เช็กสภาพรถให้แม่-ก่อนออกเดินทาง

สำหรับช่วงวันแม่และตลอดเดือนของแม่ปีนี้ เพื่อนๆ หลายคนก็มักจะเลือกพาคุณแม่ของเราออกเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัดกันซะเป็นส่วนใหญ่แน่เลย ไม่ว่าจะเป็นการพาไปรับประทานอาหารร้านดัง พาไปเที่ยว ทำบุญเสริมสร้างดวงชะตาตามวัดต่างๆ เพียงแค่นี้ก็คงทำให้คุณแม่ของเราเปรมสุขกันเป็นที่เรียบร้อย

เช็กสภาพรถให้แม่ก่อนออกเดินทาง

แน่นอนว่าถ้าหากเพื่อนๆ ไม่ได้ออกเดินทางไปเที่ยวในช่วงวันแม่ด้วยรถขนส่งสาธารณะแล้ว การใช้รถยนต์ของคุณแม่หรือของเพื่อนๆ นั้น ก็ควรที่จะเริ่มเช็กสภาพรถยนต์ให้พร้อมใช้งานนะ จะได้ไม่ต้องกังวลถ้าหากขับรถยนต์ไปสักพักเกิดมีอะไรผิดพลาดขึ้นมาเราและคุณแม่จะรับมืออย่างไรดี และยิ่งถ้าคุณแม่ของเรามีอายุเยอะแล้ว ต้องใช้รถยนต์ทุกวันไปทำงาน เพื่อนๆ ก็น่าจะลองเช็กสภาพรถให้ท่านดูนะว่ามีอะไรที่ดูไม่ปกติขึ้นมา เราจะได้รับมือและแก้ไขปัญหาได้ทันที เพื่อเป็นการป้องกันเหตุสุดวิสัยให้คุณแม่และเพิ่มความอุ่นใจให้ตัวเรา

ดังนั้นวันนี้ มาสิ ได้รวบรวมวิธีเช็กรถยนต์ของคุณแม่ให้มีสภาพพร้อมใช้งานก่อนออกเดินทางมาฝากกันจ้า รับรองว่าทั้งเราและคุณแม่จะได้เที่ยวอย่างสนุกและมีความสุขในช่วงวันแม่และตลอดเดือนของแม่ปีนี้แน่นอนจ้า

1.ยาง

001_car-tire

ลองตรวจสอบดูความดันของยาง ดอกยาง รวมไปถึงรอยฉีกขาด ถ้าเกิดอาการผิดปกติให้เริ่มแก้ไขทันที เพื่อความปลอดภัยของตัวเพื่อนๆ และคุณแม่

2.ดวงไฟ

ให้เช็กสภาพของไฟดูว่าสภาพพร้อมมากแค่ไหน ไฟส่องสว่างมากพอรึเปล่า ตรวจดูทั้งไฟหน้า ไฟท้าย รวมไปถึงไฟเบรกต่างๆ

3.แบตเตอรี่

003_car-battery

ควรหมั่นดูและเติมน้ำกลั่นให้อยู่ในระดับที่กำหนดไว้ ดูลักษณะแบตเตอรี่ว่ามีร่องรอยเสียหายหรือเปล่า รวมไปถึงการเช็กดูขั้วต่อและสายไฟว่าอยู่ในสภาพที่ดีหรือไม่

เท่านี้เพื่อนๆ ก็สามารถเช็กสภาพรถยนต์เบื้องต้นได้แล้ว ถ้าหากเกิดมีข้อบกพร่องตรงไหนก็อย่าลืมรีบเข้าไปแก้ไขก่อนออกเดินทางได้อย่างทันที สำหรับการทำประกันรถยนต์ก็สามารถช่วยให้ชีวิตของเพื่อนๆ และคุณแม่อุ่นใจได้มากขึ้น หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาประกันรถยนต์ก็จะคอยคุ้มครองให้ คลิกที่นี่ เพือเช็กเบี้ยประกันรถยนต์ได้เลย ถ้าข้อมูลอยากสอบถามโทรเข้ามาที่ 02 710 3100 หรือไลน์ @masii

ขอบคุณบทความดีๆ จาก www.masii.com

Gadget-ติดรถยนต์สำหรับคุณแม่สมัยนี้!

ยุคสมัยนี้แล้ว คุณแม่หลายคนน่าจะเป็น Working Woman กันส่วนใหญ่ เพราะแน่นอนว่า เรายังต้องมีภาระ หน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบในทุกๆ วันอยู่แล้ว ดังนั้น Gadget ที่จะเหมาะกับคุณแม่สมัยนี้แบบนี้ จะมีอะไรบ้างลองเข้ามาหาดูกันเลยดีกว่าจ้า

Gadget ติดรถสำหรับคุณแม่สมัยนี้

Windshield has installed a car camera on a rainy day.

1.กล้องติดรถยนต์

ไอเทมแรกนั้นเป็นสิ่งที่อยากจะแนะนำให้เพื่อนๆ หรือคุณแม่ทั้งหลายเลือกติดรถยนต์เอาไว้เลย เพราะนอกจากไอเทมกล้องติดรถยนต์จะช่วยดูแลในเรื่องของความปลอดภัยต่อตัวรถยนต์และตัวเราแล้ว ยังสามารถช่วยได้ดีในเรื่องของการหาตัวคนร้ายในกรณีที่รถยนต์ของเขามาชนเราแล้วหนี หรือเกิดอุบัติเหตุ ทำให้สามารถเอาผิดตัวการที่ทำให้เราเกิดอุบัติเหตุได้ และราคาของกล้องติดรถยนต์ในปัจจุบันนั้นก็เริ่มต้นไม่แพงด้วย หลักร้อยก็มีแล้ว เรียกได้ว่าเรายอมลงทุนการซื้อกล้องรถยนต์เพื่อความสบายใจของเราในอนาคตกันดีกว่า ยิ่งถ้าคุณแม่คนไหนที่ต้องใช้รถยนต์ทุกวันก็อย่าลืมเลือกซื้อกล้องมาติดรถยนต์กันนะคะ

Business man is driving a car in raining day with moving wiper blades

2.GPS

สำหรับตัวติดตั้ง GPS หลายคนอาจจะมองข้ามว่าเราไม่จำเป็นต้องติดตั้งไว้ภายในรถยนต์ของเราก็ได้เหมือนกัน เพราะว่าปัจจุบันนั้นเราสามารถดู GPS ได้ทันทีบนแอปพลิเคชั่นโทรศัพท์มือถือของเราได้เลย แต่ลองนึกดูสิในกรณีโทรศัพท์มือถือของเราแบตหมดขึ้นแบบนี้เราอาจจะไปไม่ถึงจุดหมายที่เราต้องการจะไปได้เลยนะ ดังนั้นการมี GPS ติดไว้ภายในรถยนต์ถือว่าเป็นอีกไอเทมจะช่วยให้ชีวิตของเราสะดวกสบายขึ้นแน่นอนจ้า

Charger plug phone on car

3.ที่ชาร์จแบต

อย่างที่เรากล่าวไปแล้วว่า หากอยู่ๆ โทรศัพท์มือถือของเราแบตโทรศัพท์ของเราหมดขึ้นมากลางทาง เราจะทำอย่างไรกันดีล่ะ ยิ่งถ้าหากต้องขับรถยนต์คนเดียวและไม่มีผู้โดยสารไปด้วยที่พอจะช่วยเราได้ แบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่ดีเอาแน่ๆ เพราะอาจจะไม่สามารถเปิดโทรศัพท์มือถือขึ้นมาสื่อสารกับใครได้เลย เพื่อเป็นการแก้ปัญหาอีกหนึ่งไอเทมที่คุณแม่ทั้งหลายควรที่ชาร์จอุปกรณ์ที่ชาร์จแบต รวมไปถึง Powerbank ด้วยนะ หากเกิดอะไรฉุกเฉินขึ้นมา อย่างน้อยเราก็ยังสามารถนำโทรศัพท์ของเราชาร์จบนรถได้จ้า

เพียงเท่านี้ไอเทมที่ทางเรานำมาฝากกันก็คงจะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่คุณแม่กันแล้ว หากใครกำลังมองหาประกันรถยนต์ที่จะช่วยให้เราอุ่นใจได้มากขึ้นหากเกิดอะไรขึ้นมาก็ คลิกที่นี่ เพื่อเช็กเบี้ยประกันได้เลย มีข้อมูลสงสัยโทร 02 710 3100 หรือแอดไลน์ @masii เข้ามาได้เลยค่ะ

ขอขอบคุณบทความดีๆ จาก www.masii.com

Electric-Cars-In-Motorshow

งาน Bangkok International Motor Show 2019 (มอเตอร์โชว์ 2019) ที่เริ่มต้นขึ้น ช่วงระหว่างวันที่ 27 มีนาคม – 7 เมษายน 2562 นี้ยังมาพร้อมกับรถยนต์ไฟฟ้ามากมาย ที่รอให้คุณเป็นเจ้าของกันอยู่

MR.CARRO ขอพาทุกท่านไปชมกันครับ ว่าในงานจะมีรายละเอียดของรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นเด็ดๆ โดนใจ ทั้งโชว์และขาย ทั้ง 8 รุ่นจะมีรายละเอียดอะไรกันบ้าง …

FOMM One

FOMM-One-2019

FOMM One (ฟอมม์ วัน) เป็นรถไฟฟ้า 4 ที่นั่ง ที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก เหมาะสำหรับใช้งานในเมืองมาก จดทะเบียนได้ ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าแบบ In-wheel ขนาด 5 kW จำนวน 2 ตัว ให้แรงบิดรวมสูงสุด 560 นิวตัน-เมตร สามารถชาร์จไฟจนเต็ม (0-100%) ในเวลา 6 ชั่วโมง สามารถวิ่งได้ระยะทางมากถึง 160 กิโลเมตร และสามารถทำความเร็วได้สูงสุดถึง 80 กม./ชม. เลยทีเดียว

โดย FOMM One วางจำหน่ายผ่าน บริษัท พีอีเอ เอ็นคอม จำกัด ในเครือของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค มีกำหนดส่งมอบให้ผู้สั่งซื้อช่วงต้นปี 2562 สนนราคาเริ่มอยู่ที่ 664,000 บาท

MINE SPA1

MINE-SPA1-2019

MINE SPA1 (ไมน์ สปา1) รถยนต์พลังงานไฟฟ้าสัญชาติไทย แบบ MPV ขนาด 5 ที่นั่ง ติดตั้งแบตเตอรี่ความจุ 30 กิโลวัตต์ชั่วโมง สามารถขับได้เป็นระยะทางประมาณ 200 กิโลเมตร ต่อการชาร์จแต่ละครั้ง ซึ่งรายละเอียดและราคา (ประมาณ 1,XXX,XXX บาท) คงต้องรอในงาน Motor Show 2019 อีกครั้ง

Nissan Leaf

Nissan-Leaf-2019

Nissan Leaf (นิสสัน ลีฟ) “Simply Amazing” เป็นรถยนต์ไฟฟ้าขายดีที่สุดรุ่นหนึ่งของโลก ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า “100%” และมีอัตราการปล่อยมลพิษเป็น “0” และถือเป็นรถค่ายญี่ปุ่นเจ้าแรก ที่กระโดดลงมาทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทยอย่างจริงจัง แม้ว่าราคาของตัวรถจะยังสูงอยู่ก็ตาม

Nissan Leaf ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 320 นิวตัน-เมตร ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลา 7.9 วินาที รองรับการขับขี่เป็นระยะทาง 311 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน NEDC ติดตั้งแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนความจุ 40 กิโลวัตต์ชั่วโมง สามารถชาร์จด้วยกำลังไฟขนาด 3.6 kW ได้ในเวลา 12 ชั่วโมง และกำลังไฟขนาด 6.6 kW ในเวลา 6 ชั่วโมง รองรับการชาร์จด่วนจนถึงระดับ 80% ได้ในเวลา 40 นาที ในราคา 1,990,000 บาท!

MG eZS

MG-eZS-2019

MG eZS (เอ็มจี อีแซดเอส) รถต้นแบบของรถยนต์ Crossover SUV ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% มาโชว์ในงาน Motor Show 2019 หลังจากที่เปิดตัวครั้งแรกในงานกวางโจว ออโต้โชว์ ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา ในฐานะยนตรกรรมที่ใช้เทคโนโลยีพลังงานทางเลือกใหม่ “NetGreen” ของ SAIC

ที่นอกจากจะโดดเด่นด้วยการเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ที่ให้กำลังสูงสุด 110 กิโลวัตต์ (150 แรงม้า) และวิ่งได้ไกลถึง 428 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง (หรือ 335 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC) แล้ว ยังมีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นในแบบฉบับรถยนต์ SUV และการติดตั้งระบบการเชื่อมต่ออัจฉริยะในรถยนต์ ซึ่ง MG มีแผนจะขายในไทยปีนี้

Jaguar I-Pace

Jaguar-i-Pace-2019

Jaguar I-Pace (จากัวร์ ไอ-เพซ) รถ Crossover แบบไฟฟ้าล้วน (BEV) 5 ที่นั่ง รุ่นแรกของ Jaguar มาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ ให้กำลังสูงสุด 394 แรงม้าเลยทีเดียว ซึ่งภายในห้องโดยสาร ยังคงไว้ซึ่งความหรูหราสไตล์ Jaguar อยู่เช่นเคย โดยราคาจำหน่ายเริ่มต้น 5,499,000 บาท สำหรับรุ่น S

Audi e-tron

Audi-e-tron-2019

Audi e-tron 55 quattro (อาวดี้ อี-ทรอน 55 ควอทโทร) เป็นรถแบรนด์หรูเจ้าแรกในไทยที่ลุยตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ด้วยการประเดิมส่ง Audi e-tron 55 quattro ใหม่ จับกลุ่มผู้ชื่นชอบความล้ำสมัย พร้อมระบบการขับเคลื่อน 4 ล้อ quattro อันเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของ Audi

ติดตั้งขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าทั้ง 2 ตัว ให้กำลังสูงสุด 266 กิโลวัตต์ หรือ 360 แรงม้า และเพิ่มขึ้นเป็น 408 แรงม้า ในบูสต์โหมดแรงบิดสูงสุด 561 นิวตันเมตร และเพิ่มขึ้นเป็น 664 นิวตันเมตร ในบูสต์โหมด ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 6.6 วินาที และ 5.7 วินาทีในบูสต์โหมด และทำความเร็วสูงสุดได้ 200 กม./ชม. ส่วนแบตเตอรี่สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทางกว่า 417 กิโลเมตร ในราคา 5,099,000 บาท!

Hyundai Ioniq Electric

Hyundai-Ioniq-Electric-2019

Hyundai Ioniq Electric (ฮุนได ไอออนิค อิเล็คทริค) รถยนต์ไฟฟ้าหนึ่งเดียวจากค่ายรถเกาหลีในตอนนี้ ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 120 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 295 นิวตัน-เมตร พร้อมแบตเตอรี่ Lithium-Ion Polymer (LiPo) ความจุ 28 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 9.9 วินาที (โหมด Sport) และ 10.2 วินาที (โหมดปกติ) ทำความเร็วสูงสุดได้ 165 กม./ชม.

ระบบชาร์จไฟของ Ioniq Electric สามารถชาร์จได้ 3 แบบ ได้แก่ 1. แบบทริคเคิ้ล (เต้าเสียบบ้าน) กำลังไฟ 2.3 กิโลวัตต์ ใช้เวลาชาร์จไฟจนเต็ม 12 ชั่วโมง 2. แบบธรรมดา (Wall Box) กำลังไฟ 6.6 กิโลวัตต์ ใช้เวลาชาร์จจนเต็ม 4 ชั่วโมง 25 นาที และ 3. แบบชาร์จเร็ว (สถานีชาร์จเร็ว) กำลังไฟสูงสุด 100 กิโลวัตต์ ใช้เวลาชาร์จจนถึงระดับ 80% ในเวลา 23 นาที สามารถเคลื่อนที่ได้เป็นระยะทาง 280 กม. ต่อการชาร์จเต็มแต่ละครั้งตามมาตรฐาน NEDC

Hyundai Kona Electric

Hyundai-Kona-Electric

Hyundai KONA Electric (ฮุนได โคน่า อิเล็คทริค) รถยนต์ไฟฟ้าสายพันธุ์ SUV ปราดเปรียว โฉบเฉี่ยวกว่าใคร ใช้แบตเตอรี่ที่ให้พลังงานยาว 64 กิโลวัตต์ชั่วโมง พุ่งทะยานด้วยแรงบิด 395 นิวตัน-เมตร แรงม้าสูงสุด 204 แรงม้า มีอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 7.6 วินาที และวิ่งไปได้ไกลสูงสุดถึง 482 กม. (มาตรฐาน WLTP) 

เป็นเจ้าของได้แล้ววันนี้ ในราคา 1,849,000 บาท และ 2,259,000 บาท

ขอขอบคุณภาพจาก Bangkok-Motorshow

ดูแลรถยนต์, Carro

วิธีดูแลรถแสนง่าย สาวๆก็ทำได้

เชื่อว่าผู้หญิงหลายๆคน นอกจากเรื่องเครื่องสำอาง เสื้อผ้า ก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องอื่นๆเป็นพิเศษ ยิ่งถ้าเป็นเรื่องรถยนต์ กลายเป็นเรื่องไกลตัวที่ไม่ถนัดเลยจริงๆ และถ้าคุณเป็นสาวโสด หรือไม่มีญาติผู้ชาย ทำให้ขาดคนช่วยให้คำปรึกษา จะให้พึ่งแต่ช่างยนต์ หรือไปเข้าศูนย์บ่อยๆ ก็เสียเวลาและเงินโดยใช่เหตุ

มาๆ ในบทความนี้ Carro จะช่วยอธิบายขั้นตอนการดูแลรักษารถยนต์แบบง่ายๆ ที่สาวๆ สมัยใหม่อย่างคุณ สามารถทำตามได้แน่นอน! แถมยังช่วยยืดอายุการใช้งานให้รถยนต์อีกด้วยนะจ๊ะ

น้ำมันเครื่อง-carro

1. น้ำมันเครื่อง

ก่อนอ่านถึงขั้นตอนการดูแล สาวๆจำเป็นต้องรู้ก่อนว่า น้ำเครื่องมีส่วนสำคัญอย่างไรต่อตัวรถ น้ำมันเครื่อง เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยหล่อลื่นให้เครื่องยนต์นั้น สามารถทำงานได้อย่างราบรื่น สาวๆอาจต้องหมั่นตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่องยนต์อยู่บ่อยๆ เพื่อให้มั่นใจว่ามีปริมาณน้ำมันเครื่องเพียงพอสำหรับหล่อลื่นให้กับเครื่องยนต์ทั้งระบบนั่นเอง

วิธีตรวจเช็กน้ำมันเครื่องนั้นไม่ยาก เพียงแค่ใช้อุปกรณ์ เช่น เศษผ้า หรือกระดาษทิชชู่ เท่านั้น!

  1. จอดรถให้อยู่ในแนวระนาบ ไม่ลาดเอียง เปิดฝากระโปรงรถยนต์ให้เรียบร้อย
  2. มองหาก้านวัดระดับน้ำมันเครื่อง และดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องออกมา เช็ดทำความสะอาดน้ำมันเครื่อง ที่ติดกับก้านวัดออกด้วยเศษผ้า หรือกระดาษทิชชู่
  3. เสียบก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องคืนกลับจุดเดิมอีกครั้ง เพื่อตรวจเช็กระดับน้ำมันเครื่องที่มีอยู่ในอ่างน้ำมันเครื่อง
  4. ดึงก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องออกมาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่องที่บริเวณปลายของก้านวัด

ถ้าระดับน้ำมันเครื่องอยู่ระหว่างขีด “F” กับ “L” หรือ “Max กับ Min” แสดงว่าน้ำมันเครื่องอยู่ในระดับปกติ ไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป แต่ควรรักษาระดับของน้ำมันเครื่องให้อยู่สูงกว่าครึ่งหนึ่ง ของขีด  “F” กับ “L” หรือ “Max กับ “Min” อยู่เสมอ

TIPS:

  • สาวๆ ควรเช็กระดับน้ำมันเครื่อง ทุกๆ 1-2 สัปดาห์/ครั้ง หรือ อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง นะคะ
  • ต้องทำในขณะที่เครื่องยังร้อนหรือมีอุณหภูมิที่ยังคงอุ่นอยู่ โดยให้ตรวจวัดระดับน้ำมันเครื่อง หลังจากดับเครื่องประมาณ 1-3 นาที

น้ำมันเบรก-carro
2. น้ำมันเบรก

คือ ของเหลวชนิดหนึ่งไว้ส่งถ่ายแรงจากเท้าเรา ไปยังลูกสูบปั้มเบรคล่าง (คาลิเปอร์) ซึ่งเวลาเบรกนั้น ผ้าเบรกมีส่วนผสมของโลหะ กับจานเบรกที่เป็นโลหะเสียดสีกัน ก็จะทำให้เกิดความร้อนสะสมนั่นเอง!

วิธีเช็กน้ำมันเบรก เวลาเปิดกระโปรงหน้ารถ เราจะเห็นกระปุกน้ำมันเบรก (จะอยู่ติดกับตัวหม้อลมเบรก) มีคำว่า MAX และ MIN แน่นอนว่า ระดับน้ำมันเบรกต้องอยู่ที่ระดับ MAX เสมอนะคะ

TIPS:

  • ถ้าน้ำมันเบรกตกไปอยู่ที่ระดับ MIN ให้สันนิฐฐานไว้ 2 กรณีว่า อาจมีการรั่วของน้ำมันเบรกออกจากระบบเบรก ออกจากสายเบรก หรือผ้าเบรกอาจสึก เป็นผลให้ซึ่งระดับน้ำมันเบรกลดน้อยลง ควรรีบนำรถไปตรวจที่ศูนย์ซ่อมหรืออู่นะ อย่างปล่อยทิ้งไว้ เพื่อความปลอดภัยขณะขับขี่
  • หมั่นตรวจดูว่าที่ล้อแม็กซ์ หรือเบรก ว่ามีคราบน้ำมันเบรกรั่วซึม หรือกระจายออกมาบ้างหรือเปล่า? ถ้ามีก็ควรรีบนำรถไปเข้าศูนย์ซ่อมหรืออู่เช่นกันจ้า

 

ยางรถยนต์-carro3. ยางรถยนต์

ถือว่าเป็นชิ้นส่วนสำคัญที่สาวๆไม่ควรมองข้าม ถ้าหากยางรถยนต์มีการใช้งานเป็นเวลานานแล้ว ควรหมั่นเช็กยางรถยนต์กันสักหน่อยว่า ยางรถยนต์พร้อมใช้งานหรือไม่ หรือหมดสภาพไปแล้วหรือยัง? ไม่งั้นอาจเกิดอันตรายแบบกระทันหันได้นะ เพราะเราเป็นห่วง!

วิธีเช็กยางรถยนต์

  • ความลึกของดอกยางรถยนต์ไม่ควรต่ำกว่า 3 มิลลิเมตร ซึ่งความลึกของดอกยางใหม่ จะมีความลึกประมาณ 8 – 9 มิลลิเมตร หรือลองใช้ไม้ขีดไฟทิ่มลงไปในร่องยางรถยนต์ ถ้าคุณเห็นหัวไม้ขีดสีแดง ก็หมายความว่าดอกยางเหลือน้อยเกินไปที่จะใช้งานต่อไป!
  • เช็กดูโครงสร้างของยางชำรุดหรือไม่ เช่น ถูกของมีคมบาดเป็นรอยแผลใหญ่ หรือโครงสร้างซ้ำจากการเกิดอุบัติเหตุ เช่น ปีนขอบทางเท้าอย่างรุนแรง จนเกิดความเสียหายไปถึงกระทะล้อรถยนต์ ซึ่งหมายความว่า หน้ายางรถยนต์ โดยเฉพาะแก้มยางรถยนต์ จะถูกบดไปกับขอบทางเท้า ทำให้ได้รับความเสียหายมากแน่นอน ซึ่งถ้าแก้มยางรถยนต์ มีรอยแตก อาจนำไปสู่ ยางรถยนต์ระเบิด หรือแตก ขณะที่ขับขี่ด้วยความเร็วสูงได้นะคะ ( ข้อนี้ ถ้าเป็นมือใหม่ อาจมีการกะระยะเลี้ยวผิด ต้องระวังมากๆนะคะ )
  • อายุการใช้งานสูงสุดของ ยางรถยนต์ ไม่ควรเกิน 4-5 ปี นับตั้งแต่เริ่มใช้งาน

แบตเตอรี่-carro

4. แบตเตอรี่

มีหน้าที่เก็บ-จ่ายกระแสไฟฟ้าไปยังอุปกรณ์ต่างๆ ของเครื่องยนต์ทำงาน เช่น มอเตอร์สตาร์ท ระบบจุดระเบิด ในขณะที่สตาร์ทรถยนต์ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ป้อนพลังงานให้กับ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกหลายอย่างภายในรถ เช่น ระบบไฟส่องสว่าง วิทยุ และแตร เป็นต้น

วิธีเช็กแบตเตอรี่ ให้ระดับน้ำกลั่นอยู่ในตำแหน่ง UPPER LEVEL ไม่ควรเติมเกินกว่านี้ และสังเกตเวลาสตาร์ทรถ ถ้าเครื่องยนต์สตาร์ทติดยากกว่าปกติ ต้องบิดกุญแจหรือกดปุ่มสตาร์ทหลายๆ ครั้ง อาจจะเป็นสัญญานเตือนว่าแบตเตอรี่ใกล้หมดก็เป็นได้ อ่านต่อ.. 3 สัญญาณเตือน ว่า “แบตเตอรี่” รถยนต์ของคุณกำลังเสื่อม!

TIPS:

  • แบตเตอรี่รถส่วนใหญ่จะมีอายุการใช้งานประมาณ 4 – 5 ปี แต่ในภูมิอากาศเขตร้อนอาจจะอยู่ได้แค่ประมาณ 3 ปีเท่านั้น ถ้าชาร์จแบตเตอรี่แล้วพบว่า ประจุไหลออกทั้งที่ไม่ได้ใช้รถ แสดงว่าได้เวลาต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่แล้วล่ะ
  • หลังจากซื้อแบตเตอรี่ลูกใหม่ อย่าลืมกำจัดแบตเตอรี่ลูกเก่า ให้ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด แต่โดยปกติ ร้านจำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์ส่วนใหญ่ จะดูแลเรื่องการกำจัดแบตเตอรี่ให้แก่คุณเอง ข้อนี้หมดห่วง!
  • คุณสามารถทดสอบและชาร์จแบตเตอรี่ได้ที่ร้านจำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์ใกล้ๆบ้าน
  • ก่อนที่จะหาซื้อไดชาร์จใหม่ ควรให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบระบบให้ละเอียดขึ้น
  • ระวังอย่าให้เกิดการลัดวงจรระหว่างขั้วแบตเตอรี่เป็นอันขาด เพราะอาจทำให้เกิดไฟไหม้รุนแรง ทำให้ขั้วต่อเสียหาย หรือเกิดการระเบิด เนื่องจากก๊าซไฮโดรเจนที่เล็ดลอดออกมา

น้ำหล่อเย็น-carro

5. น้ำหล่อเย็น

เป็นของเหลวอีก 1 จุด ที่สาวๆควรตรวจเช็กเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง แต่ถ้ารถที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 5 ปี ควรตรวจเช็กให้บ่อยขึ้น สัปดาห์ละประมาณ 2-3 ครั้ง

วิธีเช็กน้ำหล่อเย็น ควรทำในขณะที่เครื่องยนต์เย็นลงแล้ว (ห้ามเปิดฝาหม้อน้ำในขณะที่เครื่องยนต์ยังร้อน เพื่อป้องกันแรงดันของน้ำร้อน อาจจะพุ่งขึ้นมาได้นะคะ) โดยเช็กดูระดับน้ำในหม้อพักน้ำของหม้อน้ำให้อยู่ระหว่าง “FULL / MAX” และ “LOW” หากน้ำมีระดับต่ำกว่าขีด “LOW” ให้เติมน้ำยาหล่อเย็นให้อยู่ในระดับ “FULL / MAX” อยู่เสมอ ไม่ต้องเติมจนเต็มนะ!

TIPS:

  • อย่าปล่อยให้ระบบน้ำยาหล่อเย็นลดลงเกินกว่ากำหนด เพราะถ้าเกิดเครื่องยนต์มีความร้อนสูงมาก จะทำให้เครื่องยนต์น็อคและเสี่ยงพังเอาง่ายๆ
  • ส่วนการเติมน้ำยาหล่อเย็น ให้เติมน้ำยาแบบเดียวกันเท่านั้น เนื่องจากแต่ละยี่ห้อแต่ละสูตร มีการผสมสารเคมีที่แตกต่างกัน ซึ่งเมื่อผสมกันอาจทำปฏิกิริยาระหว่างกัน และไปกัดกร่อนส่วนต่างๆ ของระบบระบายความร้อนได้ ในกรณีที่ระดับน้ำในหม้อพักน้ำอยู่ในระดับต่ำ และยังไม่สามารถหาซื้อน้ำยาหล่อเย็นได้ สามารถเติมน้ำกลั่นแทนก่อนได้ค่ะ

น้ำปัดน้ำฝน-carro6. น้ำปัดน้ำฝน

ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลยนะ เพราะเวลาขับรถยามฝนตก หรือลุยทางที่มีฝุ่นมากๆ น้ำปัดน้ำฝนช่วยขจัดคราบสิ่งสกปรกที่กระเด็นมาติดบริเวณกระจกได้

วิธีเช็กน้ำปัดน้ำฝน เปิดฝาถังน้ำ และให้สังเกตุน้ำว่าแห้งหรือไม่ ถ้าแห้ง ให้หาน้ำเปล่ามาเดิมก่อนได้ (น้ำเปล่า คือ น้ำก๊อก, น้ำประปา หรือน้ำดื่ม)

TIPS:

  • ควรเติมให้ได้ระดับขีดที่กำหนดไว้ เผื่อเวลามีเหตุฉุกเฉินขณะขับรถ จะได้มีน้ำฉีดทำความสะอาดกระจกรถ ทำให้มองเห็นทางข้างหน้าได้ชัดเจน ไม่เป็นอันตรายนะคะ
  • ไม่ควรใช้ แชมพูผสมน้ำ เพราะแชมพู อาจตกตะกอน และทำให้เกิดการอุดดันที่รูหัวฉีด เดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่!

 

เป็นอย่างไรบ้างคะ คิดว่าคงไม่ยากเกินจนสาวๆ ทำตามกันไม่ได้นะคะ สมัยนี้เป็นผู้หญิงต้องสวย และสตรอง!

แบตเตอรี่-รถยนต์

แบตเตอรี่รถยนต์ เปรียบเสมือนเป็นหัวใจของรถยนต์

แบตเตอรี่รถยนต์ มีหน้าที่เก็บและจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ต่างๆ ของเครื่องยนต์เพื่อให้ทำงานได้ เช่น มอเตอร์สตาร์ท ระบบจุดระเบิด ในขณะที่สตาร์ทรถยนต์

นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ป้อนพลังงานให้กับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกหลายๆ อย่าง เช่น ระบบไฟส่องสว่าง วิทยุ และแตร เป็นต้น ซึ่งแบตเตอรี่รถยนต์มีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ

1. แบบเปียก  เป็นชนิดที่นิยมใช้กันเป็นส่วนใหญ่ แบ่งย่อยออกได้อีกเป็น 2 แบบ คือ แบบที่ต้องเติมน้ำกลั่นบ่อยๆ อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง กับ แบบไม่ต้องดูแลบ่อย (Maintenance Free) (หรือ แบบกึ่งแห้ง) ซึ่งจะกินน้ำกลั่นน้อยมาก โดยทั้ง 2 แบบ จะมีฝาปิด-เปิด สำหรับเติมน้ำกลั่น ส่วนใหญ่จะมีอายุการใช้งานโดยประมาณ 1.5-2 ปี และอายุมักไม่เกิน 3 ปี

2. แบบแห้ง ไม่ต้องเติมน้ำกลั่น มีความทนทาน มีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า และ มีราคาแพง แบตเตอรี่แบบแห้งนี้จะมีอายุการใช้งานโดยประมาณ 5-10 ปี แบตเตอรี่แบบนี้ไม่มีฝาปิด-เปิดสำหรับเติมน้ำกลั่น หรือไม่ก็ถูกซีลทับฝาไปเลย แต่จะมีตาแมวไว้ สำหรับไว้คอยตรวจเช็คระดับน้ำกรด และ ระดับไฟชาร์จ

แบตเตอรี่รถยนต์ ควรเลือกแอมแปร์ให้พอดี หรือมากกว่านิดหน่อย แบตเตอรี่ที่มีขนาดแอมแปร์มากกว่า จะใช้งานได้ทนนานกว่าแบตเตอรี่ที่มีขนาดแอมแปร์น้อยกว่า

– รถเก๋ง ญี่ปุ่น เครื่องยนต์ 1200-1800 ซีซี ควรเลือกใช้แบตเตอรี่ขนาด 45-60 แอมป์

– รถเก๋ง ญี่ปุ่น เครื่องยนต์ 2000-3000 ซีซี ควรเลือกใช้แบตเตอรี่ขนาด 60-75 แอมป์

-รถเก๋ง ยุโรป เครื่องยนต์ 2000-3000 ซีซี ควรเลือกใช้แบตเตอรี่ขนาด 75 แอมป์ ขั้วจม

– รถเก๋ง ยุโรป เครื่องยนต์ 2800-4000 ซีซี ควรเลือกใช้แบตเตอรี่ขนาด 100 แอมป์ ขั้วจม

– รถกระบะ เครื่องยนต์ 2000-3000 ซีซี ควรเลือกใช้แบตเตอรี่ขนาด 70-90 แอมป์

ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งาน และ การดูแลรักษา ถ้ามีการดูแลรักษาอยู่สม่ำเสมอก็จะทำให้แบตเตอรี่รถยนต์มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น แต่เมื่อถึงอายุการใช้งานของมัน ก็สมควรที่จะเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่ได้แล้ว

แบตเตอรี่-รถยนต์

จริงๆ แล้วไม่ว่าแบตเตอรี่ที่ใช้จะเป็นแบบแห้ง หรือแบบเปียก มักจะมีสัญญาณเตือนก่อนที่แบตฯ จะหมดคล้ายๆ กัน ซึ่งสัญญาณเตือนแบตเตอรี่มีปัญหาหลักๆ ดังนี้

  1. รถสตาร์ทติดยากกว่าปกติ

เวลาสตาร์ทรถเสียงมอเตอร์จะหมุนช้าเหมือนไม่มีแรง หรือถึงขั้นสตาร์ทไม่ติด แสดงว่ามีประจุไฟไม่พอสำหรับสตาร์ทเครื่องยนต์ โดยเฉพาะช่วงเช้า หรือ จอดทิ้งไว้นานหลายวัน  ซึ่งกรณีนี้อย่าเพิ่งฟันธงว่าต้นเหตุมาจากแบตเตอรี่นะครับ

แนะนำ ให้ลองพ่วงชาร์จหลังจากนั้นลองสตาร์ทดูก่อน ลองขับใช้งานปกติ และเมื่อดับเครื่องยนต์กลับมาสตาร์ทติด แสดงว่าไดชาร์จไม่มีปัญหา แต่ถ้าจอดข้ามคืนแล้วสตาร์ทติดยากหรือสตาร์ทไม่ติดคราวนี้ แน่นอนว่าแบตเตอรี่รถคุณเริ่มเสื่อมสภาพไม่สามารถเก็บประจุไฟไว้ได้

  1. อุปกรณ์ต่างๆ ของเครื่องยนต์ทำงานผิดปกติ

เช่น เปิดกระจกไฟฟ้าขึ้น-ลงทั้ง 2 ข้าง พร้อมๆ กัน (กระจกคู่หน้า) แต่ถ้ากระจกขึ้นลงหนืด ก็แปลว่าอาการที่เราสตาร์ทรถไม่ติดมาจากแบตเตอรี่เสื่อมนั่นเอง หรือระบบล็อคประตู และการทำงานของกระจกไฟฟ้าช้าลงกว่าปกติ อืดๆ ไม่เร็วเหมือนเดิม

  1. ไฟส่องสว่างด้านหน้ารถยนต์ไม่ส่องสว่างเท่าเดิม

ให้สังเกตุความสว่างของไฟฟ้าตอนกลางคืนว่าลดลงจากปกติหรือไม่ ถ้าความสว่างของไฟหน้าลดลงอย่างเห็นได้ชัด แสดงว่าอาการรถสตาร์ทไม่ติดน่าจะมากจากแบตเตอรี่เสือม แต่ถ้าความสว่างยังปกติดี

ดังนั้น ถ้าคุณพบว่ารถคุณเริ่มมีอาการต่างๆ เหล่านี้ รวมถึงอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ ก็ใกล้ถึงเวลาที่ควรจะเปลี่ยนแล้ว สิ่งที่คุณควรทำคือ รีบเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่ ก่อนที่จะสร้างความลำบากให้กับคุณได้ แบบไม่มีการบอกล่วงหน้า

แบตเตอรี่รถยนต์

วิธีการเลือกและรักษา “แบตเตอรี่” รถยนต์
ที่ช่วย Save อายุแบตเตอรี่ และ Save เงินในกระเป๋า

เชื่อว่าคนมีรถทุกคน ต้องเคยประสบปัญหาตอนขับรถ แล้วอยู่ๆ “แบตเตอรี่” ดันหมดกลางทาง จนรถดับไปดื้อๆ ทำให้ชีวิตในวันนั้นทั้งวันต้องหยุดชะงักและวุ่นวายไปหมด ตามมาด้วยการเสียเงินที่มากกว่าปกติ จากค่าลากรถเข้าอู่ ต้องซื้อแบตฯ ก้อนใหม่กะทันหัน ค่าเปลี่ยนแบตฯ หรือซ่อมอย่างอื่นเพิ่มเติม blah blah blah ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อรถและอารมณ์ของเราเอาซะเลย แถมยังสั่นคลอนเงินในบัญชีไปอีก

แต่เราสามารถเลี่ยงปัญหาทั้งหมดนี้ได้ เพียงแค่เรามีความรู้เบื้องต้น 8 ข้อ เกี่ยวกับ “แบตเตอรี่” รถยนต์ ที่จะช่วยเพิ่มความเข้าใจในการเลือกแบตฯ ที่เหมาะสมกับรถ รู้จักการใช้งานและการรักษาแบตเตอรี่อย่างถูกต้อง แค่นี้ เราก็สามารถขับรถได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องกลัวรถดับกลางทาง ไม่ต้องเสียเงิน เสียเวลา หรืออารมณ์เสียโดยใช่เหตุ!

1.อย่ารอให้แบตเตอรี่เสื่อม จนสตาร์ทรถไม่ติด

คุณควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ตามระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งถ้าเป็นแบตเตอรี่แบบเปียก (มีช่องกลมๆ ไว้ให้เปิดเติมน้ำกลั่นและต้องดูแลสม่ำเสมอ) หรือแบบกึ่งแห้ง (ส่วนใหญ่จะถูกซีลปิดไว้ ไม่เห็นช่องเติมน้ำกลั่น และไม่ต้องดูแลมาก) มักมีอายุการใช้งานเฉลี่ยไม่เกิน 2-3 ปี

แต่ถ้าเป็นแบตเตอรี่แบบแห้งที่มีราคาสูงมาก จะมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าเท่าตัวหรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับการใช้งานและการดูแลรักษา โดยทุกครั้งเมื่อเราเปลี่ยนแบตเตอรี่ ร้านค้าหรืออู่ซ่อมรถจะทำสัญลักษณ์ไว้ที่แบตเตอรี่เพื่อระบุระยะเวลาเริ่มการรับประกัน ซึ่งเราก็สามารถเอาไว้เช็คได้ด้วยว่า แบตเตอรี่จะถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนเมื่อไร

 

2.ตรวจสภาพแบตเตอรี่เป็นประจำ

ถึงแม้ปัจจุบันแบตเตอรี่รถยนต์บางประเภทอาจไม่จำเป็นต้องได้รับการดูแลเลยตลอดอายุการใช้งาน (Maintenance Free) แต่คุณก็ควรตรวจเช็กสภาพแบตเตอรี่อย่างน้อยทุกๆ 2 ปี โดยเฉพาะเมืองไทยที่มีสภาพอากาศร้อนตลอดทั้งปี (เพราะความร้อนจะส่งผลให้แบตเตอรี่ทุกแบบเสื่อมเร็วขึ้น)

ทั้งนี้ หากรถเริ่มมีอาการสตาร์ทเอื่อย ๆ หรือระบบไฟทั้งหมดให้ความสว่างน้อยลง นั่นเป็นสัญญาณเตือนว่าแบตเตอรี่อาจมีกำลังไฟน้อย ควรตรวจสอบโดยเร็วว่ามาจากสาเหตุใด และแม้ว่ารถยนต์จะสามารถพ่วงแบตเตอรี่ได้ แต่มักจะมีผลเสียต่อรถยนต์เสมอ

 

3.เลือกแบตเตอรี่ที่มีขนาดพอดีกับรถ

ทุกครั้งที่เปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ โดยเฉพาะเมื่อร้านนำมาเปลี่ยนให้  ควรตรวจสอบหรือย้ำให้แน่ใจว่า แบตเตอรี่ใหม่นั้นมีขนาดที่ถูกต้องและสามารถวางได้พอดีกับฐานแบตเตอรี่รถของคุณ โดยดูได้จากคู่มือประจำรถหรือสอบถามจากร้านที่จำหน่ายได้โดยตรง หรือถ้ายังไม่แน่ใจให้ย้ำไปเลยว่านำมาใช้กับรถยี่ห้อ-รุ่นปีอะไร

 

4.เลือกความจุแบตเตอรี่ให้เหมาะสม

สำหรับการเลือกเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ เราสามารถยึดตามของเดิมได้เลย (ถ้าไม่แน่ใจว่าของเดิมคือรุ่นไหน ให้เช็คจากคู่มือประจำรถ) และไม่ควรลดขนาดความจุของแบตเตอรี่หรือแอมป์ลงโดยเด็ดขาด เพราะผู้ผลิตรถยนต์คำนวณแอมป์ที่เหมาะสมกับการใช้งานของรถยนต์รุ่นนั้น ๆ ไว้แล้ว และไม่ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ให้มีแอมป์สูงเกินกำหนดเช่นกัน หากไม่ได้ติดตั้งอุปกรณ์พิเศษเพิ่มเติม เช่น เครื่องเสียงหรืออุปกรณ์อำนวยความสะดวกอื่น ๆ

แบตเตอรี่หมด

5.เลือกแบตเตอรี่ที่ให้กำลังสตาร์ทเพียงพอ

กำลังสตาร์ทที่ว่า จะถูกระบุด้วยค่า CCA (Cold-Cranking Amps) ที่เป็นคนละค่ากับขนาดความจุของแบตเตอรี่ (Ah หรือแอมแปร์-ชั่วโมง) ซึ่งค่า CCA เป็นค่าสำหรับบอกว่า แบตเตอรี่ลูกนั้นมีความสามารถในการจ่ายไฟ เพื่อให้มอเตอร์สตาร์ทดึงไฟไปใช้ในการสตาร์ทเครื่องยนต์ได้แค่ไหน

ซึ่งเครื่องยนต์แต่ละขนาดต้องการค่า CCA ไม่เท่ากัน ยิ่งเครื่องยนต์ที่มีขนาดความจุมากก็ต้องการค่า CCA มากตาม อย่างไรก็ตาม ค่า CCA ของแบตเตอรี่แต่ละยี่ห้ออาจใช้มาตรฐานในการวัดต่างกัน ซึ่งมีทั้ง SAE, EA, IEC และ DIN ขึ้นอยู่กับผู้ผลิต เพราะฉะนั้นจะดูค่า CCA เฉพาะตัวเลขอย่างเดียวอาจผิดพลาดได้ ควรจะต้องดูทั้งหมดว่าตัวเลขที่ระบุนั้นใช้มาตรฐานใดวัด และไม่ควรต่ำกว่าที่ผู้ผลิตรถยนต์กำหนดไว้

 

6.เลือกแบตเตอรี่ที่ผลิตใหม่เสมอ

แบตเตอรี่ใหม่ที่ยังไม่ถูกจำหน่ายและใช้งาน ก็สามารถเสื่อมคุณภาพลงได้ ดังนั้น เพื่อให้ได้แบตเตอรี่ใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดควรเลือกแบตเตอรี่ที่ผลิตไว้ไม่เกิน 6 เดือน โดยจะมีรหัสเฉพาะระบุไว้ อาจใช้ตัวเลขและตัวอักษรแทน วัน/เดือน/ปี ที่ผลิต อาจแตกต่างกันไปตามยี่ห้อ เช่น อักษรแทนเดือน ตัวเลขแทนปี เป็นต้น เพราะยิ่งแบตเตอรี่ถูกเก็บไว้นานจะยิ่งมีความชื้นในตะกั่วเยอะ ชาร์จไฟยาก และบางร้านที่จำหน่ายก็ไม่ได้ชาร์จไฟแบตเตอรี่จนเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ก่อนนำมาขาย ซึ่งทำให้อายุของแบตฯ ลูกนั้นสั้นลงโดยที่เราไม่รู้ตัว

 

7.ควรรีไซเคิลแบตเตอรี่เก่า

แบตเตอรี่เก่ามีค่าและนำไปรีไซเคิลได้ เพราะร้านที่จำหน่ายแบตเตอรี่มักจะรับเทิร์นแบตเตอรี่เก่าอยู่แล้ว โดยส่วนใหญ่จะนำไปลดราคาแบตเตอรี่ลูกใหม่ให้ ดังนั้นอย่าลืมสอบถามว่าแบตเตอรี่ลูกใหม่ราคาเท่าไร และราคาดังกล่าวหักค่าเทิร์นแบตเตอรี่เก่าแล้วหรือยัง หากไม่แน่ใจลองสอบถามเปรียบเทียบราคาจากร้านอื่น ๆ ก่อนตัดสินใจซื้อ

 

8.เปรียบเทียบการรับประกัน

เป็นสิ่งที่สำคัญมากและไม่ควรมองข้าม สำหรับการเลือกแบตเตอรี่ใหม่ คุณควรตรวจสอบการรับประกันแบตเตอรี่ของทางร้านค้าที่ซื้อทุกครั้ง เพราะอาจระบุระยะเวลารับประกันต่างกัน ซึ่งโดยปกติแบตเตอรี่รถยนต์จะมีระยะเวลารับประกันตั้งแต่ 1-2 ปี แล้วแต่ยี่ห้อของแบตเตอรี่

นอกจากระยะเวลารับประกัน ควรสอบถามรายละเอียดหรือเงื่อนไขการรับประกันด้วยว่าครอบคลุมหรือไม่ครอบคลุมอะไรบ้าง เพราะจะได้ไม่เกิดปัญหาในภายหลัง แต่หลักๆแล้วเงื่อนไขการรับประกันของแต่ละยี่ห้อนั้นก็ไม่ต่างกันมากนัก

10-Need-To-Change-In-Car

10 ชิ้นส่วนและอะไหล่รถ ที่ต้องเปลี่ยนประจำ

เป็นเรื่องธรรมดาของสรรพสิ่งในโลกใบนี้ อะไรก็ตามที่ใช้ไปนานๆ ย่อมมีการเสื่อมสภาพเป็นธรรมดา อุปกรณ์ต่างๆ ในรถยนต์ก็เช่นกัน ทุกชิ้นส่วนต่างก็มีระยะเวลาการใช้งาน หรือต้องเปลี่ยนถ่ายตามระยะทาง

Car-Maintenance

Carro ขอแนะนำถึง 10 ชิ้นส่วนและอะไหล่รถ ที่ต้องเปลี่ยนประจำนั้น มีอะไรบ้าง เชิญอ่านได้เลยครับ.

1.น้ำมันเครื่อง พร้อมไส้กรองน้ำมันเครื่อง

น้ำมันเครื่อง

น้ำมันเครื่อง พร้อมไส้กรองน้ำมันเครื่อง เมื่อถึงกำหนดควรเปลี่ยนถ่ายทุกครั้ง สำหรับระยะเวลาเปลี่ยนคือ ทุกๆ 5,000-10,000 กิโลเมตร (แล้วแต่ยี่ห้อ และประเภทของน้ำมันเครื่อง เช่น แบบธรรมดา แบบกึ่งสังเคราะห์ หรือแบบสังเคราะห์) หรือพบว่าน้ำมันเครื่องเป็นสีเริ่มดำ หรือเป็นตะกอนโคลน ก็สามารถเปลี่ยนก่อนได้เลย เพราะน้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพแล้ว โดยเมื่อเปลี่ยนน้ำมันเครื่องแล้ว ก็ควรเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่องไปพร้อมกันเลย

หากเป็นรถใหม่บางยี่ห้อ ทางศูนย์บริการจะแนะนำให้เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุกๆ 6 เดือน และในส่วนของรถยนต์ที่ใช้น้อย เมื่อครบ 1 ปีแล้ว ไม่ว่าจะวิ่งมากี่กิโลเมตรก็ตาม ก็ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องเช่นกันครับ

การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุกครั้ง ต้องมีการจดบันทึก วันที่ เดือน ปี และเลขกิโลเมตร ไว้ด้วย เพื่อใช้เป็นการคำนวณกำหนดการเปลี่ยนถ่าย

2. แบตเตอรี่

แบตเตอรี่

แบตเตอรี่ ถ้าเป็นแบตเตอรี่แบบเปียก ควรเติมน้ำกลั่นให้ได้ระดับปกติอยู่เสมอ เพื่อให้แบตเตอรี่เก็บประจุไฟได้อย่างเต็มที่ ส่วนแบตเตอรี่ที่เป็นแบบแห้ง ก็สามารถใช้งานได้ตลอดอายุการใช้งาน ไม่ต้องดูแลรักษาอะไรใดๆ ส่วนใหญ่ระยะเวลาการเปลี่ยนจะอยู่ที่ 1.5 -3 ปี แล้วแต่ขนาด และการใช้งาน

3. ยางรถยนต์

ยางรถยนต์

ยางรถยนต์ อายุการใช้งานส่วนใหญ่ที่ควรเปลี่ยน คือ 2 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร แต่ถ้าเป็นยางที่คุณภาพสูงๆ จะมีอายุการใช้งานนานถึง 5-6 ปี นับตั้งแต่วันที่ผลิต หากความลึกของดอกยางที่น้อยลงมาก โดยดูจากจุด “สามเหลี่ยม” บริเวณขอบยาง หรือ สภาพโครงสร้างของยาง มีรอยแตกลายงาหรือไม่ ก็ควรเปลี่ยนยางเส้นใหม่ครับ เพื่อความปลอดภัยของคุณ

แต่ก็มีวิธียืดอายุการใช้งานยางให้ได้นานที่สุด (เพราะเปลี่ยนใหม่หมด 4 เส้น ก็ใช้เงินไม่ใช่น้อย) พยายามเลี่ยงถนนที่มีหลุมบ่อ สิ่งกีดขวาง ระวังกระแทกขอบถนน วัตถุมีคม และลูกระนาดชะลอความเร็ว ตรวจดูการสึกหรอของดอกยาง ดูแรงดันลมยาง และคอยตั้งศูนย์ล้อสม่ำเสมอ เป็นต้น

4. ผ้าเบรก

ผ้าเบรก

ผ้าเบรก ถือว่าเป็นชิ้นส่วนสำคัญ หากผ้าเบรกใกล้หมด จะมีเสียงดังเอี๊ยดๆ เกิดขึ้นขณะเหยียบเบรค หรือตอนรถออกวิ่งใหม่ๆ บ่งบอกว่าถึงเวลาเปลี่ยนได้แล้ว เพราะถ้าหากยังใช้ต่อ เหล็กของก้ามเบรกจะสีกับจานเบรก ทำให้จานเบรกเป็นรอยได้ ระยะเวลาในการเปลี่ยนประมาณ 40,000–70,000 กิโลเมตร

5. ไส้กรองอากาศ

ไส้กรองอากาศ

ไส้กรองอากาศ เป็นตัวสำคัญที่จะคอยกรองสิ่งสกปรกในอากาศก่อนเข้าเครื่องยนต์ ช่วยให้การเผาไหม้สมบูรณ์ ระยะเวลาในการเปลี่ยน 20,000 กิโลเมตร หรือ 1 ปี และควรเป่าทำความสะอาดทุกๆ เดือน

6. หัวเทียน

หัวเทียน

หัวเทียน ควรเปลี่ยนทุกๆ 40,000 กิโลเมตร เพื่อการจุดระเบิดที่ดีของเครื่องยนต์ หรือทุก 1 ปีก็ได้

7. สายพานไทม์มิ่ง

สายพานไทม์มิ่ง

สายพานไทม์มิ่ง ถือเป็นสายพานหลักสำหรับส่งกำลังเครื่องยนต์ หากสายพานเริ่มมีเสียงดังเอี้ยดอ๊าด ก็ควรเปลี่ยนได้ โดยสายพานไทม์มิ่ง ควรเปลี่ยนทุกๆ 100,000 กิโลเมตร เปลี่ยนความปลอดภัยของเครื่องยนต์

8. น้ำมันเกียร์ และไส้กรองน้ำมันเกียร์

น้ำมันเกียร์

น้ำมันเกียร์ และไส้กรองน้ำมันเกียร์ ระบบเกียร์ทุกระบบประกอบไปด้วยโลหะจำนวนมาก รวมไปถึงความร้อนสูง น้ำมันเกียร์ จะช่วยลดการสึกหรอของการทำงานภายในเกียร์ได้ โดยระยะเวลาในการเปลี่ยน ประมาณ 20,000 – 40,000 กิโลเมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรุ่นรถ และคำแนะนำของรถยนต์แต่ละยี่ห้อ

9. ยางใบปัดน้ำฝน

ใบปัดน้ำฝน

ยางใบปัดน้ำฝน ควรเปลี่ยนทุกๆ 1 ปี หรือเมื่อยางเสื่อมสภาพ กรอบแตก ปัดแล้วมีเสียงดัง หรือกวาดน้ำออกมาจากกระจกไม่หมด ปัดแล้วไม่เรียบ เป็นต้น

10. ระบบส่องสว่างและหลอดไฟต่างๆ

ไฟหน้า

ระบบส่องสว่างและหลอดไฟต่างๆ ทั้งภายนอกรถและภายในรถ ไม่มีระยะเปลี่ยนที่แน่นอน ส่วนใหญ่จะเปลี่ยนใหม่เมื่อหลอดขาดเท่านั้น

ถือเป็นเคล็ดลับในการดูแลรถยนต์ง่ายๆ ที่ทาง Carro นำมาฝาก ซึ่งทุกคนสามารถตรวจเช็คได้ หรือให้ช่างผู้ชำนาญตรวจเช็คก็ได้เช่นกัน เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่และเดินทางของท่านครับ