Beware-Your-Side-Mirror-From-Motorcycle

อีกเรื่องหนึ่งเลยของคนขับรถในกรุงเทพฯ หรือตามหัวเมืองใหญ่ๆ ที่นอกจากเผชิญกับรถติดแล้ว ยังต้องมาเจอเหล่านักบิด หรือ “มอเตอร์ไซค์” ทั้งหลาย เบียด ปาด แทรก ขึ้นมาด้านข้างตัวรถเป็นประจำ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ วิ่งถนนแคบๆ แล้วรถติดๆ ด้วยนะ รู้สึกได้เลย

บางทีก็เกิดการกระทบกระทั่งขึ้นมา เช่น แฮนด์รถจักรยานยนต์ เฉี่ยวกระจกมองข้าง! ถ้าไม่มากก็แค่เฉี่ยวกระจกมองข้างเป็นรอยถลอก หรืองอไปข้างหน้า ถ้าหนักหน่อยก็หักทั้งยวงเลย

ก็คงได้แต่ทำใจ เพราะ 99.99% ของมอเตอร์ไซค์ที่มาเฉี่ยว มักจะไม่รับผิดชอบ ไปเลย! … Mr.Carro ขอนำเสนอวิธีขับรถ ที่ได้มาจากผู้คร่ำหวอดในวงการนักข่าวสายรถจักรยานยนต์มานาน แนะนำวิธีเลี่ยงไม่ให้มอเตอร์ไซค์เฉี่ยวกระจกมองข้าง ได้มากที่สุดครับ …

วิธีที่ 1

Beware-Your-Side-Mirror-From-Motorcycle

เวลาขับรถ พยายามขับรถให้อยู่จุดกึ่งกลาง ระหว่างเส้นแบ่งเลนจราจรมากที่สุด พยายามอย่าชิดเส้นขอบทางไปด้านซ้าย-ขวา มากเกินไป

เพราะเวลามอเตอร์ไซค์จะแทรกเข้ามาด้านข้างตัวรถของเรา เขาจะค่อยๆ ขี่ไปได้อย่างไม่ลำบากนัก (เพราะถ้าเขาซิกแซก ซอกแซกลำบาก ไปๆ มาๆ แฮนด์อาจมากระแทก โดนกระจกมองข้างรถของเราแทน!)

วิธีที่ 2

Beware-Your-Side-Mirror-From-Motorcycle

เมื่อคุณจอดรถติดไฟแดง หรือติดอะไรก็แล้วแต่ พยายาม “อย่า” จอดรถติดเสมอกับกระจกมองข้างรถคันด้านข้างๆ ให้จอดรถเหลื่อมกันไว้ บวกกับเว้นระยะห่างจากคันหน้าไว้ เพราะมอเตอร์ไซค์ที่ขี่มา มักจะพยายามหาวิธีแทรก เกิดไปเจอรถจอดติดกันสองคัน กระจกมองข้างอยู่มุมเสมอกันพอดี บางทีหลบกระจกมองข้างรถอีกคันได้ แต่กลับไปเฉี่ยวกระจกมองข้างรถอีกคันแทน!

ถ้าโดนเฉี่ยวแล้ว เรียกประกันภัยอย่างไร?

Beware-Your-Side-Mirror-From-Motorcycle

อย่างแรก คือ ต้องแจ้งบริษัทประกันภัย กับแจ้งความกับตำรวจไว้ และแจ้งเคลมบริษัทประกันรถยนต์ทันทีที่เกิดเหตุ (กรณี เช่น กระจกมองข้างหัก) ถ้ามีหลักฐาน เช่น ป้ายรถทะเบียนรถมอเตอร์ไซค์คันที่เฉี่ยว ภาพจากกล้องหน้ารถ ภาพจากกล้องวงจรปิด ก็เตรียมไว้เป็นหลักฐาน

เมื่อเจ้าหน้าที่รับแจ้งสอบถามข้อมูลการเกิดเหตุเบื้องต้นแล้ว จะส่งเจ้าหน้าที่มาดู ณ จุดเกิดเหตุ เช่น ถ้าจุดนั้นมีติดตั้งกล้องวงจรปิด เจ้าหน้าที่ก็จะติดต่อตำรวจเพื่อขอดูกล้องวงจรปิดช่วงเกิดเหตุ ถ้าเห็นป้ายทะเบียนรถจักรยานยนต์ ก็เป็นโอกาสที่จะทำให้พนักงานสอบสวนสามารถออกหมายเรียกเจ้าของรถจักรยานยนต์คันนั้นมาสอบสวน เข้าสู่กระบวนการติดตามผู้กระทำความผิด หรือทำให้รถยนต์เสียหายต่อไป

ทั้งนี้ เอกสารเคลมที่บันทึกของพนักงานสอบสวน สามารถระบุป้ายทะเบียน หรือรายละเอียดอื่นๆ ของรถคู่กรณี ได้ครบถ้วน ทั้งหมวดตัวอักษรและหมวดจังหวัด จะมีประโยชน์ที่ประกันภัยจะละเว้นไม่เรียกเก็บค่าเสียหายส่วนแรกตามเงื่อนไขของ คปภ. ในข้อที่ระบุไว้ว่า ความเสียหายต่อตัวรถยนต์ กรณีถูกคู่กรณีเฉี่ยวชนและไม่สามารถระบุรายละเอียดของคู่กรณีได้ ต้องเสียค่าเสียหายส่วนแรก (ค่า Excess) เฉพาะกรณีนี้ต่อเหตุการณ์ๆ ละ 1,000 บาท สำหรับการประกันภัยรถยนต์ประเภท 1

ถ้าหากเป็นประกันภัยรถยนต์ประเภท 2 + หรือ 3+ จะคุ้มครองเฉพาะเวลาโดนมอเตอร์ไซค์เฉี่ยว แล้วคุณสามารถ “จำหมายเลขทะเบียนได้” เพราะจะไม่ได้ถือว่า เป็นการถูกเฉี่ยวชนแล้วหลบหนี แต่ประเภท 2 + หรือ 3+ จะไม่คุ้มครองการถูกมอเตอร์ไซค์ชนแล้วหลบหนี

รู้แบบนี้แล้ว ก็ลองไปปฏิบัติใช้ดู แต่ทางที่ดี ก็ต้องระวังมอเตอร์ไซค์มาเฉี่ยว อยู่ดีละครับ!

ถ้าคุณตัดสินใจอยากขายรถคันเดิม เพื่อไปซื้อรถคันใหม่ หรือรับเป็นเงินก้อนไปใช้ สามารถขายรถคันเดิมกับ Carro ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ Carro Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook Carro Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

King-Rama-10-Diecast-Model-Cars

King-Rama-10-Diecast-Model-Cars

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณฯ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 นอกจากจะทรงเปี่ยมล้นไปด้วยพระอัจฉริยภาพหลากหลายด้าน อาทิเช่น ทรงมีพระอัจฉริยภาพทางด้านวิศวกรรมการบินและอากาศยาน และทรงสนพระราชหฤทัยมาตั้งแต่เมื่อครั้งทรงพระเยาว์ รวมไปถึงในด้านรถยนต์ และเครื่องยนต์กลไกอีกด้วย

King-Rama-10-Diecast-Model-Cars

“รถยนต์” ก็เป็นสิ่งที่รัชกาลที่ 10 ท่านทรงโปรดปรานอยู่มาก ทั้งที่เป็นรถยนต์องค์จริงๆ ที่ทรงใช้งานส่วนตัว และทรงรับช่วงต่อมาจากพระราชบิดา ซึ่งทรงได้โปรดให้มีการเก็บรักษารถยนต์พระที่นั่ง และรถยนต์ส่วนพระองค์ ไว้ที่พิพิธภัณฑ์รถยนต์พระที่นั่งโบราณ ณ วังศุโขทัย

King-Rama-10-Diecast-Model-Cars

และสำหรับรถคันน้อยๆ หรือ “โมเดลรถ” ก็เป็นหนึ่งของสะสม ที่พระองค์ทรงชื่นชอบและโปรดปรานมาตั้งแต่ครั้งทรงพระเยาว์เช่นกัน ทรงเก็บอย่างเป็นระเบียบ มีตั้งแต่รถเก๋งเปิดประทุน รถยนต์หลากยี่ห้อ รถจี๊ป รถมอเตอร์ไซค์ รถทหารปิดและเปิดประทุน รถม้า รถลาก รถตำรวจ กระทั่งรถผสมปูน รถพยาบาล เป็นต้น

ครั้งหนึ่งทรงให้พระราชทานสัมภาษณ์ถึงรถเล็กๆ เหล่านี้ ลงในนิตยสารดิฉัน เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2529 พระองค์ทรงมีพระราชกระแสถึงความชอบส่วนพระองค์ว่า

“ชอบรถกับเครื่องบินแต่รถนี่ชอบมากกว่า”

King-Rama-10-Diecast-Model-Cars

เหตุผลที่พระองค์ทรงชอบสะสมรถเล็กนั้นเพคะ

“ตอนเด็กๆ ชอบเครื่องยนต์กลไก แล้วมันก็เป็นการแสดงวัฒนธรรมและพัฒนาการทางเทคโนโลยีอย่างหนึ่ง ของเล่นเมื่อเด็กๆ เท่าที่ยังเหลืออยู่คือของเล่นสมัยนี้ก็มี แต่มันไม่เหมือนของเล่นเมื่อ 20 ปีก่อน มันก็เป็นไปตามสิ่งแวดล้อม”

King-Rama-10-Diecast-Model-Cars

พระองค์ทรงมีรถเล็กๆ ที่สะสมไว้สักกี่คันเพคะ

“มีเป็นร้อย”

King-Rama-10-Diecast-Model-Cars

ทรงจำได้ไหมเพคะว่า คันไหนเป็นคันแรก

“ก็จำได้ว่ารุ่นไหนเป็นรุ่นแรก จำได้ว่าใคร ตอนเด็กๆ คนเขาให้ พอโตก็ซื้อเอง เวลาไปเมืองนอกก็ซื้อ ปัจจุบันก็ยังซื้อ ซื้อรถ ซื้อเครื่องบินหรืออะไรเล็กๆ ที่มันน่ารัก อะไรที่มันมีศิลปมีความละเอียดก็สะสม ก็ซื้อเวลาไปเมืองนอก”

King-Rama-10-Diecast-Model-Cars

King-Rama-10-Diecast-Model-Cars

เมื่อทรงพระเยาว์ทรงโปรดรถคนไหนมากที่สุดเพคะ

“ตอนเด็กๆ ชอบรถคันนี้ เป็นรถสปอร์ตเปิดประทุนยี่ห้อ MG มันมาพร้อมๆ กับรถจริง คือรถ MG รุ่นนี้เหมือนกัน สมัยก่อนถ้าเขาออกรถใหม่เขาก็จะทำรถคันเล็กๆ ออกมาด้วย ส่วนคันนี้เป็นเบนซ์ 300, 1995 ผู้ใหญ่มีเราก็มีบ้างแต่เป็นรถคันเล็กๆ ที่มีประตูเปิดปิดข้าง รถรุ่นหลักประตูเปิดไม่ได้ รถเบนซ์บางคันดินน้ำมันเกาะเต็มไปหมดเป็นเบนซ์ช้ำเลือดช้ำหนองและทาสีซ้ำอีก แล้วรถตำรวจนี่เขียนเบอร์เองยังอยู่”

King-Rama-10-Diecast-Model-Cars

King-Rama-10-Diecast-Model-Cars

ทรงเปลี่ยนความโปรดไปเรื่อยๆ เป็นยุคๆ ไหมเพคะ

“ไม่ค่อยเปลี่ยน รถเดี๋ยวนี้ยังชอบเหมือนเดิมแต่มาเล่นของจริง ของเก่าก็ยังชอบอยู่ สมัยก่อนชอบรถโฆษณา รถคอมเมอร์เชียลอะไรพวกนี้มันน่ารักดี รถทหารเปิดประทุนรุ่นนี้เป็นรุ่นแรก ผู้ใหญ่เขาเสียดาย เขาเก็บ กลัวพังถามทำไมไม่ให้เล่น เขาบอกถ้าโตแล้วจะเก็บไว้เป็นตัวอย่าง รถผสมซีเมนต์นี่ก็รุ่นแรก พวกคันเล็กๆ เหล็กๆ รุ่นแรก นี่รุ่นหลังเห็นไหมมีสแว๊บกี้สำหรับคนหนุ่มคนสาว”

ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน.

ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก บทพระราชทานสัมภาษณ์ นิตยสารดิฉัน เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2529

King-Rama-10-Royal-Cars

ในช่วงแห่งการเฉลิมฉลองพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 นับเป็นช่วงแห่งความปลื้มปิติของเหล่าพสกนิกรชาวไทย ในการขึ้นเป็น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ของ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณฯ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 อย่างสมบูรณ์ตามโบราณราชประเพณี ซึ่งจะเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 4 – 6 พฤษภาคม 2562 ณ พระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร

และเนื่องด้วย พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณฯ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดด้านการทหารและการบินเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการบิน ซึ่งพระองค์ทรงใฝ่รู้ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ และในส่วนของรถยนต์และเครื่องยนต์กลไก พระองค์ก็ทรงโปรดมากๆ เช่นเดียวกัน

CARRO จึงขอนำเสนอถึง “รถยนต์พระที่นั่ง” ของ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณฯ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทั้งในอดีตและปัจจุบัน เท่าที่ค้นหามาได้ ให้ทุกท่านได้รับชมกันครับ

Daimler-DE36

1. Daimler DE36

Daimler DE36 (เดมเลอร์ ดีอี36) พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณฯ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงรำลึกถึงพระราชบิดา ด้วยการทรงนำรถยนต์พระที่นั่ง Daimler DE36 Landaulette มีเลข Chassis เลขตัวถัง 51747 ส่วนตัวถังรถผลิตโดย Hooper แห่ง Westminster ซึ่งผลิตด้วยมือ เป็นรุ่นฐานล้อยาว มีกระจกแบ่งระหว่างคนขับและผู้โดยสาร ใช้เครื่องยนต์แบบ V8 ขนาด 5.5 ลิตร 150 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์กึ่งอัตโนมัติแบบคันบังคับไฟฟ้า 4 สปีด

ซึ่งเป็นรถยนต์พระที่นั่ง “อย่างเป็นทางการ” คันแรกในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (หมายเลขทะเบียน “ร.ย.ล. 1”) กลับมาประจำการในฐานะรถยนต์พระที่นั่งทรงอีกครั้งในรอบ 40 กว่าปี หลังจากปลดประจำการ

Delahaye-GFA-180

2. Delahaye G.F.A. 180

Delahaye G.F.A. 180 (เดอลาเฮย์ จีเอฟเอ 180) ปี 1953 เดิมเป็นรถพระที่นั่งของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงใช้ แต่ภายหลัง พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณฯ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงนำออกมาใช้งานในพิธีต่างๆ บ้าง

ผลิตเมื่อปี 2496 ตัวถังแบบลีมูซีน (หมายเลขแชสซีส์ 825018) ตัวถังผลิตโดย Henri Chapron (หมายเลขตัวถัง 6961) ตัวรถผลิตโดย Société Des Automobiles Delahaye มีหน้าต่างกระจกกั้นพระที่นั่งตอนหน้า และตอนหลัง กระจกหน้าต่างแบบไฮดรอลิก และหน้าต่างรับแดด (ซันรูฟ) บนหลังคา ส่งกำลังผ่านเกียร์ 4 สปีด

Rolls-Royce-Phantom-Limousine-De-Ville

3. Rolls-Royce Phantom Limousine De Ville

Rolls-Royce Phantom Limousine De Ville (โรลส์-รอยซ์ แฟนทอม ลิมูซีน เดอวิลล์) ปี พ.ศ. 2482 (หมายเลขแชสซีส์ 3DL 158) ผลิตที่โรงงานโรลส์-รอยส์ ในเมืองดาร์บี ใช้เครื่องยนต์แบบ V12 (หมายเลขเครื่อง W98 H) มีจานจ่าย 2 ชุด ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด

ลงเรือที่เซาท์แธมตัน เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2482 เจ้าของเดิมคือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา ต่อมา สมเด็จพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณฯ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงนำออกมาใช้งานในพิธีต่างๆ บ้าง

Volvo-264-TE

4. Volvo 264 TE

Volvo 264 TE (วอลโว่ 264 ทีอี) รุ่นนี้ ออกแบบโดย “Bertone” เครื่องยนต์รหัส B27E ขนาด 2.7 ลิตร แบบ V6 OHC ให้แรงม้าสูงสุด 140 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 21.0 กก.-ม. ที่ 3,000 รอบ/นาที ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 3 สปีด ทำความเร็วได้กว่า 165 กม./ชม.

บริษัท สวีเดนมอเตอร์ส จำกัด มอบหมายให้นายวันนิวัติ ศรีไกรวิน และนางจุไรรัตน์ ศรีไกรวิน เป็นผู้แทนของบริษัทฯ น้อมเกล้าฯ ถวาย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ (พระอิสริยยศในขณะนั้น) ป้ายทะเบียน ร.ย.ล. 14

Mercedes-Benz-450-SEL-6.9

5. Mercedes-Benz 450 SEL 6.9

Mercedes-Benz 450 SEL 6.9 (เมอร์เซเดส-เบนซ์ 450 เอสอีแอล 6.9) รถยนต์พระที่นั่ง ป้ายทะเบียน ร.ย.ล. 10 (ปัจจุบัน ทะเบียน 1ด-0106 กรุงเทพมหานคร)

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร (พระอิสริยยศในขณะนั้น) ทรงอภิเษกสมรส กับ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรชายาฯ ในวันพระราชพิธีอภิเษกสมรส พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชทานรถยนต์ Mercedes-Benz 450 SEL 6.9 เครื่องยนต์ขนาด 6.9 ลิตร เป็นของขวัญ

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร โปรดรถพระราชทานคันนี้มาก ในระหว่างทรงศึกษาที่โรงเรียนเสนาธิการทหารบก ทรงขับรถคันนี้ เสด็จพระราชดำเนินต่างจังหวัดอยู่เสมอ ทรงขับจากกรุงเทพฯ ถึงนราธิวาส และจากกรุงเทพฯ ถึงอุดรธานี พิษณุโลก และ ลำปาง

Rolls-Royce-Corniche-Convertible

6. Rolls-Royce Corniche Convertible

Rolls-Royce Corniche Convertible (โรลส์-รอยซ์ คอร์นิช คอนเวอร์ติเบิ้ล) เป็นรถที่พสกนิกรหลายท่านคุ้นตาในอดีต เพราะเป็นรถที่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) ใช้ทรงงานมากที่สุดอีกรุ่น แต่พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณฯ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงมีใช้งานด้วยเช่นกัน

