Carro-Tiresbid-Howto-Recap-Tires

สวัสดีครับ วันนี้คิมไทร์บิดกลับมาอีกครั้งครับ มีเพื่อนๆหลายคนถามคิมว่าถ้าเราปะยางแล้ว ยางรถของเราจะใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ 100% เหมือนเดิมไหม คิมต้องบอกว่าถ้าเราปะยางอย่างถูกวิธีการใช้งานจะกลับมา 100% แน่นอนครับ แต่ว่าก็มีหลายๆกรณีโดยคิมจะจำแนกไว้ตามนี้เลยครับ

เรามาจำแนกก่อนเลยครับ ว่าบริเวณไหนที่เราสามารถปะซ่อมได้ และปะซ่อมไม่ได้ บริเวณที่ปะซ่อมยางได้จะเป็นบริเวณหน้ายางครับบริเวณที่แข็งแรงที่สุดโดยเป็นบริเวณที่มีเข็มขัดรัดหน้ายางครับ ส่วนบริเวณที่ปะซ่อมได้แต่ปะซ่อมได้ยากก็จะเป็นบริเวณไหล่ยางที่เป็นส่วนลอยต่อระหว่างหน้ายางกับแก้มยาง ซึ่งบริเวณนี้ถ้าแผ่นปะสามารถติดได้เต็มแผ่นโดยไม่ไปแปะบริเวณที่ติดกับแก้มยางนั้นก็ยังสามารถปะได้อยู่ครับ เพราะบริเวณนี้ยังมีการขยับตัวที่เยอะและไม่มีโครงสร้างรองรับให้มีความแข็งแรงเหมือนเดิม และบริเวณที่ปะซ่อมไม่ได้แน่นอนก็คือบริเวณแก้มยางครับผม

ซึ่งเหตุผลที่ไม่สามารถปะซ่อมได้ ก็เพราะว่าบริเวณแก้มยางนั้นไม่มีโครงสร้างที่แข็งแรงประกอบ กับมีการยืดหดตัวตลอดเวลา ทำให้การปะนั้นจะปะไม่อยู่ และจะส่งผลให้แผลรั่วหรือรอยบาดนั้นกว้างขึ้นเรื่อยๆ ครับ

เรามาจำแนกต่อว่าวิธีการปะในบ้านเราปัจจุบันมีการซ่อมกี่แบบ ถ้าเพื่อนๆรู้จักกันก็จะมี 4 แบบหลักๆ แทงใยไหม ปะสตรีมร้อน ปะสตรีมเย็น ปะดอกเห็ด ซึ่งการปะแต่ละแบบก็จะมีข้อดีข้อไม่ดีแตกต่างกันไป เดี๋ยวคิมไทร์บิดจะอธิบายเป็นแต่ละอย่างเลยว่าข้อดีข้อเสียเป็นอย่างไรบ้าง

Howto-Recap-Tires

แทงใยไหมเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดครับ ไม่ต้องยางออกจากล้อแค่เอาใยไหมเสียบลงไปบริเวณที่รั่วแล้วปล่อยคาไว้ถือว่าจบ ข้อดี ก็คือรวดเร็ว ใช้ได้สำหรับรูรั่วเล็กๆ ข้อเสียคือ มีโอกาสเสี่ยงที่ปะไม่อยู่บ่อย มีโอกาสทำให้แผลหรือรูรั่วมีรูที่ใหญ่ขึ้น จึงเป็นวิธีที่เหมาะสำหรับชั่วคราวเท่านั้น

Howto-Recap-Tires

ปะสตรีมร้อนเป็นวิธีที่นิยมมากที่สุดในบ้านเราครับ ไปร้านไหนๆก็จะปะสตรีมร้อนให้เพราะว่าเป็นวิธีที่ปะได้อยู่ที่สุดเพราะการปะสตรีมร้อนจะทำให้ยางที่นำไปปะกับเนื้อยางเก่าติดกันแน่นที่สุด แต่ไม่ถึงกับเป็นยางชิ้นเดียวกันนะครับ แต่ข้อเสียก็ยังมีอยู่ครับเพราะว่ากรณีที่ปะสตรีมร้อนจะทำให้ยางบริเวณนั้นอาจมีโอกาสเสียหายได้หรือทำให้ใช้งานได้ไม่เต็มสมรรถนะ 100% ครับ

Howto-Recap-Tires

ปะสตรีมเย็น จะมีสองรูปแบบโดยเป็นการใช้แค่แผ่นปะกับการใช้วัสดุที่ชื่อว่าดอกเห็ด (การแปะแบบ PRP) ซึ่งการปะสตรีมเย็นในแบบแผ่นปะนั่นดีในแง่ของทำให้โครงยางไม่เสียครับ แต่ว่ารูด้านนอกที่ไม่ได้ปะนั่นเป็นข้อเสียของการเฉพาะแผ่นปะด้านในเพราะความชื้นจะเข้าไปในรูดังกล่าว ซึ่งส่งผลให้โครงยางนั้นเกิดสนิมและอาจทำให้ยางบวมได้ ส่วนการปะแบบดอกเห็ดหรือ PRP นั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุดเพราะว่าทำให้โครงยางนั่นไม่เสียหายและยังมีเดือยที่มาปิดบริเวณรูรั่วซึ่งทำให้ไม่มีความชื้นเข้าในโครงยางไม่ส่งผลเสียต่อยาง ซึ่งจะส่งผลให้ยางนั้นกลับมาใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ 100%

เพราะฉะนั้น บริเวณที่สามารถปะได้ กับ การปะที่ดีที่สุดนั่นมีส่วนสำคัญที่ทำให้ยางนั้นกลับมาใช้งานได้ 100% เหมือนเดิมครับ ปะยางบริเวณหน้ายาง และ ปะแบบดอกเห็ดนั้นยางกลับมาได้ 100% ประยางบริเวณไหล่ยางและปะแบบดอกเห็ดยางอาจกลับมาใช้ได้ 50-80% (ขึ้นอยู่กับความใกล้ของแก้มยาง หรือถ้าไม่อยากจะเปลี่ยนยางใหม่แล้วนำไปปะสตรีมร้อนอาจจะเป็นวิธีที่สุดที่ให้ยางใช้ได้ต่อแต่ว่าอาจมีโอกาสเสี่ยงในการที่ปะไม่อยู่หรือว่ายางบวมได้)

แถมให้อีกนิดครับสำหรับยางรันแฟลตนั้น จะสามารถปะซ่อมได้ครั้งเดียวเพราะว่ายางประเภทรันแฟลตนี้ นั้นต้องการความแข็งแรงของโครงยางมากที่สุด ถ้ามีการปะซ่อมบ่อยๆ โอกาสทำให้โครงยางรันแฟลตนั้นไม่อยู่ในสภาพใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งหากเกิดการยางระเบิดหรือรั่วโครงยางรันแฟลตอาจจะใช้งานไม่ได้ก็อาจเป็นได้ แต่ถ้าเป็นยางธรรมดาก็ไม่ควรปะซ่อมเกิน 3 แผล และเป็นแผลที่ต้องไปใกล้กัน

แถมสุดท้าย จริงๆแล้วรูรั่วนั้นก็มีผลต่อการใช้งาน ถ้ารูรั่วใหญ่เกินกว่า 6 มม. ก็จะส่งผลต่อความแข็งแรงของโครงยาง และ ถ้าใหญ่กว่ากว่า 1 เซนติเมตรก็ไม่แนะนำให้ปะซ่อม (ถึงแม้ปะซ่อมได้แต่ก็อาจทำให้ยางไม่แข็งแรงเหมือนเดิมมีโอกาสยางเสียหายได้ง่ายกว่าปกติ) เพราะก่อนที่จะปะซ่อมเราต้องประเมินก่อนว่ารูรั่วของเราเป็นไซส์ขนาดความกว้างเท่าไหร่ครับ หากเพื่อนๆมีข้อสงสัยเรื่องยางหรือต้องการคำปรึกษาเรื่องยางติดต่อเลย Line Official : @tiresbid และสามารถอ่านบทความรู้ไทร์บิดได้ที่ www.tiresbid.com หรือโทรเลย 090-986-8762 วันนี้ขอขอบคุณเพื่อนๆ มากครับ

Fix-Problem-Broken-Tire

ใครๆ ก็ไม่อยากได้ประสบการณ์ที่ขับรถแล้วยางแตก แน่ๆ เพราะอาจทำให้เกิดเหตุที่ร้ายแรงจนถึงกับชีวิตได้ แบบนี้เราจะรู้ได้ยังไง ว่ายางรถของเรากำลังจะแตก มาเช็กกันดีกว่า

Fix-Problem-Broken-Tire

ทำยังไง? ถ้ารถยางแตก

โดยปกติ ก่อนที่จะเกิดเหตุยางระเบิดนั้น มักจะมีสัญญาณเตือนก่อนเสมอ ลองสังเกตดูว่า ขณะขับรถอยู่นั้น รถเกิดอาการสั่นสะเทือน หรือพวงมาลัยมีอาการสั่นผิดปกติหรือไม่ การบังคับรถยากขึ้นไหม?

โดยเฉพาะขณะเลี้ยวรถ หรือขับเข้าโค้ง ทั้ง ๆ ที่รถไม่ได้มีปัญหาเรื่องถ่วงล้อ และศูนย์ล้อหน้าก็ปกติดี ไม่มีส่วนใดของรถที่ได้รับความเสียหาย เพราะอาการเช่นนี้เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่า ยางรถของคุณเริ่มบวมและพร้อมที่จะระเบิดแล้ว

ถ้าตอนนี้ รถของคุณมีลักษณะดังกล่าว เราแนะนำให้รีบตรวจเช็กสภาพยางรถยนต์ทันที

หรือถ้าจู่ ๆ รถยางเกิดระเบิดระหว่างที่ขับขี่ รถจะเริ่มแฉลบสะบัดไปมา ซึ่งทำให้ควบคุมรถได้ยาก ให้คุณใจเย็น รีบเรียกสติ มือสองข้าง จับพวงมาลัยให้มั่น เพื่อประคองรถไว้ ไม่ให้รถส่ายไปชนรถ หรือสิ่งของรอบข้าง

จากนั้นถอนคันเร่งออก และแตะเบรกเบาๆ (ห้ามแตะแรง) ให้รถค่อยๆ ลดความเร็วลง เปิดไฟฉุกเฉินเพื่อขอทาง และพยายามประคองรถให้จอดในที่ที่ปลอดภัย

โดยสิ่งที่คุณห้ามทำเลย เมื่อยางแตก คือ ห้ามใช้เบรกมือ เพราะจะทำให้รถหมุนคว้าง หรือถ้ารถเป็นเกียร์ธรรมดา อย่าเพิ่งใช้คลัชจนกว่ารถจะใกล้จอดแล้ว

Fix-Problem-Broken-Tire

แล้ว ยางแตก เกิดจากอะไรได้บ้าง?

  • ยางรถยนต์หมดอายุการใช้งาน ลักษณะแก้มยางจะมีรอยแตก บวม ฉีกขาด หรือดอกยางหมดสภาพ
  • บรรทุกของหนักเกินกำหนด ทำให้ยางแบกรับภาระมากเกินไป
  • ขับรถใช้ความเร็วเกินกว่าที่ยางรถยนต์กำหนดไว้
  • ยางรถยนต์ร้อนจัดจากการเบรก และอาจทำให้ยางรถยนต์เกิดไฟไหม้ได้
  • สูบลมยางไม่ถูกต้อง เช่น เปลี่ยนยางรถยนต์ใหม่ แต่ยังใช้จุกเติมลมอันเก่า, เติมลมยางรถยนต์อ่อนเกินไป หรือเติมมากเกินไป
  • ขับรถเจอหลุมบ่อบนถนนบ่อย ทำให้ยางเสี่ยงแตกง่ายขึ้น
  • ใช้ยางรถยนต์ไม่ถูกขนาด เช่น นำยางรถเก๋งมาใส่รถปิคอัพ เป็นต้น

Fix-Problem-Broken-Tire

ทำยังไง ไม่ให้เกิดเหตุการณ์ยางแตกอีก?

ยางรถยนต์ระเบิด ขณะใช้งานนั้นเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ หนึ่งในนั้นคือการเลือกยางที่ไม่เหมาะสมกับรถยนต์นั่นเอง ดังนั้น การเลือกยางรถให้เหมาะจึงสำคัญไม่แพ้กัน และเราสามารถเลือกได้ โดยใช้เทคนิคเหล่านี้

  • เลือกขนาดยาง และกระทะล้อ ให้ถูกต้องตรงตามที่โรงงานผู้ผลิตรถยนต์กำหนด
  • เลือกยางที่รหัสความเร็ว และน้ำหนักบรรทุก เหมาะสมกับรถของคุณ
  • การตั้งศูนย์ถ่วงล้อ ควรตั้งศูนย์ล้อทั้ง 4 ล้อทุกครั้งที่เปลี่ยนยาง
  • ควรเปลี่ยนยางโดยช่างผู้มีความชำนาญ และอุปกรณ์ที่มีความพร้อม
  • เติมลมยางให้พอเหมาะ ไม่แข็งเกินไป หรืออ่อนเกินไป
  • ตรวจสภาพยางสม่ำเสมอ พร้อมๆ กับการหมั่นตรวจสภาพรถยนต์

Fix-Problem-Broken-Tire

เพราะทุกอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ อย่าลืมตั้งสติให้มั่น และที่สำคัญอย่าลืม เช็กประกันรถยนต์ ก่อนการใช้งานรถยนต์ทุกครั้ง วิธีนี้ก็เป็นอีกหนึ่งหนทาง ที่จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น พร้อมกันนี้ ตัวคุณเองก็ไม่ควรละเลยที่จะตรวจสภาพรถยนต์บ่อยๆ ด้วย

หากคุณกำลังมองหาประกันภัยรถยนต์ rabbit finance โบรกเกอร์ประกันภัย ที่มีประกันรถยนต์หลากหลายรูปแบบและราคา ให้คุณได้เลือกให้ตรงกับไลฟ์สไตล์ พร้อมเบี้ยประกันที่คุ้มค่า และบริการเปรียบเทียบประกันรถยนต์ออนไลน์ ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับคุณ ให้การใส่ใจรถยนต์เป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายขึ้น