5-Secondhand-Diesel-Sedan-Cars

ถ้าจะให้พูดถึงรถมือสองในบ้านเรา ถ้าเป็นรถที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล หลายคนมักนึกถึงแต่รถกระบะ, รถ SUV หรือรถ MPV เท่านั้น แม้ว่าตลาดรถยนต์ในบ้านเรา จะมีรถยนต์ประเภทอื่นที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลด้วย เช่น รถเก๋ง เป็นต้น

Daihatsu-Charade-G11

สำหรับรถยนต์นั่งที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลเป็นเจ้าแรกๆ ในไทย ที่ยังอยู่ในความทรงจำของคนวัยเก๋า คงต้องยกให้ Volkswagen Golf Diesel (โฟล์คสวาเกน กอล์ฟ ดีเซล) และ Daihatsu Charade (ไดฮัทสุ ชาเรด) รหัส G11 ที่ทำตลาดด้วยเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 1.0 ลิตร แบบ 3 สูบ Turbo ในยุค 80 แต่ก็ไม่ได้เป็นที่นิยมมากนัก สุดท้ายก็หายไปจากตลาด

ก่อนที่ในช่วงประมาณกลางยุค 2000 รถเก๋งดีเซลจะกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง เริ่มด้วย Ford ที่ตัดสินใจนำ Focus เครื่องดีเซลมาขาย ก่อนที่อีกหลายๆ ค่าย ขอทำตามบ้าง

สำหรับจุดเด่นของเครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งให้พลังงานสูงกว่าน้ำมันเบนซิน เมื่อเปรียบเทียบกันหน่วยต่อหน่วย โดยน้ำมันเบนซิน 1 แกลลอน ให้พลังงาน 125,000 BTU แต่น้ำมันดีเซลให้พลังงาน 147,000 BTU ยิ่งเครื่องยนต์ดีเซลยุคใหม่ จ่ายน้ำมันด้วยระบบหัวฉีดแบบคอมมอนเรล จึงประหยัดเชื้อเพลิงมากกว่า 30% ให้แรงบิดมากกว่า 50% จึงเป็นที่นิยมอย่างมากในรถที่ขายแถบยุโรป

แม้ว่าเครื่องยนต์ดีเซล จะมีข้อดีในเรื่องของความประหยัด ทนทาน ให้แรงบิดสูง แต่ข้อด้อยก็เป็นในเรื่องความเสียงดังของเครื่องยนต์ หรือควันดำ แล้วก็โดนกระแสรถยนต์ Hybrid กลบจนหายไปอีก …

แต่ในตลาดรถมือสอง รถเก๋งดีเซล ยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง MR.CARRO จะมานำเสนอ 5 รถเก๋งดีเซลมือสองน่าใช้ ในราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ประจำปี 2020 – 2021 จะมีรุ่นไหนกันบ้าง ….

Ford-Focus-Diesel

1. Ford Focus TDCi

การนำ Ford Focus (ฟอร์ด โฟกัส) เครื่องยนต์ดีเซลออกมาขายหลังจากที่รถเก๋งดีเซลหายจากตลาดไทยไปนาน ก็สร้างเสียงฮือฮาได้ยกใหญ่ สำหรับ Focus Diesel รุ่นนี้ มี 2 รุ่นย่อยให้เลือก ได้แก่ Ghia แบบ 4 ประตูซีดาน และ Sport ในโฉม 5 ประตู

ใช้เครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.0 ลิตร แบบ Duratorq Turbo Diesel Commonrail ให้แรงม้าสูงสุด 136 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร ซึ่งตัวนี้มี Variable Nozzle Turbo (VNT) เพื่อเพิ่มพลัง พร้อมตอบสนองทันใจทุกความเร็ว

ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 6 สปีด (มีน้อย หายากหน่อย) และเกียร์อัตโนมัติ PowerShift 6 สปีด แบบดูอัลคลัตช์ (คลัตช์คู่) ที่ได้รับการพัฒนาโดย Getrag Ford Transmissions GmbH มีชื่อเสียงอันกระฉ่อน! เรื่องเกียร์กระตุก เกียร์พัง

ในส่วนของ Ford Focus Diesel ถือว่าเป็นรถมือสองที่เหมาะกับคนงบจำกัด เพราะมีราคามือสองอยู่ที่ 170,000 – 230,000 บาท แถมขับสนุก และประหยัดน้ำมันได้พอสมควร ทำได้ถึง 6-12 กม./ลิตร และยังเติมน้ำมันดีเซล B10 – B20 ได้ด้วย แค่เปลี่ยนกรองดีเซลบ่อยกว่าปกติ

ถ้าตรวจเปลี่ยนอะไหล่ตามระยะ ก็ใช้งานกันได้ยาวๆ อ่อ ต้องทดลองขับ ดูสภาพของเกียร์คลัทช์คู่รถรุ่นนี้ด้วยนะครับ อันนี้สำคัญ

Chevrolet-Cruze

2. Chevrolet Cruze

ด้าน GM เห็นคู่แข่งร่วมชาติอย่าง Ford ขายรถเก๋งเครื่องดีเซลแล้ว ก็มิอาจอยู่นิ่งเฉยได้ ต้องรีบส่ง Chevrolet Cruze (เชฟโรเลต ครูซ) เครื่องดีเซล ที่พัฒนาร่วมกับทาง Daewoo ให้เป็นรถ Global Compact Car หรือ รถคอมแพกต์ซีดานระดับโลก ที่ผ่านการพัฒนาบนถนนทุกสภาวะในโลกมาแล้วกว่า 6 ล้านกิโลเมตร มาเปิดตัวในไทยครั้งแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2553

ตัวรถภายนอกเน้นเส้นสายเฉียบคม แบบสปอร์ต ห้องโดยสารออกแบบในสไตล์ Dual Cockpit ซึ่งได้แรงบันดาลใจจาก Chevrolet Corvette และคล้ายกับค็อกพิทของห้องนักบิน สีดำสลับสีน้ำตาลส้ม ตำแหน่งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกบนแผงคอนโซลกลาง ใช้วัสดุหุ้มหนังตัดกับอลูมิเนียมทั้งคอนโซลกลาง และแผงข้างประตู พร้อมกับมีหน้าจอแสดงข้อมูลสำหรับผู้ขับขี่

และเทคโนโลยีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่อัดแน่นเต็มคัน ทั้งปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ พร้อมระบบ Keyless Entry) ระบบ Cruise Control ที่ติดตั้งอยู่บนพวงมาลัยแบบ 3 ก้าน พร้อมสวิทช์ควบคุมเครื่องเสียงวิทยุ และเครื่องเล่น CD โดยผู้ขับขี่ยังสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริมทั้ง AUX และ USB อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อผ่านระบบไร้สายแบบ Bluetooth ได้อีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ พร้อมไฟนำทางขณะเมื่อดับเครื่องยนต์

Chevrolet Cruze แบ่งเครื่องยนต์ออกได้เป็น 2 แบบ นั่นคือ …

  • รุ่นปี 2011 ขนาด 2.0 ลิตร แบบ 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว ให้แรงม้าสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิด 320 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ Driver Shift Control (DSC) พร้อมโหมด +/-
  • ส่วนในรุ่นปี 2012 ปรับใหม่ ขนาด 2.0 ลิตร แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ใช้แรงดันในการส่งเชื้อเพลิง 1,800 บาร์ แต่งพอร์ตไอดีใหม่ ปรับเพลาถ่วงสมดุลเพื่อลดเสียงและความสั่นสะเทือน ให้แรงม้าสูงสุด 163 แรงม้า ที่ 3,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 360 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ Driver Shift Control (DSC) พร้อมโหมด +/-

ในส่วนของ Cruze นั้น การขับขี่ก็ถือว่าดีในระดับหนึ่ง อัตราเร่งดีตั้งแต่รอบต่ำๆ เหมาะสำหรับใช้ขับออกทางไกล ประหยัดน้ำมันเฉลี่ย 8-16 กม./ลิตร ช่วงล่างดี เกาะถนนหนึบ แบบ Euro Ride เลย เสียงเครื่องอาจจะดังบ้างในรอบความเร็วต่ำ แต่ห้องโดยสารภายในก็ถือว่าเก็บเสียงได้ดี แต่วัสดุภายในรถ หลายจุดถ้าตากแดดบ่อยๆ มีพลาสติกละลายได้

