How-To-Wake-Up-Sleeping-Car

ในช่วงที่ไวรัสโควิด-19 ระบาด นอกจากหลายคนจะต้องทำงานที่บ้านเป็นหลัก ตามนโยบาย “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” และ Social Distrancing ทำให้รถยนต์ที่มีอยู่อาจจะไม่ค่อยได้ใช้งาน หรือไม่ได้ใช้งานเลย นั่นอาจไม่ใช่สิ่งที่ดีนักเพราะขึ้นชื่อว่า “เครื่องจักร” แล้ว ควรหาโอกาสให้รถของคุณได้ขับเคลื่อนชิ้นส่วนต่างๆ บ้าง ไม่งั้นชิ้นส่วนต่างๆ อาจเสื่อมสภาพ หรือใช้งานไม่ได้ซะก่อน

ปัญหาหลักๆ ของรถที่จอดนานๆ นับเดือน นับปี จนหลายสิ่งไม่สามารถใช้การได้ ก็มีอาทิเช่น รถแบตหมด, ยางแบน, เบรกติด, น้ำมันเครื่องพร่อง หรือเสื่อมสภาพ หรือน้ำมันในถังบูด เป็นต้น

MR.CARRO จะมาอธิบายถึงวิธีคืนชีพรถจอดทิ้งไว้นาน ต้องตรวจเช็คอะไรบ้าง พร้อมประเมินค่าใช้จ่ายซ่อมเปลี่ยนอะไหล่ ซึ่งใครที่ต้องไปทำงานต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ ก็สามารถนำมาปรับใช้ได้เช่นกัน มาฟังจากปากช่างกันเลยครับ …

How-To-Wake-Up-Sleeping-Car

1. แบตเตอรี่รถยนต์

รถจอดทิ้งไว้นาน รถแบตหมดอาการแบบนี้ จะเห็นชัดเมื่อสัญลักษณ์แสดงการใช้งาน (หรือ ตาแมว) จะมีสีขาว ซึ่งถ้าแบตเสื่อมก็จะเก็บไฟไม่อยู่ ไม่มีประจุ แต่ถ้าแบตเตอรี่ยังดีอยู่ ที่สามารถพ่วงเพื่อสตาร์ทได้

โดยทั่วไปแบตเตอรี่มีอายุการใช้งานประมาณ 2 ปี แต่ถ้าคุณใช้งานรถยนต์สม่ำเสมอ แบตเตอรี่ไม่ว่าจะเป็นแบบกึ่งแห้ง หรือแบบเติมน้ำ ก็สามารถมีอายุการใช้งานได้ยาวถึง 4 ปีเลยทีเดียว

อาการรถแบตหมดก็อาจทำให้ผู้ใช้รถบางคนสงสัย ว่าไม่ได้ใช้งานเลย แต่แบตหมดได้อย่างไร ความจริงแบตเตอรี่ก็ยังคงมีการจ่ายกระแสไฟฟ้าไปเลี้ยงระบบอิเล็กทรอนิกส์อยู่ เช่น ระบบกันขโมย, นาฬิกา, วิทยุ หรือกล่องสมองกลของรถยนต์

หรือสังเกตได้จากเวลาไม่ได้ติดเครื่อง เมื่อเปิดกระจกไฟฟ้าจะทำงานได้ช้าลง ไฟต่างๆ ไม่สว่าง หรือวิทยุฟังตอนไม่ได้ติดเครื่อง พอจะสตาร์ทอีกครั้งกลับสตาร์ทไม่ติด

งานนี้คือแบตรถยนต์หมดประจุ ก็ต้องมีการพ่วงเพื่อสตาร์ท ซึ่งถ้าปล่อยให้แบตหมดแล้วพ่วงอยู่บ่อยๆ ก็จะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมได้ครับ

