รวมข้อมูล สี่แยกไฟแดง ที่ติดกล้องจับรถฝ่าไฟแดง

เป็นทราบกันดีว่า ในปัจจุบัน กรุงเทพมหานคร มีความแออัดคับคั่งของรถยนต์บนท้องถนนอย่างมาก ซึ่งปัญหาส่วนหนึ่งมาจากการบริการจัดการปล่อยรถแต่ละแยกไม่ดี ปัญหาฝนตก น้ำท่วม หรือมีอุบัติเหตุ เป็นต้น รวมไปถึงปัญหาผังเมืองที่ตัดถนนไม่ได้เชื่อมต่อกันเป็นโครงข่ายใยแมงมุม ส่งผลให้แยกไฟแดงหลายจุด ต้องกักรถไว้จนติดนานกว่าปกติ และปล่อยไฟเขียวเป็นเพียงเวลาสั้นๆ ทำเอาทั้งคนขี่มอเตอร์ไซค์ รวมถึงคนขับรถ บางส่วนอาจทนรอไม่ไหว จนต้องขับขี่รถฝ่าไฟแดงกันอยู่เป้นประจำ

ด้วยเหตุนี้ ทางกองบังคับการตำรวจจราจร (บก.จร.) จึงได้นำระบบ Red Light Camera System หรือ RCLS ซึ่งเป็นระบบตรวจจับรถฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจรสีแดงแบบอัตโนมัติมาใช้งาน โดยก่อนถึงแยกที่มีการติดตั้งระบบดังกล่าว จะมีป้ายแจ้งเตือนในระยะ 100 เมตรและ 50 เมตร ก่อนถึงจุดตรวจจับ

รวมข้อมูล สี่แยกไฟแดง ที่ติดกล้องจับรถฝ่าไฟแดง

สำหรับกล้องจับรถฝ่าไฟแดง จะเป็นกล้อง 4K แบบ Overview หรือคมชัดมากถึง 12 ล้านพิกเซล และกล้องตรวจจับความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมเพิ่มระบบอินฟาเรดติดที่กล้องด้วย สามารถบันทึกภาพผู้ฝ่าไฟแดงในรูปแบบภาพนิ่งและวีดิโอ สามารถเก็บข้อมูลไว้ได้ไม่น้อยกว่า 2 เดือน

และยังจับภาพรถที่กระทำความผิดได้ตลอด 24 ชั่วโมง ในทุกสภาพอากาศ แม้ในวันที่ฝนตกหนัก หรือผู้ที่แก้ไขป้ายทะเบียน ขูดขีด พ่นสี ก็ตรวจจับได้หมด แล้วประมวลผลว่าเข้าเงื่อนไขการกระทำผิดฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจรหรือไม่ โดยแสดงผลออกมา 4 ภาพ ได้แก่

  • ภาพก่อนกระทำผิด
  • ภาพระหว่างกระทำผิด
  • ภาพหลังกระทำผิด
  • ภาพที่เห็นป้ายทะเบียนชัดเจน

ซึ่งระบบการตรวจจับจะจับเฉพาะรถที่ฝ่าไฟแดงที่ “พ้นจากเส้นหยุดไปแล้วเต็มคัน” หากรถหยุดไม่ทันเลยจากเส้นหยุดออกไปเล็กน้อย หรืออยู่ในช่วงไฟเหลือง และจอดรถล้ำจุดจอดรถจักรยานยนต์ ระบบจะไม่ออกใบสั่งให้

รวมข้อมูล สี่แยกไฟแดง ที่ติดกล้องจับรถฝ่าไฟแดง

จากนั้นจะส่งภาพและข้อมูล มายังศูนย์ควบคุมและสั่งการจราจร (บก.02) เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของทะเบียนรถ แล้วค่อยออกใบสั่งไปยังระบบ PTM (Police Ticket Management) ของธนาคารกรุงไทย เพื่อออกใบสั่งแบบอัตโนมัติ มาทางไปรษณีย์ไปสวัสดียังผู้ครอบครองรถ หรือเจ้าของรถภายใน 7 วัน

สำหรับความผิดข้อหาฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจร มีอัตราโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท ซึ่งในใบสั่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติระบุไว้ที่ 500 บาท สามารถชำระได้ที่สถานีตำรวจ หรือจ่ายค่าปรับผ่านทางแอปพลิเคชัน Krungthai NEXT ธนาคารกรุงไทย ได้ ไม่เสียค่าธรรมเนียม

หรือชำระผ่านเครื่อง ATM/ADM ธนาคารกรุงไทย ค่าธรรมเนียม 15 บาท/รายการ, ไปรษณีย์ไทย ค่าธรรมเนียม 15 บาท/รายการ จุดรับชำระเงิน ตู้บุญเติม CenPay และสาขาธนาคารกรุงไทย ค่าธรรมเนียม 20 บาท/รายการ โดยระบบจะบันทึกข้อมูลค่าปรับอัตโนมัติ ไม่ต้องส่งหลักฐานไปที่สถานีตำรวจอีก

นอกจากนี้ เจ้าของหรือผู้ครอบครองรถสามารถตรวจสอบความผิดย้อนหลังผ่านเว็บไซต์ URL หรือทางเว็บไซต์ บก.จร. www.Trafficpolice.go.th ด้วยรหัสผ่านที่ระบุท้ายใบสั่งได้ โดยสามารถบันทึกข้อมูลของผู้กระทำผิดเก็บไว้ได้ไม่น้อยกว่า 1 ปี

รวมข้อมูล สี่แยกไฟแดง ที่ติดกล้องจับรถฝ่าไฟแดง

จุดติดตั้งระบบตรวจจับรถฝ่าสัญญาณไฟจราจรแบบใหม่ มีทั้งหมด 30 จุด ทั่วกรุงเทพฯ ได้แก่

1. แยกซังฮี้
2. แยกพญาไท ขาเข้า
3. แยกพญาไท ขาออก
4. แยกอุรุพงษ์
5. แยกเหม่งจ๋าย
6. แยกอโศกเพชร
7. แยกประชานุกูล
8. แยกรัชดา-ลาดพร้าว
9. แยกร่มเกล้า
10. แยกโชคชัย 4 ขาเข้า
11. แยกโชคชัย 4 ขาออก
12. แยกนิด้า
13. แยกประเวศ
14. แยกโพธิ์แก้ว
15. แยกคลองตัน
16. แยกรัชดา-พระราม 4
17. แยกศุลกากร
18. แยกวิทยุ-เพลินจิต
19. แยกอโศก-สุขุมวิท
20. แยกอังรีดูนังต์
21. แยกตากสิน
22. แยกบ้านแขก
23. แยกหน้าห้างพาราไดซ์
24. แยกพาราไดซ์ ขาเข้า
25. แยกพาราไดซ์ ขาออก
26. แยกศรีนครินทร์-พัฒนาการ
27. แยกนรินทร ขาเข้า
28. แยกนรินทร ขาออก
29. แยกสาทร ขาเข้า
30. แยกสาทรขาออก

รวมข้อมูล สี่แยกไฟแดง ที่ติดกล้องจับรถฝ่าไฟแดง

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิมตอนนี้ หรือกำลังตัดสินใจจะซื้อรถป้ายแดงอยู่พอดี แต่งบไม่พอ! มาขายรถกับ CARRO Express สิ! Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

อีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน อยากซื้อรถคุณภาพเยี่ยม มาซื้อกับ CARRO Automall สิ!

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall

แหล่งที่มาบางส่วนจาก:

10 คำถาม ดูแลรถยนต์เบื้องต้น

ว่าด้วยการ “ดูแลรถยนต์เบื้องต้น” รถยนต์คือสิ่งที่มีความสำคัญอย่างมากสำหรับใครหลาย ๆ คน ที่ใช้สำหรับการเดินทาง การทำงาน ชีวิตส่วนตัวและอื่น ๆ แน่นอนว่าทุกคนล้วนอยากให้รถยนต์ของคุณมีอายุการใช้งานที่ยาวนานและสภาพเครื่องที่สามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพอยู่เสมอ นั่นจึงจำเป็นที่จะต้องรู้จัก วิธีดูแลรถยนต์เบื้องต้น เพื่อให้รถของคุณได้รับการบำรุงและสามารถซ่อมแซมได้อย่างทันท่วงทีเมื่อเกิดปัญหาต่างๆ ขึ้น

10 คำถาม ดูแลรถยนต์เบื้องต้น

การดูแลรถ นั้นมีอยู่หลากหลายวิธีที่หลายครั้งเรามักจะเกิดคำถามหรือมีข้อสงสัยว่าทำไมสิ่งที่ต้องคอยตรวจเช็คและหมั่นเปลี่ยนเป็นประจำ รวมถึงสิ่งที่ควรมีติดรถว่าสำคัญอย่างไร

รู้ใจได้รวบรวม 10 คำถามในการดูแลรักษารถยนต์ที่มักจะมีคำถามเกิดขึ้นบ่อย ๆ ว่าทำไมถึงสำคัญ เพื่อให้คุณได้เห็นถึงประโยชน์ของแต่ละองค์ประกอบ รวมถึงได้เรียนรู้ถึงหลักการดูแลรักษาที่ถูกต้อง ส่งผลที่ดีต่อรถยนต์คู่ใจที่จะมีประสิทธิภาพที่ดี พร้อมสำหรับการใช้งานอย่างราบรื่นและปลอดภัยอยู่เสมอ

1. ทำไมถึงควรเช็คหัวเทียนเป็นประจำ?

หัวเทียน เป็นอุปกรณ์ทำหน้าที่ในการ “จุดระเบิด” ให้กับเครื่องยนต์ ผ่านการทำงานด้วยการปล่อยกระแสไฟแรงดันสูง เป็นกลไกสำคัญของเครื่องยนต์เบนซิน รวมถึง แก๊ส และ ก๊าซ ที่ถ้าหากคุณใช้เครื่องยนต์เบนซินควรที่จะมีการหมั่นตรวจสอบอยู่เสมอ ซึ่งโดยปกติแล้วหัวเทียนจะมีอายุในการใช้งานที่ยาวนาน ในรถยนต์บางคันสามารถใช้งานได้เกิน 100,000 กิโลเมตร จึงจะเริ่มแสดงอาการที่ผิดปกติ

10 คำถาม ดูแลรถยนต์เบื้องต้น

โดยให้คุณสังเกตอาการเกี่ยวกับความผิดปกติเมื่อหัวเทียนจะหมดอายุการใช้งาน ได้แก่ น้ำมันสิ้นเปลืองมากกว่าปกติ, เร่งรถแซงแล้วพุ่งไปไม่เร็วเหมือนเดิม หรือ รอบเดินมีอาการเบาและสั่นเนื่องจากหัวเทียนมีการจุดระเบิดไม่เต็มที่

2. ทำไมต้องเปลี่ยนกรองแอร์อย่างสม่ำเสมอ?

การดูแลรถ หลายคนมักจะสงสัยว่า ทำไมถึงควรเปลี่ยน กรองอากาศเครื่องปรับอากาศ หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า “กรองแอร์” ซึ่งก็ต้องบอกเลยว่าท่ามกลางสภาพอากาศในปัจจุบันที่มากไปด้วยฝุ่นละอองและมลภาวะทางอากาศ ที่ กรองแอร์ จะเข้ามาช่วยให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้รับคุณภาพอากาศภายในรถที่ดี อากาศสะอาดและเป็นมิตรต่อสุขภาพ โดยแนะนำให้มีการเปลี่ยนเป็นประจำในตอนที่คุณพารถยนต์ไปถ่ายน้ำมันเครื่องทุกครั้ง

3. ทำไมควรล้างรถบ่อยๆ?

เรียกได้ว่าเป็นข้อสงสัยที่พบได้บ่อยเลยทีเดียว ว่าทำไมเราถึงควรล้างรถบ่อย ๆ ทั้งที่จะปล่อยทิ้งไว้ก็ไม่เห็นเป็นไร แต่ต้องบอกเลยว่าการดูแลรูปลักษณ์ภายนอกของรถยนต์ หมั่นเช็ดล้างและทำความสะอาดเป็นประจำนั้นจะช่วยให้รถของคุณดูใหม่ สีไม่ซีด ไม่มีสนิมขึ้น แสดงถึงความใส่ใจของเจ้าของรถได้เป็นอย่างดี เมื่อคุณนำไปขายต่อก็ไม่ทำให้รถราคาตกอย่างแน่นอน

10 คำถาม ดูแลรถยนต์เบื้องต้น

นอกจากนี้ ในหลาย ๆ ครั้งที่เราต้องขับรถผ่านบริเวณที่มีฝุ่นเยอะหรือที่พักใกล้ทะเลที่จะมีคราบเกลือคอยเกาะสะสมไว้เรื่อยๆ ภายในใต้ท้องเครื่อง ก็อาจจะเสี่ยงต่อการทำให้เครื่องยนต์เสียหาย ตลอดจนเหล่าซากแมลงและขี้นกที่จะทำให้สีเกิดการกร่อยและยังมีปัญหาที่ส่งผลกระทบอีกมากมายที่เรียกได้ว่าการล้างรถนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่ควรทำอย่างสม่ำเสมอ

4. ทำไมต้องเช็คระดับน้ำในหม้อน้ำอยู่เสมอ?

ระดับน้ำในหม้อน้ำ ถือว่าเป็นจุดสำคัญที่ควรมีการตรวจสอบเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นในรถยนต์คันใหม่หรือคันเก่าก็ตาม เพราะถ้าหากหมอน้ำรถยนต์มีน้ำในระดับที่ต่ำอาจจะส่งผลให้เครื่องยนต์มีปัญหาติดขัดในระหว่างการทำงานที่ออกกลางแจ้งหรืออยู่ท่ามกลางอุณภูมิที่ร้อนระอุในช่วงเวลากลางวัน

ผู้ใช้รถ ควรตรวจเช็คระดับของน้ำหล่อเย็นภายในถังพักน้ำหรือหม้อน้ำ โดยการเช็คระดับน้ำควรทำในขณะที่ไม่ได้มีการสตาร์ทเครื่องยนต์หรือในช่วงที่เครื่องยนต์มีสภาพที่เย็นอยู่

ถ้าหากไม่มีการตรวจเช็คเกี่ยวกับระดับน้ำอย่างสม่ำเสมอนั้น น้ำที่ขาดการระบายความร้อนหรือมีระดับน้ำต่ำกว่าที่กำหนด จะทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างติดขัด ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ เสี่ยงต่อการเสียหายลุกลามและสึกหรอได้

5. ทำไมยังต้องเช็คลมยาง?

เรียกได้ว่าเป็นเรื่อง ดูแลรถ ที่หลาย ๆ คนละเลยอย่างมาก สำหรับการเช็คลมยาง ซึ่ง ยางรถยนต์ มีหน้าที่ในการรับน้ำหนักของตัวรถทั้งคัน ที่ถ้าหากไม่ได้มีการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอก็อาจจะส่งผลให้เกิดปัญหาด้านการขับขี่ เนื่องจากลมยางและยางรถยนต์มีผลต่อสมรรถนะการขับขี่ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการเบรก การควบคุม การประหยัดน้ำมัน การบังคับเลี้ยว ตลอดจนการสึกหรอและอายุการใช้งานของยางรถยนต์ที่จะเสื่อมสมรรถภาพเร็วกว่าปกติ

นอกจากจะหมั่นเช็คลมยาวแล้ว ควรทำการเปลี่ยนยางตามสภาพของยางรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นประสิทธิภาพในการเบรก การยึดเกาะถนนรวมถึงเสียงที่ดังขึ้นในระหว่างการขับขี่

6. ทำไมถึงควรเช็คน้ำมันเบรกทุกๆ 1 ปี?

เป็นอีกหนึ่งการ ดูแลรถยนต์ ที่ไม่ควรมองข้ามและมีความสำคัญอย่างมาก น้ำมันเบรก ทำหน้าที่ในการส่งแรงดันไปยังปั๊มเบรก ซึ่งหลังจากใช้งานไปสักระยะหนึ่งแล้ว น้ำมันเบรกจะค่อยๆ เสื่อมอายุการใช้งานและประสิทธิภาพที่ลดน้อยลงกลายเป็นสีที่เริ่มคล้ำพร้อมกับส่งผลต่อศักยภาพในการระบายความร้อนที่ลดลง เพราะฉะนั้น ควรที่จะมีการหมั่นเช็คน้ำมันเบรกเป็นประจำทุกๆ 1 ปี รวมถึงสังเกตอาการผิดปกติเพิ่มเติม เช่น เบรกวืด, เบรกไม่อยู่ หรือ เบรกไหล เป็นต้น

10 คำถาม ดูแลรถยนต์เบื้องต้น

7. ทำไมถึงต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเมื่อครบกำหนด?

สิ่งที่เรามักจะได้ยินอยู่บ่อยๆ ใน เทคนิคดูแลรถ ก็คือ น้ำมันเครื่อง ที่เรียกได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญของรถยนต์ที่จะคอยทำหน้าที่หล่อลื่นชิ้นส่วนต่าง ๆ ของเครื่องยนต์ให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยระบายความร้อนให้กับเครื่อง ปกป้องชิ้นส่วนภายในของเครื่องยนต์รวมถึงชำระล้างสิ่งสกปรก

การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องควรที่จะเปลี่ยนทุกๆ 8,000 กิโลเมตร ไม่เกิน 10,000 กิโลเมตรหรือทำการเปลี่ยนทุกๆ 4 เดือน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของน้ำมันเครื่องสังเคราะห์แต่ละรูปแบบ

8. ทำไมถึงควรทำความสะอาดกรองอากาศเครื่องยนต์?

กรองอากาศ ทำหน้าที่ในการดักจับฝุ่นละออง กรองฝุ่นและสิ่งสกปรกต่าง ๆ ไม่ให้เข้าไปยังเครื่องยนต์ ที่เมื่อมีการสะสมในระยะยาวจะเกิดการอุดตันและทำให้กระบอกสูบได้รับอากาศที่น้อยลง ส่งผลให้มีการเผาไหม้ในเครื่องยนต์ที่ไม่สมบูรณ์ โดยเครื่องกรองอากาศควรมีการล้างและทำความสะอาดหรือเปลี่ยนทุก ๆ 20,000 กิโลเมตรหรือถ้าหากคุณอยู่ในพื้นที่ที่มีฝุ่นเยอะ ควรที่จะเปลี่ยนทุก ๆ ระยะ 10,000 กิโลเมตร

9. ทำไมถึงต้องเปลี่ยนน้ำมันเกียร์?

ไม่ว่ารถของคุณจะเป็นเกียร์อัตโนมัติ CVT หรือ เกียร์อัตโนมัติแบบปกติที่อยู่ในระดับต่าง ๆ การเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง น้ำมันเกียร์จะช่วยลดการสึกหรอรวมถึงช่วยลดแรงเสียดทานของระบบเกียร์ พร้อมทั้งยังสามารถชะล้างพวกเศษโลหะที่มาจากการเสียดสีที่บริเวณหน้าฟันเกียร์ให้หลุดออกไป ให้ระบบการทำงานสะอาดในทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนถ่าย ประสิทธิภาพการทำงานก็ย่อมดีขึ้น

10 คำถาม ดูแลรถยนต์เบื้องต้น

การเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ควรที่จะมีการเปลี่ยนทุกๆ ระยะ 50,000 หรือ 100,000 กิโลเมตร ที่ถ้าหากคุณมีการใช้งานในเมืองหรือขับขี่ด้วยการกดคันเร่งหนักๆ ก็ควรที่จะเพิ่มความถี่ในการเปลี่ยนเป็นระยะ 30,000 – 45,000 กิโลเมตร

10. ทำไมถึงควรทำประกันรถยนต์?

ถือว่าเป็นอีกหนึ่งการ ดูแลรถ ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก สำหรับการทำประกันรถยนต์ที่จะช่วยให้คุณและรถยนต์ได้รับการคุ้มครองและให้ความช่วยเหลือเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ลดความเสี่ยงในการใช้รถยนต์ให้แก่ผู้ขับขี่ ทำให้คุณรู้สึกมั่นใจมากยิ่งขึ้นในการได้รับการคุ้มครองเมื่อต้องเดินทาง ขับขี่ไปยังที่ต่างๆ เป็นสิ่งที่จะเข้ามารองรับเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ช่วยให้คุณประหยัดเงินทั้งสำหรับตัวคุณเองและบุคคลภายนอก ตลอดจนยังเป็นการคุ้มครองรถยนต์ของคุณเมื่อเกิดไฟไหม้ การถูกโจรกรรมต่างๆ อีกด้วย

และนี่ก็เป็น 10 คำถามของการ ดูแลรถยนต์เบื้องต้น ที่จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงความสำคัญในการดูแลและรักษาเครื่องยนต์ที่นอกจากจะดีต่อรถคู่ใจของคุณแล้ว ยังช่วยให้คุณปลอดภัยและเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ในการขับขี่ได้เป็นอย่างดี

สำหรับข้อสุดท้ายเราอยากจะระบุเพิ่มเติมว่า ทำไมควรซื้อประกันรถออนไลน์ที่รู้ใจ นั่นก็เพราะว่าเรามีข้อดีหลายอย่าง มั่นใจได้ในเรื่องบริการและการคุ้มครอง เคลมได้ง่ายๆ ผ่านแอป มีบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน 24 ชั่วโมง ที่สำคัญ ซื้อง่าย ราคาดี บริการรู้ใจกว่า ราคาประหยัดกว่า แถมยังผ่อนได้นานถึง 10 งวดผ่านบัตรเดบิตได้อีกด้วย คลิกดูข้อมูลเพิ่มเติมได้เลย

และถ้าไม่อยากพลาดโปรโมชั่นใหม่ๆ และเรื่องราวดีๆ ก็สามารถติดตามเราได้ผ่านทาง Official Fanpage: Roojai หรือ add Official Line ของเราไว้ได้เช่นกัน

5 เหตุผลสำคัญ ที่คนสมัยนี้ ถึงไม่เลือกขับรถเกียร์ธรรมดา

คุณเคยสังเกตกันบ้างไหมครับ รถยนต์ในบ้านเราตอนนี้ โดยเฉพาะรถเก๋งมือสอง ที่ขายกันตามท้องตลาด 70-80% มักจะเป็นรถยนต์เกียร์อัตโนมัติกันหมดแล้ว ส่วน “เกียร์ธรรมดา” นั้น รถยนต์นั่งที่เป็นเกียร์ธรรมดา มีตัวเลือกให้เลือกกันน้อยมากตามความนิยม เหลืออยู่เพียงแค่ Eco-Car 7-8 รุ่นเท่านั้น ที่เน้นราคาประหยัด หรือขายกลุ่มวัยรุ่นเอาไปแต่งซิ่งหน่อยๆ และรถกระบะ ที่ส่วนใหญ่ยังเป็นเกียร์ธรรมดา เนื่องจากการดูแลรักษาง่ายกว่า และความทนทานในการใช้งาน

อ่านเพิ่มเติม >> 7 อันดับ รถเกียร์ธรรมดาป้ายแดง ที่ค่ายรถยังผลิตขายในปี 2021

อ่านเพิ่มเติม >> 5 สิ่ง ที่คนขับรถ “เกียร์ธรรมดา” ต้องจำให้ขึ้นใจ!

ถ้าเป็นสมัยก่อน ใครจะหัดขับรถ ก็จะต้องเริ่มหัดขับเกียร์ธรรมดากันก่อน (เอาแค่ย้อนไปสัก 30 ปีก่อน รถเกียร์อัตโนมัติ เวลานั้นยังมีราคาแพง และมีตัวเลือกน้อย ในยุครถเกียร์ธรรมดายังเป็นใหญ่) แล้วค่อยไปขับเกียร์ออโต้ แต่มันก็มีข้อดีที่ขับเกียร์ออโต้เป็นเลย ไม่ต้องเสียเวลาไปหัดขับกันอีกรอบ

เอาล่ะ เรามาดูกันว่า 5 เหตุผลสำคัญ ที่คนสมัยนี้ ถึงไม่เลือกขับรถเกียร์ธรรมดากันครับ

5 เหตุผลสำคัญ ที่คนสมัยนี้ ถึงไม่เลือกขับรถเกียร์ธรรมดา

1. กลัวเครื่องดับเวลาออกตัว

อันนี้จัดว่าเป็นความกลัวของคนที่เพิ่งเริ่มหัดขับรถด้วยเกียร์ธรรมดาเลยก็ว่าได้ เจอกันทุกคน ผมเองก็เคยเป็น สืบเนื่องจากการ “ปล่อยคลัทช์ไม่สัมพันธ์กับจังหวะของคันเร่ง” ซึ่งต้องใช้เวลาทำความคุ้นเคยกันพอสมควร เพราะถ้าออกตัวรถไม่สัมพันธ์กัน เครื่องยนต์ก็จะดับ ถ้าเจอรถติดๆ เวลาออกตัว เครื่องดับมันเป็นสิบรอบ จนรถคันหลังเบื่อเลย …

ทางที่ดีถ้าคุณเพิ่งหัดขับรถด้วยเกียร์ธรรมดา เวลาจะออกตัว แนะนำว่าให้เหยียบคลัทช์ไว้ก่อนจนสุด เข้าเกียร์ 1 แล้วเติมคันเร่งลงไปเยอะหน่อย (ห้ามเหยียบคันเร่งจนสุดนะ) ก่อนจะค่อยๆ ผ่อนเท้าออกจากคลัทช์เบาๆ (คำเตือน ห้ามปล่อยเท้าออกจากคลัทช์โดยทันที! เพราะรถอาจพุ่งกระชากไปชนกับคันหน้าได้!)

สำหรับคนที่เพิ่งหัดขับรถใหม่ๆ อาจจะกลัวตรงจุดนี้ เมื่อคุณฝึกใช้เวลาจับจังหวะไปได้จนชำนาญ เลี้ยงคลัทช์เป็น รู้ระยะการปล่อยคลัทช์ของรถ ออกตัวรถได้ ไม่ดับ ขับรถออกตัวได้นุ่มนวล แค่นี้ก็ถือว่าผ่าน

2. ทางชัน คอสะพาน

อีกหนึ่งในจุดที่คนขับรถเกียร์ธรรมดา (โดยเฉพาะมือใหม่ทั้งหลาย) กลัว นั่นคือการเจอรถติดบนคอสะพาน หรือทางชันๆ ในลานจอดรถตามห้าง โอ้โห ยิ่งในกรุงเทพฯ ดินแดนรถติดระดับโลกด้วย บางทีรถติดกันในห้างเป็นชั่วโมงก็มี

คนขับรถเกียร์ธรรมดาถ้าทักษะไม่มากพอ บางทีการออกตัวอาจรถไหลไปชนกันคันท้ายได้ ทางที่ดี ผมแนะนำให้ใช้ “เบรกมือ” ดึงไว้เลยกันรถไหล จะได้ไม่ต้องเหยียบเบรกค้างไว้นานๆ ให้เมื่อย หรือมาเลี้ยงคลัทช์ เหยียบคากันจนคลัทช์ไหม้ …

พอจะออกตัวรถ ก็ให้เหยียบคลัทช์เข้าเกียร์ตามปกติ แล้วก็ปฏิบัติตามข้อ 1 ก่อนจะปลดเบรกมือลง แล้วออกตัวไป แค่นี้ก็ไม่ต้องกลัวรถไหลแล้ว

5 เหตุผลสำคัญ ที่คนสมัยนี้ ถึงไม่เลือกขับรถเกียร์ธรรมดา

3. เมื่อย และคุยโทรศัพท์ลำบาก

การขับรถเกียร์ธรรมดา ยิ่งถ้าเจอรถติดๆ คุณจะต้องเหยียบคลัทช์เข้าเกียร์บ่อยๆ ถ้าต้องขับรถกระบะ หรือรถยุโรปรุ่นเก่าๆ ที่คลัทช์มักแข็งๆ เหมาะกับพวกเท้าหนักๆ หน่อย เหยียบกันจนปวดเข่า ปวดขาซ้าย น่องโป่งเลยทีเดียว

อีกทั้งการคุยโทรศัพท์ขณะขับรถ (แบบไม่ใช้แฮนด์ฟรี) ยังลำบาก เพราะต้องใช้มือซ้ายในการเปลี่ยนเกียร์ตลอด

4. มีแต่รุ่นเริ่มต้น

ถ้าใครจะเล่นรถเกียร์ธรรมดาป้ายแดงในเวลานี้ บอกได้เลยว่ามีแต่รุ่นเริ่มต้นเท่านั้น ที่เป็นเกียร์ธรรมดา ส่วนรุ่น Top หรือรุ่นรอง Top ล้วนแล้วเป็นเกียร์อัตโนมัติทั้งนั้น

ความที่อยากรถได้เกียร์ธรรมดาป้ายแดงรุ่น Top ออพชั่นเยอะๆ เลยต้องหายไปด้วย เพราะว่าไม่มีค่ายรถในบ้านเราผลิตขายสักเจ้า ซึ่งต่างจากรถยนต์ที่ขายในแถบยุโรป ยังมีเกียร์ MT รุ่นท็อปให้เลือกกันอีกเยอะ

5 เหตุผลสำคัญ ที่คนสมัยนี้ ถึงไม่เลือกขับรถเกียร์ธรรมดา

5. ราคามือสองตก

เนื่องจากรถเกียร์ธรรมดาได้รับความนิยมน้อยลงมาก ซึ่งก็ส่งผลให้ราคามือสองตกลงมาด้วย และขายยากหน่อย โดยเฉพาะรถเก๋ง หรือรถ Eco-Car ที่เป็นเกียร์ธรรมดา ราคาหายไปจากรุ่นที่เป็นเกียร์อัตโนมัติราวๆ 20-30% เลยทีเดียว

แต่กรณีนี้ สำหรับรถเกียร์ธรรมดาแบบ SUV, รถกระบะ หรือรถสปอร์ต รถคลาสสิค รถดังในตำนาน อาจไม่มีผลในเรื่องราคาตกนัก เพราะคนที่เล่นรถเหล่านี้ ส่วนหนึ่งต้องขับเกียร์ธรรมดากันเป็นอยู่แล้ว และรถเหล่านี้เป็นประเภทสายลุย สายซิ่ง สายชอบ สายคลาสสิค มีคุณค่า ได้ขับแบบเกียร์ธรรมดา ยังดูดีกว่าขับเกียร์ออโต้ด้วยซ้ำ

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิมตอนนี้ หรือกำลังตัดสินใจจะซื้อรถป้ายแดงอยู่พอดี แต่งบไม่พอ! มาขายรถกับ CARRO Express สิ! Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

อีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน อยากซื้อรถคุณภาพเยี่ยม มาซื้อกับ CARRO Automall สิ!

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall

Honda เปิดตัว Honda Civic Hatchback 2022 ใหม่

แม้ว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมา หลายท่านอาจได้เห็นข่าวคราวการเปิดตัวของ Honda Civic (ฮอนด้า ซีวิค) ในเจเนอเรชั่นที่ 11 กันไปแล้ว โดยในรุ่น 4 ประตู Sedan ได้เปิดตัวกันในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ช่วงปลายเดือนเมษายน 2021 ที่ผ่านมา ซึ่งมาพร้อมความคล้ายกับ Accord ย่อส่วนมา ทั้งในด้านการออกแบบและหน้าตา โดยมาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 ลิตร 158 แรงม้า และ Turbo ขนาด 1.5 ลิตร 180 แรงม้า

สำหรับในบ้านเรา ในเดือนหน้านี้เตรียมเก็บตังค์รอซื้อ All-New Honda Civic Sedan กันได้เลย เพราะเริ่มมีจดหมายเชิญสื่อ ให้ไปทดลองขับกันแล้วครับ!

แม้ว่าตลาดรถยนต์ในญี่ปุ่น (และในบ้านเรา) ขณะนี้ ผู้เล่นหลายราย จะเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายไปโฟกัสการพัฒนารถ SUV และ Crossover ออกมาขายกันอย่างมากแล้ว เนื่องจากสามารถใช้งานได้อเนกประสงค์ รวมไปถึงสามารถลุยน้ำท่วมเบาๆ ได้อีกด้วย แต่ตลาดรถ 4 ประตูซีดาน ก็ยังคงต้องมีผลิตขายต่อไป แม้ว่าความนิยมอาจลดลงไปบ้างในหลายประเทศก็ตาม

Honda Civic Hatchback 2022 JDM

สำหรับ All-New Honda Civic (เนื่องจากที่ญี่ปุ่น ไม่มีการนำรุ่น 4 ประตู Sedan มาจำหน่าย ในตลาดญี่ปุ่นจึงเรียกว่า Honda Civic ไม่มีพ่วงคำว่า Hatchback ต่อท้าย) เวอร์ชั่นพวงมาลัยขวา ก็เป็นที่ค่อนข้างเซอร์ไพรส์นิดหน่อย เพราะเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่ญี่ปุ่นเร็วมาก ตามหลังตลาดอเมริกาเหนือเพียงแค่ไม่กี่วัน โดยมีรูปลักษณ์ภายนอกใกล้เคียงกับเวอร์ชั่นอเมริกาเหนือ

Honda Civic Hatchback 2022 JDM

รูปลักษณ์ภายนอก ออกแบบเสาเอด้านหน้าให้ลาดไปมากกว่าเดิมถึงเกือบ 2 นิ้ว ช่วยให้ฝากระโปรงหน้าดูยาวขึ้นแบบรถหรู ใช้ชุดไฟหน้า-ไฟท้าย แบบ LED ทรงแนวนอน ดูหรูหรา และมีไฟ Daytime Running Light คู่หน้า แถมกระจังหน้าทรงรังผึ้ง ช่องดักลมบริเวณกันชนขนาดใหญ่ ดูสปอร์ต บวกกับติดตั้งกระจกมองข้างไว้ที่ประตู ช่วยเพิ่มมุมมองด้านข้างมากขึ้น และล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว

Honda Civic Hatchback 2022 JDM

ห้องโดยสารภายในของ Honda Civic Hatchback เวอร์ชั่นญี่ปุ่น ออกแบบให้ดูคลีน เรียบง่าย แต่ใช้งานได้สะดวกสบาย กับแผงคอนโซลหน้าที่ลดเส้นสาย ลดแสงสะท้อนเวลาขับ และยังช่วยให้ผู้โดยสารนั่งได้สบายที่สุด กับการออกแบบเบาะนั่งในแนวคิด Body Stabilizing Seat โอบกระชับสรีระ นั่งสบายยิ่งขึ้น ซึ่งยังเป็นแบบเบาะไฟฟ้าด้านคนขับแบบ 8 ทิศทาง และเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าแบบ 4 ทิศทาง

Honda Civic Hatchback 2022 JDM

เย็นสบายกับระบบแอร์อัตโนมัติ แบบแยกอุณหภูมิซ้าย-ขวา พร้อมเทคโนโลยี Plasmacluster จากชุดช่องแอร์ลายรังผึ้ง รวมไปถึงระบบเชื่อมต่อ Honda CONNECT ที่สามารถใช้สมาร์ทโฟนแทนกุญแจรถได้ รวมถึงสั่งงานต่างๆ เช่น เปิด-ปิดแอร์, เช็คสถานะและตำแหน่งของรถ รวมถึงระบบ Wi-Fi ในรถ และที่ชาร์จไฟแบบ Wireless Charger

ที่สำคัญ ยังมาพร้อมชุดมาตรวัดแบบ แบบจอ LCD ขนาด 10.2 นิ้ว ส่วนรุ่นรองเป็นหน้าจอขนาด 7 นิ้ว ทำงานคู่กับมาตรวัดความเร็วแบบอนาล็อก ขณะที่หน้าจออินโฟเทนเมนท์แบบสัมผัสมีให้เลือกทั้งขนาด 9 นิ้ว และขนาด 7 นิ้ว (ขึ้นอยู่กับรุ่นย่อย) พร้อมฟังก์ชั่นเชื่อมต่อ Apple CarPlay (แบบ Wireless ในรุ่น 9 นิ้ว) และ Android Auto พร้อมระบบเสียง Bose Sound System ที่มากถึง 12 ลำโพง (เฉพาะรุ่น EX)

Honda Civic Hatchback 2022 JDM

สำหรับเวอร์ชั่นญี่ปุ่นมีให้เลือกทั้งหมด 2 รุ่นย่อย ได้แก่ LX และ EX โดยมีเฉพาะเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร Turbo มาให้เลือกเท่านั้น ซึ่งต่างจากเวอร์ชั่นอเมริกาเหนือ ที่มีเครื่องยนต์เบนซิน i-VTEC ขนาด 2.0 ลิตร ใหเลือกด้วย

Honda Civic Hatchback 2022 JDM

ส่วนระบบส่งกำลัง มีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ในรุ่น EX และเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT พร้อมกับ “Drive Mode Switch” สามารถเลือกโหมดการขับขี่ตามต้องการได้ถึง 3 แบบด้วยกัน ในรุ่น LX

Honda Civic Hatchback 2022 JDM

ในส่วนของราคาขาย Honda Civic Hatchback เวอร์ชั่นญี่ปุ่น ตอนนี้ยังไม่มี ทาง Honda จะเปิดราคาจำหน่ายอีกครั้งในเดือนสิงหาคม 2021 นี้

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิมตอนนี้ หรือกำลังตัดสินใจจะซื้อรถป้ายแดงอยู่พอดี แต่งบไม่พอ! มาขายรถกับ CARRO Express สิ! Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

อีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน อยากซื้อรถคุณภาพเยี่ยม มาซื้อกับ CARRO Automall สิ!

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall

สีรถยนต์ มีผลต่อการตัดสินใจซื้อรถ

แอ็กซอลตา (Axalta) (NYSE: AXTA) ผู้นำอันดับหนึ่งของโลกทั้งสีน้ำและสีฝุ่น เผยผลสำรวจความชอบสีรถยนต์ของลูกค้า ประจำปี 2021 โดยการทำวิจัยกับผู้บริโภคเพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของสีรถยนต์กับการตัดสินใจซื้อรถ

ซึ่งจากผู้ร่วมตอบแบบสอบถามกว่า 4,000 คน อายุ 25-60 ปี ในตลาดผู้ผลิตรถยนต์ใหญ่ที่สุดใน 4 ประเทศ ได้แก่ จีน เยอรมนี เม็กซิโก และสหรัฐอเมริกา พบว่าสีรถยนต์มีผลต่อการตัดสินใจซื้อรถถึง 88%

“ตามหลักจิตวิทยา สีมีผลอย่างมากต่อการตัดสินใจซื้อรถ บ่อยครั้งที่สีสะท้อนบุคลิกเฉพาะตัวของเจ้าของรถ” แนนซี ล็อกฮาร์ท ผู้จัดการด้านสีพ่นรถยนต์ระดับโลกจากแอ็กซอลตา กล่าว “สิ่งที่น่าสนใจคือ ความสง่างาม ความคงทน และการมองบวก เป็นคุณลักษณะเฉพาะของสีรถยนต์ที่เป็นที่ต้องการจากผู้ที่เข้าร่วมทำการสำรวจนี้”

สีรถยนต์ มีผลต่อการตัดสินใจซื้อรถ

การสำรวจนี้วิเคราะห์ความต้องการสีรถยนต์ของลูกค้า เพื่อความเข้าใจเทรนด์สีในอนาคต ในขณะที่ลูกค้าต้องการสีที่หลากหลาย แต่ละบุคคลก็มีความต้องการที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศด้วย

การสำรวจยังสอบถามรวมไปถึงแม่สีและสีเอฟเฟกต์ที่ชอบ สีรถที่เคลือบเงาเป็นที่ต้องการโดยส่วนมาก ยกเว้นในจีน ผลสำรวจยังแสดงสัดส่วนระหว่างความชอบสีเคลือบเงา 48% และสีเคลือบด้าน 52% ความชื่นชอบของสีเอฟเฟกต์ค่อนข้างแตกต่างกับผลสำรวจของแม่สี สีโซลิด เป็นสีที่ชื่นชอบในสหรัฐอเมริกาและจีน ขณะที่ชาวเยอรมันชอบแม่สีมุก และเม็กซิโกชอบแม่สีเอฟเฟต์และแม่สีมุกด้วย

แอ็กซอลตาออกแบบสีรถยนต์ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าทั่วโลก การศึกษาความเปลี่ยนแปลงในสีที่ชื่นชอบของแต่ละประเทศและแต่ละลักษณะของรถ เพื่อช่วยในการวิเคราะห์แนวโน้มหรือเทรนด์สีในอนาคตได้ “การพัฒนาจำเพาะและนำเสนอสีใหม่ ๆ อยู่เสมอจะทำให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ เราจะเข้าใจแนวโน้มของตลาด เราจะทราบว่าสีใดที่โดดเด่นและเป็นที่ชื่นชอบ สีแดงและสีน้ำเงินเป็นสีที่นิยมขึ้นมา เราจะเห็นมากขึ้นตามท้องถนนในไม่ช้านี้” ล็อกฮาร์ท กล่าวทิ้งท้าย

สีรถยนต์ มีผลต่อการตัดสินใจซื้อรถ

ผลสำรวจในแต่ละประเทศ

  • จีน สีรถยนต์มีผลต่อการตัดสินใจซื้อรถของลูกค้าถึง 99% สีขาวเป็นที่นิยมมากที่สุด (29%) และสีดำ (26%) สีแดงและสีน้ำเงินอยู่ในอันดับ 5 และ 6 ตามลำดับ จากผลสำรวจ 64% จะเปลี่ยนยี่ห้อรถ หากไม่มีสีที่ชอบ และ 93% ตัดสินใจซื้อรถจากสีที่ชอบด้วยตนเองแต่เพียงผู้เดียว ขณะที่ 7% ให้คนอื่นช่วยตัดสินใจเรื่องสีรถด้วย
  • เยอรมนี สีรถยนต์มีผลต่อการตัดสินใจซื้อรถของลูกค้าถึง 83% ตัดสินใจด้วยตนเองเพียงผู้เดียว 63% และให้ครอบครัวช่วยตัดสินใจ 37% สีดำเป็นสีที่ชื่นชอบ 32% สีน้ำเงินมาเป็นอันดับ 2 ที่ 16% มีความเห็นว่า สีดำสะท้อนความสง่างาม และสีน้ำเงินสะท้อนความสุขุม มั่นคง และกว่า 1 ใน 4 (27%) เป็นเจ้าของรถยนต์ขนาดคอมแพกซ์สีดำ
  • เม็กซิโก 90% ที่ตอบว่าสีมีผลต่อการซื้อรถยนต์ สีแดงเป็นสีที่ชื่นชอบมากที่สุดที่ 22% ทั้งหญิงและชาย

Buy-Secondhand-cars-And-VAT-Tax

4 ใน 10 จะเปลี่ยนยี่ห้อรถหากไม่มีสีที่ต้องการ ผู้ตอบแบบสอบถาม 64% เป็นเจ้าของรถยนต์นั่งซีดาน สีแดงสะท้อนบุคลิกที่สง่างาม และสีน้ำเงินสะท้อนบุคลิกคิดบวก

  • สหรัฐอเมริกา สีมีผลต่อการซื้อรถยนต์ 79% เกือบครึ่ง (46%) กล่าวว่าสีมีส่วนสำคัญอย่างมาก

82% ตัดสินใจด้วยตนเอง และ 53% มีรถมากกว่า 1 คันในครอบครัว แม้ว่าสีดำจะเป็นสีที่ได้รับความนิยมในภาพรวม แต่เจ้าของรถบรรทุกเลือกสีที่มีสีสันมากขึ้น สีน้ำเงิน (อันดับ 2) และสีแดง (อันดับ 3) สีน้ำเงินสะท้อนความคิดบวกและสีแดงแสดงถึงการผจญภัย

และสำหรับในไทย พบว่า สีรถถูกโฉลกตามวันเกิดของเจ้าของรถ ตามความเชื่อของคนไทย เป็นสีที่เจ้าของรถนิยมเลือกกันมากเป้นอันดับต้นๆ ประจำปี 2021 เลยทีเดียว และสีที่ได้รับความนิยมในไทย ยังคงเป็นรถยนต์สีขาวมุก, สีบรอนซ์, สีทอง, สีน้ำตาล หรือสีดำ เป็นต้น

How-To-Buy-A-Car-With-Bad-Credit

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิมตอนนี้ หรือกำลังตัดสินใจจะซื้อรถป้ายแดงอยู่พอดี แต่งบไม่พอ! มาขายรถกับ CARRO Express สิ! Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

อีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน อยากซื้อรถคุณภาพเยี่ยม มาซื้อกับ CARRO Automall สิ!

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall

Honda เปิดตัว Honda City Hatchback e:HEV ครั้งแรกในโลก

ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) เปิดตัว Honda City Hatchback e:HEV (ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก อี:เอชอีวี) ใหม่ ครั้งแรกในโลก ยนตรกรรมซิตี้คาร์แฮทช์แบ็กฟูลไฮบริด ที่จะมาเสริมความแข็งแกร่งของ Line-Up Hybrid ของฮอนด้าไปอีกขั้น และเติมเต็มความสมบูรณ์แบบของ The City Series (เดอะ ซิตี้ ซีรีส์)

Honda เปิดตัว Honda City Hatchback e:HEV ครั้งแรกในโลก

มาพร้อมจุดเด่นเทคโนโลยี Full Hybrid อันทรงพลัง กับระบบขับเคลื่อน Sport Hybrid i-MMD มั่นใจในทุกการขับขี่ด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ “Honda SENSING” (ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง) พร้อมด้วยเอกลักษณ์ความอเนกประสงค์กับเบาะนั่ง อัลตราซีท (ULTR) ครบครันด้วยเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยและฟังก์ชันการใช้งานระดับพรีเมียม ดีไซน์สปอร์ตทั้งภายนอกและภายใน ด้วยดีไซน์สไตล์ RS รอบคัน เสริมเอกลักษณ์ยนตรกรรมไฮบริดด้วยโลโก้ H Mark ตกแต่งกรอบสีฟ้า และโลโก้ e:HEV

พร้อมแนะนำสีใหม่สุดเอกซ์คลูซีฟ กับ สีน้ำเงินบริลเลียนท์ สปอร์ตตี้ (เมทัลลิก) เสริมความมั่นใจในการใช้งานด้วยการรับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริดถึง 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง* อีกทั้งฟรีค่าแรงในการเช็กระยะเป็นเวลา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร* (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) ด้วยราคาจำหน่ายรุ่น e:HEV RS 849,000 บาท

All-New-Honda-City-Hatchback-2021

เมื่อปลายปี 2563 ฮอนด้า ได้เปิดตัว Honda City Hatchback 2020 ใหม่ และได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยมจากลูกค้า โดยมีจุดเด่นคือการผสานการขับขี่ที่สนุกสนานและความอเนกประสงค์ สไตล์แฮทช์แบ็กไว้อย่างลงตัว

Honda เปิดตัว Honda City Hatchback e:HEV ครั้งแรกในโลก

มูฟอย่างมีสไตล์ สะกดทุกสายตาด้วยดีไซน์ภายนอกแบบสปอร์ตไฮบริดรอบคัน ด้วยโลโก้ H Mark ตกแต่งกรอบสีฟ้าและสัญลักษณ์ e:HEV ที่ด้านท้าย สปอร์ตยิ่งขึ้นกับดีไซน์สไตล์ RS รอบคัน ด้วยกระจังหน้าแบบ Gloss Black และสัญลักษณ์ RS กันชนหน้าและหลังสไตล์สปอร์ต ไฟหน้าพร้อมไฟ Daytime Running Light แบบ LED ไฟท้ายแบบ LED และ ไฟตัดหมอกแบบ LED กระจกมองข้างสีดำแบบสปอร์ต ปรับและพับไฟฟ้าพร้อมไฟเลี้ยวในตัว และล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว ดีไซน์สปอร์ต

Honda เปิดตัว Honda City Hatchback e:HEV ครั้งแรกในโลก

ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง ผสานฟังก์ชันการใช้งานและเอกลักษณ์ความอเนกประสงค์ไว้อย่างลงตัว โดดเด่นด้วยเบาะหนังกลับดีไซน์ใหม่ตกแต่งแถบสีแดง รองรับการใช้งานในทุก Movement ด้วยเบาะนั่ง อัลตรา ซีท (ULTR) ที่สามารถแยกพับแบบ 60:40 และปรับเปลี่ยนเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยอเนกประสงค์ได้ถึง 4 โหมด พร้อมด้วยห้องสัมภาระท้ายขนาดใหญ่ ได้แก่

  • Utility Mode: เบาะด้านหลังทั้ง 2 ด้านปรับพับเรียบ เพิ่มพื้นที่เก็บของด้านหลัง
  • Long Mode: เบาะด้านหน้าและด้านหลังปรับพับ เพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวยาว
  • Tall Mode: เบาะด้านหลังพับขึ้น เพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวสูง
  • Refresh Mode: เบาะด้านหน้าพับเชื่อมต่อกับเบาะด้านหลัง สร้างพื้นที่ผ่อนคลายสะดวกสบายสูงสุด

Honda เปิดตัว Honda City Hatchback e:HEV ครั้งแรกในโลก

พร้อมด้วยฟังก์ชันการใช้งานระดับพรีเมียม อาทิ ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ และช่องปรับอากาศตอนหลัง พร้อมช่องจ่ายไฟสำรอง 2 ตำแหน่ง มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว ระบบเครื่องเสียงวิทยุหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay พร้อม Google Maps พร้อมระบบสั่งการด้วยเสียง SIRI และระบบสตาร์ตเครื่องยนต์พร้อมเครื่องปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมท (Remote Engine Start) พนักเท้าแขนด้านหลังพร้อมที่วางแก้ว เป็นต้น

Honda เปิดตัว Honda City Hatchback e:HEV ครั้งแรกในโลก

มาในครั้งนี้ ได้นำเทคโนโลยีด้านการขับเคลื่อนอันทรงพลังและล้ำสมัย กับระบบฟูลไฮบริด และเทคโนโลยีความปลอดภัยระดับพรีเมียม ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง ผนวกกับเอกลักษณ์ความเป็นยนตรกรรมสไตล์แฮทช์แบ็ก

พร้อมมูฟไปกับพลังเทคโนโลยีการขับเคลื่อนอันล้ำสมัย กับระบบขับเคลื่อน Sport Hybrid Intelligent Multi-Mode Drive (i-MMD) ระบบ Full Hybrid ที่ผสานการทำงานอันทรงพลังของมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ได้แก่ มอเตอร์ที่ทำหน้าที่สร้างกระแสไฟฟ้า และ มอเตอร์ที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนล้อ กับเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร Atkinson Cycle DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน

มอบสมรรถนะการขับขี่ที่สนุก แรงเกินคลาส โดยระบบสามารถปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ได้อย่างชาญฉลาดเพื่อตอบรับกับทุกการใช้งาน ตอบสนองทันใจด้วยแรงบิดสูงสุด 253 นิวตัน-เมตร ที่ 0 – 3,000 รอบ/นาที ให้อัตราการประหยัดน้ำมันดีเยี่ยมถึง 27 กม./ลิตร และสามารถรองรับน้ำมัน E20

Honda เปิดตัว Honda City Hatchback e:HEV ครั้งแรกในโลก

มูฟได้อย่างมั่นใจด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) ได้แก่

  • ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS)
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control: ACC)
  • ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning: RDM with LDW)
  • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS)
  • ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB)

Honda เปิดตัว Honda City Hatchback e:HEV ครั้งแรกในโลก

ครบครันด้วยเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยระดับพรีเมียม อาทิ ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch) ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake) และ ระบบ Auto Brake Hold ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock) กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ (Multi-Angle Rearview Camera) เทคโนโลยีเชื่อมต่อเพื่อการสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์ ฮอนด้า คอนเนค (Honda CONNECT)

Honda เปิดตัว Honda City Hatchback e:HEV ครั้งแรกในโลก

มูฟไปทุกที่อย่างไร้กังวล ให้ลูกค้าได้สัมผัสกับเทคโนโลยีระดับพรีเมียมในค่าบำรุงรักษาสไตล์ซิตี้คาร์ ด้วยการรับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริดถึง 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง* พร้อมด้วยโปรแกรมการให้บริการพิเศษด้านคุณภาพรถยนต์ ฮอนด้า อัลติเมท แคร์* (Honda Ultimate Care) ด้วยการขยายการรับประกันคุณภาพรถยนต์ใหม่โดยเพิ่มระยะเวลาอีก 2 ปี หรือระยะทาง 40,000 กิโลเมตร ต่อจากระยะเวลาหรือระยะทางการรับประกันคุณภาพรถยนต์ใหม่ 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตรแรกสิ้นสุดลง รวมสูงสุด 5 ปี หรือ 140,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) พร้อมด้วยบริการช่วยเหลือฉุกเฉินนอกสถานที่ 24 ชั่วโมง (Honda 24hr Roadside Assistance) อีกทั้งฟรีค่าแรงในการเช็กระยะเป็นเวลา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร* (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)

Honda เปิดตัว Honda City Hatchback e:HEV ครั้งแรกในโลก

มูฟไปตามใจคิด เปี่ยมไปด้วยพลังใหม่ในแบบของคุณ กับ City Hatchback ราคา

  • รุ่น e:HEV RS ราคา 849,000 บาท

มีให้เลือกทั้งหมด 6 สี ได้แก่ สีใหม่ สีน้ำเงินบริลเลียนท์ สปอร์ตตี้ (เมทัลลิก) เฉพาะซิตี้ แฮทช์แบ็ก อี:เอชอีวี เท่านั้น สีแดงอิกไนต์ (เมทัลลิก) สีขาวแพลทินัม (มุก) สีดำคริสตัล (มุก) สีเทาโซนิค (มุก) และสีเทาเมทิเออรอยด์ (เมทัลลิก)

มาพร้อมข้อเสนอพิเศษเพื่อให้ลูกค้าเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น กับ ดอกเบี้ย 2.99% พร้อมฟรีประกันภัย 1 ปี พิเศษ สำหรับลูกค้าที่จองและรับรถ Honda City Hatchback e:HEV ใหม่ ตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน 2564 – 31 กรกฎาคม 2564 รับฟรีหูฟัง Skullcandy True Wireless Earbuds รุ่น Sesh Evo สี Deep Red มูลค่า 3,590 บาท

สัมผัส Honda City Hatchback e:HEV ใหม่ ที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไป

Honda เปิดตัว Honda City Hatchback e:HEV ครั้งแรกในโลก

เสริมความสปอร์ตพรีเมียมในทุก Movement ด้วยชุดอุปกรณ์ตกแต่ง Modulo (โมดูโล) ที่มาพร้อมแนวคิด “Stage Up Booster” โดยมีไอเท็มอุปกรณ์ตกแต่งให้เลือก อาทิ ชุดป้องกันรอยบริเวณที่เปิดประตู ราคา 1,100 บาท ชุดตกแต่งสปอยเลอร์หลัง ราคา 5,500 บาท คิ้วตกแต่งซุ้มล้อด้านหน้า ราคา 1,700 บาท คิ้วบันไดสแตนเลส LED ราคา 4,400 บาท แผงครอบกันรอยขอบห้องสัมภาระ ราคา 900 บาท กล้องวิดีโอติดรถยนต์ ราคา 3,850 บาท

หรือเลือกตกแต่งในรูปแบบแพ็กเกจชุดแต่งรอบคัน ทั้งหมด 2 แพ็กเกจ ได้แก่

  • Modulo Aero Sport Package ราคา 21,500 บาท ประกอบด้วย สเกิร์ตหน้า แบบ 2 ชิ้น สเกิร์ตข้าง สเกิร์ตหลัง แบบ 2 ชิ้น และ ชุดตกแต่งสปอยเลอร์หลัง
  • Modulo Aero Package ราคา 16,900 บาท ประกอบด้วย สเกิร์ตหน้า แบบ 2 ชิ้น สเกิร์ตข้าง และ สเกิร์ตหลัง แบบ 2 ชิ้น

ดูรายละเอียดอุปกรณ์ตกแต่งเพิ่มเติมได้ที่ https://hondaaccess.co.th/line-up/honda-city-hatchback-eHEV

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิมตอนนี้ หรือกำลังตัดสินใจจะซื้อรถป้ายแดงอยู่พอดี แต่งบไม่พอ! มาขายรถกับ CARRO Express สิ! Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

อีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน อยากซื้อรถคุณภาพเยี่ยม มาซื้อกับ CARRO Automall สิ!

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall

5 เหตุผล ที่ทำไมคนญี่ปุ่น ถึงนิยมเทคโนโลยี e-Power ของรถ Nissan

นับตั้งแต่ Nissan (นิสสัน) แนะนำเทคโนโลยี e-Power (นิสสัน อี-พาวเวอร์) ครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่น กับ Nissan Note (นิสสัน โน๊ต) รถยนต์แบบ Compact เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2016 ตั้งแต่นั้นมา Nissan Note e-Power ก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี และยังได้รับรางวัลรถยนต์ที่ขายดีที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ประจำปี 2018*

Nissan Note e-Power และ Nissan Serena e-Power

ต่อมา ในเดือนมีนาคม 2018 Nissan เปิดตัวรถมินิแวน Nissan Serena e-Power (นิสสัน เซเรน่า อี-พาวเวอร์) ตามด้วย Nissan Kicks e-Power (นิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์) ในเดือนมิถุนายน 2020 พร้อมๆ กับบางประเทศในทวีปเอเชีย และในไทย

ซึ่งทำให้เทคโนโลยี อี-พาวเวอร์ แพร่หลายมากยิ่งขึ้น และในเดือนธันวาคมปีเดียวกันก็ได้เปิดตัว นิสสัน โน๊ต ใหม่ ที่ใช้เทคโนโลยี อี-พาวเวอร์ เจเนอเรชั่นที่ 2

Nissan Note e-Power E12 Engine

เดือนมีนาคมปี 2021 Nissan เปิดตัว Nissan Qashqai e-Power (นิสสัน แคชไค อี-พาวเวอร์) ใหม่ ในตลาดยุโรปหลังจากมีการเปิดตัวรุ่นเครื่องยนต์แบบ Mild Hybrid ไปก่อนหน้านี้ นับเป็นการเปิดตัวเทคโนโลยี อี-พาวเวอร์ ครั้งแรกในทวีปยุโรป และที่งาน Auto Shanghai 2021 ในประเทศจีน Nissan ก็ได้เปิดตัวเทคโนโลยีนี้ด้วยเช่นกัน

Nissan Note e-Power E12 Engine

และในเดือนมีนาคมเดียวกันนี้ Nissan สามารถสร้างยอดขายรถยนต์ Nissan e-Power ได้ทะลุ 500,000 คัน! ซึ่งประเทศที่ครองยอดขายเป็นอันดับ 1 คือ ประเทศญี่ปุ่น จนกระทั่งในเดือนมิถุนายนนี้ Nissan ได้เสริมทัพด้วย Nissan Note Aura (นิสสัน โน๊ต ออร่า) ที่ใช้ e-Power ออกมาอีกรุ่น

MR.CARRO เลยชวนคุณมาดู 5 เหตุผล ว่าทำไมคนญี่ปุ่นถึงโคตรนิยมรถยนต์ e-Power ของ Nissan กันครับ …

Nissan Note e-Power E13 2021

1. มอเตอร์ไฟฟ้า 100%

e-Power ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า แบบเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้า 100% คือการใช้เครื่องยนต์เบนซินประสิทธิภาพสูง ทำหน้าที่ผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อส่งต่อให้มอเตอร์ไฟฟ้าใช้ทำหน้าที่ขับเคลื่อนตัวรถ (ถ้าคุณนึกภาพไม่ออก ว่า e-Power ทำงานอย่างไร? ขอให้นึกถึงรถไฟ แบบรถจักรดีเซลไฟฟ้า มีหลักการทำงานที่คล้ายกัน)

ผู้ขับขี่จะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเงียบภายในห้องโดยสาร และได้ความสนุกในการขับขี่ ด้วยอัตราเร่งที่ทันใจแบบรถยนต์ไฟฟ้า แต่สะดวกกว่า ตรงที่เติมน้ำมันแทนการชาร์จไฟจากภายนอก

2. 5 รางวัลจากญี่ปุ่น

เทคโนโลยี e-Power ได้รับรางวัลระดับประเทศมาแล้ว 5 รางวัลในประเทศญี่ปุ่น เช่น รางวัลเทคโนโลยียอดเยี่ยมแห่งปีในประเทศญี่ปุ่น จาก สมาคมนักวิจัย และนักข่าวด้านยานยนต์แห่งประเทศญี่ปุ่น (Automotive Researchers’ and Journalists’ Conference of Japan) (RJC)

อีกทั้งจากการที่มีส่วนในการช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อี-พาวเวอร์ ยังได้รับรางวัลด้านสิ่งแวดล้อมจากศูนย์อนุรักษ์พลังงานประเทศญี่ปุ่น (The Energy Conservation Center Japan) (ECCJ)

*ยอดขาย Note ประกอบด้วย Note รุ่นมาตรฐานและ Note e-Power โดยรุ่น อี-พาวเวอร์ คิดเป็นประมาณ 70% ของยอดขาย

Nissan Note e-Power E13 2021

3. ไม่ต้องชาร์จไฟจากภายนอก

หากคุณต้องการสัมผัสประสบการณ์ความเงียบ และอัตราเร่งที่ราบรื่นเหมือนกับรถยนต์ไฟฟ้า แต่สะดวกสบายเพราะไม่ต้องชาร์จไฟจากภายนอกหรือต้องคอยหาสถานีชาร์จ แน่นอนว่า e-Power มอบความพิเศษนี้ให้กับคุณได้

และนี่คือเหตุผลว่าทำไมเทคโนโลยีถึงได้รับความนิยมในประเทศญี่ปุ่น เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบรถยนต์ไฟฟ้า แต่ไม่สะดวกชาร์จที่บ้าน เช่น ผู้คนที่อาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนท์ในโตเกียว

4. ยอดขายรถยนต์ Nissan e-Power ในญี่ปุ่นทะลุ 500,000 คัน

หากคุณนำรถยนต์ e-Power ที่จำหน่ายไปแล้วกว่า 500,000 คันมาเรียงต่อกัน ก็จะได้ความยาวเท่ากับระยะทางจากโตเกียวถึงไทเป![1] หรือพอๆ กับหากคุณเดินเท้าจากกรุงเทพไปยังมะนิลา![2]

Nissan Note e-Power E13 2021

5. ลดการใช้แป้นเบรกลง 70% ด้วย One-Pedal

การได้ลดการใช้แป้นเบรกในระหว่างรถติดนั้นเป็นประโยชน์อย่างมากกับผู้ขับขี่ชาวญี่ปุ่น เทคโนโลยี One-Pedal ในคิกส์ อี-พาวเวอร์ ช่วยให้คุณได้เร่งและชะลอความเร็วรถโดยใช้แป้นคันเร่งเพียงแป้นเดียว

นวัตกรรมนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ช่วยลดจำนวนการใช้แป้นเบรกได้ถึง 70% เมื่อรถมีการชะลอความเร็ว ระบบจะมีการฟื้นฟูพลังงานเพื่อชาร์จไฟฟ้ากลับเข้าสู่แบตเตอรี่

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิมตอนนี้ หรือกำลังตัดสินใจจะซื้อรถป้ายแดงอยู่พอดี แต่งบไม่พอ!  มาขายรถกับ CARRO Express สิ! หรือจะ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

อีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน อยากซื้อรถคุณภาพเยี่ยม มาซื้อกับ CARRO Automall สิ!

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall

แหล่งที่มาบางส่วนจาก:

BMW Z4 (E89) ราคาตอนซื้อป้ายแดง ผ่อนเดือนละเท่าไหร่

จากกรณีข่าวรถสปอร์ต BMW Z4 (บีเอ็มดับเบิลยู แซด4) รหัส E89 ซิ่งฝ่าสายฝนจนเกิดอุบัติเหตุรถพุ่งข้ามเลนไปชนรถอีกคัน ทำให้หลายคนอยากทราบรายละเอียดเบื้องต้นของ BMW Z4 รุ่นนี้ว่า มีความเป็นมาในบ้านเราอย่างไรบ้าง …

และราคาจำหน่ายของ BMW Z4 รุ่นดังกล่าว หลายคนอยากทราบว่าตอนป้ายแดงคันละเท่าไหร่ และค่างวดที่ต้องผ่อนจ่ายในแต่ละเดือน เท่าไหร่บ้าง

MR.CARRO เลยขอนำราคาและค่างวดของรถรุ่นนี้ ในยุคที่ยังเป็นรถป้ายแดง มาให้ทุกคนได้ดูกันครับ

BMW Z4 sDrive35i

สำหรับ BMW Z4 Roadster รหัส E89 สุดยอดแห่งโรดสเตอร์ที่ผสมผสานความคลาสสิค กับดีไซน์ที่มีเสน่ห์แบบโรดสเตอร์พันธุ์แท้ และยังเป็นรถ BMW ที่ออกแบบโดยผู้หญิง ซึ่ง Juliane Blasi ออกแบบตัวรถภายนอก และในส่วนของห้องโดยสารออกแบบโดย Nadya Arnaout ผสานกับเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า และความสะดวกสบาย

อีกทั้งยังรวมถึงอารมณ์การขับขี่สไตล์สปอร์ตโรดสเตอร์เต็มรูปแบบ ด้วยการกระจายน้ำหนักอย่างสมดุล 50:50 หน้า:หลัง และระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ผลิตจาก​โรงงานในเมือง Regensburg แคว้นบาวาเรีย ประเทศเยอรมนี ถูกนำเข้ามาเปิดตัวในไทยเมื่อเดือนมีนาคม 2552 แรกเริ่มนั้นเป็นรุ่น sDrive23i, sDrive23i Highline ในราคา 4,599,000 – 5,099,000 บาท

BMW Z4 sDrive35i

BMW Z4 ชูจุดเด่นด้วยหลังคา Retractable Hardtop แบบแข็ง (Hardtop) เป็นครั้งแรก โดยชุดหลังคาสามารถ เปิด-ปิด ด้วยระบบไฟฟ้าในเวลาเพียง 20 วินาที อีกทั้งยังสามารถใส่ถุงกอล์ฟได้ถึง 2 ใบ (ขณะหลังคาปิด) สำหรับผู้ขับขี่ที่รักความสปอร์ตของรถแบบโรดสเตอร์ แต่ยังคงหลงใหลในกีฬากอล์ฟ

BMW Z4 sDrive35i

ไฮเทคสุดๆ กับระบบ iDrive ที่มีศูนย์บัญชาการข้อมูล CIC Car Infotainment Computer สั่งการระบบข้อมูลแผนที่นาวิเกเตอร์ โทรศัพท์ และระบบเอนเตอร์เทนเมนท์ BMW Navigation System Professional ทำงานบนฮาร์ดดิสก์ขนาด 80GB +DVD + Bluetooth + iPod USB Connector แสดงผลผ่านจอมอนิเตอร์ความละเอียดสูง 1280 x 480 พิกเซล

ใช้เครื่องยนต์ขนาด 2.5 ลิตร รหัส N52 ให้แรงม้าสูงสุด 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ที่ 2,750 รอบ/นาที อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 7.3 วินาที อัตราการประหยัดน้ำมัน 11.2 กม./ลิตร

และ sDrive35i ที่นำเข้ามาในช่วงแรก ใช้ขุมพลัง 3.0 ลิตร รหัส N54 ให้แรงม้าสูงสุด 306 แรงม้า และมีราคาอยู่ที่ 7,599,000 บาท

ต่อมาในเดือนมีนาคม 2553 BMW ปรับให้ BMW Z4 sDrive23i สามารถเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 ได้ ซึ่งเป็นโรดสเตอร์พลังงานทางเลือกรุ่นแรกของเมืองไทย ปรับราคาตัวรถลงมาเหลือ 4,399,000 – 4,799,000 บาท

BMW Z4 sDrive35iS

ในเดือนมิถุนายน 2553 BMW เปิดตัว BMW Z4 sDrive35is สุดยอดโรดสเตอร์พันธุ์สปอร์ต เคาะราคาขายสูงกว่าใครเพื่อน สมกับเป็นราคาของคนเท้าหนัก 8,399,000 บาท

มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 6 สูบแถวเรียงขนาด 3.0 ลิตร อัดอากาศด้วยระบบ Twin Turbo ผลิตแรงม้าได้สูงสุด 340 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ที่ 1,500-4,500 รอบ/นาที เพิ่มขึ้นถึง 500 นิวตัน-เมตรในขณะเร่งแซง ด้วยฟังก์ชั่น Overboost ระบบเทอร์โบ ด้วยเทคโนโลยี EfficientDynamics ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายในเวลาเพียง 4.8 วินาที อัตราการประหยัดน้ำมัน 11.1 กม./ลิตร

BMW Z4 sDrive35iS

ระบบเกียร์คลัทช์คู่ DCT 7-สปีด พร้อมฟลายวีลแบบ Two-Mass และโปรแกรมพิเศษ พร้อมฟังก์ชั่น Launch Control รับแรงบิดสูงของเครื่องยนต์ได้สบายๆ และโปรแกรมเกียร์ปรับให้เหมาะสม เน้นพละกำลัง ความปราดเปรียว และมีฟังก์ชั่น Launch Control สำหรับผู้ขับที่ต้องการออกตัวให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด

ระบบปั๊มน้ำและปั๊มน้ำมันเครื่องแบบ On-Demand แล้ว ยังมีระบบ Brake Energy Re-Generation ซึ่งเป็นการนำพลังงานจากการเบรกกลับมาแปรรูปเป็นพลังงานไฟฟ้า เพื่อป้อนให้กับระบบต่างๆ ภายในรถด้วย

BMW Z4 sDrive35iS

ระบบท่อไอเสียปรับแต่งให้เสียงทุ้ม นุ่มลึก เข้ากับคาร์แรคเตอร์ โดยออกแบบท่อทางเดินอากาศและหม้อพักไอเสียเป็นพิเศษ เพื่อให้ได้เสียงความถี่ต่ำ ให้ความรู้สึกถึงพลังที่ซ่อนอยู่ของโรดสเตอร์พันธุ์ดุ โดยที่ไม่ดังส่งเสียงรบกวนจนน่ารำคาญ

ภายหลังในช่วงปี 2555 ปรับรุ่นย่อยเหลือเป็นรุ่น sDrive20i, sDrive20i Highline ใช้เครื่องยนต์เล็กลงเป็น 2.0 ลิตร รหัส N20 ให้แรงม้าสูงสุด 184 แรงม้า ในราคา 3,799,000 – 4,199,000 บาท

BMW Z4 sDrive20i Highline 2013

ช่วงต้นปี 2556 ในเยอรมนี ปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ LCi และรุ่นย่อย บ้านเราเปิดตัวเมื่อเดือนกันยายน 2556 นำเข้าเฉพาะรุ่น sDrive20i Highline อย่างเดียว ในราคา 3,999,000 – 4,099,000 บาท

สำหรับ BMW Z4 sDrive20i Highline มาพร้อมกับสีที่มีให้เลือกได้ถึง 8 สี รวมถึงโทนสีใหม่ล่าสุด เช่น สี Mineral Grey Metallic, สี Glacier Silver Metallic, และ สี Valencia Orange Metallic ที่มีให้เลือกโดยเฉพาะสำหรับ BMW Z4 sDrive20i Highline พร้อมชุดตกแต่งพิเศษที่ผสมผสานระหว่างการดีไซน์แบบ Design Pure Traction และชุดแต่ง M Sport

BMW Z4 sDrive35iS

โดยชุดตกแต่งพิเศษ Design Pure Traction นี้โดดเด่นและเหนือชั้นกับทุกรายละเอียดของการสร้างสรรค์ เน้นความเป็นผู้นำแห่งโรดสเตอร์ที่ไม่เหมือนใคร สะกดทุกสายตากับตัวรถสีส้ม Valencia Orange ภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยโทนสีที่ตัดกัน เพิ่มอารมณ์สปอร์ตด้วยหนังแบบ Alcantara สีส้มตัดกับหนังสีดำทั้งเบาะนั่งแบบสปอร์ตและแผงประตู

BMW Z4 sDrive35iS

ส่วนของคอนโซลกลางสีดำแบบ Black Piano ได้รับการติดตั้งพร้อมหนังที่เย็บด้วยตะเข็บสีส้ม เพิ่มบุคลิกความเป็นสปอร์ตเข้ากันอย่างลงตัว

สำหรับชุดตกแต่งพิเศษ Design Pure Balance นั้น ภายในผสมผสานหนังแท้สีดำกับสีน้ำตาลเข้ม (Cohiba Brown) ของเบาะนั่งแบบสปอร์ตหุ้มหนังแท้ Merino และตัดขอบด้วยตะเข็บสีขาว

BMW Z4 sDrive35iS

นอกจากนี้ ยังเพิ่มความสปอร์ตมากขึ้นด้วยชุดตกแต่ง M Sport Package พร้อมล้ออัลลอย M ขนาด 19 นิ้ว และชุดแต่ง M แอโรไดนามิครบครัน รวมถึงเบาะที่นั่งแบบสปอร์ต, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น หุ้มด้วยหนังแท้สไตล์สปอร์ตแบบ M พร้อมก้านเปลี่ยนเกียร์หลังพวงมาลัย กาบบันได M รวมถึงผ้าบุหลังคาสี Anthracite

BMW Z4 sDrive20i

ก่อนที่จะขายกันมาเรื่อยๆ มาจนถึงต้นปี 2559 ทาง BMW Group Thailand จึงยุติการนำเข้าไป และนี่ก็คือรายละเอียดของ BMW Z4 (E89) ที่คุณต้องรู้ไว้เบื้องต้น ก่อนจะซื้อมาใช้กันครับ!

สำหรับราคาของ BMW Z4 Roadster (E89) ตอนออกใหม่ๆ และค่างวดที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือน ของ BMW Hire Purchase (แบบมี Balloon) จะต้องจ่ายเท่าไหร่ มาดูกันได้ที่ตารางนี้ครับ

BMW Z4 (E89) ราคาตอนซื้อป้ายแดง ผ่อนเดือนละเท่าไหร่

*หมายเหตุ: ราคาและค่างวดตามนี้ คำนวณจากเงินดาวน์ 25% ผ่อน 48 เดือน (และมียอด Ballroon งวดสุดท้าย จ่าย 30-40% ของราคารถ ซึ่งรถในแต่ละรุ่น แต่ละปี จำนวนเงินที่ต้องจ่ายอาจไม่เท่ากัน)

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิมตอนนี้ หรือกำลังตัดสินใจจะซื้อรถป้ายแดงอยู่พอดี แต่งบไม่พอ!  มาขายรถกับ CARRO Express สิ! หรือจะ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

และอีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน อยากซื้อรถคุณภาพเยี่ยม มาซื้อกับ CARRO Automall สิ!

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่หาไม่ได้ สามารถสั่งตามออเดอร์ได้ที่นี้ > https://th.carro.co/buy-car หรือโทร. 02-508-8690 อีกทั้งยัง Inbox เข้ามาสอบถามก็ได้เช่นกันได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง หรือทาง Line เชิญเลยครับที่ @carroautomall

กรมการขนส่งทางบก เปิดให้ทำใบขับขี่ทุกประเภท จองคิวใบขับขี่ออนไลน์ได้

ในช่วงนี้ สถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่เริ่มดีขึ้นในหลายพื้นที่ กรมการขนส่งทางบก จึงได้ผ่อนคลายการให้บริการด้านใบอนุญาตขับรถ (ใบขับขี่) ทุกประเภท และใบอนุญาตผู้ประจํารถ โดยสำนักงานขนส่งทุกแห่ง กลับมาเปิดให้บริการตามปกติเต็มรูปแบบ ตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไป

คนที่เคยจองคิวขอรับใบอนุญาตขับรถใหม่ หรือการอบรมที่สำนักงาน ที่เคยได้รับคิวระหว่าง 16 เมษายน 2564 – 18 มิถุนายน 2564 สามารถเลือกวันและเวลารับบริการได้ก่อน ผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue ตั้งแต่วันที่ 17 มิถุนายน 2564 เวลา 9.00 น. เป็นต้นไป

กรมการขนส่งทางบก เปิดให้ทำใบขับขี่ทุกประเภท จองคิวใบขับขี่ออนไลน์ได้

สำหรับผู้ที่จองคิวได้แล้วตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไป สามารถเข้ารับบริการได้ตามวันและเวลาที่นัดหมาย หลังจากนั้นกรมการขนส่งทางบก ถึงจะเปิดให้ประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้จองคิวมาก่อน สามารถเข้าระบบจองคิวได้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ กรมการขนส่งทางบก ได้ประสานงานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อขอผ่อนผันการใช้กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่ง กับผู้ได้รับใบอนุญาตขับรถ และใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถที่สิ้นอายุแล้ว สามารถแสดงต่อเจ้าหน้าที่ได้จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2564

กรมการขนส่งทางบก เปิดให้ทำใบขับขี่ทุกประเภท จองคิวใบขับขี่ออนไลน์ได้

ส่วนผู้ถือใบขับขี่และใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถที่สิ้นอายุเกิน 1 ปีขึ้นไป ในระหว่างวันที่ 10 เมษายน – 30 กันยายน 2564 กรมการขนส่งทางบกมีมาตรการเยียวยา คือ กรณีสิ้นอายุเกิน 1 ปีขึ้นไป จะยกเว้นการทดสอบข้อเขียน กรณีสิ้นอายุเกิน 3 ปีขึ้นไป จะยกเว้นการทดสอบขับรถ

ส่วนใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถตาม พรบ. การขนส่งทางบก (ใบขับขี่รถสาธารณะ) สิ้นอายุเกิน 3 ปี จะได้รับการยกเว้นการทดสอบขับรถ

ผู้สนใจสามารถจองคิวล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue หรือเว็บไซต์ https://gecc.dlt.go.th ของกรมการขนส่งทางบก

1

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิมตอนนี้ หรือกำลังตัดสินใจจะซื้อรถป้ายแดงอยู่พอดี แต่งบไม่พอ!  มาขายรถกับ CARRO Express สิ! หรือจะ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

และอีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน อยากซื้อรถคุณภาพเยี่ยม มาซื้อกับ CARRO Automall สิ!

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่หาไม่ได้ สามารถสั่งตามออเดอร์ได้ที่นี้ > https://th.carro.co/buy-car หรือโทร. 02-508-8690 อีกทั้งยัง Inbox เข้ามาสอบถามก็ได้เช่นกันได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง หรือทาง Line เชิญเลยครับที่ @carroautomall

แหล่งที่มาจาก:

Ferrari SF90 Spider ม้าลำพองเปิดประทุน Plug-In Hybrid

ถึงเมืองไทยแล้ว! Ferrari SF90 Spider (เฟอร์รารี่ เอสเอฟ 90 สไปเดอร์) ที่สุดแห่งซูเปอร์คาร์ทรงพลังส่งตรงจาก Maranello (มาราเนลโล) สุดยอดสปอร์ตคาร์เปิดประทุน Plug-In Hybrid (ปลั๊กอินไฮบริด) คันแรกของเฟอร์รารี่ ที่สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อมอบความเพลิดเพลินในการขับขี่อย่างที่ไม่มีใครเทียบเคียงได้ ผ่านการเปิดตัวรูปแบบดิจิทัล ในราคา 44,900,000 บาท!!!

Ferrari SF90 Spider ม้าลำพองเปิดประทุน Plug-In Hybrid

Ferrari SF90 Spider คือ ซูเปอร์คาร์ปลั๊ก-อิน ไฮบริด แบบเปิดประทุนรุ่นแรกจากม้าลำพอง ที่สร้างมาตรฐานใหม่ทั้งในส่วนของสมรรถนะ นวัตกรรม และความเร้าใจในการขับขี่ให้กับแบรนด์เฟอร์รารี่ ตลอดจนบรรดารถสปอร์ตในกลุ่มเดียวกันอีกด้วย อีกทั้งยังมีสเปกและสมรรถนะระดับทำลายสถิติ เช่นเดียวกับที่สุดแห่งซูเปอร์คาร์อย่าง Ferrari SF90 Stradale (เฟอร์รารี่่ เอสเอฟ 90 สตราดาเล)

Ferrari SF90 Spider ม้าลำพองเปิดประทุน Plug-In Hybrid

ทั้งยังเพิ่มความน่าตื่นตาตื่นใจขึ้นไปอีกขั้น ด้วยหลังคาแข็งแบบพับเก็บได้ สถาปัตยกรรมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเฟอร์รารี่ ซึ่งนำมาใช้ครั้งแรกในปี 2011 กับ Berlinetta (เบอร์ลิเนตต้า) เครื่องวางกลางลำ SF90 Spider แสดงให้เห็นนิยามใหม่ของซูเปอร์คาร์ ที่เป็นรถในอุดมคติของผู้ที่ต้องการสุดยอดแห่งเทคโนโลยีจากเฟอร์รารี่ ทว่ายังคงหลงใหลความสุขแห่งการขับขี่รถยนต์แบบเปิดประทุน

นอกจากนี้ SF90 Spider ยังแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของระบบขับเคลื่อนแบบใหม่ที่ช่วยลดการปล่อยมลพิษ และมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม โดยเฉพาะพละกำลัง 780 แรงม้า จากเครื่องยนต์ V8 Turbo เสริมทัพด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว โดยใช้หนึ่งตัวที่ล้อคู่หลัง และอีกสองตัวสำหรับล้อหน้า นำมาซึ่งกำลังรวมสูงสุดมหาศาลถึง 1,000 แรงม้า

Ferrari SF90 Spider ม้าลำพองเปิดประทุน Plug-In Hybrid

Ferrari SF90 Spider มีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ (AWD) เช่นเดียวกับ SF90 Stradale ช่วยยกระดับประสิทธิภาพขณะออกตัวขึ้นสู่ความเร็วอันน่าทึ่ง 0-100 กม./ชม. ใน 2.5 วินาที และ 0-200 กม./ชม. ในเวลาเพียง 7.0 วินาทีเท่านั้น

ภาพลักษณ์และสัมผัสของห้องโดยสาร ได้รับอิทธิพลส่วนใหญ่มาจากระบบ HMI (Human Machine Interface) ซึ่งถือเป็นการก้าวกระโดดครั้งสำคัญของ SF90 Spider พวงมาลัยแบบใหม่สั่งงานด้วยการสัมผัส ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมรถได้เกือบทุกฟังก์ชั่นโดยไม่ต้องละมือออกจากพวงมาลัย จอแสดงผลส่วนกลางระบบดิจิทัล ขนาด 16 นิ้ว เป็นแบบจอโค้งความคมชัดสูง สามารถตั้งค่าและควบคุมได้อย่างครบถ้วนผ่านพวงมาลัย

Ferrari SF90 Spider ม้าลำพองเปิดประทุน Plug-In Hybrid

ข้อมูลหลักๆ จะแสดงผลบนกระจกหน้ารถผ่านระบบ Head-up Display นั่นหมายถึง การมีสมาธิขณะขับขี่มากขึ้น ตรงตามปรัชญา “ตาอยู่บนถนน มืออยู่บนพวงมาลัย” ที่ผลักดันให้มีการพัฒนาระบบ HMI ขึ้นเพื่อใช้กับรถแข่ง Formula 1 ของเฟอร์รารี่ทุกคัน ก่อนที่จะถ่ายทอดมาสู่รถถนนของเฟอร์รารี่

เช่นเดียวกับรถแบบสไปเดอร์รุ่นอื่นๆ ของม้าลำพอง หลังคาแข็งแบบพับเก็บได้ของ SF90 Spider รับประกันได้ว่าจะมีเสียงรบกวนน้อยที่สุด ปกป้องผู้โดยสารจากสภาพแวดล้อมภายนอกได้เป็นอย่างดีเมื่อปิดหลังคา ทั้งยังให้พื้นที่ใช้สอยกว้างขวางและสะดวกสบายสำหรับทุกคน หลังคามีขนาดกะทัดรัด เรียบง่าย และน้ำหนักเบา สามารถเปิด-ปิด ในเวลาเพียง 14 วินาที และทำงานได้แม้ในขณะที่รถกำลังเคลื่อนที่อีกด้วย

Ferrari SF90 Spider ม้าลำพองเปิดประทุน Plug-In Hybrid

สำหรับราคาของเฟอร์รารี่ SF90 Spider เริ่มต้นที่ 44,900,000 บาท โดย คาวาลลิโน มอเตอร์ มี Warranty การรับประกันฟรี 3 ปี ไม่จำกัดระยะทาง สามารถต่ออายุได้ถึง 15 ปี และการดูแลบำรุงรักษาฟรี 7 ปี พร้อมบริการจากทีมช่างผู้ชำนาญการด้วยเครื่องมือตามมาตรฐานจากโรงงานเฟอร์รารี่ เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าที่ต้องการรักษาประสิทธิภาพและความเป็นเลิศ อันเป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์ทุกคันที่สร้างขึ้นจากโรงงานในมาราเนลโล ประเทศอิตาลี

และสำหรับใครที่อยากได้ซูเปอร์คาร์ไว้ใช้สักคัน อยากขายรถคันเดิม เอาเงินไปซื้อซูเปอร์คาร์มาขับเท่ๆ บ้าง มาขายรถคันเดิมกับ CARRO Express สิ! หรือจะ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

อีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน อยากซื้อรถคุณภาพเยี่ยม มาซื้อกับ CARRO Automall สิ!

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall