รู้ไว้ไม่โดนจับ! “กฎหมายจราจร 10 ข้อ” ที่คนมีรถต้องรู้

กฏหมายเบื้องต้น 10 ข้อเกี่ยวกับรถยนต์ ที่คนมีรถไม่รู้ไม่ได้!

ประเทศไทยของเรา ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่มีคนเสียชีวิต ด้วยอุบัติเหตุบนท้องถนนมากที่สุดในโลก ซึ่งความจริงข้อนี้ สะท้อนให้เห็นว่า “คนไทย ไม่เคารพกฏจราจรเท่าที่ควร” จนทำให้เกิดการสูญเสียและอุบัติเหตุซ้ำแล้วซ้ำอีก

ในบทความนี้ Carro จึงรวบรวม “กฎหมายที่มีความสำคัญบนท้องถนน 10 ข้อ” มานำเสนอ เนื่องจากเป็นกฏหมายจราจรที่คนขับรถทุกคนต้องรู้ หากฝ่าฝืนจะถูกจับและปรับ แต่ถ้าเรารู้ทันกฎหมายก็จะปลอดภัยกว่า ทั้งทางชีวิตและทรัพย์สิน ของผู้ใช้รถทุกท่านค่ะ


1. แอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มก. เท่ากับ“เมา”

ผู้ขับขี่รถยนต์ ที่มีแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จะถือว่าเมาสุรา ตามมาตรา 43 (2) ผู้ขับขี่ต้องจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000 – 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และศาลจะพักใช้ใบอนุญาติขับขี่ของผู้นั้นไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรืออาจถูกเพิกถอนใบอนุญาติขับขี่

แอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มก. เท่ากับ“เมา”

2. ต้องรัดเข็มขัดแม้นั่งหลัง

ตามมาตรา 44 ฉบับที่ 14/2560 สั่งให้รถยนต์ส่วนบุคคลนั่งไม่เกิน 7 คน ยกเว้น รถ 2 แถว รถกระบะมีแค็บ และรถ 3 ล้อ ต้องมีสายเข็มขัดนิรภัย และต้องคาดเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่ง บทลงโทษคือ คนขับและผู้โดยสารรถเก๋ง รถแท็กซี่ และรถกระบะ ปรับไม่เกิน 500 บาท ส่วนรถตู้ รถทัวร์ รถบรรทุกสินค้า ปรับไม่เกิน 5,000 บาท

3. นั่งกระบะหลังไม่ได้

เนื่องจากรถกระบะที่มีแค็บเป็นรถที่จดทะเบียน เป็นรถกระบะบรรทุกส่วนบุคคลไม่เกิน 7 ที่นั่ง อีกทั้งบริเวณกระบะหลังไม่มีอุปกรณ์สำหรับความปลอดภัย เป็นที่สำหรับไว้บรรทุกของเท่านั้น จึงถือว่าเป็นการใช้รถผิดประเภท มีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท

4. ห้ามไฟหน้าหลายสี

จากมาตรา 11 ในเวลากลางคืน รถจะต้องเปิดไฟ คือไฟหน้ารถจะต้องมีสีขาวหรือสีเหลืองเท่านั้น และจะต้องมีกำลังไฟไม่เกิน 10 วัตต์ เพราะอาจทำให้ผู้ร่วมทางเกิดความรำคาญจนอาจเป็นเหตุให้เกิดความไม่ปลอดภัยได้ หากผู้ใดฝ่าฝืน จะต้องถูกปรับไม่เกิน 500 บาท

5. ห้ามเปิดไฟตัดหมอกโดยไม่มีเหตุ

ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก มาตรา 11 ไฟตัดหมอกจะใช้ได้แค่ 4 กรณีเท่านั้น  คือ 1. ช่วงฝนตกหนัก 2. เมื่อเจอหมอก 3. หลังฝนหยุดในเวลากลางคืน 4. ขับผ่านกลุ่มควัน เพราะหากใช้พร่ำเพรื่ออาจสร้างความรำคาญแก่ผู้ร่วมทางบนถนน จนเป็นเหตุให้เกิดความไม่ปลอดภัยได้ หากผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษสูงสุดปรับไม่เกิน 500 บาท

ห้ามเปิดไฟตัดหมอกโดยไม่มีเหตุ

6. ห้ามใส่หลังคาซันรูฟ หรือมูนรูฟ

เนื่องจากเข้าข่ายดัดแปลงสภาพรถในมาตรา 14 กับ 60 อาจเกิดความไม่ปลอดภัยได้ แต่ถ้าหากมีมาตั้งแต่โรงงานผลิตตามสเป็ค ไม่ได้ดัดแปลงเอง ถือว่าไม่ผิดกฎหมาย หากผู้ใดฝ่าฝืนนำมาดัดแปลงทีหลัง จะโดนโทษปรับ ไม่เกิน 2,000 บาท

7. ล้อยางเกินออกมานอกบังโคลนข้างละหลายนิ้ว

จากมาตรา 12 และ 60 ล้อรถด้านท้ายจะยื่นออกมาจากตัวถังรถได้ไม่เกิน 15 เซนติเมตร และขอบยางด้านนอกสุดห้ามยื่นออกมาเกินตัวถังรถ เว้นแต่จะมีอุปกรณ์ที่ช่วยให้ไม่เกิดอันตราย และความเสียหายเนื่องจากการหมุนของล้อ หากผู้ใดฝ่าฝืนจะต้องโทษปรับ ไม่เกิน 2,000 บาท

8. ไฟเบรคต้องสีแดงเท่านั้น

ตามมาตรา 12 และ 60 รถของผู้ขับขี่จะต้องมีไฟหยุด หรือไฟเบรคเป็นสีแดงเท่านั้น และห้ามดัดแปลงทำเป็นกระพริบ เพื่อไม่ให้สร้างความรำคาญแก่คนอื่น หรือทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิด จนเป็นเหตุให้เกิดความไม่ปลอดภัยได้ หากผู้ใดฝ่าฝืนจะต้องโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท

9. ห้ามติดไฟสปอตไลท์ และโคมไฟตัดหมอกแสงพุ่งไกล

ตามมาตรา 12 และ 60 กำหนดให้ไฟหน้าของรถต้องมีสีขาวหรือเหลืองอ่อนเท่านั้น สูงจากพื้นไม่น้อยกว่า 40 เซนติเมตร ไม่เกิน 135 เซนติเมตร ไม่สว่างจ้าเกินไป ไม่สะท้อนเข้ากระจกมองข้าง หรือกระจกมองหลังของผู้ขับขี่ที่ร่วมทาง เพราะทำให้สายตาผู้ร่วมทางพร่ามัว และจนอาจเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุได้จากแสงไฟที่แรงเกินค่ามาตรฐาน หากผู้ใดฝ่าฝืนติดตั้งจะต้องโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท

10. เปลี่ยนท่อไอเสียเสียงดัง

ตามมาตรา 5 (2) และ 58 การเปลี่ยนแปลงท่อไอเสียรถให้ผิดเพี้ยนไปจากทะเบียนที่จดไว้ แล้วทำให้มีเสียงดังกว่า 95 เดซิเบล ในรัศมี 3 เมตรจากท่อ เนื่องจากสร้างความรำคาญให้แก่ผู้อื่น หรืออาจทำให้ผู้อยู่ใกล้ๆ มีปัญหาทางการได้ยินได้ ผู้ใดฝ่าฝืนจะต้องโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท

เมื่อรู้ครบทั้ง 10 ข้อแล้ว อย่าลืมปฏิบัติตามกฏหมาย เพื่อตัวคุณเองและเพื่อนร่วมท้องถนน ขอให้เดินทางปลอดภัย ไม่โดนจับ (ผิด) แคล้วคลาดกันทุกคนนะคะ

จอดรถ, รถยนต์, ดูแลรถยนต์, วิธี

“จอดรถทิ้งไว้” “รถไม่ค่อยได้ใช้งาน”
ต้องดูแลรถยนต์อย่างไรบ้าง?

สงกรานต์ใกล้เข้ามาทุกที ผู้อ่านหลายๆ คนก็คงจะมีแพลนเตรียมตัวกลับบ้านในวันหยุดยาวที่จะมาถึง ซึ่งหลายๆคนที่มีครอบครัวใหญ่หน่อยก็มักจะขับรถกลับบ้าน และแน่นอนว่าก่อนการเดินทางครั้งนี้ คุณจะต้องตรวจเช็คสภาพและความพร้อมของเครื่องยนต์ก่อนออกเดินทางอยู่แล้ว เพื่อการขับขี่ที่ราบรื่นของคุณเอง และการถึงที่หมายอย่างปลอดภัย

สำหรับรถยนต์ที่ใช้งานทุกวันก็คงไม่มีปัญหาอะไร เพราะคุณจะรู้เสมอหากรถมีปัญหา คุณจึงสามารถส่งรถไปซ่อมบำรุงได้ทัน ก่อนจะนำมาขับอีกครั้ง แต่สำหรับรถยนต์ที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน หากรถมีปัญหา หรือมีอะไรสักอย่างเสีย เราก็คงจะไม่ทราบว่ารถเป็นอะไร ตรงไหน เพราะแทบจะไม่ได้แตะรถ ฉะนั้น สิ่งที่เราจะต้องเช็คเสมอ สำหรับรถใช้งานน้อยๆ รถที่จอดทิ้งไว้ หรือแทบไม่ใช้งาน จะมีอยู่ 6 เรื่อง นั่นก็คือ

 

1. แบตเตอรี่

จอดรถ, รถยนต์, ดูแลรถยนต์, วิธี

หลายคนเจอปัญหารถไม่ค่อยได้ใช้ แต่แบตหมด, แบตเสื่อม ทำไมถึงเสื่อม?เหตุผลก็คือ ถึงแม้ว่าจะไม่มีการเปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าไว้ แต่แบตเตอรี่ก็ยังคงมีการจ่ายกระแสไฟฟ้าไปเลี้ยงระบบในรถยนต์อยู่ เช่น ระบบกันขโมย ซึ่งหากจอดไว้โดยไม่มีการติดเครื่องยนต์เป็นเวลานาน ก็ทำให้แบตเตอรี่หมดประจุได้ ซึ่งวิธีแก้ไขก็คือ ควรสตาร์ทเครื่องยนต์ไว้ 10 นาทีหรือมากกว่านั้น อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง หรือทำทุกวันก็ได้ค่ะ

2. ของเหลวในรถยนต์จอดรถ, รถยนต์, ดูแลรถยนต์, วิธี

หากรถไม่ค่อยได้ใช้ เมื่อกลับมาใช้งานอีกครั้ง ควรเช็คของเหลวต่างๆ ในรถว่าพร้อมใช้งานแค่ไหน เช่น น้ำมันเครื่อง น้ำในหม้อน้ำ เพื่อหล่อเลี้ยงชิ้นส่วนต่างๆ ไม่ให้เกิดสนิม สำหรับน้ำมันเครื่อง ควรเปลี่ยนทุกๆ 6 เดือน หรือตามที่คู่มือรถกำหนด เพราะน้ำมันเครื่องมีวันหมดอายุ และเสื่อมสภาพ

3. ลมยาง, ยางรถยนต์จอดรถ, รถยนต์, ดูแลรถยนต์, วิธี

หากเราจะต้องจอดรถเอาไว้เป็นระยะเวลานานๆ แนะนำให้เติมลมยางมากกว่าปกติประมาณ 5 – 10 ปอนด์/ตารางนิ้ว หรือ นำรถไปขับเพื่อให้ยางได้หมุนบ้าง เพราะการจอดรถอยู่กับที่นานๆ จะทำให้เกิดอาการยางไม่คืนตัว โดยเกิดการยุบตัวของโครงยางส่วนหน้าที่สัมผัสกับพื้นได้ ทำให้โครงยางเสียรูป ไม่กลม วิธีที่ดีที่สุด หากต้องต้องจอดรถทิ้งไว้นานเกินกว่า 3 เดือนขึ้นไป คือ ให้ยกรถตั้งบนแท่นวางทั้ง 4 ล้อ ซึ่งทำให้น้ำหนักรถไม่กดทับลงบนยาง ซึ่งเป็นการรักษารูปร่างของยางได้ดีที่สุด

4. สตาร์ทเครื่องยนต์จอดรถ, รถยนต์, ดูแลรถยนต์, วิธี

แม้จะไม่ค่อยใช้รถ แต่คุณก็ควรนำรถออกไปขับบ้าง เป็นระยะทางสั้นไก็ได้ เพราะการสตาร์ทเครื่องยนต์ จะทำให้เครื่องยนต์ทำงานและชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่ และในรถยนต์นั้นมีชิ้นส่วนและอุปกรณ์ที่เป็นจุดหมุน เช่น ระบบช่วงล่าง ลูกหมากต่างๆ ซึ่งหากปล่อยให้อยู่กับที่นานๆ อาจทำให้เกิดการสึกหรอได้ง่าย

5. การทำความสะอาดจอดรถ, รถยนต์, ดูแลรถยนต์, วิธี

เพื่อไม่ให้ฝุ่นและสิ่งสกปรกเกาะอยู่ที่สีรถนานเกินไป จนยากที่จะล้างออก ควรมีการทำความสะอาดหรือล้างรถก่อน จึงค่อยใช้ผ้าคลุมรถ เพื่อป้องกันฝุ่น และรักษาสีของรถยนต์ ให้ดูเหมือนใหม่อยู่เสมอ

6. สถานที่จอดรถ

ควรจอดในที่ร่ม หลีกเลี่ยงการจอดรถใต้ต้นไม้ สถานที่เปียกชื้น ใกล้ถังขยะ เพราะอาจมีโอกาสที่หนูเข้ามาอาศัยหรือทำรังใต้กระโปรงรถได้ หากจอดรถใต้ต้นไม้จะต้องระวัง หากไม่ได้มีการคลุมรถ เนื่องจากต้นไม้จะมียางของต้นไม้ที่หล่นลงมา ทำให้สีรถด่างได้ รวมถึงกิ่งไม้ที่ตกลงมาตามแรงลม หรืออื่นๆ ซึ่งอาจทำให้รถของเราเกิดรอยขีดข่วนได้

สุดท้ายถ้าคุณมีรถที่ไม่ได้ใช้งาน หรือนานๆครั้งจะขับ อาจด้วยเพราะชีวิตประจำวันของคุณไม่ได้จำเป็นจะต้องใช้รถบ่อยๆ แนะนำให้นำรถมาขายด่วนกับคาร์โร (คลิก) จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาตรวจเช็คหรือคอยดูแล อีกทั้งถ้าคุณปล่อยรถเอาไว้นานๆ มีแต่ผลเสีย คือราคาตกลงเรื่อยๆทุกปี นอกจากนี้ถ้าคุณมาขายกับเรา คุณจะได้รับเงินสด ทันที! คุณจะยังได้เงินกลับไปทำประโยชน์อื่นๆได้อีกด้วยค่ะ

ดูแลรถหน้าร้อน

9 เคล็ดลับที่ช่วย Keep Cool
และดูแลรถยนต์ของคุณในหน้าร้อน ใช้ได้เสมอ

ช่วงนี้! ออเจ้าทุกคนคงสัมผัสได้ถึงอากาศที่ร้อนเป็นพิเศษ เพราะเราชาวสยามประเทศกำลังเข้าสู่เดือนที่ทั้งเดือดทั้งร้อนที่สุดของปี คือ เดือนเมษายน ที่ร้อนจนถึงขนาดว่า น้ำเย็นๆ ที่เพศตรงข้ามสาดใส่เราตอนสงกรานต์ก็หาได้ดับร้อนไม่ และไม่ใช่แค่เราที่รู้สึกร้อนไปตามสภาพอากาศ สิ่งมีชีวิตอื่นก็เช่นกัน ขนาดสิ่งไม่มีชีวิตอย่าง “รถ” ก็ยังร้อนตามไปด้วย

แม้รถยนต์จะถูกสร้างให้แข็งแรง หรือทนทานขนาดไหน แต่หากขาดการดูแลก็ยากที่จะใช้งานได้อย่างราบรื่น และความร้อนมักส่งผลร้ายต่อทุกส่วนของรถยนต์ คุณจึงจำเป็นต้องตรวจสอบดูแลรถมากขึ้นในหน้าร้อน แต่หากคุณอยากรู้ว่า ต้องตรวจสอบอะไร และอย่างไรบ้าง 

Carro ก็มี 9 เคล็ดลับการดูแลรถยนต์ในช่วงหน้าร้อนมาเสิร์ฟดูแลรถหน้าร้อน

1. ตรวจสอบลมยางรถยนต์

อากาศร้อนมีผลต่อสภาพของยางเสมอ โดยจะเพิ่มความดันภายในยาง ทำให้พื้นสัมผัสของยางต่อถนนน้อยลง หากเจอพื้นถนนเปียกลื­่นก็จะหยุดยากกว่าปกติ เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ คุณจึงควรตรวจสอบสภาพยาง ลมยาง และยางอะไหล่อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง

 

2. ตรวจระบบปรับอากาศ

ควรตรวจสอบระบบปรับอากาศ อย่างเช่น ระดับของน้ำยาแอร์ ซึ่งหากเห­ลือน้อยก็อาจก่อปัญหากับระบบทำความเย็นของรถได้ ควรตรวจสอบอย่างน้อย 1 ครั้งต่อปี เพราะคงไม่ดีแน่ถ้ารถมาแอร์เสียหรือน้ำยาแอร์หมด ในช่วงที่อากาศร้อนระอุที่สุดของปี แค่คิดก็เหนียวตัวไปหมด!

 

3. แบตเตอรี่รถยนต์

อากาศร้อนแบบเฉียดนรกของบ้านเรา ส่งผลต่อระบบไฟฟ้าทั้งหมดรวมถึงแบตเ­ตอรี่รถยนต์ด้วย คุณควรหมั่นตรวจสอบระบบทั้งหมดเดือนละครั้ง ทั้งสายไฟและขั้วต่างๆ ให้อยู่ในสภาพดีเสมอ รวมถึงระดับของน้ำกลั่นในแบตเตอรี่ก็ห้ามพร่อง เพราะยิ่งอากาศร้อนน้ำยิ่งระเหยง่ายมาก

 

4. ระบบเบรก

เบรคเป็นระบบความปลอดภัยที่คนใช้รถห้ามมองข้าม หากคุณสังเกตได้ว่าเกิดความผิดปกติขณะเบรก ไม่ว่าจะเป็นการสั่นมากกว่าปกติ มีเสียงดัง หรือมีระยะการหยุดยาวกว่าปกติ ก็ควรนำรถเข้าศูนย์เพื่อตรวจสอบความผิดปกติ อย่ารอ เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุตอนขับขี่ได้ดูแลรถหน้าร้อน

5. น้ำมันเครื่อง

อากาศร้อนอาจทำให้เครื่องยนต์ต้องทำงานหนักขึ้น ดังนั้นการเลือกน้ำมันเครื่องที่เหมาะสมจะช่วยบรรเทาภาระของเครื่องยนต­์ได้มาก นอกจากนี้ การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องอย่างสม่ำเสมอตามที่คู่มือแนะนำก็จำเป็นเช่นกัน ทั้งหมดนี้จะช่วยรักษาสภาพของเครื่องยนต์ให้ทำงานให้ใช้งานได้อ­ีกนาน

 

6.ระบบหล่อเย็นเครื่องยนต์

นอกจากน้ำมันเครื่องที่ดีแล้ว ระบบหล่อเย็นก็ควรทำงานได้อย่างปกติด้วย คุณควรหมั่นตรวจสภาพของหม้อน้ำและระบบต่าง ๆ ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่มีรอยขาดหรือชำรุด รวมถึงทำความสะอาดหม้อน้ำเมื่อพบสิ่งสกปรก

 

7. สายยาง และสายพานต่างๆ


สายยางและสายพานเป็นส่วนที่เชื่อมต่อระบบต่างๆ ของรถเข้าด้วยกัน ซึ่งแม้จะมีความทนทานสูง แต่หากมีรอยชำรุดเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้ระบบของรถเกิดความผิดป­กติได้ จึงควรตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในฤดูร้อนที่ระบบภายในต่างๆ อาจเสียหายได้ง่ายเป็นพิเศษ

 

8. จอดรถในที่ร่ม

หากจำเป็นต้องจอดรถนานๆ คุณควรเลี่ยงการจอดรถในที่กลางแจ้ง เพราะนอกจากแสงแดดจะทำให้ห้องโดยสารร้อนแล้ว ยังส่งผลต่อสีตัวถังที่ซีดและเสียคุณสมบัติการปกป้องไปในไม่ช้า­ แต่หากเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ก็ควรหาผ้าคลุมตัวถังเอาไว้เพื่อเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดดโดยตรง­

 

9. เปิดกระจกก่อนเร่งแอร์

การที่หลายๆ คนเร่งแอร์ท­ันทีเมื่อขึ้นรถ โดยไม่สนว่ารถจะร้อนแค่ไหนก็ตาม จะทำให้รถทำงานหนักกว่าปกติและเปลืองน้ำมันมากขึ้น ดังนั้น ก่อนเปิดแอร์ คุณควรเปิดกระจกและพัดลมแอร์ให้แรงสักหน่อยเพื่อไล่ความร้อนออกไป ทำแบบนี้เพียง 1-2 นาที รับรองว่าแอร์ในรถจะเย็นเร็วกว่าเดิมมาก แถมประหยัดน้ำมันได้มากขึ้น

ดูแลรถหน้าร้อน

จริงๆ แล้วเคล็ดลับ 9 ข้อที่ Carro นำมาเสิร์ฟก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นสิ่งที่คนใช้รถยนต์ทุกคนควรจะตรวจสอบเป็นปกติอยู่แล้ว ยิ่งในฤดูร้อนอาจต้องเพิ่มความรอบคอบเป็นพิเศษ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อป้องกันการเกิดเหตุสุดวิสัยบนถนน และยังช่วยรักษารถยนต์ให้อยู่กับออเจ้าไปนานๆ ตลอดภพนี้ชาตินี้เลยล่ะเจ้าค่ะ

แบตเตอรี่รถยนต์

วิธีการเลือกและรักษา “แบตเตอรี่” รถยนต์
ที่ช่วย Save อายุแบตเตอรี่ และ Save เงินในกระเป๋า

เชื่อว่าคนมีรถทุกคน ต้องเคยประสบปัญหาตอนขับรถ แล้วอยู่ๆ “แบตเตอรี่” ดันหมดกลางทาง จนรถดับไปดื้อๆ ทำให้ชีวิตในวันนั้นทั้งวันต้องหยุดชะงักและวุ่นวายไปหมด ตามมาด้วยการเสียเงินที่มากกว่าปกติ จากค่าลากรถเข้าอู่ ต้องซื้อแบตฯ ก้อนใหม่กะทันหัน ค่าเปลี่ยนแบตฯ หรือซ่อมอย่างอื่นเพิ่มเติม blah blah blah ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อรถและอารมณ์ของเราเอาซะเลย แถมยังสั่นคลอนเงินในบัญชีไปอีก

แต่เราสามารถเลี่ยงปัญหาทั้งหมดนี้ได้ เพียงแค่เรามีความรู้เบื้องต้น 8 ข้อ เกี่ยวกับ “แบตเตอรี่” รถยนต์ ที่จะช่วยเพิ่มความเข้าใจในการเลือกแบตฯ ที่เหมาะสมกับรถ รู้จักการใช้งานและการรักษาแบตเตอรี่อย่างถูกต้อง แค่นี้ เราก็สามารถขับรถได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องกลัวรถดับกลางทาง ไม่ต้องเสียเงิน เสียเวลา หรืออารมณ์เสียโดยใช่เหตุ!

1.อย่ารอให้แบตเตอรี่เสื่อม จนสตาร์ทรถไม่ติด

คุณควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ตามระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งถ้าเป็นแบตเตอรี่แบบเปียก (มีช่องกลมๆ ไว้ให้เปิดเติมน้ำกลั่นและต้องดูแลสม่ำเสมอ) หรือแบบกึ่งแห้ง (ส่วนใหญ่จะถูกซีลปิดไว้ ไม่เห็นช่องเติมน้ำกลั่น และไม่ต้องดูแลมาก) มักมีอายุการใช้งานเฉลี่ยไม่เกิน 2-3 ปี

แต่ถ้าเป็นแบตเตอรี่แบบแห้งที่มีราคาสูงมาก จะมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าเท่าตัวหรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับการใช้งานและการดูแลรักษา โดยทุกครั้งเมื่อเราเปลี่ยนแบตเตอรี่ ร้านค้าหรืออู่ซ่อมรถจะทำสัญลักษณ์ไว้ที่แบตเตอรี่เพื่อระบุระยะเวลาเริ่มการรับประกัน ซึ่งเราก็สามารถเอาไว้เช็คได้ด้วยว่า แบตเตอรี่จะถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนเมื่อไร

 

2.ตรวจสภาพแบตเตอรี่เป็นประจำ

ถึงแม้ปัจจุบันแบตเตอรี่รถยนต์บางประเภทอาจไม่จำเป็นต้องได้รับการดูแลเลยตลอดอายุการใช้งาน (Maintenance Free) แต่คุณก็ควรตรวจเช็กสภาพแบตเตอรี่อย่างน้อยทุกๆ 2 ปี โดยเฉพาะเมืองไทยที่มีสภาพอากาศร้อนตลอดทั้งปี (เพราะความร้อนจะส่งผลให้แบตเตอรี่ทุกแบบเสื่อมเร็วขึ้น)

ทั้งนี้ หากรถเริ่มมีอาการสตาร์ทเอื่อย ๆ หรือระบบไฟทั้งหมดให้ความสว่างน้อยลง นั่นเป็นสัญญาณเตือนว่าแบตเตอรี่อาจมีกำลังไฟน้อย ควรตรวจสอบโดยเร็วว่ามาจากสาเหตุใด และแม้ว่ารถยนต์จะสามารถพ่วงแบตเตอรี่ได้ แต่มักจะมีผลเสียต่อรถยนต์เสมอ

 

3.เลือกแบตเตอรี่ที่มีขนาดพอดีกับรถ

ทุกครั้งที่เปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ โดยเฉพาะเมื่อร้านนำมาเปลี่ยนให้  ควรตรวจสอบหรือย้ำให้แน่ใจว่า แบตเตอรี่ใหม่นั้นมีขนาดที่ถูกต้องและสามารถวางได้พอดีกับฐานแบตเตอรี่รถของคุณ โดยดูได้จากคู่มือประจำรถหรือสอบถามจากร้านที่จำหน่ายได้โดยตรง หรือถ้ายังไม่แน่ใจให้ย้ำไปเลยว่านำมาใช้กับรถยี่ห้อ-รุ่นปีอะไร

 

4.เลือกความจุแบตเตอรี่ให้เหมาะสม

สำหรับการเลือกเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ เราสามารถยึดตามของเดิมได้เลย (ถ้าไม่แน่ใจว่าของเดิมคือรุ่นไหน ให้เช็คจากคู่มือประจำรถ) และไม่ควรลดขนาดความจุของแบตเตอรี่หรือแอมป์ลงโดยเด็ดขาด เพราะผู้ผลิตรถยนต์คำนวณแอมป์ที่เหมาะสมกับการใช้งานของรถยนต์รุ่นนั้น ๆ ไว้แล้ว และไม่ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ให้มีแอมป์สูงเกินกำหนดเช่นกัน หากไม่ได้ติดตั้งอุปกรณ์พิเศษเพิ่มเติม เช่น เครื่องเสียงหรืออุปกรณ์อำนวยความสะดวกอื่น ๆ

แบตเตอรี่หมด

5.เลือกแบตเตอรี่ที่ให้กำลังสตาร์ทเพียงพอ

กำลังสตาร์ทที่ว่า จะถูกระบุด้วยค่า CCA (Cold-Cranking Amps) ที่เป็นคนละค่ากับขนาดความจุของแบตเตอรี่ (Ah หรือแอมแปร์-ชั่วโมง) ซึ่งค่า CCA เป็นค่าสำหรับบอกว่า แบตเตอรี่ลูกนั้นมีความสามารถในการจ่ายไฟ เพื่อให้มอเตอร์สตาร์ทดึงไฟไปใช้ในการสตาร์ทเครื่องยนต์ได้แค่ไหน

ซึ่งเครื่องยนต์แต่ละขนาดต้องการค่า CCA ไม่เท่ากัน ยิ่งเครื่องยนต์ที่มีขนาดความจุมากก็ต้องการค่า CCA มากตาม อย่างไรก็ตาม ค่า CCA ของแบตเตอรี่แต่ละยี่ห้ออาจใช้มาตรฐานในการวัดต่างกัน ซึ่งมีทั้ง SAE, EA, IEC และ DIN ขึ้นอยู่กับผู้ผลิต เพราะฉะนั้นจะดูค่า CCA เฉพาะตัวเลขอย่างเดียวอาจผิดพลาดได้ ควรจะต้องดูทั้งหมดว่าตัวเลขที่ระบุนั้นใช้มาตรฐานใดวัด และไม่ควรต่ำกว่าที่ผู้ผลิตรถยนต์กำหนดไว้

 

6.เลือกแบตเตอรี่ที่ผลิตใหม่เสมอ

แบตเตอรี่ใหม่ที่ยังไม่ถูกจำหน่ายและใช้งาน ก็สามารถเสื่อมคุณภาพลงได้ ดังนั้น เพื่อให้ได้แบตเตอรี่ใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดควรเลือกแบตเตอรี่ที่ผลิตไว้ไม่เกิน 6 เดือน โดยจะมีรหัสเฉพาะระบุไว้ อาจใช้ตัวเลขและตัวอักษรแทน วัน/เดือน/ปี ที่ผลิต อาจแตกต่างกันไปตามยี่ห้อ เช่น อักษรแทนเดือน ตัวเลขแทนปี เป็นต้น เพราะยิ่งแบตเตอรี่ถูกเก็บไว้นานจะยิ่งมีความชื้นในตะกั่วเยอะ ชาร์จไฟยาก และบางร้านที่จำหน่ายก็ไม่ได้ชาร์จไฟแบตเตอรี่จนเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ก่อนนำมาขาย ซึ่งทำให้อายุของแบตฯ ลูกนั้นสั้นลงโดยที่เราไม่รู้ตัว

 

7.ควรรีไซเคิลแบตเตอรี่เก่า

แบตเตอรี่เก่ามีค่าและนำไปรีไซเคิลได้ เพราะร้านที่จำหน่ายแบตเตอรี่มักจะรับเทิร์นแบตเตอรี่เก่าอยู่แล้ว โดยส่วนใหญ่จะนำไปลดราคาแบตเตอรี่ลูกใหม่ให้ ดังนั้นอย่าลืมสอบถามว่าแบตเตอรี่ลูกใหม่ราคาเท่าไร และราคาดังกล่าวหักค่าเทิร์นแบตเตอรี่เก่าแล้วหรือยัง หากไม่แน่ใจลองสอบถามเปรียบเทียบราคาจากร้านอื่น ๆ ก่อนตัดสินใจซื้อ

 

8.เปรียบเทียบการรับประกัน

เป็นสิ่งที่สำคัญมากและไม่ควรมองข้าม สำหรับการเลือกแบตเตอรี่ใหม่ คุณควรตรวจสอบการรับประกันแบตเตอรี่ของทางร้านค้าที่ซื้อทุกครั้ง เพราะอาจระบุระยะเวลารับประกันต่างกัน ซึ่งโดยปกติแบตเตอรี่รถยนต์จะมีระยะเวลารับประกันตั้งแต่ 1-2 ปี แล้วแต่ยี่ห้อของแบตเตอรี่

นอกจากระยะเวลารับประกัน ควรสอบถามรายละเอียดหรือเงื่อนไขการรับประกันด้วยว่าครอบคลุมหรือไม่ครอบคลุมอะไรบ้าง เพราะจะได้ไม่เกิดปัญหาในภายหลัง แต่หลักๆแล้วเงื่อนไขการรับประกันของแต่ละยี่ห้อนั้นก็ไม่ต่างกันมากนัก

5-Gift-For-Girl-In-Valentines-Day

ของติดรถที่สาวๆ ควรมีติดรถไว้ ในวันวาเลนไทน์

Car-Chocolate

ในช่วงวัน วาเลนไทน์ 2021 ที่กำลังมาถึงนี้ หนุ่มๆ คนใดที่กำลังมีสาวๆ ที่หมายปองอยู่ และอยากให้ของขวัญที่เธอประทับใจ และมีราคาที่มนุษย์เงินเดือน พอจะจับต้องได้ นอกจากดอกกุหลาบ ตุ๊กตา ช็อกโกแลต หรือเครื่องสำอางต่างๆ แล้ว การเลือกซื้อสิ่งที่จำเป็นสำหรับรถยนต์ของเธอ ให้เป็นของขวัญ และใช้ประโยชน์ได้ ทั้งในยามปกติและยามฉุกเฉิน ก็น่าจะเป็นที่พึงพอใจของสาวๆ นะครับ

MR.CARRO ขอแนะนำสิ่งของ 5 สิ่งที่หนุ่มๆ ควรซื้อให้สาวๆ ติดรถในวันวาเลนไทน์ ครับ.

Emergency-Car-Kit

1. อุปกรณ์ช่วยเหลือฉุกเฉิน

อุปกรณ์ช่วยเหลือฉุกเฉิน นี่ก็ถือเป็นสิ่งที่จำเป้นสำหรับสาวๆ ที่ต้องขับรถคนเดียวนะครับ มีประโยชน์อย่างมากเวลารถเสีย เพราะมีอุปกรณ์ต่างๆ อาทิ ไฟฉาย สายพ่วงแบตเตอรี่ เกจ์วัดลมยาง ป้ายสามเปลี่ยมสะท้อนแสง เป็นต้น รับรองว่าต้องประทับใจผู้หญิงที่ใส่ใจในการดูแลรักษารถแน่นอน

Rilakkuma-Pillow

2. หมอน

เวลานั่งขับรถนานๆ มันก็ต้องมีเมื่อยล้าบ้างใช่ไหมล่ะ? การมีหมอนที่ช่วยหนุนหลัง หรือหนุนคอสักใบ ก็ถือเป็นการช่วยผ่อนคลายได้ดีทีเดียว และยิ่งเป็นลายน่ารักๆ เนี่ย สาวๆ มักชอบมาก

Seat-Cover

3. ผ้าคลุมเบาะ

สาวๆ หลายคนมักใช้รถที่เป็นทั้งห้องกินข้าว ห้องทำงาน บางกิจวัตร อาจสร้างความเลอะเทอะให้เกิดขึ้นกับเบาะที่นั่งได้ ดังนั้น การตกแต่งรถด้วยผ้าคลุมเบาะสวยๆ ก็เป็นที่ถูกอกถูกใจกับสาวๆ ได้ครับ

Car-Sticker

4. สติ๊กเกอร์ติดรถ

ผู้หญิงหลายคนชอบตกแต่งรถด้วยการติดสติ้กเกอร์ติดรถ หรือติดที่กระจกรถ แต่ลวดลายนั้นอาจจะแตกต่างไปจากที่ผู้ชายชอบประดับรถ … การซื้อสติ๊กเกอร์ติดรถให้ ก็ถือว่าน่าประทับใจครับ (แต่ต้องเป็นตัวการ์ตูนตัวโปรด หรือ Mascot ที่เธอชอบด้วยนะ!)

Car-Camera

5. กล้องติดหน้ารถ

กล้องติดหน้ารถ มีความสำคัญอย่างยิ่ง และถือเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็นไปแล้ว สามารถบันทึกเรื่องราวต่างๆ อาทิเช่น บันทึกภาพรถยนต์ที่ทำผิดกฎจราจร หรือกรณีเกิดอุบัติเหตุ รวมถึงเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ช่วยให้ตำรวจสามารถทำงานได้ง่ายขึ้น ตัดสินได้ง่ายขึ้นว่าใครถูกใครผิด ซึ่งมีไว้ติดรถคุณผู้หญิงนั้น ก็ถือว่าดีไม่น้อยเลยทีเดียวครับ

ซึ่งสิ่งของ 5 สิ่งที่ทาง CARRO แนะนำในครั้งนี้ เชื่อได้ว่าน่าสนใจและมีประโยชน์ในการใช้งาน คุ้มค่าทั้งผู้ให้ สุขใจทั้งผู้รับ นะครับ

หากช่วงนี้ใครต้องการซื้อรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพได้มาตรฐาน รับประกันพร้อมโอนทุกคัน หรือหารถมือสองรุ่นที่ต้องการ สามารถเข้ามาดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ CARRO Automall > https://th.carro.co/buy-car หรือโทร. 02-508-8690 หรือจะ Inbox มาสอบถามก็ได้เช่นกัน ที่ Facebook CARRO Automall – รถบ้านมือสอง ถ้าสะดวก Add Line ก็ที่ @carroautomall

ถ้าสาวๆ คนไหน กำลังคิดอยากขายรถช่วงวาเลนไทน์ 2021 พอดี อยากเอาเงินไปดาวน์รถใหม่ หรือจะซื้อรถใหม่ไว้อวดหนุ่มๆ อิจฉาเล่น เรารับซื้อรถของคุณ สามารถเข้าไปเช็กราคา ตีราคาขายรถก่อนได้ โดยใส่ข้อมูลรถของคุณที่นี่เลย กับ CARRO Express > https://th.carro.co/sell-car/express หรือโทร. 02-508-8425

หรือใครจะ Inbox มาสอบถามก็ได้เช่นกัน ที่ Facebook CARRO Thailand หรือสะดวก Add Line ก็ที่ @Carrothai หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

6-Ways-To-Fix-Car-Black-Smoke

เมื่อพูดถึงเรื่องรถ “ควันดำ” หลายคนก็จะนึกถึงรถที่ใช้ “เครื่องยนต์ดีเซล” ของมาทันที! แล้วยิ่งตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้ ที่ประเทศไทยประสบปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ทำให้หน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม กรมการขนส่งทางบก และตำรวจจราจร จึงออกตั้งด่านตรวจวัดควันดำกันทั่ว ซึ่งถ้าโดนจับก็ต้องเสียเวลา เสียค่าปรับ แถมถูกห้ามใช้รถอีก

6-Ways-To-Fix-Car-Black-Smoke

รถเมื่อใช้ไปได้สักระยะหนึ่ง มักจะมีปัญหาเรื่องควันดำ โดยเฉพาะรถเก่าที่มีการใช้งานมานาน ซึ่งนอกจากจะสร้างปัญหาให้กับผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ แล้ว ยังสร้างมลพิษให้กับสภาวะแวดล้อมของโลกอีกด้วย ซึ่งสาเหตุที่รถมีควันดำนั้นมีดังนี้

  1. เครื่องยนต์สึกหรอมาก เช่น ลูกสูบและกระบอกสูบ แหวนลูกสูบชำรุด
  2. ปั๊มฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงชำรุดและทำงานไม่ถูกต้อง หรือฉีดน้ำมันในจังหวะที่ไม่ถูกต้อง
  3. หัวฉีดน้ำมันแรงดันสูงที่จ่ายเข้าไปในห้องเผาไหม้ชำรุด
  4. กรองอากาศอุดตัน
  5. น้ำมันเครื่องมีอายุการใช้งานมาก
  6. เขม่าควันดำและฝุ่นละอองค้างอยู่ภายในท่อไอเสีย

6-Ways-To-Fix-Car-Black-Smoke

ภาพจาก กรมการขนส่งทางบก PR.DLT.News

และเมื่อพบว่ารถคุณเกิดควันดำอย่าได้นิ่งนอนใจ ควรรดำเนินการแก้ไข ดังนี้

1. ซ่อมแซมเครื่องยนต์ในส่วนที่สึกหรอ เช่น เปลี่ยนลูกสูบ แหวนลูกสูบ หรือ ทำการคว้านกระบอกสูบ แล้วเปลี่ยนลูกสูบให้ใหญ่ขึ้น
2. ทำการเช็กปั๊ม โดยนำเข้าศูนย์บริการ ทำการปรับแต่งปั๊มจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงเปลี่ยนชิ้นส่วนที่ชำรุดสึกหรอ รวมทั้งปรับแต่งหัวฉีดน้ำมันและเปลี่ยนชิ้นส่วนที่สึกหรอ รวมทั้งการปรับแต่งอัตราและจังหวะการฉีดน้ำมันให้ถูกต้องเป็นไปตามบริษัทผู้ผลิตกำหนด
3. เปลี่ยนไส้กรองอากาศใหม่ เพื่อให้เกิดการเผาไหม้ที่สมบรูณ์
4. เปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะเวลาที่บริษัทผู้ผลิตกำหนด
5. ปรับแต่งเครื่องยนต์ให้ทำงานถูกต้องตามระยะเวลาที่เหมาะสม
6. ทำการล้างท่อไอเสียโดยใช้น้ำหรือลมฉีดชะล้างเขม่า และฝุ่นละอองภายในท่อไอเสีย

มาตรฐานค่าควันดำจากท่อไอเสียของรถยนต์

ปกติแล้ว การวัดควันดำของรถยนต์ จะวัดกันจอดรถยนต์จอดอยู่กับที่ ซึ่งมีกำหนดไว้ไม่เกินร้อยละ 50 (เมื่อตรวจวัดด้วยเครื่องมือวัดควันดำระบบกระดาษกรอง) หรือไม่เกินร้อยละ 45 (เมื่อตรวจวัดด้วยเครื่องมือวัดควันดำระบบวัดความทึบแสง)

6-Ways-To-Fix-Car-Black-Smoke

ภาพจาก กรมการขนส่งทางบก PR.DLT.News

รถยนต์ที่ปล่อยควันดำ เกินค่ามาตรฐาน นอกจากโดนปรับแล้ว ยังจะถูกติดสติ๊กเกอร์ หรือพ่นสีที่หน้ากระจกรถว่า “ห้ามใช้ชั่วคราว” คือ คำสั่งห้ามใช้รถยนต์เป็นการชั่วคราว จนกว่าจะนำรถไปแก้ไขปรับปรุงเครื่องยนต์ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์และมีควันดำเป็นไปตามมาตรฐาน ภายในกำหนด 30 วัน

และหากยังฝ่าฝืน ไม่นำรถยนต์ไปแก้ไขปรับปรุงเครื่องยนต์ให้มีควันดำลดลง ภายใน 30 วัน ก็จะถูกติดสติ๊กเกอร์ “ห้ามใช้เด็ดขาด” พร้อมบันทึกหมายเลขทะเบียนลงในคอมพิวเตอร์ เพื่อแจ้งไปยังนายทะเบียนของกรมขนส่งทางบกพิจารณาดำเนินการ และจะเคลื่อนย้ายรถยนต์ได้ ก็ต่อเมื่อได้รับการอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่เท่านั้น

ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก กรมควบคุมมลพิษ

BMW Z4

มีพบก็ต้องมีพราก ถือเป็นสัจธรรม
ที่ใช้ได้กับโลกยานยนต์โดยแท้

วันนี้ Carro จะชวนคุณๆ มาดู 5 อันดับรถยนต์ที่เราจะไม่ได้เห็นอีกแล้วในปี 2017! ซึ่งหลายคันในกลุ่มนี้น่าจะเป็นรถในดวงใจของใครหลายคนเลยทีเดียว!

1. BMW Z4

คาดว่าอาจทำให้หลายคนงงงวยว่าโรดสเตอร์ยอดนิยมอย่าง Z4 เนี่ยนะจะไม่ได้ไปต่อ! มันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ แต่ไม่ต้องตกอกตกใจไป มันเป็น Life Cycle ของ Z4 จ้า!

BMW Z4 เจนเนอเรชั่นปัจจุบันถือเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 3 ซึ่งออกมาตั้งแต่ปี 2009 แล้ว แม้ว่าโฉมปัจจุบันของ Z4 จะเป็นโฉมที่หลายคนยอมรับว่าดีไซน์สวยงามที่สุด คว้ารางวัลมาแล้วหลายเวที แถมยังโดดเด่นมากในบรรดา Roadster ด้วยกัน แต่เรื่องน้ำหนักของรถซึ่งเพิ่มขึ้นจาก Hard Top ที่ออกแบบมาใหม่นั้นก็ยังเป็นปัญหา รวมถึงการทำความเร็วที่ยังเป็นรอง Porsche Boxster ด้วย

และช่วยไม่ได้จริงๆ ที่โรดสเตอร์เดี๋ยวนี้ขายยากขึ้นทุกวัน แถมผู้ซื้อก็เป็นกลุ่มเล็กๆ ทางผู้ผลิตจึงต้องมีการปรับปรุงและพัฒนารถกันอีกสักยก ในปี 2017 เราน่าจะได้เห็น Z5 ที่จะมาพร้อมกับความสำเร็จยิ่งกว่าเดิม! และก็อย่างที่รู้ๆ กันว่า BMW ได้จับมือกับ Toyota เพื่อพัฒนา Sport Car ร่วมกันมาตั้งแต่ปีที่แล้ว อย่างที่หลายคนน่าจะทราบแล้วว่า Toyota Supra รุ่นต่อไปจะใช้เครื่องยนต์ BMW! ฉะนั้น Z5 ที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในอนาคตอันใกล้นี้จึงน่าจะเป็นรถที่ร่วมมือกันระหว่าง BMW กับ Toyota เช่นกัน !

(BMW Z4)

(BMW Z5 Spy Shots)

2. Rolls – Royce Phantom

นับว่าผ่านมาร่วม 13 ปีแล้วหลังจากที่ Phantom รุ่นล่าสุดเปิดตัวออกมา แม้จะไม่ใช่รถที่เราจะสามารถพบเห็นได้บ่อยๆ แต่ก็น่าใจหายอยู่ไม่น้อยทีเดียว เพราะดูเหมือนว่า Phantom รุ่น Drophead Coupe’ (เปิดประทุน) และรุ่น Coupe’ (2 ประตู) จะไปแล้วไปลับ เหลือไว้เพียงรุ่นลิมูซีนเท่านั้น!

(Rolls – Royce Phantom Coupe’)

(Rolls – Royce Phantom Drophead Coupe’)

3. Honda CR – Z

ซีอาร์ – ซีร์เพิ่งจะเข้ามาในประเทศไทยได้ไม่กี่ปี แต่ในอเมริกาจะเลิกขายแล้ว! นับว่ารถไฮบริดจากค่ายฮอนด้าคันนี้มีชะตากรรมที่น่าสงสารอย่างยิ่ง เพราะแม้แต่ในไทยซึ่งนิยมรถญี่ปุ่น เราก็ยังไม่ค่อยจะเห็น CR-Z บนท้องถนนบ่อยนัก ส่วนเมืองนอกซึ่งนิยมรถไฮบริดมากกว่าก็ดันประกาศเลิกผลิต!

ความแป้กของยอดขาย CR-Z นั้นเป็นที่คาดการณ์มาล่วงหน้านานแล้ว สาเหตุก็เพราะ CR-Z เป็นรถที่ไปไม่สุดเลยสักทาง จะเป็นคูเป้ที่ขับสนุกก็ไม่ใช่ เป็นอีโคคาร์ก็ไม่เชิง อีกทั้งในแง่ของความประหยัดน้ำมันนั้น คู่แข่งอย่าง Toyota Prius ก็ทำได้ดีกว่ามาก  Honda CR-Z จึงโบกมือลาตลาดอมริกาไปด้วยประการฉะนี้

(Honda CR-Z)

4. Volvo S80

ถือเป็นรุ่นที่อยู่มาเกือบ 10 ปีแล้วสำหรับ S80 คันนี้! หลังจากต้องยืนหยัดแข่งขันกับ BMW 5 series และ Mercedes Benz E-Class อย่างแสนสตรองมาร่วมทศวรรษ และประสบความล้มเหลวไม่เป็นท่ากับยอดขายมาหลายปีติดๆ กัน แม้ว่าทางผู้ผลิตพยายามยื้อชีวิต S80 ด้วยการเติมโน่นนิด เติมนี่หน่อย และใส่เครื่องยนต์เทอร์โบชาร์ต 4 สูบลงไปในรุ่นที่วางขายปี 2015 ก็ตาม

ในที่สุดทาง Volvo ก็ตัดสินใจปลดระวาง S80 แล้ว และมีแผนที่จะส่ง S90 ซึ่งมีเทคโนโลยีเครื่องยนต์ทันสมัยกว่า และดีไซน์หรูหรามีระดับมากกว่าออกมาทดแทนในอนาคตอันใกล้นี้!

(Volvo S80)

5. Dodge Viper

หากคุณไม่ใช่แฟน Sport Car คงไม่ตกใจมากนัก แต่สำหรับคนรักรถสมรรถนะสูงทั่วโลก การที่ Viper จะเลิกผลิตในอเมริกานั้นถือเป็นเรื่องสะเทือนขวัญทีเดียว ด้วยสมรรถนะ ดีไซน์ และเสน่ห์หลายอย่างประกอบกัน Viper ได้กลายเป็นขวัญใจของคนรัก Sport Car จำนวนมาก! แต่เป็นที่แน่นอนแล้วว่า หลังจากรุ่น Limited Edition เปิดตัวในปีหน้า อสรพิษจากค่าย Dodge จะเป็นรถอีกรุ่นหนึ่งที่จะไม่มีขายอีกแล้ว! เรื่องนี้ทำให้สื่อมวลชนหลายเจ้าโจมตีว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคชาวอเมริกันปัจจุบันคงกลายเป็นพังพอนไปแล้ว! Viper จึงสามารถครองพื้นที่ในโชว์รูมต่อไปได้! (Viper แปลว่า งูพิษ)

(Dodge Viper)

เอาเป็นว่า Carro ขอแจ้งข่าวให้คนรักรถได้รับรู้ทั่วกัน 5 อันดับรถที่กล่าวมานี้ไม่ผลิตและวางขายในอเมริกาเหนือแล้วจ้า! แต่แฟนๆ ก็ไม่ต้องเสียอกเสียใจไป เพราะบางคันยังหาได้ในตลาดรถมือสอง! ใครที่สนใจรถมือสองสภาพดี ลองเข้าไปเลือกชม เลือกหาซื้อได้บนเว็บไซต์คาร์โรเลย! ถ้าไม่อยากพลาดข่าวสารและโปรเด็ดๆ ในแวดวงรถยนต์มือสอง มาติดตามได้ที่ได้ที่ facebook : Carro thailand แล้วเราจะได้ใกล้ชิดกันมากกว่าเดิม!

รถพัง

ถ้าไม่อยากให้รถพังเร็ว อย่าทำ 5 พฤติกรรมเหล่านี้

สำหรับใครที่ซื้อรถยนต์ส่วนตัวแล้ว ก็คงอยากดูแลมันเป็นอย่างดี บางคนถึงขั้นตั้งชื่อรถของตัวเอง ประคบประหงมกันอย่างเต็มที่ ไม่ให้ฝุ่นเกาะไรจับ ยิ่งรถที่ซื้อมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเรายิ่งต้องดูแลคูณสอง

แต่ถ้าคุณมีพฤติกรรมแย่ๆบางอย่าง อาจส่งผลต่อตัวรถ และอะไหล่รถของคุณได้ เราจึงคัดพฤติกรรมทั้ง 5 ที่คิดว่าเป็นพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อรถของคุณกัน ไปดูกันเลย

 

รถพัง

1. ออกตัวแรงขณะเครื่องเย็น

การดับรถจะทำให้เครื่องยนต์เริ่มปรับอุณภูมิจากร้อนเป็นเย็น แต่ถ้าคุณสตาร์ทรถขณะที่เครื่องยนต์ยังเย็น แล้วคุณรีบออกตัวด้วยความเร็ว เป็นพฤติกรรมที่ผิด เพราะมันส่งผลเสียให้กับรถของคุณ โดยเฉพาะระบบหล่อลื่น จะไม่สามารถไปหล่อเลี้ยงชิ้นส่วนอื่นๆภายในเครื่องยนต์ได้ทัน

ดังนั้น คุณควรสตาร์ทเครื่อง แล้วปล่อยทิ้งไว้เพื่อเป็นการวอร์มเครื่องยนต์เล็กน้อย หรือค่อยๆออกตัวไปแบบช้าๆ ไม่ต้องรีบร้อน จนระบบเริ่มเข้าที่เข้าทาง หรือประมาณ 5-10 นาที จึงค่อยเพิ่มความเร็วขึ้นจะดีกว่า

 

รถพัง

2. ไม่ชะลอความเร็วขณะข้ามเนิน ลูกระนาด หรือหลุม

หากคุณขับรถอเจอเนิน ลูกระนาด หรือ หลุม แล้วคุณไม่ได้แตะเบรก หรือลดความเร็ว บอกลาช่วงล่างรถคุณได้เลย ยิ่งถ้าเป็นรถเก๋ง หรือรถที่โหลดต่ำ ช่วงล่างคุณพวกโช้คอัพ ปีกนก บูชยาง ไหนจะเพลาขับอีก มันต้องมีหลวมมีสึกกันบ้าง หรือหนักๆเลยก็หลุดออกมา

แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ช่วงล่างรถเราหลวม เราสึก เรามี วิธีตรวจเช็่คช่วงล่างได้ด้วยตัวเอง ดังนี้

  • ขั้นแรกเราต้องสังเกตด้วยตาของเราเสียก่อน ว่ามีส่วนไหนสึก ส่วนไหนหลวม
  • ขั้นที่สองเวลาเราขับรถยิ่งถ้าเป็นทางขุรขระ เราลองฟังเสียงรถ ถ้าได้ยินเสียง กุกกักๆ แสดงว่าช่วงล่างเราอาจมีปัญหา
  • ขั้นที่สามเช็คช่วงล่างรถเอง ด้วย วิธีการโยกล้อ ซึ่งคุณต้องมีอุปกรณ์อย่างแม่แรงเสียก่อน เพื่อเช็คลูกหมากปีกนกบนและล่าง เช็คลูกหมากปลายแร็ค เป็นต้น

รถพัง

3. เหยียบคันเร่งจนมิด

หลายคนที่มือหนักเท้าหน้าชอบเร่งเครื่อง เหยียบจนมิด พฤติกรรมเหล่านี้จะส่งผลไม่ดีกับสภาพรถยนต์ และอะไหล่รถยนต์อย่างแน่นอน เพราะการเร่งเครื่องมากๆ ถ้ามีกลิ่นไหม้แสดงว่า ผ้าคลัตช์ของคุณเริ่มมีความร้อนสูง ถึงแม้ผ้าคลัตช์จะสามารถรับความร้อนได้สูง แต่ถ้าถึงจุดที่ร้อนจัดๆ คุณคงอาจต้องเตรียมเงินซื้อคลัตช์ใหม่เลย

นอกเหนือจากผ้าคลัตช์แล้ว ยังทำให้อะไหล่ส่วนอื่นของรถเกิดการสึกหรอ อาจต้องเสียเงินเข้าอู่ ไปตรวจสภาพรถอีกด้วย

ผ้าคลัตช์จะทำหน้าที่ ตัดการส่งกำลังจากเครื่องยนต์สู่ชุดเกียร์ เมื่อคุณเหยียบคลัตช์ เพื่อให้ผู้ขับรถยนต์ทำการเปลี่ยนเกียร์ และจะเชื่อมต่อการส่งกำลังจากเครื่องยนต์สู่เกียร์นั่นเอง

 

รถพัง

4. น้ำท่วมแค่ไหน เราก็ลุย

ด้วยสภาพอากาศของเมืองไทยที่หาความแน่นอนไม่ได้ ยิ่งช่วงนี้มีข่าวน้ำท่วมในกรุงเทพฯ หรือตามต่างจังหวัดมากมาย ทำให้คุณต้องขับรถ แต่หากทางขน้ำท่วมสูงถึง 30 เซนติเมตร หรือมากกว่านั้น คุณไม่ควรเสี่ยงลุยน้ำ เลี่ยงได้ควรเลี่ยง  เพราะเครื่องยนต์ของคุณ จะดูดเอาน้ำที่ท่วมไปยังห้องเครื่อง น้ำเหล่านั้นจะสร้างความเสียหายให้กับรถได้

แต่ถ้ามีความจำเป็นและดูระดับน้ำแล้วน่าจะไหว คุณควรปิดแอร์ เพราะระบบแอร์จะเป็นตัวดูดน้ำเหล่านั้นเข้าเครื่องของคุณ และทำให้ระบบไฟฟ้าลัดวงจร  อีกทั้งควรรักษาความเร็ว ไม่ควรเร่งความเร็วเพราะน้ำจะทะลักเข้าเครื่องยนต์ได้ และถึงแม้ว่าคุณได้ขับผ่านพื้นที่น้ำท่วมไปแล้ว แต่คุณอย่าเพิ่งชะล่าใจ ควรตรวจเช็คสภาพรถของคุณในภายหลังด้วยรถพัง

5. ไฟสัญญาณขึ้นเตือนที่หน้าปัด แต่คุณนิ่งเฉย

ขับๆรถอยู่ ไฟที่หน้าปัดดันขึ้นแจ้งเตือน แต่หากคุณไม่สนใจยังฝืนขับต่อไปเรื่อยๆ ส่งผลไม่ดีอย่างแน่นอน เพราะสัญญาณหน้าปัดเป็นเหมือนการแจ้งเตือนแรกของความผิดปกติ ทั้งระบบเครื่องยนต์ ระบบความปลอดภัย

ฉะนั้น คุณควรชะลอรถ และจอดรถเพื่อเช็คระบบรถยนต์เสียก่อน ว่ามีส่วนไหนชำรุดหรือไม่ ต่อจากนั้นซ่อมขั้นพื้นฐานถ้าคุณทำได้ แต่ถ้าไฟสัญญาณหน้ารถคุณแจ้งเตือนสัญลักษณ์เป็นรูปเครื่องยนต์ คุณก็ควรนำรถคุณเข้าอู่เพื่อเช็คสภาพรถ อะไหล่รถ จะดีกว่า

ซึ่ง 5 พฤติกรรมดังกล่าว เป็นจุดเสี่ยงทำให้รถของคุณอาจพังได้ ดังนั้นคุณรีบปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ก่อนที่รถของคุณจะเสื่อมสภาพก่อนเวลาอันควร

 

ขอบคุณข้อมูล : finance.rabbit.co.th

 

รถยนต์ที่แพงที่สุดในโลก-2017

สุดยอดรถยนต์หรู จากค่ายชื่อดังระดับโลก

ความก้าวล้ำทางนวัตกรรมยานยนต์ในยุคปัจจุบันไปไกลกว่าที่เราจะคาดคิดได้ ไม่ว่าจะเป็นสมรรถนะเครื่องยนต์ทรงพลัง รูปลักษณ์ที่โดดเด่นโฉบเฉี่ยว เทคโนโลยีที่ทันสมัย บวกกับความหรูหราของวัสดุประกอบ รวมทั้งความปลอดภัยอย่างสูงสุด ทำให้ค่ายรถยนต์ชื่อดังระดับโลกต่างก็ต้องคิดค้น และผลิตรถยนต์ที่ดีที่สุด ออกมาเพื่อให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้า วันนี้ Carro จึงจะพาคุณไปพบกับรถยนต์สุดหรูที่แรงและเร็วสมเป็น 9 อันดับรถยนต์ที่มีราคาที่แพงที่สุดในโลก

 

ferrari-pininfarina-sergio

อันดับ 9 Ferrari Pininfarina Sergio

ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 3,000,000 ดาลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 105 ล้านบาท

Pininfarina Sergio จากประเทศอิตาลี เป็นรถรุ่นพิเศษที่ทางเฟอรร์รารี่ผลิตขึ้นเพื่อเป็นเกียรติให้แก่ เซอร์จิโอ พินินฟาริน่า (นักออกแบบของเฟอรร์รารี่ผู้ล่วงลับไปแล้ว) โดยรุ่นนี้ใช้เครื่องยนต์ V8 ขนาด 4,500 ซีซี. ให้พละกำลัง 605 แรงม้า ทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ภายใน 3 วินาที เป็นแบบ 2 ประตู 2 ที่นั่ง เน้นดีไซต์แนวสปอร์ต โฉบเฉี่ยว และที่สำคัญ รุ่นนี้ผลิตมาแค่ 6 คันเท่านั้น ซึ่งทั้งหมดได้ถูกจองและจำหน่ายหมดตั้งแต่วันเปิดตัวอีกด้วย

 

bugatti-veyron-by-mansory-vivere

อันดับ 8 Bugatti Veyron by Mansory Vivere

ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 3,400,000 ดาลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 119 ล้านบาท

รถยนต์รุ่นนี้จากประเทศฝรั่งเศษ ตัวรถมีความพิเศษคือ ผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งคัน ซึ่งมีความแข็งแรงทนทานกว่าเหล็กถึง 5 เท่า และมีน้ำหนักเบากว่ามาก มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 16 สูบ 8,000 ซีซี. และมีพละกำลังถึง 1,200 แรงม้า ทำให้สามารถทำความเร็วสูงสุดถึง 434 กม./ชม. แต่เพื่อความปลอดภัยจึงถูกจำกัดไว้ที่ 415 กม./ชม.

 

lykan-hypersport

อันดับ 7 Lykan HyperSport

ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 3,400,000 ดาลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 119 ล้านบาท

ถูกผลิตขึ้นโดยบริษัท W Motor ประเทศเลบานอน ซึ่งเป็นรถยนต์รุ่นแรกและรุ่นเดียวในบริษัท ที่มีการผลิตเพียงแค่ 7 คันเท่านั้น ด้วยดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว ยังโดดเด่นในเรื่องของเครื่องยนต์ ทวินเทอร์โบ 6 สูบ ขนาด 3.7 ลิตร สามารถให้กำลังอยู่ที่ 522 กิโลวัตต์ และทำความเร็วสูงสุดที่ 385 กม./ชม. นอกจากนี้เจ้ารถคันนี้ยังเคยอยู่ในภาพยนตร์ชื่อดังอย่าง Fast and Furious 7 ในฉากที่รถพุ่งข้ามตึก และอยู่บนสมาร์โฟนในรูปแบบของเกมส์ เช่น Asphalt 8: Airborne , GT Racing 2 อีกด้วย

 

mclaren-p1-lm

อันดับ 6 McLaren P1 LM

ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 3,700,000 ดาลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 130 ล้านบาท   

McLaren P1 LM รถยนต์จากค่าย McLaren Automotive สัญชาติอังกฤษ ได้นำรถรุ่น McLaren P1 GTR มาปรับแต่งใหม่ โดยได้เจ้าแห่งการโมดิฟายรถแข่งชื่อดังอย่าง Lanzante มาดีไซน์ให้พิเศษกว่าเดิม โดยเปลี่ยนหลังคาเป็นคาร์บอนไฟเบอร์, ท่อไอเสียเป็นไทเทเนียมทั้งเส้น, อัพเกรดแอโรพาร์ท เพื่อสร้างแรงกดเพิ่มเติม ทำให้ P1 LM มีแรงกดมากกว่าเดิมถึง 40% นอกจากนี้ยังใช้เครื่องยนต์ทวินเทอร์ดบ 3.8 ลิตร V8+McLaren electric ECU moto ปลั๊กอินไฮบริคสมรรถนะสูง เครื่องยนตร์กลางลำท้าย ขับเครื่อง 2 ล้อหลัง อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียงแค่ 2.8 วินาที

 

ferrari-laferrari-aperta

อันดับ 5 Ferrari Laferrari Aperta

ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 3,800,000 ดาลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 133 ล้านบาท

ซุปเปอร์คาร์ไฮบริคที่แรงที่สุดในโลก และเปิดประทุนได้คันแรกของโลกจากค่าย Ferrari ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ระบบไฮบริค ขุมพละ V12 พละกำลัง 800 แรงม้า ซึ่งทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าอีก 163 แรงม้า ทำให้มีพลังกำลังรวมถึง 963 แรงม้า แรงบิดมากกว่า 900 นิวตัน-เมตร ความเร็วสูงสุดที่ทำได้ 349 กม./ชม. และในปี 2017 ได้ผลิตรุ่นนี้ 150 คันทั่วโลก ซึ่งทั้งหมดได้ถูกจองหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

aston-martin-am-rb-001

อันดับ 4 Aston Martin AM-RM 001

ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 3,900,000 ดาลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 137 ล้านบาท

ไฮเปอร์คาร์สัญชาติอังกฤษ ที่เป็นการร่วมมือระหว่าง Aston Martin และทีมแข่ง F1 ของ Red Bull เพื่อสร้างรถที่โดดเด่นในเรื่องของน้ำหนักเบา และมีประสิทธิภาพสูงทั้งบนถนนและสนามแข่ง ซึ่งข้อมูลทางเทคนิคเบื้องต้นระบุว่า ใช้เครื่องยนต์ใหม่แบบ V12 สูบ 7.0 ลิตร 820 แรงม้า ปราศจากระบบอีดอากาศวางกลางลำ โดยจะมีพละกำลังเท่ากับน้ำหนักตัวรถเพื่อให้ได้อัตราส่วน แรงม้า/น้ำหนัก เท่า 1:1 และทางผู้ผลิตมีแผนวางจำหน่ายในรุ่นมาตราฐาน 99-150 คัน ส่วนในรุ่นพิเศษนั้นจะผลิตเพียง 25 คันเท่านั้น

 

lamborghini-veneno-roadster

อันดับ 3 Lamborghini Veneno Rosdster

ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 4,500,000 ดาลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 160 ล้านบาท

รถยนต์คันนี้มาจากประเทศอิตาลี ซึ่งความโดดเด่นอยู่ที่ Veneno Rosdster ที่แตกต่างกว่าจากคันอื่น โดยมีห้องคนขับเสมือนห้องนักบินที่เปิดโล่ง ให้ความรู้สึกสนุกและเร้าใจในการขับ อีกทั้งโครงสร้างของรถได้ใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ที่ให้ความแข็งแรง ออกแบบตามหลักแอร์โรไดนิก เพื่อให้เกิดการต้านลมน้อยที่สุด ซึ่งภายในใช้เครื่องยนต์ V12 ขนาด 6.5 ลิตร 750 แรงม้า ระบบเกียร์แบบ ISR gearbox 7 สปีด ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 355 กม./ชม. เลยที่เดียว

 

koenigsegg-ccxr-trevita

อันดับ 2 Koenigsegg CCXR Trevita

ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 4,800,000 ดาลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 170 ล้านบาท

“Trevita” ภาษาสเปนแปลว่า “Three whites” ซึ่งหมายถึงจำนวนที่ผลิต คือ 3 คันเท่านั้น โดยได้ใช้เครื่องยนต์ 4.8 ลิตร Twin supercharged DOHCV8 ซึ่งมีพละกำลังที่ 1,018 แรงม้า อีกทั้งเป็นซุปเปอร์คาร์ที่ยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย สามารถเติมเชื้อเพลิง E85 และ E100 ได้ สำหรับความเร็วสูงสุดที่ทำได้มากกว่า 400 กม./ชม. อัตราการเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 2.9 วินาที และ 1ใน3คันได้ครอบครองด้วยนักชกคนดังอย่าง ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์

 

mercedes-benz-maybach-exelero

อันดับ 1 Mercedes-Benz Maybach Exelero

ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 8,000,000 ดาลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 280 ล้านบาท

รถยนต์แบรนด์หรูที่อยู่ภายใต้การดูแลของ Mercedes-Benz ประเทศเยอรมัน ได้มีโครงการพัฒนาที่ค่ายเอ็มเอ็ม โดยร่วมมือกับ Fulda Reifenwerke เพื่อแสดงถึงความล้ำหน้าทางเทคโนโลยี ที่มาพร้อมกัยเรื่องยนต์ตัวแรงอย่าง V12 มีความจุกระบอกสูบ 5,908 ซีซี และขับเคลื่อนด้วยเทอร์โบคู่ ทำให้มีพละกำลังถึง 700 แรงม้า และจากการทดสอบเอ็กเซอเลโรแล้ว สามารถทำความเร็วสูงสุดถึง 351.45 กม./ชม. แต่ยังไม่มีโครงการจะจำหน่ายในเร็วๆนี้ ที่ผลิตออกมาเพื่อจัดแสดงโชว์สินค้าให้กับฟัลดา ที่เทโปโดรม เมืองเบอร์ลิน ประเทศเยอร์มัน เท่านั้น

 

เครดิต : carvariety.com

 

 

ขับเคลื่อนล้อหน้า,-ขับเคลื่อนล้อหลัง

มาทำความรู้จัก “ขับเคลื่อนล้อหน้า” และ “ขับเคลื่อนล้อหลัง” กัน

ขับหน้า-VS-ขับหลัง

เชื่อว่าคนใช้รถมือสอง หลายๆ คน ต้องเคยได้ยินคำว่า “ขับเคลื่อนล้อหน้า”, “ขับเคลื่อนล้อหลัง”, “FF”, “FR” หรืออะไรทำนองนี้ มาก่อนแล้วแน่ๆ และรู้ไหมว่า ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าและล้อหลังนั้น นอกจากจะมีข้อดี ข้อเสีย ที่แตกต่างกันแล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัย ที่ทำให้ราคารถมือหนึ่ง และรถมือสองแต่ละรุ่น สูงต่ำต่างกันอีกด้วย!

เพื่อให้การเลือกซื้อรถมือสองของคุณง่ายกว่าเดิม และตรงตามวัตถุประสงค์ของการใช้งานมากที่สุด บทความนี้จึงช่วยรวบรวมรายละเอียดของระบบขับเคลื่อนล้อหน้าและล้อหลัง รวมถึงเปรียบเทียบจุดเด่นจุดด้อย เพื่อเป็นตัวช่วยในการเลือกซื้อรถมือสองของคุณ

มาดูกันว่า ระบบขับเคลื่อนของรถมือสองแบบไหน ที่จะตรงใจ และตรงตามการใช้งานของคุณมากที่สุด!

ขับหน้า-VS-ขับหลัง

ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า (FWD: Front Wheel Drive)

เป็นระบบขับเคลื่อนแบบที่พบมากที่สุดในบรรดารถยนต์ที่ผลิตออกมาในปัจจุบันก็ว่าได้ โดยเฉพาะรถญี่ปุ่นส่วนใหญ่ รถตลาด และอีโคคาร์รุ่นต่างๆ รถที่ขับเคลื่อนล้อหน้า จะมีจุดสังเกตตรงที่เพลาขับเคลื่อน จะต่อกับชุดเกียร์โดยตรงแล้วเชื่อมกับล้อหน้าทั้งสองข้าง ทำให้เพลาหน้าของรถมีหน้าที่ในการบังคับเลี้ยว และรับกำลังที่ส่งผ่านมาจากเกียร์ด้วย

ขับหน้า-FF-T

นอกจาก FWD ซึ่งเป็นคำกว้างๆ ที่ใช้เรียกกันแบบสากลแล้ว หลายคนน่าจะเคยเห็นอักษรย่อ FF (Front Engine Front Wheel Drive) มาก่อน FF คือรูปแบบการวางเครื่องยนต์ไว้ด้านหน้า ขนานกับส่วนหน้าของรถยนต์ และใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ทำให้หลายคนอุปมาว่า ระบบส่งกำลังแบบนี้ ก็เหมือนกับการออกแรงดึงรถให้เคลื่อนไปข้างหน้านั่นเอง

ตัวอย่าง รถมือสองขับเคลื่อนล้อหน้าที่คุ้นเคยกันดีในแวดวงรถมือสอง ที่ได้รับความสนใจอย่างมากบนเว็บไซต์สื่อกลางซื้อขายรถยนต์มือสองคาร์โร ก็คือรถญี่ปุ่นรุ่นยอดนิยมอย่าง Honda Civic, Toyota Corolla AltisHonda Accord ฯลฯ นั่นเอง

ขับหน้า-FF-L

อย่างไรก็ตาม ไม่จำเป็นเลย ที่รถญี่ปุ่นจะต้องเป็นรถขับหน้าทุกรุ่น เพราะรถเก๋งขนาด Full-Size หรือรถกระบะ ก็ยังคงใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหลังอยู่ และรถยุโรปบางรุุ่น (มักจะเป็นรถเล็ก) ก็นิยมผลิตรถที่ขับเคลื่อนล้อหน้าออกมาขายเช่นกัน เช่น Mercedes Benz A-Class และ Mini Cooper เป็นต้น นอกจากนี้รถ SUV ส่วนใหญ่ ก็มักเป็นรถที่ขับเคลื่อนล้อหน้า แต่จะสามารถเปลี่ยนเป็นขับเคลื่อนสี่ล้อได้โดยอัตโนมัติ เช่น Honda CR-V เป็นต้น

Toyota-Sprinter-Trueno-AE86

ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง (RWD: Rear Wheel Drive)

เราจะพบว่า รถมือสองขับเคลื่อนล้อหลังที่เห็นได้ตามท้องถนนในประเทศไทย ส่วนใหญ่มักจะเป็นรถยุโรป และสปอร์ตคาร์ รวมถึงรถกระบะเป็นส่วนใหญ่ รถที่ขับเคลื่อนล้อหลัง อาจจะแบ่งตามตำแหน่งการวางเครื่องยนต์ได้ดังนี้

ขับหลัง-FR

– FR (Front Engine Rear Wheel Drive) คือรถที่ขับเคลื่อนล้อหลัง แต่มีการวางเครื่องยนต์ตามยาวไว้ด้านหน้า แล้วส่งกำลังผ่านเพลากลางไปยังเฟืองท้าย กระจายกำลังไปยังล้อหลังทั้งสองข้าง มักพบได้ในรถยุโรปรุ่นใหญ่ๆ และหรูหรา เช่น Mercedes Benz C-Class, E-Class และ S-Class เป็นต้น

ขับหลัง-FMR

– FMR (Front Midship Engine Rear Wheel Drive) คือรถที่ขับเคลื่อนล้อหลัง และเครื่องยนต์ก็ยังวางไว้ด้านหน้า แต่พยายามร่นระยะของตำแหน่งการวางเครื่องยนต์ให้ถอยหลังมามากที่สุด โดยเครื่องยนต์จะถูกวางไว้หลังแนวเพลาล้อหน้า ซึ่งจะทำให้รักษาสมดุลระหว่างตัวถังด้านหน้าและด้านหลังได้มากกว่า ตัวอย่างก็เช่น Honda S2000, Mazda RX-8, Ferrari F12 Berlinetta เป็นต้น

ขับหลัง-RMR-T

– MR (Mid Engine Rear Wheel Drive) คือรถขับเคลื่อนล้อหลังที่เครื่องยนต์ถูกวางไว้ตรงกลาง อาจจะวางขวางหรือวางตามยาวก็ได้ เป็นรูปแบบการวางเครื่องยนต์ที่ทำให้รถกระจายน้ำหนักได้ดีที่สุด ตัวอย่างรถแบบนี้ก็คือ Toyota MR2, Honda NSX นั่นเอง

ขับหลัง-RR

– RR (Rear Engine Rear Wheel Drive) คือรถขับเคลื่อนล้อหลังที่วางเครื่องยนต์ไว้ด้านท้าย โดยมีเกียร์อยู่ด้านหน้า เครื่องยนต์จึงมักเป็นเครื่องขนาดเล็กและไม่มากชิ้น เราจะเห็นได้จากบรรดาสปอร์ตคาร์ ที่มักจะดีไซน์ด้านหน้าให้ลาดลงสุดๆ เพื่อลดแรงเสียดทาน ตัวอย่างก็คือรถตระกูล Porsche บางรุ่น หรือ Volkswagen Beetle รุ่นเก่า เป็นต้น

รหัสย่อที่กล่าวมานี้ คือ Layout หรือโครงร่างของรถยนต์ที่ขับเคลื่อนล้อหลัง ซึ่งคุณสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบการทำงานของเลย์เอาต์แต่ละแบบได้ ที่นี่

Toyota-MR2

ข้อดี – ข้อด้อย ของระบบขับเคลื่อนล้อหน้า และขับเคลื่อนล้อหลัง

ขับเคลื่อนล้อหน้า (FWD) ขับเคลื่อนล้อหลัง (RWD)
ราคา ถูกกว่า เพราะใช้ชิ้นส่วนน้อยกว่า ทำให้รถมีต้นทุนในการผลิตต่ำกว่า แพงกว่า เพราะรถมีระบบส่งกำลังที่ซับซ้อนกว่า และใช้ชิ้นส่วนมากกว่า แน่นอนว่าย่อมส่งผลให้ค่าซ่อมบำรุงสูงกว่าด้วย
ความทนทาน ทนทานน้อยกว่า เพราะเพลาหน้าต้องรับหน้าที่เลี้ยว หมุน และรับกำลังที่ส่งมาจากเกียร์ จึงทำให้ทั้งเพลาและยางล้อหน้ามีโอกาสที่จะสึกหรอเร็วกว่า

*ขึ้นอยู่กับการบำรุงรักษาด้วย*

ทนทานกว่า เพราะมีการกระจายแรงไปยังส่วนต่างๆ ได้ดีกว่า
การประหยัดเชื้อเพลิง ประหยัดน้ำมันมากกว่า เพราะสูญเสียกำลังเครื่องยนต์น้อยกว่า และรถมีน้ำหนักเบากว่า สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากกว่า เพราะต้องส่งกำลังผ่านเพลากลาง ทำให้ต้องใช้กำลังมาก
การใช้พื้นที่ห้องโดยสาร ใช้น้อยมาก เพราะระบบเครื่องยนต์มักมีขนาดกะทัดรัดและอยู่ด้านหน้ารถ ทำให้เสียพื้นที่ห้องโดยสาร เพราะต้องมีอุปกรณ์เพื่อส่งกำลังไปยังล้อหลัง หากติดตั้งเครื่องยนต์ตรงกลางหรือท้ายรถก็จะยิ่งกินพื้นที่ห้องโดยสารมาก
ความสมดุลในการเข้าโค้ง สมดุลมากกว่าเพราะการวางเครื่องยนต์ไว้ที่ด้านหน้าของรถทำให้ล้อหน้ามีแรงยึดเกาะ (Traction) สูง กว่า แต่ก็อาจเกิด Understeer (หน้าดื้อ) ได้ ทำให้โค้งแล้วหลุดหรือแหกโค้ง สมดุลน้อยกว่า อาจมีอาการ Oversteer (ท้ายปัด) ได้ ซึ่งจะควบคุมได้ยากกว่า
ความสมดุลเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ สมดุลดีกว่า เนื่องจากทำอัตราเร่งช่วงต้นได้เร็วกว่าและดีกว่า แต่เป็นข้อเสียด้วยเช่นกันเพราะทำให้แรงยึดเกาะช่วงออกตัวมีน้อย เพราะน้ำหนักจะถ่ายเทไปด้านหลัง (นึกภาพดึงรถจากด้านหน้า) สมดุลน้อยกว่าในเครื่องแบบ FR แต่เครื่องแบบ อื่นๆ ก็ดีพอๆ กับขับหน้า แต่อาจจะให้ความรู้สึกหนักหน่วงกว่าตอนออกตัว (นึกภาพดันรถจากด้านหลัง)
ความสมดุลเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง สมดุลน้อยกว่า เพราะน้ำหนักกระจายตัวไม่ดี ซึ่งเป็นผลให้ควบคุมรถขณะเบรกได้ยากกว่า ทรงตัวได้ดีกว่าเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง

ระบบขับเคลื่อนแบบไหน เหมาะกับใคร

จากการเปรียบเทียบข้อดีข้อด้อยข้างต้น เราจะเห็นได้ว่า รถที่ขับเคลื่อนล้อหน้า เหมาะกับการขับขี่ระยะสั้นด้วยความเร็วต่ำมากกว่า ดังนั้น จึงเหมาะกับผู้ขับขี่ที่อยู่ในเมืองใหญ่ที่มีการจราจรติดขัด เพราะรถกินน้ำมันน้อยกว่า รวมถึงสามารถใช้พื้นที่ในห้องโดยสารได้มากกว่าอีกด้วย

ส่วนรถที่ขับเคลื่อนล้อหลัง หากไม่ใช่รถที่ใช้ในกิจกรรมบางอย่างโดยเฉพาะ เช่น ใช้แข่งขันความเร็วในสนามแข่งรถ ก็เป็นรถที่เหมาะสมกับการขับขี่บนถนนโล่งๆ ที่สามารถทำความเร็วได้ จึงน่าจะเหมาะกับคนที่เดินทางไกลบ่อย คนต่างจังหวัดที่ไม่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์รถติด หรือคนรักสปอร์ตคาร์ที่มีรถไว้ขับเล่นเป็นครั้งคราว ไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้รถในชีวิตประจำวัน

อย่างไรก็ตาม รถขับหลังก็เป็นรถที่สามารถใช้ขับขี่ในเมืองได้อย่างไม่เป็นปัญหา ดังที่เราเห็นได้จากรถยุโรปจำนวนมาก ที่ขับอยู่บนถนนในกรุงเทพฯ แต่คนขับต้องมีทักษะในการบังคับรถพอสมควร เพราะรถขับหลังมักมีน้ำหนักมากกว่ารถขับหน้า และอาจเกิดอาการท้ายปัดขึ้นได้เวลาเข้าโค้ง ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น

Honda-Jazz

รถขับหน้า – รถขับหลัง มีวิธีดูอย่างไร

หลายคนอาจจะมีคำถามในใจว่า จะรู้ได้อย่างไร ว่ารถคันไหนขับเคลื่อนล้อหน้า หรือล้อหลัง? วิธีการดูง่ายๆ มี 2 แบบคือ

ดูจากการวางเครื่องยนต์ ปกติแล้ว รถที่ขับเคลื่อนล้อหลังส่วนใหญ่จะวางเครื่องตามยาว ส่วนรถขับเคลื่อนล้อหน้ามักจะวางเครื่องตามขวาง ขนานไปกับส่วนหน้าของรถ (แต่ก็จะมีรถบางรุ่น ที่วางเครื่องยนต์ตามแนวยาว แต่ขับเคลื่อนล้อหน้าเช่นกัน เช่น Audi หรือ Subaru รุ่นขับหน้าบางรุ่น)

ดูจากเพลา รถที่ขับเคลื่อนล้อหน้า เพลาจะต่อกับชุดเกียร์ออกสู่ล้อหน้าทั้ง 2 ข้าง ในขณะที่รถขับเคลื่อนล้อหลังจะมีเพลากลางและเฟืองท้าย เมื่อพิจารณาประกอบกับรูปแบบการวางเครื่องยนต์แบบต่างๆ ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ก็จะสามารถบอกระบบขับเคลื่อนได้แน่นอนกว่า

ถือว่าครบถ้วนชัดเจนสำหรับบทความ ขับหน้า VS ขับหลัง หากท่านใดสนใจอยากหาความรู้กับบทความดีๆ เพิ่มเติม สามารถรับชมต่อได้ใน https://th.carro.co/blog/ ได้เลย

ขอขอบคุณภาพประกอบระบบขับเคลื่อนจาก Wikipedia