Rolls-Royce-Silver-Spur-Limousine

7. Rolls-Royce Silver Spur Limousine

Rolls-Royce Silver Spur (โรลส์-รอยซ์ ซิลเลอร์ สเพอร์) นับเป็นรถลิมูซีน ที่คุ้นตาพสกนิกรมากที่สุดอีกหนึ่งรุ่น เพราะใช้ในงานพระราชพิธีบ่อยครั้ง ซึ่งเป็นรถประจำของพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ และเป็นหนึ่งในรถยนต์พระที่นั่ง ที่ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณฯ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประทับนั่งเป็นประจำ

ขอขอบคุณภาพจาก

5-Thick-To-Surprise-Fan-In-Valentines-Day

เข้าสู่วันวาเลนไทน์แล้ว ถ้าคุณๆ ยังนึกไม่ออกยังว่าจะทำอะไรเซอร์ไพรส์แฟนดี สำหรับคนรักรถทั้งหลาย บางทีก็ต้องคิดแล้วคิดอีก ว่าจะทำอะไร ให้เราและเขาต่างประทับใจซึ่งกันและกัน และต้องใช้งานได้ด้วยก็ดี โดยอาจจะมีรถยนต์เป็นสื่อกลาง …

สำหรับประวัติของวันวาเลนไทน์ ที่ใครต่อใครมักนิยามให้เป็นวันแห่งความรัก มีต้นกำเนิดมาจากนักบุญคนหนึ่งในศาสนาคริสต์ ชื่อ นักบุญวาเลนไทน์ (Saint Valentine) ในสมัยจักรวรรดิโรมัน ผู้เปี่ยมไปด้วยความรักที่ต่อเพื่อนมนุษย์ โดยทุกๆ วัน เขาจะแอบนำอาหารและของใช้ที่จำเป็น ไปวางไว้ที่ประตูบ้านของคนยากจน นั่นทำให้เขาต้องถูกจับและทรมาน ก่อนถูกประหารชีวิตในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 เนื่องจากในสมัยนั้นห้ามนับถือศาสนาคริสต์

และตอนที่นักบุญวาเลนไทน์อยู่ในคุก เขาได้พบรักกับหญิงสาวตาบอดที่เป็นลูกสาวของผู้คุมขังในนั้น ด้วยความรักและคำอธิษฐาน พระเจ้าจึงทรงโปรดให้ตาของคนรักของเขาได้เห็นเป็นปกติ จากความอัศจรรย์นี้ ทำให้ผู้คุมขังและคนในครอบครัว จึงเชื่อในพระเจ้าทุกคน

เมื่อจักรพรรดิคลอดิอุสที่ 2 (Claudius II) ของโรมทรงทราบ พระองค์ทรงกริ้วมาก จึงมีรับสั่งให้ประหารชีวิตโดยการตัดศีรษะ แต่ในคืนก่อนหน้าประหารชีวิต เขาได้เขียนจดหมายถึงคนรักของเขาว่า From Your Valentine (จากวาเลนไทน์ของเธอ) ต่อมาจึงกลายเป็นตำนานแห่งความรัก ที่เล่าสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน

เล่ามาซะยาว MR.CARRO ขอนำเสนอ 5 วิธีเซอร์ไพรส์แฟนกับรถคู่ใจ เผื่อคุณจะลองนำไปใช้ดูครับ …

Surprise-Fan-In-Valentines-Day

1. ซื้อของขวัญไว้ท้ายรถ

บางที คุณอาจจะลองสืบๆ ดู ว่าเธอชอบอะไรบ้าง หรือถ้าเกิดนึกอะไรไม่ออก ก็อาจจะลองให้ของที่เป็นพื้นฐานทั่วไปก็ได้ เช่น ดอกไม้ ตุ๊กตา เครื่องสำอาง ครีมบำรุงผิวพรรณ ลิปสติก หรือของประดับตกแต่ง พร้อมแนบกระดาษโน้ตข้อความหวานๆ สักประโยคสั้นๆ เอาไว้ให้อ่านแล้วตะลึงกันไปเลย

Surprise-Fan-In-Valentines-Day

2. เปิดเพลงรัก

เพลงรักเพลงไหนบ้างที่เธอชอบฟัง ลองสืบเสาะดู (อีกแล้ว) แล้วค่อยเปิดให้เธอฟังในรถ แต่ถ้าคุณมั่นใจในเสียงของตัวเอง ก็ลองร้องเพลงส่งเป็นคลิปให้เธอดู หรือร้องสดๆ เลยก็ได้ ถ้าเธอชอบเสียงคุณนะ

Surprise-Fan-In-Valentines-Day

3. ลูกโป่งท้ายรถ

บางคน อาจจะเลือกวิธีการเซอร์ไพร์สแฟน ด้วยการนำลูกโป่งไว้เต็มท้ายรถ อาจจะมีเพิ่มลูกโป่งฟอยล์เป็นคำบอกรักแฟนก็ได้ ก็น่าจะสร้างความประทับใจได้ดีทีเดียว แต่ถ้าแฟนที่ไม่ชอบลูกโป่ง ก็อาจจะไม่ทำให้เธอตื่นเต้นนะ แต่ก็ต้องลองดู

Surprise-Fan-In-Valentines-Day

4. ขับรถไปรับหลังเลิกงาน

อันนี้ไม่จำเป็นต้องทำเฉพาะช่วงวันวาเลนไทน์ แต่ทำได้ทุกครั้งถ้ามีโอกาส แสดงให้เห็นถึงความสม่ำเสมอของเรา ยิ่งถ้าเป็นในวันฝนตก หรือวันที่เลิกงานดึกๆ คุณก็สวมบทพระเอกขี่ม้าขาว ขับรถไปรอที่ออฟฟิศเธอล่วงหน้าเลย

ยิ่งในช่วงโควิด-19 มาระลอกใหม่ด้วย จากปกติทุกปีอาจพาไปทานอาหารเย็นก่อนกลับบ้าน ก็เปลี่ยนเป็นแวะไปซื้ออาหารมาทานด้วยกันที่บ้าน ก็ถือเป็นวันที่ยอดเยี่ยมอีกวันแล้ว

Surprise-Fan-In-Valentines-Day

5. นั่งดูรูปเก่าๆ ด้วยกัน

การขับรถพาแฟนไปชมวิวตามสถานที่สวยๆ บรรยากาศดีๆ แม้ว่าช่วงนี้อาจไม่เหมาะนัก เพราะโควิด-19 ยังไม่สร้างซา ก็อาจจะหากิจกรรมที่เข้ากับยุค New Normal ที่ช่วยสร้างความโรแมนติกให้กับคุณทั้งคู่ เช่น การนั่งดูรูปคู่เก่าๆ ที่เคยถ่ายไว้ ก็ดีเหมือนกันนะ ได้รำลึกถึงความหลังไปในตัว

สำหรับคู่รักที่คบหาดูใจกันมานาน หรือพร้อมที่จะเริ่มต้นชีวิตคู่แล้ว วาเลนไทน์ 2021 นี้ คือโอกาสที่ดีที่คุณจะขอเธอแต่งงาน เอาเป็นว่าถ้าองค์ประกอบหลายๆ อย่างที่คุณคิดว่าพร้อม ก็เตรียมแหวน กับคุกเข่าขอเธอมาเป็นภรรยาได้เลย

หากช่วงนี้ใครต้องการซื้อรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพได้มาตรฐาน รับประกันพร้อมโอนทุกคัน หรือหารถมือสองรุ่นที่ต้องการ สามารถเข้ามาดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ CARRO Automall > https://th.carro.co/buy-car หรือโทร. 02-508-8690 หรือจะ Inbox มาสอบถามก็ได้เช่นกัน ที่ Facebook CARRO Automall – รถบ้านมือสอง ถ้าสะดวก Add Line ก็ที่ @carroautomall

ส่วนใครที่อยากขายรถ หรือมีเพื่อนฝูงกำลังหาที่ขายรถอยู่ CARRO เรารับซื้อรถของคุณ สามารถเข้าไปเช็กราคา ตีราคาขายรถก่อนได้ โดยใส่ข้อมูลรถของคุณที่นี่เลย กับ CARRO Express > https://th.carro.co/sell-car/express หรือโทร. 02-508-8425

หรือใครจะ Inbox มาสอบถามก็ได้เช่นกัน ที่ Facebook CARRO Thailand หรือสะดวก Add Line ก็ที่ @Carrothai หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

ดูแลรถยนต์, Carro

วิธีดูแลรถแสนง่าย สาวๆก็ทำได้

เชื่อว่าผู้หญิงหลายๆคน นอกจากเรื่องเครื่องสำอาง เสื้อผ้า ก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องอื่นๆเป็นพิเศษ ยิ่งถ้าเป็นเรื่องรถยนต์ กลายเป็นเรื่องไกลตัวที่ไม่ถนัดเลยจริงๆ และถ้าคุณเป็นสาวโสด หรือไม่มีญาติผู้ชาย ทำให้ขาดคนช่วยให้คำปรึกษา จะให้พึ่งแต่ช่างยนต์ หรือไปเข้าศูนย์บ่อยๆ ก็เสียเวลาและเงินโดยใช่เหตุ

มาๆ ในบทความนี้ Carro จะช่วยอธิบายขั้นตอนการดูแลรักษารถยนต์แบบง่ายๆ ที่สาวๆ สมัยใหม่อย่างคุณ สามารถทำตามได้แน่นอน! แถมยังช่วยยืดอายุการใช้งานให้รถยนต์อีกด้วยนะจ๊ะ

น้ำมันเครื่อง-carro

1. น้ำมันเครื่อง

ก่อนอ่านถึงขั้นตอนการดูแล สาวๆจำเป็นต้องรู้ก่อนว่า น้ำเครื่องมีส่วนสำคัญอย่างไรต่อตัวรถ น้ำมันเครื่อง เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยหล่อลื่นให้เครื่องยนต์นั้น สามารถทำงานได้อย่างราบรื่น สาวๆอาจต้องหมั่นตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่องยนต์อยู่บ่อยๆ เพื่อให้มั่นใจว่ามีปริมาณน้ำมันเครื่องเพียงพอสำหรับหล่อลื่นให้กับเครื่องยนต์ทั้งระบบนั่นเอง

วิธีตรวจเช็กน้ำมันเครื่องนั้นไม่ยาก เพียงแค่ใช้อุปกรณ์ เช่น เศษผ้า หรือกระดาษทิชชู่ เท่านั้น!

