีก่อนหน้า – ราคาค่าซากเมื่อสิ้นปีปัจจุบัน
ราคาค่าซากเมื่อสิ้นปีที่ 1, 2, 3, 4, 5 = 350,000 // 325,000 // 250,000 // 200,000 // 150,000

ดังนั้น ค่าเสื่อม ปีที่ 1 = 150,000 // ปีที่ 2 = 25,000 // ปีที่ 3 = 75,000 // ปีที่ 4 = 50,000 // ปีที่ 5 = 50,000 เหลือค่าซาก 150,000 บาท

แต่ต้องจำไว้ว่า ค่าเสื่อมราคา ในรถแต่ละยี่ห้อ และรุ่น ก็ต่างกันไปนะครับ

อยากขายรถมือสอง มาตีราคา เช็คราคารถกันได้ที่นี่

3. เช็คราคากับ CARRO

อีกวิธีการตรวจเช็กราคาที่ง่าย สะดวกสบาย เชื่อถือได้ ต้อง “CARRO” เพราะถ้าหากคุณนึกตัดสินใจอยากขายรถคันเดิมเมื่อไหร่ สามารถกรอกชื่อ-นามสกุล เบอร์โทรติดต่อได้ รูปรถ รายละเอียดต่างๆ และเลขไมล์ของรถของคุณ และราคาที่คุณต้องการ มาเช็กราคารถได้ที่ CARRO ได้เลย ตาม Link นี้ https://th.carro.co/sell-car/express/check-car-price เราพร้อมให้บริการ

หากคุณกรอกรายละเอียดไม่ครบ เจ้าหน้าที่จากคาร์โร ก็จะติดต่อกลับมาหาคุณภายใน 24 ชม. เพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หลังจากนั้นเราจะเสนอราคารถของคุณโดยคร่าวๆ ถ้าหากคุณตกลง เราก็จะนัดคุณเพื่อทำการตรวจสภาพรถทั่วประเทศ ก่อนจะตกลงราคาสุดท้ายกันอีกครั้ง

เมื่อตกลงราคากันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็เซ็นสัญญาซื้อขาย พร้อมปิดการขาย คุณสามารถรับเงินสดกลับบ้านไปได้เลย!

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม มาขายรถคันเดิมกับ CARRO Express สิ! Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

Carro Automall / คาร์โร ออโต้มอลล์

แต่ถ้าหากช่วงนี้ใครอยากเปลี่ยนรถคันใหม่ มาใช้แทนที่รถคันเดิม CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ พร้อมตอบโจทย์คุณด้วยคอนเซปต์ “click.buy.drive.” คุณสามารถจองรถออนไลน์ ได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น!

รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check มากกว่า 200 จุด และยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” ให้คุณเลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา พร้อมรับประกันคุณภาพรถนานถึง 2 ปี หรือ 20,000 กิโลเมตร! อีกทั้งยังการันตีความพึงพอใจ คืนเงินได้ภายใน 5 วันอีกด้วย! เรามีรถให้คุณเลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ CARRO Automall สิ!

หรือถ้าหากสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall Thailand โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall ครับ

สูตรคำนวณราคารถจาก:

ขณะขับรถ การเกิดอุบัติเหตุเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ ทุกวินาทีมีความเสี่ยงทั้งนั้น เพราะฉะนั้นการเลือกรถเพื่อมาใช้งานในชีวิตประจำวัน ให้ได้ระดับมาตฐานความปลอดภัยของรถจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม จะให้หวังเชื่อจากผู้ผลิตข้างเดียวก็เชื่อไม่ได้ทั้งหมด รวมถึงการดูค่าการทดสอบมาตรฐานความปลอดภัย ก็ยังจำเป็นที่จะต้องดูจากสถาบันที่เป็นกลาง

เนื่องจากความปลอดภัยนั้นสำคัญ ทำให้ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน ค่ายรถต่างๆ ทุ่มทุนกันพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ ออกมามากมาย บางอย่างนั้นอาจใช้กันจนเป็นเรื่องสามัญไปแล้ว จนไม่รู้ว่า อุปกรณ์ชนิดนี้ ใครคนนั้น? เป็นผู้คิดค้นมันขึ้นมา

