รถมือสอง

คิดจะขายรถมือสอง นึกถึงคาร์โร
ขายง่าย รู้ผลเร็ว

ปัจจุบันการขายรถบ้าน หรือขายรถมือสองเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นมาก ๆ ถ้าเทียบกับสมัยก่อนที่ต้องออกตะเวนไปเช็กราคาเองที่เต็นท์ เผลอ ๆ ต้องไปเช็กหลาย ๆ เต็นท์เพื่อให้ได้ราคาที่ถูกใจ แต่ตอนนี้มีช่องทางการขายรถมือสองให้คุณเลือกสรรเยอะขึ้น ทำให้การฝากขายรถไม่จำเป็นต้องผ่านเต็นท์รถมือสองอย่างเดียว เป็นการเพิ่มโอกาสในการขายรถมือสองให้ได้ราคาที่ดีที่ต้องการมากขึ้นอีกด้วย

สำหรับใครที่กำลังคิดอยากจะขายรถที่ตัวเองใช้งานอยู่ หรือฝากขายผ่านช่องทางอื่น ๆ มาแล้ว แต่ยังขายรถไม่ออกเสียที ทั้งที่รถของคุณได้ผ่านการดูแลมาอย่างดี จนเกิดความกังวลใจว่ารถจะราคาตกเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่ เพราะทุก ๆ ปีรถยนต์จะมีราคาที่ตกลงเรื่อย ๆ ทำให้อยากขายรถคันนี้ออกเร็ว ๆ เหลือเกิน

ด้วยปัญหาที่เกิดขึ้นเหล่านี้ คาร์โร ได้คิดมาให้คุณแล้ว ตอบโจทย์ด้วยการให้คุณมาลงขายผ่านช่องทางช่องที่ดีที่สุดกับเรา เพราะ คาร์โร ได้เล็งเห็นความต้องการของผู้ที่คิดจะขายรถมือสอง ว่าต้องการความรวดเร็ว และไม่ยุ่งยาก

นอกจากนี้เราไม่ได้แค่เพิ่มช่องทางบริการที่ด่วนที่สุดเท่านั้น แต่เป็นการเพิ่มโอกาสให้รถของคุณ ขายออกง่าย การันตีด้วยราคาว่าคุณจะได้ราคาที่เหมาะสมและที่ดีสุด อีกทั้งรู้ผลภายใน 2 ชั่วโมง และหลังจากปิดการขาย รับเงินสดทันที

โดยขั้นตอนการขายด่วนง่ายๆ ดังนี้

  1. เพียงกรอกข้อมูล คลิกที่นี้ รถมือสอง
  2. หลังจากนั้นเราจะทำการติดต่อกลับหาคุณทันที (เฉพาะเวลาทำการ*) เพื่อสอบถามข้อมูล ราคาที่ต้องการขาย และขอรูปรถคุณเพิ่มเติมรถมือสอง
  3. ต่อมาเราจะนัดคุณเพื่อทำการเช็กรถ แต่ในกรณีที่คุณอยู่ต่างจังหวัด ทางเราจะส่งทีมงานไปดูรถของคุณถึงที่ เพราะเรายังคงคอนเซ็ปที่ว่าต้องการเปลี่ยนให้การซื้อขายรถเป็นเรื่องที่ง่ายสำหรับทุกคนรถมือสอง
  4. เซ็นสัญญา ปิดการขาย รับเงินสดทันที !!รถมือสอง

 

เป็นอย่างไรบ้าง ทั้งสะดวก ง่าย และรวดเร็วขนาดนี้ หวังว่าคุณจะลองเปลี่ยนใจมาใช้บริการขายรถมือสองผ่านช่องทาง ขายด่วน ของทาง คาร์โร นะคะ และสำหรับใครสนใจช่องทางการขายรถอื่น ๆ ของเราสามารถคลิกดูต่อได้ ที่นี้ 

5-SUV-PPV-Secondhand-Cars

ขึ้นชื่อว่า “เศรษฐกิจ” ไทย ในเวลานี้แล้ว หลายคนบอกว่าแย่ หลายคนบอกว่าดี แต่ถ้าเราฟังตามเสียงส่วนใหญ่ของคนทั้งประเทศ เขาก็บอกว่าแย่กันทั้งนั้นล่ะ

แผนการที่จะคิดเปลี่ยนรถตอนนี้ บางคนอาจงดซื้อรถใหม่ป้ายแดงไปก่อน โดยอาจจะเลือกซื้อเป็นรถยนต์มือสอง หรือรถบ้านมือสอง แทน เนื่องจากช่วยลดค่างวดที่จะต้องผ่อนรถทุกเดือน และยังได้รถคุณภาพดี ในราคาที่คุ้มค่าสบายกระเป๋าอีกด้ว

สำหรับใครหลายๆ คน ที่ตอนนี้ อาจจะมีครอบครัว หรือมีลูกอยู่แล้ว 1-2 คน แต่ชื่นชอบการท่องเที่ยว ชอบออกไปต่างจังหวัดในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ หรือในช่วงเทศกาลหยุดยาว

Chevrolet-Captiva-2007

รถมือสองที่เหมาะสมกับการใช้งาน ก็คงจะหนีไม่พ้นรถแนว “SUV” (Sport Utility Vehicle) และ “PPV” (รถกระบะดัดแปลง PPV – Pickup Passenger Vehicle ที่กรมสรรพสามิตบ้านเรา สร้างศัพท์บัญญัติขึ้นมารายเดียวในโลก เพื่อใช้เรียกจัดเก็บภาษีรถแนวนี้) ที่ให้ความอเนกประสงค์ สะดวกสบาย ปรับรูปแบบการใช้งานได้หลากหลาย และใช้งานในเมืองก็ลงตัว

หากคุณกำลังตัดสินใจซื้อรถยนต์มือสองซักคัน ถือเป็นอีกตัวเลือกที่ดี เพื่อนำเงินส่วนที่เหลือ ไปผ่อนบ้าน หรือใช้จ่ายในครอบครัว จ่ายค่าเทอมลูก เป็นต้น (แต่คนโสดจะซื้อไปใช้ ก็ได้เช่นกันนะครับ)

MR.CARRO ขอแนะนำรถ SUV และ PPV ที่นั่งได้ตั้งแต่ 5-7 คน ใช้ขนของก็ได้ ไปได้กันทั้งครอบครัว ในราคาตัวรถที่ไม่เกิน 400,000 บาท มาให้ทุกท่านได้พิจารณากันครับ

Toyota-Sport-Rider-2000

1. Toyota Sport Rider

Toyota Sport Rider (โตโยต้า สปอร์ต ไรเดอร์) ในโฉมแรกใช้ชื่อว่า “Hilux Sport Rider” ถือเป็นรถยนต์ PPV แบบ 7 ที่นั่ง ยอดนิยมอีกรุ่นหนึ่งของโตโยต้า พัฒนามาจากรถกระบะรุ่น Hilux Tiger ชื่อรุ่นมาจากภาษาอังกฤษ มีความหมายตรงตัว “Sport Rider” (ผู้ขับสปอร์ต)

Toyota Sport Rider ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงนับตั้งแต่เปิดตัวในเดือนธันวาคม 2541 (และเป็นที่นิยมของขโมยในเวลานั้นด้วย) โดย โตโยต้า เป็นผู้บุกเบิกรถแนวนี้ในเมืองไทย (โดยผลิตที่โรงงาน Thai Auto Works – TAW) ยอดขายแซงรถ SUV แท้ๆ ซะอีก จนค่ายคู่แข่งต้องทำออกมาขายบ้าง มีรูปทรงที่สวยงาม ออกแบบได้อย่างลงตัว แม้ว่าบางมุมมองจะยังคงเหมือนรถกระบะก็ตาม ภายในยกชุดมาจาก Hilux Tiger เพิ่มเบาะนั่งแถวที่ 3

มีให้เลือกกันทั้งในแบบขับเคลื่อนล้อหลัง และแบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และอัตโนมัติ 4 สปีด ECT-i (เฉพาะรุ่นเครื่องยนต์ D-4D ขับเคลื่อนล้อหลัง) …

โฉมแรก เครื่องยนต์มี 2 แบบ ได้แก่ ดีเซลขนาด 3.0 ลิตร รหัส 5L ให้แรงม้าสูงสุด 97 แรงม้า และรหัส 5L-E แบบ 4 สูบ OHC ให้แรงม้าสูงสุด 105 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 20.3 กก.-ม. (200 นิวตัน-เมตร) ที่ 2,600 รอบ/นาที

กลางปี 2543 เพิ่มเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ ขนาด 3.0 ลิตร จากเครื่องยนต์ที่กำเนิดขึ้นเพื่อใช้ใน Off Road รุ่นใหญ่ อย่าง Land Cruiser Prado จนได้รับสมญานามว่า จ้าวแห่งเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ (King of Diesel Turbo Engine) รหัส 1KZ-TE แบบ 4 สูบ OHC ให้แรงม้าสูงสุด 125 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 32.1 กก.-ม. (315 นิวตัน-เมตร) ที่ 2,000 รอบ/นาที สามารถทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ด้วยเวลาเพียง 15.3 วินาที ทำความเร็วได้สูงสุด 160 กม./ชม.

Toyota-Sport-Rider-2002

ช่วงปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ในเดือนกันยายน 2545 ปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ เทคโนโลยี D-4D มีดังนี้ …

เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ มีขนาด 2.5 ลิตร รหัส 2KD-FTV แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว D-4D ให้แรงม้าสูงสุด 102 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 26.5 กก.-ม. (260 นิวตัน-เมตร) ที่ 1,600-2,400 รอบ/นาที

เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ ขนาด 3.0 ลิตร รหัส 1KD-FTV แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว D-4D ให้แรงม้าสูงสุด 125 แรงม้า ที่ 3,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 32.1 กก.-ม. (315 นิวตัน-เมตร) ที่ 1,800-2,600 รอบ/นาที

โดย Toyota Sport Rider ในตลาดรถมือสอง (ในปี 2563) อยู่ที่ประมาณ 120,000 – 230,000 บาท

สำหรับราคาค่าตัวในเครื่อง 5L เวอร์ชั่นแรกนั้น ไม่แพงนักเมื่อเทียบกับตัวรถ เริ่มต้นประมาณ 1 แสนต้นๆ ส่วนตัวไมเนอร์เชนจ์หลังปี 2545 นั้น บล็อก D4-D อยู่ที่ประมาณ 1 แสนปลายๆ – 2 แสนกลางๆ ตามสภาพ

Isuzu-MU-7-2004

2. Isuzu MU-7

หลังจากที่ Isuzu เห็นรถค่ายคู่แข่งอย่าง … กอบโกยยอดขายรถแนว PPV ไปมากมายแล้ว จึงต้องนำ Isuzu D-Max มาพัฒนาเป็นรถยนต์อเนกประสงค์แบบ 7 ที่นั่ง จนได้ออกมาเป็น “Isuzu MU-7” (อีซูซุ มิว-เซเว่น) ในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2547 ซึ่งออกแบบผลิตและจำหน่ายในประเทศไทยเป็นที่แรกในโลก ตัวรถดัดแปลงได้ใกล้เคียงรถ SUV มาก จากการใช้ระบบส่งกำลังขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา การหดระยะฐานล้อ และปรับระบบรองรับด้านหลัง เป็นแบบคอยล์สปริง

แม้ตัวเลขยอดจำหน่ายจะตามหลังคู่แข่งอยู่พอสมควร แต่ มิว-7 ก็ยังขายได้ดี เพราะมีแบรนด์ Isuzu เป็นการันตี … สำหรับ MU-7 มีการปรับโฉมแทบทุกปี ตั้งแต่รุ่น Gold Series, Platinum Series รวมไปถึงรุ่นพิเศษอย่างรุ่น Limited, Executive, Groove หรือ Choiz เป็นต้น …

ใช้เครื่องยนต์ใหม่ “I-TEQ 3000 Ddi” ขนาด 3.0 ลิตร รหัส 4JJ1-TC แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว Super Commonrail Turbo Intercooler ให้แรงม้าสูงสุด 146 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 294 นิวตัน-เมตร ที่ 1,400-3,400 รอบ/นาที ที่ถูกคิดค้นและพัฒนาใหม่หมด

ในโฉมไมเนอร์เชนจ์ เปลี่ยนเครื่องยนต์เป็นขนาด 3.0 ลิตร รหัส 4 JJ1-TCX 3000 Ddi เทอร์โบแปรผัน VGS Turbo และอินเตอร์คูลเลอร์ใหญ่ขึ้น ให้แรงม้าสูงสุด 163 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิด 34.0 กก.-ม. (333 นิวตัน-เมตร) ที่ 1,600-3,200 รอบ/นาที

โดย MU-7 ในตลาดรถมือสอง (ในปี 2563) อยู่ที่ประมาณ 250,000 – 400,000 บาท (หลังรุ่นปี 2009 ราคาจะขึ้นไปมากกว่า 400,000 บาท)

Mitsubishi-G-Wagon-2001

3. Mitsubishi Strada G-Wagon

มิตซูบิชิ เปิดตัว Mitsubishi Strada G-Wagon (มิตซูบิชิ สตราด้า จีวากอน) เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2544 ที่ในเวอร์ชั่นตลาดโลกใช้ชื่อว่า ชาเลนเจอร์ (Challenger) ตัวนี้ใช้พื้นฐานเดียวกับรถกระบะ Strada โดยปรับหน้าตาให้เหมือนกันกับ Strada ซึ่งรุ่นนี้มีการปรับโฉมหน้าตากันอีกหลายครั้ง (ปรับโฉมครั้งที่ 2 ประมาณกลางปี 2546 และสุดท้ายในปี 2548) มีรุ่นพิเศษออกมาเยอะแยะเช่นกัน อาทิเช่น Rally Master หรือ Euro Evolution เป็นต้น

ระยะแรกใช้เครื่องยนต์ดีเซล ขนาด 2.8 ลิตร รหัส 4M40 แบบ 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว ให้แรงม้าสูงสุด 96 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 20.2 กก.-ม. (199 นิวตัน-เมตร) ที่ 2,000 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด

ช่วงปี 2545 … Strada G-Wagon แนะนำเครื่องยนต์ดีเซลใหม่ ขนาด 2.5 ลิตร รหัส 4D56 แบบ 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว VG Turbo Intercooler ให้แรงม้าสูงสุด 116 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 24.4 กก.-ม. (240 นิวตัน-เมตร) ที่ 2,000 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด

พอเวลาผ่านไป Mitsubishi ก็หันกลับมาใช้เครื่องยนต์รหัส 4M40 แต่เพิ่ม Turbo Intercooler เข้าไป สะใจขาลุย ให้แรงม้าสูงสุด 125 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 29.7 กก.-ม. (291 นิวตัน-เมตร) ที่ 2,000 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด

โดย Strada G-Wagon ในตลาดรถมือสอง (ในปี 2563) อยู่ที่ประมาณ 150,000 – 250,000 บาท

Honda-CR-V-2002-Thai

4. Honda CR-V (เจเนอเรชั่นที่ 2)

การมาของ “Honda CR-V” (ฮอนด้า ซีอาร์-วี) ที่ทำให้ตลาดรถยนต์ในกลุ่ม SUV ตื่นตัวขึ้นมากกว่าเดิมนับตั้งแต่ในรุ่นแรก โดยโฉมที่ Carro จะแนะนำในครั้งนี้ เป็น ซีอาร์-วี รุ่นที่ 2 ซึ่งเปิดตัวในบ้านเราในเดือนมกราคม 2545 มีให้เลือกทั้งแบบ 5 ที่นั่ง และ 7 ที่นั่ง โครงสร้างตัวรถออกแบบขึ้นโดยมี Civic รุ่นที่ 7 เป็นต้นแบบ และได้นำเครื่องยนต์หัวฉีด i-VTEC มาใช้อย่างเต็มรูปแบบทุกรุ่นย่อย …

ใช้เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร รหัส K20A แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว i-VTEC LEV ให้แรงม้าสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 19.4 กก.-ม. (191 นิวตัน-เมตร) ที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด

ในรุ่นปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ เปิดตัวไปในบ้านเราเมื่อธันวาคม 2547 … และได้เพิ่มเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร เป็นตัวเลือกใหม่ รหัส K24A แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว i-VTEC LEV ให้แรงม้าสูงสุด 160 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 22.4 กก.-ม. (219 นิวตัน-เมตร) ที่ 3,600 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติใหม่ (Real Time 4WD)

โดย Honda CR-V (เจนเนอเรชั่นที่ 2) ในตลาดรถมือสอง (ในปี 2563) อยู่ที่ประมาณ 130,000 – 230,000 บาท

Chevrolet-Captiva-2007

5. Chevrolet Captiva 

Chevrolet Captiva (เชฟโรเลต แคปติวา) เปิดตัวเป็นครั้งแรกในไทยเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2550 เป็นรถ SUV แบบ 7 ที่นั่ง เบาะแถว 2 และ 3 สามารถพับเก็บได้ มีให้เลือกทั้งแบบขับเคลื่อนล้อหน้า และขับเคลื่อน 4 ล้อ ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด แบบ Tiptronic (ต่อมาปรับเป็น 6 สปีด) และถือเป็นรถที่ขายนานที่สุดอีกหนึ่งรุ่นของ Chevrolet

ในรุ่นเครื่อง 2.0 ลิตร จะเป็นเครื่องยนต์แบบดีเซล แบบ 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว Turbo แบบแปรผัน ให้แรงม้าสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 32.6 กก.-ม. (320 นิวตันเมตร) ที่ 2,000 รอบ/นาที

ส่วนในรุ่น 2.4 ลิตร จะเป็นเครื่องยนต์เบนซิน แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว Flex Fuel รองรับเชื้อเพลิง E20 และ E85 ให้กำลังสูงสุด 136 แรงม้า ที่ 5,600 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 22.4 กก.-ม. (220 นิวตันเมตร) ที่ 2,200 รอบ/นาที

ภายหลังรุ่นเบนซิน 2.4 ลิตร เปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ เป็นแบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว Double CVC ให้กำลังสูงสุด 165 แรงม้า ที่ 6,400 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 23.0 กก.-ม. (225 นิวตันเมตร) ที่ 4,600 รอบ/นาที

อีกหนึ่งจุดเด่นที่มาพร้อมกับความจุห้องโดยสารที่มาก เมื่อพับเบาะแถวที่ 3 ลงจะมีปริมาตรในการขนสัมภาระอยู่ที่ 465 ลิตร แต่ถ้าพับเบาะแถวที่ 2 ลงอีก ความจุก็จะเพิ่มเป็น 930 ลิตร

โดย Chevrolet Captiva (โฉมแรก) ในตลาดรถมือสอง (ในปี 2563) อยู่ที่ประมาณ 199,000 – 400,000 บาท (หลังรุ่นปี 2014 ราคาจะขึ้นไปมากกว่า 400,000 บาท)

Ford-Everest-2003

อันนี้แถมให้ครับ … Ford Everest

Ford เปิดตัว Everest (เอเวอเรสต์) PPV 7 ที่นั่งรุ่นแรก ในเดือนมีนาคม 2546 วาระเดียวกับการฉลองครบรอบ 100 ปี ของ ฟอร์ด ซึ่งดัดแปลงมาจากพื้นฐานของกระบะอย่าง “Ranger” โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิต ที่โรงงานออโต้อัลลายแอนซ์ ฟอร์ด ซึ่งใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศมากถึงร้อยละ 80 และตั้งความหวังไว้กับรถรุ่นนี้มาก โดยผลิตเพื่อป้อนตลาดภายในประเทศ และส่งออกไปยัง 50 ประเทศทั่วโลก

เอเวอเรสต์ รุ่นแรก มีให้เลือกทั้งแบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 4 ล้อ เครื่องยนต์ยังไม่ใช่คอมมอนเรล แต่ใช้ดีเซลขนาด 2.5 ลิตร รหัส WLT แบบ 4 สูบ Turbo Intercooler ให้แรงม้าสูงสุด 121 แรงม้า ที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 27.5 กก.-ม. (270 นิวตัน-เมตร) ที่ 2,000 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ซึ่งขึ้นชื่อว่าแรงที่สุดในเวลานั้น

หลังจากนั้นได้ปรับปรุงอุปกรณ์ตกแต่งอีกเป็นระยะ โดย Ford Everest (เจนเนอเรชั่นที่ 1) มีอายุรวมในตลาดไม่ถึง 4 ปีดี

โดย Everest (รุ่นก่อนปี 2007) ในตลาดรถมือสอง (ปี 2563) อยู่ที่ประมาณ 200,000 – 270,000 บาท

MR.CARRO หวังว่ารถ SUV และ PPV มือสอง ในราคาคุ้มค่า ไม่เกิน 4 แสนบาท ที่นำมาเสนอนั้น น่าจะถูกใจหลายๆ คนกันนะครับ

ส่วนใครที่อยากขายรถ หรือมีเพื่อนฝูงกำลังหาที่ขายรถอยู่ CARRO เรารับซื้อรถของคุณ สามารถเข้าไปเช็กราคา ตีราคาขายรถก่อนได้ โดยใส่ข้อมูลรถของคุณที่นี่เลย กับ CARRO Express > https://th.carro.co/sell-car/express หรือโทร. 02-508-8425

หรือใครจะ Inbox มาสอบถามก็ได้เช่นกัน ที่ Facebook CARRO Thailand หรือสะดวก Add Line ก็ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

โอนรถอย่างไร ที่ผู้ซื้อ-ขาย และเต็นท์รถ ไม่โดนหลอก!

การซื้อขายรถแบบโอนลอย เรียกได้ว่ามีการใช้วิธีนี้มานานแล้ว เนื่องจากความสะดวกของผู้ขายรถ ที่ไม่ต้องเสียเวลาไปดำเนินการโอนทางทะเบียนให้ที่สำนักงานขนส่งฯ ด้วยตนเองพร้อมกับเจ้าของรถคนใหม่ หรือขายรถให้กับเต็นท์รถ ตัวเจ้าของรถก็มอบชุดโอน ให้เต็นท์รถไปจัดการเอาเอง

แต่รู้หรือไม่ว่า โอนลอย อาจสร้างปัญหาให้คุณมากกว่าที่คิดได้ ถึงขั้นติดคุกติดตะราง จากสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ก่อเลยทีเดียว!

บทความนี้ CARRO จะมาเปิดเผยเคล็ดลับ สำหรับผู้ซื้อ ผู้ขาย และเต็นท์รถมือสอง ที่จะช่วยให้ทุกฝ่าย ซื้อ-ขายรถไปแล้วไม่ต้องมีปัญหาตามมาในภายหลัง ไม่ต้องเสี่ยงต่อการถูกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดนหลอก หรือถูกนำเอาเอกสารไปใช้ในทางมิชอบอีกต่อไป

เนื่องจากข้อมูลเหล่านี้เป็นเกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่คนส่วนใหญ่มักจะไม่รู้ ดังนั้นถ้าหากคุณได้นำหลัก 5 ข้อนี้ไปใช้ ก็รับรองได้เลยว่า การโอนกรรมสิทธิ์ ที่เป็นขั้นตอนสำคัญของการซื้อ-ขาย รถมือสองของคุณ จะปลอดภัยอย่างแน่นอน

Carro-คนขายรถ

เคล็ดลับสำหรับผู้ขาย

  • เซ็นเอกสารต้องบอกจุดประสงค์
    ในการเซ็นเอกสารทุกอย่างสำหรับผู้ขาย หรือแม้แต่หนังสือมอบอำนาจที่ผู้ขายจะต้องเซ็นในช่องผู้รับโอน ทุกครั้งที่มีการลงลายเซ็นเกิดขึ้น รวมถึงการเซ็นสำเนาถูกต้อง แนะนำให้เขียนบอกจุดประสงค์ลงไปข้างๆ ด้วย อาทิ “การใช้เอกสารเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับรถยนต์เลขทะเบียน … เท่านั้น” หรือ “หนังสือมอบอำนาจสำหรับการดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์เท่านั้น” เป็นต้น หรือจะลงวันที่กำกับไว้ด้วยก็ได้ (แต่ต้องมั่นใจว่า คนซื้อจะไปโอนรถภายใน 15 วันหลังจากที่คุณขายรถแล้ว หากเลยวันกำหนด คนไปโอนรถโดนปรับอีก)
  • สัญญาซื้อ-ขาย ต้องห้ามหาย
    เอกสารที่สำคัญเป็นอันดับหนึ่งคือ “สัญญาซื้อ-ขายรถ” เพราะถือว่าเป็นหลักฐานการซื้อขายเพียงอย่างเดียวตามกฎหมาย ห้ามหาย เพราะเราไม่รู้ว่าคนที่ซื้อรถคุณไป จะเอารถไปทำเรื่องผิดกฎหมายแบบที่เห็นเป็นข่าวหรือเปล่า เช่น ไปขนยาเสพติด ไปขนไม้เถื่อน หรือไม่ยอมโอนรถ จนใบสั่งส่งมาให้ที่บ้านเพียบ หรือมีรถฝาแฝด รถหลุดจำนำ หรือซากรถ ถูกสวมทะเบียนมาการเก็บสัญญาซื้อ-ขาย ไว้ เป็นหลักฐานสำหรับไว้ให้ตำรวจ หรือหน่วยงานต่างๆ ตรวจสอบได้ กรณีรถของคุณขายไปแล้ว ถูกนำไปใช้ในทางมิชอบทางกฎหมายส่วนเอกสารพวกสำเนาบัตรประชาชน หนังสือมอบอำนาจ หรือทะเบียนบ้าน นั้นถือเป็นแค่เอกสารประกอบการโอนกรรมสิทธิ์เท่านั้น ( สามารถดาวน์โหลดได้ที่นี่ >> th.carro.co/download )

Carro-คนซื้อรถ

เคล็ดลับสำหรับผู้ซื้อ

  • วันหมดอายุของสำเนาบัตรประชาชนเป็นสิ่งสำคัญ
    ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ซื้อ หรือผู้ขาย เวลาที่เตรียมสำเนาบัตรประชาชน อย่าลืมดูวันหมดอายุของบัตรประชาชนให้ดี เพราะถ้าหากวันที่คุณไปดำเนินการโอนรถ เอกสารสำเนาบัตรประชาชนได้หมดอายุไปแล้ว ก็จะไม่สามารถดำเนินการโอนรถได้ต้องเสียเวลาไปตามหาเจ้าของรถคนที่เคยขายให้คุณ บางทีรถเปลี่ยนมาหลายมือ หาเจ้าของเก่าไม่เจอ ยุ่งยากวุ่นวาย รถโอนไม่ได้อีก หรือถ้าหากผู้ขาย จงใจให้สำเนาบัตรประชาชนที่หมดอายุมา แสดงว่าอาจจะเป็นเอกสารปลอมก็เป็นได้
  • แต่งรถได้แต่ห้ามผิดหลัก พรบ.
    ก่อนที่จะไปทำการโอนกรรมสิทธิ์ คุณต้องแน่ใจให้ดีว่า รถคันนั้นเคยผ่านการดัดแปลงมาก่อนหรือไม่ และถ้าหากมีการดัดแปลง เจ้าของรถได้นำไปแจ้งต่อนายทะเบียนหรือเปล่า เพราะการแต่งรถบางประเภท อาจจะผิด พรบ. ก็ได้ ซึ่งมันอาจจะทำให้คุณเสียเวลาในการเตรียมเอกสารเพิ่ม ( อ่านต่อ เรื่องแต่งรถที่ไม่ผิด พรบ. )

Carro-เต็นท์รถ

เคล็ดลับสำหรับเต็นท์รถ

  • ห้ามระบุวันที่ถ้าหากยังไม่รู้จะไปโอนเมื่อไหร่
    การระบุวันที่ไว้ในแบบคำขอร้องขอโอนและรับโอน นั้นสำคัญมาก เพราะถ้าหากคุณได้ระบุวันที่ไปแล้ว และไม่ไปทำการโอนภายใน 15 วัน ก็จะถูกปรับ และเอกสารใบนั้นจะเป็นโฆฆะ ดังนั้นถ้าหากคุณยังไม่แน่ใจว่าจะไปทำการโอนวันไหน หรือแม้แต่กระทั่งการโอนลอย ก็ห้ามระบุวันที่ลงไป ถ้ายังไม่แน่ใจ
  • ลายเซ็นต้องครบ
    ลายเซ็นที่อยู่บนเอกสารทุกอย่าง รวมไปถึงการเซ็นสำเนาถูกต้อง ต้องครบ และทุกลายเซ็นจะต้องเป็นชื่อเดียวกัน และลายเซ็นเดียวกับชื่อผู้มีกรรมสิทธิ์รถคนสุดท้าย ในหนังสือคู่มือจดทะเบียนรถ

TIPS: อย่าลืมตรวจว่าชื่อผู้ขาย ตรงกับชื่อผู้มีกรรมสิทธิ์รถคนสุดท้ายในหนังสือจดทะเบียนรถหรือเปล่า เพราะผู้ทีมีสิทธิ์ในการโอนกรรมสิทธิ์ นั้นต้องเป็นรายชื่อผู้มีกรรมสิทธิ์รถคนสุดท้ายเท่านั้น

เมื่อคุณอ่านบทความนี้จบแล้ว และอยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติมของการเตรียมเอกสาร หรือข้อมูลอื่นๆ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ >> การโอนรถ โอนตรง โอนลอย คืออะไร? มีขั้นตอนอะไรบ้าง และ 3 ขั้นตอนการโอนรถ (เอกสาร ค่าธรรมเนียม สถานที่โอนรถ) ที่ผู้ซื้อ-ผู้ขายรถต้องรู้!

Carro-Express

ถ้าใครอยากขายรถตอนนี้ หรือกำลังตัดสินใจจะซื้อรถป้ายแดงอยู่พอดี แต่งบไม่พอ!  มาขายรถกับ CARRO Express สิ! หรือจะ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

และอีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน อยากซื้อรถคุณภาพเยี่ยม มาซื้อกับ CARRO Automall สิ!

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่หาไม่ได้ สามารถสั่งตามออเดอร์ได้ที่นี้ > https://th.carro.co/buy-car หรือโทร. 02-508-8690 อีกทั้งยัง Inbox เข้ามาสอบถามก็ได้เช่นกันได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง หรือทาง Line เชิญเลยครับที่ @carroautomall

Pejero
ถือเป็นเรื่องน่าปวดหัวอีกเรื่องหนึ่งสำหรับผู้ที่ซื้อ – ขายรถมือสองเลยทีเดียว เพราะดูเหมือนยังมีคนอีกจำนวนมากที่เข้าใจว่า Mitsubishi Pajero กับ Mitsubishi Pajero Sport นั้นเป็นรถโมเดลเดียวกัน!

อันที่จริง หากไม่นับเรื่องชื่อที่คล้ายกัน และมาจากค่ายเดียวกันแล้ว รถ 2 รุ่นนี้ก็แทบจะไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันเลย!!!

ก่อนอื่น เรามาดูหน้าตาของ Pajero และ Pajero Sport กันก่อน


(Pajero VS Pajero Sport)

จุดเริ่มต้นแห่งความงง

สาเหตุแห่งความเข้าใจผิดนี้เริ่มขึ้นในปี 2551 ปีนั้น Mitsubishi ประเทศไทยได้ประกาศว่าจะเลิกวางจำหน่ายรถยนต์รุ่น Pajero และในปีเดียวกัน ก็ได้มีการเปิดตัวรถโฉมใหม่ที่มีชื่อว่า “Mitsubishi Pajero Sport” จนหลายคนหลงเข้าใจผิดว่า “อ๋อ! ที่แท้ Pajero Sport จะมาแทน Pajero นี่เอง”

แต่มันเป็นความเข้าใจที่ “ผิด” อย่างมหันต์ เพราะถ้าหากยังจำกันได้ กาลครั้งหนึ่ง มิตซูฯ ได้เคยขายรถที่ชื่อว่า Strada G-Wagon (หรือที่รู้จักในชื่อว่า Mitsubishi Challenger) มาก่อน นั่นแหละคือบรรพบุรุษที่แท้จริงของ Pajero Sport! คือเป็นรถ Generation แรกของปาเจโร่ สปอร์ต ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนชื่อจาก Strada G-Wagon (อ่านว่า สตราด้า จี-แวกอน) มาเป็น Pajero Sport นั่นเอง

แล้วเปลี่ยนชื่อทำไม? คำตอบคือในปี พ.ศ. 2549 Mitsubishi ได้ประกาศว่าจะเลิกผลิตรถกระบะรุ่นดังของค่ายอย่าง “Mitsubishi Strada” ซึ่งในขณะนั้นมีอายุผลิตภัณฑ์ราวๆ 10 ปีแล้ว และแทนที่ด้วย “Mitsubishi Triton” กระบะรุ่นใหม่ซึ่งมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่า

รถ Generation แรกอย่าง Strada G – Wagon ซึ่งวางขายมาแต่เดิมนั้นมีพืื้นฐานมากจากกระบะมิตซูฯ สตราด้า แต่รถ Generation ใหม่ที่ออกมามีพื้นฐานมากกระบะมิตซูฯ ไทรทัน ทางผู้ผลิตจึงถือโอกาสนี้เปลี่ยนชื่อโมเดลเสียใหม่เป็น “Pajero Sport” ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้ทำการตลาดในแถบยุโรปมาตลอด


(Strada G Wagon หรือ Pajero Sport Gen แรก)

SUV หรือ PPV?
ถ้าคุณเข้าใจมาตลอดว่า Pajero เป็นรถ SUV (Sport Utility Vehicle) ส่วน Pajero Sport เป็นรถ PPV  (Pick Up Based Passenger Vehicle) ความเข้าใจของคุณก็ถือว่าถูกแล้วตามความนิยมในประเทศไทย

ปัญหาคลาสสิกอย่างหนึ่งของค่ายรถยนต์ในบ้านเราก็คือการแบ่งประเภทของรถยนต์แบบไม่ค่อยอ้างอิงระบบสากลนี่เอง

ขอให้เข้าใจตรงกันก่อนว่า ตามหลักสากลนั้น รถประเภท SUV จะผลิตขึ้นมาโดยการทำ Chassis ขึ้นมาใหม่โดยเฉพาะ หรือจะไปเอา Chassis ของรถกระบะมาใช้ก็ได้ เหตุที่เลือกเอา Chassis ของรถกระบะมาใช้ก็ เพราะเป็นรถที่ทนทาน จะเอาไปขับออฟโร้ดก็ดี จะขับขี่ในเมืองก็ไม่เป็นปัญหา อีกทั้งทางผู้ผลิตเองก็มีชิ้นส่วนอยู่แล้วครบครัน

แต่ก็จะมีรถ SUV บางประเภทที่เอา Chassis มาจากรถเก๋ง รถแบบนี้จะเรียกว่า Crossover SUV คือเป็น SUV ที่ทำมาเพื่อเอาใจคนเมือง เหมาะกับไลฟ์สไตล์ในเมือง สามารถขับขี่ได้อย่างนุ่มนวลกว่า SUV พื้นฐานกระบะ แต่ไม่ใช่รถที่จะใช้อย่างสมบุกสมบันได้มากนัก

ในประเทศไทย จะเรียกรถ SUV แท้ๆ ตามหลักสากลว่า PPV (PPV เป็นคำที่มีใช้ในประเทศไทยเท่านั้น ประเทศอื่นๆ ไม่ได้ใช้) แต่จะเรียก Crossover SUV ว่า SUV เฉยๆ

ฉะนั้น Pajero กับ Pajero Sport ตามหลักสากลแล้วถือเป็น SUV ทั้งคู่ กล่าวคือ Pajero เป็น SUV ที่มีการทำ Chassis ขึ้นมาใหม่โดยเฉพาะ (จะเห็นได้ว่า Gen แรกๆ หน้าตาคล้าย Jeep มาก) ส่วน Pajero Sport ใช้ Chassis ของ Strada (เฉพาะ Gen แรก) และ Triton (Gen ที่ 2 เป็นต้นมา)

ปัจจุบันทั้ง 2 โมเดลนี้ไปถึงไหนแล้ว?
 รถ Mitsubishi Pajero เลิกผลิตและวางจำหน่ายในประเทศไทยไปแล้ว โดย Generation สุดท้ายที่วางจำหน่ายในไทยคือ Generation ที่ 4 และวางจำหน่ายจนถึงปี 2552 อย่างไรก็ตาม รถปาเจโร่ทุกๆ โฉมที่เคยขายในไทยยังหาได้ในตลาดมือสอง หากคุณชมชอบความเท่สไตล์ปาเจโร่ก็หามาครอบครองได้


(ปาเจโร่รุ่นล่าสุดที่วางขายในประเทศญี่ปุ่น)

 รถ Mitsubishi Pajero Sport ที่วางขายอยู่ปัจจุบันคือ Generation ที่ 3 ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมากจากคนไทยซึ่งนิยม PPV Pajero Sport ถือเป็นคู่แข่งตัวฉกาจของ Fortuner จากค่าย Toyota  Everest จากค่าย Ford รวมถึง Trailblazer จาก Chevrolet


(ปาเจโร่ สปอร์ตเจ็นใหม่)

สำหรับใครที่ชมชอบรถมือสอง อยากจับจองปาเจโร่ หรือปาเจโร่สปอร์ตไปขับเล่นสักคัน Trusteecar (ทรัสตี้คาร์) มีรถครบทุกโฉม หลายระดับราคา รอให้คุณเลือกอย่างจุใจอยู่แล้ว! ถ้าสนใจรถคันไหนอยู่ แต่อยากมั่นใจเรื่องสภาพรถก่อน คุณก็สามารถให้ทรัสตี้คาร์ไปตรวจสภาพให้ได้ด้วย! จะรออะไรอีก กดเข้าไปที่ลิงก์ต่อไปนี้ได้เลย!
Pajero Sport: mitsubishi-pajero-sport
Pajero: mitsubishi-pajero 

หากต้องการสอบถามเพิ่มเติม หรือมีข้อข้องใจในการใช้บริการใดๆ จาก Carro มาสอบถามได้ที่ เพจ Facebook: Carrothailand หรือมาเป็นเพื่อนกันที่ Line: Carrothailand ได้เลย

Rover-LandRover-RangeRover

สิ่งที่เรากำลังจะคุยกันต่อไปนี้ น่าจะเป็นคำถามที่คนขายรถ เต็นท์รถมือสอง ไปจนถึงเซลส์ขายรถจำนวนมาก ต้องเคยถูกลูกค้าถามมาก่อน ว่า Rover (โรเวอร์), Land Rover (แลนด์ โรเวอร์) และ Range Rover (เรนจ์ โรเวอร์) (อาจรวมแบรนด์ Roewe ด้วย) เป็นรถยี่ห้อเดียวกันหรือเปล่า?

MR.CARRO แน่ใจว่า มีคนไทยจำนวนไม่น้อยเลยที่ยังสับสนในเรื่องนี้ เพราะในตลาดรถยนต์บ้านเรานิยมรถญี่ปุ่นกันส่วนใหญ่ ถ้าหากถามเรื่องรถ Toyota, Honda รับรองว่าเข้าใจตรงกัน ไม่มีสับสนอย่างแน่นอน

เอาล่ะ MR.CARRO จะมาเคลียร์กันให้ชัดๆ ไปเลยครับว่า Rover, Land Rover และ Range Rover สรุปว่ามันยี่ห้อเดียวกันมั้ย?

Rover-Mini-Cooper-S-Final-Edition-UK-Spec

Rover Mini รถยอดฮิตในยุค 90 ของ Rover Group ในบ้านเรา

รถ Rover กับ Land Rover (และ Range Rover) ในปัจจุบัน ถือเป็นรถคนละยี่ห้อกัน แต่ยังคงมีความเกี่ยวข้องกันในอดีต ดังนี้

– Land Rover เป็นชื่อยี่ห้อหรือแบรนด์ (Make) ซึ่งถือกำเนิดขึ้นในปี 1948
– ส่วน Range Rover เป็นชื่อรุ่น (Model) และถือกำเนิดขึ้นในปี 1970
– แต่ Rover เป็นบริษัทผู้ผลิตในอดีต! (หรือเป็นที่รู้จักในนาม Rover Company และ Rover Group) อดีตเป็นบริษัทในเครือของ BMW ปัจจุบันเป็นแบรนด์ในเครือของ TATA Motors ซึ่ง Rover ยังไม่มีผลิตรถขายในตอนนี้ …
– อีกฟากหนึ่งของโลก SAIC Motor ของจีน ได้ตัดสินใจซื้อแบรนด์ MG (MG เคยเป็นแบรนด์รถที่เคยอยู่ในเครือของ Rover Group) ในปี 2548 ช่วงที่อุตสาหกรรมยานยนต์ในอังกฤษล่มสลาย จากทาง BMW (ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์รถทั้งหมดของ Rover Group ในเวลานั้น) และเคยร่วมทุนประกอบรถยนต์ Rover ในเซี่ยงไฮ้ พอเมื่อรถยนต์ Rover เลิกกิจการ ทาง SAIC ก็ยังประกอบรถขายต่อ แต่ไม่ได้ซื้อแบรนด์ Rover ต่อจาก BMW จึงต้องเปลี่ยนชื่อมาเป็น “Roewe” (โรวี่) แทน

สรุปคือ

– Land Rover กับ Rover ในอดีตนั้น เป็นคนละยี่ห้อกัน! แต่ผลิตจากบริษัทเดียวกัน
– และ Jaguar Land Rover Corporate เป็นบริษัทที่เกิดจากรวมกันของ Jaguar และ Land Rover ภายใต้การบริหารของบริษัทแม่ในปัจจุบัน ซึ่งก็คือ TATA Motors

Rover-600

Rover 623 GSi อีกรุ่นยอดฮิต ของ Rover บ้านเราในอดีต

ถ้าคุณยังสับสนอยู่ Carro มี Timeline ให้คุณดู! วงจรชีวิตอันแสนสับสนวุ่นวายของ Land Rover มีดังนี้

จะเห็นได้เลยว่า Land Rover นั้นถูกส่งต่อไปหลายบริษัทมาก และสามารถสังเกตได้ในช่วงตั้งแต่ปี 1994 – 2008 จะพบว่า Land Rover และ Range Rover เคยอยู่กับ BMW ตั้งแต่ปี 1994 ต่อมาในปี 2000 BMW ได้ขายให้กับกลุ่ม Ford Premier Automotive Group (PAG) ไป

ส่วน Jaguar นั้นมาเอี่ยวด้วยในตอนท้าย เพราะ Ford ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Jaguar และ Land Rover ตัดสินใจขายบริษัทลูกทั้งสองให้กับ TATA Motors ในปี 2008 แล้ว TATA Motors ซึ่งเป็นบริษัทแม่ ก็จับเอา Jaguar กับ Land Rover มายัดเข้าในบริษัทลูกที่มีชื่อว่า Jaguar Land Rover Corporate

Land-Rover-Defender-110

Land Rover Defender รถรุ่นสร้างชื่อเสียงของ Land Rover ในบ้านเราตั้งแต่อดีต

หากจะพูดถึงประวัติของรถ Rover, Land Rover และ Range Rover ในไทย ก็ขอย้อนไปสักประมาณยุค 90 ในยุคนั้น กำแพงภาษีรถยนต์ถูกลดลงมา ทำให้บรรดาบริษัทรถนำเข้าได้นำเข้ามาขายในไทยกันเพียบ ซึ่งรวมถึงรถยี่ห้อ Rover, Land Rover, Range Rover และ MG ซึ่งอยู่ในเครือ Rover Group ถูกนำเข้ามาขายโดย บริษัท ไทยอัลติเมทคาร์ จํากัด (เป็นบริษัทลูกของทาง ไทยรุ่งยูเนี่ยนคาร์ ของตระกูลเผอิญโชค ปัจจุบันขายแค่รถยนต์ของ Thairung อย่างเดียว)

จากความผันผวนทางด้านเศรษฐกิจเข้ามาเยือนไทยเมื่อปลายปี 2539 ทำให้ ไทยอัลติเมทคาร์ ได้รับผลกระทบจากยอดขายที่หดตัวลงอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ต้นปี 2540 เป็นต้นมา ถึงแม้ว่าจะสามารถรักษาระดับยอดขายเอาไว้ได้ก็ตาม

ต่อมาบริษัทก็เกิดวิกฤต จนต้องขายรถเหลือเพียงแค่แบรนด์ Land Rover และ Range Rover เท่านั้น ก่อนที่ ไทยอัลติเมทคาร์ จะเลิกขายรถที่นำเข้าจากอังกฤษไปประมาณปลายปี 2552

Range-Rover

Range Rover รถ SUV สุดหรู ยอดนิยมของผู้บริหารในบ้านเรามาตั้งแต่ยุค 90

บริษัท กัววา อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ถือสิทธิ์แบรนด์แลนด์โรเวอร์ และเรนจ์โรเวอร์ ในยุโรปและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ ASEAN ครอบคลุม 27 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วย จึงแต่งตั้งผู้แทนจำหน่ายรายใหม่ 2-3 เจ้า (ซึ่งอยู่ได้ไม่นาน ก็ปิดไปเพราะปัญหาทางการเงิน) ก่อนจะมาได้ บริษัท อินช์เคป (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ Jaguar และ Land Rover ในปัจจุบัน

คงต้องพูดกันตรงๆ ว่า Land Rover ก็ไม่ใช่ค่ายรถที่มียอดขายรถในไทยสูงสักเท่าไหร่ ไม่เชื่อลองถามหา Land Rover รุ่นยอดนิยมสิ คนที่จะตอบคุณได้นั้น หากไม่ใช่คนที่ติดตามข่าวในแวดวงยานยนต์อย่างสม่ำเสมอ ก็น่าจะเป็นคนที่เล่นรถประเภทนี้จริงๆ หรือชื่นชอบรถยุโรปเป็นทุนเดิม ซึ่งก็ไม่ใช่กลุ่มที่ใหญ่มากในประเทศไทย

เหตุปัจจัยที่น่าจะเป็นตัวการให้ Land Rover ไม่บูมในประเทศไทยเท่าที่ควร ก็คงจะเป็นราคาจำหน่ายที่สูงมาก ค่านิยม กับรถรุ่นที่ตัวแทนจำหน่ายเลือกเข้ามาขาย รวมถึงจำนวนศูนย์บริการที่มีไม่มาก นี่ไม่ใช่ปัญหาของ Land Rover เพียงค่ายเดียว แต่ยังรวมถึงค่ายรถยุโรปหลายๆ เจ้าอีกด้วย

Range-Rover-Sport-Plug-in-Hybrid-2018

Range Rover ในปัจจุบัน ในราคาบ้านเราที่สูงลิบลิ่ว

จบไปแล้วกับสาระความรู้ว่าด้วยเรื่องของ Land Rover หากคุณไม่อยากพลาดเรื่องราวข่าวสารใหม่ๆ และสนใจรับโปรเด็ดๆ ก่อนใคร กดติดตาม Fanpage CARRO Thailand แล้วเราจะได้ใกล้ชิดกันมากกว่าเดิม!

ส่วนถ้าใครอยากขายรถ สามารถขายรถคันเดิมกับ CARRO Express ได้ เรายินดีรับซื้อรถของคุณ ได้เงินไว เร็ว พร้อมปิดการขายได้ทันที แค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรืออยากตีราคารถก่อน สามารถ Inbox สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ —> เพิ่มเพื่อน

แหล่งข้อมูลบางส่วนจาก:

Smart-Reasons-For-Buy-Used-Car

ซื้อรถมือสองดีไหม?? คำถามนี้อาจยังติดใจของคนที่กำลังจะตัดสินใจซื้อรถหลายท่าน ด้วยเหตุผลนานับประการ

Used-Car

แต่ความเป็นจริงแล้ว!! รถมือสองมีดีกว่าที่คุณคิดมาก เมื่อยังไม่แน่ใจ CARRO จะช่วยให้คุณได้เห็นมุมมองใหม่ ของการที่จะซื้อรถมือสอง มันไม่ยากเลยที่จะมีรถมือสองดีๆ สักคันมาใช้งาน และถ้าคำตอบของคุณยังไม่แน่ใจว่าจะเลือกรถมือสองหรือไม่…

ลองมาดูเหตุผลง่ายๆ ที่จะทำให้คุณมองรถมือสองเปลี่ยนไป …

Used-Car

1. ได้รถในราคาที่ถูกกว่า!!

งบประมาณเป็นปัจจัยหลักของการเลือกซื้อรถ จะดีไหม? หากมีรถขับในรุ่นเดียวกับคนอื่น แต่ซื้อมาในราคาที่ถูกกว่ารถมือสองจะช่วยประหยัดเงินของคุณ และได้รถรุ่นที่ยังไม่ตกรุ่น ในตลาดรถยนต์มือสองจะเห็นว่ามีรถป้ายแดง ที่ถูกนำมาขายเป็นมือสองเยอะพอสมควร

ถ้าคุณเลือกซื้อรถมือสอง แทนที่จะเป็นป้ายแดง รถมือสองที่ปีเก่ากว่าปีปัจจุบัน และยังไม่ตกรุ่น จะช่วยคุณประหยัดเงินไปตั้งแต่ หลักหมื่นไปจนถึงแสนบาท

:: รถมือสองสภาพเหมือนรถป้ายแดงมีเยอะ ลองเลือกรถในรุ่นปีที่เก่าลงมาจากปัจจุบันสัก 2-3 ปี จะทำให้คุณประหยัดได้เป็นแสน

รถมือสองที่น่าสนใจดูเพิ่มเติม

Used-Car

2. รถมือสองสภาพดีๆ มีเยอะ

สิ่งที่ผู้ซื้อโดยทั่วไปคิดกันก็คือ “รถมือสองต้องไม่ดี เคยชนหนักจนต้องขาย” แต่ในความเป็นจริงแล้วรถมือสองไม่เป็นแบบนั้นทั้งหมด รถมือสองที่สภาพดีมีขายอยู่เยอะ ไม่จริงเสมอไปที่รถมือสองทุกคันจะต้องเคยชนหนัก อาจจะเพียงแค่เฉี่ยวเล็กน้อยไม่ส่งผลต่อโครงสร้างรถยนต์ ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้กับรถใช้งานทั่วไป

สาเหตุที่รถยนต์แต่ละคันจะถูกนำมาขายเป็นรถมือสองมีได้หลายเหตุผล ไม่ว่าจะเป็น เจ้าของจำเป็นต้องขายทั้งที่ยังอยากเก็บไว้ใช้อยู่ หรือจะเป็นรถที่ถูกยึดมาเพราะผ่อนไม่ไหว เป็นต้น

:: อย่าไปกลัวที่จะซื้อรถมือสอง ผู้ช่วยมีเยอะ ซื้อรถมือสองไม่ยากอย่างที่คิด 

Used-Car

3. ออกรถง่ายๆ ไม่ต้องรอ

รถป้ายแดงสมัยนี้ รอรถตั้งแต่ 3 เดือนยาวไปถึงครึ่งปี ยิ่งจองรถที รับรถปีหน้า ในรุ่นรถยอดนิยมขาดตลาด และก็มีข่าวอยู่บ่อยๆ ว่ารถป้ายแดงออกมาและเกิดปัญหาต่างๆ ไม่ได้มาตรฐาน

แล้วสำหรับผู้ซื้อที่ต้องการใช้รถจริงๆ ละจะทำอย่างไร ??

สำหรับคนที่จะซื้อรถแล้ว เรื่องหนึ่งที่เป็นข้อดีของรถมือสอง คือทางผู้ขายมีโปรโมชั่นต่างๆ ในการช่วยให้ผู้ซื้อสามารถเป็นเจ้าของรถได้ง่าย อำนวยความสะดวกเต็มที่

ถ้าซื้อเงินสด ก็สามารถรับรถไปได้เลยในทันที แต่ถ้างบประมาณของรถที่จะซื้อไม่พอต้องมี การขอไฟแนนซ์  ไม่ว่าจะเป็นทั้งในเรื่องฟรีดาวน์ ดาวน์น้อย หรือการขอไฟแนนซ์ที่พยายามให้ผ่านแม้ผู้ซื้อจะติดแบล็คลิสต์

:: ถ้าต้องการใช้รถ ไม่อยากรอ รถมือสองคือทางเลือกที่ดีที่สุด อีกอย่างที่สำคัญถ้าซื้อเงินสดได้จะช่วยประหยัดเงินของคุณไปได้อีกเยอะ

Used-Car

4. ได้รถในฝันในราคาที่เอื้อมถึง

เคยคิดไหม? ว่าฝันอยากได้รถบางคันแต่ราคาป้ายแดง แพงจนเกินเอื้อมจริงๆ เช่น Mercedes-BenzBMW ทั้งด้วยความเป็น Brand นำเข้าจากต่างประเทศ และเต็มไปด้วย Option ราคาป้ายแดงในปัจจุบันเริ่มต้นก็ไม่ต่ำกว่า 2 ล้านบาทแล้ว

แต่เมื่อเวลาผ่านไป รถป้ายแดงกลายเป็นมือสอง ราคารถที่เคยฝันไว้ราคาก็ลดลงพอให้ผู้ฝันในรถรุ่นนั้นๆ เอื้อมถึง เป็นรถมือสองน่าใช้ และสภาพดี แม้จะเป็นรถเก่าแต่ในรถ (บางรุ่น) เทคโนโลยีที่ให้มากับรถยังทันสมัยกว่ารถป้ายแดงในปัจจุบัน (บางรุ่น) เสียอีก

ปัจจุบันในตลาดรถยนต์มือสอง บางรุ่น Mercedes-Benz, BMW ราคาถูกกว่ารถป้ายแดง ที่จะทยอยขึ้นราคามากขึ้นทุกวัน แบบนี้การซื้อรถมือสองจึงเป็นทางเลือกที่ดีอีกทางหนึ่ง ที่ผู้ซื้อจะได้รถที่เคยฝันไว้

Used-Car

:: ในแต่ละคนความชอบ ความใฝ่ฝัน ไม่เหมือนกัน ตอนออกใหม่รถคันนั้นอาจจะแพงไป และข้อดีของรถมือสองก็อยู่ตรงนี้ คือทำให้ความฝันยังสามารถเป็นจริงได้อยู่ในราคาที่ถูกกว่าทั้งหมดเป็นแค่เหตุผลเบื้องต้น ที่จะบอกให้ผู้ซื้อรู้จักกับมุมมองใหม่ๆ ของการซื้อรถ รถมือสองไม่น่ากลัวอย่างที่ใครๆ คิดมีผู้ช่วยในด้านต่างๆ ของการเลือกรถที่คุณต้องการ ไม่แน่บางที การซื้อรถมือสอง อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะกับคุณที่สุดก็เป็นได้

สำหรับใครที่อ่านจบแล้ว รู้สึกอยากขายรถคันเดิมแบบด่วนๆ เพื่อนำเงินไปซื้อรถมือสองในฝันคันใหม่ ปรึกษา CARRO หรือขายรถกับ CARRO ได้ครับ โดยได้ราคาที่คุณพอใจ พร้อมปิดการขายภายใน 24 ชั่วโมง เชิญเข้าไปกรอกรายละเอียดได้ที่ https://th.carro.co/sell-car/express หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มได้ใน Fanpage “CARRO Thailand” ครับผม

mazda-3

Review Mazda3 ใหม่ สปอร์ตกว่าพี่..สวยกว่าพี่..น้องว่าไม่มีแล้วค่ะ !!

กดปุ่มสตาร์ทเครื่อง มาสด้า 3 ใหม่ ที่หลังแป้นพวงมาลัยเบาๆ เสียงคำรามของเครื่องยนต์สกายแอคทีฟ ก้องเข้ามาในห้องโดยสารให้รู้สึกได้ถึงพละกำลัง

และยิ่งเมื่อกดคันเร่งลงไปก็ยิ่งทำให้เห็นว่าเส้นทางแห่งความสนุกเร้าใจได้เริ่มขึ้นแล้ว ด้วยกำลังที่เรียกมาตั้งแต่ตีนต้น แบบชนิดหลังกระแทกเบาะ เมื่อเผลอกดคันเร่งแรงไปหน่อยเดียว

เส้นทางช่วงแรกยังอยู่ในชุมชน ทำให้ได้เห็นถึงความคล่องแคล่ว จากการหลบหลีกรถราเพื่อนร่วมถนนที่ทำได้อย่างสบายมือ และยิ่งเมื่อพ้นตัวเมือง ที่ทั้งทำความเร็วได้มากขึ้น รวมถึงเส้นทางคดโค้ง ช่วยให้ซึมซับถึงเทคโนโลยีสกายแอคทีฟที่มาสด้าภูมิใจนำเสนอมาตลอด ว่าเป็นอีกขั้นของอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่พัฒนาขึ้นจากเครื่องยนต์สันดาปแบบเดิมให้มีสมรรถนะสูงขึ้น ประหยัดน้ำมัน และมลพิษลดลง

และมาสด้า 3 แฮทช์แบ็ค 5 ประตู ใหม่นี้ พัฒนาให้เป็นสกายแอคทีฟแบบเต็มรูปแบบ ไม่ใช่แค่เครื่องยนต์เพราะช่วงล่าง พวงมาลัย ตัวถัง ระบบส่งกำลัง เบรก ให้มีความหนึบแน่น และสนุกสนานอยู่ในคันเดียว ภายนอกให้ความรู้สึกราวกับสปอร์ตหรูจากยุโรป กระจังหน้าเอกลักษณ์เฉพาะ ทรงห้าเหลี่ยม ลากยาวถึงไฟหน้า ไบ-ซีนอน พร้อมไฟสว่างกลางวัน หรือ แอลอีดี เดย์ไทม์ เส้นสายด้านข้างพริ้วไหวต่อเนื่องไปจนถึงด้านท้าย เฉียบคม ให้ความรู้สึกถึงพลัง ไฟท้ายดีไซน์สอดรับกับไฟหน้า

ภายในมาสด้าได้ออกแบบใหม่ จนทำให้ห้องโดยสารกว้างขึ้น โดยเฉพาะเบาะนั่งด้านหลัง ที่หลายคนเคยเปรยเบาๆ ว่าทั้งเจนเนอเรชั่น 1-2 ค่อนข้างแคบ  ดีไซน์ทุกอย่างเน้นอารมณ์สปอร์ต พวงมาลัยสามก้าน ตกแต่งด้วยวัสดุมันวาว พร้อมระบบมัลติฟังก์ชั่น แต่ที่ทำให้มาสด้า 3 ใหม่ ต่างจากรถญี่ปุ่นทั่วไป คือ แผงควบคุมอุปกรณ์ที่อยู่ตรงคอนโซลกลาง ที่นอกจากใช้ควบคุมทุกอย่างแล้ว ยังใช้ในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ ให้เป็นหนึ่งเดียวกับตัวรถ ทำให้เบียดใกล้กับรถยุโรปชั้นดีได้อย่างกระชั้นชิด โดยมีจอแสดงผลดีไซน์โดนๆ อยู่กลางคอนโซลหน้า

และอีกสิ่งที่บ่งชี้ถึงความล้ำสมัย จอกระจกขนาดเล็กแสดงความเร็วแบบดิจิตอล อยู่เหนือมาตรวัดต่างๆ ไสตล์สปอร์ต เลื่อนตัวขึ้นมาเมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ และเลื่อนเก็บเมื่อดับเครื่องยนต์ หลังจากทดสอบไประยะหนึ่ง รับรู้ถึงอารมณ์การขับขี่ ที่ล้อกันไปกับ โคโดะ ดีไซน์ หรือจิตวิญญาณแห่งการเคลื่อนไหว เพราะไม่ว่าจะโค้งไหน เนินไหน ทำได้กระชับฉับไว มั่นใจกับช่วงล่าง ที่เอาอยู่ทุกครั้ง ประกอบกับพวงมาลัยคมกริบ วางรอยล้อได้อย่างใจ

เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ให้ความสะใจทั้งบนย่านความเร็วสูงที่แม้จะขึ้นไปถึงกว่า 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ที่เรียกมาได้ในเวลาแค่อึดใจ ไม่ว่าจะถนนเปียก หรือแห้ง ก็ยังรู้สึกถึงความเสถียรไม่มีวอกแวกให้ต้องหวาดหวั่น การเข้าโค้ง หรือหลบสิ่งกีดขวาง ที่บังเอิญเส้นทางที่ใช้ในวันนั้น มีพายุฝนพัดผ่าน ทำให้ต้นไม้ล้มเป็นระยะๆ ต้องโยกซ้าย-ขวา กันเป็นพัลวัน แต่ก็ผ่านได้อย่างเนียนๆ

เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดทำงานได้อย่างนุ่มนวล และถ้ายังไม่สะใจ มีโหมดเกียร์ธรรมดา ให้ได้สนุกยิ่งขึ้น มั่นใจกับระบบเบรก เพราะไม่ว่าจะเบรกในย่านความเร็วต่ำแค่กดเบาๆ หรือจังหวะทำความเร็วสูง แม้จะอยู่บนถนนเปียก ก็หยุดได้ฉับไว และไม่มีอาการท้ายปัด ล้อตายเลยแม้แต่น้อย

honda-mobilio

รีวิว Honda Mobilio อเนกประสงค์ก็ใช่!! แถมพกดีไซน์สปอร์ตมาอีก

ฮอนด้า โมบิลิโอ เปิดตัวสู่ตลาดบ้านเรามาหลายปีแล้ว และตอนนี้ก็ยังมีรถป้ายแดงขายกันอยู่ แถมยอดขายในแต่ละเดือนก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่แต่อย่างใด เรียกได้ว่าขายได้เรื่อยๆ โดย Honda Mobilio มือสองรุ่นนี้ มาพร้อมเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร มีให้เลือกทั้งหมด 4 รุ่น ได้แก่

  • S MT ราคา  597,000 บาท
  • S CVT ราคา 642,000 บาท
  • V CVT ราคา 682,000 บาท
  • และรุ่นท็อป RS CVT ราคา 739,000 บาท

ขณะที่คู่แข่งตรงๆของโมบิลิโอ ก็คือโตโยต้า อแวนซ่า นั้นก็มีให้เลือก 5 รุ่น ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 584,000 – 749,000 บาท งานนี้ถ้าวัดเฉพาะราคาแล้วในรุ่นเริ่มต้นพี่โตโยต้าเคาะราคาได้ยั่วยวนใจกว่า แต่เมื่อหันไปดูรุ่นจัดเต็มอย่างรุ่นท้อปนั้น โมบิลิโอ ก็ชนะเลิศเพราะมีราคาที่ต่ำกว่า


สำหรับรถอเนกประสงค์ในกลุ่มนี้ เดิมทีมักจะดีไซน์กันมาแบบขาดๆ เกินๆ จะเล็กก็ไม่ใช่ จะใหญ่ก็ไม่เชิง ซึ่งผู้ผลิตรถยนต์แต่ละเจ้าก็คงพยายามที่จะแก้ไข และดีไซน์ออกมาให้สามารถตอบโจทย์ของลูกค้าให้ได้ดีมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างโมบิลิโอ ที่มีการออกแบบให้ดูทันสมัย มีเพิ่มมูลค่าด้วยการแต่งนั่นนิด ใส่นี่หน่อย แต่ในแง่ของอรรถประโยชน์เพื่อการใช้สอยก็ไม่ละทิ้งไป เรียกได้ว่าลูกค้าเห็นตัวรถแล้วก็รู้สึกว่าคุ้มค่ากับที่จะจ่ายออกไป

โดยมิติของโมบิลิโอ นั้น มาพร้อมความยาว 4,398 มม. ความกว้าง 1,683 มม. และความสูง 1,603 มม.

ส่วนคู่แข่งอย่าง อแวนซ่า นั้น มีความยาว 4,140 มม. ,ความกว้าง 1,660 มม. และความสูง 1,695 มม. ถือว่ามิติใกล้เคียงกัน ไม่ได้แตกต่างอะไรกันมากมาย แต่ในแง่ของความสดใหม่ การดีไซน์ นั้นผู้เขียนก็แอบให้คะแนนโมบิลิโอมากกว่า

สำหรับดีไซน์ของโมบิลิโอ ตัวกระจังหน้าโครเมียมดีไซน์สปอร์ต ไฟหน้าโปรเจคเตอร์พร้อมทั้งไฟหรี่แบบแอลอีดี ด้านล่างลงมาหน่อยจะเห็นไฟตัดหมอกคู่หน้า และฮอนด้า ยังแอบเพิ่มความดุดันกับกันชนหน้าลายสปอร์ต เช่นเดียวกับมุมมองด้านข้างๆ จะมีสเกิร์ตเพิ่มมาตรง กรอบประตู และล้ออัลลอย ขนาด 15 นิ้ว ที่ส่วนตัวชอบมาก เพราะดีไซน์สวยจริงอะไรจริง แถมมองจากมุมนี้ตัวรถแอบดูหรูหรา เห็นแล้วนึกถึงรถอเนกประสงค์ในรุ่นใหญ่ๆ ของฮอนด้า ไม่ว่าจะเป็นโอดิสซีย์, สปาด้า

ส่วนบั้นท้ายของโมบิลิโอนั้นก็มีสเกิร์ตครบ ทั้งด้านบนที่มาพร้อมกับไฟเบรกดวงที่ 3 แบบแอลอีดี และกันชนหลังก็ดีไซน์ให้ดูสปอร์ตพร้อมทั้งมีลูกเล่นด้วยการทำปลอกท่อไอเสียสแตนเลส

มาดูภายในห้องโดยสารกันบ้าง อย่างที่บอกว่านี่คือรถอเนกประสงค์ ดังนั้นในแง่ของการขนคน และขนของนั้นจะเป็นหัวใจหลัก โดยโมบิลิโอ มีที่นั่งทั้งหมด 3 แถว สามารถนั่งได้ 7 คน แต่ถ้าอยากนั่งแบบสบายๆควรจะนั่งแค่ 6 ที่นั่งเท่านั้น เว้นซ่ะแต่แถว 2 จะมีผู้โดยสารตัวเล็กๆมานั่งเบียดกันให้ครบ 3 คน  ตัวเบาะนั่งแถว 2 มีพนักพิงและเลื่อนได้ 3 ระดับ และยังสามารถพับแบบ 60:40 ได้ หรือว่าจะพับแบบตลบเดียวก็ได้ ทำได้ง่ายมากไม่ต้องเปลืองแรง

นอกจากนั้นยังปรับเลื่อนไปข้างหน้าหรือดันไปข้างหลังตามความต้องการของผู้โดยสารได้ ซึ่งตรงนี้เองจะช่วยให้ผู้โดยสารแถว 3 แอบมีพื้นที่ในการวางขาเพิ่มขึ้นด้วย อย่างไรก็ตามหากเดินทางในระยะทางไกลๆและผู้โดยสารแถว 3 มีรูปร่างสูง ยาว ก็อาจจะเมื่อยล้าได้ แต่ในแถว 2 หรือที่นั่งคู่หน้า ก็ไม่ต้องห่วงนั่งได้สบาย


ความพิเศษในรุ่นท้อปของโมบิลิโอ ยังมีเพราะเบาะนั่งแถว 3 พนักพิงปรับเอนได้ 2 ระดับ ส่วนใครที่ต้องการจะขนสัมภาระก็ไม่ต้องห่วง เพราะเบาะแถว 2 และ 3 สามารถพับได้ โดยแถว 3 จะพับแยกแบบ 50:50 ใครต้องการเก็บของแบบไหนก็จัดสรรพื้นที่กันตามสะดวก  ส่วนใครที่ห่วงเรื่องอากาศร้อน – เย็นก็ไม่ต้องกังวลใจไป เพราะโมบิลิโอมีระบบปรับอากาศติดอยู่ตรงเพดานแถว 2 ที่จะกระจายความเย็นสำหรับผู้โดยสารแถว 2 และ แถว 3 ส่วนลำโพงที่ติดตั้งมากับรุ่นนี้มีด้วยกัน 4 ตัว

และสำหรับผู้ขับขี่ก้อสามารถควบคุมเครื่องเสียงได้ผ่านพวงมาลัยโดยไม่ต้องไปเอื้อมมือไปเตะที่หน้าจอ และสิ่งที่สังเกตเห็นหลังจากเข้ามาอยู่ในตัวรถก็คือที่วางแก้ว ที่กระจายอยู่รอบคัน นับรวมๆกันมีกว่า 11 จุด หันไปทางไหนก็เห็นแต่ที่วางแก้ว!!

โดยสรุปจากข้อมูลและการสัมผัสแบบพอหอมปากหอมคอ ก็แอบเทใจให้โมบิลิโอ มากกว่ารุ่นอื่นๆในเซกเมนต์เดียวกัน เพราะหน้าตาที่ดูสปอร์ต รูปทรงโดยรวมมีมิติ แถมยังแอบหรูในบางมุม กล่าวคือรวมๆของรถรุ่นนี้มีความลงตัวที่สุดในแง่ของการออกแบบในมุมมองของผู้เขียนเอง งานนี้ต้องบอกว่าหน้าตาดีมีชัยไปกว่าครึ่ง!!!

Buy-Used-Car-Makes-Happy

“มือใหม่หัดซื้อรถมือสอง” คำนี้น่าจะเหมาะกับผู้ซื้อหน้าใหม่ ที่ตกลงปลงใจ และเห็นข้อดีต่างๆ ของการใช้รถมือสอง

3-Step-For-Buy-Used-Car

คำถามต่อมาที่ผู้ซื้อมักสงสัย คือ “จะซื้อรุ่นอะไรดี แล้วจะหาซื้อรถมือสองดีๆ ที่ไหนดี..?” หากเป็นมือใหม่ไม่รู้อะไรเลย มีความรู้สึกว่ายุ่งยาก ถ้าไม่มีคนแนะนำให้คำปรึกษาบางคนถอดใจเห็นว่ามันยากนักก็ซื้อป้ายแดงไปจบๆ แต่ถ้างบประมาณเป็นปัจจัยหลักที่จะซื้อรถสักคันมาใช้งานละ อยากให้ใจเย็นๆ ก่อน …

วันนี้ CARRO จะมาบอกถึงการหาและเลือกรถมือสองแบบเข้าใจง่าย ผู้ซื้อจะได้รถมือสองที่มีคุณภาพ คุ้ม!! ทุกบาททุกสตางค์ถูกใจ ทั้งสภาพรถและราคา

3-Step-For-Buy-Used-Car

1. เลือกประเภทรถให้เหมาะกับการใช้งาน

รถประเภทไหนที่จะตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวัน ข้อนี้เป็นสิ่งแรก ที่ผู้ซื้อต้องถามตัวเองให้ชัดเจน ว่าอยากได้รถประเภทใด รถยนต์มือสองแต่ละประเภท แตกต่างที่การใช้งานและราคา!! ถ้าเลือกรถที่ไม่ตรงกับการใช้งาน ก็เหมือนใช้รถได้ไม่คุ้มกับเงินที่เสียไป การเลือกรถไม่ใช่แค่ชอบอย่างเดียว ต้องดูการใช้งานของเราด้วย

Tips :: ผู้ซื้อเป็นคนผู้ใช้รถประเภทไหน เดินทางไกลออกต่างจังหวัดบ่อยไหม หรือใช้รถแค่ในเมือง ลองไปดูประเภทรถที่จะเหมาะกับผู้ซื้อ

–  รถ Eco-Car :: เหมาะสำหรับใช้งานในเมือง รถติดๆ ประหยัดน้ำมันกว่ารถประเภทอื่น กินน้ำมันน้อยเพราะรถขนาดเล็ก แต่ด้วยเหตุนี้ทำให้ไม่เหมาะกับการโดยสารหลายๆ ท่าน อึดอัดไม่เหมาะสำหรับออกต่างจังหวัด หรือใช้รถความเร็วสูง

–  รถ Sedan :: รถเก๋งจะใหญ่ขึ้นมากว่า Eco-Car ห้องโดยสารจะนั่งสบายกว่า อัตราการกินน้ำมันมากกว่า ขับในเมืองก็คล่องตัวดีกว่า เมื่อเทียบกับรถกระบะ หรือ SUV

–  รถ SUV :: ด้วยความสูงและช่วงล่างที่ดูดีกว่ารถเก๋ง Sedan ทำให้เหมาะมากสำหรับขับเที่ยวต่างจังหวัด แต่อาจจะใหญ่เทอะทะเกินไปสำหรับขับในเมือง ผู้ขับต้องมีการปรับตัวกันบ้าง

–  รถกระบะ :: รถอเนกประสงค์ สำหรับการคนที่ต้องการขนของมากๆ ประหยัดกว่ารถ Sedan, SUV แต่เรื่องห้องโดยสารอาจนั่งไม่สบายเท่า

3-Step-For-Buy-Used-Car

2.  ช่องทางเจอรถมือสองคุณภาพคือ เว็บไซต์

หลังจากรู้แล้วว่าผู้ซื้อต้องการซื้อรถรุ่นอะไร ต่อมาก็คือการขั้นตอนที่เรียกว่า “ค้นหารถ” มีหลายวิธีไม่ว่าจะเป็น ซื้อรถมือสองต่อจากคนรู้จัก, ไปเดินดูจากผู้ประกอบการรถยนต์ใช้แล้ว (เต็นท์) ใกล้บ้านหรือข้อสุดท้ายน่าจะสะดวกและดีที่สุดคือค้นหาจาก Internet (Carro) ที่จะมีรถมือสองให้เลือกในทุกประเภทรถ ทุกยี่ห้อ สามารถหารถได้ตามปีรถที่ต้องการ เปรียบเทียบราคารถก็สามารถเลือกได้ ว่าอยากได้รถมือสองในงบประมาณเท่าไร จะช่วยให้ผู้ซื้อเจอรถมือสองที่ถูกใจ ตามงบประมาณที่ตั้งไว้

Tips :: เว็บไซต์ขายรถมือสองมีมากมายหลายเว็บไซต์ ซึ่งเว็บที่ดีจะต้องช่วยผู้ซื้อให้เจอรถที่มีคุณภาพ ช่วยตรวจสอบเบื้องต้นเกี่ยวกับรถก่อนจะได้ลงขาย ตรวจสอบมาตรฐานของรถและข้อมูลผู้ขาย ฟังก์ชั่นการใช้งานของเว็บไซต์ ต้องช่วยการเปรียบเทียบรถแต่ละคันในตลาด ที่ผู้ซื้อสนใจได้ดี

3-Step-For-Buy-Used-Car

3. ดูราคากลางที่สมเหตุสมผล

เมื่อผู้ซื้อได้ประเภทรถ รุ่นที่ต้องการ มีงบประมาณในใจ คำถามต่อมา คือ ราคากลางของรถรุ่นนั้นอยู่ที่เท่าไหร่?

การสำรวจราคากลางตลาด เป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อจะรู้ว่ารถรุ่นที่กำลังมองหานั้น ราคาควรจะอยู่ที่เท่าไหร่ การดูราคากลางต้องเปรียบเทียบรถที่ รุ่นเดียวกัน โฉมเดียวกัน ปีเดียวกัน เปรียบเทียบกับราคาหลายๆ คัน ก็จะเห็นว่ารถรุ่นนั้นราคาเฉลี่ยประมาณเท่าไร บางคันราคาแพงกว่าราคาตลาด อาจเพราะว่าเจ้าของไม่ได้ตั้งใจจะขายรถอยู่แล้ว บวกกับมั่นใจในสภาพรถของตน ขายได้ก็ขาย ขายไม่ได้ก็เก็บไว้ใช้ ไม่เดือดร้อนอะไร หรือมีอุปกรณ์ตกแต่งเพิ่มเติม ที่เปลี่ยนมาจากรถเดิม เช่น ล้อ ชุดแต่ง หรือเครื่องเสียง จึงทำให้ราคามีความแตกต่างกับรถคันอื่น

3-Step-For-Buy-Used-Car

Tips :: รถทุกคันมีราคาเสื่อมลดลงไปแต่ละปี แต่ละรุ่นองค์ประกอบที่จะทำให้รถ รุ่นเดียวกัน ปีเดียวกัน มีราคาแตกต่างกัน คือ

สภาพภายนอก สีรถ สภาพตัวถังมีผลต่อราคา รถที่ไม่เคยชนหนัก รักษาดูแลสีรถเป็นอย่างดี ราคาก็ย่อมแพงกว่ารถที่ไม่เคยดูแล

เลขไมล์ เป็นตัวที่บอกถึงการใช้งานของรถ ว่าเจ้าของรถใช้งานรถไปมากน้อยแค่ไหน เลขไมล์น้อย วิ่งน้อยก็ต้องราคาแพงกว่ารถที่เลขไมล์สูง

สภาพภายใน อีกปัจจัยที่ทำให้รู้ว่าเจ้าของรถใช้งานรถมากแค่ไหน รอยสกปรกจนเช็ดไม่ออก จอดรถตากแดดไว้เป็นประจำจนทำให้ภายในละลายสภาพแย่ ก็ส่งผลทำให้ราคารถไม่ดี

ราคาในใจของผู้ขาย ข้อนี้เป็นปัจจัยที่ไม่มีกฎตายตัว เจ้าของรถบางคันตั้งราคาไว้สูง เพราะคิดว่าตนเองดูแลรถเป็นอย่างดี รถบางคันราคาต่ำกว่าราคากลาง อาจเป็นเพราะเจ้าของต้องการรีบขาย

3-Step-For-Buy-Used-Car

ทั้ง 3 ขั้นตอนนี้ ช่วยให้ผู้ซื้อเจอรถรุ่นที่ต้องการ เหมาะสมกับการใช้งาน สภาพดี ในราคาที่สมเหตุสมผล หาได้ไม่ยาก เว็บไซต์ขายรถมือสองที่ดีต้องเป็นผู้ช่วยเบื้องต้นให้แก่ผู้ซื้อ ในส่วนของรถที่มาลงประกาศขาย มีข้อมูลถูกต้อง ใช้งานง่ายและข้อมูลเทคนิคการเลือกให้ผู้ซื้อ 

สำหรับใครที่อ่านจบแล้ว รู้สึกอยากขายรถคันเดิมแบบด่วนๆ เพื่อนำเงินไปซื้อรถมือสองในฝันคันใหม่ ปรึกษา CARRO หรือขายรถกับ CARRO ได้ครับ โดยได้ราคาที่คุณพอใจ พร้อมปิดการขายภายใน 24 ชั่วโมง เชิญเข้าไปกรอกรายละเอียดได้ที่ https://th.carro.co/sell-car/express หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มได้ใน Fanpage “CARRO Thailand” ครับผม

Carro-Review-Honda-City-CNG
ถ้าจะพูดถึง Honda City CNG (ฮอนด้า ซิตี้ ซีเอ็นจี) ที่เปิดตัวออกมาตอบรับความต้องการ ในช่วงเดือนสิงหาคม 2557 สำหรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการประหยัดเงินในกระเป๋า มีงบประมาณมีอยู่เพียงจำกัด ไม่อยากจ่ายเงินผ่อนกับดอกเบี้ยในแต่ละเดือนมาก การมองหา Honda City CNG มือสอง ก็ถือเป็นทางออกที่ดี
Review-Honda-City-CNG

แม้ว่าในช่วงหลัง ราคาน้ำมันเริ่มปรับลดลง (หรือว่า? คนไทยคงรับกันได้แล้ว กับเรื่องน้ำมันเบนซินแพงจนชินชา) ทำให้รถที่ติดตั้งก๊าซธรรมชาติ CNG เริ่มมีบรรดา Maker ผลิตออกจากโรงงานสู่ตลาดน้อยลงเรื่อยๆ จนในที่สุด Honda ก็เลิกผลิต Honda City CNG ไปในช่วงประมาณปลายปี 2559

แต่ถ้าคุณยังสนใจที่จะมองหา Honda City CNG มาใช้งาน เราขอแนะนำในรีวิวนี้ครับ.

Review-Honda-City-CNG

รูปลักษณ์ การดีไซน์ ของฮอนด้า ซิตี้ ซีเอ็นจี พูดง่ายๆ ก็คือ ฮอนด้า ซิตี้ ในรุ่นปกติ แตกต่างกันแค่รถรุ่นนี้ มีการติดตั้งพลังงานทางเลือกซีเอ็นจี ให้ลูกค้าได้เลือก และจะมีเพียงสเปคบางอย่างที่แตกต่างกันนิดหน่อย

โดยหน้าตาของซีตี้ ซีเอ็นจี ไฟหน้าจะเป็นแบบมัลติรีเฟลกเตอร์ ถ้าเป็นรุ่น S ให้สังเกตว่าจะเป็นสีดำ แต่ถ้าเป็นรุ่น V จะเป็นแบบโครเมียม ดูหรูหราขึ้นมาหน่อย เช่นเดียวกับกระจังหน้า และคิ้วกระโปรงด้านท้าย ถ้าเป็นรุ่น V จะเป็นแบบโครเมียม แต่ถ้ารุ่น S จะขึ้นอยู่กับสีรถแต่ละคัน

Review-Honda-City-CNG

และจุดที่บ่งบอกว่ารถรุ่นนี้คือซิตี้ ซีเอ็นจี ก็คือป้ายสัญลักษณ์ CNG ที่ติดตั้งอยู่ใกล้ๆ กับป้าย i-VTEC ตรงฝากระโปรงด้านหลังเหนือไฟท้าย ส่วนล้ออัลลอยรถคันนี้ เป็นแบบ 15 นิ้ว ดูดีตามมาตรฐาน

Review-Honda-City-CNG

มิติตัวรถ ยาว 4,440 มม. กว้าง 1,695 มม. สูง 1,471 มม. ระยะฐานล้อ 2,600 มม.

Review-Honda-City-CNG

Review-Honda-City-CNG

เปิดมาดูภายในห้องโดยสารสีเบจ ทำให้ดูกว้างขวาง โปร่ง โล่ง ส่วนการตกแต่งระหว่างรุ่นปกติและรุ่นท็อปต่างกันเพียงเล็กน้อย นอกจากนั้นแล้ว ตัวเรือนไมล์หรือหน้าจอแสดงผลนั้น ถ้าเป็นรุ่นท็อป จะเป็นสีฟ้า ที่แสดงข้อมูลผลการขับขี่ ดูง่าย ไม่ปวดตา แต่ถ้าเป็นรุ่นปกติจะเป็นสีส้ม

Review-Honda-City-CNG

Review-Honda-City-CNG

จุดที่แตกต่างกันอีกอย่างก็คือ พวงมาลัย ที่ดีไซน์ไม่เหมือนกัน แต่คุณสมบัติไม่ได้ต่างกัน สามารถปรับระดับระดับได้ 4 ทิศทาง ใกล้ๆ กันกับพวงมาลัย จะมีปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์อัจฉริยะ และยังมีปุ่มเลือกการขับขี่แบบน้ำมัน หรือแบบก๊าซซีเอ็นจี ซึ่งจะมีไฟแสดงสถานะการทำงานอยู่ว่าตอนนี้ใช้ระบบอะไร และยังมีไฟแสดงสถานะปริมาณก๊าซ CNG ให้ผู้ขับขี่ได้รับทราบ

Review-Honda-City-CNG

ส่วนเบาะของผู้ขับขี่ ก็ปรับ สูง-ต่ำ ตามความถนัดของแต่ละคนได้ ไม่ต้องห่วงเรื่องความสะดวกสบาย เพราะหากใครเคยนั่งฮอนด้า ซิตี้ ในรุ่นปกติยังไง รุ่นนี้ก็เป็นแบบนั้น โดยพื้นที่ห้องโดยสารด้านหน้ากว้างขวาง ทัศนวิสัยดี ส่วนพื้นที่เบาะด้านหลังก็นั่งสบายแม้ผู้โดยสารจะมีรูปร่างสูงใหญ่

และสิ่งที่หลายคนกังวลคือ พื้นที่เก็บของด้านหลัง เนื่องจากต้องกันพื้นที่ส่วนหนึ่งในการจัดเก็บถังก๊าซซีเอ็นจี งานนี้บอกเลยว่าไม่ต้องกังวล คุณยังสามารถที่จะขนสัมภาระต่างๆ ของคุณได้

Review-Honda-City-CNG

ส่วนอุปกรณ์ความบันเทิงต่างๆก็มีให้ทั้งวิทยุ, CD แบบ 1 แผ่น, MP3 และลำโพงอีก 4 ตัว สามารถเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบบลูทูธได้ พร้อมกับมีช่องเชื่อมต่อ พวก USB/AUX หรือพวกอุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆ ได้

เอาเป็นว่าเฉพาะหน้าตา รูปลักษณ์ ทั้งภายนอกภายใน ถือว่าสวยงาม และครบครัน ตามมาตรฐานของฮอนด้า!

Review-Honda-City-CNG

ฮอนด้า ซิตี้ ซีเอ็นจี มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร แบบ 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว i-VTEC รองรับทั้งน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซ CNG โดยระบบน้ำมัน ให้แรงม้าสูงสุด 117 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 146 นิวตัน-เมตร ที่ 4,700 รอบ/นาที

ส่วนระบบก๊าซ CNG ให้แรงม้าสูงสุด 102 แรงม้า ที่ 6,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 127 นิวตัน-เมตร ที่ 4,800 รอบ/นาที ระบบจ่ายเชื้อเพลิงเป็นแบบหัวฉีด ส่งกำลังผ่านเกียร์ CVT แบบใหม่ ที่ได้รับการพัฒนาภายใต้เทคโนโลยีเอิร์ธดรีม ขยายอัตราทดเกียร์ให้กว้างขึ้น พร้อมระบบ G-Design Shift ช่วยให้อัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงมีประสิทธิภาพ พร้อมอัตราเร่งที่ตอบสนองดียิ่งขึ้น และรองรับพลังงานทางเลือก E20

Review-Honda-City-CNG

ถังก๊าซ CNG มีความจุ 65 ลิตร ผลิตจากเหล็กคุณภาพสูง ทนทานต่อก๊าซแรงดันสูง และออกแบบจุดยึดถังก๊าซและโครงสร้างตัวถังแน่นหนาตามมาตรฐานความปลอดภัย พร้อมแผงกั้นถังก๊าซเพื่อแบ่งสัดส่วนพื้นที่ติดตั้งถังก๊าซและห้องสัมภาระด้านท้าย อีกทั้งช่วยป้องกันแรงกระแทกบริเวณห้องสัมภาระด้านท้าย

Review-Honda-City-CNG

สำหรับตำแหน่งหัวรับเชื้อเพลิง CNG ได้รับการออกแบบให้อยู่ใกล้กับจุดเติมน้ำมัน พร้อมลิ้นป้องกันการไหลย้อนกลับของก๊าซ มีสวิตช์เลือกปรับเปลี่ยนการใช้พลังงานได้ระหว่างน้ำมันและก๊าซ CNG พร้อมไฟแสดงสถานะการใช้และปริมาณก๊าซ โดยกล่องควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ (ECU) จะทำหน้าที่ประมวลผลการจ่ายก๊าซและช่วยตัดการจ่ายก๊าซ CNG ได้อย่างแม่นยำ หากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือระบบทำงานผิดปกติ และระบบกันสะเทือนหน้า-หลังที่ได้รับการออกแบบเฉพาะสำหรับระบบ CNG เพื่อการทรงตัวที่ดีมั่นคงในทุกการขับขี่ 

สำหรับจุดเติมของน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ CNG ที่อยู่ใกล้กัน ทั้งเติมแบบน้ำมันและแบบซีเอ็นจี เรื่องความปลอดภัยของซีเอ็นจีนั้น จุดนี้มองว่าหายห่วง เพราะรถระดับนี้ถูกดีไซน์และพัฒนามาหลายขั้นหลายตอนกว่าจะนำออกมาขายได้ แถมมีการรับประกันสร้างความอุ่นใจ ดีกว่าไปติดตั้งเอง และเสี่ยงต่อมาตรฐานหรือคุณภาพของถังหรือผู้ที่ติดตั้ง

ฮอนด้า ซิตี้ ซีเอ็นจี มีให้เลือก 3 รุ่นย่อย ได้แก่ S CNG MT, S CNG AT และ V CNG AT มีให้เลือกทั้งหมด 6 สี ได้แก่ สีขาวทาฟเฟต้า สีเงินอลาบาสเตอร์ (เมทัลลิก) สีดำคริสตัล (มุก) สีเทาโมเดิร์นสตีล (เมทัลลิก) สีแดงคาร์เนเลียน (มุก) และสีน้ำตาลโกลเด้น (เมทัลลิก)

หมายเหตุ:

– สีดำคริสตัล (มุก) และสีแดงคาร์เนเลียน (มุก) ตอนเป็นรถมือหนึ่ง ต้องเพิ่มเงินอีก 6,000 บาท
– รุ่น S CNG MT มี 3 สีให้เลือก คือ สีขาวทาฟเฟต้า, สีเงินอลาบาสเตอร์ (เมทัลลิก) และสีดำคริสตัล (มุก)
– รุ่น S CNG AT มี 4 สีให้เลือก คือ สีขาวทาฟเฟต้า, สีเงินอลาบาสเตอร์ (เมทัลลิก) สีดำคริสตัล (มุก) และสีเทาโมเดิร์นสตีล (เมทัลลิก)
– รุ่น V CNG AT มี 6 สีให้เลือก คือ สีขาวทาฟเฟต้า, สีเงินอลาบาสเตอร์ (เมทัลลิก), สีดำคริสตัล (มุก), สีเทาโมเดิร์นสตีล (เมทัลลิก), สีแดงคาร์เนเลียน (มุก) และสีน้ำตาลโกลเด้น (เมทัลลิก)

Review-Honda-City-CNG

ทัศนะความคุ้มค่าน่าใช้ โดย MR.CARRO …

ความคุ้มค่าตอนซื้อ

รุ่นนี้ในตลาดรถมือสอง ถือว่าได้รับความนิยมพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนวัยทำงานใหม่ พ่อค้าแม่ค้า คนทำงานอาชีพอิสระ หรือบริษัทต่างๆ ที่ซื้อไว้ใช้งานเป็นรถประจำบริษัท เป็นรถรุ่นมีวิ่งให้เห็นกันเกลื่อนเมือง อีกทั้งยังเป็นรถ Honda เพียงรุ่นเดียวที่ติดตั้งก๊าซ CNG ออกมาจากโรงงาน ได้เปรียบในเรื่องรับประกันคุณภาพมาตรฐาน 3 ปี หรือ 1 แสนกิโลเมตร …

ความคุ้มค่าตอนใช้งาน

ถ้าคุณเป็นคนที่จำเป็นต้องใช้รถเยอะ ถือว่าคุ้มค่ามากๆ เพราะก๊าซธรรมชาติ CNG ยังไงก็ประหยัดกว่าใช้น้ำมันเบนซินอยู่แล้ว ตกเฉลี่ยกิโลเมตรละประมาณ 50 สตางค์ ขึ้นอยู่กับสภาพจราจร และการขับขี่ของแต่ละคน

ขณะที่จุดด้อยเท่าที่เห็น คือเรื่องของพื้นที่จัดเก็บสัมภาระด้านท้าย ที่ต้องยกเนื้อที่ส่วนหนึ่งให้กับถัง CNG และแน่นอน การมีถังก็ทำให้น้ำหนักรถเพิ่มขึ้น และต้องใช้เวลาเติมบ่อย กับเติมนาน นอกนั้นไม่มีอะไรมาก

และ สถานีบริการของเอ็นจีวี ที่ยังมีจำนวนไม่มากพอ (ถ้าเทียบกับ LPG หรือปั้มน้ำมันทั่วไป) ดังนั้นก่อนจะซื้อ ก็ลองสำรวจเส้นทางในการใช้รถใช้ถนนของตัวเองว่า มีสถานีรองรับหรือไม่อย่างไร เพราะอาจจะลำบากหน่อยเวลาขับรถในบางย่าน หรือขับรถออกต่างจังหวัด

ความคุ้มค่าตอนซ่อม

ตัวรถไม่จุกจิก ทนทาน ประหยัด ราคาอะไหล่ไม่แพง เตรียมงบไว้สำหรับดูแลตามปกติ ปีละ 5,000 – 10,000 บาท (กรณีดูแลรักษาทั่วไป ถ้ามีเช็คระยะใหญ่ ก็อาจจะต้องเตรียมเงินไว้เพิ่ม) ครับ

ความคุ้มค่าตอนขายต่อ

สำหรับ Honda City CNG โฉมปี 2014 – 2016 มีราคามือสองอยู่ที่ 300,000 – 380,000 บาท (เป็นราคาในตลาดรถปี 2564 โดยประมาณ และขึ้นอยู่กับปีรถ รุ่นย่อย กับ สภาพของตัวรถ)

Download Catalogue Honda City CNG คลิกที่นี่ >>> Honda-City-CNG-8-2014-Brochure

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม มาขายรถคันเดิมกับ CARRO Express สิ! Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

แต่ถ้าหากช่วงนี้ใครอยากซื้อรถคันใหม่ มาใช้แทนที่รถคันเดิม CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ พร้อมตอบโจทย์คุณด้วยคอนเซปต์ “click.buy.drive.” คุณสามารถจองรถออนไลน์ ได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น!

รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check และยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” ให้คุณเลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา พร้อมรับประกันคุณภาพรถนานถึง 2 ปี หรือ 20,000 กิโลเมตร! อีกทั้งยังการันตีความพึงพอใจ คืนเงินได้ภายใน 5 วันอีกด้วย! เรามีรถให้คุณเลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ CARRO Automall สิ!

หรือถ้าหากสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall Official โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall ครับ