หากใครจะเล่นรุ่นนี้ แม้ว่ารุ่นเครื่องยนต์ดีเซล ปัญหาจะน้อย แต่ก็ต้องเลือกรถคันที่สภาพเกียร์ดีหน่อย เพราะหลายปีก่อนหน้า ทำเอาคนใช้รุ่นนี้ บ่นกันเป็นแถว ว่าเป็นขวัญใจรถยก กับราคามือสองตอนนี้อยู่ประมาณ 160,000 – 220,000 บาท

Mazda2-Diesel-SkyActiv-D

3. Mazda2

นี่ก็สร้างความฮือฮาไปได้อีกรุ่น นับตั้งแต่ครั้งแรกของการเปิดตัวเลย สำหรับ Mazda2 (มาสด้า2) ที่จัดเต็มรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลเป็นครั้งแรกในไทย กับกลุ่มของรถ Sub-Compact เปิดตัวครั้งแรกในเดือนมกราคม 2558 ก็สร้างยอดขายได้อย่างน่าพอใจ

รุ่นนี้ชูจุดเด่นหลายอย่าง อาทิ ระบบ i-ELOOP เปลี่ยนพลังงานจากการลดความเร็วเป็นพลังงานไฟฟ้า ทำงานร่วมกับไดชาร์จแบบ 12-25 โวลต์ แบ่งไฟฟ้าที่ได้จากการเบรกและลดความเร็ว ไปเก็บในแบตเตอรี่ และบางส่วนส่งไปใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในรถ ทำงานร่วมกับระบบ i-Stop ดับเครื่องยนต์เมื่อจอดนิ่ง เมื่อทั้ง 2 ระบบทำงานร่วมกัน จะช่วยประหยัดน้ำมันได้ 10% เป็นต้น

สำหรับเครื่องยนต์เป็นแบบ SKYACTIV-D Clean Diesel ขนาด 1.5 ลิตร Variable Turbo Intercooler จ่ายน้ำมันด้วยหัวฉีดโซลินอยด์ ให้แรงม้าสูงสุด 105 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร ที่ 1,500-2,500 รอบ/นาที ให้อัตราสิ้นเปลืองดีสุด 26.3 กม./ลิตร พร้อมส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติ SKYACTIV-Drive 6 สปีด

มาระบบ Diesel Particulate Filter (DPF) หรือไส้กรองอนุภาคไอเสีย, Exhaust Gas Recirculation-EGR การนำไอเสียบางส่วนหมุนวนกลับเข้าสู่ห้องเผาไหม้ และ Selective Catalyst Reduction-SCR ใช้ของเหลวร่วมกับเครื่องแปรสภาพไอเสีย เปลี่ยนก๊าซในไอเสียให้ไม่เป็นอันตรายก่อนจะปล่อยออกสู่อากาศ เพื่อให้ Mazda2 เป็น Clean Diesel อย่างแท้จริง

ข้อดีของ Mazda2 Diesel นั่นก็คือความประหยัด ที่สุดๆ สามารถทำได้มากถึง 18-24 กม./ลิตร และแรงสะใจนั่นเอง เหมาะสำหรับคนที่เคยขับรถซีซีสูงๆ มาก่อน และต้องขับรถทางไกลเป็นประจำ

แต่ข้อด้อยหลายคนก็บอกว่า ถ้าจะใช้งานในเมืองอาจไม่เหมาะ เนื่องจากไส้กรองอนุภาคไอเสีย DPF จะมีเขม่าตันเร็ว หากคุณขับรถด้วยความเร็วรอบเครื่องต่ำเป็นประจำ จะทำให้เครื่องยนต์มีอาการสั่นได้ กับราคามือสองตอนนี้อยู่ประมาณ 340,000 – 450,000 บาท

BMW-320d-F30

4. BMW Series-3

ขึ้นชื่อว่ารถค่ายใบพัดฟ้าขาว ที่ขับแล้วรู้สึกกระฉับกระเฉง เหมือนวัยรุ่นรักความสปอร์ตแบบนี้ … รุ่นที่เราจะมาแนะนำ จะเป็น BMW Series-3 (บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 3) ในรหัส F30 รุ่นเครื่องยนต์ดีเซล ที่เปิดตัวขายกันตั้งแต่ปี 2012 – 2019 ที่มีราคาในตลาดรถมือสองประมาณ 850,000 – 1,000,000 บาท