วันนี้ MR.CARRO จะมานำเสนอ 5 สิ่งแรกในรถยนต์ที่เกี่ยวกับระบบความปลอดภัย ที่ต่อมารถทุกค่ายต่างต้องนำมาใช้กันหมด มาดูกันว่ามีอะไรกันบ้าง

5-World-First-Safety-Equipment-In-Car

1. เข็มขัดนิรภัย

เข็มขัดนิรภัย เป็นอุปกรณ์สามัญประจำรถยุคใหม่ ที่ทุกคันจะต้องมี เพราะสามารถปกป้องชีวิตของผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตได้อย่างมาก

นับตั้งแต่การคิดค้นของ George Cayley วิศวกรชาวอังกฤษช่วงกลางศตวรรษที่ 19 แต่ก็ยังไม่ได้ต่อยอดอะไร มาจนถึงปี 1946 Dr. C. Hunter Shelden แห่ง Huntington Memorial Hospital ในเมือง Pasadena รัฐแคลิฟอเนีย จึงเริ่มทำการศึกษาถึงการติดตั้งเข็มขัดนิรภัยในรถ ต่อมาในปี 1949 รถยนต์ยี่ห้อ Nash และ Ford ในปี 1955 จึงมีการนำเสนอ “เข็มขัดนิรภัย” ในรูปแบบของอุปกรณ์ติดตั้งเพิ่มเติม

จากนั้นในปี 1958 SAAB ผู้ผลิตรถยนต์จากสวีเดน จึงเริ่มติดตั้งในรถรุ่น GT 750

5-World-First-Safety-Equipment-In-Car

Nils Bohlin วิศวกรของวอลโว่ และผลงานที่ “เปลี่ยนโลก” ของรถยนต์

ต่อมาในปี 1959 เข็มขัดนิรภัย 3 จุด (Three-Point Safety Belt) จึงถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกด้วยแนวคิดของ Nils Bohlin วิศวกรของวอลโว่ ที่ศึกษาการอุบัติเหตุมามากถึง 28,000 เคส ก่อนจะมาพัฒนาเข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรุ่น Amazons และ PV544 สำหรับตลาดสแกนดิเนเวีย

หลังจากที่วอลโว่ได้ยกเลิกสิทธิบัตรที่เป็นเจ้าของเข็มขัดนิรภัย 3 จุดลง ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกๆ ต่างนำนวัตกรรมชิ้นนี้มาใช้เพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่ และพัฒนาต่อยอดเป็นเข็มขัดนิรภัยแบบที่เราใช้กันในปัจจุบัน

5-World-First-Safety-Equipment-In-Car

1.ถุงลมนิรภัยด้านคนขับ / ผู้โดยสาร 2.ถุงลมนิรภัยบริเวณเข่า 3.ถุงลมนิรภัยด้านข้าง 4.ม่านนิรภัย

2. ถุงลมนิรภัย

การขับรถในสมัยก่อน คนขับและผู้โดยสารมักได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต เพราะมาจากการถูกพวงมาลัยกระแทกอัดหน้าอก หรือแผงคอนโซลหน้ากระแทก

Airbag หรือ ถุงลมนิรภัย เริ่มผลิตออกมามีลักษณะเป็นถุงที่เต็มไปด้วยอากาศ ผลิตขึ้นอย่างช้าที่สุดในช่วงต้นปี 1941 ต่อมาในปี 1951 วอลเตอร์ ลินเดอเรอ วิศวกรชาวเยอรมัน ได้ทำการออกแบบถุงลมนิรภัยขึ้น และยื่นขอจดสิทธิบัตรของเยอรมันหมายเลขที่ # 896312 เมื่อ 6 ตุลาคม 1951 ซึ่งออกเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 1953 ประมาณสามเดือนหลังจากที่ชาวอเมริกัน John Hetrick ได้ขอสิทธิบัตรของสหรัฐอเมริกา หมายเลขที่ # 2649311 ก่อนหน้านี้เมื่อ 18 สิงหาคม 1953 แต่ก็ยังใช้ในเชิงพาณิชย์ไม่ได้

ทางฝั่งญี่ปุ่นในปี 1964 Yasuzaburou Kobori ก็ได้เริ่มพัฒนาถุงลมนิรภัยขึ้นเช่นกัน ด้วยระบบ “Safety Net”

จนกระทั่งปี 1971 จึงได้ทดลองนำมาติดตั้งในรถ Ford ติดตั้งในกลุ่มของรถยนต์ทดลองที่เรียกว่า Experimental Fleet of Car

5-World-First-Safety-Equipment-In-Car

หลังจากนั้น GM จึงริเริ่มนำถุงลมนิรภัย มาใช้อย่างจริงจังในรถตัวเองเป็นเจ้าแรกๆ ของโลก โดยเรียกถุงลมนิรภัยว่า ACRS (Air Cushion Restraint System) และติดตั้งครั้งแรกใน 1973 Chevrolet Impala ก่อนที่จะติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานพิเศษ ในรถ Oldsmobile, Buick และ Cadillac

ในอดีต ถุงลมนิรภัยยังมีราคาแพงมาก จึงมีการติดตั้งให้เฉพาะรถยนต์ในรุ่น Top เท่านั้น ก่อนจะเงียบหายไปและเริ่มมาพัฒนากันใหม่ในช่วงปลายๆ ยุค 80 โดยรถยุโรปรุ่นแรกๆ ที่มีถุงลมนิรภัยติดตั้งให้ คือ Mercedes-Benz S-Class (W126) รุ่นปี 1981 และ Ford ที่เริ่มติดตั้งแต่มาตรฐานสามัญครั้งแรก (คือติดตั้งในรถทุกรุ่น ไม่ใช่เฉพาะรถหรูๆ อีกต่อไป) ได้แก่รถรุ่น Ford Escort (Mk5)

หลังจากนั้นก็ใช้เวลานานกว่า 20 ปีได้ กว่าที่ถุงลมนิรภัย จะกลายมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานสามัญ ที่ต้องมีในรถทุกคัน เป็นสิ่งที่อยากได้ แต่ไม่อยากใช้ รวมไปถึงการคิดค้นถุงลมนิรภัยในจุดต่างๆ เพิ่มอีกด้วย เช่น ถุงลมนิรภัยด้านข้าง (มีครั้งแรก ในรถ Volvo 850 ปี 1995) ถุงลมนิรภัยบริเวณเข่า (มีครั้งแรก ในรถ KIA Sportage ปี 1995) ม่านนิรภัย (มีครั้งแรก ในรถ BMW ซีรี่ส์ 5 และ ซีรี่ส์ 7 ปี 1997) หรือแม้กระทั่งถุงนิรภัยสำหรับคนเดินเท้า เมื่อเกิดการชนจากภายนอก (มีครั้งแรก ในรถ Volvo V40 ปี 2012)

5-World-First-Safety-Equipment-In-Car

3. ระบบเบรก ABS

นับตั้งแต่ระบบเบรกในรถยนต์ของเรา เริ่มตั้งแต่ใช้ระบบดรัมเบรกกันเป็นหลัก ต่อมาจึงเริ่มหันมาใช้ดิสก์เบรกหน้า (ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานครั้งแรกในปี 1950 ในรถ Chrysler Crown และ Town & Country) จนกระทั่งรถหลายรุ่น เริ่มใช้ระบบดิสก์เบรก 4 ล้อ ที่เพิ่มความปลอดภัยและมั่นใจในการขับขี่มากขึ้น

แต่ดิสก์เบรก 4 ล้อ เวลาเบรกในที่ลื่น บนพื้นน้ำ หรือเบรกกะทัน รถมักจะประสบกับปัญหา “ล้อล็อคตาย” ทำให้เกิดอุบัติเหตุอยู่บ่อยๆ จึงมีการวิจัยและพัฒนา “ระบบเบรก ABS” ขึ้นมา โดย Mercedes-Benz S-Class (W116) เป็นผู้ริเริ่มการใช้ระบบเบรก ABS เป็นเจ้าแรกของโลกในปี 1978 ซึ่งได้ Bosch เป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ชิ้นนี้ให้

ซึ่งภายหลัง ระบบเบรก ABS ก็กลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่รถทั่วโลกต้องมีให้ อีกทั้งยังพัฒนาต่อยอดไปเป็นระบบต่างๆ อีกด้วย เช่น ระบบ EBD (ระบบควบคุมการกระจายแรงเบรก), ระบบ ESP / ESC (ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว) และระบบ BA (ระบบเสริมแรงเบรก) เป็นต้น

Audi-Quartz

4. ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ / ไฟตาเพชร

ไฟหน้าโปคเจคเตอร์ ยอดฮิตสุดๆ สำหรับรถสมัยนี้ ที่เราเห็นกันจนชินไม่ใช่เรื่องแปลกตาอะไร

ต้นกำเนิดของมันครั้งแรกอยู่ในรถ Audi Quartz ซึ่งเป็นรถต้นแบบของ Audi ที่ออกแบบโดย Pininfarina ในปี 1981 ภายหลังจึงเริ่มใช้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานครั้งแรกในรถรุ่น BMW 7 Series (E32) เมื่อปี 1986 และในส่วนของไฟหน้ารถที่มีไฟ Projector แบบคู่เป็นครั้งแรกของโลก คงต้องยกให้กับ Nissan Silvia (S13) ที่ผลิตขึ้นโดย Ichikoh

ส่วนต้นกำเนิดของ “ไฟตาเพชร” ที่ช่วยให้แสงสว่างสะท้อนออกมาได้มากขึ้น ขับรถได้อย่างปลอดภัยขึ้น กับแผ่น Refector แบบใสทำมุมต่างๆ แบบ Palabora (ภาคตัดกรวย) ภายในโคมไฟ เริ่มใช้ครั้งแรกในรถ Austin Maestro ปี 1983 ซึ่งพัฒนาขึ้นโดย Lucas-Carello แต่ก็รูปแบบของไฟ ก็ยังเป็นแบบโคมแก้วอยู่

Honda-Accord-CB-JDM

มาจนถึงปี 1989 ทาง Honda จึงได้เริ่มใช้ชุดไฟหน้าแบบมัลติรีเฟล็กเตอร์ (หรือแบบเคลียร์เลนส์) ซึ่งพัฒนาโดย Stanley ใช้โคมแบบพลาสติก ที่ให้ความสว่างมากขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ในรถรุ่น Honda Accord หรือที่บ้านเรารู้จักกันในรุ่น “Accord ตาเพชร” นั่นเอง!

5-World-First-Safety-Equipment-In-Car

5. พนักพิงศีรษะ

พนักพิงศีรษะ เริ่มคิดค้นพัฒนาเมื่อปี 1921 โดย Benjamin Katz แต่ก็ไม่ได้ต่อยอด ต่อมาในปัจจุบัน อุปกรณ์ชิ้นนี้ ที่หลายคนอาจจะเฉยๆ เพราะว่ามันมีติดตั้งมากับเบาะนั่งอยู่แล้ว แต่รถเก่าๆ สมัยก่อน ไม่มีนะครับ!

พนักพิงศีรษะ มีใช้กันจริงๆ จังๆ ก็ในยุค 70 ที่ผ่านมานี่เอง เนื่องจากทาง National Highway Traffic Safety Administration (NHTSA) ได้บังคับให้รถทุกคันที่ขายในสหรัฐอเมริกา หลังจากวันที่ 1 มกราคม 1969 เป็นต้นไป ต้องติดตั้งพนักพิงศีรษะมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

ส่วนถ้าใครอยากขายรถ สามารถขายคันเดิมกับ CARRO Express ได้ เรายินดีรับซื้อรถของคุณ ได้เงินไว เร็ว พร้อมปิดการขายได้ทันที แค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรืออยากตีราคารถก่อน สามารถ Inbox สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ —> เพิ่มเพื่อน

แหล่งที่มาบางส่วนจาก:

Carro-Work-From-Home

นับตั้งแต่สถานการณ์การระบาดของไวรัส COVID-19 (โควิด-19) อย่างต่อเนื่องในประเทศไทยตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม 2563 จนถึงขณะนี้ ส่งผลต่อความวิตกกังวลของประชาชน เนื่องจากในสถานที่มีคนพลุกพล่าน ทางภาครัฐจังขอให้งดกิจกรรมต่างๆ รวมถึงสั่งปิดสถานบริการต่างๆ ซึ่งอาจก่อให้เกิดการแพร่เชื้อโรคทางอ้อมได้ ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของห้างร้านต่างๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ด้านบริษัท CARRO ซึ่งเป็นบริษัท Startup ดำเนินงานเกี่ยวกับรถมือสองชั้นนำจากประเทศสิงคโปร์ มิได้นิ่งนอนใจกับการระบาดของไวรัส COVID-19 (โควิด-19) จึงได้วางแผนรับมือกับการระบาดของ COVID-19 อย่างเต็มที่

อีกทั้งยังเป็นการทดสอบการทำหน้าที่ว่า หากทำงานจากนอกสถานที่ หรือทำงานจากที่บ้านแล้ว ประสิทธิภาพในการทำงาน จะต่อเนื่องหรือลดลงหรือไม่? ในสถานการณ์ที่จำเป็นเช่นนี้

Carro-Rebrand-To-2020

ด้าน นายมานิต โกการ์ ผู้อำนวยการ บริษัท คาร์โร (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “ทาง CARRO มีความห่วงใยพนักงานทุกท่าน ที่อาจได้รับผลกระทบจากการเดินทาง ผ่านสถานที่ที่มีผู้คนหนาแน่นเพื่อมาทำงาน และสุขภาพอนามัยของทุกๆ ท่าน จึงจัดให้มีการทำงานแบบ Work From Home ซึ่งทาง CARRO ยังคงพร้อมที่จะให้บริการลูกค้าอย่างเต็มที่ ต่อเนื่องทุกเวลา จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น”

Carro-Work-From-Home

นับตั้งแต่วันที่ 17-20 มีนาคม 2563 ทาง CARRO ได้ให้พนักงานทำงานแบบ “Work From Home” เพื่อความต่อเนื่องของการทำงาน การให้ความสำคัญกับสุขภาพของพนักงาน และให้ความสำคัญในการบริการลูกค้า ซึ่งก็ยังมีพนักงานปฏิบัติงานในสำนักงานปกติ และในพื้นที่อื่น หรือทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) ซึ่งมีผลดีดังนี้

  • พนักงานทำงานในสำนักงานลดลง ทำให้โอกาสแพร่เชื้อไวรัส COVID-19 ลดลงตาม
  • มีพนักงานสองทีม หากทีมหนึ่งไม่พร้อมทำงาน หรือมีผู้ป่วย ก็จะมีอีกทีมหนึ่ง ที่สามารถทำงานแทนกันได้ โดยไม่ต้องถูกกักบริเวณเพื่อเฝ้าระวังอาการ
  • เพื่อเตรียมความพร้อมในกรณีฉุกเฉิน ที่จะให้พนักงานทำงานได้ทุกสถานที่ แม้ว่าจะมีการปิดสถานที่ต่างๆ แต่ยังปฏิบัติงานได้อย่างต่อเนื่อง

ซึ่งขณะนี้ (19 มีนาคม 2563) ยังไม่พบพนักงาน CARRO ที่ติดเชื้อไวรัส COVID-19 หรือมีพนักงานที่เดินทางมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง หรือเกี่ยวข้องกับผู้ที่เดินทางในประเทศกลุ่มเสี่ยง แต่อย่างใด ซึ่งหากตรวจพบหรือมีข้างต้น พนักงานจะต้องเฝ้าระวังอาการอยู่ที่บ้านเป็นเวลา 14 วัน ถึงจะกลับมาทำงานปกติ

Carro-Pantip-Workshop-Event-2019

สำหรับเรา CARRO เรายังพร้อมให้บริการลูกค้าอย่างเต็มที่ ตลอดเวลาของการทำงานในแต่ละวัน ซึ่งท่านใดหากต้องการขายรถในช่วงนี้ CARRO ยินดีต้อนรับท่านเสมอทุกโอกาส และมั่นใจได้กับระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวของคุณลูกค้า และรถยนต์ของคุณ แม้ว่าจะปฏิบัติงานนอกสถานที่ก็ตาม

ส่วนใครที่อยากขายรถ หรือมีเพื่อนฝูงกำลังหาที่ขายรถอยู่ CARRO เรารับซื้อรถของคุณ สามารถเข้าไปเช็กราคา ตีราคาขายรถก่อนได้ โดยใส่ข้อมูลรถของคุณที่นี่เลย กับ CARRO Express > https://th.carro.co/sell-car/express หรือโทร. 02-508-8425

หรือใครจะ Inbox มาสอบถามก็ได้เช่นกัน ที่ Facebook CARRO Thailand หรือสะดวก Add Line ก็ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

และในส่วนของท่านใดที่มีรถยนต์อยู่ในมือหลายคัน ต้องการขายรถแบบ Fleet คราวละหลายๆ คัน ก็สามารถสมัครขายรถแบบ Agent กับทางเราได้เช่นกัน เพียง Download Application CARRO Wholesale ซึ่งระบบการซื้อรถกับทาง CARRO ไม่ว่าคุณจะขายรถแค่เพียงคันเดียว หรือจะขายรถหลายคันก็ได้

หากท่านใดยังไม่มี App นี้ สามารถดาวน์โหลด Application “CARRO Wholesale” จากใน iOS และ Android โดย Download ได้จาก Link นี้เลย —> icon_ios icon_android

ดูรายละเอียด และวิธีการใช้งานของ CARRO Wholesale Application เพิ่มเติมได้ที่ https://th.carro.co/blog/carro-agent-rewards/

หากมีข้อสงสัยประการใด สามารถ Inbox มาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand หรือโทร. 02-508-8425 ในเวลาทำการ (จันทร์-ศุกร์ 9.30 – 18.30 น.) หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carropartner —> เพิ่มเพื่อน

Trick-To-Get-Secondhard-Car-For-You

สำหรับใครที่มองหารถยนต์สภาพดี คุณภาพไม่มีที่ติ นอกเหนือจากรถยนต์มือหนึ่งป้ายแดงแล้ว รถยนต์มือสองก็ตอบโจทย์ได้ไม่แพ้ใครเหมือนกันนะครับ แถมยังมีราคาที่ประหยัดกว่า เรื่องของคุณภาพก็แทบจะไม่ต่างกับมือหนึ่งมากนัก

เทคนิคง่ายๆ ซื้อรถมือสองให้คุ้ม

แต่แน่นอนว่าการซื้อรถมือสองนั้นมีเงื่อนไข และการตรวจสอบ การตรวจเช็กสภาพรถก็เป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้ใครเลยด้วยนะ เพราะถ้าเราเจอคนขายที่ไว้ใจได้ก็ถือว่าโชคดีของเรา แต่หากเจอกับมิจฉาชีพ คงไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีสักเท่าไร ดังนั้น Masii เลยมีเทคนิคการเลือกซื้อรถมือสองแบบง่ายๆ มาฝากเพื่อนๆ ชาว CARRO กันครับ

Trick-To-Get-Secondhard-Car-For-You

ราคาต้องเหมาะสม

สำหรับรถมือสองนั้นต้องยอมรับก่อนว่ามีหลากหลายราคาเอามากๆ ให้เราเลือกได้อย่างอิสระ และเหตุที่ทำให้รถมือสองนั้นมีราคาที่แตกต่างกันออกไปก็เพราะยี่ห้อรถ รุ่นรถ รวมไปถึงเลขไมล์ และสภาพรถที่ใช้งานมา ดังนั้นเราก็ต้องเลือกดูยี่ห้อ รุ่น ให้เหมาะสมกับเรทราคาที่เราตั้งไว้ สภาพต้องดี

ใครๆ ก็อยากได้รถสภาพดีๆ ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นรถมือหนึ่ง หรือรถมือสอง แต่ถ้าหากเลือกมองราคาถูกไว้ก่อน กลับได้รถมือสองมาในสภาพที่ไม่โอเค ต้องคอยไปเสียค่าซ่อมตามหลัง แบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการเลือกซื้อรถมือหนึ่ง ทางที่ดีเราควรเช็กสภาพรถมือสองอย่างละเอียดให้ครบถ้วน ถ้าไม่มั่นใจก็ลองให้ผู้เชี่ยวชาญ หรือมีความรู้มาตรวจดูจะดีที่สุด

ดูรถหลายๆ คัน

ต้องมีความใจเย็นในการเลือกซื้อรถมือสอง ค่อยๆ ตัดสินใจไปทีละขั้นตอน และถ้าหากมีเวลา ให้เราลองเปรียบเทียบรถมือสองที่เราต้องการดูแต่ละที่ และเก็บข้อมูลเพื่อประกอบตัดสินใจอีกครั้ง

Trick-To-Get-Secondhard-Car-For-You

เลือกแหล่งซื้อที่น่าเชื่อถือ

ใช่ว่าเราจะซื้อรถมือสองที่ไหนก็ได้นะครับ บางที่อาจจะมาอยู่ในรูปแบบมิจฉาชีพ หลอกหลวงเรา นำเสนอโดยการให้ราคาที่พิเศษกับเรา แต่ที่แท้อาจจะเลือกรถยนต์ที่ย้อมแมวมาขายให้กับเรา ดังนั้น การเลือกซื้อผ่านบริษัทที่ได้รับความน่าเชื่อถือจะช่วยให้เราอุ่นใจได้รถมือสองที่คุณภาพดีแน่นอน ต่อให้ซื้อรถยนต์มือสองแล้ว การทำประกันรถยนต์ก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน หากเกิดอุบัติเหตุใดๆ บนท้องถนน ประกันจะช่วยดูแลคุ้มครองเราอยู่ คลิกที่นี่ เพื่อเช็กเบี้ยประกันรถยนต์ได้ทันที

มีข้อมูลสงสัยอยากสอบถาม โทรเข้ามาที่ 02 710 3100 เรามีทีมงานคอยให้คำตอบอยู่ครับ

ขอขอบคุณบทความดีๆ จาก www.masii.com

Agent-Dealer-Summer-Promotion

ในช่วงที่ประเทศไทยของเราเข้าสู่ “หน้าร้อน” กันแล้ว แต่สถานการณ์การระบาดของไวรัส Covid-19 ก็ยังคงสร้างความวิตกกังวลของคนไทยจำนวนมาก จนภาคธุรกิจหลายอย่างสะดุดไปตามๆ กัน ในตอนนี้ใครที่เป็นเซลล์ขายรถ เซลล์รถใหม่ (หรือที่ปรึกษาการขาย) ต่างต้องพยายามหารายได้เสริมกันเป็นแถว เพราะยอดขายรถใหม่ค่อนข้างชะลอตัวมาก

แต่ถ้าคุณตัดสินใจนำรถที่ลูกค้ามาเทิร์น มาขายกับทาง CARRO โอกาสที่คุณจะได้เงินจากส่วนนี้มากขึ้น นี่จัดว่าเป็นโอกาสของคุณเลยในเวลานี้ ไม่ต้องเสียเวลาเอารถไปให้หลายๆ เต็นท์ตีราคา หรือถูกกดราคาจนมากเกินไป

อีกทั้งหากคุณยิ่งขายรถกับทาง CARRO มากคันเท่าไหร่ ก็ยังได้อิ่มท้องมากขึ้นกับ “ขายรถให้เร็ว กินฟรีเยอะมาก” แจก Gift Voucher ร้านอาหารมากมาย ที่ทาง CARRO จัดเตรียมไว้ให้อีกด้วย

โปรโมชั่นนี้ สำหรับการขายรถภายในเดือนมีนาคม – พฤษภาคม 2563 นี้ แต่จะมีอะไรบ้างนั้น ไปดูกัน …

จำนวน (คัน)  คะแนน คะแนนสะสม Value/Point Theme #2 (Food) 
1 5,000 400 0.08 Swensens มูลค่า 300 บาท
2 7,500 1,850 0.25 Amazon Voucher มูลค่า 1000 บาท
3 10,000 4,400 0.44 KFC Voucher มูลค่า 3,000 บาท
4 12,500 8,000 0.64 Pizza Company มูลค่า 5,000 บาท
5 15,000 12,500 0.83 Starbucks Product Set มูลค่า 10,000 บาท 
VIP 50,000 25,000 0.50 MK Voucher มูลค่า 15,000 บาท
Term and condition : 

CarroRewards

ยิ่งมีคะแนนสะสม ยิ่งได้ของสิทธิพิเศษมากมาย

  • เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

  • ผู้แลกของรางวัลต้องเสียภาษี ณ ที่จ่าย วันที่มารับสินค้า

  • คะแนนสะสมไม่มีวันหมดอายุ

  • กรณีที่เป็นระดับ VIP  ต้องมีคะแนนสะสม 50,000 คะแนนขึ้นไป และจำกัดสิทธิเฉพาะดีลเลอร์คนแรกเท่านั้น จำกัดเพียงแค่ 1 รางวัลต่อเดือน

  • กรณีการรับ CarroRewards ผู้แลกสิทธิและของรางวัล CarroRewards จำเป็นต้องรับที่สำนักงาน CARRO ในกรุงเทพฯ และสาขาในเขตพื้นที่นั้นๆ เท่านั้น

  • กรณีต้องการเช็กคะแนน หรือ ติดต่อรับ CarroRewards กรุณาติดต่อเบอร์ 063-535-9583 หรือ 063-535-9586

  • หากต้องการติดต่อรับสิทธิพิเศษ หรือสินค้า CarroRewards ติดต่อแผนกกลยุทธ์และพัฒนาธุรกิจ เบอร์ 02-5088425

  • การรับสิทธิพิเศษหรือสินค้า สามารถรับได้เฉพาะวันที่ 30 หรือ 31 ของทุกเดือน หรือสิ้นเดือน (เฉพาะวันและเวลาทำการเท่านั้น)

  • หากมีการเปลี่ยนแปลง บริษัทฯ ไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

  • ในการแลกรางวัลในแต่ละลำดับ จะมีจำนวนจำกัด

  • รายละเอียดระดับคะแนนสะสม เพื่อแลก CarroRewards จะแลกของในระดับนั้นๆ ได้ ต้องจบการขายตามจำนวนที่กำหนด เช่น จะแลกของใน ระดับ 1 จำเป็นต้องจบรถอย่างน้อย 1 คัน หรือ ระดับ 5 ต้องจบรถอย่างน้อย 20คัน คัน สำหรับ ระดับ VIP ต้องจบรถอย่างน้อย 20 คัน

  • ระยะเวลาในการแลก Rewards ตั้งแต่เดือน มีนาคม – พฤษภาคม 2563
คะแนน

1 Upload = 100 Points

1 Click of Confirmed Meet-up = 250 Points

1 Transaction = 2,500 Points

มีวิธีไหนบ้าง ที่จะหา Application CARRO Wholesale มาใช้ได้?

Application CARRO Wholesale เป็นระบบการซื้อรถกับทาง CARRO ไม่ว่าคุณจะขายรถแค่เพียงคันเดียว หรือจะขายรถหลายคันก็ได้ หากท่านใดยังไม่มี App นี้ สามารถดาวน์โหลด Application “CARRO Wholesale” จากใน iOS และ Android โดย Download ได้จาก Link นี้เลย —> icon_ios icon_android

ดูรายละเอียด และวิธีการใช้งานของ CARRO Wholesale Application เพิ่มเติมได้ที่ https://th.carro.co/blog/carro-agent-rewards/

หากมีข้อสงสัยประการใด สามารถ Inbox มาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand หรือโทร. 02-508-8425 ในเวลาทำการ (จันทร์-ศุกร์ 9.30 – 18.30 น.) หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carropartner —> เพิ่มเพื่อน