แบตเตอรี่รถยนต์ราคาเท่าไหร่ และมีกี่แบบ ดูได้จากรายละเอียดตามนี้ครับ (เป็นราคาแบตเตอรี่โดยประมาณ รวมทั้งราคาแบตรถเก๋ง และราคาแบตรถกระบะ ทั้งแบบกึ่งแห้ง และแบบแห้ง)

  • แบตเตอรี่กำลังไฟ 35 แอมป์ เหมาะกับรถที่มีเครื่องยนต์ขนาด 600 – 1,000 ซีซี ราคาประมาณ 1,400 – 1,800 บาท
  • แบตเตอรี่กำลังไฟ 40 แอมป์ เหมาะกับรถที่มีเครื่องยนต์ขนาด 1,300 – 1,600 ซีซี ราคาประมาณ 1,600 – 2,000 บาท
  • แบตเตอรี่กำลังไฟ 45 แอมป์ เหมาะกับรถที่มีเครื่องยนต์ขนาด 1,300 – 1,600 ซีซี ราคาประมาณ 1,600 – 2,000 บาท
  • แบตเตอรี่กำลังไฟ 50 แอมป์ เหมาะกับรถที่มีเครื่องยนต์ขนาด 1,300 – 2,500 ซีซี ราคาประมาณ 1,800 – 2,400 บาท
  • แบตเตอรี่กำลังไฟ 55 แอมป์ เหมาะกับรถที่มีเครื่องยนต์ขนาด 1,300 – 2,500 ซีซี ราคาประมาณ 2,000 – 2,200 บาท
  • แบตเตอรี่กำลังไฟ 65 แอมป์ เหมาะกับรถที่มีเครื่องยนต์ขนาด 2,000 – 3,000 ซีซี ราคาประมาณ 2,200 – 2,600 บาท
  • แบตเตอรี่กำลังไฟ 70 แอมป์ เหมาะกับรถที่มีเครื่องยนต์ขนาด 2,500 – 3,000 ซีซี ราคาประมาณ 2,200 – 2,600 บาท
  • แบตเตอรี่กำลังไฟ 75 แอมป์ เหมาะกับรถที่มีเครื่องยนต์ขนาด 2,000 – 3,000 ซีซี ราคาประมาณ 2,400 – 2,800 บาท
  • แบตเตอรี่กำลังไฟ 90 แอมป์ เหมาะกับรถกระบะ หรือรถที่มีขนาดเครื่องยนต์ 2,500 – 3,000 ซีซี ราคาประมาณ 2,900 – 3,100 บาท
  • แบตเตอรี่กำลังไฟ 100 แอมป์ เหมาะกับรถกระบะหรือรถที่มีเครื่องยนต์ขนาด 2,500 – 3,000 ซีซี ราคาประมาณ 3,000 – 3,500 บาท

เพื่อช่วยยืดอายุแบตเตอรี่ MR.CARRO แนะนำให้สตาร์ทเครื่องยนต์รถไว้สักประมาณ 10 นาที หรือมากว่า อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง จะได้ช่วยยืดอายุแบตเตอรี่ครับ

How-To-Wake-Up-Sleeping-Car

2. น้ำมันเครื่อง

น้ำมันเครื่องรถยนต์ นี่ก็นับว่าเป็นส่วนสำคัญ ซึ่งก็รวมไปถึงของเหลวอื่นๆ ด้วย เช่น น้ำมันเบรก, น้ำมันเกียร์, น้ำมันคลัทช์, น้ำมันเฟืองท้าย, น้ำมนพวงมาลัยเพาเวอร์ ซึ่งก็ควรทำการตรวจเช็คไปด้วยพร้อมกันทีเดียว

ตามปกติแล้ว ชนิดของนํ้ามันเครื่อง ให้ระยะทางในการใช้งานไม่เท่ากัน เช่น นํ้ามันเครื่องธรรมดา (Synthetic) กำหนดการเปลี่ยนถ่าย 5,000–7,000 กิโลเมตร นํ้ามันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ (Semi Synthetic) 7,000–10,000 กิโลเมตร และนํ้ามันเครื่องสังเคราะห์ (Fully Synthetic) 10,000–15,000 กิโลเมตร หรือในบางยี่ห้อ บางชนิด อาจระบุถึงอายุการใช้งานได้มากกว่านั้นก็ตาม

แต่เพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างเต็มที่ ก็ควรเปลี่ยนถ่ายนํ้ามันเครื่องธรรมดา ทุกๆ 6 เดือน น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ ทุก 6-9 เดือน และน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ ประมาณ 1 ปี เป็นต้น

เพราะน้ำมันเครื่องนั้นมีการเสื่อมสภาพ การจอดรถทิ้งไว้นานๆ นอกจากจะมีเศษผงต่างๆ จากการเสียดสีในเครื่องยนต์แล้ว อาจมีน้ำ หรือมีความชื้นปะปนอยู่จนน้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพได้

น้ำมันเครื่องรถยนต์ ยังแบ่งเป็นเกรดต่างๆ และตัวเลขต่างๆ ที่ผู้ใช้สามารถเลือกใช้กับรถ (โดยดูได้จากในคู่มือรถ ว่าแนะนำให้เครื่องยนต์ใช้กับน้ำมันเครื่องเกรดอะไรได้บ้าง) เริ่มต้นจาก

ค่าน้ำมันเครื่อง

ปัจจุบัน “SN” คือค่าน้ำมันเครื่องที่สูงสุด กำหนดโดย API (American Petroleum Institute Standard) หรือสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อเป็นมาตรฐานของน้ำมันเครื่องทั่วโลก โดยค่า SN ให้มาตรฐานประหยัดเชื้อเพลิงที่ดีขึ้น รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ประกาศใช้เมื่อเดือนตุลาคม 2010

มาตรฐาน API หากเป็นน้ำมันเครื่องยนต์เบนซินจะขึ้นต้นด้วย “S” (Spark Ignition) เช่น API SN ส่วนเครื่องยนต์ดีเซลจะขึ้นต้นด้วย “C” (Compression Ignition) เช่น API CJ-4 เป็นต้น

ตัวเลขค่าความหนืด

ตัวเลขนี้ คือค่ามาตรฐานน้ำมันเครื่องของสมาคมวิศวกรรมยานยนต์ หรือ Society of Automotive Engineers (SAE) ของสหรัฐอเมริกา ที่แสดงถึงค่าความหนืดหรือความข้นใสของน้ำมันเครื่อง โดยกำหนดเป็นชุดตัวเลขระบุอุณหภูมิสูงและต่ำ เช่น 5W-30, 10W-40, 15W-40 หรือ 20W-40 เป็นต้น ซึ่ง W นั้นหมายถึง “Winter” นั่นเอง

สามารถแยกออกได้ดังตัวอย่างด้านล่างจ้า …

  • W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ต่ำกว่า -30 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
  • 5W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง -30 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
  • 10W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง -20 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
  • 15W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง -10 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
  • 20W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง 0 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข

ชุดเลขตัวที่สอง เช่น “40” บอกถึงค่าความหนืดของน้ำมันเครื่องรถยนต์ที่มีตั้งแต่ 60, 50, 40, 30, 20, 10 และ 5 โดยตัวเลขน้อยคือความหนืดน้อย ส่วนความหนืดมาก ตัวเลขก็มากตามไปด้วย ซึ่งตัวเลขนี้ผลต่อการหล่อลื่น และช่วยลดการสึกหรอของเครื่องยนต์ โดยความหนืดที่เหมาะสมสำหรับเครื่องยนต์ทั่วไปในบ้านเรา อยู่ที่ 20-40

ยิ่งถ้าเป็นรถเก่าๆ ก็ควรใช้น้ำมันเครื่องรถยนต์ตัวเลขความหนืดสูงๆ ไว้ หรือบรรทุกหนัก หรือใช้ความเร็วสูงบ่อยๆ ควรเพิ่มค่าความหนืดให้มากขึ้นกว่าตามที่คู่มือระบุ

ราคาน้ำมันเครื่อง ตามปกติรถยนต์มักใช้กันอยู่ที่ประมาณ 3-6 ลิตร มีราคาอยู่ตั้งแต่ 350 – 2,400 บาท ขึ้นอยู่กับเกรด ค่าความหนืด รวมถึงชนิดของน้ำมันเครื่อง

How-To-Wake-Up-Sleeping-Car

3. ยางรถยนต์

เป็นปกติรถของรถยนต์ที่จอดนานๆ เป็นเดือนหรือเป็นปี มักจะยางแบนเพราะน้ำหนักรถยนต์ทั้งหมด กดลงที่บริเวณยางจุดเดิม ทำให้ลมยาง “ซึม” ออกมา จนยางไม่คืนตัว เกิดการยุบตัวของโครงสร้างยางส่วนหน้า ทำให้โครงยางเสียรูป ไม่กลม เมื่อนำรถยนต์ไปขับขี่ภายหลัง อาจทำให้เกิดอาการสั่นและมีเสียงดังผิดปกติได้

เมื่อคุณรู้ว่าต้องจอดรถนาน แนะนำให้เช็คลมยาง เติมลมยางมากกว่าปกติประมาณ 5-10 ปอนด์/ตร.นิ้ว หรือเอารถไปขับสัก 5-10 กิโลเมตรหน่อย เพื่อให้ยางได้หมุน เปลี่ยนจุดรับน้ำหนักบ้าง หรือถ้าต้องจอดรถนานๆ ก็หาสามขา หรือแม่แรง มายกรถไว้ทั้ง 4 ล้อเลยครับ

สำหรับยางรถยนต์ในบ้านเรา ถ้าเป็นยางรถเก๋ง ที่นิยมก็มีกันตั้งแต่ขนาด 12 นิ้ว ไปจนถึงขนาด 22 นิ้ว หลากหลายยี่ห้อทั้งแบบผลิตในไทย และแบบนำเข้าจากต่างประเทศ มีราคาตั้งแต่เส้นละประมาณ 1,000 บาท ไปจนถึง 23,000 บาท

ส่วนยางรถกระบะ ในบ้านเรานิยมกันตั้งแต่กระทะเหล็กขนาด 13 นิ้ว ไปจนถึงแบบที่เป็นล้อแม็กแต่ง ขนาด 22 นิ้ว หลากหลายยี่ห้อทั้งแบบผลิตในไทย และแบบนำเข้าจากต่างประเทศ มีราคาตั้งแต่เส้นละประมาณ 1,600 บาท ไปจนถึง 12,000 บาท

ทางที่ดี อย่าลืมดูระบบเบรกด้วย ว่าเบรกติด เบรกขึ้นสนิมหรือเปล่า ระบบแอร์ มีน้ำยาแอร์รั่ว หรืออะไรตันในระบบแอร์หรือไม่ และอย่าลืมดูภายในห้องเครื่องยนต์ด้วย เผื่อจะเป็นบ้านของคุณหนูๆ ที่ไม่ได้รับเชิญมาอยู่ในรถของคุณ

ถ้าหากคุณคิดว่าสภาพรถตอนนี้ จอดทิ้งไว้นานต้องมีค่าใช้จ่ายซ่อมเปลี่ยนอะไหล่หรือของเหลวเยอะ ก็สามารถ “ขายรถ” คันเดิม เพื่อไปซื้อรถคันใหม่ หรือรับเงินก้อนไปใช้ ในยุคโควิด-19 ได้ง่ายๆ

เพียงขายรถคันเก่ากับ CARRO ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! และฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย พร้อมปิดการขายภายใน 24 ชั่วโมง! กับ CARRO Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ ขายรถด่วน! —> เพิ่มเพื่อน