เป็นรถที่เปิดตัวในบ้านเราตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ให้เลือก ถึง 3 สไตล์ ทั้งแบบ Modern, Luxury และ Sport โดยรถยนต์ Lot แรก นำเข้ามาจากเยอรมัน ต่อมาจึงผลิตที่โรงงาน BMW ใน จ.ระยอง และนำเข้ารุ่น 320d Touring มาเสริมคนชอบรถแนวแวกอนในช่วงปลายปี 2555

และในปี 2556 เปิดตัว 320d GT ในตัวถัง Fastback เป็นครั้งแรก โดยช่วงแรกนำเข้าจากเยอรมนี ต่อมาจึงประกอบในไทย มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย คือ Luxury และ Sport

ใช้ขุมพลังดีเซลรหัส N47D20 ขนาด 2.0 ลิตร คอมมอนเรล Turbo Intercooler แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 184 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 380 นิวตัน-เมตร ที่ 1,750-2,750 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ให้อัตราเร่งดี ขับสนุก เกาะถนนดี ทำความเร็วได้สูงสุด 230 กม./ชม.

Mercedes-Benz-C250-CDI-2011

5. Mercedes-Benz C-Class

ขึ้นชื่อว่ารถค่ายดาวสามแฉกแล้ว ขับแล้วสาวๆ กรี้ดแน่นอน … รุ่นที่เราจะมาแนะนำ จะเป็น Mercedes-Benz C-Class (เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซี-คลาส) ในรหัส W204 รุ่นเครื่องยนต์ดีเซล ที่เปิดตัวขายกันตั้งแต่ปี 2007 – 2014

โดยชูแนวคิดประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมมาตรฐานความปลอดภัยครบครัน ในรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล ที่น่าสนใจจะมีทั้งในตัวก่อน และตัวไมเนอร์เชนจ์ ที่มีราคาในตลาดรถมือสองประมาณ 600.000 – 800,000 บาท

สำหรับในรุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์ เราขอแนะนำ C 220 CDI ที่มีจุดเด่นอยู่ที่เครื่องยนต์ดีเซล ขนาด 2.2 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว Turbo Intercooler ซึ่งพัฒนามาจากรุ่นเดิม ให้กำลังสูงสุด 170 แรงม้า (เดิม 150 แรงม้า) ที่ 3,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ที่ 2,000 รอบ/นาที ซึ่งมากกว่ารุ่นเดิม 18%

เร้าใจด้วยอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 8.4 วินาที ขณะที่ความเร็วสูงสุดทำได้ 227 กม./ชม. ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์แบบวันทัช (On-touch Shift) สามารถเลือกจังหวะเปลี่ยนเกียร์ได้ด้วยตัวเอง ด้านอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันโดยเฉลี่ย 15 กม./ ลิตร

ส่วนในรุ่นไมเนอร์เชนจ์ เราขอแนะนำ C 250 CDI BlueEFFICIENCY AVANTGARDE ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซลแบบ 4 สูบแถวเรียง ขนาด 2.2 ลิตร Twin Turbo Intercooler ผลิตกำลังสูงสุดถึง 204 แรงม้า พร้อมแรงบิดถึง 500 นิวตันเมตร ที่ 1,600 – 1,800 รอบ/นาที ให้อัตราเร่งจาก 0 – 100 กม./ชม.โดยใช้เวลาเพียง 7.0 วินาที อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเพียง 15.62-17.24 กม./ลิตร มาพร้อมกับระบบเกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 7 สปีด (7G-TRONIC PLUS)

ส่วนใครที่อยากขายรถ เพื่ออยากลองใช้รถเก๋งดีเซลคันใหม่ดูบ้าง CARRO เรารับซื้อรถของคุณ สามารถเข้าไปเช็คราคา ตีราคาขายรถก่อนได้ โดยใส่ข้อมูลรถของคุณที่นี่เลย กับ CARRO Express > https://th.carro.co/sell-car/express หรือโทร. 02-508-8425

หรือใครจะ Inbox มาสอบถามก็ได้เช่นกัน ที่ Facebook CARRO Thailand หรือสะดวก Add Line ก็ที่ @carrothai หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน