เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับระบบแก๊สรถยนต์

“แก๊สรถยนต์” เป็นสิ่งที่คุ้นเคยกันในวงการรถยนต์ไทยมานานตั้งแต่ 40 กว่าปีมาแล้ว นับตั้งแต่ช่วงวิกฤตการณ์น้ำมันในช่วงกลางยุค 70 ทำให้เหล่าแท็กซี่ที่สู้ค่าน้ำมันไม่ไหว ต่างต้องหันมาติดตั้งแก๊สรถยนต์ใช้กัน และก็เริ่มได้รับความนิยมในหมู่รถบ้าน มาจนถึงปัจจุบัน

เรื่องน่ารู้ เกี่ยวกับระบบแก๊สรถยนต์ สำหรับรถติดแก๊ส LPG

แก๊สติดรถยนต์ ในไทยนิยมใช้กันมาไม่ต่ำกว่า 40 ปีแล้ว ขนาดรถหรูอย่าง Volvo 264 GLE ก็ยังมีติดแก๊สออกมาจากโรงงาน

ประกอบกับราคาน้ำมันแพงมาก ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ทำให้อู่ติดแก๊สรถยนต์ ผุดขึ้นมาราวดอกเห็ด แต่ละร้านช่างงานล้นมือกว่าเดิมหลายเท่า อุปกรณ์ติดแก๊สขาดตลาด ส่วนเจ้าของร้านรวยเป็นอาเสี่ยกันเพียบ และนิตยสารรถยนต์บางฉบับ มีร้านรับติดแก๊สรถยนต์ขอลงโฆษณาเยอะมาก จนต้องทำหนังสือเกี่ยวกับรถติดแก๊สแยกออกมาโดยเฉพาะ ถึงขั้นต้องบอกเจ้าของร้านว่าไม่ต้องลงโฆษณาทุกเดือนได้ไหม ….. เหลือเชื่อเลย!

แต่หลังจากที่ราคาน้ำมันถูกลง ทั้งร้านทั้งอู่ติดแก๊สรถยนต์ก็ซบเซา หายไปเป็นจำนวนมากเช่นกัน เหลือแต่เจ้าใหญ่ๆ ทุนหนา สายป่านยาวอยู่เพียงไม่กี่เจ้า ก่อนจะกลับมาบูมอีกครั้งในปีนี้ ปีที่ราคาน้ำมันแพงมาก เบนซิน 2 ลิตร 100 ก็ได้เห็นกันแล้ว …

ใครที่สู้ราคาน้ำมันแพงสุดขีดไม่ไหว อยากเอารถไปติดแก๊ส LPG ต้องอ่าน

เรื่องน่ารู้ เกี่ยวกับระบบแก๊สรถยนต์ สำหรับรถติดแก๊ส LPG

ภาพจาก บิ๊กแก๊ส ก๊าซหุงต้ม LPG

แก๊สรถยนต์ มาจากไหน?

แก๊สรถยนต์ เป็นก๊าซปิโตรเลียมเหลว หรือก๊าซหุงต้ม มีชื่อว่า LPG (Liquefied Petroleum Gas) ที่ได้จากการแยกน้ำมันดิบ (Crude Oil) ในโรงกลั่นน้ำมัน ซึ่งให้ค่าความร้อนสูง ประกอบไปด้วย Propane (โพรเพน) และ Butane (บิวเทน) มีสูตรทางเคมี C3H8 + C4H10 และได้จากกระบวนการแยกก๊าซธรรมชาติ

LPG มีคุณสมบัติ สามารถแปรสภาพจากของเหลว โดยขยายตัวเป็นก๊าซได้ถึง 250 เท่า มีน้ำหนักเบากว่าน้ำ แต่หนักกว่าอากาศ เป็นเชื้อเพลิงติดไฟง่าย และเป็นพลังงานที่เผาไหม้ได้อย่างสมบูรณ์ ลดมลภาวะในอากาศ ไม่ส่งผลกระทบสิ่งแวดล้อม และให้ค่าออกเทนสูงถึงประมาณ 105

เมื่อผ่านการผลิตจากโรงงานเรียบร้อยแล้ว ก็จะขนแก๊สผ่านรถบรรทุกขนาดใหญ่ มาถ่ายแก๊สลงสู่สถานีบริการแก๊ส สำหรับไว้รอเติมรถยนต์

เรื่องน่ารู้ เกี่ยวกับระบบแก๊สรถยนต์ สำหรับรถติดแก๊ส LPG

ทำไมแก๊สรถยนต์ ถึงมีกลิ่น?

หลายครั้งที่คุณอาจได้กลิ่นแก๊สรถยนต์ ออกมาจากท่อไอเสีย (โดยเฉพาะรถที่ตัด Catalytic Converter ออก) หรือจากเตาแก๊สในบ้าน

ตามจริงแล้ว แก๊ส LPG ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น แต่เพื่อความปลอดภัย จึงเติมสาร Ethyl Mercaptan (เอทิลเมอแคบแทน) เพื่อให้สามารถทราบได้ กรณีเกิดแก๊สรั่ว

เรื่องน่ารู้ เกี่ยวกับระบบแก๊สรถยนต์ สำหรับรถติดแก๊ส LPG

ภาพจาก PS Pornsak พรศักดิ์แก๊สอ่อนนุช

อุปกรณ์ติดแก๊สรถยนต์ หลักๆ ในปัจจุบันมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ นั่นคือ

  • ระบบดูด (Fumigation System หรือ Fix Mixer) มักนิยมติดตั้งในรถที่ใช้ระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยคาร์บูเรเตอร์และหัวฉีด ซึ่งจะมีจะมีอุปกรณ์ผสมแก๊สกับอากาศ (Gas Mixer) ทำหน้าที่ดูดอากาศไปพร้อมกับแก๊สในอัตราส่วนที่เหมาะสมกับการเผาไหม้
    ซึ่งระบบกลไกจะจ่ายส่วนผสมนี้เข้าเครื่องยนต์ ตามรอบเครื่องยนต์ ซึ่งถ้ารอบเครื่องยนต์ต่ำ แรงดูดอากาศในเครื่องยนต์น้อย จะจ่ายเชื้อเพลิงน้อย ถ้ารอบเครื่องยนต์สูง แรงดูดอากาศในเครื่องยนต์มาก จะจ่ายเชื้อเพลิงมาก ซึ่งจะกินแก๊สมากกว่าในระบบหัวฉีด ส่วนการปรับจูนแก๊ส ต้องใช้การปรับด้วยมือ
  • ระบบหัวฉีด (Sequential Injection) ออกมาสำหรับใช้งานกับเครื่องยนต์ระบบหัวฉีด โดยมีจำนวนหัวฉีดตามจำนวนสูบของรถ ควบคุมการทำงานผ่านกล่อง ECU เหมือนรถน้ำมัน ให้สมรรถนะและอัตราเร่งใกล้เคียงระบบน้ำมัน รวมถึงประหยัดเชื้อเพลิงแก๊สกว่าแบบระบบดูด ส่วนการปรับจูนแก๊ส ต้องปรับจูนผ่านคอมพิวเตอร์

อ่อ ในยุคเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ยังมีระบบแก๊สอีกแบบหนึ่งที่นิยมติดตั้งในรถยนต์ด้วย นั่นคือแบบ Lamda Control หรือ Step Motor หรือแบบกึ่งหัวฉีด มีวาล์วเปิด-ปิด

โดยจะมีวาล์วหนึ่งตัวคอยสั่งการเมื่อรถวิ่งด้วยความเร็วสูง ต้องการปริมาณแก๊สที่มากขึ้น วาล์วก็จะเปิดให้แก๊สเข้ามามากขึ้น ในขณะที่เมื่อรถวิ่งด้วยความเร็วต่ำ ไม่ต้องการปริมาณแก๊สมาก วาล์วก็จะปล่อยก๊าซออกมาน้อย ซึ่งดีกว่าแบบใช้หม้อต้มนิดหน่อย

เรื่องน่ารู้ เกี่ยวกับระบบแก๊สรถยนต์ สำหรับรถติดแก๊ส LPG

อุปกรณ์ติดแก๊สรถยนต์ มีอะไรบ้าง และโดยมากมาจากประเทศไหน?

อุปกรณ์ติดแก๊สรถยนต์ส่วนใหญ่ มักจะมาจากอิตาลี (เช่น BSM, Tomasetto, Fagumit, Lovato, Versus, Valtek), ตุรกี (เช่น Atiker) หรือโปแลนด์ (เช่น AC Autogas) ซึ่งประเทศเหล่านี้ได้พัฒนาอุปกรณ์ติดแก๊สรถยนต์มายาวนานมากแล้ว และบางส่วนก็นำเข้ามาจากเกาหลีใต้ (เช่น Hana) หรือญี่ปุ่น (เช่น Nikki, Keihin) และที่ผลิตจากในไทยเอง เช่น ถังแก๊ส (Magnate), ท่อแก๊ส เป็นต้น

  • กล่อง ECU แก๊ส

สำหรับกล่อง ECU แก๊ส หรือสมองกล มักใช้ร่วมกับระบบแก๊สที่จ่ายแก๊สแบบหัวฉีด ซึ่งมีให้เลือกหลากหลายยี่ห้อ หลายราคา

  • Map Sensor

Map Sensor (แมพเซ็นเซอร์) มี่หน้าที่วัดแรงดันของแก๊ส ที่อยู่ในรางหัวฉีดและท่อไอดี เพื่อส่งสัญญาณให้กับกล่อง ECU แก๊สประมวลผล ในกรณีที่ท่อแก๊สขาด แรงดันที่หัวฉีดจะลด แมพเซ็นเซอร์จะส่งสัญญาณไปยังกล่อง ECU แก๊สเพื่อทำการสั่งหยุดการจ่ายแก๊สทันที

เรื่องน่ารู้ เกี่ยวกับระบบแก๊สรถยนต์ สำหรับรถติดแก๊ส LPG

  • หม้อต้มแก๊ส

– หม้อต้ม (Evaporator) หรือ อุปกรณ์ปรับความดันแก๊ส (Pressure Regulator) เป็นอุปกรณ์ลดความดันแก๊สในถังให้อยู่ในระดับที่เหมาะกับการใช้งานในเครื่องยนต์ เพราะเมื่อลดความดันแก๊ส แก๊สเย็นลงจนเป็นน้ำแข็งเกาะหม้อต้ม ปิดทางไหลของแก๊สได้ จึงต้องใช้น้ำที่ระบายความร้อนจากเครื่องยนต์มาช่วยละลายน้ำแข็ง เปิดทางไหลของแก๊สให้เป็นได้สะดวก จากลักษณะการทำงานจึงนิยมเรียกกันว่า หม้อต้ม

รถยนต์โดยมากจะใช้หม้อต้มแก๊สแบบรุ่นธรรมดา เหมาะกับรถที่มีกำลังไม่เกิน 140 แรงม้า และแบบ Super ที่จะรองรับรถติดแก๊สที่มีแรงม้าตั้งแต่ 200 แรงม้าขึ้นไป ที่สำคัญต้องได้มาตรฐาน ECR 67 ตามมาตรฐานยุโรป

  • กรองแก๊ส

เมื่อมีหม้อต้มแล้ว ก็ต้องมีกรองแก๊สตามมาด้วย ลักษณะก็คล้ายๆ กับกรองอากาศ หรือกรองแอร์นั่นล่ะครับ คือกรองสิ่งสกปรกที่ปนเปื้อนมากับแก๊สนั่นเอง ช่วยให้เครื่องยนต์สึกหรอน้อยลง ผลิตจากกระดาษ ไฟเบอร์ หรือโพลีเอสเตอร์

กรองแก๊สมีอายุการใช้งานประมาณ 20,000 – 30,000 กิโลเมตร ขึ้นอยู่กับวัสดุการผลิต และความละเอียดของตัวกรอง

เรื่องน่ารู้ เกี่ยวกับระบบแก๊สรถยนต์ สำหรับรถติดแก๊ส LPG

ภาพจาก PS Pornsak พรศักดิ์แก๊สอ่อนนุช

  • ถังแก๊ส LPG

ถังแก๊ส LPG ในรถยนต์ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ ถังแคปซูล และถังโดนัท ส่วนใหญ่จะผลิตจากเหล็กกล้า ซึ่งปลอดภัยและได้มาตรฐาน มอก. ตามกฎหมายที่กรมขนส่งการบกกำหนด เช่น “มอก.370-2525” หรือมาตรฐานยุโรป “EC 67 R01” ที่กฎหมายไทยให้การยอมรับ มีถังให้เลือกหลายขนาด ตั้งแต่ 25 – 96 ลิตร

ส่วนมาตรฐานอื่น ๆ ที่อนุญาตให้ใช้ได้ เช่น
– มาตรฐาน “ECE R” แต่ต้องเป็นถังแก๊สที่ติดตั้งมากับรถยนต์ที่นำเข้าจากต่างประเทศ
– กรณีร้านติดตั้งแก๊สที่มีนำเข้าถังจากต่างประเทศโดยตรง เช่น ถังโดนัท ต้องมีมาตรฐาน “ECR 67”

เรื่องน่ารู้ เกี่ยวกับระบบแก๊สรถยนต์ สำหรับรถติดแก๊ส LPG

ภาพจาก Sbp Petch

  • วาล์วแก๊ส

– อุปกรณ์สำคัญของถังแก๊ส LPG ทำหน้าที่จ่ายเชื้อเพลิงในถึงแก๊ส ปัจจุบันมักใช้วาล์วไฟฟ้า (Solenoid Valve) รูปทรงกลมๆ มีให้เลือกอยู่หลากหลายแบบ หลากหลายประเทศ มีทั้งของแท้และของปลอม (ต้องดูดีๆ) ซึ่งวาล์วแก๊สจะต้องมีวาล์วนิรภัยด้วยกัน 3 ชั้น ได้แก่

1.วาล์วระบายแรงดันเกิน (Pressure Relief Valve) ทำหน้าที่ระบายแก๊สในถังแก๊ส เมื่อในถังมีแรงดันสูงเกินกว่าที่กำหนดไว้ โดยจะปล่อยแก๊สออกเพื่อลดแรงดันในถังแก๊ส
2.วาล์วป้องกันการไหลเกิน (Excess Flow Valve) ทำหน้าที่ปิดการจ่ายแก๊ส เมื่อพบว่าแก๊สไหลมากผิดปกติ เช่น ท่อแก๊สหลุดหรือขาด
3.ฟิวส์ตะกั่ว (Thermal Fuse) จะหลอมละลายเมื่ออุณหภูมิบริเวณวาล์วสูงกว่า 110°C เช่นในกรณีรถถูกไฟไหม้ ทำให้ถังแก๊สรถยนต์ร้อนขึ้น เมื่อฟิวส์ตัวนี้ละลาย จะเปิดช่องให้แก๊สระบายออกจากถังได้ เพื่อป้องกันถังแก๊ส ระเบิด

มัลติวาล์วคุณภาพสูง ต้องผ่านมาตรฐานยุโรป E8 ECE 67R – 01 3018

  • นาฬิกาแก๊ส

– เป็นเข็มวัดระดับแก๊สในถัง อยู่ตรงบริเวณวาล์วของถังแก๊ส หลักการทำงานคือส่งสัญญาณไปที่กล่องสมองกลของแก๊ส เพื่อบอกระดับแก๊สให้สวิทช์แก๊สในรถยนต์

เรื่องน่ารู้ เกี่ยวกับระบบแก๊สรถยนต์ สำหรับรถติดแก๊ส LPG

ภาพจาก รถติดแก๊ส

  • แป๊บทองแดง

แป๊บทองแดง ก็คือท่อแก๊สนั่นเอง ในปัจจุบันจะมียางหุ้มทองแดงมาจากโรงงาน เพื่อกันน้ำ กันกระแทก รั่ว และแข็งแรงกว่าท่อทองแดงเปลือยๆ ที่กรมการขนส่งฯ ไม่อนุญาตให้ใช้ (รวมถึงท่อร้อยแป๊บเองด้วย) แล้ว ตามกฎหมายบังคับให้เป็นมาตรฐาน “ECR 67” เท่านั้น

  • ท่อยางแก๊ส

– ท่อยางแก๊ส เป็นท่อทางเดินแก๊สในห้องเครื่องยนต์จุดต่างๆ เช่น ต่อเข้า Map Sensor, ต่อเข้ารางหัวฉีด, ต่อเข้าน็อตไอดี และต่อเข้าหม้อต้มแก๊ส ซึ่งมีอยู่หลายแบบ ตั้งแต่ 4 – 16 มิลลิเมตร และหลายคุณภาพ สามารถดัดโค้งได้ง่าย รับแรงดันได้ดี ถ้าคุณภาพดหน่อยก็จะมีด้ายใยสงเคราะห์พิเศษถักด้วย

ทั่วไปจะเปลี่ยนทุกๆ 50,000 กิโลเมตร หรือ 1 ปี หรือทุกๆ 100,000 กิโลเมตร หรือ 3 ปี หรือถ้ามีรอยปริ แตกลายงาที่ท่อ ก็รีบเปลี่ยนได้เลย ไม่ต้องรอ!

สำหรับตอนต่อไปของเรื่องราวรถติดแก๊สนั้น MR.CARRO จะขอพาท่านไปรู้ถึงข้อดี และข้อเสียของระบบแก๊สรถยนต์กันครับ …

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์คันใหม่ มาขายรถกับทาง CARRO Express ได้ที่  https://th.carro.co/sell-car/express วิธีการขายรถในแบบยุคใหม่ ง่าย สะดวก รวดเร็ว ได้ราคา อีกทั้งยังลงขายได้ “ฟรี!” พร้อมรับเงินสดกลับบ้านทันที ภายใน 24 ชั่วโมง!

Carro Automall / คาร์โร ออโต้มอลล์

แต่ถ้าหากช่วงนี้ใครอยากเปลี่ยนรถคันใหม่ มาใช้แทนที่รถคันเดิม CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ พร้อมตอบโจทย์คุณด้วยคอนเซปต์ “click.buy.drive.” คุณสามารถจองรถออนไลน์ ได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น!

รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check มากกว่า 160 จุด และยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” ให้คุณเลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา พร้อมรับประกันคุณภาพรถนานถึง 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร! อีกทั้งยังการันตีความพึงพอใจ คืนเงินได้ภายใน 5 วันอีกด้วย! เรามีรถให้คุณเลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ CARRO Automall สิ!

หรือถ้าหากสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall Official โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall ครับ

แหล่งที่มาบางส่วนจาก:

10 วิธี ประหยัดน้ำมันรถ ในยุคน้ำมันแพง!

คำถามยอดฮิตที่ผู้ขับขี่รถยนต์อยากรู้ เพราะในสภาพเศรษฐกิจเช่นนี้ แถมราคาน้ำมันก็พุ่งไม่หยุด ไม่ว่าใครๆ ก็ต่างอยากจะประหยัดเงินในการเติมน้ำมันกันทั้งนั้น

บางคนอาจใช้รถยนต์รุ่นเก่าๆ ที่ซดน้ำมันไม่ใช่น้อย ทำให้ต้องเสียเงินกับการเติมน้ำมันไปเดือนหนึ่งเป็นหลักหลายพันบาท ถึงขนาดหลายคนเลือกที่จะนำรถคันนั้นไปติดแก๊ส LPG เพราะคิดว่าวิธีนี้จะช่วยทำให้ประหยัดน้ำมันที่สุด

แต่จริงๆ แล้ว ผู้เชี่ยวชาญจาก CARRO ขอยืนยันว่ามันมีวิธีการประหยัดน้ำมันที่ง่ายกว่านั้น!! แถมยังเป็นวิธีง่ายๆ ที่ใครก็ทำได้อีกด้วย ซึ่งวิธีเหล่านั้นจะประกอบไปด้วย …

10 วิธี ประหยัดน้ำมันรถ ในยุคน้ำมันแพง!

1. ชุดแต่งรถ อย่าต้านลม

สำหรับขาซิ่ง หรือคนที่ชอบแต่งรถทั้งหลาย คุณอาจจะยังไม่รู้ว่า การติดตั้งอุปกรณ์แต่งรถ หรือปรับเปลี่ยนรถให้มีความเท่ ความโฉบเฉี่ยวมากขึ้น อาจทำให้รถคุณกินน้ำมันเพิ่มขึ้น!!

เนื่องจากอุปกรณ์เหล่านั้นจะเพิ่มแรงต้านการหมุนของล้อ และเพิ่มแรงต้านอากาศให้มากขึ้นนั่นเอง ดังนั้น ถ้าไม่อยากจะต้องเสียค่าน้ำมันแพง คุณก็ควรจะแต่งรถในปริมาณที่พอดีๆ นะจ๊ะ

2. ขนสัมภาระเท่าที่จำเป็น

เวลาที่คุณต้องออกเดินทางไกล และมีเหตุให้ต้องขนข้าวของไปเยอะ แนะนำให้ลองเลือกขนเฉพาะสิ่งของที่จำเป็น เพราะการบรรทุกของที่หนักจนเกินไป จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้น

โดยน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นทุกๆ 20 กิโลกรัม ทำให้รถยนต์ของคุณกินน้ำมันมากถึงร้อยละ 1 เลยทีเดียว

10 วิธี ประหยัดน้ำมันรถ ในยุคน้ำมันแพง!

3. ควบคุมความเร็วให้คงที่

ข้อนี้อาจจะยากสักหน่อยสำหรับการขับรถในเมืองใหญ่ที่รถเยอะๆ อย่างกรุงเทพฯ เพราะคุณอาจจะต้องขับไปเบรกไป (เนื่องจากรถติด) แต่ถ้าหากคุณเดินทางไปต่างจังหวัด หรือว่าอาศัยอยู่ในบริเวณที่รถไม่เยอะ แนะนำให้คุณลองขับรถโดยใช้ความเร็วที่คงที่ จะช่วยให้ประหยัดน้ำมัน

พยายามใช้เกียร์รถให้เหมาะสมกับความเร็วรถ พยายามอย่าลากรอบสูงๆ เมื่อใช้เกียร์ต่ำ หรือใช้เกียร์สูง แต่ความเร็วต่ำๆ

4. ไม่ต้องคิกดาวน์ หรือขับกระชากก็ได้ ถ้าไม่จำเป็น

แม้ว่าการคิกดาวน์จะช่วยให้เร่งรถเพื่อแซงคันอื่นได้ฉับไวขึ้น แต่ทำบ่อยๆ ก็เปลืองน้ำมันอยู่ไม่ใช่น้อย การขับรถแบบกระชาก เบิ้ลเครื่อง นี่สิ้นเปลืองน้ำมันทันตาเห็น ทั้งเครื่องยนต์จะพังแถมยังอาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายกว่าเดิมถึง 30%

กรณีขับรถเก่า ที่ยังมีปุ่ม O/D (Overdrive) ก็กดใช้ได้เลย เพราะไม่ต้องกดคันเร่งมาก เพื่อเรียกกำลังจากเครื่องยนต์ได้มากขึ้น เกียร์จะช่วยลดรอบเครื่องยนต์ให้ทำงานต่ำกว่าอัตราทดเกียร์ปกติที่มากกว่า 1.000 ช่วยให้ประหยัดน้ำมันขึ้น หรือในรถยุคใหม่ ที่มีแป้น + – ทั้งบริเวณเกียร์ และแป้นหลังพวงมาลัย (Paddle Shifts) คุณก็เลือกเปลี่ยนเกียร์เองก็ได้เช่นกัน

10 วิธี ประหยัดน้ำมันรถ ในยุคน้ำมันแพง!

5. จอดรถ ต้องดับเครื่อง กับหาที่จอดในร่ม

เวลาที่คุณจอดรถไว้เฉยๆ ไม่ว่าจะเป็นระยะเวลาไม่กี่นาที หรือว่าเป็นเวลานาน แนะนำว่าควรดับเครื่องยนต์ เพราะถึงแม้คุณจะจอดรถทิ้งไว้เฉยๆ โดยไม่ได้ขับไปไหน ก็ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันได้เหมือนกัน

และอย่าจอดรถตากแดดโดยไม่จำเป็น ทางที่ดีควรจอดรถในที่มีร่มเงาดีกว่า เมื่อช่วงสตาร์ทรถ เครื่องปรับอากาศจะได้ไม่ทำงานหนักเกินไป ช่วยให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้น

6. อย่าเลี้ยงคลัทช์

รู้หรือไม่? ยิ่งเลี้ยงคลัทช์ ก็ยิ่งทำให้อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้น และทำให้แผ่นคลัทช์สึกหรอ บวกกับอายุการใช้งานที่น้อยลง

10 วิธี ประหยัดน้ำมันรถ ในยุคน้ำมันแพง!

7. หลีกเลี่ยงเส้นทางที่รถติด

วิธีนี้อาจยากหน่อย สำหรับคนที่ต้องขับรถไปเส้นทางรถติดทุกๆ วัน แต่ถ้าลองเตรียมตัว เช็คเส้นทางที่รถติดน้อยที่สุด หรืออาจจะใช้เส้นทางลัด ก็ช่วยให้ประหยัดน้ำมันได้มาก เพราะว่าการเหยียบเบรคบ่อยๆ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมัน

8. ใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์

รถยนต์ยุคใหม่หลายรุ่นมีเทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์ ช่วยประหยัดน้ำมันได้อย่างดีเยี่ยม เช่น ปุ่ม Idling stop หยุดการทำงานของเครื่องยนต์ชั่วคราว เหมาะสำหรับใช้หยุดการทำงานของเครื่องยนต์เวลาที่รถติดไฟแดง หรือเวลาที่ต้องจอดรถทิ้งเอาไว้ ซึ่งพอเครื่องยนต์หยุดทำงาน ก็จะช่วยหยุดการจ่ายน้ำมันนั่นเอง

และหากรถรุ่นไหนที่มีระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ก็สามารถใช้ได้เหมือนกัน เพราะจะช่วยควบคุมความเร็วให้คงที่ ช่วยประหยัดน้ำมันได้

10 วิธี ประหยัดน้ำมันรถ ในยุคน้ำมันแพง!

9. เช็คสภาพลมยาง

การตรวจเช็คสภาพลมยางเป็นสิ่งที่คุณควรจะทำอยู่เสมอ โดยการตรวจเช็คสภาพลมยาง จะช่วยทำช่วยประหยัดน้ำมันได้ส่วนหนึ่ง

เพราะถ้าหากลมยางของคุณเกิดการอ่อนตัว ก็จะทำให้เกิดการเสียดทานระหว่างตัวยางกับพื้นถนน ซึ่งจะส่งผลทำให้เครื่องยนต์รับภาระในการหมุนล้อเพิ่มขึ้น จึงเป็นสาเหตุทำให้เปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้นนั่นเอง

10. หมั่นตรวจเช็คสภาพรถ

เมื่อถึงเวลาครบกำหนดที่คุณต้องนำรถเข้าไปตรวจเช็คสภาพ ซึ่งการตรวจสภาพเครื่องยนต์ และอุปกรณ์ต่างๆ นอกจากจะช่วยทำให้รถยนต์ของคุณพร้อมในการขับขี่ ยังช่วยลดอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันได้ด้วย

เนื่องจากการที่รถยนต์กินน้ำมัน อาจจะมีสาเหตุมาจากการที่อุปกรณ์ต่างๆ เสื่อมสภาพก็เป็นไปได้ ดังนั้นถ้าหากถึงเวลาที่ควรจะต้องนำรถไปเช็คสภาพ ก็ไม่ควรที่จะละเลย

วิธีการทั้งหมดที่ได้กล่าวมา เป็นการช่วยประหยัดเงินค่าน้ำมันเพิ่มขึ้น ทำให้เหลือเงินที่จะไปทำอย่างอื่นอีก แต่สำหรับคนที่อยากมีรถยนต์สักคัน ไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้ไป เพราะปัจจุบันมีรถยนต์ที่ประหยัดน้ำมันให้เลือกมากมาย แต่หากอยากประหยัดเงินเพิ่มขึ้น แถมมีเงินเหลือเก็บ

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

สำหรับใครที่ทนราคาน้ำมันแพงไม่ไหว อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์ประหยัดน้ำมันคันใหม่ มาขายรถกับทาง CARRO Express ได้ที่  https://th.carro.co/sell-car/express วิธีการขายรถในแบบยุคใหม่ ง่าย สะดวก รวดเร็ว ได้ราคา อีกทั้งยังลงขายได้ “ฟรี!” พร้อมรับเงินสดกลับบ้านทันที ภายใน 24 ชั่วโมง!

Carro Automall / คาร์โร ออโต้มอลล์

แต่ถ้าหากช่วงนี้ใครอยากเปลี่ยนรถคันใหม่ มาใช้แทนที่รถคันเดิม CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ พร้อมตอบโจทย์คุณด้วยคอนเซปต์ “click.buy.drive.” คุณสามารถจองรถออนไลน์ ได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น!

รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check มากกว่า 160 จุด และยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” ให้คุณเลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา พร้อมรับประกันคุณภาพรถนานถึง 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร! อีกทั้งยังการันตีความพึงพอใจ คืนเงินได้ภายใน 5 วันอีกด้วย! เรามีรถให้คุณเลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ CARRO Automall สิ!

หรือถ้าหากสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall Official โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall ครับ

Gasohol-91-Phased-Out-In-Thailand

กระทรวงพลังงาน เตรียมผลักดันการใช้แก๊สโซฮอล์ E20 ให้เป็นน้ำมันเบนซินพื้นฐานของประเทศ เพื่อช่วยยกระดับราคามันสำปะหลังและอ้อย คาดเริ่มประกาศใช้ E20 เป็นน้ำมันเบนซินหลัก และยกเลิกผลิตแก๊สโซฮอล์ 91 ในเดือนมิถุนายนนี้ ก่อนจะยกเลิกจำหน่ายในวัยที่ 1 กันยายน 2563

เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2563 นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ได้เร่งรัดให้กรมธุรกิจพลังงาน เตรียมพร้อมที่จะให้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 เป็นน้ำมันพื้นฐานกลุ่มเบนซิน ได้ภายในมิถุนายนนี้ เพื่อยกระดับราคามันสำปะหลังและอ้อย ที่ปัจจุบันมีการนำมาใช้ผลิตเป็นเอทานอลคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 27 ของการผลิตเอทานอลทั้งหมด หลังจากก่อนหน้านี้ประกาศให้ดีเซล B10 เป็นน้ำมันดีเซลพื้นฐานเมื่อ 1 มกราคม 2563 เพื่อสนับสนุนราคาปาล์ม

ทั้งนี้ กรมธุรกิจพลังงานได้หารือกับน้ำมันของเอกชน เบื้องต้นสรุปที่จะกำหนดให้โรงกลั่นน้ำมันเลิกการผลิตน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 ตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2563 ก่อนจะยกเลิกการจำหน่ายหน้าปั๊มน้ำมัน มีผลภายในวันที่ 1 กันยายน 2563 เพื่อผลักดันให้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 เป็นน้ำมันเบนซินฐานของประเทศ

Gasohol-91-Phased-Out-In-Thailand

โดย น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 คือ น้ำมันเชื้อเพลิงที่มาจากน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่ว มาผสมกับเอทานอล หรือเอทิแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 99.5% ในอัตราส่วน 10 % จึงได้ออกมาเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอลออกเทน 91 และยังคงคุณสมบัติในการใช้งานกับเครื่องยนต์ เช่นเดียวกับน้ำมันเบนซินออกเทน 91

นับตั้งแต่ภาครัฐ ประกาศยกเลิกน้ำมันเบนซิน 91 ไปในปี 2556 มาจนถึงน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 ยกเลิกในปี 2563 แล้ว รถเก่า รถมือสองของใครหลายๆ คน ที่ไม่ได้รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 จะมีปัญหาหรือไม่? ในการใช้งาน

มาดูกันว่า 3 ทางออกของรถเก่า ต้องทำอย่างไรกันบ้าง

Gasohol-91-Phased-Out-In-Thailand

1. เปลี่ยนชนิดน้ำมัน เป็นแก๊สโซฮอล์ 95 หรือจูนเครื่องยนต์ให้รองรับ E20/E85

หากน้ำมันรถคุณเป็นรถรุ่นเก่า (หลังปี 1995 ขึ้นไป หรือเครื่องยนต์หัวฉีด) MR.CARRO ขอแนะนำให้รถคุณใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ทดแทน เนื่องจากยังคงมีการจำหน่ายตามปกติ และมีราคาที่สูงกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 เพียงนิดเดียว แถมให้ประสิทธิภาพในการทำงานดีขึ้นด้วยซ้ำไป เนื่องจากมีออคเทนที่มากกว่า

น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 คือ น้ำมันเชื้อเพลิงที่มาจากน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่ว มาผสมกับเอทานอล หรือเอทิแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 99.5% ในอัตราส่วน 10 % เพื่อทดแทนสาร MTBE (Methyl Tertiary Butyl Ether) จึงได้ออกมาเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล ออกเทน 95 และยังคงคุณสมบัติในการใช้งานกับเครื่องยนต์ เช่นเดียวกับน้ำมันเบนซินออกเทน 95

Gasohol-91-Phased-Out-In-Thailand

บางคันอาจจะต้องการความประหยัด ก็สามารถไปติดกล่องจูนเครื่องยนต์ ให้สามารถรองรับ น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 หรือ E85 ได้ การติดกล่องก็เพื่อจ่ายน้ำมันให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งแก๊สโซฮอล์ E85 ก็เป็นราคาน้ำมันที่ถูกที่สุดในเวลานี้ (15.29 บาท ณ วันที่ 20 มีนาคม 2563) ช่วยให้สามารถประหยัดเงินได้มาก

แต่ก็แลกกับการสิ้นเปลืองที่มากขึ้น และท่อน้ำมันที่เสื่อมสภาพไวขึ้นด้วย เพราะแอลกฮอลล์ สามารถกัดซึมเข้ารอยปริแตกของท่อน้ำมันได้มากกว่า และต้องเปลี่ยนหัวฉีดใหม่เพื่อลดการอุดตันอีกด้วย

Gasohol-91-Phased-Out-In-Thailand

2. ติดแก๊ส LPG

การติดแก๊ส LPG ในช่วงที่ราคาน้ำมันลดลงฮวบๆ แบบนี้ หลายคนอาจจะคิดว่าเพื้ยนหรือเปล่า? ติดแก๊สแล้วเวลาขายต่อ คนมองว่ารถต้องใช้งานเยอะแน่ๆ ราคาตก เครื่องยนต์ร้อนมากกว่าปกติ ต้องดูแลระบบแก๊ส หม้อต้ม เครื่องยนต์ ต้องตั้งวาล์ว เปลี่ยนซีลวาล์ว แหวนลูกสูบ ฯลฯ เร็วกว่ารถทั่วไป ต้องถ่ายน้ำมันเครื่องไวขึ้น แถวกลัวรถไฟไหม้ด้วย

แต่ที่จริงแล้ว การติดแก๊สก็มีข้อดีอยู่หลายอย่างเช่นกัน เช่น ราคาที่ถูกกว่าน้ำมันมาก (คุณคิดหรือ ว่าราคาน้ำมันจะลงต่ำแบบนี้ตลอดไป) รวมถึงให้ออคเทนเครื่องยนต์ที่มากกว่า (ประมาณออคเทน 105) ทำให้การเผาไหม้ที่สมบูรณ์กว่า

ซึ่งมันจะคุ้มค่ามาก ถ้าคุณเป็นคนที่ใช้รถเยอะๆ เมื่อหักลบรายจ่ายแล้ว การติดแก๊สรถยนต์ อาจทำให้คุณเหลือเงินส่วนต่างไว้ดูแลเครื่องยนต์อีกเยอะเลย ยังไงก็คุ้ม

Gasohol-91-Phased-Out-In-Thailand

3. เปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่

สำหรับรถยนต์รุ่นที่เก่ามากๆ จนน้ำมันไม่รองรับการใช้งานของเครื่องยนต์สักอย่าง อีกทั้งถังน้ำมันยังเป็นเหล็กอีก การเปลี่ยนเครื่องยนต์ก็ดูจะเป็นทางออกที่ดี ของคนที่ไม่ยึดกับกับการ “เน้นเดิมๆ” นัก หรือเครื่องยนต์ที่หาอะไหล่เริ่มยาก กำลังตก ถังน้ำมันแบบเหล็ก ไม่รองรับกับการเติมแก๊สโซฮอล์

เพราะเครื่องยนต์รถรุ่นใหม่ แม้ว่าจะเป็นของเก่าเซียงกงก็ตาม แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นเครื่องยนต์ที่ใช้หัวฉีดในการจ่ายน้ำมัน มากกว่าเครื่องยนต์แบบเก่าที่ใช้ระบบคาร์บูเรเตอร์จ่าน้ำมัน ที่ต้องหาคนจูนเก่งๆ เพื่อให้มีประสิทธิภาพ และก็ให้กำลังเครื่องยนต์ กับการดูแลรักษาที่ง่ายกว่าเครื่องยนต์แบบเก่าๆ

ส่วนใครที่อยากขายรถเก่า เพื่อไปซื้อรถปีใหม่ขึ้น ที่รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 หรือมีเพื่อนฝูงกำลังหาที่ขายรถอยู่ CARRO เรารับซื้อรถของคุณ สามารถเข้าไปเช็กราคา ตีราคาขายรถก่อนได้ โดยใส่ข้อมูลรถของคุณที่นี่เลย กับ CARRO Express > https://th.carro.co/sell-car/express หรือโทร. 02-508-8425

หรือใครจะ Inbox มาสอบถามก็ได้เช่นกัน ที่ Facebook CARRO Thailand หรือสะดวก Add Line ก็ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน