10-Super-Strong-Cars-For-Prime-Minister-And-President

ในโลกผุๆ ของเราใบนี้ มีประเทศอยู่ด้วยกันมากเกือบถึงสองร้อยประเทศ ซึ่งแต่ละประเทศก็มีลักษณะทางกายภาพ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ลักษณะประชากรที่แตกต่างกันไป บางประเทศ อาจเป็นเพียงแค่เกาะเล็กๆ แต่เป็นที่จับจ้องของคนทั่วโลก หรือบางประเทศ อาจไม่ใช่ประเทศที่พัฒนา แต่ผู้นำกลับมีความยิ่งใหญ่จนได้ใจคนทั้งโลก หรือจะเป็นจอมเผด็จการ ที่คนรังเกียจทั้งโลกก็มี

ด้วยความแตกต่างเหล่านี้ เมื่อผู้นำของประเทศนั้นๆ ต้องเดินทางไปปฏิบัติภารกิจต่างๆ หรือออกต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง อีกสิ่งหนึ่งที่ให้ความสะดวกสบาย และปกป้อง “ท่านผู้นำ” ให้พ้นภัยจากผู้ปองร้ายได้ตลอดเวลาการเดินทาง นั่นคือ “รถยนต์ประจำตำแหน่ง” นั่นเอง ซึ่งแต่ละประเทศ ต่างก็จัดหารถที่มีคุณสมบัติเป็น “ที่สุด” สำหรับคนสำคัญนี้

MR.CARRO ขอพาทุกท่านไปดูกันว่า 10 รถประจำตำแหน่งสุดแกร่ง ที่ผู้นำทั่วโลกใช้งานกันนั้น จะมีรุ่นอะไรที่น่าสนใจบ้าง …

Aung-San-Suu-Kyi-Myanmar-Cars

1. พม่า (หรือ เมียนมา)

สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า หรือ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา นับเป็นประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 40 ของโลก และใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ใน ASEAN เป็นเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดเราที่สุด และมีพรมแดนเชื่อมต่อกันยาวที่สุด อีกทั้งยังมีอะไรหลายสิ่งที่คล้ายกันด้วย เช่น พิธีกรรมทางศาสนา ประเพณี ลัทธิความเชื่อต่างๆ และทหาร เป็นต้น

หากพูดถึงผู้นำพม่าแล้ว ชาวโลกก็ต้องนึกถึงหญิงแกร่งผู้นี้เป็นอันดับหนึ่ง นั่นคือ อองซานซูจี (Aung San Suu Kyi) ที่ปรึกษาแห่งรัฐ (ตำแหน่งเทียบเท่ากับประธานาธิบดี – State Counsellor) และแกนนำพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) แม้ว่าตอนนี้เธอจะถูก พล.อ. มิน อ่อง ลาย ผู้บัญชาการทหารสูงสุด นำกองทัพเมียนมาทำรัฐประหาร และยึดอำนาจการปกครอง ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ก็ตาม

แม้ว่ารถประจำตำแหน่งของหญิงเหล็กอย่าง อองซานซูจี จะไม่แน่ชัดว่าใช้รถคันใดเป็นรถประจำตำแหน่งหลักๆ แต่รถที่เธอมีโอกาสได้นั่ง มักจะเป็นรถยนต์มือสองจากประเทศญี่ปุ่น อย่าง Toyota Mark II, Mitsubishi Pajero หรือ Toyota Land Cruiser เป็นต้น

Cadillac-One-Presidential-State-Car-USA

2. สหรัฐอเมริกา

ประเทศที่มักยกตัวเองเป็นเจ้าโลก เป็นตำรวจโลก เป็นผู้นำโลก รวมไปถึงประเทศที่เป็นบ้านของผู้คนหลายวัฒนธรรม และความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์ ประเพณี จนถูกนิยามให้เป็น Melting Pot ที่ทุกคนนึกถึงอย่าง สหรัฐอเมริกา ที่มีเนื้อที่ประเทศใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก

และเพิ่งได้ประธานาธิบดีคนใหม่ล่าสุดมาหมาดๆ นั่นคือ Joe Biden (โจ ไบเดน) ประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 46 ตัวแทนพรรคเดโมแครต

ส่วนรถประจำตำแหน่งของประธานาธิบดี (Presidential State Car) ของ USA แน่นอน ต้องเป็นรถยนต์ Cadillac One (คาดิแลค วัน) หรือ Limo One ที่ได้ฉายาอื่นๆ อีกว่า The Beast (อสูรร้าย), First Car และ Stagecoach

เผยโฉมเมื่อ 24 กันยายน 2018 และใช้งานตั้งแต่สมัยอดีตประธานาธิบดี Donald Trump (โดนัลด์ ทรัมป์) ซึ่งออกแบบมาเป็นพิเศษ จนดูเหมือนรถถังขนาดย่อมๆ เพราะใช้พื้นฐานของรถบรรทุก GMC TopKick ในเครือ GM นั่นเอง สนนราคาอยู่ที่ประมาณ 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือ 45 ล้านบาท)

ตัวรถมีน้ำหนักราวๆ 6.8 – 9.1 ตัน มาพร้อมกระจกกันกระสุนหนา 5 นิ้ว ภายในรถบรรจุอาวุธต่างๆ เช่น ปีนลูกซอง, แก๊สน้ำตา พร้อมถังออกซิเจน รวมถึงถุงเลือดที่มีกรุ๊ปเลือดตรงกับของประธานาธิบดี ยางรันแฟลต, ระบบปล่อยควันอำพราง, ระบบ Night Vision และถังน้ำมันหุ้มฉนวนกันระเบิดและไฟไหม้

ห้องโดยสารภายในบุวัสดุภายในหนาถึง 8 นิ้ว มีกระจกกั้นกลาง สามารถเปิด-ปิด ได้เฉพาะประธานาธิบดีเท่านั้น แบ่งส่วนแยกระหว่างคนนั่งด้านหลังและคนขับ ซึ่งคนที่จะขับรถคันนี้ ต้องเป็นสายลับฝึกฝนมาอย่างดีจากหน่วย CIA พร้อมระบบสื่อสารครบถ้วน ทั้งระบบ Navigator, โทรศัพท์ผ่านดาวเทียม สามารถเชื่อมต่อไปถึงรองประธานาธิบดี และเพนตากอน

Hongqi-L5-China

3. จีน

นี่ก็นับเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก เป็นประเทศคอมมิวนิสต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นประเทศที่มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก เป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก อีกทั้งยังมีพลเมืองเชื้อสายจีนกระจายไปอยู่ทั่วโลกอีก นั่นคือ จีน หรือ สาธารณรัฐประชาชนจีน นั่นเอง

ผู้นำสูงสุดของจีน นั่นคือ สีจิ้นผิง ที่ครองตำแหน่งทั้งประธานาธิบดี ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2013 ตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน และประธานคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลาง ที่ก้าวขึ้นมาเทียบชั้นประธานเหมา เจ๋อตุง ผู้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน ทีเดียว

และรถของผู้นำระดับนี้ ก็ต้องสมศักดิ์ศรีพญามังกร ด้วย Hongqi L5 ซึ่งผลิตโดย FAW Group หรือ First Automobile Works ผู้ผลิตยานยนต์ชั้นนำของจีนซึ่งเป็นรถยนต์ที่แพงที่สุดในจีน โดย หงฉี ในภาษาจีนกลางนั้นแปลว่า “ธงแดง” มีราคาสูงถึง 5 ล้านหยวน และยังคงความเป็นรถยนต์ที่ดีไซน์แบบย้อนยุคแบบรุ่นแรกที่ผลิตในปี 1958 ซึ่งได้แบบมาจากรถยนต์ของสหภาพโซเวียต และรถอเมริกันจากค่าย Chrysler (แบรนด์ Imperial)

ขุมพลังมีให้เลือกทั้งขนาด 4.0 ลิตร แบบ V8 Twin Turbo 381 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด และขนาด 6.0 ลิตร แบบ V12 ลิตร 408 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด

Toyota-Century-Japan

ภาพจาก Ethical & LifeHack

4. ญี่ปุ่น

มาถึงประเทศญี่ปุ่น ประเทศที่ได้ชื่อว่าคนไทยชอบไปเที่ยวมากที่สุดอีกแห่งในโลกใบนี้ มีวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจมากมาย รวมไปถึงเทคโนโลยีอันล้ำหน้า และแบรนด์ยี่ห้อรถดังๆ ทั้งหลาย ที่มีขายในบ้านเราไง

อีกทั้งยังมีนายกรัฐมนตรีมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก นับตั้งแต่ในยุคเมจิ มาจนถึงยุคเวะ มีมาแล้ว 62 คน ใน 96 คณะรัฐมนตรี ซึ่งคนปัจจุบันได้แก่ Yoshihide Suga (โยชิฮิเดะ ซูงะ) เป็นนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพรรคเสรีประชาธิปไตย ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนใหม่คนแรกในยุคเรวะ

และรถประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น แน่นอนว่าต้องเป็นรถญี่ปุ่น นั่นคือ Toyota Century (โตโยต้า เซ็นจูรี่) รุ่นล่าสุด แบบกันกระสุน และ Lexus LS600hL (เลกซัส แอลเอส) แบบกันกระสุน ซึ่ง Lexus ได้เริ่มนำมาใช้ตั้งแต่ในยุคที่ Shinzo Abe (ชินโซ อาเบะ) กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกรอบ ในปี 2015 ที่ผ่านมา

Mercedes-Benz-S600-Pullman-Guard-North-Korea

5. เกาหลีเหนือ

สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี ประเทศที่ชาวโลกมักพูดถึง (ในทางที่ไม่ดี) อยู่เสมอ และยังคงเป็นประเทศที่มีระบอบคอมมิวนิสต์ ขับเคลื่อนประเทศโดยพรรคแรงงานแห่งเกาหลี บูชาลัทธิจูเช่ (Juche) เน้นเศรษฐกิจแบบพึ่งพาตัวเอง แต่กลับมีการสถาปนาผู้นำประเทศแบบสืบทอดทางสายเลือด! (แปลกมั้ยล่ะ) ซึ่งคนปัจจุบัน คือ Kim Chong Un (คิมจองอึน) พร้อมกับลัทธิบูชาบุคคลตระกูลคิม และยังเป็นประเทศที่มีเสรีภาพของพลเมืองต่ำที่สุดในโลก

แม้ว่าเกาหลีเหนือจะยากจนอย่างแสนสาหัสเพียงใด บรรดาครอบครัวตระกูลคิมและผู้นำพรรคแรงงานแห่งเกาหลี ก็ต้องกินดีอยู่ดีไว้ก่อน ดูได้จากรสนิยมของท่านผู้นำเกาหลีเหนือ ตั้งแต่ประธานาธิบดี คิมอิลซุง ผู้เป็นปู่ของ คิมจองอึน ที่นิยมชมชอบรถเยอรมนีมาก

และรถประจำตำแหน่งของผู้นำสูงสุดคนปัจจุบัน ยังใช้ Mercedes-Benz S600 Pullman Guard (เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส-600 พูลแมน การ์ด) แบบกันกระสุนและกันระเบิด และ Maybach S62 (มายบัค เอส 62) ซึ่งบริษัท Daimler AG ผู้ผลิตรถ Mercedes-Benz ก็ยังงงเลยว่า ไม่ได้ทำธุรกิจใดๆ กับเกาหลีเหนือ แต่ซื้อมาใช้ได้อย่างไร!

Hyundai-Equus-Stretch-Edition-South-Korea

6. เกาหลีใต้

มาดูอีกหนึ่งฝั่งของเกาหลี ที่เป็นประชาธิปไตยจ๋าบ้าง อย่าง สาธารณรัฐเกาหลี หรือ เกาหลีใต้ ที่หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1948 คาบสมุทรเกาหลีถูกแบ่งเป็นสองส่วนโดยเส้นละติจูดที่ 38 องศาเหนือ (มักเรียกว่าเส้นขนาน 38) ได้สหรัฐอเมริกาเข้ามาดูแลเกาหลีใต้ พร้อมจัดการปกครองแบบประชาธิปไตย

ในส่วนของผู้นำประเทศ เกาหลีใต้นั้นมีการเปลี่ยนประธานาธิบดีอยู่หลายครั้ง แต่ประธานาธิบดีหลายคน ก็มักจะติดคุกด้วยข้อหาคอรัปชั่นอยู่เสนอ ซึ่งก็น่าแปลกมาก สวนทางกับการพัฒนาประเทศที่ล้ำยุคไปไกลมากๆ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม เทคโนโลยี รวมไปถึงในด้านภาพยนตร์ก็ตาม

สำหรับรถประจำจำแหน่งประธานาธิบดีเกาหลีใต้ตอนนี้ มีใช้อยู่ด้วยกันหลายคัน อาทิ Mercedes-Benz S600 Pullman Guard (เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส-600 พูลแมน การ์ด) แบบกันกระสุนและกันระเบิด, Hyundai Equus Stretch Edition (ฮุนได อีคุส สแทช เอดิชั่น) หรือ Genesis EQ900 (เจเนซิส อีคิว 900) และ Hyundai Nexo (ฮุนได เน็กซ์โซ) เป็นต้น

BMW-Series-7-Singapore

7. สิงคโปร์

ประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นเกาะเล็กๆ แต่กลับโดดเด่นที่สุดใน ASEAN ทั้งในความเป็นศูนย์กลางทางการเงิน ที่ก้าวขึ้นมาเป็น Top 3 ด้านการเงินระดับโลกในเวลาเพียง 50 ปี ไม่ว่าจะเป็นด้านการค้า การปกครอง และการท่องเที่ยว รวมถึงเป็นแหล่งรวมบริษัทสตาร์ทอัพเอาไว้มากมาย ซึ่ง CARRO ก็เป็นบริษัทสตาร์ทอัพที่เกิดในประเทศนี้

แม้ว่าสิงคโปร์ จะมีตำแหน่งประธานาธิบดีก็ตาม แต่อาจจะไม่ได้เด่นเท่านายกรัฐมาตรีของประเทศนี้ อย่าง Lee Hsien Loong (ลี เซียนลุง) ผู้เป็นลูกชายของผู้ก่องตั้งประเทศเล็กๆ แห่งนี้อย่าง Lee Kuan Yew (ลีกวนยู) ที่ใช้ความสามารถและความเด็ดขาด นำพาเกาะเล็กๆ ที่ไม่มีทรัพยากรอะไร เคยยากจนกว่าไทย น้ำกินก็ต้องซื้อจากประเทศเพื่อนบ้าน ให้มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ขึ้นมายืนอยู่แถวหน้าระดับโลกได้

รถประจำตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ มีด้วยกันหลายคัน อาทิเช่น Lexus LS (เลกซัส แอลเอส) หรือ BMW Series-7 (บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7) รุ่น 750Li เป็นต้น

Jaguar-XJ-LWB-Sentinel-UK

8. อังกฤษ

ประเทศอังกฤษ หรือ สหราชอาณาจักร ในอดีตขึ้นชื่อว่าเป็นมหาอำนาจอันยิ่งใหญ่ เป็นเจ้าอาณานิคมที่ปกครองดินแดนในทวีปอเมริกาเหนือ แคริบเบียน แอฟริกา ออสเตรเลีย โอเชียเนีย และเอเชียหลากหลายพื้นที่ จนได้ชื่อว่าเป็นจักรวรรดิที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน ป็นผลให้มรดกทางการเมือง กฎหมาย ภาษา และวัฒนธรรมของอังกฤษ แผ่ขยายไปในทั่วโลกในเวลาต่อมา

ในปัจจุบัน อังกฤษ มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข โดยสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2เป็นพระมหากษัตริย์ และมี Boris Johnson (บอริส จอห์นสัน) หัวหน้าพรรคอนุรักษนิยม เป็นนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ปี 2019

รถประจำตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ในปัจจุบันใช้ Jaguar XJ LWB Sentinel (จากัวร์ เอ็กซ์เจ เซนติเนล) แบบกันกระสุนและกันระเบิด เป็นต้น

Audi-A8-L-Security-Germany

9. เยอรมนี

อีกหนึ่งประเทศผู้นำหลายๆ ด้านในยุโรป อย่าง สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ที่เป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในสหภาพยุโรป เป็นประเทศผู้นำด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ ด้านนวัตกรรม เทคโนโลยี หรือเศรษฐกิจ เป็นต้น และเป็นประเทศที่คนไทยพูดถึงกันอย่างมากอีกด้วย (อยากรู้ ไปหาข่าวอ่านกันเอาเอง)

นายกรัฐมนตรีของประเทศนี้ ก็ได้ชื่อว่าเป็นหญิงเหล็กอีกคนหนึ่ง สำหรับ Angela Merkel (อังเกลา แมร์เคิล) ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเยอรมนีตั้งแต่ปี 2005 เป็นผู้นำของพรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียนตั้งแต่ปี 2000 ถึง 2018 เกิดในประเทศเยอรมนีตะวันตก แต่ไปโตในประเทศเยอรมนีตะวันออก จบปริญญาเอกปรัชญาสาขาควอนตัมเคมี และทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์จนถึงปี 1989 ก่อนจะเข้าสู่เส้นทางการเมือง

ด้านชีวิตส่วนตัวของหญิงเหล็กผู้นี้ เธอเป็นคนติดดิน แม้แต่บ้านพักก็ยังอยู่ในอพาร์ทเมนท์ของสามี แทนที่จะพำนักในอาคารสำนักนายกรัฐมนตรี ส่วนรถประจำตำแหน่ง ในปัจจุบันใช้ Audi A8 L Security (ออดี้ เอ 8 แอล ซิเคียวริตี้) แบบกันกระสุนและกันระเบิดมือ บนน้ำหนักตัวรถเกือบ 4 ตัน

Aurus-Senat-Russia

10. รัสเซีย

Soviet Union (สหภาพโซเวียต) จากประเทศที่ได้ชื่อว่า เป็นประเทศคอมมิวนิสต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมี สหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซีย เป็นสาธารณรัฐที่ใหญ่ที่สุด มีประชากรมากที่สุด และมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจสูงสุดในอดีตสหภาพโซเวียต

ภายหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ประเทศในเครือได้ประกาศเอกราช ยกเลิกระบอบคอมมิวนิสต์ แตกออกเป็นประเทศย่อยๆ มากถึง 15 ประเทศ ซึ่งรัสเซียก็เป็นหนึ่งในนั้น และเปลี่ยนชื่อเป็น สหพันธรัฐรัสเซีย จวบจนปัจจุบัน

ด้านประธานาธิบดี Vladimir Putin (วลาดิเมียร์ ปูติน) ผู้ที่เคยควบทั้งตำแหน่งประธานาธิบดี และนายกรัฐมนตรีของรัสเซีย นับตั้งแต่ปี 1999 ขยับไปเป็นประธานาธิบดี ปี 2000 – 2008 แล้วก็กลับไปเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ปี 2008 – 2012 ก่อนจะกลับไปเป็นประธานาธิบดีอีก ปี 2012 – ปัจจุบัน เปรียบเสมือน “พระเจ้าซาร์” ของรัสเซียสมัยใหม่ ซึ่งยืนอยู่เหนือการเมืองแบบพรรค

ด้านรถประจำตำแหน่งของประธานาธิบดีรัสเซีย ในปัจจุบันใช้ Aurus Senat (ออรุส เซนัต) รถสุดหรูที่ผลิตในรัสเซีย นับเป็นการยึดถือธรรมเนียมปฏิบัติมาตั้งแต่ยุคสหภาพโซเวียต ที่ผู้นำจะใช้รถที่ผลิตในประเทศในงานพิธีการต่างๆ ผลิตโดยสถาบันวิจัยของรัสเซียที่รู้จักกันในชื่อ NAMI และเป็นหุ้นส่วนกับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ Sollers ของรัสเซีย

ซึ่งเป็นรถกันกระสุนและกันระเบิด ใช้เครื่องยนต์แบบ Hybrid ขนาด 4.4 ลิตร แบบ V8 Twin Turbo จาก Porsche 568 แรงม้า และแบบ V12 ขนาด 6.6 ลิตร 848 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด

หากช่วงนี้ใครต้องการซื้อรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพได้มาตรฐาน รับประกันพร้อมโอนทุกคัน หรือหารถมือสองรุ่นที่ต้องการ สามารถเข้ามาดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ CARRO Automall > https://th.carro.co/buy-car หรือโทร. 02-508-8690 หรือจะ Inbox มาสอบถามก็ได้เช่นกัน ที่ Facebook CARRO Automall – รถบ้านมือสอง ถ้าสะดวก Add Line ก็ที่ @carroautomall

ส่วนใครที่อยากขายรถ หรือมีเพื่อนฝูงกำลังหาที่ขายรถอยู่ CARRO เรารับซื้อรถของคุณ สามารถเข้าไปเช็กราคา ตีราคาขายรถก่อนได้ โดยใส่ข้อมูลรถของคุณที่นี่เลย กับ CARRO Express > https://th.carro.co/sell-car/express หรือโทร. 02-508-8425

หรือใครจะ Inbox มาสอบถามก็ได้เช่นกัน ที่ Facebook CARRO Thailand หรือสะดวก Add Line ก็ที่ @Carrothai หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

10-EV-Cars-Built-In-USA-Joe-Biden

Joe Biden (โจ ไบเดน) ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 46 ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 20 มกราคม ก็เริ่มทำงานเพื่อประเทศชาติทันที เริ่มตั้งแต่การสะสางปัญหา ที่อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่แล้วอย่าง Donald Trump (โดนัลด์ ทรัมป์) สร้างเอาไว้กับชาวโลก รวมถึงเดินหน้าทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ล่วงหน้าทันที ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ Green Economy หรือเศรษฐกิจพลังงานสะอาด

เมื่อวันที่ 25 มกราคมที่ผ่าน โจ ไบเดน ได้ประกาศต่อสื่อว่า มีแพลนที่จะเปลี่ยนรถยนต์ของหน่วยงานรัฐบาลกลางทั้งหมด เป็นรถยนต์ไฟฟ้า ที่ผลิตในสหรัฐอเมริกาด้วยแรงงานของคนอเมริกันเท่านั้น นี่ถือเป็นนโยบายใหม่ที่อยู่ภายใต้แผน Buy American ที่เป็นคำสั่งของประธานาธิบดีโดยตรง (Executive Order) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ

 

การประกาศของไบเดนในครั้งนี้ ทาง The Verge สื่อของสหรัฐฯ ถือว่าเป็นข่าวดีของค่ายรถยนต์ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ อย่าง Tesla, Rivian และ Lordstown รวมถึงค่ายรถยักษ์ใหญ่อย่าง Ford และ General Motors (GM) ที่กำลังลงทุนพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าในตอนนี้

เรามาดูกันว่า 10 รถยนต์ไฟฟ้าผลิตใน USA ที่คนอเมริกัน และ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถูกใจ จะมีรุ่นไหนบ้าง …..

Chevrolet-Bolt-EV-2021

1. Chevrolet Bolt EV

Chevrolet Bolt EV (เชฟโรเลต โบลท์ อีวี) รถแฮทช์แบค Sub-Compact พลังงานไฟฟ้ารุ่นแรกของ Chevrolet ที่พัฒนามาจากรถต้นแบบในปี 2015 ก่อนจะขายจริงในปี 2016

ก่อนจะปรับโฉมเนอร์เชนจ์ในปีที่ผ่านมา ในราคาที่เป็นเจ้าของได้ที่ 37,495 ดอลล่าร์สหรัฐฯ ในเริ่มต้นอย่างรุ่น LT ซึ่งทางรัฐบาลสหรัฐฯ ช่วยอุดหนุนเพิ่มเติม ราคาของรถจึงลงมาอยู่ที่ 30,000 ดอลล่าร์สหรัฐฯ และ 41,895 ดอลล่าร์สหรัฐฯ ในรุ่น Top อย่าง Premier

สำหรับรุ่นไมเนอร์เชนจ์นี้ ชุดแบตเตอรี่ ทาง LG Chem ซึ่งเป็นผู้ผลิตให้ GM ได้เปลี่ยนส่วนผสมทางเคมีในเซลล์แบตเตอรี่ให้ความหนาแน่นของประจุไฟฟ้ามากขึ้น จึงเพิ่มระยะทางการขับได้อีก 10% เป็น 417 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง หรือระยะทางเพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 34 กม. ซึ่งตัวเลขนี้คิดจากใช้งานจริงตามมาตรฐาน EPA ส่วนการชาร์จปกติ ใช้เวลาในการชาร์จประมาณ 9 ชั่วโมง แต่ถ้าชาร์จผ่านสถานีชาร์จ DC Fast ใช้เวลาชาร์จ 30 นาที สามารถให้ระยะทางวิ่งได้มากถึง 145 กิโลเมตร

สำหรับ Chevrolet Bolt EV ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 200 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 266 นิวตัน-เมตร ทำอัตราเร่ง 0-60 กม./ชม. ได้ในเวลา 7.9 วินาที

Tesla-Model-3

2. Tesla Model 3

Tesla Model 3 (เทสลา โมเดล 3) รถยนต์ไฟฟ้าที่ขายดีที่สุดในโลก แบบ Compact Car รุ่นปรับปรุงใหม่ในปี 2021 เพิ่มสมรรถนะโดยรวมของตัวรถ กับระยะทางวิ่งตั้งแต่ 20 – 50 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้งในแต่ละรุ่นย่อย ทั้งรุ่น Standard Range Plus, Long Range และ Performance

ขุมพลัง มีให้เลือกทั้งแบบ Single Motor และ Dual Motor ขับเคลื่อนล้อหลัง และแบบ AWD ในรุ่น Dual Motor มอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 283 แรงม้า พร้อมแบตเตอรี่ที่มีให้เลือกทั้งแบบขนาด 54 kWh (รุ่น Standard Range Plus), 62 kWh (รุ่น Performance) และ 75 kWh (รุ่น Long Range)

ให้อัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. ใน 5.3 วินาที (Single Motor) และ 4.4 วินาที (Dual Motor) ทำความเร็วได้สูงสุด 225 กม./ชม. (Single Motor) และ 233 กม./ชม. (Dual Motor) ให้ระยะทางวิ่ง 423 กิโลเมตร (Single Motor), 569 กิโลเมตร (Dual Motor) (เพิ่มขึ้นจากเดิม 50 กิโลเมตร) และรุ่น Top สุด 507 กิโลเมตร (Dual Motor) (เพิ่มขึ้นจากเดิม 26 กิโลเมตร) ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (คำนวณตามมาตรฐาน EPA) โดยใช้เวลาชาร์จประมาณ 6 – 6.5 ชั่วโมง

Tesla-Model-S-Plaid-2021

3. Tesla Model S Plaid

Tesla Model S (เทสล่า โมเดล เอส) เป็นรถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla ที่เปิดตัวมานานแล้วเหมือนกัน นับตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน 2555 แต่ก็มีการปรับปรุงอะไรมาโดยตลอด และล่าสุดทาง Elon Musk (อีลอน มัสก์) ได้ประกาศแล้วว่าจะสร้าง Tesla Model S Plaid รุ่นใหม่ และสามารถเล่นเกม Cyberpunk 2077 ในรถได้ด้วย ออกจำหน่ายในเดือนมีนาคมนี้

ขุมพลังของ Tesla Model S Plaid บอกเลยว่าไม่ธรรมดา! มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 100 kWh กับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว บนระบบขับเคลื่อนแบบ All-Wheel Drive ให้กำลังสูงสุด 1,020 แรงม้า ให้อัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. ได้น้อยกว่า 2 วินาที! (ส่วน 0-100 กม./ชม. อยู่ที่ 2.1 วินาที) ทำความเร็วได้สูงสุด 320 กม./ชม. ถือว่าเร็วกว่า Supercar หลายรุ่นทีเดียว! สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทาง 627 – 836 กิโลเมตร

ราคาของ Tesla Model S Long Range อยู่ที่ 79,990 ดอลลาร์สหรัฐฯ, Model S Plaid อยู่ที่ 119,990 ดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วน Model S Plaid+ อยู่ที่ 139,990 ดอลลาร์สหรัฐฯ

Tesla-Model-X-2021

4. Tesla Model X

Tesla Model X (เทสล่า โมเดล เอ็กซ์) รถ SUV หรูพลังงานไฟฟ้า แม้ว่าจะออกมาตั้งแต่ปี 2015 แล้ว แต่ก็ยังมีการปรับปรุงเล็กๆ น้อยๆ อยู่ตลอด ตัวรถออกแบบโดย Franz von Holzhausen

ขุมพลังเป็นแบบ Dual Motor ระบบขับเคลื่อนแบบ AWD ในรุ่น Long Range มอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 335 แรงม้า ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 3.9 วินาที ทำความเร็วได้สูงสุด 250 กม./ชม. และยังมีรุ่น Plaid ที่มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว ให้กำลังสูงถึง 1,020 แรงม้า และอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 2.6 วินาที ทำความเร็วได้สูงสุด 262 กม./ชม. อีกด้วย!

มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 100 kWh ให้ระยะทางวิ่ง 547 กิโลเมตร (Plaid) และ 580 กิโลเมตร (Long Range) ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง

Tesla-Model-Y-2021

5. Tesla Model Y

Tesla Model Y (เทสล่า โมเดล วาย) เป็นรถที่เข้ามาเติมเต็มความหมายของคำว่า S E X Y ตามแบบฉบับของ Elon Musk (แม้ว่ารุ่น E จะถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Model 3 ไปก็ตาม) จัดให้เป็นรถในกลุ่ม CUV (Crossover Utility Vehicle) หรือ Crossover SUV ขนาด Compact 5+2 ที่นั่ง แบบเดียวกับ Tesla Model 3 แต่ยกสูงกว่า มีขอบซุ้มล้อสีดำ และเพิ่มออพชั่นเป็นเบาะแถว 3 ให้อีก 2 ที่นั่ง ในราคา 41,990 – 59,990 ดอลล่าร์สหรัฐฯ

ขุมพลัง มีให้เลือกทั้งแบบ Single Motor และ Dual Motor ขับเคลื่อนล้อหลัง และแบบ AWD ในรุ่น Dual Motor มอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 283 แรงม้า พร้อมแบตเตอรี่ที่มีให้เลือกทั้งแบบขนาด 54 kWh (รุ่น Standard Range Plus), 62 kWh (รุ่น Performance) และ 75 kWh (รุ่น Long Range)

ให้อัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. ใน 5.3 วินาที (Single Motor), 4.8 วินาที (Dual Motor – Long Range) และ 3.5 วินาที (Dual Motor – Perfomance) ทำความเร็วได้สูงสุด 193 – 209 กม./ชม. (Single Motor) และ 217 – 241 กม./ชม. (Dual Motor) ให้ระยะทางวิ่ง 370 – 482 กิโลเมตร (Single Motor), 450 – 482 กิโลเมตร (Dual Motor) ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (คำนวณตามมาตรฐาน EPA) โดยใช้เวลาชาร์จประมาณ 6 – 6.5 ชั่วโมง

Ford-Mustang-Mach-E-2021

6. Ford Mustang Mach E

Ford Mustang Mach-E (ฟอร์ด มัสแตง มาร์ช อี) รถ Crossover SUV ขนาด Compact ใช้พลังงานไฟฟ้า ที่หวนนำชื่อรุ่น และชื่อเสียงของรถสปอร์ตรุ่นดังของ Ford อย่าง Mustang (มัสแตง) มาใช้ในรถยนต์ไฟฟ้า แม้ว่าแฟนๆ มัสแตงพันธุ์แท้ อาจไม่ถูกใจสิ่งนี้ก็ตาม แต่จากยอดจองหลายหมื่นคัน ก็สามารถพิสูจน์ได้เหมือนกันว่า ชื่อ Mustang นี้มีผลจริงๆ … ในราคา 42,895 – 60,500 ดอลล่าร์สหรัฐฯ

การออกแบบภายนอก ยังคงเอกลักษณ์ครบถ้วนแบบใน Mustang รุ่นต้นตำหรับ โดยเฉพาะชุดไฟท้ายทรงตั้ง 3 ช่อง ตัวรถพัฒนาขึ้นบนแพลทฟอร์มใหม่ GE2 (Global Electrified 2) ส่วนภายในห้องโดยสาร ดูล่ำยุค แต่จอ Tablet ขนาด 15.5 นิ้ว บริเวณคอนโซลกลาง ดูใหญ่จนน่ารำคาญไปหน่อย แต่ก็ง่ายต่อการใช้งาน

ขุมพลัง มีทั้งรุ่นขับหลัง และรุ่นขับสี่ล้อ All Wheel Drive ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเริ่มต้นในรุ่น Select ให้กำลังสูงสุด 255 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 320 นิวตัน-เมตร ชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ให้ระยะทางวิ่งได้ 370 – 388 กิโลเมตร

ในรุ่น Premium ให้กำลังสูงสุด 281 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 320 นิวตัน-เมตร ชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ให้ระยะทางวิ่งได้ 483 กิโลเมตร, ในรุ่น Premium AWD ให้กำลังสูงสุด 333 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 563 นิวตัน-เมตร ชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ให้ระยะทางวิ่งได้ 435 กิโลเมตร

และรุ่น Top สุด อย่าง Mach E GT ให้กำลังสูงสุด 459 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 828 นิวตัน-เมตร ชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ให้ระยะทางวิ่งได้ 378 กิโลเมตร กับอัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. ที่ 3.8 วินาที!

ติดตั้งแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนความจุ 75.7 kWh, 98.8 kWh รองรับการชาร์จด่วนจนถึงระดับ 80% ได้ในเวลา 38 นาที

Nissan-Leaf-USA-2021

7. Nissan Leaf

Nissan Leaf (นิสสัน ลีฟ) “Simply Amazing” เป็นรถยนต์ไฟฟ้าขายดีที่สุดรุ่นหนึ่งของโลก ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า “100%” และมีอัตราการปล่อยมลพิษเป็น “0” และถือเป็นรถค่ายญี่ปุ่นเจ้าแรก ที่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจำหน่ายอย่างเป็นทางการในสหรัฐฯ ซึ่งผลิตในที่โรงงานในเมือง Smyrna รัฐ Tennessee มีราคาอยู่ที่ 31,620 – 43,920 ดอลล่าร์สหรัฐฯ

Nissan Leaf ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 320 นิวตัน-เมตร สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทาง 239 กิโลเมตร ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และรุ่นพลังแรง Plus ให้กำลังสูงสุด 214 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 338 นิวตัน-เมตร สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทาง 346 – 363 กิโลเมตร

ติดตั้งแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนความจุ 40 kWh สามารถชาร์จด้วยกำลังไฟขนาด 3.6 kW ได้ในเวลา 12 ชั่วโมง และกำลังไฟขนาด 6.6 kW ในเวลา 6 ชั่วโมง รองรับการชาร์จด่วนจนถึงระดับ 80% ได้ในเวลา 40 นาที และขนาดความจุ 62 kWh เป็นต้น

GMC-Hummer-EV-2022

8. GMC Hummer EV

GMC Hummer EV (จีเอ็มซี ฮัมเมอร์ อีวี) การกลับมาครั้งใหม่ สร้างเสียงฮือฮาสำหรับคนชอบรถ Off-Road ได้พอสมควร แม้ว่าจะมาในฐานะแบรนด์ย่อยของ GMC ก็ตาม ตัวรถยังคงเหมือนรุ่นดั้งเดิม เรียบง่ายแต่ทันสมัย ส่วนห้องโดยสารภายใน ออกแบบได้ล้ำยุค แต่ก็ยังคงความเหลี่ยมอันเป็นเอกลัษณ์ของ Hummer ไว้ครบถ้วน โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 112,595 ดอลลาร์สหรัฐฯ

สำหรับจุดเด่นอย่างหนึ่งของรถรุ่นนี้ คือระบบ Hummer’s UltraVision ติดตั้งกล้องไว้รอบคันรถถึง 18 มุมมอง มีตั้งแต่ “ตัวตรวจจับเสมือน” ไปจนถึงกล้องใต้ท้องเครื่องยนต์ เพื่อช่วยหลบหลีกสิ่งกีดขวาง

ขุมพลังใช้มอเตอร์ไฟฟ้าสามตัว ให้กำลังรวมประมาณ 1,000 แรงม้า และแรงบิดประมาณ 15,591 นิวตัน-เมตร ขับเคลื่อนสี่ล้อ ส่วนอัตราเร่งจาก 0-96 กม./ชม. ในเวลาประมาณ 3 วินาที เมื่อใช้ระบบ Launch Control “Watts to Freedom” สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทาง 563 กิโลเมตร เมื่อชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง

Rivian-R1T-2021

9. Rivian R1T

Rivian R1T (ริเวียน อาร์ 1 ที) จัดเป็นค่ายรถยนต์ไฟฟ้าน้องใหม่ที่เพิ่งก่อตั้งได้ไม่นาน จัดเป็นรถกระบะพลังงานไฟฟ้าคันแรกของโลก ที่ได้รับการพูดถึงมากสุดในอเมริกาทีเดียว ตัวรถภายนอกดูเรียบง่าย แต่โดดเด่นด้วยชุดไฟหน้าแบบ Stadium ซึ่งเป็น Design Language ของริเวียนต่อไปทุกรุ่นในอนาคต ซึ่ง Rivian R1T มีแพลนจำหน่ายอย่างเป็นทางการช่วงกลางปีนี้ ในราคาเริ่มต้น 75,000 ดอลล่าร์สหรัฐฯ

ส่วนห้องโดยสารภายใน คงความทันสมัยและแฝงความคลาสสิกอย่างไม้เข้าไปด้วย เน้นความทนทาน ทำความสะอาดง่าย มาตรวัดบริเวณหน้าปัดขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว และจอบอกข้อมูลรถยนต์ขนาด 15.6 นิ้ว ใหญ่สะใจ

ขุมพลังใช้มอเตอร์ไฟฟ้าสี่ตัว ขับเคลื่อนแบบ All-Wheel Drive ให้กำลังตัวละ 197 แรงม้า X 4 พร้อมแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนความจุ 105 kWh ให้กำลังสูงสุด 402 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 699 นิวตัน-เมตร สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทาง 370 กิโลเมตร เมื่อชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง

และแบตเตอรี่ความจุ 135 kWh ให้กำลังสูงสุด 753 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 1398 นิวตัน-เมตร สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทาง 482 กิโลเมตร เมื่อชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง กับรุ่น Top สุด แบตเตอรี่ความจุ 180 kWh จำกัดกำลังสูงสุดไว้ที่ 700 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 1398 นิวตัน-เมตร สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทาง 643 กิโลเมตร เมื่อชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ทุกรุ่นจำกัดความเร็วไว้ที่ 201 กม./ชม.

Lordstown-Endurance-2021

10. Lordstown Endurance

Lordstown Endurance (ลอร์ดทาวน์ เอ็นดูรานซ์) จากบริษัทสตาร์ทอัพหน้าใหม่ Lordstown Motors ที่ทำรถกระบะไฟฟ้าออกมาขาย หลังจากที่ระดมทุนมาได้มากพอสมควร ที่มาของชื่อแบรนด์ คือใช้โรงงานเก่าของ GM ในเมืองลอร์ดสทาวน์ รัฐ Ohio เป็นฐานการผลิต

รุ่นนี้ระบบขับเคลื่อนที่อาจต่างไปจากรถยนต์ไฟฟ้าค่ายอื่นหน่อย เพราะติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าไว้ที่ล้อทั้ง 4 แบบ “In-Wheel Hub Motor” แทนการใช้มอเตอร์หมุนเพลา มีชิ้นส่วนน้อยลง บำรุงรักษาง่ายกว่า และยังคุมรถได้ดีขึ้นด้วย จากการใช้ระบบกระจายแรงบิดทั้ง 4 ล้อ

ตัวรถภายนอกดูเรียบง่าย เน้นความเปลี่ยมสัน แข็งแกร่ง มาในราคาเริ่มต้น 52,500 ดอลล่าร์สหรัฐฯ

ขุมพลังใช้มอเตอร์ไฟฟ้าสี่ตัว ขับเคลื่อนแบบ 4 Hub Electric Motors รวมกำลังได้สูงสุด 600 แรงม้า พร้อมแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนความจุ 109 kWh สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทาง 320 กิโลเมตร เมื่อชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ใช้เวลาในการชาร์จราว 10 ชั่วโมง องรับการชาร์จด่วนจนถึงระดับ 80% ได้ในเวลา 50 นาที – 1.50 ชั่วโมง และจำกัดความเร็วไว้ที่ 128 กม./ชม.

ส่วนถ้าใครอยากขายรถเพื่อนำเงินไปซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้ ง่ายๆ เพียงขายรถคันเก่ากับ CARRO Express ได้เงินไว! เร็ว! พร้อมปิดการขายได้ทันที แค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรืออยากตีราคารถก่อน สามารถ Inbox สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothai หรือคลิกที่นี่ —> เพิ่มเพื่อน

แหล่งที่มาบางส่วนจาก: