Isuzu-MU-X-The-Iconic

“อีซูซุมิว-เอ็กซ์ The Iconic” มาพร้อมชุดแต่งสปอร์ต ในราคา 1,354,000 – 1,411,000 บาท

อีซูซุ เขย่าตลาดรถเมืองไทยอย่างต่อเนื่อง ด้วยการแนะนำ รุ่นพิเศษ! “Isuzu MU-X The Iconic” รถยนต์นั่งอเนกประสงค์สุดหรูที่มาพร้อมชุดแต่งพิเศษสปอร์ตเท่รอบคัน จับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบรถที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

Isuzu-MU-X-The-Iconic“อีซูซุมิว-เอ็กซ์ The Iconic” เป็นรถยนต์นั่งอเนกประสงค์สุดหรูรุ่นล่าสุด ต่อยอดความแรงของ “The New Isuzu MU-X” ภายใต้นิยาม Signature of Privilege เอกลักษณ์แห่งเอกสิทธิ์ โดยเพิ่มเติมความโฉบเฉี่ยว หรูหรา งดงามทุกรายละเอียด อาทิ สปอร์ตเท่รอบคันกับชุดแต่ง Iconic Style ห้องโดยสารโทนเข้ม Lava Black ขับเน้นอารมณ์สปอร์ต ระบบความบันเทิงพร้อม Built-in Navigator และ Digital TV Tuner และล้ออัลลอย 18” Iconic Cross

Isuzu-MU-X-The-Iconic

มีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์ 1.9 และ 3.0 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ ที่ให้การตอบสนองการขับขี่ที่ดี ประหยัดน้ำมัน และรักษาสิ่งแวดล้อม ชุดเกียร์อัตโนมัติ ขับเคลื่อน 2 ล้อ พร้อมช่วงล่างที่นุ่มนวล รวมถึงเทคโนโลยีและฟังก์ชั่นต่างๆ ที่ตอบสนองการใช้ชีวิตยุคใหม่ให้ผู้ใช้รถได้สูงสุดในทุกด้าน โดยมีให้เลือก 2 สี ได้แก่ ขาวมุกเอเวอร์เรสต์ (Everest Pearl White) และ ดำออสเตรเลียนโคล (Australian Coal Black) ในราคา 1,354,000 – 1,411,000 บาท

Isuzu-MU-X-The-Iconic

รุ่นพิเศษ! “อีซูซุมิว-เอ็กซ์ The Iconic” ซึ่งจะเริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ ศกนี้ ณ โชว์รูมอีซูซุทั่วประเทศ

Isuzu-MU-X-The-Iconic-Price

5-SUV-PPV-Secondhand-Cars

ขึ้นชื่อว่า “เศรษฐกิจ” ไทย ในเวลานี้แล้ว หลายคนบอกว่าแย่ หลายคนบอกว่าดี แต่ถ้าเราฟังตามเสียงส่วนใหญ่ของคนทั้งประเทศ เขาก็บอกว่าแย่กันทั้งนั้นล่ะ

แผนการที่จะคิดเปลี่ยนรถตอนนี้ บางคนอาจงดซื้อรถใหม่ป้ายแดงไปก่อน โดยอาจจะเลือกซื้อเป็นรถยนต์มือสอง หรือรถบ้านมือสอง แทน เนื่องจากช่วยลดค่างวดที่จะต้องผ่อนรถทุกเดือน และยังได้รถคุณภาพดี ในราคาที่คุ้มค่าสบายกระเป๋าอีกด้ว

สำหรับใครหลายๆ คน ที่ตอนนี้ อาจจะมีครอบครัว หรือมีลูกอยู่แล้ว 1-2 คน แต่ชื่นชอบการท่องเที่ยว ชอบออกไปต่างจังหวัดในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ หรือในช่วงเทศกาลหยุดยาว

Chevrolet-Captiva-2007

รถมือสองที่เหมาะสมกับการใช้งาน ก็คงจะหนีไม่พ้นรถแนว “SUV” (Sport Utility Vehicle) และ “PPV” (รถกระบะดัดแปลง PPV – Pickup Passenger Vehicle ที่กรมสรรพสามิตบ้านเรา สร้างศัพท์บัญญัติขึ้นมารายเดียวในโลก เพื่อใช้เรียกจัดเก็บภาษีรถแนวนี้) ที่ให้ความอเนกประสงค์ สะดวกสบาย ปรับรูปแบบการใช้งานได้หลากหลาย และใช้งานในเมืองก็ลงตัว

หากคุณกำลังตัดสินใจซื้อรถยนต์มือสองซักคัน ถือเป็นอีกตัวเลือกที่ดี เพื่อนำเงินส่วนที่เหลือ ไปผ่อนบ้าน หรือใช้จ่ายในครอบครัว จ่ายค่าเทอมลูก เป็นต้น (แต่คนโสดจะซื้อไปใช้ ก็ได้เช่นกันนะครับ)

MR.CARRO ขอแนะนำรถ SUV และ PPV ที่นั่งได้ตั้งแต่ 5-7 คน ใช้ขนของก็ได้ ไปได้กันทั้งครอบครัว ในราคาตัวรถที่ไม่เกิน 400,000 บาท มาให้ทุกท่านได้พิจารณากันครับ

Toyota-Sport-Rider-2000

1. Toyota Sport Rider

Toyota Sport Rider (โตโยต้า สปอร์ต ไรเดอร์) ในโฉมแรกใช้ชื่อว่า “Hilux Sport Rider” ถือเป็นรถยนต์ PPV แบบ 7 ที่นั่ง ยอดนิยมอีกรุ่นหนึ่งของโตโยต้า พัฒนามาจากรถกระบะรุ่น Hilux Tiger ชื่อรุ่นมาจากภาษาอังกฤษ มีความหมายตรงตัว “Sport Rider” (ผู้ขับสปอร์ต)

Toyota Sport Rider ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงนับตั้งแต่เปิดตัวในเดือนธันวาคม 2541 (และเป็นที่นิยมของขโมยในเวลานั้นด้วย) โดย โตโยต้า เป็นผู้บุกเบิกรถแนวนี้ในเมืองไทย (โดยผลิตที่โรงงาน Thai Auto Works – TAW) ยอดขายแซงรถ SUV แท้ๆ ซะอีก จนค่ายคู่แข่งต้องทำออกมาขายบ้าง มีรูปทรงที่สวยงาม ออกแบบได้อย่างลงตัว แม้ว่าบางมุมมองจะยังคงเหมือนรถกระบะก็ตาม ภายในยกชุดมาจาก Hilux Tiger เพิ่มเบาะนั่งแถวที่ 3

มีให้เลือกกันทั้งในแบบขับเคลื่อนล้อหลัง และแบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และอัตโนมัติ 4 สปีด ECT-i (เฉพาะรุ่นเครื่องยนต์ D-4D ขับเคลื่อนล้อหลัง) …

โฉมแรก เครื่องยนต์มี 2 แบบ ได้แก่ ดีเซลขนาด 3.0 ลิตร รหัส 5L ให้แรงม้าสูงสุด 97 แรงม้า และรหัส 5L-E แบบ 4 สูบ OHC ให้แรงม้าสูงสุด 105 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 20.3 กก.-ม. (200 นิวตัน-เมตร) ที่ 2,600 รอบ/นาที

กลางปี 2543 เพิ่มเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ ขนาด 3.0 ลิตร จากเครื่องยนต์ที่กำเนิดขึ้นเพื่อใช้ใน Off Road รุ่นใหญ่ อย่าง Land Cruiser Prado จนได้รับสมญานามว่า จ้าวแห่งเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ (King of Diesel Turbo Engine) รหัส 1KZ-TE แบบ 4 สูบ OHC ให้แรงม้าสูงสุด 125 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 32.1 กก.-ม. (315 นิวตัน-เมตร) ที่ 2,000 รอบ/นาที สามารถทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ด้วยเวลาเพียง 15.3 วินาที ทำความเร็วได้สูงสุด 160 กม./ชม.

Toyota-Sport-Rider-2002

ช่วงปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ในเดือนกันยายน 2545 ปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ เทคโนโลยี D-4D มีดังนี้ …

เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ มีขนาด 2.5 ลิตร รหัส 2KD-FTV แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว D-4D ให้แรงม้าสูงสุด 102 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 26.5 กก.-ม. (260 นิวตัน-เมตร) ที่ 1,600-2,400 รอบ/นาที

เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ ขนาด 3.0 ลิตร รหัส 1KD-FTV แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว D-4D ให้แรงม้าสูงสุด 125 แรงม้า ที่ 3,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 32.1 กก.-ม. (315 นิวตัน-เมตร) ที่ 1,800-2,600 รอบ/นาที

โดย Toyota Sport Rider ในตลาดรถมือสอง (ในปี 2563) อยู่ที่ประมาณ 120,000 – 230,000 บาท

สำหรับราคาค่าตัวในเครื่อง 5L เวอร์ชั่นแรกนั้น ไม่แพงนักเมื่อเทียบกับตัวรถ เริ่มต้นประมาณ 1 แสนต้นๆ ส่วนตัวไมเนอร์เชนจ์หลังปี 2545 นั้น บล็อก D4-D อยู่ที่ประมาณ 1 แสนปลายๆ – 2 แสนกลางๆ ตามสภาพ

Isuzu-MU-7-2004

2. Isuzu MU-7

หลังจากที่ Isuzu เห็นรถค่ายคู่แข่งอย่าง … กอบโกยยอดขายรถแนว PPV ไปมากมายแล้ว จึงต้องนำ Isuzu D-Max มาพัฒนาเป็นรถยนต์อเนกประสงค์แบบ 7 ที่นั่ง จนได้ออกมาเป็น “Isuzu MU-7” (อีซูซุ มิว-เซเว่น) ในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2547 ซึ่งออกแบบผลิตและจำหน่ายในประเทศไทยเป็นที่แรกในโลก ตัวรถดัดแปลงได้ใกล้เคียงรถ SUV มาก จากการใช้ระบบส่งกำลังขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา การหดระยะฐานล้อ และปรับระบบรองรับด้านหลัง เป็นแบบคอยล์สปริง

แม้ตัวเลขยอดจำหน่ายจะตามหลังคู่แข่งอยู่พอสมควร แต่ มิว-7 ก็ยังขายได้ดี เพราะมีแบรนด์ Isuzu เป็นการันตี … สำหรับ MU-7 มีการปรับโฉมแทบทุกปี ตั้งแต่รุ่น Gold Series, Platinum Series รวมไปถึงรุ่นพิเศษอย่างรุ่น Limited, Executive, Groove หรือ Choiz เป็นต้น …

ใช้เครื่องยนต์ใหม่ “I-TEQ 3000 Ddi” ขนาด 3.0 ลิตร รหัส 4JJ1-TC แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว Super Commonrail Turbo Intercooler ให้แรงม้าสูงสุด 146 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 294 นิวตัน-เมตร ที่ 1,400-3,400 รอบ/นาที ที่ถูกคิดค้นและพัฒนาใหม่หมด

ในโฉมไมเนอร์เชนจ์ เปลี่ยนเครื่องยนต์เป็นขนาด 3.0 ลิตร รหัส 4 JJ1-TCX 3000 Ddi เทอร์โบแปรผัน VGS Turbo และอินเตอร์คูลเลอร์ใหญ่ขึ้น ให้แรงม้าสูงสุด 163 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิด 34.0 กก.-ม. (333 นิวตัน-เมตร) ที่ 1,600-3,200 รอบ/นาที

โดย MU-7 ในตลาดรถมือสอง (ในปี 2563) อยู่ที่ประมาณ 250,000 – 400,000 บาท (หลังรุ่นปี 2009 ราคาจะขึ้นไปมากกว่า 400,000 บาท)

Mitsubishi-G-Wagon-2001

3. Mitsubishi Strada G-Wagon

มิตซูบิชิ เปิดตัว Mitsubishi Strada G-Wagon (มิตซูบิชิ สตราด้า จีวากอน) เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2544 ที่ในเวอร์ชั่นตลาดโลกใช้ชื่อว่า ชาเลนเจอร์ (Challenger) ตัวนี้ใช้พื้นฐานเดียวกับรถกระบะ Strada โดยปรับหน้าตาให้เหมือนกันกับ Strada ซึ่งรุ่นนี้มีการปรับโฉมหน้าตากันอีกหลายครั้ง (ปรับโฉมครั้งที่ 2 ประมาณกลางปี 2546 และสุดท้ายในปี 2548) มีรุ่นพิเศษออกมาเยอะแยะเช่นกัน อาทิเช่น Rally Master หรือ Euro Evolution เป็นต้น

ระยะแรกใช้เครื่องยนต์ดีเซล ขนาด 2.8 ลิตร รหัส 4M40 แบบ 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว ให้แรงม้าสูงสุด 96 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 20.2 กก.-ม. (199 นิวตัน-เมตร) ที่ 2,000 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด

ช่วงปี 2545 … Strada G-Wagon แนะนำเครื่องยนต์ดีเซลใหม่ ขนาด 2.5 ลิตร รหัส 4D56 แบบ 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว VG Turbo Intercooler ให้แรงม้าสูงสุด 116 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 24.4 กก.-ม. (240 นิวตัน-เมตร) ที่ 2,000 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด

พอเวลาผ่านไป Mitsubishi ก็หันกลับมาใช้เครื่องยนต์รหัส 4M40 แต่เพิ่ม Turbo Intercooler เข้าไป สะใจขาลุย ให้แรงม้าสูงสุด 125 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 29.7 กก.-ม. (291 นิวตัน-เมตร) ที่ 2,000 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด

โดย Strada G-Wagon ในตลาดรถมือสอง (ในปี 2563) อยู่ที่ประมาณ 150,000 – 250,000 บาท

Honda-CR-V-2002-Thai

4. Honda CR-V (เจเนอเรชั่นที่ 2)

การมาของ “Honda CR-V” (ฮอนด้า ซีอาร์-วี) ที่ทำให้ตลาดรถยนต์ในกลุ่ม SUV ตื่นตัวขึ้นมากกว่าเดิมนับตั้งแต่ในรุ่นแรก โดยโฉมที่ Carro จะแนะนำในครั้งนี้ เป็น ซีอาร์-วี รุ่นที่ 2 ซึ่งเปิดตัวในบ้านเราในเดือนมกราคม 2545 มีให้เลือกทั้งแบบ 5 ที่นั่ง และ 7 ที่นั่ง โครงสร้างตัวรถออกแบบขึ้นโดยมี Civic รุ่นที่ 7 เป็นต้นแบบ และได้นำเครื่องยนต์หัวฉีด i-VTEC มาใช้อย่างเต็มรูปแบบทุกรุ่นย่อย …

ใช้เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร รหัส K20A แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว i-VTEC LEV ให้แรงม้าสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 19.4 กก.-ม. (191 นิวตัน-เมตร) ที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด

ในรุ่นปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ เปิดตัวไปในบ้านเราเมื่อธันวาคม 2547 … และได้เพิ่มเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร เป็นตัวเลือกใหม่ รหัส K24A แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว i-VTEC LEV ให้แรงม้าสูงสุด 160 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 22.4 กก.-ม. (219 นิวตัน-เมตร) ที่ 3,600 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติใหม่ (Real Time 4WD)

โดย Honda CR-V (เจนเนอเรชั่นที่ 2) ในตลาดรถมือสอง (ในปี 2563) อยู่ที่ประมาณ 130,000 – 230,000 บาท

Chevrolet-Captiva-2007

5. Chevrolet Captiva 

Chevrolet Captiva (เชฟโรเลต แคปติวา) เปิดตัวเป็นครั้งแรกในไทยเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2550 เป็นรถ SUV แบบ 7 ที่นั่ง เบาะแถว 2 และ 3 สามารถพับเก็บได้ มีให้เลือกทั้งแบบขับเคลื่อนล้อหน้า และขับเคลื่อน 4 ล้อ ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด แบบ Tiptronic (ต่อมาปรับเป็น 6 สปีด) และถือเป็นรถที่ขายนานที่สุดอีกหนึ่งรุ่นของ Chevrolet

ในรุ่นเครื่อง 2.0 ลิตร จะเป็นเครื่องยนต์แบบดีเซล แบบ 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว Turbo แบบแปรผัน ให้แรงม้าสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 32.6 กก.-ม. (320 นิวตันเมตร) ที่ 2,000 รอบ/นาที

ส่วนในรุ่น 2.4 ลิตร จะเป็นเครื่องยนต์เบนซิน แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว Flex Fuel รองรับเชื้อเพลิง E20 และ E85 ให้กำลังสูงสุด 136 แรงม้า ที่ 5,600 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 22.4 กก.-ม. (220 นิวตันเมตร) ที่ 2,200 รอบ/นาที

ภายหลังรุ่นเบนซิน 2.4 ลิตร เปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ เป็นแบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว Double CVC ให้กำลังสูงสุด 165 แรงม้า ที่ 6,400 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 23.0 กก.-ม. (225 นิวตันเมตร) ที่ 4,600 รอบ/นาที

อีกหนึ่งจุดเด่นที่มาพร้อมกับความจุห้องโดยสารที่มาก เมื่อพับเบาะแถวที่ 3 ลงจะมีปริมาตรในการขนสัมภาระอยู่ที่ 465 ลิตร แต่ถ้าพับเบาะแถวที่ 2 ลงอีก ความจุก็จะเพิ่มเป็น 930 ลิตร

โดย Chevrolet Captiva (โฉมแรก) ในตลาดรถมือสอง (ในปี 2563) อยู่ที่ประมาณ 199,000 – 400,000 บาท (หลังรุ่นปี 2014 ราคาจะขึ้นไปมากกว่า 400,000 บาท)

Ford-Everest-2003

อันนี้แถมให้ครับ … Ford Everest

Ford เปิดตัว Everest (เอเวอเรสต์) PPV 7 ที่นั่งรุ่นแรก ในเดือนมีนาคม 2546 วาระเดียวกับการฉลองครบรอบ 100 ปี ของ ฟอร์ด ซึ่งดัดแปลงมาจากพื้นฐานของกระบะอย่าง “Ranger” โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิต ที่โรงงานออโต้อัลลายแอนซ์ ฟอร์ด ซึ่งใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศมากถึงร้อยละ 80 และตั้งความหวังไว้กับรถรุ่นนี้มาก โดยผลิตเพื่อป้อนตลาดภายในประเทศ และส่งออกไปยัง 50 ประเทศทั่วโลก

เอเวอเรสต์ รุ่นแรก มีให้เลือกทั้งแบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 4 ล้อ เครื่องยนต์ยังไม่ใช่คอมมอนเรล แต่ใช้ดีเซลขนาด 2.5 ลิตร รหัส WLT แบบ 4 สูบ Turbo Intercooler ให้แรงม้าสูงสุด 121 แรงม้า ที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 27.5 กก.-ม. (270 นิวตัน-เมตร) ที่ 2,000 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ซึ่งขึ้นชื่อว่าแรงที่สุดในเวลานั้น

หลังจากนั้นได้ปรับปรุงอุปกรณ์ตกแต่งอีกเป็นระยะ โดย Ford Everest (เจนเนอเรชั่นที่ 1) มีอายุรวมในตลาดไม่ถึง 4 ปีดี

โดย Everest (รุ่นก่อนปี 2007) ในตลาดรถมือสอง (ปี 2563) อยู่ที่ประมาณ 200,000 – 270,000 บาท

MR.CARRO หวังว่ารถ SUV และ PPV มือสอง ในราคาคุ้มค่า ไม่เกิน 4 แสนบาท ที่นำมาเสนอนั้น น่าจะถูกใจหลายๆ คนกันนะครับ

ส่วนใครที่อยากขายรถ หรือมีเพื่อนฝูงกำลังหาที่ขายรถอยู่ CARRO เรารับซื้อรถของคุณ สามารถเข้าไปเช็กราคา ตีราคาขายรถก่อนได้ โดยใส่ข้อมูลรถของคุณที่นี่เลย กับ CARRO Express > https://th.carro.co/sell-car/express หรือโทร. 02-508-8425

หรือใครจะ Inbox มาสอบถามก็ได้เช่นกัน ที่ Facebook CARRO Thailand หรือสะดวก Add Line ก็ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

SUV-Crossover-Motor-Expo-2017

พบกับรถ SUV และ Crossover รุ่นใหม่ จากงาน Motor Expo 2017 ได้ที่นี่

ในยุคปัจจุบัน ถ้าจะให้พูดถึงรถยนต์อเนกประสงค์ หรือ รถยนต์ในรูปแบบ SUV, PPV หรือ Crossover นั้น เป็นที่นิยมมากขึ้นทุกปี (ดูได้จากยอดขายรถประเภทนี้ ย้อนหลังไป 6-7 ปีที่ผ่านมา) เพราะเป็นรถที่สามารถใช้งานได้หลากหลาย ไม่ว่าจะไว้วิ่งในเมือง ไว้ออกต่างจังหวัด ลุยน้ำท่วม ขนสัมภาระมากมาย หรือเดินทางไปกับครอบครัวหลายคนก็ตาม

ในงาน Motor Expo 2017 (มอเตอร์เอ็กซ์โป 2017) นี้ บรรดาผู้ผลิตรถยนต์ที่มีไลน์การผลิตรถแนว SUV, PPV หรือ Crossover ต่างรีบนำผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ของตนออกสู่ตลาดโดยเร็ว เพื่อช่วงชิงยอดจองและยอดขาย ซึ่งในงาน Motor Expo 2017 จะมีรุ่นใดมาโชว์นั้น CARRO ขอนำเสนอข้อมูลให้ทุกท่านดูกันได้เลยครับ …

Toyota C-HR

Toyota-C-HR

Toyota C-HR (โตโยต้า ซี-เฮชอาร์) รถ Crossover อเนกประสงค์ ที่ทาง Toyota นำมาโชว์ ถือว่าได้รับความสนใจอย่างล้มหลามเลยทีเดียว แม้ทาง Toyota จะยังไม่เผยสเปคออกมาชัดเจน รวมถึงรุ่นย่อยทั้ง 4 รุ่นย่อย

ซึ่ง Toyota C-HR ในรุ่นเครื่องยนต์ไฮบริดขนาด 1.8 ลิตร รหัส 2ZR-FXE ที่ยกชุดมาจากในตัว Prius รุ่นล่าสุด ชูจุดเด่นเรื่องความประหยัดน้ำมันแน่นอน นอกจากนี้ยังติดตั้งระบบความปลอดภัย Toyota Safety Sense และมีระบบ Toyota T-Connect Telematics เชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือได้สะดวกและง่ายดาย

พิเศษ! สำหรับผู้จองสิทธิ์เป็นเจ้าของ C-HR ตอนนี้ รับฟรี Cusotm Name Plate เลือกดีไซน์ชื่อได้ตามสไตล์คุณ ตั้งแต่วันนี้ – 28 ก.พ. 2561

ราคาของ Toyota C-HR ใหม่

– รุ่น 1.8 Entry ราคาไม่เกิน 1,000,000 บาท
– รุ่น 1.8 Mid ราคา 1,050,000 บาท (+,- ไม่เกิน 20,000 บาท)
– รุ่น Hybrid Mid ราคา 1,050,000 บาท (+,- ไม่เกิน 20,000 บาท)
– รุ่น Hybrid Hi ราคาไม่เกิน 1,200,000 บาท

Mazda CX-5

Mazda-CX-5

Mazda (มาสด้า) เปิดตัว Crossover SUV รุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง “Mazda CX-5” ใหม่ มาพร้อมรูปทรงการออกแบบอันสง่างามทั้งภายนอกและภายใน ที่ได้แรงบันดาลใจจากสุนทรียศาสตร์ของงานศิลปะญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม ตามแนวทางการออกแบบ “Less is more” ภายนอกดูเรียบง่าย แต่สุขุม และยังคงให้ความสปอร์ตโฉบเฉี่ยวในแบบฉบับใหม่ อัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีเจนเนอเรชั่นใหม่ล่าสุด

Mazda CX-5 มาพร้อมเครื่องยนต์ SKYACTIV-G ขนาด 2.0 ลิตร ให้แรงม้า 165 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 210 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที ประหยัดน้ำมันสูงสุด 13.9 กม./ลิตร

และเครื่องยนต์คลีนดีเซล SKYACTIV-D ขนาด 2.2 ลิตร ให้แรงม้า 175 แรงม้า ที่ 4,500 รอบ/นาที แรงบิดสูง 420 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 รอบ/นาที ประหยัดสูงสุด 17.5 กม./ลิตร

ราคา Mazda CX-5 ใหม่

– รุ่น 2.0 C ราคา 1,290,000 บาท
– รุ่น 2.0 S ราคา 1,400,000 บาท
– รุ่น 2.0 SP ราคา 1,530,000 บาท
– รุ่น 2.2 XD ราคา 1,560,000 บาท
– รุ่น 2.2 XDL ราคา 1,770,000 บาท

Lexus NX

Lexus-NX

Lexus NX (เลกซัส เอ็นเอ็กซ์) รุ่นไมเนอร์เชนจ์ มาภายใต้แนวคิด “The urbaNXplorer” ตอบโจทย์ความต้องการของคนเมืองยุคใหม่ ที่มีวิถีชีวิตไม่ซ้ำใคร ถือเป็นรถ Lexus รุ่นที่ขายดีที่สุดของเลกซัสในประเทศไทย นับตั้งแต่เปิดตัวในปี 2557 จนถึงปัจจุบัน ด้วยยอดจำหน่ายรวมภายในประเทศกว่า 1,400 คัน พร้อมการันตีถึงความนิยมด้วยยอดจำหน่ายสะสมทั่วโลก กว่า 400,000 คัน

มาพร้อมกับระบบเครื่องยนต์ 2 ทางเลือก ไม่ว่าจะเป็น ระบบ Hybrid ขนาด 2.5 ลิตร ในรุ่น NX300h เต็มสมรรถนะและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วยระบบ Lexus Hybrid Drive อัจฉริยะ และขุมพลังเครื่องยนต์ Turbo 4 สูบแถวเรียง ขนาด 2.0 ลิตร ในรุ่น NX300 ให้สมรรถนะแรงเต็มพลังในทุกระดับความเร็ว

ราคาของ Lexus NX ใหม่

NX300
– รุ่น F Sport แบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ราคา 4,450,000 บาท
– รุ่น Grand Luxury ราคา 3,440,000 บาท

NX300h
– รุ่น F Sport ราคา 4,050,000 บาท
– รุ่น Premium ราคา 3,550,000 บาท
– รุ่น Grand Luxury ราคา 3,140,000 บาท
– รุ่น Luxury ราคา 2,930,000 บาท

Subaru XV

Subaru-XV

Subaru XV (ซูบารุ เอ็กซ์วี) รถ Crossover ที่เคยสร้างกระแสความนิยมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และสร้างยอดขายให้กับ Motorimage ผู้นำเข้ารถยนต์ซูบารุในบ้านเราได้มากพอสมควร ถึงเวลาเปลี่ยนโฉมใหม่ตามญี่ปุ่น พัฒนาขึ้นบนแพล็ตฟอร์มล่าสุด “Subaru Global Platform” ร่วมกันกับ Impreza ใหม่ คาดว่ามาพร้อมเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ส่งกำลังผ่านเกียร์ CVT แบบ 7 สปีด เตรียมเปิดตัวในงาน Motor Expo 2017 นี้

Subaru XV ใหม่ ใช้เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร รหัส FB20 แบบ Boxer 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว พัฒนาขึ้นใหม่กว่า 80% เพิ่มกำลังอัดเป็น 12.5:1 (จากเดิม 10.5:1) ให้แรงม้าสูงสุด 156 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 196 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT แบบ 7 สปีด พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Symmetrical AWD และระบบ X-Mode สำหรับส่งถ่ายกำลังขับเคลื่อน 4 ล้อ

ราคาของ Subaru XV ใหม่

– รุ่น 2.0i ราคา 1,159,000 บาท
– รุ่น 2.0i-P ราคา 1,259,000 บาท

MG ZS

MG-ZS

MG (เอ็มจี) ประเทศไทย เปิดตัว MG ZS (เอ็มจี แซดเอส) รูปลักษณ์ของ New MG ZS ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิดบริท ไดนามิค (Brit Dynamic) ที่มีความทันสมัยมากขึ้นและสปอร์ตยิ่งกว่าเดิม พร้อมชูจุดเด่นรถยนต์รุ่นแรกของเอ็มจี ที่มาพร้อมกับระบบอัจฉริยะ i-SMART มีระบบ Voice Command ภาษาไทย

New MG ZS ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซินรุ่นใหม่ รหัส 15S4C ขนาด 1.5 ลิตร แบบ 4 สูบ DOHC VTi-TECH ให้แรงม้าสูงสุด 114 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 150 นิวตันเมตร ที่ 4,500 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด พร้อม Manual Mode

ราคาของ MG ZS ใหม่

– รุ่น C ราคา 679,000 บาท
– รุ่น D ราคา 729,000 บาท
– รุ่น X ราคา 789,000 บาท

BMW X3

BMW-X3

BMW X3 (บีเอ็มดับบลิว เอ็กซ์3) ใหม่ เป็นเจเนอเรชั่นที่สาม รูปลักษณ์แข็งแกร่งแบบออฟโรดเข้ากับความสปอร์ต ออกแบบเพื่อรองรับการกระจายน้ำหนักแบบ 50:50 ระหว่างเพลาหน้าและหลังเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบ

BMW X3 ใหม่ มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ BMW TwinPower Turbo ทำงานประสานเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด Streponic เครื่องยนต์ให้แรงม้าสูงสุด 190 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ส่งให้ BMW X3 xDrive20d xLine ใหม่ เร่งเครื่องจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 8 วินาที ก่อนที่จะพุ่งทะยานทำความเร็วสูงสุดที่ 213 กม./ชม. ด้านอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงอยู่ที่ 17.6 กม./ลิตร และอัตราการปล่อย CO2 ที่ 150 กรัม/กม.

BMW X3 xDrive20d xLine ใหม่ ราคา 3,699,000 บาท

Volvo XC60

Volvo-XC60

Volvo XC60 (วอลโว่ เอ็กซ์ซี60) รถ SUV พรีเมี่ยมขนาดกลาง มาพร้อมไฟหน้า LED รูปทรง Thor’s Hammer เอกลักษณ์ของวอลโว่ พร้อมโลโก้ Iron Mark บนกระจังหน้า ชุดไฟหน้ามาพร้อมระบบ Active High Beam ปรับระดับและลดความสว่างของไฟหน้าลงอัตโนมัติเมื่อมีรถสวนมา ที่ปัดน้ำฝนแบบใหม่พร้อมที่ฉีดน้ำในก้านปัด หลังคาแบบ Panoramic ประตูท้ายเปิด-ปิดโดยไม่ต้องใช้มือเปิด ที่เก็บสัมภาระพร้อม Private Locking และกล้องช่วยจอด 360 องศา เป็นต้น

เครื่องยนต์ของ Volvo XC60 ใช้เครื่องยนต์ T8 Twin Engine AWD Plug-in Hybrid ทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบชาร์จและซุปเปอร์ชาร์จ พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า ให้แรงม้าสูงสุด 407 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 640 นิวตัน-เมตร สามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว (Pure Mode) ได้ระยะทางถึง 44.92 กิโลเมตร

นอกจากนี้ ยังมีเครื่องยนต์ดีเซล D4 AWD ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 4,250 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,500 รอบ/นาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 8.4 วินาที อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย 17.9 กม./ลิตร

ราคาของ Volvo XC60 ใหม่

– D4 AWD Momentum ราคา 3,090,000 บาท
– T8 AWD Momentum ราคา 3,290,000 บาท
– T8 AWD R-Design ราคา 3,590,000 บาท

Review-Mitsubishi-Pajero-Sport

Mitsubishi Pajero Sport น่าใช้ เครื่องแรง ภายในกว้างขวาง กับตำนานของรถ SUV

Review-Mitsubishi-Pajero-Sport

สำหรับ Mitsubishi Pajero Sport (มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต) โฉมนี้! ซึ่งถือเป็นการตัดสินใจเดินเกม ที่น่าจะ “ถูกต้อง” ของทีมผู้บริหาร นับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในโลกในไทย เมื่อเดือนสิงหาคม 2558 เพราะเมื่อสินค้าออกแบบและพัฒนามาได้โดนใจลูกค้าชาวไทย หน้าตาที่กระเดียดไปทางเอสยูวีหรู ของ ปาเจโร สปอร์ต ถือว่าออกแบบมาได้ “ลงตัว” บ่งบอกถึงความดูดีมีสไตล์ของ “ผู้ขับ”

Review-Mitsubishi-Pajero-Sport

หน้าตา ของรถคันนี้ออกแบบมาได้อย่างลงตัว ดูเท่ มองมุมไหนก็สวยคมทุกมุม จะยกเว้นก็เพียงไฟท้ายที่หลายคนขัดหูขัดตา หากจะมองให้ดี คือ การยกแท่งไฟท้ายของรถวอลโว่ ตระกูล XC มากลับหัว ให้กับ ปาเจโร สปอร์ต คันนี้ ซึ่งขนาดความยาวของแท่งไฟท้าย ยังเลื้อยลงมาจนสุดปลายของฝากระโปรงท้าย ซึ่งบอกได้ชัดๆ ว่า “ไม่สวย” หากออกแบบไฟเบรกสีแดงให้เลื้อยไปจบกับกรอบไฟเลี้ยว น่าจะลงตัวกว่า

มิติตัวถังยาว 4,875 มม. กว้าง 1,815 มม. สูง 1,800 มม. (รุ่น 4WD 1,805 มม.) และระยะฐานล้อ 2,800 มม.

Review-Mitsubishi-Pajero-Sport

ประสิทธิภาพของเครื่องยนต์คลีนดีเซล MIVEC ขนาด 2.4 ลิตร 181 แรงม้า ถือว่าทำงานได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งเครื่องของความเงียบ และการทำงานประสานกันของระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ได้อย่างไหลลื่น ไม่มีอาการกระตุก สังเกตุได้ของรอยต่อระหว่างการเปลี่ยนเกียร์ ส่วนขุมกำลังของเครื่องยนต์ในช่วงการออกตัว หรือจังหวะกดคันเร่ง ต้องการเรียกความเร็วนั้น การตอบสนองการปลุกกำลังของเครื่องยนต์ อาจจะรู้สึกว่ากำลังของเครื่องยนต์นั้นมาช้าเกินไป…

Review-Mitsubishi-Pajero-Sport

เมื่อเทียบกับรถพื้นฐานตอนเป็นรถปิกอัพ ไทรทัน เพราะปาเจโรสปอร์ตคันนี้จะต้องเเบกรับ น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมาอีกค่อนข้างมาก สำหรับคนที่ต้องการให้ทันอกทันใจ อาจจะต้อง ทำใจ หรือ ทำความเข้าใจกับบุคลิกของรถเล็กน้อยแต่เมื่อวิ่งไปได้ระดับหนึ่งพละกำลัง ของ “ม้าทั้งตัว” พร้อมทะยานไปข้างหน้าอย่างไม่มีเหน็ดมีเหนื่อย…

Review-Mitsubishi-Pajero-Sport ส่วนเครื่องของช่วงล่าง รถคันนี้ เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนมิตซูบิชิ เซ็ตค่อนข้างนุ่มนวลเเต่โดยส่วนตัวความรู้สึกตลอดระยะเวลาของการทดสอบ ยังคง “ก้ำกึ่ง” ว่า จะชอบ หรือไม่ชอบดี เพราะช่วงล่างรถคันนี้ น่าจะถูกอกถูกใจผู้ใช้งานที่เป็นผู้ใหญ่ หรือคุณสุภาพสตรี ในเรื่องของความนุ่มนวล เเต่โดยส่วนตัวเเล้ว หากมิตซูบิชิ เติมความหนึบหนับ เอาอารมณ์ความดื้อ และกระด้างของช่วงล่าง “ไทรทัน” มาใส่ ไว้น่าจะทำให้รถคันนี้ขับได้สนุก และมีชีวิต ชีวา …

และในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ยังมาพร้อมระบบ SS4-II (Super Select 4WD–II) ที่ทำให้ผู้ขับขี่ สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการขับขี่จากถนนปกติ ในแบบขับเคลื่อน 2 ล้อ มาเป็นขับเคลื่อน 4 ล้อ เมื่อต้องการขับขี่บนเส้นทางออฟโรด ให้ความมั่นใจในการขับขี่ทุกสภาพถนน

Review-Mitsubishi-Pajero-Sport Review-Mitsubishi-Pajero-Sport

ภายนอกและภายใน รุ่น GT 2WD

ส่วนความสะดวกสบายภายในห้องโดยสารถือว่ามิตซูบิชิจัดวางมาไว้ให้อย่างครบครัน เเต่เมื่อเทียบกับรถในเซ็กเมนต์เดียวกัน ที่มีเพิ่มทั้งช่องเสียบไฟขนาด 220 โวล์ท ซี่งไม่มีก็ไม่เป็นไรเพราะเชื่อว่าน้อยครั้ง ที่เราจะมีโอกาสได้ใช้

Review-Mitsubishi-Pajero-Sport

Review-Mitsubishi-Pajero-Sport

Review-Mitsubishi-Pajero-Sport Review-Mitsubishi-Pajero-Sport

ภายนอกและภายใน รุ่น GT Premium 4WD

แต่สิ่งที่ขาดหายไปแล้วน่าเสียดายคือ ประตูเปิด – ปิด ฝาท้ายอัตโนมัติ ที่หากมีเพิ่มมาให้ ปาเจโร สปอร์ต คันนี้น่าจะช่วยเติมเต็ม ผลักดันให้รถคันนี้ขึ้นมาเป็นทางเลือกอันดับต้นๆ ในเซ็กเมนต์ได้แบบไร้คู่เเข่ง ถามว่ารถคันนี้ จะเหมาะสมสำหรับการการใช้งานในชีวิตประจำวัน การขี่ขับขี่ในเมืองหรือไม่

Review-Mitsubishi-Pajero-Sport

ตอบได้แบบไม่ลังเลว่า … ปาเจโร สปอร์ต พร้อมตอบสนองรูปแบบการใช้งานที่หลากหลาย (มีให้เลือกหลายรุ่นย่อย อาทิ GLS-Ltd., GT และ GT Premium ในแบบ 2WD และ 4WD) เเม้เเต่การขับขี่ในเมื่องที่สภาพการการจราจรหนาเเน่น การควบคุม รถคันนี้ไม่ใช่เรื่องยาก หมดปัญหาเรื่องของขนาดใหญ่เพราะทั้งน้ำหนัก และพวงมาลัยที่เบาให้ความเเม่นยำทำให้การความคุมเป็นไปได้ดังใจ

Review-Mitsubishi-Pajero-Sport

และเมื่อถามว่ารุ่นไหนน่าสนใจระหว่าง 3 รุ่น 3 ค่าย เลขเรียงลำดับ ความน่าสนใจโดยรวมแล้ว คงยกให้ ปาเจโร คันนี้มา เป็นที่หนึ่งส่วนอันดับสอง ระหว่างฟอร์จูนเนอร์ และ เอเวอเรสต์ คงต้องเปรียบเทียบ ความคุ้มค่าคุ้มราคา ว่าคันไหนตรงกับจริตมากที่สุด เอาแค่ตัวขับเคลื่อนสองล้อ ตัวพื้นฐานก็พอ …

Review-Mitsubishi-Pajero-Sport

ทัศนะความคุ้มค่าน่าใช้ โดย Mr.Carro …

ความคุ้มค่าตอนซื้อ

รุ่นนี้ในตลาดรถมือสอง ถือว่าได้รับความนิยมมาก ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนวัยทำงานใหม่ หรือแม้กระทั่งผู้สูงอายุ เป็นรถรุ่นมีวิ่งให้เห็นกันเกลื่อนเมือง วิ่งทางฝุ่นก็ได้ไม่ขวยเขิน ลุยน้ำท่วมก็ได้ ขนของมากๆ ไปกัน 5-7 คน ก็ดี และ Option ที่ให้มามากกว่าคู่แข่ง ผนวกกับเครื่องยนต์ขนาด 2.4 ลิตร VG Turbo Intercooler 181 แรงม้า ตัวเดียวกับใน Triton ที่ให้ความแรงสะใจ

ความคุ้มค่าตอนใช้งาน

เป็นรถที่ขับสนุก ระบบเกียร์อัจฉริยะ 8 สปีด + ระบบ INC (Idle Neutral Control) + G-Sensor และ Sport Mode ดีมาก พร้อมกับ Paddle Shift ให้เปลี่ยนที่พวงมาลัยด้วย พ่วงด้วยระบบเบรกมือไฟฟ้า ช่วงล่างนุ่มนวล ทนทาน เกาะถนน ถ้าเจอทางลูกรังก็ลุยไหว พวงมาลัยไม่เบา ไม่หนักจนเกินไป ห้องโดยสารหรูหรา อเนกประสงค์ในการใช้งาน เบาะแถวที่ 3 สามารถปรับพับให้เรียบได้

วิ่งในเมือง รถติดบ้างโล่งบ้าง ประมาณ 10 กม./ลิตร ได้ หากวิ่งนอกเมือง ทำได้ 14-15 กม./ลิตร

ส่วนข้อเสียก็มีอยู่บ้าง ตรงเบาะหลังแถวที่ 3 ที่นั่งค่อนข้างลำบากสำหรับผู้ใหญ่ที่ตัวใหญ่ โดยเหมาะไว้สำหรับให้เด็กๆ หรือคนตัวเล็กนั่ง มากกว่าครับ

ความคุ้มค่าตอนซ่อม

ตอนซ่อม ตอนเข้าศูนย์ ราคาอะไหล่รับได้ ตัวรถไม่จุกจิก ทนทาน ประหยัด เตรียมงบไว้สำหรับดูแลตามปกติ ปีละ 5,000 – 10,000 บาท (กรณีดูแลรักษาทั่วไป ถ้ามีเช็คระยะใหญ่ ก็อาจจะต้องเตรียมเงินไว้เพิ่ม) ครับ

ความคุ้มค่าตอนขายต่อ

สำหรับ Mitsubishi Pajero Sport โฉมปี 2015 – ปัจจุบัน มีราคามือสองอยู่ที่ 960,000 – 1,250,000 บาท (เป็นราคาในตลาดรถปี 2561 – 2562 โดยประมาณ และขึ้นอยู่กับปีรถ รุ่นย่อย กับ สภาพของตัวรถ) ซึ่งรุ่นนี้ ยังมีโฉมปัจจุบันขายอยู่ด้วยนะครับ

Download Mitsubishi Pajero Sport (คลิกที่ภาพ)

Review-Mitsubishi-Pajero-Sport

BMW-X3

เจนเนอเรชั่นที่สาม ของ “BMW X3” ใหม่ ดูโดดเด่น สง่างาม ยิ่งขึ้น

The-All-new-BMW-X3

BMW X3 xDrive20d xLine ใหม่ คือตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของความทุ่มเทนี้ ด้วยความโดดเด่น การออกแบบที่ปราดเปรียว ระบบการขับขี่อันทรงพลังที่ยังคงประสิทธิภาพอย่างเหนือชั้น และความหรูหราในทุกแง่มุมของตัวรถ BMW X3 xDrive20d xLine ใหม่ จึงพร้อมพุ่งทะยานสู่ท้องถนนและสานต่ออีกหนึ่งบทความแห่งสำเร็จจากรถยนต์ BMW X3

The-All-new-BMW-X3

สุดยอดขุมพลังนวัตกรรมแห่งความสปอร์ต

The-All-new-BMW-X3

บีเอ็มดับเบิลยู X3 รุ่นที่สาม ผสานรูปลักษณ์แข็งแกร่งแบบออฟโรด เข้ากับความสปอร์ต สัดส่วนอันคุ้นตาทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ออกแบบเพื่อรองรับการกระจายน้ำหนักแบบ 50:50 ระหว่างเพลาหน้าและหลังอย่างสมบูรณ์แบบ ความปราดเปรียวอันทรงพลังของรถยนต์

The-All-new-BMW-X3

BMW X3 xDrive20d xLine ใหม่ ถูกเสริมให้ดุดันยิ่งขึ้นด้วยกระจังหน้าไตคู่แบบหนา และไฟตัดหมอกแบบหกเหลี่ยม ที่นำมาใช้เป็นครั้งแรกในรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูตระกูล X

The-All-new-BMW-X3

ชุดแต่ง BMW Individual และ xLine ของ BMW X3 xDrive20d xLine ใหม่ มาพร้อมกับล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้วลาย Y-spoke ภายในรถเฉียบคม สมบูรณ์แบบ และวัสดุคุณภาพเยี่ยม ดูคลาสสิคหรูหรากว่ารถรุ่นก่อนหน้า และสะดวกสบายขึ้นอีกขั้น กับอุปกรณ์เสริมใหม่ล่าสุดด้วยระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 3 โซน ชุดไฟเพิ่มบรรยากาศในห้องโดยสาร 6 สี ม่านบังแดดด้านข้างผู้โดยสารตอนหลังแบบอัตโนมัติ ฟังก์ชั่นมาตรฐานในส่วนเก็บสัมภาระด้วยพนักพิงเบาะหลังแบ่งพับแบบ 40:20:40 และหลังคากระจกแบบพาโนรามาที่เสริมให้ภายในตัวรถโปร่งสบายยิ่งขึ้น ช่วยให้ B MW X3 xDrive20d xLine ใหม่ โดดเด่นยิ่งกว่า

พร้อมอีกหนึ่งอุปกรณ์ใหม่อย่าง BMW Display Key ที่ไม่เพียงล็อคและปลดล็อค BMW X3 xDrive20d xLine ใหม่ ด้วยสัญญาณวิทยุทางไกล แต่ยังแสดงสถานะและข้อมูลต่าง ๆ รวมถึงควบคุมฟังก์ชั่นการทำงานอื่น ๆ ของรถอีกด้วย

เครื่องยนต์ทรงประสิทธิภาพยิ่งกว่า ควบคู่การออกแบบเน้นน้ำหนักเบา

The-All-new-BMW-X3

BMW X3 xDrive20d xLine ใหม่ โฉบเฉี่ยวด้วยเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ทำงานประสานเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด Strepsonic เครื่องยนต์ให้แรงม้าสูงสุด 190 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ส่งให้บีเอ็มดับเบิลยู X3 xDrive20d xLine ใหม่ เร่งเครื่องจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 8 วินาที ก่อนที่จะพุ่งทะยานทำความเร็วสูงสุดที่ 213 กม./ชม. ด้านอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงอยู่ที่ 17.6 กม./ลิตร และอัตราการปล่อย CO2 ที่ 150 กรัม/กม.

เทคโนโลยี BMW EfficientDynamics ถูกนำมาใช้ในรถยนต์ BMW X3 xDrive20d xLine ใหม่ ซึ่งรวมถึงระบบส่งกำลังที่ช่วยประหยัดเชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการออกแบบทุกสัดส่วนเน้นน้ำหนักเบา เช่น การนำอลูมิเนียมมาใช้เป็นส่วนประกอบมากขึ้นในเครื่องยนต์และช่วงล่างที่ช่วยลดน้ำหนักของตัวรถได้มากขึ้น

ต่อยอดที่สุดแห่งความเพลิดเพลินในการขับขี่และระบบควบคุมล้ำสมัย

The-All-new-BMW-X3

BMW X3 xDrive20d xLine ใหม่ มาพร้อมกับปุ่มควบคุม iDrive สั่งงานด้วยระบบสัมผัสและจอแสดงผลความละเอียดสูงขนาด 10.25 นิ้ว ระบบการสั่งงานด้วยการเคลื่อนไหวของมือ (BMW gesture control) ช่วยควบคุมระบบนำทางและฟังก์ชั่นสาระบันเทิงต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกสบาย ในขณะเดียวกัน ระบบการสั่งงานด้วยเสียง (Intelligent Voice Control Assistance) ซึ่งผู้ขับขี่ใช้ภาษาในชีวิตประจำวันได้อย่างง่ายดาย แทนคำสั่งที่มีการตั้งค่าไว้

The-All-new-BMW-X3