  1. จอดรถให้อยู่ในแนวระนาบ ไม่ลาดเอียง เปิดฝากระโปรงรถยนต์ให้เรียบร้อย
  2. มองหาก้านวัดระดับน้ำมันเครื่อง และดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องออกมา เช็ดทำความสะอาดน้ำมันเครื่อง ที่ติดกับก้านวัดออกด้วยเศษผ้า หรือกระดาษทิชชู่
  3. เสียบก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องคืนกลับจุดเดิมอีกครั้ง เพื่อตรวจเช็กระดับน้ำมันเครื่องที่มีอยู่ในอ่างน้ำมันเครื่อง
  4. ดึงก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องออกมาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่องที่บริเวณปลายของก้านวัด

ถ้าระดับน้ำมันเครื่องอยู่ระหว่างขีด “F” กับ “L” หรือ “Max กับ Min” แสดงว่าน้ำมันเครื่องอยู่ในระดับปกติ ไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป แต่ควรรักษาระดับของน้ำมันเครื่องให้อยู่สูงกว่าครึ่งหนึ่ง ของขีด  “F” กับ “L” หรือ “Max กับ “Min” อยู่เสมอ

TIPS:

  • สาวๆ ควรเช็กระดับน้ำมันเครื่อง ทุกๆ 1-2 สัปดาห์/ครั้ง หรือ อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง นะคะ
  • ต้องทำในขณะที่เครื่องยังร้อนหรือมีอุณหภูมิที่ยังคงอุ่นอยู่ โดยให้ตรวจวัดระดับน้ำมันเครื่อง หลังจากดับเครื่องประมาณ 1-3 นาที

น้ำมันเบรก-carro
2. น้ำมันเบรก

คือ ของเหลวชนิดหนึ่งไว้ส่งถ่ายแรงจากเท้าเรา ไปยังลูกสูบปั้มเบรคล่าง (คาลิเปอร์) ซึ่งเวลาเบรกนั้น ผ้าเบรกมีส่วนผสมของโลหะ กับจานเบรกที่เป็นโลหะเสียดสีกัน ก็จะทำให้เกิดความร้อนสะสมนั่นเอง!

วิธีเช็กน้ำมันเบรก เวลาเปิดกระโปรงหน้ารถ เราจะเห็นกระปุกน้ำมันเบรก (จะอยู่ติดกับตัวหม้อลมเบรก) มีคำว่า MAX และ MIN แน่นอนว่า ระดับน้ำมันเบรกต้องอยู่ที่ระดับ MAX เสมอนะคะ

TIPS:

  • ถ้าน้ำมันเบรกตกไปอยู่ที่ระดับ MIN ให้สันนิฐฐานไว้ 2 กรณีว่า อาจมีการรั่วของน้ำมันเบรกออกจากระบบเบรก ออกจากสายเบรก หรือผ้าเบรกอาจสึก เป็นผลให้ซึ่งระดับน้ำมันเบรกลดน้อยลง ควรรีบนำรถไปตรวจที่ศูนย์ซ่อมหรืออู่นะ อย่างปล่อยทิ้งไว้ เพื่อความปลอดภัยขณะขับขี่
  • หมั่นตรวจดูว่าที่ล้อแม็กซ์ หรือเบรก ว่ามีคราบน้ำมันเบรกรั่วซึม หรือกระจายออกมาบ้างหรือเปล่า? ถ้ามีก็ควรรีบนำรถไปเข้าศูนย์ซ่อมหรืออู่เช่นกันจ้า

 

ยางรถยนต์-carro3. ยางรถยนต์

ถือว่าเป็นชิ้นส่วนสำคัญที่สาวๆไม่ควรมองข้าม ถ้าหากยางรถยนต์มีการใช้งานเป็นเวลานานแล้ว ควรหมั่นเช็กยางรถยนต์กันสักหน่อยว่า ยางรถยนต์พร้อมใช้งานหรือไม่ หรือหมดสภาพไปแล้วหรือยัง? ไม่งั้นอาจเกิดอันตรายแบบกระทันหันได้นะ เพราะเราเป็นห่วง!

วิธีเช็กยางรถยนต์

  • ความลึกของดอกยางรถยนต์ไม่ควรต่ำกว่า 3 มิลลิเมตร ซึ่งความลึกของดอกยางใหม่ จะมีความลึกประมาณ 8 – 9 มิลลิเมตร หรือลองใช้ไม้ขีดไฟทิ่มลงไปในร่องยางรถยนต์ ถ้าคุณเห็นหัวไม้ขีดสีแดง ก็หมายความว่าดอกยางเหลือน้อยเกินไปที่จะใช้งานต่อไป!
  • เช็กดูโครงสร้างของยางชำรุดหรือไม่ เช่น ถูกของมีคมบาดเป็นรอยแผลใหญ่ หรือโครงสร้างซ้ำจากการเกิดอุบัติเหตุ เช่น ปีนขอบทางเท้าอย่างรุนแรง จนเกิดความเสียหายไปถึงกระทะล้อรถยนต์ ซึ่งหมายความว่า หน้ายางรถยนต์ โดยเฉพาะแก้มยางรถยนต์ จะถูกบดไปกับขอบทางเท้า ทำให้ได้รับความเสียหายมากแน่นอน ซึ่งถ้าแก้มยางรถยนต์ มีรอยแตก อาจนำไปสู่ ยางรถยนต์ระเบิด หรือแตก ขณะที่ขับขี่ด้วยความเร็วสูงได้นะคะ ( ข้อนี้ ถ้าเป็นมือใหม่ อาจมีการกะระยะเลี้ยวผิด ต้องระวังมากๆนะคะ )
  • อายุการใช้งานสูงสุดของ ยางรถยนต์ ไม่ควรเกิน 4-5 ปี นับตั้งแต่เริ่มใช้งาน

แบตเตอรี่-carro

4. แบตเตอรี่

มีหน้าที่เก็บ-จ่ายกระแสไฟฟ้าไปยังอุปกรณ์ต่างๆ ของเครื่องยนต์ทำงาน เช่น มอเตอร์สตาร์ท ระบบจุดระเบิด ในขณะที่สตาร์ทรถยนต์ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ป้อนพลังงานให้กับ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกหลายอย่างภายในรถ เช่น ระบบไฟส่องสว่าง วิทยุ และแตร เป็นต้น

วิธีเช็กแบตเตอรี่ ให้ระดับน้ำกลั่นอยู่ในตำแหน่ง UPPER LEVEL ไม่ควรเติมเกินกว่านี้ และสังเกตเวลาสตาร์ทรถ ถ้าเครื่องยนต์สตาร์ทติดยากกว่าปกติ ต้องบิดกุญแจหรือกดปุ่มสตาร์ทหลายๆ ครั้ง อาจจะเป็นสัญญานเตือนว่าแบตเตอรี่ใกล้หมดก็เป็นได้ อ่านต่อ.. 3 สัญญาณเตือน ว่า “แบตเตอรี่” รถยนต์ของคุณกำลังเสื่อม!

TIPS:

  • แบตเตอรี่รถส่วนใหญ่จะมีอายุการใช้งานประมาณ 4 – 5 ปี แต่ในภูมิอากาศเขตร้อนอาจจะอยู่ได้แค่ประมาณ 3 ปีเท่านั้น ถ้าชาร์จแบตเตอรี่แล้วพบว่า ประจุไหลออกทั้งที่ไม่ได้ใช้รถ แสดงว่าได้เวลาต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่แล้วล่ะ
  • หลังจากซื้อแบตเตอรี่ลูกใหม่ อย่าลืมกำจัดแบตเตอรี่ลูกเก่า ให้ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด แต่โดยปกติ ร้านจำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์ส่วนใหญ่ จะดูแลเรื่องการกำจัดแบตเตอรี่ให้แก่คุณเอง ข้อนี้หมดห่วง!
  • คุณสามารถทดสอบและชาร์จแบตเตอรี่ได้ที่ร้านจำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์ใกล้ๆบ้าน
  • ก่อนที่จะหาซื้อไดชาร์จใหม่ ควรให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบระบบให้ละเอียดขึ้น
  • ระวังอย่าให้เกิดการลัดวงจรระหว่างขั้วแบตเตอรี่เป็นอันขาด เพราะอาจทำให้เกิดไฟไหม้รุนแรง ทำให้ขั้วต่อเสียหาย หรือเกิดการระเบิด เนื่องจากก๊าซไฮโดรเจนที่เล็ดลอดออกมา

น้ำหล่อเย็น-carro

5. น้ำหล่อเย็น

เป็นของเหลวอีก 1 จุด ที่สาวๆควรตรวจเช็กเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง แต่ถ้ารถที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 5 ปี ควรตรวจเช็กให้บ่อยขึ้น สัปดาห์ละประมาณ 2-3 ครั้ง

วิธีเช็กน้ำหล่อเย็น ควรทำในขณะที่เครื่องยนต์เย็นลงแล้ว (ห้ามเปิดฝาหม้อน้ำในขณะที่เครื่องยนต์ยังร้อน เพื่อป้องกันแรงดันของน้ำร้อน อาจจะพุ่งขึ้นมาได้นะคะ) โดยเช็กดูระดับน้ำในหม้อพักน้ำของหม้อน้ำให้อยู่ระหว่าง “FULL / MAX” และ “LOW” หากน้ำมีระดับต่ำกว่าขีด “LOW” ให้เติมน้ำยาหล่อเย็นให้อยู่ในระดับ “FULL / MAX” อยู่เสมอ ไม่ต้องเติมจนเต็มนะ!

TIPS:

  • อย่าปล่อยให้ระบบน้ำยาหล่อเย็นลดลงเกินกว่ากำหนด เพราะถ้าเกิดเครื่องยนต์มีความร้อนสูงมาก จะทำให้เครื่องยนต์น็อคและเสี่ยงพังเอาง่ายๆ
  • ส่วนการเติมน้ำยาหล่อเย็น ให้เติมน้ำยาแบบเดียวกันเท่านั้น เนื่องจากแต่ละยี่ห้อแต่ละสูตร มีการผสมสารเคมีที่แตกต่างกัน ซึ่งเมื่อผสมกันอาจทำปฏิกิริยาระหว่างกัน และไปกัดกร่อนส่วนต่างๆ ของระบบระบายความร้อนได้ ในกรณีที่ระดับน้ำในหม้อพักน้ำอยู่ในระดับต่ำ และยังไม่สามารถหาซื้อน้ำยาหล่อเย็นได้ สามารถเติมน้ำกลั่นแทนก่อนได้ค่ะ

น้ำปัดน้ำฝน-carro6. น้ำปัดน้ำฝน

ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลยนะ เพราะเวลาขับรถยามฝนตก หรือลุยทางที่มีฝุ่นมากๆ น้ำปัดน้ำฝนช่วยขจัดคราบสิ่งสกปรกที่กระเด็นมาติดบริเวณกระจกได้

วิธีเช็กน้ำปัดน้ำฝน เปิดฝาถังน้ำ และให้สังเกตุน้ำว่าแห้งหรือไม่ ถ้าแห้ง ให้หาน้ำเปล่ามาเดิมก่อนได้ (น้ำเปล่า คือ น้ำก๊อก, น้ำประปา หรือน้ำดื่ม)

TIPS:

  • ควรเติมให้ได้ระดับขีดที่กำหนดไว้ เผื่อเวลามีเหตุฉุกเฉินขณะขับรถ จะได้มีน้ำฉีดทำความสะอาดกระจกรถ ทำให้มองเห็นทางข้างหน้าได้ชัดเจน ไม่เป็นอันตรายนะคะ
  • ไม่ควรใช้ แชมพูผสมน้ำ เพราะแชมพู อาจตกตะกอน และทำให้เกิดการอุดดันที่รูหัวฉีด เดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่!

 

เป็นอย่างไรบ้างคะ คิดว่าคงไม่ยากเกินจนสาวๆ ทำตามกันไม่ได้นะคะ สมัยนี้เป็นผู้หญิงต้องสวย และสตรอง!

แบตเตอรี่-รถยนต์

แบตเตอรี่รถยนต์ เปรียบเสมือนเป็นหัวใจของรถยนต์

แบตเตอรี่รถยนต์ มีหน้าที่เก็บและจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ต่างๆ ของเครื่องยนต์เพื่อให้ทำงานได้ เช่น มอเตอร์สตาร์ท ระบบจุดระเบิด ในขณะที่สตาร์ทรถยนต์

นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ป้อนพลังงานให้กับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกหลายๆ อย่าง เช่น ระบบไฟส่องสว่าง วิทยุ และแตร เป็นต้น ซึ่งแบตเตอรี่รถยนต์มีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ

1. แบบเปียก  เป็นชนิดที่นิยมใช้กันเป็นส่วนใหญ่ แบ่งย่อยออกได้อีกเป็น 2 แบบ คือ แบบที่ต้องเติมน้ำกลั่นบ่อยๆ อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง กับ แบบไม่ต้องดูแลบ่อย (Maintenance Free) (หรือ แบบกึ่งแห้ง) ซึ่งจะกินน้ำกลั่นน้อยมาก โดยทั้ง 2 แบบ จะมีฝาปิด-เปิด สำหรับเติมน้ำกลั่น ส่วนใหญ่จะมีอายุการใช้งานโดยประมาณ 1.5-2 ปี และอายุมักไม่เกิน 3 ปี

2. แบบแห้ง ไม่ต้องเติมน้ำกลั่น มีความทนทาน มีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า และ มีราคาแพง แบตเตอรี่แบบแห้งนี้จะมีอายุการใช้งานโดยประมาณ 5-10 ปี แบตเตอรี่แบบนี้ไม่มีฝาปิด-เปิดสำหรับเติมน้ำกลั่น หรือไม่ก็ถูกซีลทับฝาไปเลย แต่จะมีตาแมวไว้ สำหรับไว้คอยตรวจเช็คระดับน้ำกรด และ ระดับไฟชาร์จ

แบตเตอรี่รถยนต์ ควรเลือกแอมแปร์ให้พอดี หรือมากกว่านิดหน่อย แบตเตอรี่ที่มีขนาดแอมแปร์มากกว่า จะใช้งานได้ทนนานกว่าแบตเตอรี่ที่มีขนาดแอมแปร์น้อยกว่า

– รถเก๋ง ญี่ปุ่น เครื่องยนต์ 1200-1800 ซีซี ควรเลือกใช้แบตเตอรี่ขนาด 45-60 แอมป์

– รถเก๋ง ญี่ปุ่น เครื่องยนต์ 2000-3000 ซีซี ควรเลือกใช้แบตเตอรี่ขนาด 60-75 แอมป์

-รถเก๋ง ยุโรป เครื่องยนต์ 2000-3000 ซีซี ควรเลือกใช้แบตเตอรี่ขนาด 75 แอมป์ ขั้วจม

– รถเก๋ง ยุโรป เครื่องยนต์ 2800-4000 ซีซี ควรเลือกใช้แบตเตอรี่ขนาด 100 แอมป์ ขั้วจม

– รถกระบะ เครื่องยนต์ 2000-3000 ซีซี ควรเลือกใช้แบตเตอรี่ขนาด 70-90 แอมป์

ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งาน และ การดูแลรักษา ถ้ามีการดูแลรักษาอยู่สม่ำเสมอก็จะทำให้แบตเตอรี่รถยนต์มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น แต่เมื่อถึงอายุการใช้งานของมัน ก็สมควรที่จะเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่ได้แล้ว

แบตเตอรี่-รถยนต์

จริงๆ แล้วไม่ว่าแบตเตอรี่ที่ใช้จะเป็นแบบแห้ง หรือแบบเปียก มักจะมีสัญญาณเตือนก่อนที่แบตฯ จะหมดคล้ายๆ กัน ซึ่งสัญญาณเตือนแบตเตอรี่มีปัญหาหลักๆ ดังนี้

  1. รถสตาร์ทติดยากกว่าปกติ

เวลาสตาร์ทรถเสียงมอเตอร์จะหมุนช้าเหมือนไม่มีแรง หรือถึงขั้นสตาร์ทไม่ติด แสดงว่ามีประจุไฟไม่พอสำหรับสตาร์ทเครื่องยนต์ โดยเฉพาะช่วงเช้า หรือ จอดทิ้งไว้นานหลายวัน  ซึ่งกรณีนี้อย่าเพิ่งฟันธงว่าต้นเหตุมาจากแบตเตอรี่นะครับ

แนะนำ ให้ลองพ่วงชาร์จหลังจากนั้นลองสตาร์ทดูก่อน ลองขับใช้งานปกติ และเมื่อดับเครื่องยนต์กลับมาสตาร์ทติด แสดงว่าไดชาร์จไม่มีปัญหา แต่ถ้าจอดข้ามคืนแล้วสตาร์ทติดยากหรือสตาร์ทไม่ติดคราวนี้ แน่นอนว่าแบตเตอรี่รถคุณเริ่มเสื่อมสภาพไม่สามารถเก็บประจุไฟไว้ได้

  1. อุปกรณ์ต่างๆ ของเครื่องยนต์ทำงานผิดปกติ

เช่น เปิดกระจกไฟฟ้าขึ้น-ลงทั้ง 2 ข้าง พร้อมๆ กัน (กระจกคู่หน้า) แต่ถ้ากระจกขึ้นลงหนืด ก็แปลว่าอาการที่เราสตาร์ทรถไม่ติดมาจากแบตเตอรี่เสื่อมนั่นเอง หรือระบบล็อคประตู และการทำงานของกระจกไฟฟ้าช้าลงกว่าปกติ อืดๆ ไม่เร็วเหมือนเดิม

  1. ไฟส่องสว่างด้านหน้ารถยนต์ไม่ส่องสว่างเท่าเดิม

ให้สังเกตุความสว่างของไฟฟ้าตอนกลางคืนว่าลดลงจากปกติหรือไม่ ถ้าความสว่างของไฟหน้าลดลงอย่างเห็นได้ชัด แสดงว่าอาการรถสตาร์ทไม่ติดน่าจะมากจากแบตเตอรี่เสือม แต่ถ้าความสว่างยังปกติดี

ดังนั้น ถ้าคุณพบว่ารถคุณเริ่มมีอาการต่างๆ เหล่านี้ รวมถึงอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ ก็ใกล้ถึงเวลาที่ควรจะเปลี่ยนแล้ว สิ่งที่คุณควรทำคือ รีบเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่ ก่อนที่จะสร้างความลำบากให้กับคุณได้ แบบไม่มีการบอกล่วงหน้า

5 วิธีอัพเกรดรถยนต์คู่ใจ ให้ขับขี่ปลอดภัยทุกเส้นทาง

ขับขี่ปลอดภัยมากขึ้น ด้วยวีธีอัพเกรดรถเหล่านี้

ในทุกวันนี้ สิ่งที่อาจดูเป็นอันตรายและมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยมากที่สุดในแต่ละวันของเรา ก็อาจเป็นเพียงแค่การขับรถไป ณ ที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งถ้าใครเป็นเจ้าของรถรุ่นใหม่ใหม่ก็ถือว่าโชคดีไป เพราะว่ามักจะมีฟังชั่นเจ๋งๆไว้เพิ่มความปลอดภัยให้รถ เช่น เทคโนโลยีการเปลี่ยนเลนอย่างปลอดภัย เทคโนโลยีช่วยถอยรถเข้าซอง และระบบอัจฉริยะที่ป้องกันการพุ่งชนสิ่งกีดขวางได้ทันท่วงทีเป็นต้น

แต่ถ้าหากเพื่อนๆยังคงรักรถเก่าคู่ใจของเรา และยังไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนรถใหม่ เพื่อนๆก็ยังสามารถอัพเกรดรถคู่ใจของเราให้สามารถขับขี่ปลอดภัยได้ โดยไม่ต้องซื้อรถใหม่ แถมยังอาจช่วยให้เราประหยัดค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษารถได้เพิ่มขึ้นด้วยค่ะไปดูกันเลยว่ามีวิธีใดบ้าง

1) อัพเกรดยางรถ

5 วิธีอัพเกรดรถยนต์คู่ใจให้ขับขี่ปลอดภัยทุกเส้นทาง

การที่เราจะขับขี่ปลอดภัยบนถนนได้นั้น ก็เริ่มจากการที่เราใส่ใจเรื่องยางรถยนต์เป็นอันดับแรก เพราะเป็นส่วนเดียวของรถที่สัมผัสกับท้องถนนโดยตรง ซึ่งถ้าหากรถคู่ใจของเพื่อนๆ ไม่มีระบบเบรคที่ทันสมัยแต่อยากขับขี่ปลอดภัย ก็ให้เริ่มต้นที่ยางค่ะ ถ้าหากยางดี ก็จะช่วยให้เราสามารถเบรคได้ดียิ่งขึ้น รวมไปถึงยางที่ดีจะทำให้ควบคุมศูนย์ถ่วงและควบคุมทิศทางได้ดียิ่งขึ้นด้วย

แม้ว่ายางที่ได้มาตอนซื้อรถจะถือว่าดีในระดับหนึ่งที่ทำให้เราขับขี่ปลอดภัย แต่การอัพเกรดยางให้ดียิ่งขึ้นจะทำให้เพื่อนๆสามารถขับขี่บนท้องถนนได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น โดยยางควรมีดอกยางที่ลึกเพื่อรับกับสภาพเปียกชื้นบนท้องถนน และเดี๋ยวนี้ผู้ผลิตยางหลายเจ้าก็มีเครื่องมือออนไลน์เอาไว้ให้เราเลือกยางที่เหมาะสมกับรถของเรา หรือจะเข้าไปที่อู่ซ่อมรถและอู่เปลี่ยนยางเพื่อปรึกษาดูก็ได้ค่ะ

2) จัดระเบียบอุปกรณ์ และสายระโยงระยาง

5 วิธีอัพเกรดรถยนต์คู่ใจให้ขับขี่ปลอดภัยทุกเส้นทาง

ถ้าเพื่อนๆใช้ระบบสเตริโอรถรุ่นเก่า การที่เราอยากจะฟังเพลง mp3 หรือเพลงจากมือถือของเรา ก็ต้องใช้วิธีโมระบบรถด้วยการต่อสายระโยงระยางต่างๆ พอเราแต่งเติมสิ่งของเหล่านี้มากๆเข้า ก็ยิ่งทำให้มีสายระโยงระยางมากขึ้น ทำให้อาจบดบังทัศนวิสัย รวมไปถึงรบกวนการขับรถของเราได้ ทางที่ดีถ้าอยากขับขี่ปลอดภัย ก็ให้อัพเกรดอุปกรณ์เป็นดังนี้ค่ะ

  • ที่เสียบ usb แบบ 2 หัว: เหตุผลที่ควรมี 2 หัว ก็เพื่อว่าเวลาเราต้องการเสียบ usb เข้ากับหลายๆอุปกรณ์จะได้ไม่ต้องมาคอยถอดสายอันนึงแล้วเสียบเข้าไปใหม่ระหว่างขับรถนั่นเองค่ะ
  • สาย usb แบบยืดหดได้: สาย usb เช่นนี้จะทำให้เพื่อนๆสามารถปรับความยาวของสายให้ไม่มาเกะกะเราตรงที่นั่งคนขับได้ค่ะ
  • ที่ตั้งโทรศัพท์มือถือ: ให้เพื่อนๆล็อคโทรศัพท์มือถือเอาไว้กับที่ตั้งตรงส่วนหน้าปัดรถ หรือตรงช่องแอร์ก็ได้ จะทำให้เพื่อนๆสามารถเปิดแผนที่ดูเส้นทางจากโทรศัพท์มือถือได้อย่างง่ายดายค่ะ

3) ติดตั้งกล้องมองหลัง

5 วิธีอัพเกรดรถยนต์คู่ใจให้ขับขี่ปลอดภัยทุกเส้นทาง

ในขณะที่ปัจจุบันรถรุ่นใหม่ก็มักจะมีระบบที่สามารถแสดงภาพจากด้านหลังของรถได้ แต่สำหรับรถเก่าของเรา ถ้าหากอยากขับขี่ปลอดภัย ก็ควรติดตั้งกล้องมองหลังเอาไว้ด้วยเช่นกันค่ะ เพราะถ้าหากเราพึ่งกระจกมองหลังแต่เพียงอย่างเดียว อาจจะไม่สามารถมองเห็นสิ่งกีดขวางต่างๆที่หลังรถได้อย่างทั่วถึงค่ะ

ด้วยกล้องมองหลังถือเป็นสิ่งจำเป็นเนื่องจากผู้ขับขี่บนท้องถนนกว่าครึ่ง เคยเจอประสบการณ์ที่เกือบถอยรถชนสิ่งกีดขวางหรือชนคน เราจึงควรขับขี่ปลอดภัยและป้องกันเอาไว้ก่อนค่ะ

 

4) ติดตั้งระบบเตือนในมุมอับ

5 วิธีอัพเกรดรถยนต์คู่ใจให้ขับขี่ปลอดภัยทุกเส้นทาง

รถทุกคันมักจะมีมุมอับ ซึ่งเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ที่เราไม่สามารถมองเห็นได้เมื่อเรากำลังขับรถและมองไปข้างหน้า หรือแม้แต่ตอนที่เรามองกระจกส่องทาง นั่นทำให้ผู้ขับรถส่วนใหญ่ต้องการมองในมุมอับก็จะต้องหันหัวไปที่มุมนั้นเพื่อระแวดระวังอันตรายที่อาจเกิดขึ้น และแม้ว่าเพื่อนๆจะหันไปเช็กเอง ก็อาจจะไม่ได้ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ เนื่องจากทัศนวิสัยอาจจะไม่ดีได้ค่ะ

ทางที่ดี การติดตั้งระบบเตือนในมุมอับจะช่วยให้เพื่อนๆสามารถเปลี่ยนเลนได้อย่างปลอดภัย ซึ่งระบบเตือนเหล่านี้จะใช้เซ็นเซอร์ที่จะคอยตรวจจับอย่างอัตโนมัติว่ามียานพาหนะอื่นๆ เข้ามาอยู่ในมุมอับของเราหรือไม่ และถ้ามีก็จะส่งสัญญาณบอกเราให้ทราบ จึงทำให้เราสามารถขับขี่ปลอดภัยและโฟกัสไปที่ถนนทั้งข้างหน้าได้อย่างหมดห่วงค่ะ

 

5) ถอดกันชนแบบ Bull Bar ออก

5 วิธีอัพเกรดรถยนต์คู่ใจให้ขับขี่ปลอดภัยทุกเส้นทาง

สิ่งนี้น่าจะเป็นเหมือนการอัพเกรดให้น้อยลงเพื่อการขับขี่ปลอดภัยมากกว่านะค่ะ โดยกันชนแบบ Bull Bar นี้สามารถพบเห็นได้ตามรถขนาดใหญ่เช่นรถกระบะ 4 ประตู ซึ่งจริงๆแล้วกันชนประเภทนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ขับขี่ในเส้นทางกันดารหรือในป่าเขาที่มีโอกาสขับชนสัตว์ป่าเอาได้ง่ายๆ และสร้างความเสียหายแก่ตัวรถยนต์

แต่อย่างไรก็ดี ถ้าหากเพื่อนๆขับรถในตัวเมืองหรือตามย่านที่อยู่อาศัย การมีกันชนแบบ Bull Bar ก็อาจสร้างความเสียหายและทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บได้ง่ายกว่าถ้าหากเราขับรถไปชนคนเข้าค่ะ เพราะฉะนั้น ถ้าหากอยากขับขี่ปลอดภัยทั้งต่อตัวเองและคนรอบข้าง ก็ควรเอากันชนเช่นนี้ออกค่ะ

 

เห็นไหมค่ะว่า ไม่ว่ารถของเพื่อนๆจะเก่าหรือใหม่ เราก็มีทางอัพเกรดรถยนต์ให้เราสามารถขับขี่ปลอดภัยได้เสมอ อุปกรณ์เหล่านี้ก็มีราคาไม่สูงมากค่ะ หรือถ้าเพื่อนๆมองว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนรถคันใหม่จริงๆ ด้วยปัจจัยหลายๆอย่าง สามารถนำรถคันเก่าของเพื่อนๆ มาขายได้ที่ คาร์โร นะคะ จะได้นำเงินไปดาวน์เพื่อซื้อรถคันใหม่ค่ะ (ขายรถ คลิกที่ลิงค์ > th.carro.co/sell-car/express )

นอกจากนี้ ถ้าหากเพื่อนๆอยากขับขี่ปลอดภัยและอุ่นใจตลอดทุกเส้นทาง ก็อย่าลืมทำประกันรถยนต์ติดไว้ด้วยค่ะ เพื่อจะได้นำมาแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ไม่คาดฝันกับรถของเราได้ค่ะ เพื่อนๆสามารถเข้ามาเปรียบเทียบประกันรถยนต์ได้ที่เว็บไซต์โกแบร์เลยนะค่ะ

รถกระบะ

รู้หรือไม่ว่า
ประเทศไทยเป็นประเทศที่ใช้รถกระบะมากที่สุดในโลก

เพราะไม่ว่าคุณจะหันไปทางไหน ก็เห็นแต่รถกระบะเต็มไปหมด คุณคงสงสัยล่ะสิ ว่าทำไมรถกระบะถึงได้รับความนิยมในไทยมากมายขนาดนั้น

วันนี้ Carro เลยขอรับอาสาออกไปตะลุยหาเหตุผลมาให้เพื่อนๆ ดูกันว่า ทำไมรถกระบะถึงมีคนใช้กันแพร่หลาย และมันเหมาะกับคนไทยยังไง มาฝากจ้าาาาา

รถกระบะ

5 เหตุผลทำไม “รถกระบะ” ถึงเหมาะกับคนไทย

  • มีตัวเลือกที่หลากหลาย

รถกระบะ มีให้คุณได้เลือกกันมากมายหลายยี่ห้อ อีกทั้งยังมีไลน์อัพสินค้ามากถึง 30 ไลน์อัพเลยทีเดียว ทั้งนี้ก็เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลายยังไงล่ะ แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ยังไม่รวมรุ่นเครื่องยนต์ขนาดเล็กใหญ่ และการตบแต่งพิเศษอีกด้วยนะ

 

  • รถกระบะมีราคาค่อนข้างถูก

เนื่องจากกฎข้อบังคับทางด้านการลงทุนของรัฐบาล และด้วยการสนับสนุนดังกล่าว ทำให้มีการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศบ้าง ซึ่งนี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้รถกระบะมีราคาค่อนข้างถูก เมื่อเทียบกับรถเก๋ง หรือรถอเนกประสงค์อื่นๆ ที่ไม่ได้มีการส่งเสริมการลงทุน หรือสนับสนุนในลักษณะนี้

 

  • ประหยัดน้ำมันมากกว่า

ข้อดีของรถกระบะในบ้านเรา คือ เป็นเครื่องยนต์ดีเซลทั้งหมดทุกรุ่น ซึ่งเครื่องยนต์ดีเซลเหล่านี้สมัยก่อนอาจจะเสียงดังน่ารำคาญ แต่ในปัจจุบันศักยภาพในการขับขี่ได้พัฒนาให้ดีขึ้น โดยเฉพาะการประหยัดน้ำมันที่ดีกว่า แถมราคาน้ำมันดีเซลก็ถูกว่าเบนซินอีกด้วย

รถกระบะ

 

  • ตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่หลากหลาย

รถกระบะเป็นรถที่แปลก คือ ไม่ว่าคุณจะขับรถอย่างไร หรือมีรูปแบบการใช้ชีวิตแบบไหน มันก็ลงตัวกับคุณได้อย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ว่าคุณจะขับรถทุกวัน เดินทางไกลเป็นประจำ ความประหยัดของเครื่องยนต์ดีเซล ก็จะช่วยให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้มาก หรือถึงคุณจะไม่ขับรถทุกวัน แต่ชอบเที่ยวในวันว่าง รถกระบะก็พร้อมพาคุณ และเพื่อนๆ เดินทางเปิดโลกกว้าง แถมยังมีความสามารถในการลุยมากกว่า รถเก๋ง หรืออเนกประสงค์บางรุ่นอีกด้วย

 

  • ปลอดภัยกว่า

เรื่องธรรมชาติของความปลอดภัย คือ เรื่องมวล และน้ำหนัก ซึ่งรถกระบะมีขนาดใหญ่กว่า มีการทรงตัวที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับรถเก๋ง รวมถึงหากเกิดอุบัติเหตุ เกิดการชนขึ้นมาจริงๆ รถใหญ่จะได้รับความเสียหายน้อยกว่า ตามหลักการพื้นฐานของฟิสิกส์ เรื่องมวลรถ ตลอดจนหากชนกับรถเก๋ง มันก็ยังปกป้องคุณได้มากกว่าอีกด้วยล่ะค่ะ

 

อย่างไรก็ตาม หากคุณไม่ได้ติดที่รูปร่างลักษณะของรถยนต์ เราก็อยากให้คุณได้ลองขับรถกระบะดู แล้วคุณจะรู้ว่า รถกระบะนั้นตอบสนองต่อชีวิตประจำวันของคุณได้อย่างดีเยี่ยมเลยล่ะ (เลือกซื้อรถกระบะมือสอง คลิก> https://th.carro.co/taladrod/pickup )

ดูแลรถยนต์ช่วงหน้าฝน


ตอนนี้ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเต็มตัวแล้ว ซึ่งช่วงฝนตกนี้เป็นอะไรที่เซ็งสุดๆ เลย เพราะมันทั้งเฉอะแฉะ ทั้งเปียก ทำอะไรก็ลำบากไปหมด ไหนจะไม่สบายจากการตากฝนอีก ดังนั้น เพื่อนๆ ต้องดูแลสุขภาพของตัวเองกันด้วยนะคะ

แต่เอ๋… นอกเหนือจากการดูแลสุขภาพของตัวเองแล้ว การดูแลรถยนต์ก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะการที่รถตากฝนบ่อยๆ รถก็อาจจะไม่สบายได้ ฉะนั้น คุณจึงต้องดูแลรถให้มากขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งยังต้องทำความสะอาด และดูแลอย่างเป็นพิเศษอีกด้วย

วันนี้ คาร์โร จึงมีเทคนิค เคล็ด(ไม่)ลับ วิธีดูแลรถยนต์ในช่วงหน้าฝนอย่างง่ายๆ มาฝาก

ดูแลรถยนต์ช่วงหน้าฝน

5 เทคนิค เคล็ด(ไม่)ลับ ดูแลรถยนต์ ในช่วงหน้าฝน

  • ลุยฝนมา ให้รีบล้างรถ

หลังจากที่รถของคุณผ่านการตากฝนมาอย่างหนักหน่วง สิ่งที่คุณควรทำ ก็คือ ใช้น้ำเปล่าฉีดล้างให้คราบต่างๆ หลุดออกจากรถไปให้หมดก่อน แล้วจึงค่อยเช็ดด้วยผ้าสำหรับเช็ดรถ

เพราะการที่รถตากฝนมา แล้วคุณดันปล่อยรถทิ้งไว้โดยไม่ล้าง เพราะคิดว่าน้ำฝนได้ชะล้างสิ่งสกปรกไปหมดแล้ว ก็อาจทำให้เกิดคราบฝังแน่น และส่งผลต่อสีรถของคุณได้

 

  • ห้ามเช็ดรถ โดยไม่ได้ล้าง

กรณีนี้ก็เช่นกัน คนส่วนใหญ่มักคิดว่าการที่รถของคุณไปลุยฝนมา ก็เหมือนเป็นการล้างรถแล้ว ดั้งนั้น พอถึงบ้านปั๊บคุณก็เลยเช็ดรถปุ๊บ ซึ่งเราขอบอกเลยว่า ห้ามทำเด็ดขาด เพราะถ้าคุณเช็ดรถโดยไม่ได้ล้าง ก็อาจทำให้เกิดรอยขนแมวกับรถของคุณได้

 

  • ใต้ต้นไม้ ห้ามจอดรถ

ในช่วงหน้าฝนแบบนี้ ทางที่ดีคุณควรจอดรถให้ห่างต้นไม้ไว้จะดีกว่า เพราะในช่วงที่ฝนตกหนัก กิ่งไม้ ใบไม้ เกสรดอกไม้ ผลของต้นไม้ อาจจะปลิวหล่นมาโดนรถของคุณได้ หรืออย่างหนัก ต้นไม้ทั้งต้นก็อาจโค่นล้มลงมาทับรถของคุณจนพังเสียหายยับเยิน

 

  • เคลือบสีรถ ช่วยได้เยอะ

รู้หรือไม่ว่า ฝนที่ตกลงมานั้นมีสภาพเป็นกรดอ่อนๆ ซึ่งจะส่งผลต่อสีรถของคุณ ทำให้สีรถหมอง ดังนั้น หลังจากที่คุณทำความสะอาดรถเรียบร้อยแล้ว คุณควรนำรถไปเคลือบสีซะ

เพราะการเคลือบสี นอกจากจะทำให้รถของคุณสีสวยไม่ซีดแล้ว ยังช่วยให้น้ำไม่เกาะรถอีกด้วย แถมยังช่วยป้องกันคราบต่างๆ ได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญยังช่วยให้คุณล้างรถได้ง่ายขึ้นอีก

 

  • หมั่นเช็กสภาพรถ

ในช่วงหน้าฝนแบบนี้ การตรวจเช็กสภาพรถยนต์ถือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ของคุณ

 

ดูแลรถยนต์ช่วงหน้าฝน

ตรวจเช็กสภาพรถยนต์ ในช่วงหน้าฝน
เพื่อป้องกันอันตรายในการขับขี่

  • ใบปัดน้ำฝน

เรื่องทัศนวิสัยในการขับขี่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ยิ่งในช่วงฝนตกหนักยิ่งทำให้การมองทางของผู้ขับขี่แย่เข้าไปใหญ่ ดังนั้น การมีใบปัดน้ำฝนที่ยังคงทำงานได้ดีอยู่ จะช่วยให้คุณอุ่นใจในเรื่องการขับขี่มากขึ้นยังไงล่ะ

 

  • ยางรถยนต์

อย่างที่ทราบกันดีว่า ฝนตกถนนจะลื่นมาก และถ้าดอกยางของคุณไม่ดีล่ะก็ อุบัติเหตุถามหาแน่ๆ ดังนั้น คุณจึงควรหมั่นเช็กยางรถยนต์อยู่เสมอ ซึ่งการเช็กสภาพยางรถยนต์ก็ไม่ยากเลย คุณสามารถสังเกตได้จาก ถ้าดอกยางรถยนต์ของคุณมีความลึกต่ำกว่า 3 มิลลิเมตร ก็หมายความว่าถึงเวลาเปลี่ยนแล้วล่ะ

 

  • ระบบไฟส่องสว่าง

การตรวจเช็กระบบไฟส่องสว่าง จะช่วยลดอุบัติเหตุลงได้ ซึ่งคุณควรตรวจเช็กทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้า ไฟเบรกไฟท้าย ไฟเลี้ยว ไฟตัดหมอก หรือไฟส่องสว่างอื่นๆ เพราะการเช็กระบบไฟส่องสว่าง จะช่วยให้คุณมองเห็นทางได้ชัดเจนขึ้น

 

  • ระบบเบรก

เบรก คือ สิ่งที่สำคัญมากในการขับรถฝ่าฝนตก เพราะถ้าระบบเบรกทำงานได้ดี ก็จะช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุลงได้ แต่ถ้าคุณเบรกแล้วเริ่มมีเสียงดัง อันนี้ก็ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนผ้าเบรกได้แล้วล่ะค่ะ

 

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะหน้าฝน หน้าร้อน หน้าหนาว การตรวจเช็กสภาพรถยนต์ก็ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ควรทำอย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้ ก็เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเองทั้งสิ้น

เด็กในรถ-Feature

การเดินทางที่แสนพิเศษ คือ การได้ร่วมทางไปกับคนที่เรารัก

ทั้งปู่ย่า ตายาย ลุงป้า น้าอา พ่อแม่ พี่น้อง และที่สำคัญที่ขาดไม่ได้เลย ก็คือ ลูกน้อยที่แสนน่ารักน่าทะนุถนอมของคุณ

ซึ่งแน่นอนว่าการขับขี่ที่มีเด็กมาด้วยนั้น คุณต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างสูง เพราะเด็กจะมีความซุกซนในแบบฉบับของเด็กน้อย จนอาจซุกซนจนเกินเหตุ ทำให้เกิดอุบัติเหตุ หรืออันตรายขึ้นมาได้ ฉะนั้น วันนี้ คาร์โร จึงมีสิ่งที่ควรทำ และสิ่งที่ไม่ควรทำ หากมีเด็กอยู่ในรถมาฝากกันค่ะ

เด็กในรถ

4 สิ่งที่ไม่ควรทำ หากมีเด็กอยู่ในรถ

  • ห้ามเอาเด็กมานั่งตักในช่วงเวลาที่คุณกำลังขับรถ

ด้วยความรัก ความห่วงใย อยากอยู่ใกล้ลูกตลอดเวลา จึงทำให้พ่อแม่บางคนมักจะชอบเอาลูกมานั่งหลังพวงมาลัยในขณะที่ตัวเองขับรถอยู่เสมอ

แต่คุณรู้หรือไม่ว่า การกระทำเช่นนี้เป็นเรื่องที่ผิดมหันต์ และเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะแน่นอนว่า เด็กน้อยแสนซนนั้นจะไม่มีทางอยู่นิ่งเป็นแน่ โดยเด็กมักจะชอบใช้มือคว้าโน่น จับนี่ไปเรื่อย ทำให้คุณขาดสมาธิในการขับรถ และขาดความระมัดระวังจนทำให้เกิดอุบัติเหตุได้

 

  • ห้ามทิ้งเด็กไว้ในรถโดยลำพัง

ด้วยความซุกซนของเด็กที่เกินการควบคุม จึงเป็นเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นมาได้

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการที่เด็กไปกดล็อคประตูเล่น ดังที่เราเห็นได้จากข่าวหน้าหนึ่ง หรือตามจอทีวีบ่อยๆ จนต้องมีการเรียกกู้ภัยมาช่วยกันเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต

หรือซ้ำร้าย บางทีพ่อแม่ประมาทติดเครื่องยนต์ทิ้งไว้ แล้วเด็กดันเผลอไปโยกคันเกียร์ จนทำให้รถเคลื่อนที่ออกไปทำความเสียหายให้รถคันรอบข้าง หรืออาคารบ้านเรือนในละแวกนั้นได้

 

  • ห้ามทิ้งเด็กให้หลับอยู่ในรถ

หากคุณพ่อคุณแม่จะลงไปเข้าห้องน้ำ ไปเซเว่นหาขนมนมเนยให้ลูกกิน และให้ลูกนอนอยู่บนรถ เราขอบอกเลยว่าอย่าทำเช่นนั้นเป็นอันขาด ต้องปลุกแล้วอุ้มลูกลงไปด้วย

เพราะพัดลมแอร์จะดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่รถปล่อยออกไป กลับเข้ามาในรถอีก ซึ่งเป็นเหตุทำให้เด็กที่หลับอยู่บนรถนั้นมีออกซิเจนไม่เพียงพอต่อการหายใจ และทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ในที่สุด

 

  • อย่าใช้ความเร็วสูง

เมื่อมีเด็กโดยสารไปในรถยนต์ด้วย พ่อแม่ควรใช้ความเร็วของการขับขี่ที่ต่ำกว่าปกติ และควรเว้นระยะห่างจากคันหน้าในระยะที่มากขึ้น

เพื่อลดการเบรกอย่างรุนแรง รวมถึงการเข้าโค้ง หรือเลี้ยวที่จะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพื่อลดการเหวี่ยง ซึ่งอาจทำให้เด็กที่ไม่ทันระวังได้รับบาดเจ็บจากการกระแทกได้

เด็กในรถ

สิ่งที่ควรทำ หากมีเด็กอยู่ในรถ

สิ่งที่ควรทำหากมีเด็กอยู่ในรถ ก็คือ ถ้าในรถมีเด็กที่อายุต่ำกว่า 12 ปี ให้จับนั่ง Car Seat (เบาะนั่งสำหรับเด็ก) ทุกครั้ง ไม่ว่าจะไปไหนใกล้ไกลก็ตาม เพราะคุณสมบัติของ Car Seat จะช่วย Safety และลดอาการบาดเจ็บในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุได้

ซึ่งการติดตั้งที่ถูกต้องก็คือ ควรติดตั้งอยู่ตรงกลางของเบาะหลัง อย่ารัดให้แน่นมากเกินไป เพราะอาจทำให้เด็กอึดอัด และหายใจไม่ออกได้ค่ะ

ความรู้เพิ่มเติม เรื่องของเบาะนั่งสำหรับเด็ก (Car Seat) เบาะนั่งสำหรับเด็ก มีหลากหลายประเภทด้วยกัน ดังนี้

  • แบบ Rear Facing แบบ Rear Facing นั้นจะเป็นเบาะนั่งสำหรับเด็กที่มีลักษณะคล้ายๆ รถเข็นเด็กทารก ซึ่งจะเหมาะกับเด็กแรกเกิดจนถึงเด็กอายุ 1 ขวบ
  • แบบ Front Facing แบบ Front Facing จะเป็นเบาะนั่งสำหรับเด็กเล็ก ซึ่งให้เด็กนั่งตั้งหน้าตัวตรง ใช้สำหรับเด็กอายุ 1-4 ปีขึ้นไป
  • แบบ Booster แบบ Booster จะเป็นเบาะนั่งสำหรับเสริมความสูง ใช้สำหรับเด็กอายุ 4 – 10 ปี
  • แบบ ผสม แบบ ผสม คือการนำเบาะทั้ง 3 แบบด้านบน มารวมอยู่ในอันเดียว

ทั้งนี้ คนที่เป็นพ่อเป็นแม่ควรมีความระมัดระวังตลอดเวลา และห้ามประมาทแม้แต่วินาทีเดียว เพราะแม้เสี้ยววินาทีเดียว ลูกน้อยของคุณอาจจากคุณไปตลอดกาล