รถยนต์ไฟฟ้า มีขึ้นในโลกกว่า 140 ปี!

ในเวลานี้ยุคที่น้ำมันราคาแพงไปทั่วโลก ส่งผลให้ “รถยนต์ไฟฟ้า” ที่กำลังบูมในตลาดโลกมาอย่างต่อเนื่องเมื่อหลายปีที่ผ่านมา ยิ่งมาแรงไปกว่าเดิมอีก! เนื่องจากการชาร์จไฟรถยนต์ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้มาก สะอาด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่ผู้คนทั่วโลกต่างเปิดใจยอมรับ และรัฐบาลแต่ละประเทศผลักดันเป็นนโยบายเร่งด่วนให้ทุกค่ายรถต้องผลิตรถ EV ขายเป็นหลักในอนาคต

แต่คุณทราบหรือไม่ว่า รถยนต์ไฟฟ้า มีต้นกำเนิดในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเลย เพื่อทดแทนจากใช้รถม้า นั่นคือย้อนไปเมื่อประมาณ 140 ปีก่อน กับจุดเริ่มต้นที่น่าสนใจ ที่คนสนใจประวัติรถยนต์ไฟฟ้า ต้องไม่พลาด!

Mr.Carro จะมาเล่าให้ฟัง ถึงประวัติรถยนต์ไฟฟ้า และรถยนต์ไฟฟ้าคันแรกของโลกกันครับ

Gustave Trouve รถยนต์ไฟฟ้า Tricycle

Gustave Trouve กับรถยนต์ไฟฟ้า 3 ล้อ

หลังจากการคิดค้นแบตเตอรี่เพื่อเก็บพลังงานไฟฟ้าได้ และมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อการขับเคลื่อน จากนักประดิษฐ์หลายคน …

รถยนต์ไฟฟ้าที่พัฒนาขึ้นมาครั้งแรกของโลก เกิดขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1881 โดย Gustave Trouve นักประดิษฐ์ชาวฝรั่งเศส ได้นำเสนอรถยนต์ไฟฟ้า ที่สร้างมาในรูปแบบของรถ 3 ล้อ (Tricycle) ภายในงานแสดงสินค้านานาชาติ International Electrical Exhibition ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส แต่เป็นเพียงการโชว์เท่านั้น

Thomas Parker รถยนต์ไฟฟ้า

Thomas Parker กับรถยนต์ไฟฟ้า

ต่อมาในปี ค.ศ. 1884 Thomas Parker วิศวกรไฟฟ้า และนักประดิษฐ์ชาวอังกฤษ ที่ได้ชื่อว่าเป็น “The Edison of Europe” ผู้พัฒนาระบบไฟฟ้าของรถไฟใต้ดินของกรุงลอนดอน และสายไฟสำหรับรถรางไฟฟ้าในเมือง Liverpool และ Birmingham ได้สร้างรถยนต์ไฟฟ้าแบบชาร์จได้จากแบตเตอรี่ที่ออกแบบเอง ในเมือง Wolverhampton ประเทศอังกฤษ แต่รถยนต์ไฟฟ้าคันนี้ ก็เหลือแค่เพียงหลักฐานที่เป็นรูปถ่ายจากในปี 1895 เท่านั้น

นับได้ว่า อังกฤษ และฝรั่งเศส เป็นสองชาติที่กระตุ้นให้เกิดการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าอย่างกว้างขวาง จนถึงข้ามฝั่งไปยังสหรัฐอเมริกาด้วย

Andreas Flocken รถยนต์ไฟฟ้า Flocken Elektrowagen

Andreas Flocken กับรถยนต์ไฟฟ้า Flocken Elektrowagen

ในปี ค.ศ. 1888 Andreas Flocken นักประดิษฐ์ชาวเยอรมัน ได้ออกแบบรถยนต์ไฟฟ้าที่มีชื่อว่า Flocken Elektrowagen ซึ่งรถคันนี้ถูกจัดว่าเป็น “รถยนต์ไฟฟ้าคันแรกของโลก” ที่แท้จริง และยังมีของจริงคันเป็นๆ เหลืออยู่ ตัวรถให้กำลัง 0.9 กิโลวัตต์ (1 แรงม้า) วิ่งได้ด้วยความเร็วสูงสุด 15 กม./ชม. บนน้ำหนักตัวรถ 400 กิโลกรัม

รถแท็กซี่ไฟฟ้าใน New York และ London

ยุคทองของรถยนต์ไฟฟ้า

ในช่วงปี 1890 – 1900 นับได้ว่าเป็น “ยุคทอง” ของรถยนต์ไฟฟ้าช่วงเริ่มต้นเลยทีเดียว มีผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเริ่มเกิดขึ้นอย่างมาก ทั้งจากฝั่งยุโรปและฝั่งอเมริกา

โดยในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ยังมีการนำรถยนต์ไฟฟ้า มาใช้งานจริงด้วยการทำเป็นรถแท็กซี่ให้บริการอีกด้วยในปี 1897 เพื่อทดแทนรถม้า และในปีเดียวกัน ก็มีบริษัท Samuel’s Electric Carriage and Wagon Company เริ่มต้นให้บริการรถม้าไฟฟ้า (Hansom Cabs) ในเมือง New York ประเทศสหรัฐอเมริกา

ด้วยข้อดีของรถยนต์ไฟฟ้า ที่ไม่ต้องสตาร์ท ไม่ต้องเข้าเกียร์ ไม่มีควันไอเสีย และเงียบ ไม่สั่นสะท้าน เหยียบคันเร่งอย่างเดียวคล้ายรถ EV ในยุคนี้ จึงเป็นการใช้งานที่สะดวกสบายกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันในยุคนั้น (เพราะต้องหมุนเครื่องยนต์ด้านหน้ารถเพื่อสตาร์ท เครื่องยนต์เสียงดัง กลิ่นน้ำมันที่แรงกว่าน้ำมันยุคนี้ และเกียร์ที่เข้าค่อนข้างยาก) หรือรถยนต์พลังไอน้ำ (ที่ต้องใช้เวลาอุ่นเครื่องนานมาก กว่าจะขับออกไปได้ และน้ำหนักรถเยอะ เพราะต้องบรรทุกน้ำไปด้วย)

ประวัติรถยนต์ไฟฟ้า มีขึ้นในโลกกว่า 140 ปี!

ขาลงของรถยนต์ไฟฟ้า (ยุคแรก)

รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน (Internal Combustion Engine) เป็นเชื้อเพลิง เริ่มพัฒนาให้สามารถวิ่งได้ไกล เร็ว และสะดวกสบายในการใช้งานที่มากขึ้น ด้วยมอเตอร์สตาร์ทเครื่องยนต์ ทำให้รถยนต์ที่ใช้น้ำมัน เริ่มได้รับความนิยมและเข้ามาแทนที่รถยนต์พลังงานไฟฟ้า ที่ในเวลานั้นรถยนต์ไฟฟ้ายังทำความเร็วได้ไม่มาก (เฉลี่ย 24 – 32 กม./ชม.) และระยะทางในการวิ่งที่ไม่เยอะ (เฉลี่ย 50 – 65 กิโลเมตร ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง) ใช้งานได้แค่ในเมืองมากกว่า

การสร้างถนนออกนอกเมืองมากขึ้น ย่นเวลาการเดินทางได้มากขึ้น รถยนต์ไฟฟ้าซึ่งมีขีดจำกัดในการเดินทางไกลๆ ส่วนแบตเตอรี่ในยุคนั้น ก็ไม่สามารถเก็บพลังงานไว้ใช้เดินทางระยะไกลได้ รถยนต์ไฟฟ้าเลยเสื่อมความนิยมลง

ยุคท้ายสุดของรถยนต์ไฟฟ้าช่วงแรก นั่นคือการที่ Henry Ford (เฮนรี่ ฟอร์ด) สามารถสร้างรถ Ford Model T ออกมาได้เป็นผลสำเร็จ และสามารถผลิตรถยนต์แบบ Mass Production สาารถผลิตรถยนต์ได้เป็นจำนวนมาก จนต้นทุนราคารถยนต์ลดลง จนเกิด Economies of Scales ที่คนทั่วไปจับต้องได้

ราคาของรถ Ford Model T อยู่ที่ 260 ดอลลาร์สหรัฐ แต่รถยนต์ไฟฟ้าอยู่ที่ราคา 1,750 ดอลลาร์สหรัฐ แพงกว่าโมเดล T เกือบ 7 เท่า!

รวมไปถึงการค้นพบน้ำมันในรัฐ Texas และ Okahoma ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน จึงส่งผลให้น้ำมันมีราคาถูกลงมาก คนนิยมใช้รถยนต์กันอย่างมหาศาล จนบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ต้องทยอยปิดตัวกันไป หรือไปทำกิจการอย่างอื่นแทน

รถยนต์ไฟฟ้า Tama Electric Car

หวนมาอีกครั้งในช่วงสั้นๆ

ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั่วโลกประสบปัญหาขาดแคลนน้ำมัน ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าได้ถูกนำมาทำตลาดกันอีกครั้ง จากผู้ผลิตต่างๆ เช่น Tachikawa Aircraft Company ประเทศญี่ปุ่น (ต่อมากลายเป็นบริษัท Prince Motor ก่อนถูกรวบกิจการโดย Datsun และ Nissan ในปี 1966)

ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า Tama Electric Car ที่พัฒนาโดย Tokyo Electro Automobile ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 3.3 กิโลวัตต์ และแบตเตอรี่แบบ Lead-Acid (40V/162Ah) ออกมาในปี 1947 เพื่อใช้มาทำเป็นรถแท็กซี่

รถยนต์ไฟฟ้า Henney Kilowatt

และในสหรัฐอเมริกา มีการนำเอา Renault Dauphine มาดัดแปลงเป็นรถยนต์ไฟฟ้าโดย Henney Kilowatt (เฮนนี่ กิโลวัตต์) ที่แต่เดิมคือบริษัท Henney Motor Company ร่วมกับทาง Eureka Williams จากนั้นได้เข้ามาเป็นบริษัทในเครือของ National Union Electric Co. ในปี 1953 ริเริ่มโครงการขึ้นโดย C. Russell Feldmann นำเอาแบตเตอรี่มาใส่ใน Renault Dauphine จำหน่ายในปี 1959 – 1960

ใช้ชุดมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 5.2 กิโลวัตต์ (7 แรงม้า) ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 3 สปีด โดยในรุ่นปี 1959 ติดตั้งแบตเตอรี่ขนาด 36V สามารถวิ่งได้ระยะทางถึง 64 กิโลเมตร เร่งได้เร็วกว่า 60 กม./ชม. ต่อมาในปี 1960 ปรับปรุงชุดแบตเตอรี่ใหม่เป็นขนาด 72V วิ่งได้ระยะทางไกลถึง 97 – 105 กิโลเมตร และทำความเร็วได้เกิน 90 กม./ชม.

ตัวรถสร้างขึ้นมาทั้งหมดเพียงแค่ 100 คัน แต่ขายได้แค่เพียง 47 คัน สนนราคา 3,600 ดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ Renault Dauphine ปกติ จำหน่ายในราคา 1,645 ดอลลาร์สหรัฐ

ซึ่ง Henney Kilowatt จัดได้ว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของโลก ที่ผลิตในระบบ Mass Production

ประวัติรถยนต์ไฟฟ้า มีขึ้นในโลกกว่า 140 ปี!

ในยุค 70 -90 ก็มีผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่หลายเจ้า เช่น GM, GE, Ford, Toyota, Nissan, Honda, Mitsubishi, Mercedes-Benz, BMW หรือ Renault ก็เริ่มพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า ในรูปแบบรถยนต์ต้นแบบ หรือรถทดลองใช้งานจริง และ Tesla ก็มาเป็นผู้จุดประกายความโด่งดังให้รถยนต์ไฟฟ้าเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ในยุค 2000 จนเกิดผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ ขึ้นมามากมายในปัจจุบันครับ

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้ มาขายรถกับทาง Carro Express สิ! คลิกเลยที่ https://th.carro.co/sell-car/express รับรองได้เงินเร็ว ไว ทันใจแน่นอน!

Carro Automall ตลาดรถ

ส่วนใครสนใจจะซื้อรถมือสอง Carro แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ คุณสามารถจองรถได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น! พร้อมคำนวณสินเชื่อและค่างวด ได้ภายในเว็บไซต์ทันที!

ซึ่ง Carro เรามีรถให้คุณเลือกมากมาย รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพโดย Carro Certified อย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 160 จุด, การันตีคืนเงินภายใน 5 วัน, รับประกันเครื่องยนต์และเกียร์ 1 ปี, รับประกันไม่กรอไมล์ และไม่ประสบอุบัติเหตุหนัก ไฟไหม้ หรือน้ำท่วม พร้อมรับประกันคุณภาพรถ 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร!

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” เลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา รวมถึงมีเทคโนโลยีสนับสนุนฝ่ายขาย ทั้ง Digital Device ที่เชื่อมต่อกับ Digital Screen นำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และจัดการเรื่องเอกสารให้กับลูกค้าให้ตั้งแต่ต้นจนจบ บวกกับ Online Viewing Service ที่ลูกค้าสามารถวิดีโอคอล ตรวจสภาพรถยนต์คันที่สนใจได้แบบเรียลไทม์ ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ Carro สิ!

หรือถ้าหากคุณสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงกรอกชื่อ-เบอร์โทรศัพท์ และรถที่คุณสนใจ ไว้ที่ “รับการแจ้งเตือน” เมื่อมีรถที่คุณต้องการ Carro จะรีบติดต่อไปยังคุณทันที สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> Carro Thailand โทร. 02-460-9380 หรือทาง Line @carrothai

แหล่งที่มาบางส่วนจาก:

10 อันดับ รถยนต์ไฟฟ้า (รถ EV) ราคาถูกสุดในไทย ปี 2022

ในยุคปัจจุบัน เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า “รถยนต์ไฟฟ้า” หรือ Electric Vehicle (รถ EV) มีบทบาทสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ในวงการยานยนต์โลก และวงการยานยนต์ไทย ด้วยยอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิง และช่วยให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น

การเข้ามาของรถยนต์ไฟฟ้า สร้างการเปลี่ยนแปลงทางความคิดอย่างมากจากผู้ใช้รถยนต์ในบ้านเรา ทำให้เกิดกระแสความนิยมรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น จากที่เคยเป็นรถมีราคาแพงมาก ก็เริ่มได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ และภาคเอกชน ทั้งในด้านภาษี หรือเรื่องจุดชาร์จไฟ และการดูแลรักษา หลายคนจึงไม่ลังเล ที่จะลองซื้อรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ มาใช้งานดูบ้าง ทั้งหมดนี้ราคาไม่เกินล้าน!

อ่านเพิ่มเติม >> รวมจุดชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้า ในกรุงเทพฯ และทั่วไทย มีจุดไหนใกล้คุณ ประจำปี 2565

ส่วนถ้าใครกำลังอยากขายรถคันเดิม เพื่อไปถอยรถยนต์ไฟฟ้ามาลองใช้ดูบ้าง ต้อนรับปี 2022 ลองมาขายกับ Carro Express ดูสิ ได้เงินไว เร็ว พร้อมปิดการขายได้ทันที แค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรืออยากตีราคารถก่อน สามารถ Inbox สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook Carro Thailand

Mr.Carro ขอรวบรวมข้อมูล 10 อันดับ รถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกสุด ประจำปี 2022 มาให้ทุกท่านได้ทราบครับ.

10 อันดับ รถยนต์ไฟฟ้า (รถ EV) ราคาถูกสุดในไทย ปี 2022

1. iMIO SUV ราคา 249,000 บาท

iMIO SUV (ไอมีโอ้ เอสยูวี) เป็นรถพลังงานไฟฟ้า 100% พวงมาลัยขวา หน้าตาดุดัน สามารถจดทะเบียน ต่อภาษีได้เหมือนรถยนต์ทั่วไป มาในราคา 249,000 บาท (ราคายังไม่รวมจดทะเบียน)

ตัวรถเล็กกะทัดรัด ไฟหน้าแบบ LED มีการ์ดหน้า-หลัง มีไฟสปอตไลท์และแร็คหลังคา และชุดยางอะไหล่ท้าย ส่วนภายในตกแต่งด้วยโทนสีดำ ตัดสีเงิน มาตรวัดแบบดิจิตอล ระบบเกียร์แบบปุ่มหมุน

ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 4000 วัตต์ พร้อมแบตเตอรี่ 12V 100 แอมป์ ขนาด 5 ลูก ให้ระยะทางต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ที่ 100 กิโลเมตร (ปิดแอร์) และ 75 กิโลเมตร (เปิดแอร์) ใช้เวลาชาร์จต่อครั้งประมาณ 6-8 ชั่วโมง และทำความเร็วได้สูงสุด 65 กม./ชม.

สมรรถนะ

มอเตอร์ไฟฟ้า แรงม้าสูงสุด แรงบิดสูงสุด แบตเตอรี่
ระยะทางวิ่งได้มากสุด (ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง)
ขนาด 4,000 วัตต์ แบบ 12V 100 แอมป์ ขนาด 5 ลูก 75 – 100 กิโลเมตร

10 อันดับ รถยนต์ไฟฟ้า (รถ EV) ราคาถูกสุดในไทย ปี 2022

2. iMIO M2 ราคา 279,000 บาท

iMIO M2 (ไอมีโอ้ เอ็ม2) เป็นรถพลังงานไฟฟ้า 100% พวงมาลัยขวา รูปทรงกะทัดรัด น่ารัก วิ่งได้ไกลสูงสุดถึง 100 กิโลเมตรเลยทีเดียว และยังสามารถจดทะเบียนรถ ต่อภาษีได้เหมือนรถยนต์ทั่วไป มาในราคา 279,000 บาท (ราคายังไม่รวมจดทะเบียน)

ตัวรถแบบรถ Hatchback แต่ข้อด้อยอยู่ที่ตรงที่ด้านท้ายเปิดได้แค่กระจก ฝาท้ายเปิดไม่ได้ ตัวชุดไฟท้ายลวดลายธงชาติอังกฤษ พร้อมติดกล้องมองหลังมาให้ ภายในเป็นแบบสีดำ ตกแต่งด้วยสีเงิน ตกแต่งด้วยไฟ Ambient Light มาพร้อมพวงมาลัยหุ้มหนัง เรือนไมล์แบบดิจิตอล และเกียร์แบบลูกบิด

ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 5000 วัตต์ พร้อมแบตเตอรี่ 12V 100 แอมป์ ขนาด 6 ลูก วางใต้เบาะหน้า 5 ลูก และเบาะหลัง 1 ลูก ให้ระยะทางต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ที่ 100 กิโลเมตร (ปิดแอร์) และ 75 กิโลเมตร (เปิดแอร์) ใช้เวลาชาร์จต่อครั้งประมาณ 6-8 ชั่วโมง และทำความเร็วได้สูงสุด 75-80 กม./ชม.

สมรรถนะ

มอเตอร์ไฟฟ้า แรงม้าสูงสุด แรงบิดสูงสุด แบตเตอรี่
ระยะทางวิ่งได้มากสุด (ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง)
ขนาด 5,000 วัตต์ แบบ 12V 100 แอมป์ ขนาด 6 ลูก 75 – 100 กิโลเมตร

10 อันดับ รถยนต์ไฟฟ้า (รถ EV) ราคาถูกสุดในไทย ปี 2022

3. iMIO G1 ราคา 289,000 บาท

iMIO G1 (ไอมีโอ้ จี1) เป็นรถพลังงานไฟฟ้า 100% พวงมาลัยขวา รูปทรงบึกบึน คล้ายกับรถ SUV รุ่นหนึ่งของยุโรป วิ่งได้ไกลสูงสุดถึง 100 กิโลเมตร และยังสามารถจดทะเบียน ต่อภาษีได้เหมือนรถยนต์ทั่วไป มาในราคา 289,000 บาท (ราคายังไม่รวมจดทะเบียน)

รุ่นนี้ประตูบานท้ายเปิดได้ มียางอะไหล่ด้านท้าย พร้อมกล้องมองหลัง ภายในตกแต่งสีเงิน มาพร้อมชุดมาตรวัดแบบดิจิตอล และเกียร์แบบปุ่มหมุน

ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 5000 วัตต์ พร้อมแบตเตอรี่ 12V 100 แอมป์ ขนาด 6 ลูก ให้ระยะทางต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ที่ 50 – 60 กิโลเมตร (เปิดแอร์) และ 75-100 กิโลเมตร (ปิดแอร์) ใช้เวลาชาร์จประมาณ 6-8 ชั่วโมง และทำความเร็วได้สูงสุด 65-70 กม./ชม.

สมรรถนะ

มอเตอร์ไฟฟ้า แรงม้าสูงสุด แรงบิดสูงสุด แบตเตอรี่
ระยะทางวิ่งได้มากสุด (ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง)
ขนาด 5,000 วัตต์ แบบ 12V 100 แอมป์ ขนาด 6 ลูก 50 – 100 กิโลเมตร

10 อันดับ รถยนต์ไฟฟ้า (รถ EV) ราคาถูกสุดในไทย ปี 2022

4. Takano TTE500 ราคาหลังรับเงินอุดหนุน 420,000 บาท (ราคาเดิม 499,000 บาท)

Takano (ทากาโน่) TTE500 นับว่าเป็นรถกระบะไฟฟ้าขนาดจิ๋วรุ่นเดียวในไทย จากบริษัทผลิตรถอดีตคนในวงการแข่งรถชาวญี่ปุ่น Takashi Kobayashi (ทากาชิ โคบายาชิ) พาคุณไปได้ทุกที่ ประหยัดด้วยค่าไฟ 1 บาท/กิโลเมตร สามารถรับน้ำหนักในการบรรทุกได้มากถึง 300 กิโลกรัม ผลิตในไทย และจดทะเบียนได้

ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 5 กิโลวัตต์ พร้อมแบตเตอรี่ 12V 125 แอมป์ ขนาด 6 ลูก ใต้พื้นกระบะหลัง และเครื่องยนต์เบนซินขนาดจิ๋วช่วยปั่นไฟฟ้าให้แบตเตอรี่ ให้ระยะทางต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ที่ 100-120 กิโลเมตร ใช้เวลาชาร์จประมาณ 6 ชั่วโมง และทำความเร็วได้สูงสุด 60 กม./ชม.

สมรรถนะ

มอเตอร์ไฟฟ้า แรงม้าสูงสุด แรงบิดสูงสุด แบตเตอรี่
ระยะทางวิ่งได้มากสุด (ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง)
แบบกระแสตรง 6.7 แรงม้า แบบ 12V 125 Amp X 6 ความจุ 11 kWh 72 – 80 V 100 – 120 กิโลเมตร

Pocco Duoduo รถยนต์ไฟฟ้าใหม่ล่าสุด เริ่มต้น 389,000 บาท เปิดตัวใน Motor Expo 2021

5. Pocco Duoduo ราคา 429,000 บาท

Pocco Duoduo (ป๊อคโค่ ตั่วตั่ว) หรือ 朋克多多 เป็นรถภายใต้แบรนด์ 朋克 (เผิงเค่อ) มาจากภาษาอังกฤษคำว่า Punk (พังก์) เป็นรถพลังงานไฟฟ้าแบบ Tall Boy 4 ประตู (ดูคล้ายกับรถ K-Car ของญี่ปุ่น) นั่งได้ 4-5 ที่นั่ง ผสมผสานการตกแต่งที่เป็นเอกลักษณ์ จุดชาร์จไฟอยู่บริเวณด้านหน้ารถ โดยใช้สีทูโทนเพื่อให้ดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น เพิ่งเปิดตัวไปในจีนเมื่อเดือนมิถุนายน 2021 สนนราคารุ่น L ปรับราคามาอยู่ที่ 429,000 บาท! (รุ่นแบตเตอรี่ 10.3 kWh) และรุ่น K ราคา 479,000 บาท (รุ่นแบตเตอรี่ 14.5 kWh)

มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 29 กิโลวัตต์ (39 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 110 นิวตัน-เมตร พร้อมแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนฟอสเฟต มีขนาด 10.3 kWh (ใช้เวลาชาร์จ 6-8 ชั่วโมง) สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทางประมาณ 128 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC (ไฟบ้าน 0-100%) ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง

และยังมีแบตเตอรี่ขนาด 14.5 kWh (ใช้เวลาชาร์จ 6-8 ชั่วโมง) ที่เพิ่มระยะทางขึ้นเป็น 178 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC ต่อการชาร์จ (ไฟบ้าน 0-100%) หนึ่งครั้ง ให้เลือก ทำความเร็วได้สูงสุด 100 กม./ชม.

สมรรถนะ

มอเตอร์ไฟฟ้า แรงม้าสูงสุด แรงบิดสูงสุด แบตเตอรี่
ระยะทางวิ่งได้มากสุด (ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง)
แบบ Permanent Magnet Motor 39 แรงม้า 110 นิวตัน-เมตร แบบ Lithium-Ion ความจุ 10.3 หรือ 14.5 kWh 128 – 178 กิโลเมตร

รู้จัก Pocco Meimei รถยนต์ไฟฟ้าคันจิ๋ว ในราคา 399,000 – 469,000 บาท เปิดตัวในงาน Motor Expo 2021 เช่นกัน!

6. Pocco Meimei ราคา 439,000 บาท

Pocco Meimei Mini EV (ป๊อคโค่ เม่ยเม่ย) หรือ 朋克美美 เป็นรถพลังงานไฟฟ้าแบบ 3 ประตู 4 ที่นั่ง ขนาดเล็ก ที่เปิดตัวในจีนตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา สามารถขับขี่ในเมืองได้อย่างสะดวก กับนวัตกรรมสุดล้ำ ยิ่งทวีคูณความน่ารัก น่าเลิฟ ถูกใจคุณผู้หญิงอย่างแน่นอน สนนราคารุ่น L เริ่มต้นที่ 439,000 บาท! (รุ่นแบตเตอรี่ 10.3 kWh) และรุ่น K ราคา 499,000 บาท (รุ่นแบตเตอรี่ 14.5 kWh)

มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 20 กิโลวัตต์ (27 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 100 นิวตัน-เมตร และกำลังสูงสุด 29 กิโลวัตต์ (39 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 105 นิวตัน-เมตร พร้อมแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนฟอสเฟต มีขนาด 9.2 kWh (ใช้เวลาชาร์จ 6-8 ชั่วโมง) สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทางประมาณ 116 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC (ไฟบ้าน 0-100%) ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง

และยังมีแบตเตอรี่ขนาด 14 kWh (ใช้เวลาชาร์จ 6-8 ชั่วโมง) ที่เพิ่มระยะทางขึ้นเป็น 170 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC ต่อการชาร์จ (ไฟบ้าน 0-100%) หนึ่งครั้ง ให้เลือก ทำความเร็วได้สูงสุด 100 กม./ชม.

สมรรถนะ

มอเตอร์ไฟฟ้า แรงม้าสูงสุด แรงบิดสูงสุด แบตเตอรี่
ระยะทางวิ่งได้มากสุด (ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง)
แบบ Permanent Magnet Motor 27 แรงม้า 100 นิวตัน-เมตร แบบ Lithium-Ion ความจุ 10.3 หรือ 14.5 kWh 116 – 170 กิโลเมตร

10 อันดับ รถยนต์ไฟฟ้า (รถ EV) ราคาถูกสุดในไทย ปี 2022

7. Wuling Hongguang MINI EV ราคา 475,000 บาท

Wuling Hongguang MINI EV (วู่หลิง ฮงกวง มินิ อีวี) หรือ 五菱宏光 ในภาษาจีน จัดเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบ Microcar ยอดนิยมของวัยรุ่นจีน เริ่มจำหน่ายในจีนเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2020 ที่ผ่านมา ปัจจุบันสามารถทำยอดขายถึงเดือนกันยายน 2021 มากกว่า 400,000 คัน! รวมทั้งส่งออกไปยังต่างประเทศด้วย

และในบ้านเราก็มีผู้จำหน่ายอิสระนำเข้ามาจำหน่ายหลายเจ้าด้วยกัน เป็นแบบรถพวงมาลัยซ้ายเท่านั้น ซึ่งเจ้าที่เสนอราคาถูกที่สุดในเวลานี้ ราคา 475,000 บาท (ราคารวมภาษีแล้ว)

ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 27 แรงม้า ส่งกำลังไปยังล้อคู่หลัง ใช้แบตเตอรี่แบบลิเธียมโพลิเมอร์มีขนาด 9.3 kWh (กินเวลาชาร์จ 6.5 ชั่วโมง) สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทางประมาณ 120 กิโลเมตร ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และยังมีแบตเตอรี่ขนาด 13.9 kWh (กินเวลาชาร์จ 9 ชั่วโมง) ที่เพิ่มระยะทางขึ้นเป็น 170 กิโลเมตร ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ให้เลือก

สมรรถนะ

มอเตอร์ไฟฟ้า แรงม้าสูงสุด แรงบิดสูงสุด แบตเตอรี่
ระยะทางวิ่งได้มากสุด (ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง)
แบบ Permanent Magnet Motor 27 แรงม้า 85 นิวตัน-เมตร แบบ Lithium-Ion Polymer ความจุ 9.3 หรือ 13.9 kWh 120 – 170 กิโลเมตร

10 อันดับ รถยนต์ไฟฟ้า (รถ EV) ราคาถูกสุดในไทย ปี 2022

8. Fomm ONE ราคา 499,900 บาท

FOMM One (ฟอมม์ วัน) เป็นรถยนต์ไฟฟ้า 4 ที่นั่ง ที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก เป็นหนึ่งในยานยนต์ไฟฟ้าที่ผ่านมาตรฐานรถยนต์ขนาดเล็ก L7e จากยุโรป เหมาะสำหรับใช้งานในเมืองมาก พร้อมจดทะเบียนได้

การออกแบบเน้นประโยชน์การใช้สอยและความน่ารักสวยงาม ส่วนภายในห้องโดยสาร ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ขับขี่รู้สึกง่ายๆ แต่คล่องแคล่วปราดเปรียว โดยมีคันเร่งติดอยู่ที่พวงมาลัย เพื่อช่วยลดความผิดพลาดขณะการเบรกรถฉุกเฉิน

แถมยังมีระบบป้องกันน้ำเข้าภายในห้องโดยสาร สามารถลอยตัวในน้ำได้ เมื่อเกิดเหตุน้ำท่วมสูงเกิน 70 ซม. (หมายเหตุ: FOMM One ไม่ใช่ยานยนต์สะเทินน้ำสะเทินบก) ซึ่งการออกแบบให้สามารถลอยตัวในน้ำได้นั้น เพื่อรับมือกับภัยธรรมชาติที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้

ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าแบบ In-wheel ขนาด 5 kW จำนวน 2 ตัว ให้แรงบิดรวมสูงสุด 560 นิวตัน-เมตร สามารถชาร์จไฟจนเต็ม (0-100%) ในเวลา 6 ชั่วโมง สามารถวิ่งได้ระยะทางมากถึง 160 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน WLTC) สามารถทำความเร็วได้สูงสุดถึง 80 กม./ชม. เลยทีเดียว และยังมีน้ำหนักตัวรถที่เบาเพียง 445 กิโลกรัม (ไม่รวมแบตเตอรี่)

สมรรถนะ

มอเตอร์ไฟฟ้า แรงม้าสูงสุด แรงบิดสูงสุด แบตเตอรี่
ระยะทางวิ่งได้มากสุด (ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง)
แบบ In-Wheel 5 กิโลวัตต์ X 2 (13.4 แรงม้า) 280 นิวตัน-เมตร X 2 แบบ Lithium-Manganese ความจุ 2.96 kWh 160 กิโลเมตร

10 อันดับ รถยนต์ไฟฟ้า (รถ EV) ราคาถูกสุดในไทย ปี 2022

9. MG EP ราคา 761,000 บาท (ได้ส่วนลดจากมาตรการส่งเสริมจากภาครัฐ 227,000 บาท)

MG EP (เอ็มจี อีพี) รถยนต์ในรูปแบบ Station Wagon ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นแรกในประเทศไทย ที่มาพร้อมแนวคิด EVeryone ตอบโจทย์ทุกฟังก์ชัน รถยนต์พลังงานไฟฟ้าของทุกคน” 

ประกอบด้วยองค์ประกอบพื้นฐาน ได้แก่ ขนาดของห้องโดยสารและพื้นที่ใช้สอย ที่กว้างขวางรองรับการบรรทุกทั้งคนและสิ่งของ โดดเด่นด้วยสมรรถนะของ EV เทคโนโลยีที่ให้กำลังเพียงพอต่อการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน พร้อมระบบความปลอดภัยที่ครบครัน นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้งหน้าจอ Touchscreen ขนาด 8 นิ้ว ที่รองรับการเชื่อมต่อกับ Apple CarPlay

และสมรรถนะจาก EV เทคโนโลยี (EV Technology) ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีกำลังสูงสุด 163 แรงม้า มีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายในเวลาเพียง 8.8 วินาที พร้อมโหมดการขับขี่ให้เลือก 3 รูปแบบ คือ Eco, Normal และ Sport รวมทั้งมีระบบชาร์จไฟกลับเมื่อชะลอความเร็ว หรือ KERS Mode รวม 3 ระดับ

สำหรับแบตเตอรี่ของ NEW MG EP เป็นลิเธียมไอออนแบบโมดูล ที่สามารถแยกซ่อมแต่ละโมดูลได้อิสระ โดยมีขนาดความจุถึง 50.3 kWh ให้ระยะทางในการขับขี่ได้ไกลถึง 380 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง

ซึ่งสามารถชาร์จไฟได้ 2 รูปแบบ คือ การชาร์จในรูปแบบ Normal Charge จาก 0-100% ผ่าน MG Home Charger ที่ใช้เวลา 7.15 ชั่วโมง และรูปแบบ Quick Charge จาก 0-80% ผ่านสถานีอัดประจุไฟฟ้าแบบเร็ว ซึ่งใช้ระยะเวลาเพียง 40 นาที

ราคาของ MG EP มีดังนี้จ้า

  • Wagon ราคา 761,000 บาท (ได้ส่วนลดจากมาตรการส่งเสริมจากภาครัฐ 227,000 บาท)
  • Plus ราคา 771,000 บาท (ได้ส่วนลดจากมาตรการส่งเสริมจากภาครัฐ 227,000 บาท)

สมรรถนะ

มอเตอร์ไฟฟ้า แรงม้าสูงสุด แรงบิดสูงสุด แบตเตอรี่
ระยะทางวิ่งได้มากสุด (ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง)
แบบ Permanent Magnet Synchronous Motor 163 แรงม้า 260 นิวตัน-เมตร แบบ Lithium-Ion ความจุ 50.3 kWh 380 กิโลเมตร

ORA Good Cat 2022

10. ORA Good Cat ราคาหลังรับเงินอุดหนุน 763,000 บาท (ราคาเดิม 828,500 บาท)

Great Wall Motor (เกรท วอลล์ มอเตอร์) ได้สร้างประวัติศาสตร์ให้โลกรถยนต์ไฟฟ้า (รถ EV) กับ ORA Good Cat (โอร่า กู๊ดแคท) (หรือชื่อในภาษาจีน 好猫”) เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อ 24 พฤศจิกายน 2020 และ ORA Good Cat ก็มาเผยโฉมในไทยเมื่อต้นปีนี้ พร้อมกับความโดดเด่น น่ารักด้วยรูปลักษณ์โค้งมนในสไตล์ Retro Futuristic แสดงถึงการดีไซน์แบบคลาสสิค ซึ่งออกแบบโดย Emanuel Derta อดีตนักออกแบบจาก Porsche ผสานเทคโนโลยีการขับขี่ใหม่ล่าสุด

ORA Good Cat ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 105 กิโลวัตต์ (143 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 210 นิวตัน-เมตร ให้อัตราเร่ง 0-50 กม./ชม. ภายใน 3.8 วินาที จำกัดความเร็วสูงสุดไว้ที่ 152 กม./ชม. ถ่ายทอดกำลังผ่านระบบเกียร์ ORA-Goddess Easy Drive พร้อมระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ

การชาร์จแบบเร็วด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC (30%–>80%) ใช้เวลาประมาณ ≈32 นาที และ 40 นาที (ในรุ่น 500 Ultra), ชาร์จแบบเร็วด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC (0%–>80%) ใช้เวลาประมาณ ≈45 นาที และ ≈60 นาที (ในรุ่น 500 Ultra) กับการชาร์จไฟบ้านแบบ AC ใช้เวลาประมาณ ≈8 ชั่วโมง และ ≈10 ชั่วโมง (ในรุ่น 500 Ultra)

ราคาของ ORA Good Cat มีดังนี้จ้า

  • 400KM Tech ราคาหลังรับเงินอุดหนุน 828,500 บาท (ราคาเดิม 989,000 บาท)
  • 400KM Pro ราคาหลังรับเงินอุดหนุน 898,500 บาท (ราคาเดิม 1,059,000 บาท)
  • 500KM Ultra ราคาหลังรับเงินอุดหนุน 1,038,500 บาท (ราคาเดิม 1,199,000 บาท)
มอเตอร์ไฟฟ้า แรงม้าสูงสุด แรงบิดสูงสุด แบตเตอรี่
ระยะทางวิ่งได้มากสุด (ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง)
แบบ Permanent Magnet Synchronous Motor 143 แรงม้า 210 นิวตัน-เมตร แบบ Lithium-Ion ความจุ 47.788 kWh และ 63.139 kWh 400 – 500 กิโลเมตร

BYD-T3

อันนี้แถมให้ … BYD T3 ราคา 999,000 บาท

BYD T3 (บีวายดี ที3) เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตขึ้นบนพื้นฐาน Nissan B Platform (หรือ Nissan NV200) เป็นรถตู้ทึบ ใช้งานในเชิงพาณิชย์ โดยมาพร้อมกับตัวแทนจำหน่ายรายใหม่ Siam ATR ซึ่งเป็นบริษัทลูกของสยามกลการ

และยังมีแยกออกเป็นรุ่น M3 แบบรถอเนกประสงค์ 5 ที่นั่งให้เลือก ในราคา 1,059,000 บาท และรุ่น 7 ที่นั่ง ในราคา 1,089,000 บาท สามารถรองรับสัมภาระได้มากถึง 1,800 ลิตร (ในรุ่น 5 ที่นั่ง) และ 3,800 ลิตร (ในรุ่น 2 ที่นั่ง รถตู้ทึบ)

มาพร้อมด้วยระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 100% ด้วยมอเตอร์ 70 kWh พร้อมด้วยแบตเตอรี่ขนาด 50 kWh สามารถวิ่งได้ระยะทาง 300 กม. (คำนวณจากที่รวมน้ำหนักบรรทุก 700 กก. หรือเทียบเท่ามีผู้โดยสาร 7 คน) อัตราการสิ้นเปลือง 1 kWh : 6 กม. เทียบเท่ากับ กม.ละ เพียง 0.833 บาท ซึ่งประหยัดกว่าค่าน้ำมันเชื้อเพลิงถึง 3 เท่า

ระยะเวลาในการชาร์จแบบ DC จะใช้เวลาในการชาร์จประมาณ 1.30 ชั่วโมง และชาร์จด้วยไฟ AC จะใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง

สมรรถนะ

มอเตอร์ไฟฟ้า แรงม้าสูงสุด แรงบิดสูงสุด แบตเตอรี่
ระยะทางวิ่งได้มากสุด (ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง)
แบบ AC Permanent Magnet Synchronous Motor 94 แรงม้า 180 นิวตัน-เมตร แบบ NCM ความจุ 50 kWh กำลังไฟ DC 40 kW / AC 6.6 kW 300 กิโลเมตร

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

Mr.Carro หวังว่า 10 อันดับ รถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกสุดในไทยที่นำมาเสนอนั้น หากใครอยากได้ หรือกำลังตัดสินใจจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงอยู่พอดี แต่งบไม่พอ! มาขายรถคันเดิมของคุณกับทาง Carro สิ! คลิกเลยที่ https://th.carro.co/sell-car/express รับรองได้เงินเร็ว ไว ทันใจแน่นอน!

Carro Automall ตลาดรถ

ส่วนใครสนใจจะซื้อรถมือสอง Carro แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ คุณสามารถจองรถได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น! พร้อมคำนวณสินเชื่อและค่างวด ได้ภายในเว็บไซต์ทันที!

ซึ่ง Carro เรามีรถให้คุณเลือกมากมาย รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพโดย Carro Certified อย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 160 จุด, การันตีคืนเงินภายใน 5 วัน, รับประกันเครื่องยนต์และเกียร์ 1 ปี, รับประกันไม่กรอไมล์ และไม่ประสบอุบัติเหตุหนัก ไฟไหม้ หรือน้ำท่วม พร้อมรับประกันคุณภาพรถ 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร!

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” เลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา รวมถึงมีเทคโนโลยีสนับสนุนฝ่ายขาย ทั้ง Digital Device ที่เชื่อมต่อกับ Digital Screen นำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และจัดการเรื่องเอกสารให้กับลูกค้าให้ตั้งแต่ต้นจนจบ บวกกับ Online Viewing Service ที่ลูกค้าสามารถวิดีโอคอล ตรวจสภาพรถยนต์คันที่สนใจได้แบบเรียลไทม์ ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ Carro สิ!

หรือถ้าหากคุณสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงกรอกชื่อ-เบอร์โทรศัพท์ และรถที่คุณสนใจ ไว้ที่ “รับการแจ้งเตือน” เมื่อมีรถที่คุณต้องการ Carro จะรีบติดต่อไปยังคุณทันที สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> Carro Thailand โทร. 02-460-9380 หรือทาง Line @carrothai

หมายเหตุ : ข้อมูลสินค้า 10 อันดับข้างต้นนี้ เป็นข้อมูลสินค้าที่ Update ณ เดือนเมษายน 2565 เมื่อเวลาผ่านไปราคาและอันดับดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ โปรดสอบถามรายละเอียดหรือราคาล่าสุด ที่ตัวแทนจำหน่ายรถรุ่นนั้นๆ อีกครั้ง

ซื้อมั้ย! 15 รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นเด่น ในงาน Motor Show 2022

ในปี 2022 นี้ บอกได้คำเดียวเลยว่า “รถยนต์ไฟฟ้า” หรือ Electric Vehicle (รถ EV) กำลังมาแรงสุดๆ ในไทยและในวงการยานยนต์โลก ด้วยยอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นรถที่แทบจะไม่มีมลพิษ ช่วยให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น จนค่ายรถทุกค่าย ต่างต้องรีบป้อนรถยนต์ไฟฟ้าในแบรนด์ของตัวเอง ออกมาขายกันยกใหญ่

และในยุคที่ราคาน้ำมันแพงไปทั่วโลกขณะนี้ ยิ่งทำให้ผู้คนต้องเริ่มหันมาจับตามอง รวมไปถึงการที่ค่ายรถ (บางแบรนด์) ได้ร่วมลงนาม MOU บันทึกข้อตกลงร่วมกับกรมสรรพสามิตในเฟสแรก รัฐบาลจะมอบเงินอุดหนุน จำนวน 70,000 – 150,000 บาทต่อคันตามขนาดแบตเตอรี่รถยนต์ ทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้า (บางแบรนด์) ถูกลงกว่าเดิม พร้อมสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจากการลดลงของภาษีมูลค่าเพิ่ม ต้องซื้อแล้วล่ะแบบนี้ แล้วมาขายรถคันเดิมที่ CARRO Express ได้เลย

และในงาน Motor Show 2022 (มอเตอร์โชว์ 2022) ที่จัดขึ้นในเวลานี้ รถพลังงานไฟฟ้ายอดฮิต คงต้องยกให้กับแบรนด์รถยนต์ของจีน และของยุโรปหลายๆ แบรนด์ ส่วนทางด้านค่ายญี่ปุ่น แม้จะมีรถยนต์ไฟฟ้านำมาโชว์ในงานนี้แล้ว แต่แผนการผลิตและจำหน่ายในไทยยังดูเงียบกริ้บ

MR.CARRO ขอพาทุกท่านไปชม รถยนต์ไฟฟ้า ภายในงาน Motor Show 2022 จะมีรถรุ่นเด่นๆ ที่น่าสนใจ รุ่นไหนบ้าง? เราขอจัดเต็ม (เฉพาะรุ่นที่มีขายในงาน มีราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ) มาให้เลือกดูกัน 15 รุ่นเลยครับ …

ซื้อมั้ย! 15 รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นเด่น ในงาน Motor Show 2022

1. ORA Good Cat

ORA Good Cat (โอร่า กู๊ดแคท) เรียกได้ว่ายังคงมาแรงอย่างต่อเนื่อง คนดูกันแน่นขนัดในงาน Motor Show 2022 แถมมียอดจองยาวนานหลายเดือน สำหรับเจ้าแมวเหมียวไฟฟ้าคันนี้ แถมยังได้ปรับลดราคาลงมามากถึง 160,500 บาท! กับ 2 รูปแบบแบตเตอรี่ และ 3 รุ่นย่อย

พร้อมนำ ORA Good Cat GT เจ้าเหมียวไฟฟ้าดีไซน์สปอร์ต เผยโฉมครั้งแรกในไทย มาโชว์พร้อมรับจองผ่านทาง Application GWM ด้วยจ้า

ORA Good Cat ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 105 กิโลวัตต์ (143 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 210 นิวตัน-เมตร ให้อัตราเร่ง 0-50 กม./ชม. ภายใน 3.8 วินาที จำกัดความเร็วสูงสุดไว้ที่ 152 กม./ชม. ถ่ายทอดกำลังผ่านระบบเกียร์ ORA-Goddess Easy Drive พร้อมระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ

การชาร์จแบบเร็วด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC (30%–>80%) ใช้เวลาประมาณ ≈32 นาที และ 40 นาที (ในรุ่น 500 Ultra), ชาร์จแบบเร็วด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC (0%–>80%) ใช้เวลาประมาณ ≈45 นาที และ ≈60 นาที (ในรุ่น 500 Ultra) กับการชาร์จไฟบ้านแบบ AC ใช้เวลาประมาณ ≈8 ชั่วโมง และ ≈10 ชั่วโมง (ในรุ่น 500 Ultra)

ในราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น!

  • รุ่น 400KM Tech จากราคา 989,000 บาท เป็นราคา 828,500 บาท
  • รุ่น 400KM Pro จากราคา 1,059,000 บาท เป็นราคา 898,500 บาท
  • รุ่น 500KM Ultra จากราคา 1,199,000 บาท เป็นราคา 1,038,500 บาท

ORA Good Cat 2022 ยังมาพร้อมโปรโมชั่นเด็ดๆ อาทิ

  • รับดอกเบี้ยพิเศษ 1.79% นาน 48 เดือน เมื่อดาวน์ 25% สำหรับทุกรุ่น
  • ฟรีโฮมชาร์จเจอร์พร้อมติดตั้ง
  • ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง 1 ปี
  • แพ็กเกจบำรุงรักษา GWM PRO Service Inclusive (GPSI) 5 ปี
  • รับสิทธิ์ในการเรียกใช้บริการรับและส่งมอบรถยนต์เพื่อเข้ารับบริการบำรุงรักษาตามระยะทาง 4 ครั้ง
  • บริการช่วยเหลือฉุกเฉินฟรี 5 ปี
  • รับคะแนนสะสม GWM Point 15,000 คะแนน

และสิทธิประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย รวมมูลค่ากว่า 136,000 บาท

ซื้อมั้ย! 15 รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นเด่น ในงาน Motor Show 2022

2. Pocco Duoduo

Pocco Duoduo (ป๊อคโค่ ตั่วตั่ว) หรือ 朋克多多 เป็นรถภายใต้แบรนด์ 朋克 (เผิงเค่อ) มาจากภาษาอังกฤษคำว่า Punk (พังก์) เป็นรถพลังงานไฟฟ้าแบบ Tall Boy 4 ประตู (ดูคล้ายกับรถ K-Car ของญี่ปุ่น) นั่งได้ 4-5 ที่นั่ง ผสมผสานการตกแต่งที่เป็นเอกลักษณ์ จุดชาร์จไฟอยู่บริเวณด้านหน้ารถ โดยใช้สีทูโทนเพื่อให้ดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น เพิ่งเปิดตัวไปในจีนเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 29 กิโลวัตต์ (39 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 110 นิวตัน-เมตร พร้อมแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนฟอสเฟต มีขนาด 10.3 kWh (ใช้เวลาชาร์จ 6-8 ชั่วโมง) สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทางประมาณ 128 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC (ไฟบ้าน 0-100%) ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง

และยังมีแบตเตอรี่ขนาด 14.5 kWh (ใช้เวลาชาร์จ 6-8 ชั่วโมง) ที่เพิ่มระยะทางขึ้นเป็น 178 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC ต่อการชาร์จ (ไฟบ้าน 0-100%) หนึ่งครั้ง ให้เลือก ทำความเร็วได้สูงสุด 100 กม./ชม.

สนนราคารุ่น L เริ่มต้นที่ 389,000 บาท! (รุ่นแบตเตอรี่ 10.3 kWh) และรุ่น K ราคา 449,000 บาท (รุ่นแบตเตอรี่ 14.5 kWh)

ซื้อมั้ย! 15 รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นเด่น ในงาน Motor Show 2022

3. Pocco Meimei

Pocco Meimei Mini EV (ป๊อคโค่ เม่ยเม่ย) หรือ 朋克美美 เป็นรถพลังงานไฟฟ้าแบบ 3 ประตู 4 ที่นั่ง ขนาดเล็ก ที่เปิดตัวในจีนตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา สามารถขับขี่ในเมืองได้อย่างสะดวก กับนวัตกรรมสุดล้ำ ยิ่งทวีคูณความน่ารัก น่าเลิฟ ถูกใจคุณผู้หญิงอย่างแน่นอน

มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 20 กิโลวัตต์ (27 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 100 นิวตัน-เมตร และกำลังสูงสุด 29 กิโลวัตต์ (39 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 105 นิวตัน-เมตร พร้อมแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนฟอสเฟต มีขนาด 9.2 kWh (ใช้เวลาชาร์จ 6-8 ชั่วโมง) สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทางประมาณ 116 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC (ไฟบ้าน 0-100%) ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง

และยังมีแบตเตอรี่ขนาด 14 kWh (ใช้เวลาชาร์จ 6-8 ชั่วโมง) ที่เพิ่มระยะทางขึ้นเป็น 170 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC ต่อการชาร์จ (ไฟบ้าน 0-100%) หนึ่งครั้ง ให้เลือก ทำความเร็วได้สูงสุด 100 กม./ชม.

สนนราคารุ่น L เริ่มต้นที่ 399,000 บาท! (รุ่นแบตเตอรี่ 10.3 kWh) และรุ่น K ราคา 469,000 บาท (รุ่นแบตเตอรี่ 14.5 kWh)

ซื้อมั้ย! 15 รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นเด่น ในงาน Motor Show 2022

4. Takano TTE500

Takano TTE500 (ทากาโน่ ทีทีอี 500) นับว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้ารูปทรงกระบะรุ่นเดียวที่มีจำหน่ายในไทย เป็นแบรนด์ที่ก่อตั้งขึ้นมาจากอดีตนักแข่งรถของญี่ปุ่น ที่ต้องการทำสิ่งดีๆ เพื่อโลกใบนี้บ้าง โดยรถกระบะไฟฟ้าขนาดจิ๋วคันนี้ พาคุณไปได้ทุกที่ สามารถรับน้ำหนักในการบรรทุกได้มากถึง 300 กิโลกรัม

ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 5 กิโลวัตต์ พร้อมแบตเตอรี่ 12V 125 แอมป์ ขนาด 6 ลูก ใต้พื้นกระบะหลัง และเครื่องยนต์เบนซินขนาดจิ๋วช่วยปั่นไฟฟ้าให้แบตเตอรี่ ให้ระยะทางต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ที่ 100-120 กิโลเมตร โดยใช้เงินเพียง 30 บาท และทำความเร็วได้สูงสุด 60 กม./ชม.

พร้อมรับประกันแบตเตอรี่ 4 ปี

Takano TTE500 ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 490,000 บาท

ซื้อมั้ย! 15 รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นเด่น ในงาน Motor Show 2022

5. Lexus UX 300e

The New All-Electric Lexus UX 300e (เลกซัส ยูเอ็กซ์300อี) จัดเป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกจากค่ายเลกซัส ภายใต้แบรนด์ “LEXUS ELECTRIFIED” ซึ่ง Lexus ประเทศญี่ปุ่น ได้ประกาศอย่างเป็นทางการในงานโตเกียวมอเตอร์โชว์ 2019 เพื่อใช้เป็นกลยุทธ์ในการดำเนินงานของรถยนต์ไฟฟ้าภายใต้แบรนด์เลกซัสทั่วโลก

โดย The New All-Electric Lexus UX 300e ยนตรกรรมรถยนต์ไฟฟ้า มีรูปลักษณ์ภายนอกโดดเด่นด้วยเส้นสายที่เฉียบคม ภายในออกแบบอย่างปราณีต ให้ความสำคัญกับผู้ขับขี่และผู้โดยสารเป็นหลัก พร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานที่ล้ำสมัยสมรรถนะการขับขี่ที่ยอดเยี่ยมเหนือใครจากสถาปัตยกรรมโครงสร้างตัวถังแบบใหม่ GA-C (Global Architecture-Compact Platform) ซึ่งมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ การทรงตัวดีเยี่ยม

พร้อมด้วยระบบการขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้าที่สมบูรณ์แบบ ให้พละกำลังสูงสุดถึง 201 แรงม้า อัตราเร่งแรง ดุดัน มีสมรรถนะอันทรงพลัง โดยระยะทางวิ่งได้สูงสุด 360* กม.ต่อการชาร์จไฟหนึ่งครั้ง (ตามมาตรฐาน NEDC)

และชาร์จแบบ Quick DC Charger 0-80% ได้ภายใน 50 นาที สำหรับการชาร์จแบบกระแสตรงผ่านการชาร์จด้วยเครื่องชาร์จ 50 กิโลวัตต์ ด้วยกำลังไฟ 125 แอมป์ โดยแบตเตอรี่มีขนาด 54 kWh

รับประกันทั้งระบบ 4 ปี ไม่จำกัดระยะทาง พร้อมรับประกันแบตเตอรี่ 10 ปี

Lexus UX 300e ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 3,490,000 บาท!

ซื้อมั้ย! 15 รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นเด่น ในงาน Motor Show 2022

6. Nissan Leaf

Nissan Leaf (นิสสัน ลีฟ) “Simply Amazing” เป็นรถยนต์ไฟฟ้าขายดีที่สุดรุ่นหนึ่งของโลก ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า “100%” และมีอัตราการปล่อยมลพิษเป็น “0” และถือเป็นรถค่ายญี่ปุ่นเจ้าแรก ที่กระโดดลงมาทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทยอย่างจริงจัง แม้ว่าตอนนี้กระแสรถ EV ค่ายนี้จะดูเงียบๆ ไปบ้างก็ตาม

Nissan Leaf ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 320 นิวตัน-เมตร ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลา 7.9 วินาที รองรับการขับขี่เป็นระยะทาง 311 กิโลเมตร ต่อการชาร์จหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน NEDC

ติดตั้งแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนความจุ 40 kWh สามารถชาร์จด้วยกำลังไฟขนาด 3.6 kW ได้ในเวลา 12 ชั่วโมง และกำลังไฟขนาด 6.6 kW ในเวลา 6 ชั่วโมง รองรับการชาร์จด่วนจนถึงระดับ 80% ได้ในเวลา 40 นาที

รับประกันทั้งระบบ 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร พร้อมรับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)

Nissan Leaf ในราคาพร้อมซื้อ 1,499,000 บาท!

ซื้อมั้ย! 15 รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นเด่น ในงาน Motor Show 2022

7. MG EP EV

MG EP (เอ็มจี อีพี) รถยนต์ในรูปแบบ Station Wagon ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ด้วยแนวคิด “EVeryone ตอบโจทย์ทุกฟังก์ชัน รถยนต์พลังงานไฟฟ้าของทุกคน” มีค่าใช้จ่ายการชาร์จไฟฟ้าตั้งแต่0-100% เฉลี่ยเพียง200 บาทหรือเฉลี่ยค่าใช้จ่ายไม่ถึง บาท/กม. จึงทำให้ประหยัดกว่ารถยนต์น้ำมั 2-3 เท่า

ประกอบด้วยองค์ประกอบพื้นฐาน ได้แก่ ขนาดของห้องโดยสารและพื้นที่ใช้สอย ที่กว้างขวางรองรับการบรรทุกทั้งคนและสิ่งของ โดดเด่นด้วยสมรรถนะของ EV เทคโนโลยีที่ให้กำลังเพียงพอต่อการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน พร้อมระบบความปลอดภัยที่ครบครัน นอกจากนี้ ยังมีหน้าจอ Touchscreen ขนาด 8 นิ้ว ที่รองรับการเชื่อมต่อกับ Apple CarPlay

และในส่วนของรุ่น Plus ได้ติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมทั้งชุดราวหลังคา (Roof Rail) รองรับน้ำหนักได้ถึง 75 กิโลกรัม, ติดตั้งระบบกรองอากาศ PM 2.5 และแผ่นปิดห้องเครื่องด้านหน้า

และสมรรถนะจาก EV เทคโนโลยี (EV Technology) ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีกำลังสูงสุด 163 แรงม้า มีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายในเวลาเพียง 8.8 วินาที พร้อมโหมดการขับขี่ให้เลือก 3 รูปแบบ คือ Eco, Normal และ Sport รวมทั้งมีระบบชาร์จไฟกลับเมื่อชะลอความเร็ว หรือ KERS Mode รวม 3 ระดับ

สำหรับแบตเตอรี่ของ New MG EP เป็นลิเธียมไอออนแบบโมดูล ที่สามารถแยกซ่อมแต่ละโมดูลได้อิสระ โดยมีขนาดความจุถึง 50.3 kWh ให้ระยะทางในการขับขี่ได้ไกลถึง 380 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง

ซึ่งสามารถชาร์จไฟได้ 2 รูปแบบ คือ การชาร์จในรูปแบบ Normal Charge จาก 0-100% ผ่าน MG Home Charger ที่ใช้เวลา 7.15 ชั่วโมง และรูปแบบ Quick Charge จาก 0-80% ผ่านสถานีอัดประจุไฟฟ้าแบบเร็ว ซึ่งใช้ระยะเวลาเพียง 40 นาที

พร้อมรับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 180,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)

MG EP มาในราคาเบาๆ จากเดิม 988,000 บาท (ได้ส่วนลดจากมาตรการส่งเสริมจากภาครัฐ 227,000 บาท) ลดลงมาเหลือ 761,000 บาท! และ MG EP Plus ราคาเดิม 998,000 บาท (ได้ส่วนลดจากมาตรการส่งเสริมจากภาครัฐ 227,000 บาท) เหลือ 771,000 บาท!

ซื้อมั้ย! 15 รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นเด่น ในงาน Motor Show 2022

8. MG ZS EV

New MG ZS EV (เอ็มจี แซดเอส อีวี) รถยนต์ไฟฟ้า 100% โฉมใหม่ ที่มาพร้อมกับ Concept “Truly Easy” เรียบหรู ล้ำสมัยภายใต้แนวคิด BRIT Dynamic ลงตัวสมบูรณ์แบบในทุกด้าน ทั้งสมรรถนะ (Performance) การควบคุม (Handing) การออกแบบ (Design) และความปลอดภัย (Safety) ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ทันสมัย ขับขี่ง่าย มั่นใจในทุกเส้นทาง

ภายในมาพร้อมการใช้งานที่ “ง่าย” และ สบาย ยิ่งขึ้น กว้างขวาง เรียบหรู แฝงความสปอร์ตพรีเมี่ยมด้วยคอนโซลหน้าลายคาร์บอนไฟเบอร์ และเบาะหนังดำเดินด้ายแดง พร้อมวัสดุบุนุ่มแบบ Soft Touch และฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครัน บวกกับหน้าจอสีระบบสัมผัสดีไซน์ใหม่ ขนาด 10 นิ้ว มีระบบชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย (Wireless Charger) และหลังคาซันรูฟแบบพาโนรามา (Panoramic Sunroof) เป็นต้น

ตอบโจทย์เอาท์ดอร์ไลฟ์สไตล์ด้วยฟีเจอร์ V2L (Vehicle to Load) จ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้า ด้วยกำลังสูงสุดถึง 2,200 วัตต์ สมรรถนะสูง ด้วยมอเตอร์ขนาด 177 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร มีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. อยู่ที่ 8.6 วินาที และด้วยแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ความจุ 50.3 kWh สามารถขับขี่ได้ระยะทางสูงสุดถึง 403 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง (ตามมาตรฐาน NEDC) พร้อมมีระบบ Liquid Cooling System ช่วยระบายความร้อนให้ทั้งมอเตอร์ไฟฟ้า

พร้อมรับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 180,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)

New MG ZS EV มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย ได้แก่ รุ่น D รุ่นเริ่มต้น ราคา 949,000 บาท (ได้ส่วนลดจากมาตรการส่งเสริมจากภาครัฐ 240,000 บาท) และรุ่น X ซึ่งเป็นรุ่นท็อป ในราคา 1,023,000 บาท (ได้ส่วนลดจากมาตรการส่งเสริมจากภาครัฐ 246,000 บาท)

ซื้อมั้ย! 15 รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นเด่น ในงาน Motor Show 2022

9. Tesla Model Y

Tesla Model Y (เทสลา โมเดล วาย) รถยนต์ไฟฟ้าชื่อดังที่สุดในโลก ในรูปแบบ Crossover 5 ที่นั่งรุ่นล่าสุด สร้างบนพื้นฐานของ Tesla Model 3 กับราคาที่จับต้องได้ ที่แม้ว่าในบ้านเรา Tesla ยังไม่ได้เข้ามาทำตลาดด้วยตัวเอง แต่ก็มีผู้จำหน่ายอิสระได้นำเข้ามาขายกันหลายเจ้าเลยทีเดียว

ขุมพลัง มีให้เลือกทั้งแบบ Single Motor และ Dual Motor ขับเคลื่อนล้อหลัง และแบบ AWD ในรุ่น Dual Motor มอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 283 แรงม้า พร้อมแบตเตอรี่ที่มีให้เลือกทั้งแบบ Standard Plus, Long Range และ Performance เป็นแบบขนาด 75 kWh

ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 5.6 วินาที (Standard Plus), 5 วินาที (Long Range) และ 3.3 วินาที (Performance) ทำความเร็วได้สูงสุด 217 กม./ชม. (Standard Plus, Long Range) และ 250 กม./ชม. (Performance) ให้ระยะทางวิ่ง 455 กิโลเมตร (Single Motor), 542 กิโลเมตร (Dual Motor) และ 528 กิโลเมตร (Performance) ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (คำนวณตามมาตรฐาน WLTP) โดยใช้เวลาชาร์จประมาณ 6 – 6.5 ชั่วโมง

ราคาพิเศษเพียง 2,990,000 บาท! จองในงานพร้อมรับฟรี Wall box (แท่นชาร์จ) จาก Tesla มูลค่ากว่า 5 หมื่นบาท

ซื้อมั้ย! 15 รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นเด่น ในงาน Motor Show 2022

10. Audi e-tron GT

Audi e-tron GT (อาวดี้ อี-ทรอน จีที) ซุปเปอร์คาร์พลังงานไฟฟ้า 100% สเปคไทยพวงมาลัยขวา เป็นยนตรกรรมที่น่าตื่นเต้นที่สุด ฮอตที่สุด หลังจากการเปิดตัวผ่าน Online World Premier ของ AUDI AG เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา ผลิตจากโรงงาน Böllinger Höfe ประเทศเยอรมนี

เป็นยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นที่ 3 ที่ทาง อาวดี้ ประเทศไทย นำเข้ามาจำหน่าย พร้อมข้อเสนอราคาพิเศษเริ่มต้นเพียง 6,390,000 บาท สำหรับรุ่น e-tron GT quattro ส่วน e-tron GT quattro Performance ราคาเพียง 6,790,000 บาท และตัวท็อปที่สุดคือ RS e-tron GT quattro เปิดตัวในราคาเพียง 9,490,000 บาท พร้อมออฟชั่นจัดเต็ม คุ้มค่าอย่างแน่นอน

มาพร้อมกับนวัตกรรมไฟหน้า Matrix LED with Laser light กับหลังคาพาโนรามิคผสานเทคโนโลยีอันทันสมัยในการกรองแสง โดยมาพร้อมล้อขนาด 20 นิ้ว ดิสก์เบรก 4 ล้อ พร้อมคาลิเปอร์เบรกสีดำ

การออกแบบที่ยึดมั่นใน DNA ของ Audi สะท้อนให้เห็นความโดดเด่นและแตกต่างอย่างลงตัว ด้วยพลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ของ e-motors ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตำแหน่ง กำลังสูงสุด 530 แรงม้า ใน Boost Mode แรงบิดสูงสุด 630 นิวตันเมตร ส่วนในรุ่น Top อย่าง RS ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตำแหน่ง ให้พละกำลังสูงถึง 646 แรงม้า ใน Boost Mode แรงบิดสูงสุด 830 นิวตันเมตร
มาพร้อมกับระบบ Electric quattro ที่เพิ่มสมรรถนะการขับขี่ การทรงตัว และออกตัวในลักษณะเร่งแซงมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ Audi ไม่หยุดที่จะพัฒนาเทคโนโลยี ที่เรียกกันว่า e-sound เสียงสังเคราะห์ e-tron แบบ Sports เพิ่มสุนทรียภาพในการขับขี่ด้วยเสียงสังเคราะห์ ยกระดับให้ความสนุกสนานในการขับรถไฟฟ้าอย่างสมบูรณ์แบบ

อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 4.1 วินาที ใน Boost Mode ทำความเร็วได้สูงสุด 245 กม./ชม. แบตเตอรี่ไฟฟ้าแรงสูงลิเธียมไอออน ความจุ 93.4 kWh ทำให้ขับได้กว่า 540 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (ตามมาตรฐานการทดสอบแบบ NEDC)

และในรุ่น Top สุด อย่าง RS ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. เพียง 3.3 วินาที ใน Boost Mode ทำความเร็วได้สูงสุด 250 กม./ชม. สามารถขับได้ไกลถึง 504 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (ทดสอบตามมาตรฐาน NEDC)

พร้อมรับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)

ราคาเริ่มต้นที่ 6,399,000 บาท

ซื้อมั้ย! 15 รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นเด่น ในงาน Motor Show 2022

11. BMW iX3

BMW iX3 (บีเอ็มดับเบิลยู ไอเอ็กซ์3) มาพร้อมเอกลักษณ์สุดล้ำ ประสานประสิทธิภาพของมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ากับความหนาแน่นและความจุพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นของแบตเตอรี่แรงดันสูง มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า แผงวงจรไฟฟ้า เทคโนโลยีการชาร์จ และแบตเตอรี่แรงดันสูงรุ่นล่าสุด ที่ได้รับการยกระดับในด้านสมรรถนะการทำงาน การใช้พลังงานไฟฟ้า และระยะทางในการขับขี่ อีกทั้งยังเพิ่มความหนาแน่นและศักยภาพของกำลังไฟฟ้าด้วยการรวมมอเตอร์ไฟฟ้า วงจรอิเล็กทรอนิกส์ และระบบเกียร์ไว้ภายใต้โครงสร้างเดียวกัน เช่นเดียวกับ BMW iX

ระบบขับเคลื่อนรุ่นใหม่ใน BMW iX3 ส่งพละกำลังสูงสุด 286 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ซึ่งโดดเด่นว่ามอเตอร์ไฟฟ้าในรุ่นอื่นๆ ด้วยความสามารถในการคงแรงบิดได้แม้ระหว่างรอบสูง โลดแล่นจาก 0-100 กม./ชม. ภายใน 6.8 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 180 กม./ชม.

ขับขี่สนุกอย่างอุ่นใจด้วยระบบป้องกันการลื่นไถลของล้อ (Near-Actuator Wheel Slip Limitation) ปริมาตรความจุแบตเตอรี่เพิ่มขึ้นกว่าเดิมอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกับพื้นที่การติดตั้งและน้ำหนัก ส่วนความจุพลังงานรวมอยู่ที่ 80kWh เพื่อขับเคลื่อนให้ BMW iX3 ขับขี่ได้ไกลถึง 460 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP และ 470 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC

เทคโนโลยีระบบชาร์จใหม่ล่าสุดเติมพลังงานสู่แบตเตอรี่ 400 โวลต์ และแหล่งจ่ายไฟ 12 โวลต์ แก่อุปกรณ์ต่าง ๆ ในรถ หากใช้ไฟฟ้ากระแสสลับ สามารถชาร์จด้วยระบบไฟแบบ 1 เฟส และ 3 เฟส ได้สูงสุด 11 กิโลวัตต์ และเมื่อชาร์จแบบรวดเร็วด้วยไฟฟ้ากระแสตรง (DC) จะรับพลังงานได้สูงสุด 150 กิโลวัตต์ และสำหรับการชาร์จด้วยแรงดันนี้ BMW iX3 ยังรองรับการชาร์จจาก 0-80% ได้ภายใน 34 นาที เพิ่มระยะทางการวิ่งถึง 100 กิโลเมตรได้ภายใน 10 นาที (ตามมาตรฐาน WLTP)

พร้อมรับประกันแบตเตอรี่และอุปกรณ์เกี่ยวเนื่อง 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)

BMW iX3 มาในราคา 3,399,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard นาน 4 ปี ไม่จำกัดระยะทาง)

ซื้อมั้ย! 15 รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นเด่น ในงาน Motor Show 2022

12. BMW iX

BMW iX (บีเอ็มดับเบิลยู ไอเอ็กซ์) จัดเป็นรถยนต์ไฟฟ้าจาก BMW ที่มาพร้อมเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าใหม่ล่าสุด พร้อมความล้ำยุคด้านเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติและการเชื่อมต่ออีกมากมาย มาพร้อมเทคโนโลยี BMW eDrive และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบไฟฟ้า ซึ่งทำงานร่วมกันเพื่อสร้างสมรรถนะการขับขี่ในระยะยาวไกลยิ่งขึ้นและอัตราเร่งที่ทรงพลัง

BMW iX xDrive50 Sport มาพร้อมหน้าจอแสดงผลและระบบทำงาน iDrive เจเนอเรชั่นใหม่ ซึ่งเปิดตัวเป็นครั้งแรก ต่อยอดการสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์ให้เป็นธรรมชาติมากขึ้น ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 8 ที่ออกแบบสำหรับทำงานร่วมกับจอระบบสัมผัสแบบโค้ง BMW Curved Display รองรับการโต้ตอบด้วยเสียงกับ BMW Intelligent Personal Assistant ซึ่งได้รับการอัปเกรดจากรุ่นก่อนหน้า

โดยจอ BMW Curved Display เป็นกลุ่มจอแสดงผลดิจิทัลซึ่งประกอบไปด้วย จอ Information Display ขนาด 12.3 นิ้วและจอ Control Display ขนาด 14.9 นิ้ว รวมเข้าด้วยกันภายใต้แผงกระจกชิ้นเดียวที่หันหน้าเข้าหาผู้ขับขี่ ส่วนระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ดิจิทัลมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ และแสดงกราฟฟิกดีไซน์ใหม่ขณะสื่อสารกับผู้ใช้งาน ระบบ My Modes ใหม่ ขยายการตั้งค่าต่างๆ ของรถยนต์ให้ครอบคลุมประสบการณ์ขับขี่ทุกรูปแบบ

BMW iX xDrive50 Sport ให้พละกำลังสูงสุด 523 แรงม้า ระบบ BMW eDrive เจเนอเรชั่นที่ห้านี้ยังทำงานพร้อมเทคโนโลยีเซลล์แบตเตอรี่ล่าสุด สร้างแรงบิดรวมได้สูงสุดถึง 765 นิวตันเมตร มอบระยะทางขับเคลื่อนสูงสุดถึง 630 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน WLTP) พร้อมระบบป้องกันการลื่นไถลของล้อ (Near-Actuator Wheel Slip Limitation) ติดตั้งควบคู่กับระบบ AWD เป็นครั้งแรก โลดแล่นด้วยความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 4.6 วินาที

แบตเตอรี่แรงดันสูงใน BMW iX xDrive50 Sport มีความจุพลังงานรวม 111.5 kWh หัวชาร์จแบบ Combined Charging Unit (CCU) ได้รับการออกแบบมาเพื่อมอบการชาร์จที่ยืดหยุ่น รองรับการชาร์จแบบ DC ได้สูงสุด 200 กิโลวัตต์ และสำหรับการชาร์จจากเครื่องชาร์จ 100 กิโลวัตต์นั้น จะใช้เวลาราว 56 นาที ในการชาร์จจาก 10% ถึง 80%

พร้อมรับประกันแบตเตอรี่และอุปกรณ์เกี่ยวเนื่อง 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)

BMW iX ราคาอยู่ที่ 5,999,000 บาท!

BMW i4 eDrive40 M Sport

13. BMW i4

BMW i4 (บีเอ็มดับเบิลยู i4) ถือเป็น Gran Coupé สี่ประตูที่ผสมผสานความโอ่อ่ากว้างขวางภายในตัวรถเข้ากับการใช้งานจริง พร้อมโลดแล่นบนท้องถนนกับความโฉบเฉี่ยวสไตล์สปอร์ต เอกลักษณ์ความพรีเมียมที่ถูกสะท้อนให้เห็นในระบบขับเคลื่อนและเทคโนโลยีแชสซีส์ นอกจากนี้ ระบบควบคุมและระบบปฏิบัติการ BMW iDrive รุ่นใหม่ พร้อมนวัตกรรมล้ำสมัยของระบบขับขี่และระบบการจอดอัตโนมัติ ยังช่วยเพิ่มทุกประสบการณ์การขับขี่อีกด้วย

มาพร้อมเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ประกอบด้วย 2 รุ่นย่อยคือ BMW i4 M50 ใหม่ รุ่นแรกจาก M GmbH ที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อนปราศจากมลพิษ (อัตราการใช้ไฟฟ้ารวม 22.5 – 18 kWh / 100 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP) ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าสองตัวบริเวณเพลาหน้าและด้านหลังของรถ ส่งพลังได้ถึง 544 แรงม้า ทำระยะวิ่งได้สูงสุดถึง 521 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP

ด้านบีเอ็มดับเบิลยู i4 eDrive40 M Sport ใหม่ (อัตราการใช้ไฟฟ้ารวม 19.1 – 16.1 kWh / 100 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP) ผสมผสานมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 340 แรงม้า เข้ากับระบบขับเคลื่อนล้อหลัง มอบระยะวิ่งสูงสุดถึง 590 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP

เทคโนโลยีบีเอ็มดับเบิลยู eDrive เจเนอเรชั่นที่ 5 ยังประกอบด้วยแบตเตอรี่แรงดันสูงพร้อมเทคโนโลยีเซลล์แบตเตอรี่ล่าสุด มีความจุแบตเตอรีแรงดันสูงที่ 83.9 kWh สามารถชาร์จไฟฟ้าแบบกระแสตรง (DC) สูงสุดได้ที่ 205 กิโลวัตต์ ใช้เวลาประมาณ 31 นาที ในการชาร์จไฟจาก 10 – 80%

BMW i4 eDrive40 M Sport ใหม่ ราคา 4,499,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard นาน 4 ปี ไม่จำกัดระยะทาง)

BMW i4 M50 ใหม่ ราคา 4,999,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard นาน 4 ปี ไม่จำกัดระยะทาง)

ซื้อมั้ย! 15 รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นเด่น ในงาน Motor Show 2022

14. Mini Electric Collection Edition

Mini Electric Collection Edition (มินิ อิเลคทริค คอลเลคชั่น เอดิชั่น) ใหม่ ทำให้แฟนๆ มินิ ได้จับจองเป็นเจ้าของในงาน Motor Show 2022 โดยในไทย มีรุ่นพิเศษนี้จำหน่ายแค่ 40 คันเท่านั้น

Mini Electric Collection Edition แต่ละคันล้วนมีเอกลักษณ์ที่เป็นของตัวเองอย่างแท้จริง ด้วยโทนสีหลากเฉดของ Multitone Roof ซึ่งสร้างสรรค์ขึ้นจากเทคนิคการพ่นสีแบบใหม่ของมินิที่โรงงานในอ็อกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ

กระบวนการนี้ จะเริ่มลงสีหลังคาด้วยสีฟ้าอ่อน Pearly Blue เป็นสีแรก ต่อด้วยสีน้ำเงินเข้ม San Marino Blue ด้านหน้า และสีดำ Jet Black ที่ด้านหลัง ทำให้เกิดการไล่สีที่สวยสะดุดตา นอกจากนี้ การไล่โทนสีในแต่ละคันอาจแตกต่างกันเล็กน้อยจากขั้นตอนการลงสี จึงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่ซ้ำใครในแต่ละคันของมินิรุ่นพิเศษนี้นั่นเอง

Mini Electric Collection Edition ยังคงเป็นรถยนต์ไฟฟ้าขับสนุก ส่งกำลังสูงสุด 184 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 270 นิวตันเมตร เร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 7.3 วินาที ใช้แบตเตอรี่ Lithium-Ion ความจุ 32.6 kWh ขับเคลื่อนล้อหน้า ให้ระยะทางวิ่งได้สูงสุด 217 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง (มาตรฐาน NEDC)

ส่วนระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่และความปลอดภัยก็จัดมาอย่างรอบด้าน เดินทางอย่างมีสไตล์ด้วยลูกเล่นพิเศษอย่างวิทยุ มินิ Visual Boost ผิวภายในห้องโดยสารที่ตกแต่งแบบ มินิ Yours ชุดลำโพง 12 ตัวจาก Harman Kardon และอื่นๆ

พร้อมรับประกัน 4 ปี ไม่จำกัดระยะทาง โดยซื้อเพิ่ม MSI Standard ได้อีก 6 ปี

โดยมีให้เลือกในสีน้ำเงิน Island Blue และสีเทา Rooftop Grey มาในราคา 2,459,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม โปรแกรมบำรุงรักษา MSI Standard)

ซื้อมั้ย! 15 รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นเด่น ในงาน Motor Show 2022

15. Volvo XC40 Recharge

Volvo XC40 Recharge Pure Electric (วอลโว่ เอ็กซ์ซี40 เพียว อิเล็กทริค) รถยนต์ไฟฟ้าแบบ Crossover SUV ขนาด Compact รุ่นแรกจากค่าย Volvo ที่ทำตลาดอย่างเป็นทางการในไทย เปิดตัว (แต่ไม่มีรถตัวจริงมาโชว์) ไปในงาน Motor Show 2021 ที่ผ่านมา

ภายนอกใช้กระจังหน้าเป็นแบบยูนิบอดี้ เพื่อบ่งบอกให้รู้ว่านี่คือรถตระกูลไฟฟ้าของ Volvo พร้อมการตกแต่งภายในระดับพรีเมียมด้วยวัสดุหนังสีดำ รวมถึงระบบปฏิบัติการ Android Automotive OS ที่พัฒนาร่วมกับ Google ที่ใช้ในการขับขี่ และระบบความปลอดภัยขั้นสูงเต็มรูปแบบ

มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าติดตั้ง 2 ตำแหน่งขนาด 204 แรงม้า ที่ด้านหน้าและด้านหลัง ซึ่งส่งกำลังไปยังล้อโดยตรง ให้กำลังรวมสูงสุด 408 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 660 นิวตันเมตร พร้อมความจุแบตเตอรี่ไฟฟ้าแรงสูงแบบลิเธียมไอออน ขนาด 78 kWh

ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 4.9 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ 180 กม./ชม. ให้ระยะทางวิ่งได้สูงสุด 418 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน WLTP) ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง สามารถชาร์จผ่าน Wallbox ขนาด 11 kw จาก 0-100% ได้ในเวลาประมาณ 6-8 ชั่วโมง และรองรับระบบชาร์จด่วนจนถึงระดับ 80% ในเวลาประมาณ 40 นาที

พร้อมรับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)

Volvo XC40 Recharge Pure Electric มาในราคา 2,590,000 บาท ยังครอบคลุมถึงค่าบริการชาร์จไฟจาก EA Anywhere เป็นเวลา 1 ปีเต็ม

ซื้อมั้ย! 15 รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นเด่น ในงาน Motor Show 2022

อันนี้แถมให้ … Volvo C40 Recharge Pure Electric

Volvo C40 Recharge Pure Electric (วอลโว้ ซี40 รีาร์จ เพียว อิเล็กทริค) เป็นรถยนต์แบบ Crossover SUV รุ่นที่ 2 ต่อจาก Volvo XC40 Recharge Pure Electric ที่เปิดตัวไปเมื่อปีที่ผ่านมา ใช้แพล็ตฟอร์ม CMA (Compact Modular Architecture) สำหรับรถ Compact แบบเดียวกับ XC40 แต่รูปลักษณ์ตัวรถแบบ Coupe

ด้านหน้ารถดูเรียบหรู มินิมอลแบบสวีเดน ด้วยตะแกรงแบบฝาครอบปิดสีเดียวกับตัวถัง มีแผง Aero Optimised Spoiler ช่วยในเรื่องของการทรงตัวและการยึดเกาะถนน และไฟท้ายแบบเส้นปะ ที่เดินเส้นไปสู่แผงไฟหลักด้านหลัง สะท้อนการผสมผสานความโมเดิร์นและความคลาสสิกได้อย่างลงตัว

แผงคอนโซลหน้าในสไตล์ Topography Translucent Decor ที่ได้แรงบันดาลใจจากภูมิทัศน์ของเทือกเขาในประเทศสวีเดน ใส่ลูกเล่นซ้อนวัสดุที่แตกต่างกันถึง 3 เลเยอร์ ให้มุมมอง 3 มิติบนผิวสัมผัสที่เรืองแสง และยังมีหลังคา Panoramic Glass Roof

พร้อมเพลิดเพลินกับระบบ Infotainment ของ Volvo with Google Built in ที่ให้คุณใช้แอปจากกูเกิ้ลอย่าง Google Maps, Google Assistant รวมทั้ง Google Play หรือจะควบคุมผ่านแอปพลิเคชัน Volvo Cars App บนสมาร์ทโฟนของผู้ขับขี่ก็สามารถทำได้ ฝากระโปรงหลังยังเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า พร้อมจัดเก็บสัมภาระได้มากถึง 413 ลิตร และเมื่อพับเบาะหลังลง จัดเก็บได้มากถึง 1,205 ลิตร

ขุมกำลังเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าแบบคู่ ติดตั้งด้านหน้า-หลัง ให้กำลังรวม 408 แรงม้า ที่ 4,350 – 13,900 รอบ/นาที* แรงบิดสูงสุด 660 นิวตัน-เมตร ขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Dual Motor AWD ทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 4.7 วินาทีเท่านั้น* จำกัดความเร็วสูงสุดที่ 180 กม./ชม.

แบตเตอรี่มีให้เลือกด้วยกัน 2 แบบ ได้แก่ ขนาด 58 kWh และ 72.6 kWh พร้อมเทคโนโลยีชาร์จแบตเตอรี่แบบ Ultra-Fast รองรับแรงดันไฟสูงสุด 400 โวลต์ และ 800 โวลต์

ให้ระยะทางวิ่งมากกว่า 500 กิโลเมตร ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (ตามมาตรฐาน WLTP) พร้อมรองรับการชาร์จเร็ว ใช้เวลาชาร์จจาก 0 – 80% ในเวลาเพียง 37 นาที (หากชาร์จไฟบ้าน 0-100% ที่กำลังไฟ AC 11kW Fast Charging (Type2) 3-phase 16A ใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง)

พร้อมรับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)

Volvo C40 Recharge Pure Electric สนนราคาอยู่ที่ 2,790,000 บาท

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

สำหรับใครที่ทนราคาน้ำมันแพงไม่ไหว อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์ประหยัดน้ำมันมาใช้แทน มาขายรถกับทาง CARRO Express ได้ที่  https://th.carro.co/sell-car/express วิธีการขายรถในแบบยุคใหม่ ง่าย สะดวก รวดเร็ว ได้ราคา อีกทั้งยังลงขายได้ “ฟรี!” พร้อมรับเงินสดกลับบ้านทันที ภายใน 24 ชั่วโมง!

Carro Automall / คาร์โร ออโต้มอลล์

แต่ถ้าหากช่วงนี้ใครอยากเปลี่ยนรถคันใหม่ มาใช้แทนที่รถคันเดิม CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ พร้อมตอบโจทย์คุณด้วยคอนเซปต์ “click.buy.drive.” คุณสามารถจองรถออนไลน์ ได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น!

รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check มากกว่า 160 จุด และยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” ให้คุณเลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา พร้อมรับประกันคุณภาพรถนานถึง 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร! อีกทั้งยังการันตีความพึงพอใจ คืนเงินได้ภายใน 5 วันอีกด้วย! เรามีรถให้คุณเลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ CARRO Automall สิ!

หรือถ้าหากสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall Official โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall ครับ

ตลาดรถยนต์ปีนี้ มีลุ้น 8 แสนคัน EV/ SUV มาแรง!

บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แถลงสถิติการจำหน่ายรถยนต์ปี 2564 พร้อมคาดการณ์ตลาดรถยนต์ไทยปี 2565

ปี 2564 ถือเป็นอีกปีที่เศรษฐกิจและสังคมไทยเผชิญความท้าทายจากสถานการณ์โควิด-19 อย่างไรก็ตาม จากความมุ่งมั่นพยายามของภาครัฐและบุคลากรทางการแพทย์ เราเชื่อว่าสถานการณ์กำลังจะก้าวเข้าสู่ภาวะคลี่คลาย

อย่างที่ทุกท่านทราบกันดีว่า โตโยต้า จะสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอนให้สำเร็จภายในปี 2593 โดยเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2564 Akio Toyoda (อากิโอะ โตโยดะ) กรรมการผู้จัดการใหญ่ โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ได้ประกาศไว้ว่าโตโยต้ามีกลยุทธ์มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือกลยุทธ์ด้านรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ โดยโตโยต้าจะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ครบทั้ง 30 รุ่น ภายในปี 2573

ซึ่งรวมไปถึงรถซีรีส์ bZ จำนวน 5 โมเดล ซึ่งมาพร้อมแพลตฟอร์มที่พัฒนาใหม่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่โดยเฉพาะ โตโยต้ามุ่งมั่นที่จะขายรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้ทั้งสิ้น 3.5 ล้านคัน ภายในปี 2573

ทั้งนี้ โตโยต้าทุ่มเงินลงทุน 1.2 ล้านล้านบาท เพื่อพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ โดยที่เงิน 0.6 ล้านล้านบาท เป็นการลงทุนด้านแบตเตอรี่ และยังลงทุนอีก 1.2 ล้านล้านบาท สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแบบไฮบริด รถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริด และรถยนต์ไฟฟ้าแบบเซลล์เชื้อเพลิง ภายในปี 2573

ส่วนในประเทศไทยนั้น Toyota เริ่มแนะนำเทคโนโลยีด้านยานยนต์ไฟฟ้ามาตั้งแต่ปี 2552 โดยครองส่วนแบ่งการตลาดอยู่ถึง 80% และมีการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าของโตโยต้ามากสุดในอาเซียน เราลดคาร์บอนไดออกไซด์ลงไปได้ 148,000 ตัน ซึ่งเท่ากับการปลูกต้นไม้ 2 ล้านต้น อีกทั้งในปีที่แล้ว เรายังได้ทำการแนะนำ Lexus UX300e ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ และ Lexus NX450h+ ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริด

Toyota มีแผนที่จะทำการแนะนำ Toyota bZ4X ซึ่งถือเป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของซีรีส์ bZ ออกสู่ตลาดภายในปีนี้ พร้อมส่งเสริมให้มีการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศให้มากยิ่งขึ้น เพื่อให้ไทยเป็นฐานการผลิตหลักสำหรับการประกอบรถยนต์ไฟฟ้าอีกหลากหลายรุ่นต่อไปในอนาคต

สำหรับยอดขายรถรวมในปี 2564 เป็นปีที่สถานการณ์โรคโควิด-19 ยังคงส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเกิดปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนการผลิต เช่น ปัญหาชิปขาดตลาด ด้วยเหตุนี้ ยอดขายรวมภายในประเทศจึงอยู่ที่ราว 759,119 คัน หรือลดลง 4.2% เมื่อเทียบกับปี 2563

สถิติการขายรถยนต์ในปี 2564 ยอดขายปี 2564 การเปลี่ยนแปลงเทียบกับปี 2563
 ปริมาณการขายรวม 759,119 คัน – 4.2%
 รถยนต์นั่ง  251,800 คัน -8.4%
 รถเพื่อการพาณิชย์ 507,319 คัน -1.9%
 รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง) 393,476 คัน -3.9%
 รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง) 341,452 คัน -6.4%

สำหรับยอดขายของโตโยต้าในปี 2564 นั้น ยอดขายรวมอยู่ที่ประมาณ 239,723 คัน หรือลดลง 1.9% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และเรายังคงครองส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 หรือเท่ากับ 31.6% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด

ซึ่งหากว่ากันตามตรง ถือว่าต่ำกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ แต่ถ้าเราดูยอดขายของปีที่แล้ว จะเห็นได้ว่าเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 เป็นต้นมา สืบเนื่องมาจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ตลอดจนดำเนินกิจกรรมทางการตลาดที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตแบบใหม่ เช่น การขายผ่านช่องทางออนไลน์ ถ้าเราลองดูที่ยอดขายของโตโยต้าในระหว่างช่วงไตรมาสที่ 2 ถึงไตรมาสที่ 4 จะเห็นได้ว่าส่วนแบ่งทางการตลาดของเราอยู่ที่ 32.5% ซึ่งเป็นระดับที่ไกล้เคียงกับในปี 2562 หรือช่วงก่อนที่โรคโควิด-19 จะระบาด โดยในส่วนของยอดขายของ ไฮลักซ์ รีโว่ นั้น มีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 39.1% ซึ่งสูงกว่าของปี 2562 ในขณะที่ เอทีฟ และ ยาริส นั้น ก็สามารถครองอันดับ 1 ในตลาดรถ อีโคคาร์

ในส่วนของตลาดรถยนต์อเนกประสงค์ โตโยต้ามียอดขายรวมทั้งปีเป็นอันดับ 1 ถึง 2 ปีซ้อน ด้วยยอดขายที่สูงเป็นประวัติการณ์ของโคโรลลา ครอส ส่วนฟอร์จูนเนอร์ ก็มียอดขายเป็นอันดับ 1 ในตลาดรถกระบะดัดแปลงต่อเนื่องมาเป็นเวลา 10 ปี ในขณะเดียวกัน คัมรี ก็ครองอันดับ 1 ในตลาดรถยนต์ขนาดกลาง ส่วนไฮเอซก็ครองอันดับ 1 ตลอดกาลเช่นกันสำหรับในตลาดรถตู้

สถิติการขายรถยนต์ของโตโยต้าในปี 2564 ยอดขายปี 2564 การเปลี่ยนแปลงเทียบกับปี 2563 ส่วนแบ่งตลาด
 ปริมาณการขายโตโยต้า 239,723 คัน    -1.9% 31.6%
 รถยนต์นั่ง  62,403 คัน -8.4% 24.8%
 รถเพื่อการพาณิชย์ 177,320 คัน +0.7% 35.0%
 รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง) 151,501 คัน +1.2% 38.5%
 รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง) 128,639 คัน -1.0% 37.7%

แนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในปี 2565

เป็นไปได้ว่าโควิด-19 จะยังคงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย อย่างไรก็ดี เราคาดการณ์ว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจะกลับคืนสู่สภาวะปกติอย่างค่อยเป็นค่อยไปพร้อมๆ กับการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจโดยรวมทั้งหมด

นอกจากนี้ ประชาชนเองก็เรียนรู้วิธีการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับสถานการณ์โรคโควิด-19 ให้ได้อย่างปลอดภัยแล้ว ส่วนปัญหาชิ้นส่วนการผลิตขาดตลาดก็จะค่อยๆ คลี่คลายลงเช่นกัน คาดหวังว่าอุตสาหกรรมยานยนต์จะกลับคืนสู่สภาวะปกติ และคาดการณ์ว่ายอดขายรถยนต์ในปี 2565 จะอยู่ที่ 860,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 13.3% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

ประมาณการยอดขายรถยนต์ในประเทศปี 2565 ยอดขายประมาณการปี 2565 เปลี่ยนแปลงเทียบกับปี 2564
 ปริมาณการขายรวม 860,000 คัน  + 13.3%
 รถยนต์นั่ง 292,500 คัน + 16.2%
 รถเพื่อการพาณิชย์ 567,500 คัน + 11.9%

“สำหรับโตโยต้า เราตั้งเป้ายอดขายอยู่ที่ 284,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 18.5% โดยครองส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 33%”

ประมาณการยอดขายรถยนต์

โตโยต้าในปี 2565

ยอดขายประมาณการปี 2565 เปลี่ยนแปลงเทียบกับปี 2564 ส่วนแบ่งตลาด
 ปริมาณการขายโตโยต้า 284,000 คัน  + 18.5% 33.0%
 รถยนต์นั่ง    81,000 คัน     + 29.8% 27.7%
 รถเพื่อการพาณิชย์ 203,000 คัน      + 14.5% 35.8%
 รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง) 175,932 คัน     + 16.1% 40.6%
 รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง) 149,000 คัน      + 15.8% 39.8%

ปริมาณการส่งออกรถยนต์และการผลิตของโตโยต้าในปี 2564

ในด้านการส่งออกรถยนต์ ในปี 2564 โตโยต้าส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปไปราว 292,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 35.5% จากปี 2563 โดยยอดรวมการผลิตรถยนต์สำหรับการขายภายในประเทศและการส่งออกในปี 2564 มีจำนวนทั้งสิ้น 514,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 16.1% จากปี 2563

ปริมาณการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปและการผลิตของ

โตโยต้าในปี 2564

ปริมาณในปี 2564 เปลี่ยนแปลงเทียบกับปี 2563
 ปริมาณการส่งออก 292,000 คัน     + 35.5%
 ยอดผลิตรวมทั้งส่งออกและการขายในประเทศ 514,000 คัน + 16.1%

เป้าหมายการส่งออกรถยนต์และการผลิตของโตโยต้าในปี 2565

เป้าหมายการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปของโตโยต้าในปีนี้ เราคาดว่าความต้องการของตลาดต่างประเทศจะเพิ่มสูงขึ้น โดยเราตั้งเป้าปริมาณการส่งออกรถยนต์อยู่ที่ 371,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 27.2% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และเราตั้งเป้าการผลิตรถยนต์ทั้งหมดของปี 2565 อยู่ที่ ราว 647,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 25.9% จากปีที่ผ่านมา

เป้าหมายการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปและการผลิตของโตโยต้าปี 2565 ปริมาณในปี 2565 เปลี่ยนแปลงเทียบกับปี 2564
 ปริมาณการส่งออก 371,000 คัน     + 27.2%
 ยอดผลิตรวมทั้งส่งออกและการขายในประเทศ 647,000 คัน + 25.9%

ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ เดือนธันวาคม 2564

1.) ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 91,010 คัน ลดลง 12.6%

อันดับที่ 1 โตโยต้า 27,150 คัน ลดลง 18.2% ส่วนแบ่งตลาด 29.8%
อันดับที่ 2 อีซูซุ 18,801 คัน ลดลง 18.0% ส่วนแบ่งตลาด 20.7%
อันดับที่ 3 ฮอนด้า 11,556 คัน เพิ่มขึ้น 14.7% ส่วนแบ่งตลาด 12.7%

2.)  ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 31,917 คัน ลดลง 16.3%

อันดับที่ 1 ฮอนด้า 8,763 คัน เพิ่มขึ้น 4.6% ส่วนแบ่งตลาด 27.5%
อันดับที่ 2 โตโยต้า 7,347 คัน ลดลง 16.6% ส่วนแบ่งตลาด 23.0%
อันดับที่ 3 ซูซูกิ 2,776 คัน ลดลง 14.8% ส่วนแบ่งตลาด 8.7%

3.) ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 59,093 คัน ลดลง 10.4%

อันดับที่ 1 โตโยต้า 19,803 คัน ลดลง 18.8% ส่วนแบ่งตลาด 33.5%
อันดับที่ 2 อีซูซุ 18,801 คัน ลดลง 18.0% ส่วนแบ่งตลาด 31.8%
อันดับที่ 3 ฟอร์ด 4,117 คัน ลดลง 10.4% ส่วนแบ่งตลาด 7.0%

4.) ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน  (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV)

ปริมาณการขาย 42,785 คัน ลดลง 16.9%

อันดับที่ 1 อีซูซุ 16,908 คัน ลดลง 21.6% ส่วนแบ่งตลาด 39.5%
อันดับที่ 2 โตโยต้า 16,733 คัน ลดลง 16.8% ส่วนแบ่งตลาด 39.1%
อันดับที่ 3 ฟอร์ด 4,117 คัน ลดลง 10.4% ส่วนแบ่งตลาด 9.6%

*ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน: 6,280 คัน

โตโยต้า 2,459 คัน – อีซูซุ 1,990 คัน – มิตซูบิชิ 872 คัน – ฟอร์ด 707 คัน – นิสสัน 252 คัน

 5.) ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 36,505 คัน ลดลง 17%

อันดับที่ 1 อีซูซุ 14,918 คัน ลดลง 20.5% ส่วนแบ่งตลาด 40.9%
อันดับที่ 2 โตโยต้า 14,274 คัน ลดลง 18.0% ส่วนแบ่งตลาด 39.1%
อันดับที่ 3 ฟอร์ด 3,410 คัน ลดลง 8.8% ส่วนแบ่งตลาด 9.3%

สถิติการจำหน่ายรถยนต์ เดือนมกราคม – ธันวาคม 2564

1.) ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 759,119 คัน ลดลง 4.2%

อันดับที่ 1 โตโยต้า
239,723 คัน ลดลง 1.9% ส่วนแบ่งตลาด 31.6%
อันดับที่ 2 อีซูซุ 184,160 คัน เพิ่มขึ้น 1.6% ส่วนแบ่งตลาด 24.3%
อันดับที่ 3 ฮอนด้า
88,692 คัน ลดลง 4.7% ส่วนแบ่งตลาด 11.7%

2.) ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 251,800 คัน ลดลง 8.4%

อันดับที่ 1 ฮอนด้า 76,886 คัน ลดลง 0.7% ส่วนแบ่งตลาด 30.5%
อันดับที่ 2 โตโยต้า
62,403 คัน ลดลง 8.4% ส่วนแบ่งตลาด 24.8%
อันดับที่ 3 มาสด้า 19,800 คัน ลดลง 20.3% ส่วนแบ่งตลาด 7.9%

3.) ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 507,319 คัน ลดลง 1.9%

อันดับที่ 1 อีซูซุ 184,160 คัน เพิ่มขึ้น 1.6% ส่วนแบ่งตลาด 36.3%
อันดับที่ 2 โตโยต้า
177,320 คัน เพิ่มขึ้น 0.7% ส่วนแบ่งตลาด 35.0%
อันดับที่ 3 ฟอร์ด 32,329 คัน เพิ่มขึ้น 8.3% ส่วนแบ่งตลาด 6.4%

4.) ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV)

ปริมาณการขาย 393,476 คัน ลดลง 3.9%

อันดับที่ 1 อีซูซุ
167,180 คัน ลดลง 0.8% ส่วนแบ่งตลาด 42.5%
อันดับที่ 2 โตโยต้า
151,501 คัน เพิ่มขึ้น 1.2% ส่วนแบ่งตลาด 38.5%
อันดับที่ 3 ฟอร์ด 32,329 คัน เพิ่มขึ้น 8.3% ส่วนแบ่งตลาด 8.2%

*ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน : 52,024 คัน

โตโยต้า 22,862 คัน – อีซูซุ 16,439 คัน – มิตซูบิชิ 6,619  คัน – ฟอร์ด 5,025 คัน –  นิสสัน 1,079 คัน 

5.) ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 341,452 คัน ลดลง 6.4%

อันดับที่ 1 อีซูซุ
150,741 คัน ลดลง 6.0% ส่วนแบ่งตลาด 44.1%
อันดับที่ 2 โตโยต้า
128,639 คัน ลดลง 1.0% ส่วนแบ่งตลาด 37.7%
อันดับที่ 3 ฟอร์ด 27,304 คัน เพิ่มขึ้น 11.4% ส่วนแบ่งตลาด 8.0%

ขอขอบคุณข้อมูลจาก:

NIO รถยนต์ไฟฟ้าหรูจากจีน เปิด Nio ET5 ใหม่ ท้าชน Tesla Model 3!

การเปิดตัวรถรุ่นใหม่ของ NIO (นิโอ) ในแต่ละครั้งต้องบอกได้เลยว่าสร้างเสียงฮือฮา ให้กับคนที่สนใจในรถยนต์ไฟฟ้า (รถ EV) กันได้ตลอด ซึ่งในครั้งนี้ ทาง NIO เปิดตัว Nio ET5 (นิโอ อีที5) เพื่อออกมาท้าชนกับ Tesla Model 3 และ Xpeng P7 แถมชูจุดเด่นที่แบตเตอรี่สามารถให้ระยะทางในการขับขี่ได้มากกว่า 1,000 กิโลเมตร! ต่อการชาร์จแต่ละครั้ง

NIO คนไทยหลายคนอาจจะยังไม่คุ้นเคยกับบริษัทสตาร์ทอัพ ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีนกันนัก ซึ่ง Nio มีจุดเด่นที่ด้านการออกแบบ นวัตกรรม เทคโนโลยี เรียกได้ว่าเหมือนรถยนต์ไฟฟ้าจากฝั่งยุโรปเลยทีเดียว แถมยังได้ชื่อว่าเป็น Tesla (เทสล่า) แห่งประเทศจีนอีกด้วย!

อ่านเพิ่มเติม >> ประวัติย่อๆ ของ NIO และ William Li (วิลเลียม หลี่) หรือ หลี่ปิน มหาเศรษฐีที่ได้ชื่อว่าเป็น Elon Musk (อีลอน มัสก์) แห่งประเทศจีน

NIO รถยนต์ไฟฟ้าสุดหรูจากจีน เปิดตัว Nio ET5 ใหม่ พร้อมท้าชน Tesla Model 3!

NIO ET5 เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 4 ประตูแบบ Fluid Fastback รุ่นล่าสุดของค่าย Nio ซึ่ง NIO ET5 ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 18 ธันวาคม 2021 ที่ผ่านมา นับเป็นรถยนต์ไฟฟ้าในรูปแบบ D-Segment ที่พัฒนาให้เป็นรองจากรุ่นเรืองธงอย่าง NIO ET7 ที่เปิดตัวไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา

NIO รถยนต์ไฟฟ้าสุดหรูจากจีน เปิดตัว Nio ET5 ใหม่ พร้อมท้าชน Tesla Model 3!

ซึ่งโมเดลนี้ยังคงจุดเด่นด้วยรูปทรงล้ำสมัย ดีไซน์ด้านหน้าแบบ X-Bar กับชุดไฟหน้าแบบ LED รูปทรงเรียวเล็ก (แบบตาชั้นเดียวของคนจีน) ประตูกระจกไร้ขอบ มือจับประตูแบบซ่อนแนบสนิทข้างตัวรถ พร้อมชุดหลังคาแบบ Panoramic ที่มีขนาดใหญ่ถึง 1.28 ตร.ม. และตัวรถมีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน Cd. = 0.24 เท่านั้น

มิติตัวรถกว้าง 4,790 มม. ยาว 1,960 มม. สูง 1,499 มม. และระยะฐานล้อ 2,990 มม.

NIO รถยนต์ไฟฟ้าสุดหรูจากจีน เปิดตัว Nio ET5 ใหม่ พร้อมท้าชน Tesla Model 3!

ภายในห้องโดยสารของ Nio ET5 ตกแต่งอย่างเรียบง่าย แต่พ่วงความทันสมัยเต็มที่ด้วย Panoramic Digital Cockpit หรือ PanoCinema ที่ฉายภาพขนาดใหญ่ได้ถึง 201 นิ้ว หรือประมาณ 6 เมตร พร้อมเทคโนโลยี VR ที่พัฒนาร่วมกับ NREAL สำหรับใช้งานในรถรุ่นนี้โดยเฉพาะ พร้อมระบบเสียงรอบทิศทาง Dolby Atmos 7.1.4

อีกหนึ่งความโดดเด่นภายในรถ นั่นคือ หน้าจอขนาดใหญ่บริเวณคอนโซลกลาง พร้อมหน้าจอมาตรวัดความเร็วแบบ HDR ขนาด 10.5 นิ้ว พร้อมระบบแสดงผลแบบเสมือนจริง และยังมีระบบไฟเรืองแสงภายในห้องโดยสาร ปรับได้ถึง 256 สี เป็นต้น

NIO รถยนต์ไฟฟ้าสุดหรูจากจีน เปิดตัว Nio ET5 ใหม่ พร้อมท้าชน Tesla Model 3!

Nio ET5 มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว บริเวณล้อหน้า ให้กำลังสูงสุด 203 แรงม้า และ 285 แรงม้า สำหรับล้อหลัง ให้กำลังรวมสูงสุด 480 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 700 นิวตัน-เมตร ขับเคลื่อนด้วยระบบ All-Wheel Drive

สามารถทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 4.3 วินาทีเท่านั้น มั่นใจด้วยเบรกหน้าแบบ 4-Pot สามารถเบรกจากความเร็ว 100 กม./ชม. จนถึง 0 กม./ชม. ในระยะทางเพียง 33.9 เมตรเท่านั้น

NIO รถยนต์ไฟฟ้าสุดหรูจากจีน เปิดตัว Nio ET5 ใหม่ พร้อมท้าชน Tesla Model 3!

สำหรับชุดแบตเตอรี่ก็มีด้วยกัน 3 แบบ ได้แก่

  • แบตเตอรี่ Standard Range ขนาด 70 kWh ให้ระยะทางในการขับขี่มากกว่า 550 กิโลเมตร ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (ตามมาตรฐาน NEDC/CLTC ของประเทศจีน)
  • แบตเตอรี่ Long Range ขนาด 100 kWh ให้ระยะทางในการขับขี่มากกว่า 700 กิโลเมตร ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (ตามมาตรฐาน NEDC/CLTC ของประเทศจีน) และ …
  • แบตเตอรี่ Ultra Long Range ขนาด 150 kWh แบบ Solid-State ให้ระยะทางในการขับขี่มากกว่า 1,000 กิโลเมตร ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง! (ตามมาตรฐาน NEDC/CLTC ของประเทศจีน)

NIO รถยนต์ไฟฟ้าสุดหรูจากจีน เปิดตัว Nio ET5 ใหม่ พร้อมท้าชน Tesla Model 3!

สำหรับ Nio ET5 ได้ประกาศราคาตัวรถ (ซึ่งเป็นราคาก่อนที่รัฐบาลจีนจะให้เงินอุดหนุน) ไว้ที่ 328,000 หยวน (หรือประมาณ 1,729,200 บาท) และ 358,000 หยวน (ประมาณ 1,887,400 บาท) สำหรับรุ่น BaaS (Battery-as-a-Service) หรือระบบเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกเก่าเป็นลูกใหม่ ที่สถานีแบตเตอรี่ของ NIO โดยไม่ต้องเสียเวลารอคอยในการชาร์จแบตนานๆ ซึ่งเป็นค่ายเดียวในโลก ที่ใช้หลักการเปลี่ยนแบตเตอรี่อย่างรวดเร็ว (Hot Swap) ให้บริการผู้ใช้รถ (แถมต้องจ่ายค่าสมาชิกทุกเดือนด้วยนะครับ)

NIO รถยนต์ไฟฟ้าสุดหรูจากจีน เปิดตัว Nio ET5 ใหม่ พร้อมท้าชน Tesla Model 3!

ทาง NIO เอง พร้อมส่งมอบรถให้แก่ลูกค้าได้ในเดือนกันยายน 2022 นี้ และก็ไม่หยุดอยู่แค่เพียงในประเทศจีน โดยเตรียมวางแผนส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าไปจำหน่ายในแถบยุโรป อย่างประเทศนอร์เวย์, เยอรมนี, เนเธอร์แลนด์, สวีเดน และเดนมาร์ก กับอีก 25 ประเทศทั่วโลก ภายในปี 2025 นี้อีกด้วย

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

ถ้าใครอยากขายรถคันเดิม เพื่อนำเงินไปซื้อรถยนต์ไฟฟ้าคันใหม่ มาขายรถกับทาง CARRO Express ได้ที่  https://th.carro.co/sell-car/express หรือถ้าหากต้องการซื้อรถคุณภาพเยี่ยม CARRO เราก็มีพร้อมให้คุณเลือกอย่างมากมายด้วยเช่นกัน พร้อมรับประกันสูงสุดถึง 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร กับ CARRO Automall ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://th.carro.co/taladrod/

Carro Automall / คาร์โร ออโต้มอลล์

ส่วนช่วงปลายปีนี้ ใครเงินไม่พอซื้อรถ EV แต่อยากซื้อรถมือสองสภาพเยี่ยม ราคาสบายๆ CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ ตอบโจทย์คุณด้วยคอนเซปต์ “click.buy.drive.” คุณสามารถจองรถออนไลน์ ได้ในเวลา 1 นาที!

ซึ่งรถของ CARRO Automall เรามีให้คุณเลือกมากมาย รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพอย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 200 จุด รวมไปถึงการการปรับสภาพ (Car Reconditioning) ด้วยทีมช่างมืออาชีพ ที่ผ่านการผึกอบรมตามมาตรฐานคาร์โรกว่า 40 คน พร้อมให้บริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว กว่า 20 คัน/วัน

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” เลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา รวมถึงมีเทคโนโลยีสนับสนุนฝ่ายขาย ทั้ง Digital Device ที่เชื่อมต่อกับ Digital Screen นำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และจัดการเรื่องเอกสารให้กับลูกค้าให้ตั้งแต่ต้นจนจบ บวกกับ Online Viewing Service ที่ลูกค้าสามารถวิดีโอคอล ตรวจสภาพรถยนต์คันที่สนใจได้แบบเรียลไทม์

เรารับประกันคุณภาพรถ 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร! (CARRO Quality Assurance) อีกทั้งยังการันตีความพึงพอใจ คืนเงินได้ภายใน 5 วันอีกด้วย! ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม กับ CARRO Automall สิ!

สำหรับช่วงเปิดตัว Flagship Store แห่งแรกของ CARRO ช่วงปลายปี 2564 นี้ ขอมอบโปรโมชั่นส่วนลดพิเศษ รับส่วนลดสูงสุด 50,000 บาท พร้อมแจก Cash Back มูลค่ารวมกว่า 800,000 บาท! และยังสามารถเลือกรับความคุ้มค่าได้อีกต่อ กับดอกเบี้ยต่ำ 2.69% หรือผ่อน 0% นานสูงสุด 6 เดือน

หรือถ้าหากสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall Thailand โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall ครับ

แหล่งที่มาบางส่วนจาก:

รวม 15 รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นเด่นๆ ในงาน Motor Expo 2021

ในยุคปัจจุบัน เราคงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า “รถยนต์ไฟฟ้า” หรือ Electric Vehicle (รถ EV) เริ่มมีบทบาทที่สำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ในวงการยานยนต์โลก และวงการยานยนต์ไทย ด้วยยอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิง และช่วยให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น

ยิ่งทางภาครัฐและภาคเอกชน เริ่มออกมาสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า รวมไปถึงระบบ Infrastructure ต่างๆ ทั้งจุดชาร์จในหางสรรพสินค้า จุดชาร์จในปั้มน้ำมัน หรือจุดชาร์จตามหน่วยงานต่างๆ ยิ่งทำให้ความนิยมของรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น ถึงแม้อาจจะยังไม่ครบคลุมทั้งประเทศก็ตาม

ในงาน Motor Expo 2021 (อเตอร์เอ็กซ์โป 2021) ที่จัดขึ้นในเวลานี้ MR.CARRO ขอพาทุกท่านไปชมกับ รถยนต์ไฟฟ้า 15 รุ่นยอดฮิตภายในงาน Motor Expo 2021 จะมีรุ่นใดบ้างที่น่าสนใจ ไปดูกันได้เลยครับ …

ORA Good Cat

1. ORA Good Cat

ORA Good Cat (โอร่า กู๊ดแคท) เรียกได้ว่าแรงจนฉุดไม่อยู่เลยจริงๆ คนดูกันแน่นขนัดในงาน Motor Expo 2021 สำหรับเจ้าแมวเหมียวไฟฟ้าคันนี้ ที่พายอดจองไปอย่างถล่มทลาย กว่าจะได้รับรถก็กลางปีหน้าทีเดียว! แต่ราคาเปิดออกมาก็ดูเหนือความคาดหมายเช่นเดียวกัน กับ 2 รูปแบบแบตเตอรี่ และ 3 รุ่นย่อย พร้อมโปรเด็ด ORA Good Cat Ultra Deal

ORA Good Cat ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 105 กิโลวัตต์ (143 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 210 นิวตัน-เมตร ให้อัตราเร่ง 0-50 กม./ชม. ภายใน 3.8 วินาที จำกัดความเร็วสูงสุดไว้ที่ 152 กม./ชม. ถ่ายทอดกำลังผ่านระบบเกียร์ ORA-Goddess Easy Drive พร้อมระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ

การชาร์จแบบเร็วด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC (30%–>80%) ใช้เวลาประมาณ ≈32 นาที และ 40 นาที (ในรุ่น 500 Ultra), ชาร์จแบบเร็วด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC (0%–>80%) ใช้เวลาประมาณ ≈45 นาที และ ≈60 นาที (ในรุ่น 500 Ultra) กับการชาร์จไฟบ้านแบบ AC ใช้เวลาประมาณ ≈8 ชั่วโมง และ ≈10 ชั่วโมง (ในรุ่น 500 Ultra)

ในราคาเบาๆ 989,000 – 1,199,000 บาท!

Pocco Duoduo

2. Pocco Duoduo

Pocco Duoduo (ป๊อคโค่ ตั่วตั่ว) หรือ 朋克多多 เป็นรถภายใต้แบรนด์ 朋克 (เผิงเค่อ) มาจากภาษาอังกฤษคำว่า Punk (พังก์) เป็นรถพลังงานไฟฟ้าแบบ Tall Boy 4 ประตู (ดูคล้ายกับรถ K-Car ของญี่ปุ่น) นั่งได้ 4-5 ที่นั่ง ผสมผสานการตกแต่งที่เป็นเอกลักษณ์ จุดชาร์จไฟอยู่บริเวณด้านหน้ารถ โดยใช้สีทูโทนเพื่อให้ดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น เพิ่งเปิดตัวไปในจีนเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 29 กิโลวัตต์ (39 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 110 นิวตัน-เมตร พร้อมแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนฟอสเฟต มีขนาด 10.3 kWh (ใช้เวลาชาร์จ 6-8 ชั่วโมง) สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทางประมาณ 128 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC (ไฟบ้าน 0-100%) ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง

และยังมีแบตเตอรี่ขนาด 14.5 kWh (ใช้เวลาชาร์จ 6-8 ชั่วโมง) ที่เพิ่มระยะทางขึ้นเป็น 178 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC ต่อการชาร์จ (ไฟบ้าน 0-100%) หนึ่งครั้ง ให้เลือก ทำความเร็วได้สูงสุด 100 กม./ชม.

สนนราคารุ่น L เริ่มต้นที่ 389,000 บาท! (รุ่นแบตเตอรี่ 10.3 kWh) และรุ่น K ราคา 449,000 บาท (รุ่นแบตเตอรี่ 14.5 kWh)

Pocco Meimei

3. Pocco Meimei

Pocco Meimei Mini EV (ป๊อคโค่ เม่ยเม่ย) หรือ 朋克美美 เป็นรถพลังงานไฟฟ้าแบบ 3 ประตู 4 ที่นั่ง ขนาดเล็ก ที่เปิดตัวในจีนตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา สามารถขับขี่ในเมืองได้อย่างสะดวก กับนวัตกรรมสุดล้ำ ยิ่งทวีคูณความน่ารัก น่าเลิฟ ถูกใจคุณผู้หญิงอย่างแน่นอน

มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 20 กิโลวัตต์ (27 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 100 นิวตัน-เมตร และกำลังสูงสุด 29 กิโลวัตต์ (39 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 105 นิวตัน-เมตร พร้อมแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนฟอสเฟต มีขนาด 9.2 kWh (ใช้เวลาชาร์จ 6-8 ชั่วโมง) สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทางประมาณ 116 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC (ไฟบ้าน 0-100%) ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง

และยังมีแบตเตอรี่ขนาด 14 kWh (ใช้เวลาชาร์จ 6-8 ชั่วโมง) ที่เพิ่มระยะทางขึ้นเป็น 170 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC ต่อการชาร์จ (ไฟบ้าน 0-100%) หนึ่งครั้ง ให้เลือก ทำความเร็วได้สูงสุด 100 กม./ชม.

สนนราคารุ่น L เริ่มต้นที่ 399,000 บาท! (รุ่นแบตเตอรี่ 10.3 kWh) และรุ่น K ราคา 469,000 บาท (รุ่นแบตเตอรี่ 14.5 kWh)

Lexus UX300e

4. Lexus UX 300 e

The New All-Electric Lexus UX 300e (เลกซัส ยูเอ็กซ์300อี) จัดเป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกจากค่ายเลกซัส ภายใต้แบรนด์ “LEXUS ELECTRIFIED” ซึ่ง Lexus ประเทศญี่ปุ่น ได้ประกาศอย่างเป็นทางการในงานโตเกียวมอเตอร์โชว์ 2019 เพื่อใช้เป็นกลยุทธ์ในการดำเนินงานของรถยนต์ไฟฟ้าภายใต้แบรนด์เลกซัสทั่วโลก

โดย The New All-Electric Lexus UX 300e ยนตรกรรมรถยนต์ไฟฟ้า มีรูปลักษณ์ภายนอกโดดเด่นด้วยเส้นสายที่เฉียบคม ภายในออกแบบอย่างปราณีต ให้ความสำคัญกับผู้ขับขี่และผู้โดยสารเป็นหลัก พร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานที่ล้ำสมัยสมรรถนะการขับขี่ที่ยอดเยี่ยมเหนือใครจากสถาปัตยกรรมโครงสร้างตัวถังแบบใหม่ GA-C (Global Architecture-Compact Platform) ซึ่งมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ การทรงตัวดีเยี่ยม

พร้อมด้วยระบบการขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้าที่สมบูรณ์แบบ ให้พละกำลังสูงสุดถึง 201 แรงม้า อัตราเร่งแรง ดุดัน มีสมรรถนะอันทรงพลัง โดยระยะทางวิ่งได้สูงสุด 360* กม.ต่อการชาร์จไฟหนึ่งครั้ง (ตามมาตรฐาน NEDC)

และชาร์จแบบ Quick DC Charger 0-80% ได้ภายใน 50 นาที สำหรับการชาร์จแบบกระแสตรงผ่านการชาร์จด้วยเครื่องชาร์จ 50 กิโลวัตต์ ด้วยกำลังไฟ 125 แอมป์ โดยแบตเตอรี่มีขนาด 54 kWh

ราคาก็รับได้ 3,490,000 บาท!

Nissan Leaf

5. Nissan Leaf

Nissan Leaf (นิสสัน ลีฟ) “Simply Amazing” เป็นรถยนต์ไฟฟ้าขายดีที่สุดรุ่นหนึ่งของโลก ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า “100%” และมีอัตราการปล่อยมลพิษเป็น “0” และถือเป็นรถค่ายญี่ปุ่นเจ้าแรก ที่กระโดดลงมาทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทยอย่างจริงจัง แม้ว่าราคาของตัวรถจะยังสูงอยู่ก็ตาม

Nissan Leaf ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 320 นิวตัน-เมตร ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลา 7.9 วินาที รองรับการขับขี่เป็นระยะทาง 311 กิโลเมตร ต่อการชาร์จหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน NEDC

ติดตั้งแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนความจุ 40 kWh สามารถชาร์จด้วยกำลังไฟขนาด 3.6 kW ได้ในเวลา 12 ชั่วโมง และกำลังไฟขนาด 6.6 kW ในเวลา 6 ชั่วโมง รองรับการชาร์จด่วนจนถึงระดับ 80% ได้ในเวลา 40 นาที

Nissan Leaf ในราคาพร้อมซื้อ 1,490,000 บาท!

MG-EP-Plus

6. MG EP EV Plus

MG EP (เอ็มจี อีพี) รถยนต์ในรูปแบบ Station Wagon ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ด้วยแนวคิด “EVeryone ตอบโจทย์ทุกฟังก์ชัน รถยนต์พลังงานไฟฟ้าของทุกคน” มีค่าใช้จ่ายการชาร์จไฟฟ้าตั้งแต่0-100% เฉลี่ยเพียง200 บาทหรือเฉลี่ยค่าใช้จ่ายไม่ถึง 1 บาท/กม. จึงทำให้ประหยัดกว่ารถยนต์น้ำมั 2-3 เท่า

ประกอบด้วยองค์ประกอบพื้นฐาน ได้แก่ ขนาดของห้องโดยสารและพื้นที่ใช้สอย ที่กว้างขวางรองรับการบรรทุกทั้งคนและสิ่งของ โดดเด่นด้วยสมรรถนะของ EV เทคโนโลยีที่ให้กำลังเพียงพอต่อการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน พร้อมระบบความปลอดภัยที่ครบครัน นอกจากนี้ ยังมีหน้าจอ Touchscreen ขนาด 8 นิ้ว ที่รองรับการเชื่อมต่อกับ Apple CarPlay

และในส่วนของรุ่น Plus ได้ติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมทั้งชุดราวหลังคา (Roof Rail) รองรับน้ำหนักได้ถึง 75 กิโลกรัม, ติดตั้งระบบกรองอากาศ PM 2.5 และแผ่นปิดห้องเครื่องด้านหน้า

และสมรรถนะจาก EV เทคโนโลยี (EV Technology) ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีกำลังสูงสุด 163 แรงม้า มีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายในเวลาเพียง 8.8 วินาที พร้อมโหมดการขับขี่ให้เลือก 3 รูปแบบ คือ Eco, Normal และ Sport รวมทั้งมีระบบชาร์จไฟกลับเมื่อชะลอความเร็ว หรือ KERS Mode รวม 3 ระดับ

สำหรับแบตเตอรี่ของ NEW MG EP เป็นลิเธียมไอออนแบบโมดูล ที่สามารถแยกซ่อมแต่ละโมดูลได้อิสระ โดยมีขนาดความจุถึง 50.3 kWh ให้ระยะทางในการขับขี่ได้ไกลถึง 380 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง

ซึ่งสามารถชาร์จไฟได้ 2 รูปแบบ คือ การชาร์จในรูปแบบ Normal Charge จาก 0-100% ผ่าน MG Home Charger ที่ใช้เวลา 7.15 ชั่วโมง และรูปแบบ Quick Charge จาก 0-80% ผ่านสถานีอัดประจุไฟฟ้าแบบเร็ว ซึ่งใช้ระยะเวลาเพียง 40 นาที

ในราคาเบาๆ 998,000 บาท!

Mercedes-Benz-EQS-450+-AMG-Premium

7. Mercedes-Benz EQS 450+ AMG Premium

Mercedes-Benz EQS 450+ AMG Premium (เมอร์เซเดส-เบนซ์ อีคิวเอส 450+ เอเอ็มจี พรีเมียม) จัดว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าคันแรกจากแบรนด์ Mercedes-EQ ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน Motor Expo 2021 ครั้งนี้ ซึ่งเป็นการปรับตัวของ Mercedes-Benz จากเน้นผลิต “รถยนต์ไฟฟ้านำ” (Electric-First) เป็นการผลิต “รถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น” (Electric-Only) ที่จะเกิดขึ้นภายในปี 2030

โดยรถยนต์คันนี้รังสรรค์ขึ้นด้วยแพลตฟอร์มของยานยนต์ไฟฟ้าใหม่ในทุกรายละเอียด ทั้งการออกแบบโครงสร้างทางวิศวกรรม เรื่อยไปจนถึงดีไซน์ภายนอกและภายใน

มาพร้อมขุมพลังไฟฟ้า 100% จากมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวพร้อมความจุของแบตเตอรี่ขนาด 107.8 kWh ให้แรงม้าสูงสุด 333 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 568 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่งที่ยอดเยี่ยมจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 6.2 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ 210 กม./ชม. ซึ่งด้วยความจุของแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ ทำให้รถยนต์คันนี้สามารถวิ่งได้ไกลสูงสุด 770 กิโลเมตร (WLTP) ต่อการชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม 1 ครั้ง

พร้อมขาย และเปิดราคาอย่างเป็นทางการในปี 2565 จ้า

Tesla Model Y

8. Tesla Model Y

Tesla Model Y (เทสลา โมเดล วาย) รถยนต์ไฟฟ้าชื่อดังที่สุดในโลก ในรูปแบบ Crossover 5 ที่นั่งรุ่นล่าสุด สร้างบนพื้นฐานของ Tesla Model 3 กับราคาที่จับต้องได้ ที่แม้ว่าในบ้านเรา Tesla ยังไม่ได้เข้ามาทำตลาดด้วยตัวเอง แต่ก็มีผู้จำหน่ายอิสระได้นำเข้ามาขายกันหลายเจ้าเลยทีเดียว

ขุมพลัง มีให้เลือกทั้งแบบ Single Motor และ Dual Motor ขับเคลื่อนล้อหลัง และแบบ AWD ในรุ่น Dual Motor มอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 283 แรงม้า พร้อมแบตเตอรี่ที่มีให้เลือกทั้งแบบ Standard Plus, Long Range และ Performance เป็นแบบขนาด 75 kWh

ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 5.6 วินาที (Standard Plus), 5 วินาที (Long Range) และ 3.3 วินาที (Performance) ทำความเร็วได้สูงสุด 217 กม./ชม. (Standard Plus, Long Range) และ 250 กม./ชม. (Performance) ให้ระยะทางวิ่ง 455 กิโลเมตร (Single Motor), 542 กิโลเมตร (Dual Motor) และ 528 กิโลเมตร (Performance) ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (คำนวณตามมาตรฐาน WLTP) โดยใช้เวลาชาร์จประมาณ 6 – 6.5 ชั่วโมง

ราคาพิเศษเพียง 2,990,000 บาท! จองในงานพร้อมรับฟรี Wall box (แท่นชาร์จ) จาก Tesla มูลค่ากว่า 5 หมื่นบาท

Audi e-tron Sportback

9. Audi e-tron Sportback

Audi e-tron Sportback (อาวดี้ อี-ทรอน สปอร์ตแบค) นำเข้ามาประเทศไทยเป็นโมเดลที่ 2 ของรถยนต์ไฟฟ้า Audi สะท้อนวิสัยทัศน์ของ Audi ที่ว่า “รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100 % คือ อนาคต” และสะท้อนปรัชญาพื้นฐาน “Vorsprung Durch Technik” โดยมีความสมบูรณ์แบบทั้งด้านดีไซน์ เทคโนโลยี สมรรถนะอันยอดเยี่ยม

มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ อัจฉริยะแบบไฟฟ้า (electric quattro) ติดตั้งแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออน ขนาด 95 kWh สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทางราว 463 กิโลเมตรต่อการชาร์จแต่ละครั้ง (ตามมาตรฐาน NEDC)

ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าจำนวน 2 ตัว ให้กำลังสูงสุด 360 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 561 นิวตัน-เมตร พร้อม Boost mode ที่ให้กำลังสูงสุดเพิ่มขึ้นเป็น 408 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 664 นิวตัน-เมตร เป็นเวลานาน 8 วินาที ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 6.6 วินาที และ 5.7 วินาที ใน Boost mode ทำความเร็วสูงสุดได้ 200 กม./ชม.

ในราคาจับต้องได้ เพียง 5,299,000 บาท!

Audi e-tron GT

10. Audi e-tron GT

Audi e-tron GT (อาวดี้ อี-ทรอน จีที) ซุปเปอร์คาร์พลังงานไฟฟ้า 100% สเปคไทยพวงมาลัยขวา เป็นยนตรกรรมที่น่าตื่นเต้นที่สุด ฮอตที่สุด หลังจากการเปิดตัวผ่าน Online World Premier ของ AUDI AG เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา ผลิตจากโรงงาน Böllinger Höfe ประเทศเยอรมนี

เป็นยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นที่ 3 ที่ทาง อาวดี้ ประเทศไทย นำเข้ามาจำหน่าย พร้อมข้อเสนอราคาพิเศษเริ่มต้นเพียง 6,390,000 บาท สำหรับรุ่น e-tron GT quattro ส่วน e-tron GT quattro Performance ราคาเพียง 6,790,000 บาท และตัวท็อปที่สุดคือ RS e-tron GT quattro เปิดตัวในราคาเพียง 9,490,000 บาท พร้อมออฟชั่นจัดเต็ม คุ้มค่าอย่างแน่นอน

มาพร้อมกับนวัตกรรมไฟหน้า Matrix LED with Laser light กับหลังคาพาโนรามิคผสานเทคโนโลยีอันทันสมัยในการกรองแสง โดยมาพร้อมล้อขนาด 20 นิ้ว ดิสก์เบรก 4 ล้อ พร้อมคาลิเปอร์เบรกสีดำ

การออกแบบที่ยึดมั่นใน DNA ของ Audi สะท้อนให้เห็นความโดดเด่นและแตกต่างอย่างลงตัว ด้วยพลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ของ e-motors ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตำแหน่ง กำลังสูงสุด 530 แรงม้า ใน Boost Mode แรงบิดสูงสุด 630 นิวตันเมตร ส่วนในรุ่น Top อย่าง RS ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตำแหน่ง ให้พละกำลังสูงถึง 646 แรงม้า ใน Boost Mode แรงบิดสูงสุด 830 นิวตันเมตร
มาพร้อมกับระบบ Electric quattro ที่เพิ่มสมรรถนะการขับขี่ การทรงตัว และออกตัวในลักษณะเร่งแซงมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ Audi ไม่หยุดที่จะพัฒนาเทคโนโลยี ที่เรียกกันว่า e-sound เสียงสังเคราะห์ e-tron แบบ Sports เพิ่มสุนทรียภาพในการขับขี่ด้วยเสียงสังเคราะห์ ยกระดับให้ความสนุกสนานในการขับรถไฟฟ้าอย่างสมบูรณ์แบบ

อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 4.1 วินาที ใน Boost Mode ทำความเร็วได้สูงสุด 245 กม./ชม. แบตเตอรี่ไฟฟ้าแรงสูงลิเธียมไอออน ความจุ 93.4 kWh ทำให้ขับได้กว่า 540 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (ตามมาตรฐานการทดสอบแบบ NEDC)

และในรุ่น Top สุด อย่าง RS ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. เพียง 3.3 วินาที ใน Boost Mode ทำความเร็วได้สูงสุด 250 กม./ชม. สามารถขับได้ไกลถึง 504 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (ทดสอบตามมาตรฐาน NEDC)

ราคาเริ่มต้นที่ 6,399,000 บาท

Porsche Taycan 4S Cross Turismo

11. Porsche Taycan 4S Cross Turismo

Porsche Taycan 4S Cross Turismo (ปอร์เช่ ไทคานน์ 4เอส ครอส ทัวริสโม) ใหม่ รถสปอร์ตพลังงานไฟฟ้าคันแรกของแบรนด์ในเวอร์ชั่นออฟโรด (Off-Road) ต่อยอดความสำเร็จจาก Taycan โดยยังคงรักษาไว้ซึ่งความโดดเด่นจากนวัตกรรมระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าแรงดัน 800 โวลต์

และมีช่วงล่างที่ประกอบไปด้วย เทคโนโลยีขั้นสูงพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ All-Wheel Drive และระบบถุงลมปรับระดับอัตโนมัติ Adaptive Air Suspension รองรับสมรรถนะการขับขี่รองรับสมรรถนะการขับขี่รูปเเบบสปอร์ตบนเส้นทาง Off-Road และ On Road

รููปลักษณ์ภายนอกใกล้เคียงรถต้นแบบ Mission E Cross Turismo Concept Study ตัวรถมีเส้นโค้งของแนวหลังคา ลาดยาวจรดท้ายให้อารมณ์สปอร์ต มีชื่อเรียกจากบรรดานักออกแบบของปอร์เช่ ว่า “Flyline” พร้อมพื้นที่เหนือศีรษะภายในห้องโดยสารตอนหลังที่เพิ่มขึ้นถึง 47 มม. พื้นที่ท้ายรถมีความจุุมากขึ้นกว่า 1,200 ลิตร พร้อมฝาท้ายขนาดใหญ่ และสามารถติดตั้งจักรยานไว้บริเวณท้ายรถสูงสุดถึง 3 คัน ด้วยจุดยึดแบบ Universal

Porsche Taycan 4S Cross Turismo มาพร้อมกับพละกำลังสูงสุด 490 แรงม้า และ Overboost เป็น 571 แรงม้า ในโหมด Launch Control ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 4.1 วินาที ความเร็วสูงสุด 240 กม./ชม. สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทางประมาณ 388-452 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน WLTP)

ในราคาเริ่มต้น 6,790,000 บาท

Mini Electric

12. Mini Electric

MINI Cooper SE (มินิ คูเปอร์ เอสอี) ใหม่ สืบทอดตำนานความคลาสสิกตามแบบฉบับมินิ 3 ประตู ในรูปแบบรถยนต์ไฟฟ้า

ดีไซน์ภายนอกมาพร้อมการออกแบบที่โดดเด่นและชัดเจน สะท้อนถึงเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่ล้ำสมัย มาพร้อมไฟหน้า LED พร้อมล้ออัลลอยน้ำหนักเบาขนาด 17 นิ้ว ลาย MINI Electric Power Spoke พร้อมยางรันแฟลตพิเศษเฉพาะ ฝาครอบที่ชาร์จไฟฟ้าอยู่เหนือล้อหลังด้านขวา ตำแหน่งเดียวกับฝาถังน้ำมันของมินิ 3 ประตู บนฝาแสดงสัญลักษณ์ MINI Electric

ขุมพลังแบบมอเตอร์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงรุ่นใหม่ล่าสุดที่ BMW Group ได้พัฒนาขึ้น ประกอบด้วยเซลล์แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนจำนวน 12 โมดูล ติดตั้งในรูปทรงตัว T บริเวณใต้รถ จุพลังงานไฟฟ้ารวม 32.6 kWh ให้กำลังสูงสุด 184 แรงม้า และมอบแรงบิดสูงสุด 270 นิวตันเมตร ได้ทันทีที่เท้าแตะคันเร่งแม้จากรถหยุดนิ่ง ส่งความเร็วจาก 0 ถึง 60 กม./ชม. ได้ภายใน 3.9 วินาที โดยมอบพลังหากชาร์จเต็มหนึ่งครั้งสามารถวิ่งได้ระยะทาง 217 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NEDC)

ตำแหน่งที่ตั้งของแบตเตอรี่แรงดันสูงบริเวณใต้ท้องรถ ระหว่างเบาะนั่งด้านหน้าไปจนถึงบริเวณใต้เบาะหลัง ทำให้มินิ คูเปอร์ เอสอี มีพื้นที่ในการเก็บสัมภาระมากกว่ารุ่นอื่นๆ และเพื่อเป็นการสร้างระยะห่างจากแบตเตอรี่ใต้ท้องรถและพื้นถนน จึงได้รับการออกแบบให้สูงกว่ามินิรุ่นอื่นๆ 18 มิลลิเมตร

MINI Cooper SE ยังติดตั้งระบบการจำลองเสียงเพื่อเตือนคนเดินถนน ซึ่งเป็นเสียงเฉพาะรุ่นเท่านั้น โดยจำลองเสียงผ่านทางระบบลำโพงสำหรับขณะขับขี่ที่ความเร็วต่ำ โดยทุกชิ้นส่วนของระบบการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า จะถูกปกป้องด้วยโครงสร้างที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ และจะหยุดการทำงานทั้งหมดทันทีหากเกิดการชน

มาในราคา 2,290,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม โปรแกรมบำรุงรักษา MSI Standard)

Volvo XC40 Recharge

13. Volvo XC40 Recharge

Volvo XC40 Recharge Pure Electric (วอลโว่ เอ็กซ์ซี40 เพียว อิเล็กทริค) รถยนต์ไฟฟ้าแบบ Crossover SUV ขนาด Compact รุ่นแรกจากค่าย Volvo ที่ทำตลาดอย่างเป็นทางการในไทย เปิดตัว (แต่ไม่มีรถตัวจริงมาโชว์) ไปในงาน Motor Show 2021 ที่ผ่านมา

ภายนอกใช้กระจังหน้าเป็นแบบยูนิบอดี้ เพื่อบ่งบอกให้รู้ว่านี่คือรถตระกูลไฟฟ้าของ Volvo พร้อมการตกแต่งภายในระดับพรีเมียมด้วยวัสดุหนังสีดำ รวมถึงระบบปฏิบัติการ Android Automotive OS ที่พัฒนาร่วมกับ Google ที่ใช้ในการขับขี่ และระบบความปลอดภัยขั้นสูงเต็มรูปแบบ

มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าติดตั้ง 2 ตำแหน่งขนาด 204 แรงม้า ที่ด้านหน้าและด้านหลัง ซึ่งส่งกำลังไปยังล้อโดยตรง ให้กำลังรวมสูงสุด 408 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 660 นิวตันเมตร พร้อมความจุแบตเตอรี่ไฟฟ้าแรงสูงแบบลิเธียมไอออน ขนาด 78 kWh

ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 4.9 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ 180 กม./ชม. ให้ระยะทางวิ่งได้สูงสุด 418 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP  ต่อการชาร์จเต็มในแต่ละครั้ง สามารถชาร์จผ่าน Wallbox ขนาด 11 kw จาก 0-100% ได้ในเวลาประมาณ 6-8 ชั่วโมง และรองรับระบบชาร์จด่วนจนถึงระดับ 80% ในเวลาประมาณ 40 นาที

สำหรับราคาจำหน่าย ยังครอบคลุมถึงค่าบริการชาร์จไฟจาก EA Anywhere เป็นเวลา 1 ปีเต็ม

BMW iX3 M Sport

14. BMW iX3 M Sport

BMW iX3 M Sport (บีเอ็มดับเบิลยู ไอเอ็กซ์3 เอ็ม สปอร์ต) ตัวรถเอกลักษณ์สุดล้ำ ประสานประสิทธิภาพของมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ากับความหนาแน่นและความจุพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นของแบตเตอรี่แรงดันสูง มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า แผงวงจรไฟฟ้า เทคโนโลยีการชาร์จ และแบตเตอรี่แรงดันสูงรุ่นล่าสุด ที่ได้รับการยกระดับในด้านสมรรถนะการทำงาน การใช้พลังงานไฟฟ้า และระยะทางในการขับขี่ อีกทั้งยังเพิ่มความหนาแน่นและศักยภาพของกำลังไฟฟ้าด้วยการรวมมอเตอร์ไฟฟ้า วงจรอิเล็กทรอนิกส์ และระบบเกียร์ไว้ภายใต้โครงสร้างเดียวกัน เช่นเดียวกับ BMW iX

ระบบขับเคลื่อนรุ่นใหม่ใน BMW iX3 M Sport ส่งพละกำลังสูงสุด 286 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ซึ่งโดดเด่นว่ามอเตอร์ไฟฟ้าในรุ่นอื่นๆ ด้วยความสามารถในการคงแรงบิดได้แม้ระหว่างรอบสูง โลดแล่นจาก 0 ถึง 100 กม./ชม. ภายใน 6.8 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 180 กม./ชม.

ขับขี่สนุกอย่างอุ่นใจด้วยระบบป้องกันการลื่นไถลของล้อ (Near-Actuator Wheel Slip Limitation) ปริมาตรความจุแบตเตอรี่เพิ่มขึ้นกว่าเดิมอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกับพื้นที่การติดตั้งและน้ำหนัก ส่วนความจุพลังงานรวมอยู่ที่ 80kWh เพื่อขับเคลื่อนให้ BMW iX3 ขับขี่ได้ไกลถึง 460 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP และ 470 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC

สนนราคา 3,399,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม แพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard นาน 4 ปี และแท่นชาร์จ BMW i Wallbox จำนวนจำกัด)

BMW iX xDrive50 Sport

15. BMW iX

BMW iX (บีเอ็มดับเบิลยู ไอเอ็กซ์) มาพร้อมเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าใหม่ล่าสุด พร้อมความล้ำยุคด้านเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติและการเชื่อมต่ออีกมากมาย มาพร้อมเทคโนโลยี BMW eDrive และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบไฟฟ้า ซึ่งทำงานร่วมกันเพื่อสร้างสมรรถนะการขับขี่ในระยะยาวไกลยิ่งขึ้นและอัตราเร่งที่ทรงพลัง

BMW iX xDrive50 Sport ส่งพละกำลังรวมสูงสุด 385 กิโลวัตต์/523 แรงม้า ระบบ BMW eDrive เจเนอเรชั่นที่ห้านี้ยังทำงานพร้อมเทคโนโลยีเซลล์แบตเตอรี่ล่าสุด มอบระยะทางขับเคลื่อนตามมาตรฐาน WLTP สูงสุดถึง 630 กิโลเมตร สร้างแรงบิดรวมได้สูงสุดถึง 765 นิวตันเมตร ระบบป้องกันการลื่นไถลของล้อ (Near-Actuator Wheel Slip Limitation) ได้รับการติดตั้งควบคู่กับระบบ AWD เป็นครั้งแรก ช่วยป้องกันการลื่นไถลของล้อและเพิ่มความเสถียรภาพในการควบคุมรถยิ่งขึ้นอีกระดับ จึงโลดแล่นด้วยความเร็วจาก 0 ถึง 100 กม./ชม. ได้ภายใน 4.6 วินาที

แบตเตอรี่แรงดันสูงใน BMW iX xDrive50 Sport มีความจุพลังงานรวม 111.5 kWh หัวชาร์จแบบ Combined Charging Unit (CCU) ได้รับการออกแบบมาเพื่อมอบการชาร์จที่ยืดหยุ่น รองรับการชาร์จแบบ DC ได้สูงสุด 200 กิโลวัตต์ และสำหรับการชาร์จจากเครื่องชาร์จ 100 กิโลวัตต์นั้น จะใช้เวลาราว 56 นาที ในการชาร์จจาก 10% ถึง 80%

ระบบการนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่แบบแปรผัน (Adaptive Recuperation) ช่วยเสริมประสิทธิภาพและระยะการขับขี่ของบีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive50 Sport ด้วยการดึงพลังงานจากระบบเบรกกลับมาใช้ใหม่ให้เหมาะสมกับสภาวะการขับขี่ โดยใช้ข้อมูลจากระบบนำทางและเซนเซอร์จากระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อรถเข้าใกล้ทางแยก ระดับการดึงพลังงานกลับมาใช้ใหม่จะเพิ่มสูงขึ้น เพื่อเติมพลังงานไฟฟ้ากลับเข้าสู่แบตเตอรี่แรงดันสูง ในขณะเดียวกันก็จะทำให้ความเร็วการขับขี่ลดลง และจะทำงานสลับกับฟังก์ชั่น Coasting ขณะขับขี่บนท้องถนน ซึ่งช่วยให้รถเคลื่อนที่ได้โดยไม่ต้องใช้พลังงานเมื่อผู้ขับขี่ยกเท้าออกจากแป้นคันเร่ง ผู้ขับขี่สามารถเลือกระดับการนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่ได้ตามต้องการ ระหว่างระดับสูง ปานกลาง และต่ำ โดยเมื่อเลือกขับขี่ด้วยเกียร์ B ระบบ Recuperation จะทำงานที่ระดับสูงสุดโดยอัตโนมัติเพื่อสร้างประสบการณ์ในการขับขี่แบบ One-Pedal Feeling

ราคาเบาๆ เพียง 5,999,000 บาท!

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

ถ้าใครอยากขายรถคันเดิม เพื่อนำเงินไปโปะรถคันใหม่ จะได้ผ่อนดาวน์กันน้อยลง มาขายรถกับทาง CARRO Express ได้ที่  https://th.carro.co/sell-car/express หรือถ้าหากต้องการซื้อรถคุณภาพเยี่ยม CARRO เราก็มีพร้อมให้คุณเลือกอย่างมากมายด้วยเช่นกัน พร้อมรับประกันสูงสุดถึง 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร กับ CARRO Automall ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://th.carro.co/taladrod/

Carro Automall / คาร์โร ออโต้มอลล์

และอีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ พร้อมตอบโจทย์คุณด้วยคอนเซปต์ “click.buy.drive.” คุณสามารถจองรถออนไลน์ ได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น!

รถของเราทุกคันผ่านการตรวจสภาพ 200 จุด และยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” ให้คุณเลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา พร้อมรับประกันคุณภาพรถนาน 1 ปี หรือสูงสุด 30,000 กิโลเมตร อีกทั้งยังการันตีความพึงพอใจ คืนเงินได้ภายใน 5 วันอีกด้วย เรามีรถให้คุณเลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ CARRO Automall สิ!

หรือถ้าหากสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall Thailand โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall ครับ

แบตเตอรี่รถยนต์ ใช้งานได้กี่ปี วิธีเช็กแบตเตอรี่รถยนต์

สวัสดีค่ะ ชาว CARRO กลับมาพบกันกับบทความดีๆ ของทาง Siamcardeal กันนะคะ ในช่วงนี้ประเทศของเรายังคงมีข่าวคราวการระบาดของ โควิด-19 กันอยู่นะคะ และช่วงนี้แอดมินนำสาระดีๆ เกี่ยวกับรถยนต์ มาฝากกันเช่นเคยค่ะ หลายท่านอาจจะสงสัยว่า แบตเตอรี่รถยนต์ ใช้งานได้กี่ปี แอดมินเลย มีวิธีสังเกตอาการแบตเตอรี่รถยนต์หมดง่าย ๆ มีสัญญาณอะไรที่บ่งบอกเราได้บ้าง ไปหาคำตอบกันเลย

แบตเตอรี่รถยนต์ ใช้งานได้กี่ปี วิธีเช็กแบตเตอรี่รถยนต์

แบตเตอรี่รถยนต์ ใช้งานได้กี่ปี ? พร้อมวิธีเช็กแบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมง่ายๆ

แบตเตอรี่ คืออุปกรณ์ที่มีความสำคัญสำหรับรถยนต์ ทำหน้าที่ตั้งแต่ในการสตาร์ตเครื่องยนต์ และคอยจ่ายกระแสไฟฟ้าให้อุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในรถ ซึ่งผู้ใช้รถต้องคอยดูแลและบำรุงรักษาเป็นประจำ เพราะแบตเตอรี่รถยนต์นั้นมีอายุการใช้งาน และจะใช้ได้ยาวนานเท่าไหร่ยังแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับลักษณะะการใช้งาน รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ ด้วย

ดังนั้นการศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของแบตเตอรี่ ย่อมช่วยให้เจ้าของรถและผู้ขับขี่ทุกคน สามารถใช้งานรถยนต์ รวมถึงดูแลรักษาในส่วนต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง โดยไม่กลายเป็นปัญหาสร้างความเสียหายโดยที่ไม่จำเป็น

แบตเตอรี่รถยนต์ใช้ได้กี่ปี

หากจะถามว่าแบตเตอรี่รถยนต์จะใช้งานได้นานแค่ไหนนั้น คงเป็นเรื่องยากที่จะบอกคำตอบที่ชัดเจนออกไป เพราะปัจจัยที่ส่งผลต่ออายุการใช้งานของแบตเตอรี่นั้นมีมากมายหลายส่วนด้วยกันแม้เราจะบำรุงดูแลรักษาเป็นประจำ เนื่องจากมีบางกรณีที่ไม่สามารถควบคุมได้อย่างสภาพอากาศและอุณหภูมิ ทว่าโดยเฉลี่ยแล้วแบตเตอรี่จะมีอายุการใช้งานอย่างน้อย 2 ปีขึ้นไป จนมากที่สุดได้ถึง 5 ปี

แบตเตอรี่รถยนต์ ใช้งานได้กี่ปี วิธีเช็กแบตเตอรี่รถยนต์

สิ่งที่มีผลต่ออายุการใช้งานของแบตเตอรี่

สภาพอากาศ และอุณหภูมิ

แบตเตอรี่รถยนต์ส่วนใหญ่จะมีโอกาสเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติในสภาพอากาศที่หนาวจัดหรือร้อนจัด และยิ่งถ้าต้องจอดรถในสภาพแวดล้อมดังกล่าวเป็นเวลานานก็ส่งผลให้แบตฯ เสื่อมสภาพเร็วได้ เพราะที่แผ่นตะกั่วอาจจะเกิดตะกอนทำให้มีการกักเก็บไฟได้ไม่ดีนั่นเอง

ความผิดปกติของระบบชาร์จไฟ หรือการดัดแปลงไดชาร์จ

หากไดชาร์จเกิดการเสื่อมสภาพ มีการปล่อยกระแสไฟฟ้าที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยไปยังแบตเตอรี่ ทำให้มีโอกาสที่ไฟในแบตเตอรี่จะรั่วไหลและไม่สามารถเก็บไฟได้แม้ในขณะที่สตารตเครื่องยนต์ นอกจากนี้หากมีการดัดแปลงไดชาร์จให้ชาร์จกระแสไฟได้เร็วยิ่งขึ้นจะทำให้มีกระแสไฟไหลเข้าสู่แบตเตอรี่มากกว่าปกติ ส่วนใหญ่พบได้ในรถที่ดัดแปลงเครื่องเสียง
การต่อขั้วแบตฯ ไม่ดี

ในส่วนของการติดตั้งแบตเตอรี่นั้นหากมีการต่อขั้วแบตฯ ไม่ดี หลวม หรือบริเวณขั้วต่อมีสนิม ก็อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การไหลของกระแสไฟและระบบการชาร์จไฟกลับเข้ายังแบตเตอรี่นั้นทำได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ส่งผลให้แบตฯ เสื่อมเร็วนั่นเอง

การใช้งาน เปิดไฟหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในรถทิ้งไว้

หลักปฏิบัติโดยทั่วไปก็คือผู้ใช้รถควรตรวจสอบไฟภายในห้องโดยสารหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าอื่น ๆ ในรถทุกครั้งก่อนลงจากรถ เพราะอาจทำให้แบตเตอรี่ต้องจ่ายไฟจนหมด ส่งผลให้รถสตาร์ตไม่ติด และเป็นสาเหตุของการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่ได้

แบตเตอรี่รถยนต์ ใช้งานได้กี่ปี วิธีเช็กแบตเตอรี่รถยนต์

อาการแบตเตอรี่รถยนต์เสื่อม ดูยังไง

1. เครื่องยนต์สตาร์ตติดยากหรือสตาร์ตไม่ติด – การสตาร์ตรถยนต์นั้นจะใช้ไฟจากแบตเตอรี่มากที่สุด และหากเครื่องยนต์มีการหมุนช้าลงและสตาร์ตติดได้ยาก สาเหตุหนึ่งก็มาจากการที่แบตเตอรี่เริ่มเก็บประจุไฟไม่อยู่ และจ่ายไฟได้น้อยลง กับอีกกรณีหากทำการสตาร์ทเครื่องยนต์แล้วมีเสียงการหมุนของเครื่องยนต์แต่รถก็ยังสตาร์ตไม่ติด ปัญหานี้มักเกิดจากกำลังไฟในแบตเตอรี่ไม่พอแล้วนั่นเอง

2. ไฟหน้าสว่างน้อยลง – ทุกครั้งที่ต้องขับรถในเวลากลางคืนแล้วต้องเปิดไฟหน้า ให้ลองสังเกตดูว่าแสงไฟมีความสว่างลดลงไม่สว่างเหมือนก่อน ก็สันนิษฐานได้ว่าแบตเตอรี่กำลังมีปัญหา

3. ได้กลิ่นเหม็นผิดปกติ – หากแบตเตอรี่มีกลิ่นเหม็นเหมือนไข่เน่านั่นเป็นสัญญาณบอกอย่างหนึ่งว่าแบตเตอรี่กำลังรั่วและเกิดการชำรุด หากยังฝืนใช้งานต่ออาจเป็นอันตรายและสร้างความเสียหายหรือกัดกร่อนส่วนประกอบอื่น ๆ ในรถของคุณได้ ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ในทันที

แบตเตอรี่รถยนต์ ใช้งานได้กี่ปี วิธีเช็กแบตเตอรี่รถยนต์

4. ต้องพ่วงแบตเตอรี่อยู่เป็นประจำ – สาเหตุนี้ไม่ได้แยกว่าจะต้องเป็นรถใหม่หรือรถเก่าเพราะสามารถพบเจอได้ทั้งหมด เนื่องจากการลืมปิดไฟหน้ารถหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าบางอย่างทำให้แบตฯ หมด จึงจำเป็นต้องใช้วิธีการพ่วงแบตฯ เป็นประจำ แต่การพ่วงแบตฯ บ่อย ๆ นั้นไม่ใช่เรื่องดีแต่อย่างใด อาจทำให้แบตฯ เสื่อมเร็วกว่าปกติได้

5. ความผิดปกติของแบตเตอรี่ – ปัญหาของแบตเตอรี่หมดไวหรือเสื่อมนอกจากเกิดจากการใช้งานของเราแล้ว ยังเกิดได้จากคุณภาพและมาตรฐานการผลิตของแบตเตอรี่นั้น ๆ ได้ เช่น แบตเตอรี่มีอุณหภูมิที่สูง, แบตเตอรี่มีการสะสมความเป็นกรด และแบตเตอรี่บวม

6. สัญลักษณ์บนแบตเตอรี่เปลี่ยนไป – ปัจจุบันผู้ผลิตแบตเตอรี่จะทำช่องไว้สำหรับสังเกตแบตเตอรี่ว่ายังอยู่ในระดับการใช้งานปกติหรือไม่ โดยจะมีแถบให้เปรียบเทียบสัญลักษณ์อยู่บนแบตฯ ซึ่งเราสามารถสังเกตและตรวจสอบได้ด้วยตัวเอง
ทั้งนี้ คงต้องย้ำอีกครั้งว่า ผู้ใช้รถควรหมั่นตรวจสอบสังเกตการทำงานของแบตเตอรี่อยู่เสมอ รวมถึงต้องตรวจเช็กอุปกรณ์อื่น ๆ ว่ายังทำงานได้ดี เพื่อเป็นการยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานมากยิ่งขึ้น ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้งานแบตเตอรี่ที่เสื่อมสภาพ

ชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้า ตอนฝนตก

ทุกวันนี้ การใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า (รถ EV) ในไทยนั้นเป็นนิยมเป็นวงกว้างมากขึ้น เนื่องด้วยเทคโนโลยีที่สามารถทำให้รถยนต์ไฟฟ้าวิ่งใช้งานได้ระยะทางไกลมากขึ้น การปล่อยมลพิษออกมาทำลายสภาพแวดล้อมน้อยลง รวมถึงการบำรุงรักษาในหลายๆ ระบบ ที่ไม่ยุ่งยากแบบรถยนต์ที่ใช้การสันดาปด้วยเชื้อเพลิง นั่นทำให้คนจึงสนใจอยากเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้น

รวมไปถึงรถยนต์แบบ Plug-In Hybrid (รถปลั๊กอินไฮบริด) ที่แม้ว่าจะใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นแหล่งพลังงานหลัก แต่ก็มีมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานร่วมกันกับแบตเตอรี่ ซึ่งคุณสามารถชาร์จไฟใส่แบตเตอรี่ และวิ่งด้วยระบบ EV เพียวๆ เหมือนรถยนต์ไฟฟ้าได้เช่นกัน

แต่ก็มีคำถามตามมามากมาย ทั้งในเรื่องของมอเตอร์ไฟฟ้า ในเรื่องของแบตเตอรี่ รวมไปถึงในเรื่องของจุดชาร์จไฟ ว่าการทำงานนั้นเป็นอย่างไร ใช้งานสะดวกหรือไม่ มีข้อควรอะไรต้องระวังเป็นพิเศษหรือเปล่า และอีกหนึ่งคำถามที่ถามกันมากก็อย่างเช่น ถ้าเราจำเป็นต้องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า แล้วบังเอิญฝนตกลงมา หรืออยู่ในที่เปียกชื้นพอดี จะมีผลกระทบอะไรกับตัวเรา หรือรถยนต์ไฟฟ้าหรือไม่?

MR.CARRO จึงขอนำเรื่องของความปลอดภัย ในการชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าตามจุดชาร์จ ในขณะที่ฝนตก มาเล่าให้ฟังกันครับ

ชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้า ตอนฝนตก

ตามปกติแล้ว อุปกรณ์เชื่อมต่อระบบไฟฟ้าของตัวรถทั้งหมด จะได้รับการปกปิดเป็นอย่างดี รวมถึงผ่านการทดสอบตามมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด ทำให้ผู้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า หรือรถยนต์ Plug-In Hybrid (รถปลั๊กอินไฮบริด) ไม่ต้องกังวลเรื่องไฟดูด ไฟช็อต แต่ประการใด แต่ในช่วงที่คุณกำลังนำสายชาร์จออมาจากตู้ ควรระวังน้ำฝนเข้าไปในรูชาร์จของปลั๊กได้ เมื่อเสียบสายชาร์จเข้ากับตัวรถแล้ว ให้ดึงฝาปิดลงมา เพื่อป้องกันละอองน้ำฝนที่อาจกระเด็นเข้าไปตรงที่ชาร์จไฟได้

และในตัวตู้ชาร์จไฟฟ้า ก็จะมีติดตั้งระบบตัดไฟรั่ว ไฟเกิน (Circuit Braker) และลงสายดินเอาไว้ทุกตู้ เพราะการออกแบบมาให้ใช้งานภายนอกสถานที่ กลางแจ้ง ตัวปลั๊กและตู้ต้องออกแบบให้ทนทุกสภาวะอากาศในระดับหนึ่งอยู่แล้ว

จึงมั่นใจได้ว่า คุณสามารถชาร์จไฟรถยนต์ตอนฝนตกได้ แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้รถก็ควรต้องใช้ความระมัดระวังนะครับ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีส่วนใดๆ ของระบบการชาร์จ และ ปลั๊กไฟฟ้า ซึ่งอาจจะมีส่วนที่เปิดอยู่ (เช่น กรณีสายไฟในจุดต่างๆ ของตัวตู้ชาร์จมีส่วนเปื่อย หรือฉีกขาด) และโดนฝนขณะที่มีฝนตก อันนี้อาจได้รับอันตรายจากไฟดูดได้ แม้ว่าจะเป็นอัตราเสี่ยงต่ำก็ตาม

ชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้า ตอนฝนตก

สำหรับใครที่อยากขายรถ มาขายรถกับ CARRO Express สิ! ได้ราคาดี พร้อมปิดการขายภายใน 24 ชั่วโมง! หรือจะ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

และอีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน อยากซื้อรถคุณภาพเยี่ยม มาซื้อกับ CARRO Automall สิ!

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่หาไม่ได้ สามารถสั่งตามออเดอร์ได้ที่นี้ > https://th.carro.co/buy-car หรือโทร. 02-508-8690 อีกทั้งยัง Inbox เข้ามาสอบถามก็ได้เช่นกันได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง หรือทาง Line เชิญเลยครับที่ @carroautomall

Battery Charger สำหรับรถยนต์

ในช่วงที่โควิด-19 กลับมาระบาดอย่างหนักในระลอกสามนี้ เห็นที่ท่าว่ายังไม่มีทางหยุดยั้งกันง่ายๆ ซะด้วยสิ เมื่อดูจากตัวเลขผู้ป่วยนับพันในแต่ละวัน ทำให้บรรดาหน่วยงานราชการต่างๆ บริษัทห้างร้านเอกชน ต่างก็ขยายเวลาการทำงานแบบ Work From Home ให้กับพนักงานกันเป็นแถว เพื่อหลีกเลี่ยงการรวมตัวของคนจำนวนมากในสำนักงาน และยังเป็นวิถีการทำงานในรูปแบบใหม่ New Normal อีกด้วย

สำหรับรถยนต์ จากเดิมที่เคยใช้งานกันแทบทุกวัน หลายคนตอนนี้อาจจะทำงานแบบ Work From Home ทำให้รถแทบไม่ได้ใช้งาน บางทีจอดทิ้งไว้เป็นเดือน ไม่ได้สตาร์ทหรือขับออกไปไหน จอดจนยางแบนเลยก็มี ทำให้รถหลายคันแบตเตอรี่หมด หรือแบตเตอรี่เสื่อมก่อนอายุการใช้งาน

จึงมีหลายคนถามกันมามากว่า จะซื้อ Battery Charger มาใช้ดีหรือไม่? ในช่วงเวลานี้ MR.CARRO เห็นด้วยนะครับ ว่าควรซื้อมาใช้ เหมาะสำหรับซื้อมาติดบ้านไว้ใช้งานสักอัน แต่รายละเอียดของ Battery Charger จะมีอย่างไรบ้างนั้น เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังกัน

Battery-Charger-For-Car

ตามปกติแล้ว แม้ว่าเราจะไม่ได้ใช้งานรถยนต์ แต่แบตเตอรี่รถยนต์ ก็ยังคงต้องทำหน้าที่จ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ต่างๆ ภายในรถอยู่เสมอ เช่น นาฬิกา, กันขโมย, แผงวงจรต่างๆ หรืออาจจะมีไฟรั่วตามจุดต่างๆ ได้ ซึ่งประจุไฟฟ้าในแบตเตอรี่ ก็จะคายประจุ ลดลงไปเรื่อยๆ อันนี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติ

ทำให้หลายครั้งที่ต้องมาสตาร์ทรถทิ้งไว้ 10-20 นาที หรือเอาออกไปขับวนสัก 2-3 รอบ เพื่อให้ไดชาร์จได้อัดประจุไฟเข้าแบตเตอรี่ รักษาสภาพของแบตเตอรี่ไว้

ดังนั้น การมี Battery Charger ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ช่วยให้คุณประหยัดเวลาได้มากขึ้น ซึ่งระยะเวลาในการชาร์จ ก็จะขึ้นอยู่กับขนาดของแบตเตอรี่ และประจุไฟฟ้าที่เหลืออยู่ในแบตเตอรี่แต่ละลูก ซึ่งอาจใช้เวลาอยู่ที่ 2 – 20 กว่าชั่วโมง

Battery-Charger-For-Car

วิธีการใช้งาน ก็ควรชาร์จแบตเตอรี่ด้วยกระแสไฟไม่เกิน 10-15% ของความจุแบตเตอรี่ โดยดูจากแบตเตอรี่รถยนต์คุณก่อนว่ามีขนาดความจุแบตเตอรี่ (Ah) เท่าไหร่ (ซึ่งถ้าเป็นรถยนต์บ้านๆ ทั่วไป ก็จะอยู่ที่ 12V 65Ah หรือ 100Ah) แล้วก็ปรับเครื่องชาร์จ หรือปรับกระแสไฟให้เหมาะสม ตัวเครื่องก็จะอัดประจุไฟให้อัตโนมัติเอง และก็ตัดการทำงานอัตโนมัติ เมื่อแบตเตอรี่ของคุณชาร์จเต็มแล้ว

เพียงแค่นี้ล่ะครับ ก็จะช่วยให้คุณมีเวลา Work From Home ได้เต็มที่ในช่วงที่ไม่ได้ใช้รถแล้ว อีกทั้งแบตเตอรี่รถยนต์คุณก็จะพร้อมใช้งานตลอดเวลาด้วยครับ แต่ถ้าคิดว่าไม่ได้รถนานจริงๆ ก็อย่าลืมถอดขั้วแบตเตอรี่ออกนะครับ

Battery-Charger-For-Car

สำหรับใครที่อยากขายรถ เพราะไม่ได้ใช้รถในตอนนี้หรืออยากได้เงินไปใข้จ่าย มาขายรถกับ CARRO Express สิ! ได้ราคาดี พร้อมปิดการขายภายใน 24 ชั่วโมง! หรือจะ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

และอีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน อยากซื้อรถคุณภาพเยี่ยม มาซื้อกับ CARRO Automall สิ!

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่หาไม่ได้ สามารถสั่งตามออเดอร์ได้ที่นี้ > https://th.carro.co/buy-car หรือโทร. 02-508-8690 อีกทั้งยัง Inbox เข้ามาสอบถามก็ได้เช่นกันได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง หรือทาง Line เชิญเลยครับที่ @carroautomall

8-SUV-Crossover-Plug-In-Hybrid-Most-Electric-Range-2021
รถปลั๊กอินไฮบริด (Plug-In Hybrid Electric Vehicle มักจะเรียกแบบย่อว่า PHEV) หรือ รถพลังไฟฟ้า (ที่ยังคงมีเครื่องยนต์เป็นตัวขับเคลื่อน แต่สามารถชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่ เพื่อใช้เป็นพลังขับเคลื่อนได้) นับเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ได้รับความนิยมในช่วงสิบกว่าปีมานี้ สำหรับ “รถเสียบปลั๊ก” แบบ Plug-In Hybrid ที่หลายคนก็เรียกรวมอยู่ในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าด้วย

รถปลั๊กอินไฮบริด มีจุดเด่นตรงที่เหมาะสำหรับคนที่อาจจะยังไม่สะดวกในการใช้รถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ตรงที่ไม่จำเป็นต้องชาร์จไฟเป็นประจำ เนื่องจากเครื่องยนต์ยังคงเป็นกำลังหลัก และไม่ต้องหาที่แวะชาร์จในเวลาขับ ไปได้ทุกที่ ไม่ต้องกังวล อีกทั้งยังชาร์จไฟได้เต็มไวกว่า

สำหรับในบ้านเรา รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด มีผลิตและนำเข้ามาขายด้วยกันหลากหลายยี่ห้อ แต่จะมีรุ่นไหนที่น่าสนใจ และในระยะทางในการวิ่งได้มากที่สุดต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง MR.CARRO รวบรวมข้อมูล 8 รุ่นเด็ดๆ มาเล่าให้ฟัง

Mercedes-Benz-GLE-350-de-4MATIC-Exclusive-2021

1. Mercedes-Benz GLE 350 de 4MATIC Exclusive ราคา 4,699,000 บาท ระยะทาง 106 กิโลเมตร

Mercedes-Benz GLE 350 de 4MATIC Exclusive (เมอร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลอี 350 ดีอี) ผสานเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดและความแข็งแกร่งในแบบฉบับของเครื่องยนต์ดีเซลเข้าด้วยกันเป็นครั้งแรก

การออกแบบภายนอก ให้อารมณ์สปอร์ตในทุกมิติด้วยดีไซน์แบบ Exclusive Body Styling พร้อมอุปกรณ์มาตรฐานที่มีความโดดเด่นในทุกรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้าแบบ LED High-Performance ล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตขนาด 20 นิ้ว ตลอดจนความแข็งแกร่งของส่วนท้าย ที่บ่งบอกถึงความโดดเด่น

กับครั้งแรกของระบบมัลติมีเดีย MBUX (Mercedes-Benz User Experience) ที่เชื่อมโยงคุณเข้ากับเทคโนโลยีอันชาญฉลาดเสมือนมีผู้ช่วยส่วนตัว โดยพัฒนามาจากนวัตกรรม AI และยังมาพร้อมระบบความปลอดภัยที่ล้ำหน้าอย่างครบครัน

พร้อมเติมเต็มประสบการณ์ใหม่ให้กับชีวิต ด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร พร้อม Turbocharger และ Intercooler ผสานพลังมอเตอร์ไฟฟ้าด้วยเทคโนโลยี Plug-In Hybrid เจเนอเรชันที่ 3 พร้อมแรงม้าสูงสุดถึง 320 แรงม้า ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 6.8 วินาที ขับเคลื่อนผ่านระบบส่งกำลังแบบ 9G-TRONIC พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และสามารถวิ่งด้วยวิ่งด้วยไฟฟ้าได้ไกลสูงสุด 106 กิโลเมตร

BMW-X5-xDrive45e-M-Sport-2020

2. BMW X5 xDrive45e M Sport ราคา 4,999,000 บาท ระยะทาง 67-87 กิโลเมตร

BMW X5 xDrive45e M Sport (บีเอ็มดับเบิลยู X5) เจเนอเรชั่นที่ 2 ของ BMW X5 มาในรูปแบบปลั๊กอินไฮบริดผสานขุมพลังการขับเคลื่อนระบบไฟฟ้า เข้ากับความคล่องตัวในแบบฉบับรถยนต์ Sports Activity Vehicle (SAV) มาพร้อมชุดไฟหน้า Adaptive LED ฝาท้ายอัตโนมัติด้วยระบบไฟฟ้า ระบบปลดล็อคประตูอัจฉริยะ Comfort Access System หลังคากระจกแบบ Panorama เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า เป็นต้น พร้อมกุญแจรีโมทระบบสัมผัส BMW Display Key

ส่วนภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยวัสดุหนังแท้ และอะลูมิเนียมลาย Tetragon ที่มาพร้อมเบาะนั่งหุ้มด้วยหนัง Vernesca ปรับด้วยไฟฟ้า พร้อมระบบความจำฝั่งคนขับ ที่ปรับดันหลังไฟฟ้า เบาะนั่งคู่หน้า ส่วนเบาะนั่งด้านหลัง แบ่งพับแบบ 40 : 20 : 40 พวงมาลัย Multifunction หุ้มหนังแบบ M Sport มีระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ 4 Zones และระบบจัดเก็บสัมภาระท้ายรถ Luggage Compartment Package เป็นต้น

ซึ่ง BMW X5 xDrive45e M Sport ใหม่ มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ 43.5 กม./ลิตร ตาม ECO Sticker โดยเมื่อขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว จะสามารถทำความเร็วสูงสุดที่ 135 กม./ชม. จากเดิมสูงสุดที่ 120 กม./ชม. และวิ่งด้วยไฟฟ้าได้ไกลสูงสุด 67-87 กิโลเมตร ตามมาตรฐานการทดสอบ WLTP ของยุโรป

MG-HS-PHEV-2021

3. MG HS PHEV ราคา 1,359,000 บาท ระยะทาง 67 กิโลเมตร

MG HS PHEV (เอ็มจี เอชเอส พีเอชอีวี) รถยนต์ SUV แบบปลั๊กอินไฮบริดรุ่นล่าสุดจากค่าย MG ชูแนวคิด “Refinement” พร้อมขับเคลื่อนทุกคุณค่าของชีวิต โดยสะท้อนถึงความเหนือระดับ ทั้งความหรูหรา ความสะดวกสบายความปลอดภัย และการแนะนำเทคโนโลยี Plug-in Hybrid ผสานพลังสุดยอดแห่งระบบขับเคลื่อน 2 ระบบ เข้าด้วยกัน ทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า

ขับเคลื่อนด้วยระบบ Plug-in Hybrid มีพละกำลังสูงสุด 284 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 480 นิวตันเมตร จากขุมพลังของเครื่องยนต์เบนซิน Turbo ขนาด 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 162 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร และมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor ที่ให้กำลังสูงสุด 122 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 230 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ Lithium-Ion แบบ 6 โมดูล มีขนาดใหญ่ถึง 16.6 kWh

ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์แบบ EDU II – 10 Speeds ที่ใช้เวลาเปลี่ยนเกียร์เพียง 0.2 วินาที ตอบสนองได้อย่างทันใจ ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายในเวลา 7.5 วินาที สามารถขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% สูงสุดถึง 67 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง

Range-Rover-Sport-Plug-In-Hybrid-HSE-Plus

4. Range Rover Sport Plug-In Hybrid HSE Plus ราคา 5,699,000 บาท ระยะทาง 51 กิโลเมตร

Range Rover Sport Plug-In Hybrid HSE Plus (เรนจ์ โรเวอร์ สปอร์ต ปลั๊กอินไฮบริด เอชเอสอี พลัส) เพิ่มทางเลือกสำหรับลูกค้าที่ต้องการรถยนต์ SUV ขนาดใหญ่ กับสมรรถนะอันยอดเยี่ยม ทั้งการขับขี่บนถนนปกติ และในสภาพพื้นผิวถนนหลายรูปแบบ อันเป็นจุดขายของรถยนต์ เรนจ์ โรเวอร์ สปอร์ต

มาพร้อมอุปกรณ์มาตรฐาน อาทิ ไฟหน้าแบ Matrix LED ปรับการทำงานอัตโนมัติ, ล้อแม็กขนาด 21 นิ้ว, ระบบความปลอดภัยรอบคัน พร้อมกล้องแสดงผลรอบทิศทาง 360 องศา เป็นต้น

ห้องโดยสารภายในมาพร้อมเทคโนโลยี InControl Connect Pro แสดงผลผ่านหน้าจอสัมผัสขนาด 10 นิ้ว เครื่องเสียงชุดใหญ่แบบพรีเมียมของ Meridian ลำโพงถึง 19 พร้อม Sub-Woofer และมี WiFi Hotspot เชื่อมต่ออุปกรณ์ภายในรถได้

ขุมพลังปลั๊กอินไฮบริด ทำงารร่วมกับเครื่องยนต์เบนซินตระกูล Ingenium ขนาด 2.0 ลิตร แบบ 4 สูบ 300 แรงม้า คู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า 116 แรงม้า พ่วงด้วยแบตเตอรี่ความจุ 13 kWh ให้กำลังรวมทั้งระบบ 404 แรงม้า ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 6.7 วินาที อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 27.7 กม./ลิตร วิ่งด้วยไฟฟ้าได้ไกลสูงสุดประมาณ 51 กิโลเมตร

Mercedes-Benz-GLC-300-e-4MATIC-AMG-Dynamic

5. Mercedes-Benz GLC 300 e 4MATIC AMG Dynamic ราคา 3,699,000 บาท ระยะทาง 46-49 กิโลเมตร

Mercedes-Benz GLC 300 e 4MATIC AMG Dynamic (เมอร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลซี 300 อี) คือรถยนต์ SUV Plug-In Hybrid ขนาดกลาง ที่ยกระดับใหม่ในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี ภายใน และดีไซน์แบบ SUV ที่เป็นเอกลักษณ์

มาพร้อมระบบสั่งการด้วยเสียง “Hey Mercedes” ระบบสั่งงานด้วยเสียงซึ่งสามารถประมวลผลประโยคที่ใกล้เคียงกับคำสั่งทั่วไปได้ ทั้งจดจำและเรียนรู้การสั่งงานของคุณได้ ระบบปรับรูปแบบการขับขี่ (Dynamic Select) ที่เปลี่ยนจากการปรับโหมดขับขี่ผ่านพวงมาลัย มาเป็นการปรับโหมดการขับขี่ผ่านหน้าจอแสดงผล ที่ตอบสนองการขับขี่ได้ในแบบฉบับที่คุณโปรดปราน ไม่ว่าจะเป็นโหมด ECO, Comfort, Sport, Sport+, Individual โดยที่ระบบจะปรับการทำงานของเครื่องยนต์ในส่วนต่าง ๆ อาทิ ระบบส่งกำลัง ระบบบังคับเลี้ยวหรือโปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ เป็นต้น

ด้วยสมรรถนะของเทคโนโลยี Plug-in Hybrid ที่จะพาคุณก้าวสู่โลกสีเขียวแห่งอนาคต โดยผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 211 แรงม้า และจากมอเตอร์ไฟฟ้า 122 แรงม้า รวมเป็นกำลังสูงสุด 320 แรงม้า พร้อมด้วยแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ความจุ 13.5 kWh

ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด แบบ 9G-TRONIC ที่ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์มีความนุ่มนวลมากยิ่งขึ้น และประหยัดพลังงานได้มากถึง 6.5% มีอัตราการใช้พลังงาน 17.8-16.5 kWh/100 กม. ให้ระยะทางขับขี่ด้วยระบบไฟฟ้าล้วน 46-49 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NEDC)

BMW-X3-xDrive30e-M-Sport-2020

6. BMW X3 xDrive30e M Sport ราคา 3,659,000 บาท ระยะทาง 47 กิโลเมตร

BMW X3 xDrive30e M Sport (บีเอ็มดับบลิว เอ็กซ์3) ผสมผสานระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ xDrive และระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า eDrive ของบีเอ็มดับเบิลยูเข้ากันอย่างลงตัว เพื่อมอบความเพลิดเพลินในการขับขี่ควบคู่ความยั่งยืนอย่างสมบูรณ์ บีเอ็มดับเบิลยู X3 xDrive30e M Sport ใหม่

มาพร้อมกับระบบปลั๊กอินไฮบริด ที่ประกอบด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร มอบกำลังสูงสุดที่ 184 แรงม้า พร้อมเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo และมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด แบบ Sport Steptronic มอบกำลังขับจากระบบไฟฟ้าสูงสุดที่ 109 แรงม้า ส่งพลังลงสู่ล้อทั้งสี่อย่างเต็มพิกัด

เมื่อนับรวมกันแล้ว เครื่องยนต์ขุมพลังเบนซิน 4 สูบ และมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังรวมสูงสุดถึง 292 แรงม้า แรงบิดรวมสูงสุด 420 นิวตันเมตร และยังช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงให้ลงมาที่ 35.7 กม./ลิตร โดยอัตราการใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ประมาณ 17.92 kWh ต่อ 100 กิโลเมตร

ส่วนแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน มาพร้อมกับเทคโนโลยีเซลล์แบตเตอรี่ใหม่ล่าสุด ส่งกำลังให้สามารถขับขี่ในโหมดไฟฟ้าล้วนได้ในระยะทางสูงสุดถึง 47 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NEDC) เร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 6.1 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 210 กม./ชม.

มอเตอร์ไฟฟ้าของรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู X3 xDrive30e M Sport สามารถทำงานทั้งในรูปแบบการขับขี่พลังงานไฟฟ้าล้วน หรือเพื่อช่วยสนับสนุนการทำงานของเครื่องยนต์สันดาป โดยในโหมด MAX eDrive ซึ่งเปิดใช้งานได้ด้วยปุ่ม eDrive บริเวณคอนโซลหลัก บีเอ็มดับเบิลยู X3 xDrive30e M Sport ใหม่ จะสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 135 กม./ชม. ด้านโหมด Auto eDrive แบบมาตรฐาน สามารถทำความเร็วสูงสุดด้วยการขับขี่แบบไฟฟ้าล้วนได้ที่ 110 กม./ชม.

ในขณะเดียวกัน เครื่องยนต์สันดาป ยังสามารถสลับมาทำหน้าที่แทนเมื่อเร่งความเร็วสูงขึ้น หรือเมื่อมีจำเป็นต้องใช้พละกำลังจากเครื่องยนต์เพิ่มเติม

Porsche-Cayenne-e-Hybrid-2021

7. Porsche Cayenne e-Hybrid ราคา 6,300,000 บาท ระยะทาง 47 กิโลเมตร

Porsche Cayenne e-Hybrid (ปอร์เช่ คาเยนน์ อี-ไฮบริด) ปอร์เช่เสริมศักยภาพพิสัยการเดินทางด้วยพลังงานไฟฟ้า ให้แก่สายพันธุ์สปอร์ต SUV ปลั๊กอินไฮบริด กับ Cayenne โดยสมรรถนะของแบตเตอรี่ High-Voltage เพิ่มขึ้นเป็น 17.9 kWh จากเดิม 14.1 kWh ส่งผลต่อระยะทางที่สามารถวิ่งได้ด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว เพิ่มสูงขึ้นอีกถึงกว่า 30%

เมื่อทดสอบตามมาตรฐาน NEDC (ECE-R101) ปอร์เช่ คาเยนน์ อี ไฮบริด (Porsche Cayenne E-Hybrid) และ เทอร์โบ เอส อี ไฮบริด (Turbo S E-Hybrid) มีพิสัยการเดินทางโดยปราศจากมลพิษสูงสุดถึง 47 กิโลเมตร

ระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ใน Porsche Cayenne e-Hybrid ทุกคัน รวมทั้งรุ่นตัวถังคูเป้ (coupe) ที่ให้ภาพลักษณ์สปอร์ตเต็มตัว ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติอัจฉริยะ 8 สปีด Tiptronic S ให้พละกำลังสูงสุด 136 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ความเร็วสูงสุดเมื่อใช้พลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ทำได้ที่ 135 กม./ชม. ตอบสนองต่อการขับขี่ที่ต้องการกำลังเพิ่มขึ้น หรือในขณะที่เลือกใช้งาน Driving Modes ทั้งในโหมด Sport และ Sport Plus ด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายในที่แตกต่างกันในแต่ละรุ่น

สำหรับ Cayenne E-Hybrid ประจำการขุมพลังเครื่องยนต์เบนซินขนาดความจุ 3.0 ลิตร V6 Turbo 340 แรงม้า เมื่อผสานการทำงานทั้งสองระบบจะได้กำลังสูงสุดรวมกว่า 462 แรงม้า (340 กิโลวัตต์)

ในส่วนของ Cayenne Turbo S E-Hybrid ให้พละกำลังสูงสุดถึง 550 แรงม้า จากเครื่องยนต์เบนซิน 4.0 ลิตร V8 Twin Turbo นั่นหมายถึงพลังมหาศาลจะได้รับการปลดปล่อย เมื่อทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าถึงกว่า 680 แรงม้า

Mitsubishi-Outlander-PHEV-2020

8. Mitsubishi Outlander PHEV ราคา 1,749,000 บาท ระยะทาง 45 กิโลเมตร

Mitsubishi Outlander PHEV (มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี) เป็นรถ SUV ระดับพรีเมียมที่ประกอบในประเทศ ผสาน DNA และเทคโนโลยีรถยนต์ระดับตำนานของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส เข้าไว้ด้วยกัน เริ่มด้วย “Pajero” สุดยอดตำนานแห่งรถเอสยูวี “Mitsubishi Lancer Evolution” เจ้าแห่งสนาม “เวิลด์แรลลี่แชมเปี้ยนชิพ” (WRC) ที่มีเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ซูเปอร์-ออลวิลล์คอนโทรล (S-AWC) ที่เป็นหนึ่งในตำนานแห่งสมรรถนะ รวมทั้งยานยนต์พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตขึ้นเพื่อจำหน่ายจริงรุ่นแรกของโลกอย่าง “i-MiEV” (ไอ-มีฟ)

ดีไซน์ภายนอกที่โดดเด่น โฉบเฉี่ยว และหรูหราเหนือระดับ ดีไซน์ภายในประณีตทุกรายละเอียด ห้องโดยสารกว้างขวาง ทรงพลังด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ และเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.4 ลิตร แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ให้แรงม้าสูงสุด 305 แรงม้า สามารถวิ่งได้ด้วยไฟฟ้าล้วน ถึง 45 กิโลเมตร

ส่งกำลังผ่านโหมดการขับขี่ 3 รูปแบบ ได้แก่ โหมด EV (ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ) โหมด Hybrid (ขับเคลื่อนหลักด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า โดยมีเครื่องยนต์ทำหน้าที่ผลิตกระแสไฟฟ้าให้แก่มอเตอร์ไฟฟ้าคู่) และโหมด Parallel Hybrid (เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าทำหน้าที่ขับเคลื่อนตัวรถไปพร้อมกัน)

พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ซูเปอร์-ออลวิลล์คอนโทรล (S-AWC) ให้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเพียง 52.6 กม./ลิตร หรือ 1.9 ลิตรต่อ 100 กม. ตามมาตรฐาน NEDC

MR.CARRO หวังว่า 8 อันดับ รถยนต์ SUV และ Crossover แบบ Plug-In Hybrid ระยะทางวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนมากสุดในไทย ที่นำมาเสนอนั้น หากใครอยากได้ หรือกำลังตัดสินใจจะซื้ออยู่พอดี แต่งบไม่พอ! มาขายรถคันเดิมของคุณกับทาง CARRO สิ ได้ราคาดีที่สุด พร้อมปิดการขายภายใน 24 ชั่วโมง! กับ CARRO Express แค่คลิก -> https://th.carro.co/sell-car/express หรือจะ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

และอีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ ซื้อรถ คลิก -> https://th.carro.co/taladrod/allcar/carro 

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่หาไม่ได้ สามารถสั่งตามออเดอร์ได้ที่นี้ > https://th.carro.co/buy-car หรือโทร. 02-508-8690 อีกทั้งยัง Inbox เข้ามาสอบถามก็ได้เช่นกันได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง หรือทาง Line เชิญเลยครับที่ @carroautomall

หมายเหตุ : ข้อมูลสินค้า 8 อันดับข้างต้นนี้ เป็นข้อมูลสินค้าที่ Update ณ เดือนเมษายน 2564 เมื่อเวลาผ่านไปราคาและอันดับดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ โปรดสอบถามรายละเอียดหรือราคาล่าสุด ที่ตัวแทนจำหน่ายรถรุ่นนั้นๆ อีกครั้ง