แบตเตอรี่รถยนต์ ใช้งานได้กี่ปี วิธีเช็กแบตเตอรี่รถยนต์

สวัสดีค่ะ ชาว CARRO กลับมาพบกันกับบทความดีๆ ของทาง Siamcardeal กันนะคะ ในช่วงนี้ประเทศของเรายังคงมีข่าวคราวการระบาดของ โควิด-19 กันอยู่นะคะ และช่วงนี้แอดมินนำสาระดีๆ เกี่ยวกับรถยนต์ มาฝากกันเช่นเคยค่ะ หลายท่านอาจจะสงสัยว่า แบตเตอรี่รถยนต์ ใช้งานได้กี่ปี แอดมินเลย มีวิธีสังเกตอาการแบตเตอรี่รถยนต์หมดง่าย ๆ มีสัญญาณอะไรที่บ่งบอกเราได้บ้าง ไปหาคำตอบกันเลย

แบตเตอรี่รถยนต์ ใช้งานได้กี่ปี วิธีเช็กแบตเตอรี่รถยนต์

แบตเตอรี่รถยนต์ ใช้งานได้กี่ปี ? พร้อมวิธีเช็กแบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมง่ายๆ

แบตเตอรี่ คืออุปกรณ์ที่มีความสำคัญสำหรับรถยนต์ ทำหน้าที่ตั้งแต่ในการสตาร์ตเครื่องยนต์ และคอยจ่ายกระแสไฟฟ้าให้อุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในรถ ซึ่งผู้ใช้รถต้องคอยดูแลและบำรุงรักษาเป็นประจำ เพราะแบตเตอรี่รถยนต์นั้นมีอายุการใช้งาน และจะใช้ได้ยาวนานเท่าไหร่ยังแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับลักษณะะการใช้งาน รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ ด้วย

ดังนั้นการศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของแบตเตอรี่ ย่อมช่วยให้เจ้าของรถและผู้ขับขี่ทุกคน สามารถใช้งานรถยนต์ รวมถึงดูแลรักษาในส่วนต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง โดยไม่กลายเป็นปัญหาสร้างความเสียหายโดยที่ไม่จำเป็น

แบตเตอรี่รถยนต์ใช้ได้กี่ปี

หากจะถามว่าแบตเตอรี่รถยนต์จะใช้งานได้นานแค่ไหนนั้น คงเป็นเรื่องยากที่จะบอกคำตอบที่ชัดเจนออกไป เพราะปัจจัยที่ส่งผลต่ออายุการใช้งานของแบตเตอรี่นั้นมีมากมายหลายส่วนด้วยกันแม้เราจะบำรุงดูแลรักษาเป็นประจำ เนื่องจากมีบางกรณีที่ไม่สามารถควบคุมได้อย่างสภาพอากาศและอุณหภูมิ ทว่าโดยเฉลี่ยแล้วแบตเตอรี่จะมีอายุการใช้งานอย่างน้อย 2 ปีขึ้นไป จนมากที่สุดได้ถึง 5 ปี

แบตเตอรี่รถยนต์ ใช้งานได้กี่ปี วิธีเช็กแบตเตอรี่รถยนต์

สิ่งที่มีผลต่ออายุการใช้งานของแบตเตอรี่

สภาพอากาศ และอุณหภูมิ

แบตเตอรี่รถยนต์ส่วนใหญ่จะมีโอกาสเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติในสภาพอากาศที่หนาวจัดหรือร้อนจัด และยิ่งถ้าต้องจอดรถในสภาพแวดล้อมดังกล่าวเป็นเวลานานก็ส่งผลให้แบตฯ เสื่อมสภาพเร็วได้ เพราะที่แผ่นตะกั่วอาจจะเกิดตะกอนทำให้มีการกักเก็บไฟได้ไม่ดีนั่นเอง

ความผิดปกติของระบบชาร์จไฟ หรือการดัดแปลงไดชาร์จ

หากไดชาร์จเกิดการเสื่อมสภาพ มีการปล่อยกระแสไฟฟ้าที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยไปยังแบตเตอรี่ ทำให้มีโอกาสที่ไฟในแบตเตอรี่จะรั่วไหลและไม่สามารถเก็บไฟได้แม้ในขณะที่สตารตเครื่องยนต์ นอกจากนี้หากมีการดัดแปลงไดชาร์จให้ชาร์จกระแสไฟได้เร็วยิ่งขึ้นจะทำให้มีกระแสไฟไหลเข้าสู่แบตเตอรี่มากกว่าปกติ ส่วนใหญ่พบได้ในรถที่ดัดแปลงเครื่องเสียง
การต่อขั้วแบตฯ ไม่ดี

ในส่วนของการติดตั้งแบตเตอรี่นั้นหากมีการต่อขั้วแบตฯ ไม่ดี หลวม หรือบริเวณขั้วต่อมีสนิม ก็อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การไหลของกระแสไฟและระบบการชาร์จไฟกลับเข้ายังแบตเตอรี่นั้นทำได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ส่งผลให้แบตฯ เสื่อมเร็วนั่นเอง

การใช้งาน เปิดไฟหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในรถทิ้งไว้

หลักปฏิบัติโดยทั่วไปก็คือผู้ใช้รถควรตรวจสอบไฟภายในห้องโดยสารหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าอื่น ๆ ในรถทุกครั้งก่อนลงจากรถ เพราะอาจทำให้แบตเตอรี่ต้องจ่ายไฟจนหมด ส่งผลให้รถสตาร์ตไม่ติด และเป็นสาเหตุของการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่ได้

แบตเตอรี่รถยนต์ ใช้งานได้กี่ปี วิธีเช็กแบตเตอรี่รถยนต์

อาการแบตเตอรี่รถยนต์เสื่อม ดูยังไง

1. เครื่องยนต์สตาร์ตติดยากหรือสตาร์ตไม่ติด – การสตาร์ตรถยนต์นั้นจะใช้ไฟจากแบตเตอรี่มากที่สุด และหากเครื่องยนต์มีการหมุนช้าลงและสตาร์ตติดได้ยาก สาเหตุหนึ่งก็มาจากการที่แบตเตอรี่เริ่มเก็บประจุไฟไม่อยู่ และจ่ายไฟได้น้อยลง กับอีกกรณีหากทำการสตาร์ทเครื่องยนต์แล้วมีเสียงการหมุนของเครื่องยนต์แต่รถก็ยังสตาร์ตไม่ติด ปัญหานี้มักเกิดจากกำลังไฟในแบตเตอรี่ไม่พอแล้วนั่นเอง

2. ไฟหน้าสว่างน้อยลง – ทุกครั้งที่ต้องขับรถในเวลากลางคืนแล้วต้องเปิดไฟหน้า ให้ลองสังเกตดูว่าแสงไฟมีความสว่างลดลงไม่สว่างเหมือนก่อน ก็สันนิษฐานได้ว่าแบตเตอรี่กำลังมีปัญหา

3. ได้กลิ่นเหม็นผิดปกติ – หากแบตเตอรี่มีกลิ่นเหม็นเหมือนไข่เน่านั่นเป็นสัญญาณบอกอย่างหนึ่งว่าแบตเตอรี่กำลังรั่วและเกิดการชำรุด หากยังฝืนใช้งานต่ออาจเป็นอันตรายและสร้างความเสียหายหรือกัดกร่อนส่วนประกอบอื่น ๆ ในรถของคุณได้ ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ในทันที

แบตเตอรี่รถยนต์ ใช้งานได้กี่ปี วิธีเช็กแบตเตอรี่รถยนต์

4. ต้องพ่วงแบตเตอรี่อยู่เป็นประจำ – สาเหตุนี้ไม่ได้แยกว่าจะต้องเป็นรถใหม่หรือรถเก่าเพราะสามารถพบเจอได้ทั้งหมด เนื่องจากการลืมปิดไฟหน้ารถหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าบางอย่างทำให้แบตฯ หมด จึงจำเป็นต้องใช้วิธีการพ่วงแบตฯ เป็นประจำ แต่การพ่วงแบตฯ บ่อย ๆ นั้นไม่ใช่เรื่องดีแต่อย่างใด อาจทำให้แบตฯ เสื่อมเร็วกว่าปกติได้

5. ความผิดปกติของแบตเตอรี่ – ปัญหาของแบตเตอรี่หมดไวหรือเสื่อมนอกจากเกิดจากการใช้งานของเราแล้ว ยังเกิดได้จากคุณภาพและมาตรฐานการผลิตของแบตเตอรี่นั้น ๆ ได้ เช่น แบตเตอรี่มีอุณหภูมิที่สูง, แบตเตอรี่มีการสะสมความเป็นกรด และแบตเตอรี่บวม

6. สัญลักษณ์บนแบตเตอรี่เปลี่ยนไป – ปัจจุบันผู้ผลิตแบตเตอรี่จะทำช่องไว้สำหรับสังเกตแบตเตอรี่ว่ายังอยู่ในระดับการใช้งานปกติหรือไม่ โดยจะมีแถบให้เปรียบเทียบสัญลักษณ์อยู่บนแบตฯ ซึ่งเราสามารถสังเกตและตรวจสอบได้ด้วยตัวเอง
ทั้งนี้ คงต้องย้ำอีกครั้งว่า ผู้ใช้รถควรหมั่นตรวจสอบสังเกตการทำงานของแบตเตอรี่อยู่เสมอ รวมถึงต้องตรวจเช็กอุปกรณ์อื่น ๆ ว่ายังทำงานได้ดี เพื่อเป็นการยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานมากยิ่งขึ้น ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้งานแบตเตอรี่ที่เสื่อมสภาพ

Engine-Not-Starting-Causes

รถสตาร์ทไม่ติด อีกหนึ่งปัญหาชวนหงุดหงิดและกวนใจ ไม่ว่าใครก็ไม่ชอบ ไม่ว่าจะเป็นวันหยุดพักผ่อนที่ตั้งใจไว้ว่าจะไปเที่ยวชิลล์ให้หายเหนื่อยจากการทำงาน หรือแม้จะเป็นเช้าวันจันทร์อันแสนว้าวุ่น หากคุณสตาร์ทรถสุดที่รักไม่ติดขึ้นมา นอกจากจะเสียเวลาแล้ว ยังต้องเสียเงินซ่อมกันอีกด้วย ซึ่งถ้าหากว่าคุณใช้รถอยู่เป็นประจำ และมีการบำรุงรักษาตามระยะทางอย่างเหมาะสม โอกาสที่จะเกิดปัญหานี้ก็จะน้อยลงไปด้วย

วันนี้ Roojai.com จะพาคุณไปดูเจ้าตัวการหลักที่เป็นต้นตอของปัญหา รถสตาร์ทไม่ติด ว่ามีสาเหตุมาจากอะไรได้บ้าง บางทีสาเหตุก็อาจมาจากจุดเล็ก ๆ หรือบางทีก็อาจเป็นปัญหาใหญ่ของรถที่คุณต้องรีบแก้ไข ไปดูกันเลยดีกว่าว่าเป็นเพราะอะไรได้บ้าง

Engine-Not-Starting-Causes

รถสตาร์ทไม่ติด “มันติดที่ตรงไหน” ไปดูกัน

  • แบตเตอรี่เสื่อม

โดยทั่วไปอายุการใช้งานของแบตเตอรี่รถยนต์จะอยู่ที่ประมาณ 2 ปี ซึ่งถ้าหากคุณไม่เคยได้เปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ตามระยะเวลาที่แนะนำแล้ว นี่ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ รถสตาร์ทไม่ติด เงียบ ไม่มีไฟ นั่นเอง โดยคุณสามารถเช็คได้จากไฟที่แสดงสถานะบนหน้าปัดรถยนต์ โดยเมื่อเสียบกุญแจเข้าไปและหมุนไปครึ่งรอบ หากไฟแสดงสถานะแบตเตอรี่ไม่ติด ก็ให้สันนิษฐานไว้ได้เลยว่าแบตเตอรี่เสื่อมสภาพแล้วนั่นเอง

สำหรับอาการทั่วไปที่พบได้จากแบตเตอรี่เสื่อมนั้น มักจะเริ่มต้นจากสตาร์ทรถติดยากในช่วงเช้า หรือหลังจากที่มีการจอดรถทิ้งไว้นาน ๆ ซึ่งบางครั้งก็อาจจะเป็นการจอดค้างแบบข้ามคืน หรือไม่ก็เป็นลักษณะของการจอดระหว่างวันเมื่อไปทำงาน และในกรณีที่เสื่อมมาก ๆ ก็จะสตาร์ทรถไม่ติดเลย นั่นก็หมายความว่าถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ของคุณแล้วนั่นเอง

  • ไดชาร์จเสื่อม

ในกรณีที่เปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่เรียบร้อยแล้ว แต่ปัญหาเรื่อง รถสตาร์ทไม่ติด เงียบ ยังไม่หายไป หรืออาจจะยังมีอาการสตาร์ทรถติดยากให้เห็นอยู่ ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าไดชาร์จของรถคุณอาจมีปัญหา เนื่องจากไดร์ชาร์จคืออุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ในการจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่แบตเตอรี่ และคอยสร้างกระแสไฟฟ้าในขณะที่รถยนต์ทำงาน เมื่อไดชาร์จเสื่อมก็หมายความว่าไม่สามารถจ่ายไฟเข้าสู่แบตเตอรี่ได้ นั่นจึงทำให้รถสตาร์ทไม่ติดนั่นเอง

ไดชาร์จเสื่อม อาการนั้นอาจะมีลักษณะที่คล้ายกับแบตเตอรี่เสื่อม แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือ คุณอาจพบปัญหาเครื่องยนต์ดับไปแบบดื้อ ๆ ในขณะที่กำลังขับอยู่นั่นเอง ซึ่งคุณสามารถเช็คอาการไดชาร์จเสื่อมได้จากการถอดขั้วแบตเตอรี่ออกหนึ่งข้าง หลังจากที่สตาร์ทรถทิ้งไวแล้วซักพัก ซึ่งถ้าหากว่ารถของคุณกระตุกหรือดับ นั่นหมายถึงไดชาร์จรถยนต์ของคุณเสื่อมแล้วอย่างแน่นอน

สำหรับกรณีที่ไดชาร์จเสียเลยนั้น เมื่อทำการพ่วงแบตเตอรี่กับรถคันอื่นเพื่อช่วยสตาร์ทแล้วก็จะยังสตาร์ทไม่ติดอยู่ดี ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ไดชาร์จเสีย เช่น สายไฟที่ต่อไปยังไดสตาร์ทหลุด, ฟิวส์ไดสตาร์ทขาด หรือแปรงถ่านที่อยู่ในไดสตาร์ทอาจจะหมด เป็นต้น โดยอาการอื่น ๆ ที่ส่งสัญญาณให้คุณรู้ล่วงหน้าว่าไดชาร์จเสียนั้น นอกเหนือจาก รถสตาร์ทไม่ติด แล้ว คุณอาจพบว่า แอร์ไม่เย็นโดยไม่มีสาเหตุ หรืออยู่ ๆ ไฟหน้าไม่ค่อยสว่างเหมือนเดิม ทางออกเพียงอย่างเดียวของคุณคือการเรียกรถลากมารับไปให้ที่อู่ดูเท่านั้น

  • มอเตอร์สตาร์ทมีปัญหา

มอเตอร์สตาร์ทหรือ “ไดสตาร์ท” ในกรณีที่ลองทางแก้เบื้องต้นทุกหนทางแล้ว ทั้งพ่วงแบตเตอรี่กับรถยนต์คันอื่นหรือเปลี่ยนแบตก็ตาม ถ้ายังสตาร์ทรถไม่ติดอยู่ดี อีกหนึ่งสิ่งที่เป็นไปได้ก็คือ มอเตอร์สตาร์ทของรถคุณอาจมีปัญหา ซึ่งคุณสามารถตรวจสอบเบื้องต้นด้วยตัวเองง่าย ๆ โดยการเช็คที่แผงหน้าปัดไฟ ซึ่งถ้าไฟแบตเตอรี่ขึ้นตามมปกติ แต่สตาร์ทรถแล้วมีเสียงแชะ ๆ และไม่สตาร์ทรถไม่ติด ก็มีความเป็นไปได้แล้วว่า มอร์เตอร์สตาร์ทรถของคุณมีปัญหา

โดยทั่วไปแล้วจะเกิดจากพฤติกรรมการสตาร์ทรถที่ชอบบิดกุญแจแช่ค้างเอาไว้ ซึ่งจะส่งผลให้ไดสตาร์ทไหม้ได้ อีกหนึ่งสาเหตุก็คือ การขับรถลุยน้ำท่วม จนทำให้เกิดน้ำเข้าไดสตาร์ท ซึ่งจะทำให้แปรงถ่าน (Carbon Brush) ขัดตัวเพราะอุปกรณ์ภายในเกิดสนิมจนทำให้ไดสตาร์ทไม่หมุนนั่นเอง หรืออาจเกิดจากสาเหตุที่สามารถแก้ไขได้ง่าย ๆ อย่างการที่สายไฟที่ต่อไปยังสตาร์ทมอเตอร์ขาดหรือหลุดออกจากจุดต่อ หรือ แปรงถ่านหมด

  • ปั๊มติ๊กเสีย

ปั๊มติ๊กมีหน้าที่ดูดน้ำมันจากตัวถังไปยังเครื่องยนต์ ซึ่งเมื่อปั๊มติ๊กเสียหรือเสื่อมก็จะทำให้ไม่สามารถจุดระเบิดเครื่องเครื่องยนต์ได้นั่นเอง แต่เจ้าปั๊มเชื้อเพลิงลักษณะนี้ ปัจจุบันหาได้ยากแล้ว เพราะรถรุ่นใหม่ที่ผลิตออกมา จะใช้ปั๊มเชื้อเพลิงแบบขับด้วยเฟืองและมอเตอร์ไฟฟ้า โดยจะประกอบเป็นชุดเดียวกันกับชุดลูกลอยวัดระดับน้ำมัน ซึ่งติดตั้งอยู่ในถังน้ำมันเชื้อเพลิงมาตั้งแต่ต้น รถสตาร์ทไม่ติด น้ำมันไม่มา ก็เพราะอุปกรณ์ชิ้นนี้เสียไม่ทำงานนั่นเอง

และสาเหตุที่ทำให้ปั๊มติ๊กเสียหรือเสื่อมนั้น ส่วนใหญ่เกิดมาจากการปล่อยให้ไฟเตือนน้ำมันโชว์อยู่เป็นประจำ เพราะระดับน้ำมันเชื้อเพลิงเหลือน้อยเกินไป ทำให้ปั๊มติ๊กไม่สามารถดูดน้ำมันขึ้นมาได้ ดูดเอาอากาศเข้ามาแทน จนปั๊มเชื้อเพลิงเสียหายในที่สุด จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รถสตาร์ทไม่ติดด้วยเช่นกัน

Engine-Not-Starting-Causes

  • สตาร์ทรถติด (ยาก) อาจเป็นเพราะขั้วแบตเตอรี่สกปรก

สิ่งแรก ๆ ที่คนส่วนใหญ่จะนึกถึงก็คือปัญหาเรื่องแบตเตอรี่เสื่อม แต่ก็ยังมีอีกสาเหตุที่เกิดขึ้นได้บ่อย และคุณอาจคิดไม่ถึงเสียด้วยซ้ำ นั่นก็คือ “ขั้วแบตเตอรี่สกปรก” ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการใช้ รถโดยไม่ค่อยได้ดูแลรักษา โดยแบตเตอรี่เก่าที่ใช้งานมานาน มักจะเกิด “คราบขี้เกลือ” ซึ่งมีลักษณะเป็นคราบสีขาว ๆ ปนฟ้าปนเขียวเกาะอยู่ที่บริเวณขั้วแบตเตอรี่ ซึ่งจะทำให้กระแสไฟฟ้าที่ส่งไปยังส่วนอื่น ๆ ส่งไปได้ไม่สะดวกทั่วถึงเท่าที่ควร และเมื่อกระแสไฟฟ้าไหลติดขัด ก็เป็นสาเหตุให้ รถสตาร์ทไม่ติด นั่นเอง

สำหรับการแก้ไขขั้วแบตเตอรี่สกปรกก็สามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยตัวคุณเอง เพียงใช้น้ำโซดาและแปรงสีฟันค่อย ๆ ขัดออกเท่านั้น และเมื่อขั้วแบตเตอรี่กลับมาสะอาดเหมือนเดิมแล้ว ก็จะสามารถส่งกระแสไฟฟ้าไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น และคุณก็จะสามารถสตาร์ทรถติดได้ง่ายเหมือนเดิม

  • อุปกรณ์คู่หูที่ควรมีไว้ ขาดไม่ได้สำหรับรถทุกคัน

ถึงแม้ว่าปัญหา รถสตาร์ทติดยาก หรือไม่ติด อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นกับรถคุณได้ง่าย ๆ เพราะมั่นใจว่าบำรุงรักษาตามระยะทางเป็นอย่างดี แต่การมีตัวช่วยอย่าง “สายพ่วงแบตเตอรี่” ติดรถของคุณเอาไว้ ก็สามารถช่วยให้คุณอุ่นใจได้ในยามยาก เพราะในทุก ๆ วันที่คุณขับขี่รถยนต์ของคุณไปเรื่อย ๆ ถึงแม้จะไม่มีอาการอะไรให้คุณรู้สึกว่าเป็นปัญหา แต่ในความจริงแล้ว รถและชิ้นส่วนต่าง ๆ ก็เสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา การมีอุปกรณ์สำหรับใช้แก้ไขอาการเบื้องต้นต่าง ๆ นั้น จะเป็นประโยชน์อย่างมากเมื่อรถของคุณเกิดปัญหาแบบไม่คาดฝัน ไม่ทันได้เตรียมตัว

สายพ่วงแบตเตอรี่เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการช่วยในการสตาร์ทรถ โดยต่อสายพ่วงเข้ากับรถอีกคันหนึ่งที่แบตเตอรี่ยังใช้งานได้ตามปกติ เพื่อช่วยให้เกิดกระแสไฟฟ้าหมุนเวียนเข้าไปในแบต และทำให้คุณสามารถสตาร์ทรถติดได้ ซึ่งในกรณีที่รถสตาร์ทไม่ติดตอนเช้า หรือตอนไหน แล้วลองแก้ไขเบื้องต้นด้วยการพ่วงแบตแล้ว แต่ก็ยังไม่สตาร์ทรถไม่ได้ อย่างน้อยเวลาที่คุณโทรศัพท์เพื่อนัดให้ช่างมาแก้ไขปัญหาให้ที่หน้างาน เมื่อบอกข้อมูลตรงนี้ให้ช่างรับรู้แล้ว ก็จะช่วยให้ตั้งสมมติฐานต่าง ๆ ได้ง่ายยิ่งขึ้น ว่าปัญหาของรถสตาร์ทไม่ติด ไม่ได้มาจากแบตเตอรี่เสื่อมหรือหมด แต่อาจจะมาจากไดชาร์จหรือจุดอื่น ๆ ก็เป็นไปได้ด้วยเช่นกัน

Engine-Not-Starting-Causes

หากคุณเกิดปัญหา รถสตาร์ทไม่ติด ก็ไม่ต้องตกใจ ทีนี้คุณก็สามารถแก้ไขปัญหาเบื้องต้นด้วยการใช้สายพ่วงแบตเตอรี่เพื่อช่วยสตาร์ทรถแล้ว ถ้ารู้ปัญหาและวิธีการแก้ไขเบื้องต้น การใช้รถก็ไม่ใช่เรื่องยาก เช่นเดียวกับประกันรถยนต์ออนไลน์ที่ Roojai.com ที่มีบริการรถยกพร้อมด้วยบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน 24 ชม. ช่วยให้คุณอุ่นใจยิ่งขึ้นหากเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันนั่นเอง ซื้อประกันภัยรถยนต์ที่ราคาดี ซื้อง่าย ไม่ซับซ้อน และเชื่อใจได้ แถมผ่อนสบาย ๆ นานสูงสุดถึง 10 งวดผ่านบัตรเดบิต ครบจบเรื่องประกันรถยนต์ออนไลน์ ต้องที่ Roojai.com รู้ใจกว่า ประหยัดกว่า เช็คราคาออนไลน์ได้เลย