If-Car-Air-Conditioner-Bad-Smell

ปัญหาแอร์รถยนต์เหม็นอับ ถือเป็นเรื่องกวนใจของใครหลายๆ คน เมื่อเข้าสู่ในช่วงหน้าฝนแบบนี้ก็ยิ่งทำให้ช่องระบายอากาศอับชื้น เกิดการหมักหมมของเชื้อโรค เชื้อรา และกลิ่นไม่พึงประสงค์ต่างๆ จนสร้างความรำคาญใจแก่ผู้ใช้รถไม่น้อย แต่ไม่ต้องกังวลไปนะครับ

วันนี้เราจะมาบอกวิธีแก้ปัญหาแอร์รถยนต์เหม็นอับที่เห็นผลได้จริง รับรองกลิ่นเหม็นอับจะไม่มากวนใจแน่นอน

If-Car-Air-Conditioner-Bad-Smell

1. เปิดพัดลมปิด A/C เพื่อไล่กลิ่นอับ

เริ่มจากกดปิด A/C และเปิดพัดลมให้สุดก่อนจดรถประมาณ 5 นาที เพื่อไล่ความชื้นออกจากคอยล์เย็น และช่วยลดกลิ่นอับของระบบแอร์ในรถ แล้วที่สำคัญอย่าลืมปรับอุณหภูมิให้เหมาะกับสภาพอากาศด้วย

2. เปิดกระจก-เปิดประตูรถไว้ทุกบาน

เพราะบางทีรถอาจจะมีกลิ่นเหม็นอับตกค้างอยู่ ให้เราลองเปิดกระจกหรือเปิดประตูรถไว้ทุกบาน จะช่วยให้อากาศภายในรถถ่ายเทมากขึ้น แต่ก่อนที่จะเปิดกระจกหรือเปิดประตูรถ เราอย่าลืมปิดระบบแอร์ด้วยนะครับ

If-Car-Air-Conditioner-Bad-Smell

3. เปลี่ยนไส้กรองอากาศ

สำหรับไส้กรองอากาศจะมีหน้าที่ช่วยดักจับฝุ่น เศษละอองต่างๆ ไม่ให้เข้าสู่ระบบแอร์ แต่ทั้งนี้ไส้กรองอากาศจะมีอายุการใช้งานประมาณ 5,000 กิโลเมตร ดังนั้น เราควรทำความสะอาดไส้กรองอากาศ หรือทางที่ดีเปลี่ยนไส้กรองอากาศใหม่ซะเลย จะช่วยป้องกันไม่ให้สิ่งสกปรกไปเกาะที่ไส้กรองอากาศ

4. ล้างแอร์รถยนต์

ในกรณีที่เรายังได้กลิ่นเหม็นอับ หรือกลิ่นไม่พึงประสงค์ติดอยู่ในรถ แนะนำให้นำรถเข้าศูนย์หรืออู่ซ่อมรถใกล้บ้าน เพื่อล้างแอร์มาทำความสะอาดดีกว่า เพราะถ้าจะให้ล้างแอร์เองคงจะยาก แล้วอีกอย่างเราอาจจะทำไม่ถูกต้องด้วย ซึ่งการล้างแอร์ปกติเราควรเปลี่ยนทุกๆ 30,000 กิโลเมตรครับ

If-Car-Air-Conditioner-Bad-Smell

5. ใช้สมุนไพรอ่อนๆ มาช่วยลดกลิ่น

นอกจากนี้เรายังสามารถใช้สมุนไพรอ่อนๆ มาเป็นตัวช่วยได้นะ เช่น กลิ่นมะกรูด กลิ่นดอกลาเวนเดอร์ กลิ่นมะลิ เป็นต้น เพราะความหอมจากธรรมชาติจะช่วยดูดซับกลิ่นไม่พึงประสงค์ต่างๆ ภายในรถได้ดี แล้วไม่เป็นอันตรายต่อผู้ขับขี่ และผู้โดยสารในรถด้วย

แต่ไม่แนะนำให้ใช้น้ำหอมที่มีสารเคมีมาติดหน้ารถ เพราะสารเคมีเหล่านี้จะไปเกาะติดเครื่องกรองแอร์ ทำให้แอร์อุดตัน และแอร์พังในที่สุด ไม่เพียงเท่านั้น น้ำหอมติดรถยนต์จะมีสารเคมีทำให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แนะนำให้ใช้เป็นสมุนไพรหรือดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมแทนจะดีกว่า

พอเข้าสู่ในช่วงหน้าฝนแบบนี้ ยิ่งทำให้แอร์รถเหม็นอับชื้นง่ายขึ้น ทางที่ดีเราควรหมั่นตรวจเช็กระบบแอร์เป็นประจำ เปลี่ยนไส้กรองอากาศตามกำหนด แล้วที่สำคัญอย่าลืมทำความสะอาดรถยนต์ให้ถูกวิธี ก็จะช่วยป้องกันกลิ่นเหม็นอับภายในรถได้ ไม่ต้องคอยกังวลใจด้วยครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก : frank.co.th ประกันที่รวดเร็ว เรียบง่าย และจริงใจกับคุณ

10-Need-To-Change-In-Car

10 ชิ้นส่วนและอะไหล่รถ ที่ต้องเปลี่ยนประจำ

เป็นเรื่องธรรมดาของสรรพสิ่งในโลกใบนี้ อะไรก็ตามที่ใช้ไปนานๆ ย่อมมีการเสื่อมสภาพเป็นธรรมดา อุปกรณ์ต่างๆ ในรถยนต์ก็เช่นกัน ทุกชิ้นส่วนต่างก็มีระยะเวลาการใช้งาน หรือต้องเปลี่ยนถ่ายตามระยะทาง

Car-Maintenance

Carro ขอแนะนำถึง 10 ชิ้นส่วนและอะไหล่รถ ที่ต้องเปลี่ยนประจำนั้น มีอะไรบ้าง เชิญอ่านได้เลยครับ.

1.น้ำมันเครื่อง พร้อมไส้กรองน้ำมันเครื่อง

น้ำมันเครื่อง

น้ำมันเครื่อง พร้อมไส้กรองน้ำมันเครื่อง เมื่อถึงกำหนดควรเปลี่ยนถ่ายทุกครั้ง สำหรับระยะเวลาเปลี่ยนคือ ทุกๆ 5,000-10,000 กิโลเมตร (แล้วแต่ยี่ห้อ และประเภทของน้ำมันเครื่อง เช่น แบบธรรมดา แบบกึ่งสังเคราะห์ หรือแบบสังเคราะห์) หรือพบว่าน้ำมันเครื่องเป็นสีเริ่มดำ หรือเป็นตะกอนโคลน ก็สามารถเปลี่ยนก่อนได้เลย เพราะน้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพแล้ว โดยเมื่อเปลี่ยนน้ำมันเครื่องแล้ว ก็ควรเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่องไปพร้อมกันเลย

หากเป็นรถใหม่บางยี่ห้อ ทางศูนย์บริการจะแนะนำให้เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุกๆ 6 เดือน และในส่วนของรถยนต์ที่ใช้น้อย เมื่อครบ 1 ปีแล้ว ไม่ว่าจะวิ่งมากี่กิโลเมตรก็ตาม ก็ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องเช่นกันครับ

การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุกครั้ง ต้องมีการจดบันทึก วันที่ เดือน ปี และเลขกิโลเมตร ไว้ด้วย เพื่อใช้เป็นการคำนวณกำหนดการเปลี่ยนถ่าย

2. แบตเตอรี่

แบตเตอรี่

แบตเตอรี่ ถ้าเป็นแบตเตอรี่แบบเปียก ควรเติมน้ำกลั่นให้ได้ระดับปกติอยู่เสมอ เพื่อให้แบตเตอรี่เก็บประจุไฟได้อย่างเต็มที่ ส่วนแบตเตอรี่ที่เป็นแบบแห้ง ก็สามารถใช้งานได้ตลอดอายุการใช้งาน ไม่ต้องดูแลรักษาอะไรใดๆ ส่วนใหญ่ระยะเวลาการเปลี่ยนจะอยู่ที่ 1.5 -3 ปี แล้วแต่ขนาด และการใช้งาน

3. ยางรถยนต์

ยางรถยนต์

ยางรถยนต์ อายุการใช้งานส่วนใหญ่ที่ควรเปลี่ยน คือ 2 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร แต่ถ้าเป็นยางที่คุณภาพสูงๆ จะมีอายุการใช้งานนานถึง 5-6 ปี นับตั้งแต่วันที่ผลิต หากความลึกของดอกยางที่น้อยลงมาก โดยดูจากจุด “สามเหลี่ยม” บริเวณขอบยาง หรือ สภาพโครงสร้างของยาง มีรอยแตกลายงาหรือไม่ ก็ควรเปลี่ยนยางเส้นใหม่ครับ เพื่อความปลอดภัยของคุณ

แต่ก็มีวิธียืดอายุการใช้งานยางให้ได้นานที่สุด (เพราะเปลี่ยนใหม่หมด 4 เส้น ก็ใช้เงินไม่ใช่น้อย) พยายามเลี่ยงถนนที่มีหลุมบ่อ สิ่งกีดขวาง ระวังกระแทกขอบถนน วัตถุมีคม และลูกระนาดชะลอความเร็ว ตรวจดูการสึกหรอของดอกยาง ดูแรงดันลมยาง และคอยตั้งศูนย์ล้อสม่ำเสมอ เป็นต้น

4. ผ้าเบรก

ผ้าเบรก

ผ้าเบรก ถือว่าเป็นชิ้นส่วนสำคัญ หากผ้าเบรกใกล้หมด จะมีเสียงดังเอี๊ยดๆ เกิดขึ้นขณะเหยียบเบรค หรือตอนรถออกวิ่งใหม่ๆ บ่งบอกว่าถึงเวลาเปลี่ยนได้แล้ว เพราะถ้าหากยังใช้ต่อ เหล็กของก้ามเบรกจะสีกับจานเบรก ทำให้จานเบรกเป็นรอยได้ ระยะเวลาในการเปลี่ยนประมาณ 40,000–70,000 กิโลเมตร

5. ไส้กรองอากาศ

ไส้กรองอากาศ

ไส้กรองอากาศ เป็นตัวสำคัญที่จะคอยกรองสิ่งสกปรกในอากาศก่อนเข้าเครื่องยนต์ ช่วยให้การเผาไหม้สมบูรณ์ ระยะเวลาในการเปลี่ยน 20,000 กิโลเมตร หรือ 1 ปี และควรเป่าทำความสะอาดทุกๆ เดือน

6. หัวเทียน

หัวเทียน

หัวเทียน ควรเปลี่ยนทุกๆ 40,000 กิโลเมตร เพื่อการจุดระเบิดที่ดีของเครื่องยนต์ หรือทุก 1 ปีก็ได้

7. สายพานไทม์มิ่ง

สายพานไทม์มิ่ง

สายพานไทม์มิ่ง ถือเป็นสายพานหลักสำหรับส่งกำลังเครื่องยนต์ หากสายพานเริ่มมีเสียงดังเอี้ยดอ๊าด ก็ควรเปลี่ยนได้ โดยสายพานไทม์มิ่ง ควรเปลี่ยนทุกๆ 100,000 กิโลเมตร เปลี่ยนความปลอดภัยของเครื่องยนต์

8. น้ำมันเกียร์ และไส้กรองน้ำมันเกียร์

น้ำมันเกียร์

น้ำมันเกียร์ และไส้กรองน้ำมันเกียร์ ระบบเกียร์ทุกระบบประกอบไปด้วยโลหะจำนวนมาก รวมไปถึงความร้อนสูง น้ำมันเกียร์ จะช่วยลดการสึกหรอของการทำงานภายในเกียร์ได้ โดยระยะเวลาในการเปลี่ยน ประมาณ 20,000 – 40,000 กิโลเมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรุ่นรถ และคำแนะนำของรถยนต์แต่ละยี่ห้อ

9. ยางใบปัดน้ำฝน

ใบปัดน้ำฝน

ยางใบปัดน้ำฝน ควรเปลี่ยนทุกๆ 1 ปี หรือเมื่อยางเสื่อมสภาพ กรอบแตก ปัดแล้วมีเสียงดัง หรือกวาดน้ำออกมาจากกระจกไม่หมด ปัดแล้วไม่เรียบ เป็นต้น

10. ระบบส่องสว่างและหลอดไฟต่างๆ

ไฟหน้า

ระบบส่องสว่างและหลอดไฟต่างๆ ทั้งภายนอกรถและภายในรถ ไม่มีระยะเปลี่ยนที่แน่นอน ส่วนใหญ่จะเปลี่ยนใหม่เมื่อหลอดขาดเท่านั้น

ถือเป็นเคล็ดลับในการดูแลรถยนต์ง่ายๆ ที่ทาง Carro นำมาฝาก ซึ่งทุกคนสามารถตรวจเช็คได้ หรือให้ช่างผู้ชำนาญตรวจเช็คก็ได้เช่นกัน เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่และเดินทางของท่านครับ