5-Things-Stop-Engine-Overheat

ในช่วงหน้าร้อน ปี 2563 แบบนี้ เจออากาศร้อนอบอ้าว แดดจ้า ท่ามกลางการอยู่บ้าน ลดเชื้อ เพื่อชาติ จากโควิด-19 ที่เรายังต้องเฝ้าระวังแล้ว ยังต้องระวังกับค่าไฟที่พุ่งพรวด และยังต้องระวังกับเหงื่อแตก กับรถยนต์ที่พังในช่วงหน้าร้อนด้วยครับ

แม้ว่าในเวลานี้ Social Distrancing จะถูกคลายลงไปบ้างแล้วก็ตาม ทำให้คนแห่กันออกมาใช้บริการระบบขนส่งมวลชนมากขึ้น หลายคนจึงเลี่ยงที่จะไม่อยากไปแออัดกับคนเยอะๆ จึงเลือกที่จะขับรถไปทำงาน หรือไปทำธุระในที่ต่างๆ ดังนั้น สภาพรถของคุณจึงต้องพร้อมเสมอ สำหรับการใช้งานในช่วงหน้าร้อนนี้

MR.CARRO จะมาบอกถึง 5 สิ่งใน “เครื่องยนต์” ที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ! ถ้าลืมอาจเครื่องพังได้! ครับ.

5-Things-Stop-Engine-Overheat

1. หม้อน้ำ

อุปกรณ์ที่ช่วยในการระบายความร้อนของเครื่องยนต์ นั่นคือ “หม้อน้ำ” ซึ่งหม้อน้ำปกติจะอยู่ในสภาพที่ดี บริเวณฝาหม้อน้ำ ต้องไม่มีคราบน้ำ หรือน้ำสนิมดันออกมาเวลาเครื่องยนต์ร้อนมากๆ นั่นแสดงว่าหม้อน้ำรถคุณ หรือเครื่องยนต์คุณอาจจะมีปัญหา

คุณจะต้องตรวจสอบในส่วนต่างๆ อาทิเช่น ฝาหม้อน้ำ ซึ่งจะควบคุมอุณหภูมิและแรงดันของน้ำภายในหม้อน้ำให้คงที่ ฝาหม้อน้ำที่ดีต้องไม่เป็นสนิม สปริงด้านในฝาต้องยุบตัวและคืนตัวได้ ขอบยางรอบๆ ไม่แตกไม่ขาด ถ้าหากฝาหม้อน้ำเสีย หรือหมดสภาพการใช้งาน อาจเกิดการดันของน้ำออกมาได้ในขณะที่เครื่องยนต์มีความร้อนมากๆ จนโอเวอร์ฮีทได้

ตัวหม้อน้ำเหล็ก (ทองเหลือง) หรืออะลูมิเนียม ต้องไม่มีการปริ รั่วซึม หรือแตก ส่วนหม้อน้ำที่ทำจากพลาสติก (รถยุคใหม่ๆ มักจะใช้หม้อน้ำประเภทนี้ เพราะลดต้นทุนในการผลิต) วิธีการตรวจสภาพดูควรดูจาก 3 จุด ฝาบน ตรงกลาง ฝาล่าง และส่วนแผงรังผึ้งตรงกลาง ที่ไม่ได้เชื่อมต่อเป็นชิ้นเดียวกันแบบหม้อน้ำเหล็ก

ปกติแล้ว หม้อน้ำพลาสติกจะมีอายุการใช้งานประมาณ 3-5 ปี ฝาพลาสติกอาจแตก อาจะมีน้ำรั่วออกตามตะเข็บ ทำให้หม้อน้ำรั่วได้ ถ้ามีสิ่งสกปรกติดบริเวณครีบแผงรังผึ้งมาก ก็เอาที่ฉีดน้ำฉีดทำความสะอาดก็ได้

หากน้ำยาหล่อเย็นในหม้อน้ำ จะสีอะไรก็แล้วแต่ ล้วนมีอายุประมาณ 2 ปี ก็ควรถ่ายน้ำในหม้อน้ำ ล้างหม้อน้ำ และการเติมน้ำยาหล่อเย็นของใหม่เข้าไปเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของหม้อน้ำ และป้องกันสนิมภายในหม้อน้ำด้วย อ่อ! ไม่ควรเติมน้ำประปาแทนน้ำยาหล่อเย็นนะครับ เพราะจะทำให้เกิดตะกรันในหม้อน้ำ ไปอุดทางเดินน้ำได้เช่นกัน

2. พัดลมระบายความร้อน

สภาพของพัดลมระบายความร้อน นั้น จะดีหรือไม่ดีต้องดูตอนที่สตาร์ทรถอยู่กับที่แล้วเปิดแอร์ ดูว่าลมยังพัดแรงหรือไม่ หรือตอนจอดรถติดไฟแดง และรู้สึกว่าแอร์ไม่เย็น ถ้าเก่ารถมาก เจ้าของรถหลายคันนิยมไปติดพัดลมระบายความร้อนเพิ่ม เพื่อให้การระบายความร้อนทำได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงทำให้แอร์รถเย็นขึ้นด้วย

สภาพของตัวใบพัดนั้น ต้องไม่หักหรือโกร่ง และเมื่อทำงานความเร็วรอบในการหมุนของพัดลมต้องคงที่สม่ำเสมอ หากแรงลมเบาก็ควรซ่อมหรือเปลี่ยน

5-Things-Stop-Engine-Overheat

3. ท่อยางต่างๆ

ท่อยางเหล่านี้ก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะว่าเป็นตัวกลางที่คอยส่งน้ำหล่อเย็นไปยังเครื่องยนต์และมายังหม้อน้ำ ซึ่งปกติความร้อนเครื่องยนต์ค่อนข้างมาก และมีแรงสั่น แรงดันในระบบ ยิ่งถ้าเป็นรถติดแก๊สแล้ว ท่อยางต่างๆ จะเสื่อมสภาพไว แข็งกรอบ มีรอยแตกลายงา อาจทำให้น้ำยาหล่อเย็นรั่วออกมาได้

วิธีเช็คท่อยางต่างๆ เพียงใช้มือบีบเบาๆ หากท่อยางสภาพยังดีก็จะมีการคืนตัวได้ไว

4. สายพาน – ปั้มน้ำ

สายพาน และ ปั้มน้ำ ที่หลายคนอาจจะไม่ได้คิด แต่สองชิ้นนี้ก็มีส่วนสำคัญในการระบายความร้อนของเครื่องยนต์ ตัวสายพานต้องตึง ไม่มีแตกลายงาหรือเสียงดังเวลาขับ ถ้าสายพานขาด ก็จะทำให้ปั้มน้ำไม่ทำงานไปด้วย สายพานต่างๆ ควรเปลี่ยนใหม่ทุก 40,000 – 60,000 กิโลเมตร และไม่ควรตั้งสายพานตึงจนเกินไป เพราะจะทำให้ลูกปืนปั้มน้ำทำงานหนัก และพังซะก่อน

ส่วนตัวปั้มน้ำ จะทำหน้าที่หมุนเวียนน้ำจากเครื่องยนต์ไปหม้อน้ำ แล้วไหลกลับมาที่เครื่อง การทำงานของปั๊มน้ำ จะอาศัยแรงจาก เครื่องยนต์มาหมุนผ่านสายพาน โดยมีลูกปืนมารองรับในการหมุน ปกติปั้มน้ำมีอายุการใช้งานอยู่ที่ 200,000 – 250,000 กิโลเมตร

ส่วนใหญ่ปั้มน้ำจะรั่ว 2 จุดหลักๆ คือ บริเวณซีลแกนปั๊มน้ำ และ ช่องระบายอากาศ (รูหายใจ) และอย่าลืมดูสภาพลูกปีนด้วย ว่ามีสึกมีแตกหรือไม่

ถ้าหากปั้มน้ำมีอาการรั่ว ซึม หรือมีเสียงดังจากอาการลูกปีนสึกหรือแตกแล้ว รีบเปลี่ยนเถอะครับ

5-Things-Stop-Engine-Overheat

5. วาล์วน้ำ

วาล์วน้ำ ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ห้ามพลาด เพราะเป็น “ตัวกลาง” ในการควบคุมระบบน้ำหล่อเย็นระหว่างหม้อน้ำกับเครื่องยนต์ เมื่ออุณหภูมิได้ที่ (เกิน 80 องศา) วาล์วน้ำก็จะเปิดทางเดินน้ำหล่อเย็นเองโดยอัตโนมัติ แต่ถ้าอุณหภูมิต่ำกว่านั้น วาล์วน้ำก็จะไม่เปิดให้น้ำไหลผ่าน เพื่อให้เครื่องยนต์มีอุณหภูมิที่ร้อนได้ที่ น้ำก็จะไหลเวียนผ่านไปยังผนังเสื้อสูบ และระบายความร้อนได้เต็มที่

ตามปกติแล้ว วาล์วน้ำรถยนต์ จะมีอายุการใช้งานประมาณ 150,000 กม. ก็ควรเปลี่ยนใหม่ วิธีเช็คว่าวาล์วน้ำเสียหรือยัง ให้ขับรถไปสักพัก แล้วจอดรถเปิดฝากระโปรง เอามือจับบริเวณท่อยางหม้อน้ำที่เข้า-ออก เครื่องยนต์ ถ้าวาล์วน้ำปกติ จะต้องร้อนทั้งสองเส้น แต่ถ้าเส้นใดเส้นหนึ่ง “เย็น” แสดงว่า วาล์วน้ำเสีย

รถหลายคันที่เครื่องยนต์มีปัญหาเรื่องความร้อน หรือรถเก่าๆ ที่ติดแก๊ส มักจะถอดวาล์วน้ำออก เพื่อลดปัญหาเครื่องยนต์โอเวอร์ฮีท แต่นั่นก็ไม่ใช่วิธีการที่ดีเท่าไหร่ (ไม่งั้นวิศวกรผู้ออกแบบเครื่องยนต์รถ เขาจะใส่มาทำไม!) เพราะจะทำให้เครื่องยนต์ความร้อนขึ้นช้า น้ำก็จะวนแค่รอบๆ ปั้มน้ำ ไปไม่ทั่วทุกกระบอกสูบของเครื่องยนต์

อาจทำให้น้ำหล่อเย็นหาย น้ำมันเครื่องหาย ถึงขั้นฝาสูบโก่งได้ และเครื่องยนต์สึกหรอ กินน้ำมันมากขึ้น

ทางที่ดี เช็คสภาพรถของคุณให้พร้อมไว้ดีกว่า ไม่งั้นเวลาใช้รถแล้วรถมาจอดเสียข้างทาง ตากแดดร้อนๆ คงไม่สนุกเป็นแน่

ถ้าหากคุณร้อนเงินในเวลานี้ เพราะโดนโควิด-19 เล่นงาน สามารถมา “ขายรถ” หรือรับเงินก้อนไปใช้ ในยุคโควิด-19 ได้ง่ายๆ กับ CARRO มั่นใจ! ปลอดภัน  และฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น พร้อมปิดการขายภายใน 24 ชั่วโมง! กับ CARRO Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ ขายรถด่วน! —> เพิ่มเพื่อน