10 ไอเทมกระบะแต่งซิ่ง ขวัญใจวัยรุ่น

ในวงการแต่งรถปัจจุบันของบ้านเรา รถยอดนิยมที่นำมาแต่งกันก็จะมีกันแทบทุกประเภท นับตั้งแต่รถ Eco-Car, รถเก๋ง, รถสปอร์ต, รถ SUV, รถ MPV หรือรถแนว 4WD แต่สำหรับ “รถกระบะแต่งซิ่ง” นั้นจัดได้ว่าเป็นรถกระยะยอดนิยมในหมู่วัยรุ่นสร้างตัวกันมากที่สุด มีให้เห็นกันเยอะที่สุด

เนื่องจากรถกระบะ สามารถใช้งานได้หลากหลาย บรรทุกหนักได้ เอามาทำเป็นรถคอกได้ และยังนำมาแต่งได้อีกด้วย จึงเป็นที่ถูกใจอย่างยิ่งของวัยรุ่นสร้างตัว ที่นิยมรถกระบะบรรทุกหนัก เพราะได้ทั้งแต่งรถสวย และใช้รถกระบะหาเงิน สร้างอาชีพ ไปได้พร้อมๆ กัน

Mr.Carro ขอนำเสนอของแต่งรถกระบะซิ่งยอดนิยม เรามาดูกันว่า 10 สิ่งที่รถกระบะแต่งซิ่งต้องมีนั้น จะมีอะไรกันบ้าง …

10 ไอเทมกระบะแต่งซิ่ง ขวัญใจวัยรุ่น

1. เคฟลาร์ (Kevlar)

สำหรับรถกระบะแต่งซิ่ง มักนิยมใช้ชิ้นส่วนเคฟลาร์ให้ดูเท่ (หรือใช้แปะสติ๊กเกอร์ลายเคฟลาร์ก็มี) ซึ่งวัสดุเคฟลาร์ (ที่บ้านเราเรียกกันจนติดปาก คือชื่อทางการค้าของบริษัทดูปองท์ (DuPont) ครับ) คือ เส้นใยสังเคราะห์ในกลุ่มอารามิด หรือในชื่อเต็มๆ คือ Carbon Kevlar (คาร์บอนเคฟล่าร์) ที่มีน้ำหนักเบา กันความร้อน ทนไฟได้ถึง 500 องศาเซลเซียส และแข็งแรงเป็นพิเศษ

นิยมนำมาใช้เป็นชิ้นส่วนประกอบในอุตสาหกรรมยานยนต์ เช่น ชิ้นส่วนตัวถัง, เบรก, คลัทช์ หรือแม้แต่ทำเสื้อกันกระสุน และสำนักแต่งมากมาย ยังนิยมทำแต่งในจุดต่างๆ มาขายให้ชาวรถกระบะซิ่ง ได้แก่ ฝากระโปรงหน้า, แก้มข้าง, ประตูรถ, แก๊บหลังคา หรือแผงคอนโซลภายในรถ ที่มีทั้งแบบหล่อขึ้นรูปและแบบชิ้นส่วนสำหรับนำไปหุ้ม ลักษณะมีสีเหลืองดำ (ส่วนคาร์บอนไฟเบอร์ เส้นใยจะมีสีเทาดำ ซึ่งมีคุณลักษณะคล้ายกัน)

ที่สำคัญ หากรถกระบะแต่งซิ่งของใครไปใส่ชิ้นส่วนเคฟลาร์แล้ว โดยเฉพาะฝากระโปรงหน้าและแก้มข้างตัวรถ ที่เป็นจุดสนใจของตำรวจ ก็อย่างลืมไปแจ้งเปลี่ยนใช้รถ 2 สี ลงเล่มทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกด้วยนะครับ จะได้ไม่โดนตำรวจเล่นกันบ่อยๆ

10 ไอเทมกระบะแต่งซิ่ง ขวัญใจวัยรุ่น

2. ล้อแม็ก

ล้อแม็ก เป็นอะไรที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับรถกระบะแต่งซิ่ง ซึ่งช่วยให้รถของคุณดูดีดูเท่ ปัจจุบันล้อแม็กก็มีออกมาจำหน่ายมากมายสารพัดสำนัก มีทั้งของจริงและของปลอมที่ไม่ได้มาตรฐาน ส่วนใหญ่มักจะมีขนาดตั้งแต่ 16-18 นิ้ว

ซึ่งล้อแม็กกระบะซิ่ง ปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลายแบรนด์ อาทิ Lenso (เลนโซ่) (มีแยกย่อยออกเป็นอีกหลายรุ่น ได้แก่ Project-D, Vizion, Venom หรือ Samurai เป็นต้น), PP Superwheels (พีพี ซุปเปอร์วีลส์) (มีแยกย่อยออกเป็นอีก 3 รุ่น ได้แก่ Force, Naya และ Valenza), Cosmis (คอสมิค), Rays (เรย์), SSW (เอสเอสดับบลิว) หรือ Yachiyoda (ยาซิโยดา) เป็นต้น

10 ไอเทมกระบะแต่งซิ่ง ขวัญใจวัยรุ่น

3. สติ๊กเกอร์

สติ๊กเกอร์ติดรถ เป็นอีกหนึ่งของยอดนิยมสำหรับกระบะซิ่ง ซึ่งมีให้เลือกมากมายสารพัด และถ้าใครอยากได้แบบไม่เหมือนใคร จะสั่งทำที่ร้านสติ๊กเกอร์ก็ได้เช่นกัน

ซึ่งส่วนใหญ่มักจะนิยมการเล่นคำ แนวกวนๆ หน่อย หรือคำคมติดตลก หรือเป็นสติ๊กเกอร์ของชื่อกลุ่ม เป็นต้น

10 ไอเทมกระบะแต่งซิ่ง ขวัญใจวัยรุ่น

4. โหลดเตี้ย / เปลี่ยนเพลา

ส่วนใหญ่แล้วรถกระบะซิ่งมักดัดแปลง ทั้งเพื่อการใช้งานหรือแต่งสวยๆ โดยการเปลี่ยนเพลาท้ายเป็นเพลาลอย หรือเสริมแหนบ สำหรับรถกระบะ (หรือรถคอก) ที่ต้องรับน้ำหนักเยอะๆ เทียบชั้นรถ 6 ล้อได้ จนท้ายกระบะสูงโด่ง พร้อมกับเปลี่ยนล้อหลังเป็นล้อเหล็ก และยางหลังให้หนาขึ้น รองรับแรงกระแทก วิ่งบนทางลูกรังได้สบายๆ ใช้งานได้จนลืม

หรือโหลดเตี้ย สำหรับรถกระบะสายแต่ง ซึ่งก็มีตั้งแต่การเปลี่ยนสปริงแต่ง เปลี่ยนโช๊คอัพ การคลายน็อตทอร์ชั่นบาร์ ให้รถเตี้ยลง และใส่ยางกันกระแทกแบบซิ่ง ส่วนด้านหลังก็มีทั้งการชักแหนบ ดัดแหนบ รองแหนบ เพื่อลดความกระด้างเวลาขับ

10 ไอเทมกระบะแต่งซิ่ง ขวัญใจวัยรุ่น

5. เกจ์วัด

เกจ์วัด หรือ Meter ภายในรถกระบะซิ่ง ก็จัดเป็นอะไรที่ขาดไม่ได้ เพราะช่วยเสริมบรรยากาศ เหมือนขับรถอยู่ในสนามแข่ง ซึ่งก็มีให้เลือกกันหลายยี่ห้อ ตั้งแต่ยี่ห้อโนเนมไปจนถึงดังๆ อย่าง Defi (ดิฟฟี่), Greddy (เกรดดี้), HKS (เอชเคเอส), Auto Meter (ออโต้ มิเตอร์) และ Apexi (เอเพ็กซ์) เป็นต้น

โดยเกจ์วัดที่เพิ่มขึ้นแต่ละอัน ก็มีทั้งมาจากการโมดิฟายเครื่องยนต์ ใช้ดูค่าต่างๆ ของเครื่องยนต์ เช่น เกจ์แรงดันเทอร์โบ, เกจ์วัดความร้อน, เกจ์วัดโวลท์, วัดอุณหภูมิน้ำมันเครื่อง หรือน้ำมันเบนซิน เป็นต้น

10 ไอเทมกระบะแต่งซิ่ง ขวัญใจวัยรุ่น

ภาพจาก กล่องดันราง ออนเทค Remap & อะไหล่แต่ง

6. กล่องรีแมพ / กล่องดันราง

เพื่อเพิ่มความแรงของกระบะซิ่ง หลายคันจึงนิยมไปจูนกล่อง ECU เดิม ด้วยการตั้งโปรแกรมและการทำงานเครื่องยนต์ใหม่ ให้แรงม้าและแรงบิดเพิ่มขึ้น ซึ่งการ Remap ECU จะทำให้รถดูลื่นไหลขึ้น เพิ่มกำลังเครื่องยนต์ จากการตั้งค่าปริมาณอัดอากาศให้เข้ากระบอกสูบได้มากขึ้น เป็นต้น

ส่วนกล่องดันราง (กล่อง Piggybag) ที่นิยมนำมาต่อพ่วงเข้ากับกล่องหลัก หรือกล่อง ECU เดิมติดรถ เพื่อช่วยในการเพิ่มแรงดันในระบบการฉีด หรือจ่ายน้ำมัน ในรถที่ใช้ระบบจ่ายน้ำมันแบบคอมมอนเรล ช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานดีขึ้นกว่าเดิม เผาไหม้ดีขึ้น แรงขึ้น และประหยัดน้ำมันเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งบางคันยังมีการไปอุด EGR เพิ่มด้วยก็มี

10 ไอเทมกระบะแต่งซิ่ง ขวัญใจวัยรุ่น

ภาพจาก 29 AutoRace

7. เบาะรถซิ่ง

เบาะรถซิ่ง เบาะรถแต่ง หรือเบาะ Bucket Seat ช่วยให้การนั่งขับขี่ได้กระชับขึ้น สวย เท่

ซึ่งในบ้านเราก็มีทั้งของทำเองโนเนม และก็มีทั้งแบรนด์ดังๆ นำเข้าจากต่างประเทศ ราคาหลักพันหลักหมื่น แต่มาตรฐานความแข็งแรง คุณภาพวัสดุก็ต่างกันไปตามราคา และมีหลากหลายยี่ห้อ อาทิ Recaro (เรคคาโร่), Bride (บรายด์), Sparco (สปาโก้), Kirkey (เคอกี้) หรือ OMP (โอเอ็มพี) เป็นต้น

เบาะนั่งที่ดีต้องกระชับสรีระ มีปีกมุมโอบรับสรีระ นั่งแล้วไม่ปวดหลัง เริ่มจากด้านล่างที่ช่วงต้นขาทั้งสองข้างซ้าย-ขวา มีปีกรองรับเอาไว้ กับส่วนเอวไปจนถึงใต้รักแร้ก็จะมีปีกยื่นออกมาทั้งสองข้าง เพื่อรองรับร่างกายส่วนบน และบริเวณบนอีกคือส่วนหัวไหล่ก็จะมีปีกยื่นออกมาอีกเช่นกัน มีทั้งแบบปรับเอนได้และปรับไม่ได้ (หรือเบาะหลังแข็ง) พร้อมสายสำหรับร้อยเข็มขัดนิรภัย

10 ไอเทมกระบะแต่งซิ่ง ขวัญใจวัยรุ่น

ภาพจาก ด๊อกเตอร์ เพลง

8. ถังไนตรัส

ถังไนตรัส NOS (หรือ Nitrous Oxide Systems) นิยมติดรถกระบะซิ่งเพิ่มพลังเครื่องยนต์ให้รถคุณได้อย่างมหาศาล การติดตั้งมี 2 แบบ นั่นคือ Dry systems ยิงก๊าซเข้าห้องเผาใหม้เพียงอย่างเดียว โดยปรับแต่งกล่อง ECU ให้ฉีดน้ำมันเพิ่มร่วมด้วย และ Wet systems ยิงก๊าซไปพร้อมกันน้ำมัน โดยต่อพ่วงมายังโซลินอยด์

ซึ่งก๊าซไนตรัสในถังจะถูกฉีดพ่นเป็นไนโตรเจนไอเย็นไปที่ห้องเครื่อง ช่วยลดอุณหภูมิ และเพิ่มอัตราการเผาไหม้ ทำให้การจุดระเบิดแรงขึ้น วิ่งเร็วขึ้นได้ในพริบตา

แต่ข้อเสียก็มีอยู่เช่นกัน นั่นคือ NOS ยิงติดต่อกันได้นานๆ ไม่ได้ เพราะความร้อนในเครื่องยนต์อาจจะสูงจนเครื่องพังได้ โดยเครื่องยนต์ที่จะติดตั้ง NOS ควรมีการโมดิฟาย ลูกสูบ ข้อเหวี่ยงและชิ้นส่วนต่างๆ ให้รองรับความร้อนได้มากๆ ไปด้วย

10 ไอเทมกระบะแต่งซิ่ง ขวัญใจวัยรุ่น

ภาพจาก Songpol X BAR อะไหล่ซิ่ง Shop

9. Roll Bar หรือ X-Bar

Roll Bar (โรลบาร์) หรือ X-Bar (เอ็กซ์บาร์) ที่รถกระบะแต่งซิ่งนิยมติดตั้งกันในรถ หรือบริเวณท้ายกระบะรถ (ค้ำซิ่ง) โดยมากแล้วจะใช้วัสดุที่ทำจากไทเทเนียม หรืออะลูมิเนียม เพราะมีน้ำหนักเบา ไม่เป็นสนิม

ซึ่งในส่วนของ X-Bar เรียกตามลักษณะของบ้องใหญ่ๆ 2 อันที่ไขว้กันครับ นอกจากนั้นยังมีทั้งแบบ C-Bar หรือ V-Bar เป็นต้น

นอกจากจะเพิ่มความสวยงามแล้ว ยังช่วยให้ลดการบิดตัวของตัวถังรถจากแรงบิดต่างๆ และช่วยในการทรงตัวเวลารถเข้าโค้ง เพราะน้ำหนักจะถูกกระจายลงไปสู่ช่วงล่างโดยตรง รถจึงทรงตัวดีขึ้น ไม่เหวี่ยง และเพิ่มความปลอดภัยกรณีโดยชนที่ห้องโดยสารด้วยครับ

10 ไอเทมกระบะแต่งซิ่ง ขวัญใจวัยรุ่น

ภาพจาก Star Like อะไหล่ซิ่ง

10. ท่อไทเทเนียม

ชิ้นส่วนสำคัญของกระบะซิ่ง ที่สายซิ่งมักนิยมท่อแต่งด้วยท่อไทเทเนียมทั้งในห้องเครื่อง และปลายท่อไอเสียรถ เพราะจากสีสันสีเทาขาวมัน ตัดกับรอยไหม้และสีน้ำเงิน (หรือท่อสีรุ้ง) ที่ดูเร้าใจนั่นเอง แถมท่อไทเทเนียม ยังช่วยระบายความร้อนได้ดีอีกด้วย แม้ว่าจะมีราคาสูงหน่อยก็ตาม

10 ไอเทมกระบะแต่งซิ่ง ขวัญใจวัยรุ่น

ซึ่งใครที่กำลังมองหารถกระบะซิ่งแนวๆ นี้อยู่ Carro เรามีให้คุณเลือกมากมายหลายรุ่นเลยครับ สนใจสามารถเลือกชม เลือกซื้อกันได้ตาม Link นี้เลยครับผม “เลือกรถกระบะแต่งสวย แต่งซิ่ง กับ Carro”

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์คันใหม่ มาขายรถกับทาง Carro Express สิ! คลิกเลยที่ https://th.carro.co/sell-car/express รับรองได้เงินเร็ว ไว ทันใจแน่นอน!

Carro Automall ตลาดรถ

ส่วนใครสนใจจะซื้อรถมือสอง Carro แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ คุณสามารถจองรถได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น! พร้อมคำนวณสินเชื่อและค่างวด ได้ภายในเว็บไซต์ทันที!

ซึ่ง Carro เรามีรถให้คุณเลือกมากมาย รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพโดย Carro Certified อย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 160 จุด, การันตีคืนเงินภายใน 5 วัน, รับประกันเครื่องยนต์และเกียร์ 1 ปี, รับประกันไม่กรอไมล์ และไม่ประสบอุบัติเหตุหนัก ไฟไหม้ หรือน้ำท่วม พร้อมรับประกันคุณภาพรถ 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร!

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” เลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา รวมถึงมีเทคโนโลยีสนับสนุนฝ่ายขาย ทั้ง Digital Device ที่เชื่อมต่อกับ Digital Screen นำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และจัดการเรื่องเอกสารให้กับลูกค้าให้ตั้งแต่ต้นจนจบ บวกกับ Online Viewing Service ที่ลูกค้าสามารถวิดีโอคอล ตรวจสภาพรถยนต์คันที่สนใจได้แบบเรียลไทม์ ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ Carro สิ!

หรือถ้าหากคุณสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงกรอกชื่อ-เบอร์โทรศัพท์ และรถที่คุณสนใจ ไว้ที่ “รับการแจ้งเตือน” เมื่อมีรถที่คุณต้องการ Carro จะรีบติดต่อไปยังคุณทันที สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> Carro Thailand โทร. 02-460-9380 หรือทาง Line @carrothai

10 อุปกรณ์ที่ต้องมีติดรถแคมป์ปิ้ง!

ทุกวันนี้ กระแส “แคมป์ปิ้ง” กำลังกลับมายอดฮิตอีกครั้ง แถมยังเป็นทางเลือกใหม่ของการท่องเที่ยวในช่วงโควิด-19 ระบาด เพราะได้ความเป็นส่วนตัว ในช่วงวันหยุดยาว ไม่ต้องเสี่ยงเจอผู้คนเยอะๆ หรือสถานที่พักที่ไม่แน่ใจในเรื่องของสุขลักษณะก็ตาม

ซึ่งการตั้งแคมป์ของคนไทยนั้นนิยมกันในทุกฤดู ไม่หวั่นแม้แต่หน้าฝนก็ตาม จนเป็นที่มาของงาน Event หลากหลายแห่งที่ต้องจัด มุมเอาใจคนชอบการท่องเที่ยวสายแคมป์ปิ้งกันบ้างล่ะ

10 อุปกรณ์ที่ต้องมีติดรถแคมป์ปิ้ง!

การตั้งแคมป์นั้นเป็นที่ถูกใจของใครต่อใครหลายคน เพราะไปออกไปสัมผัสกับชีวิตที่ติดดิน ตั้งเต็นท์ นอนดูดาว ดูท้องฟ้า หรือฟังเสียงคลื่นในยามค่ำคืนในจุดที่ไร้แสงสี หรือใช้รถยนต์ส่วนตัว เป็นที่นอนเคลื่อนที่ได้

แต่อุปกรณ์ติดรถแคมป์ปิ้งนี่ก็สำคัญไม่แพ้กัน Mr.Carro จะมาแนะนำ 10 อุปกรณ์ที่ต้องมีติดรถแคมป์ปิ้ง! ที่ก่อนออกเดินทางต้องมีไว้ติดรถครับ

10 อุปกรณ์ที่ต้องมีติดรถแคมป์ปิ้ง!

1. กระเป๋าสะพาย

กระเป๋าสะพาย จัดเป็นอุปกรณ์ที่ขาดไม่เลยสำหรับการเดินทาง มีติดรถไว้ก็ดี เพราะไว้สำหรับใส่สิ่งของจำเป็นต่างๆ ระหว่างออกไปเดินทาง ควรเลือกขนาดกระเป๋าเท่าที่จำเป็น วัสดุกระเป๋าที่กันน้ำ ทนทาน (สามารถสะพายของหนักๆ ได้ โดยที่สายสะพายไม่ยืด หรือขาด)

และกระเป๋าที่ควรเลือกใช้ไปแคมป์ปิ้ง ควรมีสายรัด 3 จุด ได้แก่ สายรัดช่วงอก, สายรัดสะโพก และสายปรับขยายกระเป๋า ซึ่งจะช่วยลดแรงกดที่ปริเวณสะโพกได้เป็นอย่างดี น้ำหนักกระเป๋ากระจายอย่างสมดุล เพื่อไม่ให้ปวดหลังปวดเอวถ้าต้องสะพายนานๆ

2. ไฟฉาย

ไฟฉายจัดเป็นอุปกรณ์สามัญที่สำคัญมากๆ ทุกการเดินทาง สำหรับไว้ทั้งติดตัว และติดรถ ไว้ใช้นำทาง หรือหาของตอนกลางคืน

ซึ่งไฟฉายที่เหมาะสำหรับการไปตั้งแคมป์ ก็ควรเป็นไฟฉายแรงสูง หรือไฟฉาย LED ที่ส่องสว่าง ส่องได้ไกลครับ

10 อุปกรณ์ที่ต้องมีติดรถแคมป์ปิ้ง!

3. เต็นท์

ขาดสิ่งนี้ไปไม่ได้เลยหากไปแคมป์ปิ้ง นั่นคือ “เต็นท์” ซึ่งเต็นท์ก็มีอยู่หลากหลายแบบ ตั้งแต่แบบตั้งกับพื้น (เต็นท์สนาม) แบบพกพาติดตัวไปได้ เหมาะสำหรับในฤดูร้อนหรือฤดูหนาว ถ้าในฤดูฝนใช้งานไม่สะดวกนัก เพราะต้องระวังน้ำท้วม ฝนตกหนัก พื้นที่เฉอะแฉะ สัตว์เลื้อยคลาน หรือสัตว์มีพิษอีก

ส่วนเต็นท์ติดหลังคารถยนต์ เหมาะสำหรับคนที่ชอบขับรถออกท่องเที่ยวบ่อยๆ ในทุกฤดู ก็ควรเลือกใช้เต็นท์หลังคารถ เพราะใช้งานได้สะดวกและปลอดภัยกว่า และรองรับน้ำหนักได้มาก ใช้งานได้ทุกฤดู และมีให้เลือกหลากหลายแบบ ทั้งหลังคาแบบแข็ง แบบอ่อน ทรงสั้น ทรงยาว (ซึ่งเราจะมากล่าวถึงในตอนต่อไปครับ)

เต็นท์ที่ดีต้องกันน้ำ กันแดด (กันแสง UV) กันฝนได้ รวมไปถึงระบายอากาศได้ดี เมื่อพับเก็บแล้วมีขนาดเล็ก แบกง่าย (กรณีเต็นท์สนาม) ซึ่งเต็นท์ทั้ง 2 ประเภทนี้ ควรเลือกขนาดใหญ่กว่าจำนวนคนนอน เพราะจะได้มีที่วางสัมภาระด้วย ราคาก็มีตั้งแต่ไม่ถึงพันบาท ไปจนถึงหลักหลายหมื่นบาท

4. รองเท้าเดินป่า

อันนี้สำหรับสายลุยป่า เพราะรองเท้าเดินป่าจะช่วยให้คุณเดินได้อย่างสบายเท้า ซึ่งรองเท้ายังเดินป่ายังแบ่งออกได้เป็นทั้งแบบ Backpacking หรือแบบ Hiking

คุณสมบัติที่ดีของรองเท้าเดินป่านั้น ควรเป็นรองเท้าที่รองรับแรงกระแทกได้ มีพื้นหนา แข็ง ช่วยล็อคเท้าให้อยู่กับที่ และกระจายแรงกดไปทั่วฝ่าเท้า ลดการปวดเท้าเวลาเมื่อต้องเดินไกลๆ ผลิตจากวัสดุอย่างดี ใส่แล้วเท้าไม่เหม็น เป็นต้น

10 อุปกรณ์ที่ต้องมีติดรถแคมป์ปิ้ง!

5. เครื่องครัวสนาม

แน่นอนว่าการขับรถไปตั้งแคมป์ การทำอาหารการกินคงไม่สะดวกแน่ หากเราไม่มีเครื่องครัวสนาม ซึ่งควรเน้นที่มีขนาดกะทัดรัด พร้อมทั้งชุดเตาแก๊สพกพา

ส่วนอาหารการกินนั้น หากต้องเดินทางกันไปหลายวัน ก็ควรนำอาหารแห้งที่มีน้ำหนักเบาไป มากกว่าอาหารสด และน้ำดื่มก็สำคัญ หากรถคันใดที่มีพื้นที่มากพอ ก็สามารถตุนน้ำขวดไปได้เยอะ หรือพกกระติกน้ำติดตัวไว้ก็ได้เช่นกัน

6. ไฟแช็ค / มีดพับ

ไฟแช็ค สามารถใช้ก่อกองไฟหุงอาหาร และสร้างความอบอุ่น รวมถึงป้องกันสัตว์ในยามกลางคืนได้ ส่วนมีดพับอเนกประสงค์ หรือมีดสวิส มีไว้ใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย เช่น ปอกผลไม้ ตัดเชือก หรือป้องกันตัว เป็นต้น

10 อุปกรณ์ที่ต้องมีติดรถแคมป์ปิ้ง!

7. ชุดปฐมพยาบาล

ชุดปฐมพยาบาลเบื้องต้น มีความสำคัญหากเกิดอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ ขึ้นมา และควรมี แอลกอฮอลล์ รวมถึงสเปรย์กันยุง และแมลงต่างๆ ด้วย ส่วนผู้ที่มีโรคประจำตัว ควรนำยาที่ใช้เป็นประจำติดตัวไปด้วย

8. พลาสติกกันเปื้อน

บางพื้นที่ที่คุณขับรถไปตั้งแคมป์ อาจจะเกิดฝนตก หรือน้ำขัง ก็สามารถใช้พลาสติกกันเปื้อนปูรองพื้นวางเพื่อใช้นั่ง วางของ หรือใช้บังฝนได้

10 อุปกรณ์ที่ต้องมีติดรถแคมป์ปิ้ง!

9. อุปกรณ์นำทาง / แบตเตอรี่พกพา

แม้ว่าในปัจจุบันนี้ เราจะมีเทคโนโลยีนำทาง แผนที่ทั้งในรถยนต์ ในสมาร์ทโฟน หรือมีช่องชาร์จไฟสำรองในรถยนต์แล้ว

แต่ถ้ามีแผนที่ เข็มทิศ และแบตเตอรี่พกพา (ทั้ง Power Bank และ Power Box) ติดตัวไว้ระหว่างเดินทาง ก็จะช่วยให้การเดินป่าช่วงตั้งแคมป์ วางแผนการเดินทางได้ถูกต้องยิ่งขึ้น และมีพลังงานสำรองใช้ชาร์จโทรศัพท์ ต่อไฟ ต่อพัดลมได้ครับ

10. สลิงลากรถ

ทุกการเดินทางเราอาจคาดไม่ถึง ว่าหากรถเกิดเสีย หรือติดหล่มในป่า ตกบ่อโคลน หรือข้ามลำธารเมื่อไหร่ ต้องลำบากแค่ไหนในการตามคนมาช่วย และลากออกมา ถ้ารถยนต์ที่มีติดตั้งวินซ์เพลา หรือวินซ์ไฟฟ้าไว้ก็โชคดีไป แต่รถคันไหนถ้าไม่มี ก็ควรมีสลิงลากรถติดไว้สักเส้นก็ยังดี

วัสดุที่นำมาใช้ทำสลิงลากรถนั้น มาจากลวดสลิง ซึ่งเป็นเชือกประเภทหนึ่งประกอบไปด้วยมัดของเส้นลวดโลหะที่บิดเป็นเกลียว ในสมัยก่อนใช้เหล็กคาร์บอนต่ำ เหล็กอ่อน (Wrought Iron) ในการผลิต ปัจจุบันพัฒนามาจากโซ่เหล็ก ที่ทนแรงเสียดทานจากการบิดเกลียว รับแรงดึง รับน้ำหนักได้มาก แข็งแรง ทนทาน ใช้งานได้นาน

10 อุปกรณ์ที่ต้องมีติดรถแคมป์ปิ้ง!

สำหรับรถยนต์ยอดนิยมในการนำไปแคมป์ปิ้งนั้น ก็จะเป็นรถยนต์ประเภท Crossover SUV, SUV, MPV, PPV, หรือรถตู้ ซึ่ง Carro ก็มีรถยอดนิยมในการตั้งแคมป์ปิ้งให้เลือกด้วยกันหลายรุ่น อาทิ Toyota Fortuner (โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์), Toyota Innova (โตโยต้า อินโนว่า), Nissan Terra (นิสสัน เทอร์ร่า), Honda BR-V (ฮอนด้า บีอาร์วี), Honda CR-V (ฮอนด้า ซีอาร์วี), Isuzu MU-X (อีซูซุ มิว-เอ็กซ์) หรือ Ford Everest (ฟอร์ด เอเวอเรสต์) เป็นต้น

หรือรถกระบะ เราก็มีให้เลือกเช่นกัน อาทิ Toyota Hilux Revo (โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่), Nissan Navara (นิสสัน นาวาร่า), Mitsubishi Triton (มิตซูบิชิ ไทรทัน), Isuzu D-Max (อีซูซุ ดีแม็คซ์), Mazda BT-50 (มาสด้า บีที-50) และ Ford Ranger (ฟอร์ด เรนเจอร์) เป็นต้น

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์คันใหม่ มาขายรถกับทาง Carro Express สิ! คลิกเลยที่ https://th.carro.co/sell-car/express รับรองได้เงินเร็ว ไว ทันใจแน่นอน!

Carro Automall ตลาดรถ

ส่วนใครสนใจจะซื้อรถมือสอง Carro แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ คุณสามารถจองรถได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น! พร้อมคำนวณสินเชื่อและค่างวด ได้ภายในเว็บไซต์ทันที!

ซึ่ง Carro เรามีรถให้คุณเลือกมากมาย รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพโดย Carro Certified อย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 160 จุด, การันตีคืนเงินภายใน 5 วัน, รับประกันเครื่องยนต์และเกียร์ 1 ปี, รับประกันไม่กรอไมล์ และไม่ประสบอุบัติเหตุหนัก ไฟไหม้ หรือน้ำท่วม พร้อมรับประกันคุณภาพรถ 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร!

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” เลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา รวมถึงมีเทคโนโลยีสนับสนุนฝ่ายขาย ทั้ง Digital Device ที่เชื่อมต่อกับ Digital Screen นำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และจัดการเรื่องเอกสารให้กับลูกค้าให้ตั้งแต่ต้นจนจบ บวกกับ Online Viewing Service ที่ลูกค้าสามารถวิดีโอคอล ตรวจสภาพรถยนต์คันที่สนใจได้แบบเรียลไทม์ ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ Carro สิ!

หรือถ้าหากคุณสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงกรอกชื่อ-เบอร์โทรศัพท์ และรถที่คุณสนใจ ไว้ที่ “รับการแจ้งเตือน” เมื่อมีรถที่คุณต้องการ Carro จะรีบติดต่อไปยังคุณทันที สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> Carro Thailand โทร. 02-460-9380 หรือทาง Line @carrothai

รถยนต์ไฟฟ้า มีขึ้นในโลกกว่า 140 ปี!

ในเวลานี้ยุคที่น้ำมันราคาแพงไปทั่วโลก ส่งผลให้ “รถยนต์ไฟฟ้า” ที่กำลังบูมในตลาดโลกมาอย่างต่อเนื่องเมื่อหลายปีที่ผ่านมา ยิ่งมาแรงไปกว่าเดิมอีก! เนื่องจากการชาร์จไฟรถยนต์ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้มาก สะอาด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่ผู้คนทั่วโลกต่างเปิดใจยอมรับ และรัฐบาลแต่ละประเทศผลักดันเป็นนโยบายเร่งด่วนให้ทุกค่ายรถต้องผลิตรถ EV ขายเป็นหลักในอนาคต

แต่คุณทราบหรือไม่ว่า รถยนต์ไฟฟ้า มีต้นกำเนิดในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเลย เพื่อทดแทนจากใช้รถม้า นั่นคือย้อนไปเมื่อประมาณ 140 ปีก่อน กับจุดเริ่มต้นที่น่าสนใจ ที่คนสนใจประวัติรถยนต์ไฟฟ้า ต้องไม่พลาด!

Mr.Carro จะมาเล่าให้ฟัง ถึงประวัติรถยนต์ไฟฟ้า และรถยนต์ไฟฟ้าคันแรกของโลกกันครับ

Gustave Trouve รถยนต์ไฟฟ้า Tricycle

Gustave Trouve กับรถยนต์ไฟฟ้า 3 ล้อ

หลังจากการคิดค้นแบตเตอรี่เพื่อเก็บพลังงานไฟฟ้าได้ และมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อการขับเคลื่อน จากนักประดิษฐ์หลายคน …

รถยนต์ไฟฟ้าที่พัฒนาขึ้นมาครั้งแรกของโลก เกิดขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1881 โดย Gustave Trouve นักประดิษฐ์ชาวฝรั่งเศส ได้นำเสนอรถยนต์ไฟฟ้า ที่สร้างมาในรูปแบบของรถ 3 ล้อ (Tricycle) ภายในงานแสดงสินค้านานาชาติ International Electrical Exhibition ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส แต่เป็นเพียงการโชว์เท่านั้น

Thomas Parker รถยนต์ไฟฟ้า

Thomas Parker กับรถยนต์ไฟฟ้า

ต่อมาในปี ค.ศ. 1884 Thomas Parker วิศวกรไฟฟ้า และนักประดิษฐ์ชาวอังกฤษ ที่ได้ชื่อว่าเป็น “The Edison of Europe” ผู้พัฒนาระบบไฟฟ้าของรถไฟใต้ดินของกรุงลอนดอน และสายไฟสำหรับรถรางไฟฟ้าในเมือง Liverpool และ Birmingham ได้สร้างรถยนต์ไฟฟ้าแบบชาร์จได้จากแบตเตอรี่ที่ออกแบบเอง ในเมือง Wolverhampton ประเทศอังกฤษ แต่รถยนต์ไฟฟ้าคันนี้ ก็เหลือแค่เพียงหลักฐานที่เป็นรูปถ่ายจากในปี 1895 เท่านั้น

นับได้ว่า อังกฤษ และฝรั่งเศส เป็นสองชาติที่กระตุ้นให้เกิดการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าอย่างกว้างขวาง จนถึงข้ามฝั่งไปยังสหรัฐอเมริกาด้วย

Andreas Flocken รถยนต์ไฟฟ้า Flocken Elektrowagen

Andreas Flocken กับรถยนต์ไฟฟ้า Flocken Elektrowagen

ในปี ค.ศ. 1888 Andreas Flocken นักประดิษฐ์ชาวเยอรมัน ได้ออกแบบรถยนต์ไฟฟ้าที่มีชื่อว่า Flocken Elektrowagen ซึ่งรถคันนี้ถูกจัดว่าเป็น “รถยนต์ไฟฟ้าคันแรกของโลก” ที่แท้จริง และยังมีของจริงคันเป็นๆ เหลืออยู่ ตัวรถให้กำลัง 0.9 กิโลวัตต์ (1 แรงม้า) วิ่งได้ด้วยความเร็วสูงสุด 15 กม./ชม. บนน้ำหนักตัวรถ 400 กิโลกรัม

รถแท็กซี่ไฟฟ้าใน New York และ London

ยุคทองของรถยนต์ไฟฟ้า

ในช่วงปี 1890 – 1900 นับได้ว่าเป็น “ยุคทอง” ของรถยนต์ไฟฟ้าช่วงเริ่มต้นเลยทีเดียว มีผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเริ่มเกิดขึ้นอย่างมาก ทั้งจากฝั่งยุโรปและฝั่งอเมริกา

โดยในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ยังมีการนำรถยนต์ไฟฟ้า มาใช้งานจริงด้วยการทำเป็นรถแท็กซี่ให้บริการอีกด้วยในปี 1897 เพื่อทดแทนรถม้า และในปีเดียวกัน ก็มีบริษัท Samuel’s Electric Carriage and Wagon Company เริ่มต้นให้บริการรถม้าไฟฟ้า (Hansom Cabs) ในเมือง New York ประเทศสหรัฐอเมริกา

ด้วยข้อดีของรถยนต์ไฟฟ้า ที่ไม่ต้องสตาร์ท ไม่ต้องเข้าเกียร์ ไม่มีควันไอเสีย และเงียบ ไม่สั่นสะท้าน เหยียบคันเร่งอย่างเดียวคล้ายรถ EV ในยุคนี้ จึงเป็นการใช้งานที่สะดวกสบายกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันในยุคนั้น (เพราะต้องหมุนเครื่องยนต์ด้านหน้ารถเพื่อสตาร์ท เครื่องยนต์เสียงดัง กลิ่นน้ำมันที่แรงกว่าน้ำมันยุคนี้ และเกียร์ที่เข้าค่อนข้างยาก) หรือรถยนต์พลังไอน้ำ (ที่ต้องใช้เวลาอุ่นเครื่องนานมาก กว่าจะขับออกไปได้ และน้ำหนักรถเยอะ เพราะต้องบรรทุกน้ำไปด้วย)

ประวัติรถยนต์ไฟฟ้า มีขึ้นในโลกกว่า 140 ปี!

ขาลงของรถยนต์ไฟฟ้า (ยุคแรก)

รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน (Internal Combustion Engine) เป็นเชื้อเพลิง เริ่มพัฒนาให้สามารถวิ่งได้ไกล เร็ว และสะดวกสบายในการใช้งานที่มากขึ้น ด้วยมอเตอร์สตาร์ทเครื่องยนต์ ทำให้รถยนต์ที่ใช้น้ำมัน เริ่มได้รับความนิยมและเข้ามาแทนที่รถยนต์พลังงานไฟฟ้า ที่ในเวลานั้นรถยนต์ไฟฟ้ายังทำความเร็วได้ไม่มาก (เฉลี่ย 24 – 32 กม./ชม.) และระยะทางในการวิ่งที่ไม่เยอะ (เฉลี่ย 50 – 65 กิโลเมตร ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง) ใช้งานได้แค่ในเมืองมากกว่า

การสร้างถนนออกนอกเมืองมากขึ้น ย่นเวลาการเดินทางได้มากขึ้น รถยนต์ไฟฟ้าซึ่งมีขีดจำกัดในการเดินทางไกลๆ ส่วนแบตเตอรี่ในยุคนั้น ก็ไม่สามารถเก็บพลังงานไว้ใช้เดินทางระยะไกลได้ รถยนต์ไฟฟ้าเลยเสื่อมความนิยมลง

ยุคท้ายสุดของรถยนต์ไฟฟ้าช่วงแรก นั่นคือการที่ Henry Ford (เฮนรี่ ฟอร์ด) สามารถสร้างรถ Ford Model T ออกมาได้เป็นผลสำเร็จ และสามารถผลิตรถยนต์แบบ Mass Production สาารถผลิตรถยนต์ได้เป็นจำนวนมาก จนต้นทุนราคารถยนต์ลดลง จนเกิด Economies of Scales ที่คนทั่วไปจับต้องได้

ราคาของรถ Ford Model T อยู่ที่ 260 ดอลลาร์สหรัฐ แต่รถยนต์ไฟฟ้าอยู่ที่ราคา 1,750 ดอลลาร์สหรัฐ แพงกว่าโมเดล T เกือบ 7 เท่า!

รวมไปถึงการค้นพบน้ำมันในรัฐ Texas และ Okahoma ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน จึงส่งผลให้น้ำมันมีราคาถูกลงมาก คนนิยมใช้รถยนต์กันอย่างมหาศาล จนบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ต้องทยอยปิดตัวกันไป หรือไปทำกิจการอย่างอื่นแทน

รถยนต์ไฟฟ้า Tama Electric Car

หวนมาอีกครั้งในช่วงสั้นๆ

ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั่วโลกประสบปัญหาขาดแคลนน้ำมัน ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าได้ถูกนำมาทำตลาดกันอีกครั้ง จากผู้ผลิตต่างๆ เช่น Tachikawa Aircraft Company ประเทศญี่ปุ่น (ต่อมากลายเป็นบริษัท Prince Motor ก่อนถูกรวบกิจการโดย Datsun และ Nissan ในปี 1966)

ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า Tama Electric Car ที่พัฒนาโดย Tokyo Electro Automobile ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 3.3 กิโลวัตต์ และแบตเตอรี่แบบ Lead-Acid (40V/162Ah) ออกมาในปี 1947 เพื่อใช้มาทำเป็นรถแท็กซี่

รถยนต์ไฟฟ้า Henney Kilowatt

และในสหรัฐอเมริกา มีการนำเอา Renault Dauphine มาดัดแปลงเป็นรถยนต์ไฟฟ้าโดย Henney Kilowatt (เฮนนี่ กิโลวัตต์) ที่แต่เดิมคือบริษัท Henney Motor Company ร่วมกับทาง Eureka Williams จากนั้นได้เข้ามาเป็นบริษัทในเครือของ National Union Electric Co. ในปี 1953 ริเริ่มโครงการขึ้นโดย C. Russell Feldmann นำเอาแบตเตอรี่มาใส่ใน Renault Dauphine จำหน่ายในปี 1959 – 1960

ใช้ชุดมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 5.2 กิโลวัตต์ (7 แรงม้า) ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 3 สปีด โดยในรุ่นปี 1959 ติดตั้งแบตเตอรี่ขนาด 36V สามารถวิ่งได้ระยะทางถึง 64 กิโลเมตร เร่งได้เร็วกว่า 60 กม./ชม. ต่อมาในปี 1960 ปรับปรุงชุดแบตเตอรี่ใหม่เป็นขนาด 72V วิ่งได้ระยะทางไกลถึง 97 – 105 กิโลเมตร และทำความเร็วได้เกิน 90 กม./ชม.

ตัวรถสร้างขึ้นมาทั้งหมดเพียงแค่ 100 คัน แต่ขายได้แค่เพียง 47 คัน สนนราคา 3,600 ดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ Renault Dauphine ปกติ จำหน่ายในราคา 1,645 ดอลลาร์สหรัฐ

ซึ่ง Henney Kilowatt จัดได้ว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของโลก ที่ผลิตในระบบ Mass Production

ประวัติรถยนต์ไฟฟ้า มีขึ้นในโลกกว่า 140 ปี!

ในยุค 70 -90 ก็มีผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่หลายเจ้า เช่น GM, GE, Ford, Toyota, Nissan, Honda, Mitsubishi, Mercedes-Benz, BMW หรือ Renault ก็เริ่มพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า ในรูปแบบรถยนต์ต้นแบบ หรือรถทดลองใช้งานจริง และ Tesla ก็มาเป็นผู้จุดประกายความโด่งดังให้รถยนต์ไฟฟ้าเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ในยุค 2000 จนเกิดผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ ขึ้นมามากมายในปัจจุบันครับ

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้ มาขายรถกับทาง Carro Express สิ! คลิกเลยที่ https://th.carro.co/sell-car/express รับรองได้เงินเร็ว ไว ทันใจแน่นอน!

Carro Automall ตลาดรถ

ส่วนใครสนใจจะซื้อรถมือสอง Carro แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ คุณสามารถจองรถได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น! พร้อมคำนวณสินเชื่อและค่างวด ได้ภายในเว็บไซต์ทันที!

ซึ่ง Carro เรามีรถให้คุณเลือกมากมาย รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพโดย Carro Certified อย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 160 จุด, การันตีคืนเงินภายใน 5 วัน, รับประกันเครื่องยนต์และเกียร์ 1 ปี, รับประกันไม่กรอไมล์ และไม่ประสบอุบัติเหตุหนัก ไฟไหม้ หรือน้ำท่วม พร้อมรับประกันคุณภาพรถ 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร!

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” เลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา รวมถึงมีเทคโนโลยีสนับสนุนฝ่ายขาย ทั้ง Digital Device ที่เชื่อมต่อกับ Digital Screen นำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และจัดการเรื่องเอกสารให้กับลูกค้าให้ตั้งแต่ต้นจนจบ บวกกับ Online Viewing Service ที่ลูกค้าสามารถวิดีโอคอล ตรวจสภาพรถยนต์คันที่สนใจได้แบบเรียลไทม์ ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ Carro สิ!

หรือถ้าหากคุณสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงกรอกชื่อ-เบอร์โทรศัพท์ และรถที่คุณสนใจ ไว้ที่ “รับการแจ้งเตือน” เมื่อมีรถที่คุณต้องการ Carro จะรีบติดต่อไปยังคุณทันที สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> Carro Thailand โทร. 02-460-9380 หรือทาง Line @carrothai

แหล่งที่มาบางส่วนจาก:

ยางอะไหล่สำคัญไหม ควรมีหรือไม่จำเป็น?

สวัสดีครับพบกับไทร์บิดออนไลน์เช่นเคย อยากมาพูดถึงเรื่องยางอะไหล่สักหน่อยเพราะเป็นตัวช่วยในยามฉุกเฉินที่ทำให้รถของเพื่อนๆยังวิ่งต่อไปได้แม้เจอสถานการณ์ฉุกเฉินที่ไม่คาดฝัน ซึ่งปัจจุบันเท่าที่ไทร์บิดพบเจอก็คือรถรุ่นใหม่ๆ ไม่ค่อยมียางอะไหล่มาให้เหมือนแต่ก่อน เพราะฉะนั้นเพื่อนๆควรทำอย่างไรกันบ้าง และ หากจะมียางอะไหล่ควรดูแลยังไงให้ถูกต้อง

ยางอะไหล่สำคัญไหม ควรมีหรือไม่จำเป็น?

ยางอะไหล่กับอุปกรณ์ปะยางฉุกเฉินใช้งานแตกต่างกันอย่างไร

รถรุ่นเก่าเกิน 10 ปีส่วนมากทุกคันจะให้ยางอะไหล่ไว้ในท้ายรถจากโรงงาน เผื่อใช้กรณีฉุกเฉินยางรถยนต์แตกเสียหายก็สามารถเปลี่ยนทดแทนและใช้งานรถต่อได้เลย แต่เนื่องด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ มากมายทำให้มีตัวยี่ห้อรถยนต์หลายๆค่ายใช้อุปกรณ์ที่ไว้สำหรับช่วยเหลือฉุกเฉินแทน แทนที่จะให้ยางอะไหล่ ซึ่งอุปกรณ์ปะยางฉุกเฉินก็จะมีหน้าที่เหมือนเป็นตัวยางที่อัดเข้าไปในท้องยางเพื่ออุดรอยรั่วแล้วก็อัดลมเข้าไปต่อก็จะสามารถวิ่งไปต่อได้ ซึ่งการใช้วิธีนี้สามารถใช้ได้เฉพาะยางรั่วโดนตะปูตำเท่านั้นละครับ แต่ถ้าเพื่อนๆ ยางระเบิดเสียหายแตกแก้มนี้คือหมดสิทธิ์ใช้อุปกรณ์นี้เลยนะครับ

เพื่อนๆ ต้องพึ่งพารถยก หรือ ต้องเรียก SOS ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงแน่ๆโดยเฉพาะเพื่อนๆที่วิ่งต่างจังหวัดค่อนข้างหายางอะไหล่ยากครับ ยิ่งเป็นไซส์ยางไม่ได้รับความนิยมหรือสั่งพิเศษยิ่งหายากเข้าไปอีก เพราะร้านยางมักจะสต๊อกเพื่อทำโปรโมชั่นยางรถขายดี ไซส์ยอดนิยมเป็นหลักครับ ดังนั้นผมคิดว่าการที่เพื่อนๆจะลงทุนซื้อยางอะไหล่ติดไว้ต่างหากก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่าครับ แต่อาจจะต้องทำใจเรื่องที่พกพานิดนึงเพราะรถรุ่นใหม่จะไม่มีที่วางยางอะไหล่ แล้วถ้าวางไว้ที่หลังรถเฉยๆก็จะส่งกลิ่นมาได้เพราะฉะนั้นถ้าเพื่อนๆมีติดไว้ก็อาจจะหา แรพมาพันไว้ก็ช่วยในเรื่องกลิ่นและคงสภาพสมบูรณ์ไว้ได้ดีขึ้นครับ

ยางอะไหล่สำคัญไหม ควรมีหรือไม่จำเป็น?

เครื่องเติมลมฉุกเฉิน อุปกรณ์สำคัญมีประโยชน์กว่าที่คิด

สรุป สำหรับไทร์บิดเองสำหรับเพื่อนๆที่ขับใน กรุงเทพและปริมณฑลหรือว่าระยะทางใกล้ๆในเมืองกรณีที่ไม่มียางอะไหล่ติดรถพอหาได้ร้านยางใกล้ๆได้ครับ แต่กรณีที่วิ่งทางไกลไทร์บิดของเรายังไงก็ยังคงแนะนำให้หาซื้อยางอะไหล่ติดรถไว้ครับ เพราะเครื่องมืออุปกรณ์ช่วยเหลือฉุกเฉินนั้นไม่สามารถช่วยเหลือได้ในทุกกรณี โดยเฉพาะในกรณีที่ยางแตกเสียหายครับ เกร็ดอีกนิดสำหรับเพื่อนๆที่มียางอะไหล่หรือไม่มียางอะไหล่ผมแนะนำว่าควรมีเครื่องเติมลมฉุกเฉินไว้ในรถครับ เพราะว่าอย่างน้อยยางเราอ่อนก็เติมลมได้เลย หรือยางอะไหล่ไม่มีลมก็เติมลมได้เช่นกันครับ

ยางอะไหล่สำคัญไหม ควรมีหรือไม่จำเป็น?

ยางอะไหล่จำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่ไหม และดูแลรักษาอย่างไรที่เหมาะสม

โอเครเรามาต่อกันที่การดูแลของยางอะไหล่แน่นอนครับยางอะไหล่ชื่อชัดเจนอยู่แล้วครับว่า ยางอะไหล่สำหรับใช้งานฉุกเฉินเท่านั้นไม่แนะนำให้ใช้ยาวๆดังนั้นแม้ว่ายางจะเก่าหน่อยก็ถือว่าใช้งานได้ครับ แต่ก็จะมีอายุของมันครับผม อย่างแรกเลยยางอะไหล่ที่อยู่หลังรถกรณีที่เติมลมอัดไว้ แนะนำว่าควรเปลี่ยนทุกๆ 5-7 ปีครับ แต่กรณีที่ไม่อัดลมไว้มีเครื่องเติมลมฉุกเฉินไว้ในรถก็ยืดอายุไปอีก 2-3 ปีครับ กรณีที่เราไม่ได้อัดลมให้เต็มก็จะทำให้โครงยางนั้นไม่ต้องทำงานหนักในการกักเก็บลมยางครับ จึงทำให้อยู่ได้นานครับ แล้วถ้าพอถึงอายุยางอะไหล่ก็เป็นสิ่งที่ควรเปลี่ยนใหม่ครับผมเหมือนสิ่งอื่นๆบนรถที่ต้องมีอายุการใช้งานของยาง แม้จะไม่ได้ใช้งานเลยตลอดอายุการใช้งานเลยก็ตามครับ

เห็นไหมครับว่าบางอย่างเป็นเรื่องของความปลอดภัยของเพื่อนๆเองเราก็ต้องดูแลตัวเองครับ ไม่ใช่ว่าเราซื้อรถมาเค้าไม่มีให้เราก็ปล่อยผ่านไม่เตรียมตัว เพื่อนๆเป็นคนใช้รถเองแนะนำว่าให้ห่วงเรื่องความปลอดภัยของเราเองให้มากที่สุดครับเพราะอุบัติเหตุนั้นเราไม่รู้เลยว่าจะเกิดเมื่อไหร่ โดยเฉพาะหากมีคนที่คุณรักอยู่บนรถของคุณด้วยแล้วเพื่อนๆยิ่งต้องเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมให้ครบครับ อีกนิดเดียวครับสิ่งที่ไทร์บิดอยากจะแนะนำคือก่อนขับรถออกจากบ้าน แนะนำว่าควรเดินดูรอบรถว่ายางของเราอยู่ในสภาพใช้งานหรือไม่ มีสภาพยางเสียหายบาดบวมไหม เพราะ การทำแบบนี้จะช่วยลดโอกาสยางเสียหายสูงถึง 50% เลยครับ

Tiresbid-Online แพลตฟอร์มเรื่องยางรถที่ดีที่สุด บริการอย่างมืออาชีพ

Tiresbid-Online แพลตฟอร์มเรื่องยางรถที่ดีที่สุด บริการอย่างมืออาชีพ

หากเพื่อนๆมีข้อสงสัยไม่รู้ว่าจะเลือกยางยี่ห้อไหนและช้อปเช็กยาง & นัดหมายออนไลน์ที่ https://tiresbid.com/home ได้เลยครับ เพราะเราเป็นเว็บจำหน่ายยางที่ดีที่สุดครับ มีแบรนด์สินค้าคุณภาพให้เลือกมากที่สุด และเพื่อนๆสามารถหาอ่านบทความรู้ยานยนต์และรีวิวยางรถยนต์ครอบคลุมการใช้งานมากที่สุดในประเทศ แถมไทร์บิดเรายังมีบริการผู้เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาอย่างเป็นกลาง ให้เพื่อนๆที่ต้องการสอบถามได้ยางที่เหมาะสมที่สุดผ่านทาง Line OA : @tiresbid (เติม@ด้วยนะครับ) เราเป็นตัวกลางยางมืออาชีพโปรโมชั่นยางรถพิเศษไทร์บิดมากมาย ให้บริการครบทุกรูปแบบ จุดบริการ เปลี่ยนถึงบ้าน จัดส่ง Fast Service ทุกรูปแบบการรับบริการนัดหมายล่วงหน้า ใช้เวลาเพียง 1 ชม.ในการรับบริการติดตั้งเปลี่ยนยาง ให้เรื่องยางรถของคุณง่ายยิ่งขึ้น ซื้อยางรถมั่นใจทุกครั้งที่ไทร์บิด วันนี้ก็ขอขอบคุณมากครับเพื่อนๆที่ติดตาม หากมีข้อสงสัยเลือกยางไม่ถูกสอบถามมาที่ไทร์บิดของเราได้เลยครับ วันนี้ขอบคุณมากครับ

รวมอัตราค่าเดินทางของคนกรุงเทพ

ระบบขนส่งสาธารณะในกรุงเทพ พร้อมใจกันขึ้นราคา เช็คราคาได้ที่นี่!

ทางเลือกการเดินทางของคนในเมืองกรุงนั้นมีมากมาย แต่ถ้าใครไม่มีรถยนต์ หรือมอเตอร์ไซค์ส่วนตัว คงต้องพึ่งบริการของรถสาธารณะในรูปแบบต่างๆ เพื่อโดยสารไปทำงาน หรือทำธุระต่างๆ ที่มีค่าใช้จ่ายสูง หรือถ้าถูกก็คุณภาพแย่ ใช้เวลาเดินทางนาน เสียเวลาและโอกาสในชีวิตไป

และตอนนี้ ปัญหาที่เกิดจากราคาน้ำมันแพง และภาวะเงินเฟ้อ ก็ทำให้ขนส่งสาธารณะในกรุงเทพมหานคร พร้อมใจกันปรับขึ้นราคาใหม่สูงขึ้นกันถ้วนหน้า ทำให้แต่ละคนมีภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางเพิ่มขึ้น เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า แม้บางคนจะพยายามลดค่าใช้จ่าย ด้วยการตื่นเช้าเผื่อเวลาการเดินทาง แต่ก็พบว่า “ค่าใช้จ่ายหมวดค่าเดินทาง” ยังสูงถึงเกือบ 30% ของรายได้

ดังนั้น Carro จะมา Update ค่าเดินทางของระบบขนส่งมวลชนทุกรูปแบบทั่วกรุงเทพฯ ประจำปี 2565 กันครับ ไปดูกันเลย …

รถเมล์ ขสมก.

รถเมล์

รถเมล์ ขสมก. มีรถวิ่งบริการในเส้นทางต่างๆ รวม 348 เส้นทาง มีจำนวนรถทั้งสิ้น 7,478 คัน (ยอด ณ ธันวาคม 2564) แยกเป็นรถ ขสมก. รถธรรมดา 1,520 คัน รถปรับอากาศ 1,365 คัน และมีรถของบริษัทเอกชนที่ร่วมวิ่งบริการกับ ขสมก. รถร่วมบริการ รถธรรมดา 186 คัน รถร่วมบริการ รถปรับอากาศ 82 คัน รถมินิบัส 320 คัน รถเล็กในซอย 1,800 คัน รถตู้โดยสารปรับอากาศ 2,129 คัน และรถตู้ CNG เชื่อมต่อท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ 76 คัน

อัตราค่ารถเมล์ในปัจจุบัน

ประเภทรถ สีของรถ อัตราค่าโดยสาร เวลาบริการ
รถธรรมดา
ครีม- แดง
8 บาท ตลอดสาย (กะสว่างเพิ่ม 1.50 บาท)
04:00 – 24:00 น.
รถทางด่วน
ครีม – แดง
10 บาท ตลอดสาย
05:00 – 23:00 น.
รถบริการตลอดคืน
ครีม – แดง
9.50 บาท ตลอดสาย
23:00 – 05:00 น.
รถร่วมบริการ
ชมพู, ส้ม
10 บาท ตลอดสาย
05:00 – 22:00 น.
รถปรับอากาศ
ครีม-น้ำเงิน
12, 14, 16, 18, 20 บาท (ตามระยะทาง) ทางด่วนเพิ่มค่าบริการ 2 บาท
05:00 – 23:00 น.
รถปรับอากาศ(ยูโรทู)
เหลือง-ส้ม
13, 15, 17, 19, 21, 23, 25 บาท (ตามระยะทาง) ทางด่วนเพิ่มค่าบริการ 2 บาท
05.00 – 23.00 น.
รถปรับอากาศ ใช้ก๊าซ  NGV / ไฟฟ้า
ฟ้า, น้ำเงิน
15, 20, 25 บาท (ตามระยะทาง) ทางด่วนเพิ่มค่าบริการ 2 บาท
05.00 – 23.00 น.
สำหรับรถเมล์ ขสมก. สามารถใช้ “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” หรือบัตรคนจน จ่ายเงินค่ารถเมล์แทนเงินสดได้
ไทยสมายล์บัส TSB

เงื่อนไขการยกเว้นหรือลดหย่อนค่าโดยสาร:

ผู้ได้รับการยกเว้นค่าโดยสาร

  1. ผู้ตรวจการขนส่ง
  2. พระภิกษุ สามเณร
  3. แม่ชี(ที่ถือหนังสือรับรองการบวชจากสำนักปฏิบัติธรรมพร้อมบัตรประจำตัวประชาชน)
  4. บุรุษไปรษณีย์ในเครื่องแบบ (ขณะปฏิบัติหน้าที่)
  5. ผู้ถือบัตรประจำตัวพนักงานองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ
  6. ผู้ถือบัตรหรือเหรียญตราของทางราชการ ที่ระบุไว้ว่ามีสิทธิยกเว้นค่าโดยสารประจำทาง
ผู้ได้รับการลดหย่อนค่าโดยสารครึ่งราคา

ผู้โดยสารที่ใช้บริการรถเมล์ของ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ มีสิทธิได้รับการลดหย่อนค่าโดยสารได้ในอัตราครึ่งราคา สำหรับบุคคลดังต่อไปนี้

  1. คนตาบอด ที่มีหนังสือรับรองของสมาคมคนตาบอด
  2. ทหาร ตำรวจ ในเครื่องแบบ
  3. ผู้ถือบัตรหรือเหรียญตราของทางราชการ ที่มีระเบียบระบุไว้ว่ามีสิทธิได้รับการลดหย่อนค่าโดยสาร รถประจำทางครึ่งราคา เสียค่าโดยสารครึ่งราคา
  4. ผู้สูงอายุตามพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พุทธศักราช 2546 แสดงบัตรประจำตัวประชาชนเมื่อมาใช้บริการรถโดยสาร ประจำทางขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพและรถของผู้ ประกอบการที่เดินรถร่วมกับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ
  5. ผู้พิการทุกประเภท ได้แก่ คนพิการที่เห็นเป็นประจักษ์ หรือคนพิการที่ถือบัตรสมาชิกสมาคมคนพิการสมาคม ใดสมาคมหนึ่ง ในเส้นทางรถโดยสารประจำทาง หมวด 1 ในเขตกรุงเทพมหานครและจังหวัดที่มีเส้นทาง ต่อเนื่องและหมวด 4 กรุงเทพมหานคร

ตั๋วรายสัปดาห์ - ตั๋วเดือน ขสมก.

เงื่อนไขการใช้ตั๋วรายสัปดาห์และรายเดือน

ผู้ซื้อตั๋วรายสัปดาห์และรายเดือน (เฉพาะรถหมวด 1) โดยมีเงื่อนไขการใช้ตั๋ว ดังนี้

  1. ผู้ซื้อตั๋วรายสัปดาห์ และรายเดือนสามารถใช้เดินทางไปกับรถขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ทุกสาย (ยกเว้นรถเอกชนร่วมบริการ) ไม่จำกัดจำนวนเที่ยวภายในวันที่ที่กำหนดไว้ในตั๋ว
  2. ผู้ซื้อตั๋วรายสัปดาห์และรายเดือนของรถธรรมดา ไม่สามารถเดินทางด้วยรถปรับอากาศได้
  3. ผู้ซื้อตั๋วรายสัปดาห์และรายเดือนของรถปรับอากาศ สามารถเดินทางด้วยรถธรรมดาได้ด้วย
  4. ผู้ซื้อตั๋วรายสัปดาห์และรายเดือน สามารถใช้บริการได้กับรถทุกชนิดที่องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ จัดให้มีบริการอยู่ในปัจจุบัน โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่ม (รถบริการบนทางด่วน รถบริการตลอดคืน)
เงื่อนไขการใช้บัตรเดือนสำหรับนักเรียน นิสิต นักศึกษา

บัตรล่วงหน้าอิเล็กทรอนิกส์ประเภทรายเดือนสำหรับนักเรียน นิสิต นักศึกษา (เฉพาะรถหมวด 1) โดยมีเงื่อนไขการใช้บัตร ดังนี้

  1. นักเรียน นิสิต นักศึกษาในเครื่องแบบ หรือแสดงบัตรประจำตัวนักเรียน นิสิต นักศึกษา
  2. ใช้เดินทางได้กับรถองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพทุกสาย (ยกเว้นรถเอกชนร่วมบริการ) ไม่จำกัดจำนวนเที่ยว ภายในวันที่ที่กำหนดไว้ในบัตร
  3. บัตรเดือนรถธรรมดาไม่สามารถเดินทางด้วยรถปรับอากาศได้
  4. บัตรเดือนรถปรับอากาศสามารถเดินทางด้วยรถธรรมดาได้ด้วย
  5. สามารถใช้บริการได้กับรถทุกลักษณะ ที่องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพจัดให้มีบริการอยู่ในปัจจุบัน โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่ม (รถบริการบนทางด่วน รถบริการตลอดคืน)

รถตู้ร่วมบริการ ขสมก.

รถตู้

คณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง อนุมัติปรับเพิ่มอัตราค่าโดยสารรถประจำทางรถทัวร์รถตู้ กิโลเมตรละ 5 สตางค์ เริ่มตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2565

สำหรับคนที่โดยสารรถตู้บ่อยๆ คุณสามารถเช็คราคา ที่ประกาศไว้ในเว็บไซต์กรมการขนส่งทางบกได้เลย

รถไฟฟ้า BTS

รถไฟฟ้า BTS

BTS ได้ประกาศปรับขึ้นราคาค่าโดยสาร มีผลตั้งแต่ 1 ต.ค. 60 นี้เป็นต้นไป หลังผ่านมา 4 ปียังไม่เคยปรับขึ้นค่าโดยสารเลย โดยจะปรับขึ้นสถานีละ 1-2 บาทเท่านั้น สามารถคำนวณค่าโดยสารได้ที่นี่

ราคาค่าโดยสาร BTS สายสีเขียว มีอัตราค่าโดยสารดังนี้

  • 1 สถานี ราคา 16 บาท
  • 2 สถานี ราคา 23 บาท
  • 3 สถานี ราคา 26 บาท
  • 4 สถานี ราคา 30 บาท
  • 5 สถานี ราคา 33 บาท
  • 6 สถานี ราคา 37 บาท
  • 7 สถานี ราคา 40 บาท
  • 8 สถานีถึง 15 สถานี ราคา 44 บาท
  • 16 สถานีขึ้นไป ราคา 59 บาท

ส่วนอัตราค่าโดยสาร BTS ในส่วนต่อขยายสายสีเขียว (ของ กทม. และ รฟม. ในอนาคต) มีราคาอยู่ที่ 15 บาท และถ้าต้องการโดยสารเข้าเขตสัมปทานของ BTS จะต้องบวกราคาตามระยะทางแต่ละสถานีไป 3-4 บาท

รวมจุดพักรถ ที่จอดรถฟรี ค่าผ่านทางฟรี พร้อมส่วนลด ต้อนรับเทศกาลปีใหม่ 2565

รถไฟฟ้า MRT

อัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล หรือ รถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน ร่วมกับ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM) ในฐานะผู้รับสัมปทาน จะคงอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน ในราคาเดิม เริ่มต้นที่ 17 บาท สูงสุด 42 บาท สามารถคำนวณค่าโดยสารได้ที่นี่

พร้อมส่วนลดพิเศษสำหรับเด็กและผู้สูงอายุ 50% และสำหรับนักเรียน นักศึกษา 10 % ของอัตราค่าโดยสารบุคคลทั่วไป ต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565

ซึ่งจากเดิม การปรับอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ตามดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่กำหนดในสัญญาสัมปทาน จากปัจจุบันอัตราค่าโดยสารเริ่มต้นที่ 17 ถึง 42 บาท เป็น 17 ถึง 43 บาท โดยเพิ่มขึ้น 1 บาท สำหรับการเดินทางสถานีที่ 6 9 11 และ 12 ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2565 เป็นต้นไปนั้น

แต่เพื่อเป็นการช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน และลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในภาวะค่าครองชีพสูง จึงได้คงอัตราค่าโดยสารไว้ก่อน

สำหรับ ค่าโดยสารรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน ปัจจุบันเริ่มต้นที่ 17 บาท โดยมีอัตราสูงสุดตั้งแต่ 12 สถานีขึ้นไปอยู่ที่ 42 บาท

รถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง รฟท.

รถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง (SRTET)

เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 05.30 น.-24.00 น. ให้บริการตามตารางเวลาเดินรถปกติ โดยให้บริการรถไฟจำนวน 8 ขบวน อัตราค่าโดยสารเริ่มต้น 12 บาท สูงสุดไม่เกิน 42 บาท

รถไฟฟ้า Airport Rail Link

สำหรับรถไฟฟ้า Airport Link (หรือ ARL = Airport Rail Link) ยังคงอัตราค่าโดยสารไว้เริ่มต้นที่ 15 บาท สูงสุดไม่เกิน 45 บาท สามารถคำนวณค่าโดยสารได้ที่นี่

เรือด่วนเจ้าพระยา

เรือด่วนเจ้าพระยา ประกาศปรับขึ้นอัตราค่าโดยสารเรือธงส้ม ธงเหลือง ธงเขียว ขึ้น 1 บาทจากอัตราเดิมทุกประเภท ยกเว้นเรือปรับอากาศธงแดง เหตุราคาน้ำมันดีเซลพุ่งขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง เริ่ม 15 มิ.ย. นี้

พร้อมแจ้งการเปลี่ยนแปลงเวลาการให้บริการเรือโดยสาร ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม 2565 เป็นต้นไป

ธงส้ม ค่าโดยสาร 16 บาทตลอดสาย ให้บริการทุกวัน

จากนนทบุรี จันทร์-ศุกร์ 06.00-18.10 น.
*เรือโรงเรียน นนทบุรี-สร้อยทอง 7.00 น.
*เรือเสริม พระราม 5-พรานนก 06.45 | 07.05 น.
เสาร์และหยุดนักขัตฤกษ์ 07.30-17.00 น.
อาทิตย์ 09.00-17.00 น.

จากวัดราชสิงขร จันทร์-ศุกร์ 06.00-18.10 น.
เสาร์และหยุดนักขัตฤกษ์ 08.30-17.30 น.
อาทิตย์ 10.30-17.30 น.

ธงเหลือง ค่าโดยสาร 21 บาทตลอดสาย ให้บริการ จันทร์-ศุกร์
จากนนทบุรี 06.00-08.05 น. 8 เที่ยว
จากสาทร 16.35-19.05 น. 8 เที่ยว

ธงเขียว ค่าโดยสาร ปากเกร็ด-นนทบุรี 14 บาท, นนทบุรี-สาทร 21 บาท, ปากเกร็ด-สาทร 33 บาท ให้บริการ จันทร์-ศุกร์
จากปากเกร็ด 06.00-07.50 น. 5 เที่ยว
จากสาทร 15.50-17.45 น. 5 เที่ยว

ธงแดง ค่าโดยสาร 30 บาทตลอดสาย (ราคาปกติ 50 บาท) ให้บริการ จันทร์-ศุกร์
จากนนทบุรี 06.15 | 06.50 | 07.10 | 07.25 น.
จากสาทร 16.05 | 16.25 | 17.00 | 17.30 น.

เรือคลองแสนแสบ

เรือคลองแสนแสบ

ส่วนเรือคลองแสนแสบ ขึ้นค่าโดยสารระยะละ 1 บาท จากราคาเดิมแต่ละระยะ 10 ,12 ,14 , 16 ,18 ,20 บาท ส่งผลให้ค่าโดยสารเริ่มต้นคือ 11 – 21 บาท ตั้งแต่ 1 กรกฏาคม 2565

บริษัท ครอบครัวขนส่ง (2002) จำกัด ผู้ให้บริการเดินเรือโดยสารคลองแสนแสบ ปรับค่าโดยสารเพิ่มอีก 1 บาท ตามระยะทาง เพื่อให้สอดคล้องกับประกาศ กรมเจ้าท่า เรื่องกำหนดอัตราค่าโดยสารเรือกลเดินประจำทางในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ตามช่วงราคาน้ำมันดีเซล 29.01-31 บาท/ลิตร แต่ปัจจุบัน น้ำมันดีเซลราคาพุ่งสูงถึงลิตรละ 34.94 บาท อีกทั้ง สภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น ค่าครองชีพฝืดเคือง จึงไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนจำนวนมาก

เรือข้ามฟาก

เรือข้ามฟาก

เรือข้ามฟาก ปรับขึ้นราคาค่าโดยสารเที่ยวละ 50 สตางค์ มีผลเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565 เป็นต้นไป

1. เรือข้ามฟาก ท่าเรือบางศรีเมือง-ท่าน้ำนนทบุรี ปรับราคาเป็น 4 บาท/เที่ยว

2. เรือข้ามฟาก ท่าเรือวัดระฆัง-ท่าเรือวังหลัง ปรับราคาเป็น 4 บาท/เที่ยว

3. เรือข้ามฟาก ท่าเรือท่ารถไฟ-ท่าพระจันทร์ ปรับราคาเป็น 4 บาท/เที่ยว

4. เรือข้ามฟาก ท่าเรือวังหลัง-ท่าพรานนก ปรับราคาเป็น 4 บาท/เที่ยว

5. เรือข้ามฟาก ท่าเรือท่าเตียน-วัดอุรณ ปรับราคาเป็น 4.50 บาท/เที่ยว

6. เรือข้ามฟาก ท่าน้ำราชวงศ์-ดินแดง ปรับราคาเป็น 4 บาท/เที่ยว

7. เรือข้ามฟาก ท่าน้ำสี่พระยา-ท่าเรือคลองสาน ปรับราคาเป็น 5 บาท/เที่ยว

8. เรือข้ามฟาก ท่าเรือโอเรียนเต็ล-ท่าเรือวัดสุวรรณ ปรับราคาเป็น 4.50 บาท/เที่ยว

รถไฟ รฟท.

รถไฟ

ในวันที่ 21 สิงหาคม 2560 ที่ผ่านมา รถไฟได้มีการประกาศขอปรับขึ้นราคาค่าโดยสาร โดยปรับเพิ่มขึ้นเฉพาะรถรุ่นใหม่ 115 คัน จำนวน 8 ขบวน ในอัตรา 15-20% หรือเพิ่มขึ้น 150-200 บาทต่อเที่ยว ใน 4 เส้นทาง คือ ดังนี้

เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่-กรุงเทพฯ

เส้นทางกรุงเทพฯ-อุบลราชธานี-กรุงเทพฯ

เส้นทางกรุงเทพฯ- หนองคาย-กรุงเทพฯ

เส้นทางกรุงเทพฯ-หาดใหญ่-กรุงเทพฯ

จึงไม่มีการปรับขึ้นอะไรใดๆ ในช่วงเวลานี้อีก

ส่วนค่าโดยสาร รฟท. สำหรับผู้สูงอายุ 60 ปี ขึ้นไป จะมีลดราคาในวันที่ 1 มิ.ย.- 30 ก.ย. ของทุกปี เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 และประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ที่กำหนดให้หน่วยงานรับผิดชอบในการดำเนินการตามประกาศกระทรวงคมนาคม ฉบับลงวันที่ 1 กันยายน 2547

โดยให้แต่ละหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการคุ้มครอง การส่งเสริม และการสนับสนุนแก่ผู้สูงอายุในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งสาธารณะ

1. หลักเกณฑ์การลดค่าโดยสารครึ่งราคา
1.1 ช่วงลดราคา ลดให้เฉพาะช่วงระหว่างเดือนมิถุนายน-กันยายน ทุกปี
1.2 ผู้ที่ได้รับสิทธิ ได้แก่ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป เฉพาะคนไทยหรือผู้มีสัญชาติไทยเท่านั้น

2. การลดค่าโดยสาร
2.1 ลดให้เฉพาะค่าโดยสาร คิดครึ่งราคาของอัตราปกติทุกชั้นตลอดทางทุกสาย ส่วนค่าธรรมเนียมต่างๆ ไม่ลดให้
2.3 หลักฐานที่ใช้แสดงขอลดค่าโดยสารประเภทผู้สูงอายุ ได้แก่บัตรประจำตัวประชาชน หรือเอกสารแสดงตัวบุคคลที่ทางราชการออกให้ โดยมีรูปถ่าย ชื่อ นามสกุล อายุ เดือนปีเกิด ซึ่งสามารถใช้เป็นหลักฐานคำนวณอายุได้ เช่น บัตรประจำตัวประชาชน ใบขับขี่ หรือหนังสือเดินทางไปต่างประเทศ

3. การคำนวณอายุผู้สูงอายุ
3.1 ให้คำนวณจากเดือนและปีที่เกิด ถึงเดือนและปีปัจจุบันเป็นเกณฑ์ เช่น ผู้ที่เกิดวันที่ 31 พฤษภาคม 2495 มีสิทธิลดค่าโดยสารฯ ได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2565 เป็นต้นไป (ไม่ต้อนับวันเกิด)

เป็นอย่างไรกันบ้าง กับอัตราค่าเดินทางของรถสาธารณะในรูปแบบต่างๆ ทั่วกรุงเทพ โดยรวมแล้วบางบริการขึ้นมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่บางบริการก็ขึ้นหลักหลายสิบบาท หากนานๆครั้งใช้ก็ดูไม่แพงขึ้นสักเท่าไร แต่หากต้องใช้ไปและกลับทุกวัน คงกระทบต่อผู้ใช้อยู่ไม่น้อยเลย แต่สำหรับใครที่มีรถยนต์ส่วนตัวและต้องใช้บริการทางด่วน จึงอยากรู้ ‘การทางพิเศษแห่งประเทศไทย’ มีการปรับขึ้นหรือไม่ อ่านต่อที่นี่

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์คันใหม่ มาขายรถกับทาง Carro Express สิ! คลิกเลยที่ https://th.carro.co/sell-car/express รับรองได้เงินเร็ว ไว ทันใจแน่นอน!

Carro Automall ตลาดรถ

ส่วนใครเบื่อใช้บริการระบบขนส่งมวลชนแล้ว สนใจจะซื้อรถมือสองมาขับ Carro แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ คุณสามารถจองรถได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น! พร้อมคำนวณสินเชื่อและค่างวด ได้ภายในเว็บไซต์ทันที!

ซึ่ง Carro เรามีรถให้คุณเลือกมากมาย รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพโดย Carro Certified อย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 160 จุด, การันตีคืนเงินภายใน 5 วัน, รับประกันเครื่องยนต์และเกียร์ 1 ปี, รับประกันไม่กรอไมล์ และไม่ประสบอุบัติเหตุหนัก ไฟไหม้ หรือน้ำท่วม พร้อมรับประกันคุณภาพรถ 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร!

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” เลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา รวมถึงมีเทคโนโลยีสนับสนุนฝ่ายขาย ทั้ง Digital Device ที่เชื่อมต่อกับ Digital Screen นำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และจัดการเรื่องเอกสารให้กับลูกค้าให้ตั้งแต่ต้นจนจบ บวกกับ Online Viewing Service ที่ลูกค้าสามารถวิดีโอคอล ตรวจสภาพรถยนต์คันที่สนใจได้แบบเรียลไทม์ ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ Carro สิ!

หรือถ้าหากคุณสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงกรอกชื่อ-เบอร์โทรศัพท์ และรถที่คุณสนใจ ไว้ที่ “รับการแจ้งเตือน” เมื่อมีรถที่คุณต้องการ Carro จะรีบติดต่อไปยังคุณทันที สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> Carro Thailand โทร. 02-460-9380 หรือทาง Line @carrothai

ยางไร้ลมที่ไม่ต้องเติมลมมีจริงไหม?

สวัสดีครับไทร์บิดกลับมาอีกครั้งครับวันนี้อยากจะมาเล่าเรื่องนวัตกรรมความปลอดภัยที่ใกล้เข้ามาแล้วครับกับยางรถยนต์ที่มีความปลอดภัยสูงที่สุด ไม่ต้องใช้ลมยางเพื่อป้องกันการสูญเสียลมเมื่อใช้งานครับ เพื่อนๆกำลังจะหาข้อมูลเปลี่ยนยางใหม่ที่ดีกว่าเดิม หรือโปรโมชั่นยางรถจะตามมาก่อนหน้านั้นก็ไม่แน่นะครับ อาจจะเริ่มลังเลคิดไม่ตกย้ายไปจากยางเรเดียลไปหานวัตกรรมยางไร้ลมตัวใหม่นี้ดีไหม เพราะเราอาจจะได้เห็นข่าวภาพหลุดยางไร้ลมกันมาแล้วในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา

ยางไร้ลมที่ไม่ต้องเติมลมมีจริงไหม?

ที่หน้าตาแปลกๆ เป็นซีกๆ เหมือนสปริง หน้าตาไม่ใช่แบบที่เคยเห็นมาก่อนในตามสื่อของแบรนด์ยางบ้างแล้ว แต่ล่าสุดมีการทดสอบการใช้งานกับรถในบ้านเราซึ่งเห็นในหน้า Facebook เป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ ซึ่งข้อดีของยางประเภทนี้คือ ไม่ต้องใช้ลมยางเลย ซึ่งเมื่อก่อนเรามียางรันแฟลตยางที่มีความปลอดภัยสูงแล้วคือไม่มีลมก็วิ่งได้แต่แค่ในระยะทางที่จำกัด แต่ยางนวัตกรรมใหม่ตัวนี้คือไม่ต้องใช้ลมและใช้งานได้ในชีวิตประจำวันเลย แปลว่า ไม่ว่าคุณจะโดนตะปูตำสูญเสียลมคุณก็ใช้รถได้อย่างปกติเหมือนเดิม

ซึ่งถือว่าเป็นการพัฒนาที่เพิ่มความปลอดภัยสูงมากเพราะทำให้คุณลดปัญหาการเสียการควบคุมรถทำให้เกิดความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมว่าเราอาจจะต้องมาดูในเรื่องของความแข็งแรงต่อไปครับว่าเมื่อถูกตำหรือถูกแทงเข้าไปจริงๆแล้วขนาดไหนที่จะทำให้ความแข็งแรงของโครงสร้างเสียจนทำให้ยางไม่สามารถใช้งานได้ต่อ แล้วต่อมาก็คือจะมีวิธีการดูแลรักษายังไงให้การใช้งานได้เต็มสมรรถนะเหมือนเดิมตลอดเวลาเพราะไม่อย่างนั้นใช้ได้ไม่กี่ทีแล้วซ่อมไม่ได้ก็ยิ่งเท่ากับมีต้นทุนค่ายางที่เพิ่มขึ้น แล้วช่างยนต์ล่ะที่ไหนที่สามารถดูแลเราได้บ้างถ้าเกิดความยุ่งยากในช่วงแรกก็อาจจะไม่สะดวกต่อการใช้งานก็เป็นไปได้ครับ

ส่วนต่อมาก็คือเรื่องด้านแก้มยางเมื่อก่อนเราจะเห็นว่าแก้มยางเราปกติจะมีชั้นยางบางๆ อยู่ก็ยังช่วยปกป้องได้บ้างแต่รูปลักษณ์แบบใหม่นี้ไม่มีส่วนปกคลุมเลยเมื่อโดนกระแทกเข้าแล้วมีโอกาสทำให้ยางเสียหายทันทีเลยไหมอันนี้ก็ยังเป็นข้อสงสัยอยู่สำหรับทางเราอยู่เช่นกัน

ยางไร้ลมที่ไม่ต้องเติมลมมีจริงไหม?

แต่ที่แน่ๆ ครับ ภาพลักษณ์หน้าตาจะแปลกใหม่ไปโดยสิ้นเชิงจากของเดิมครับ ใครชอบสายเท่ๆ หรือรูปลักษณ์เดิมๆ อาจจะไม่ตอบโจทย์เท่าไหร่ แต่ใครที่ชอบแนวนวัตกรรมใหม่ๆ ก็อาจจะดูเท่แหวกแนวไปเลย ซึ่งอันนี้อาจจะทำให้รถคันอื่นๆ ต้องเหลียวหลังมาดูว่ายางอะไรของมัน แต่อีกส่วนหนึ่งที่ผมเชื่อว่าความนุ่มนั้นจะทำได้ไม่ดีอย่างแน่นอนเพราะโครงสร้างของยางรูปแบบนี้ต้องมีความแข็งแรงของโครงสร้างยางเพื่อรองรับน้ำหนักของรถเพราะฉะนั้นฟังกชั่นการรับแรงกระแทกจะไม่ดีเท่าการใช้ลมแน่นอน ซึ่งลมจะมีความนุ่มที่มากกว่า แต่ก็ไม่แน่ครับ อะไรที่คิดค้นขึ้นมาใหม่มันย่อมดีกว่าของเก่าเสมอครับ

ยางไร้ลมที่ไม่ต้องเติมลมมีจริงไหม?

เพราะคนคิดเค้าเข้าใจอยู่แล้วความต้องการของคนใช้รถแน่นอน การยึดเกาะถนนที่ดีไม่ว่าจะทางตรงหรือทางเข้าโค้ง ความนุ่ม และ ความเงียบขณะใช้งาน อายุการใช้งานของยาง และ ที่สำคัญที่สุดคือความปลอดภัยเมื่อเกิดการเสียหาย หรือ กรณีฉุกเฉินครับเพราะฉะนั้นเพื่อนๆ อดใจรอได้เลยครับผมว่าอีกไม่นานเราได้มียางในรูปแบบใหม่ใช้แน่นอนครับ เหมือนรถที่ใช้แต่เครื่องยนต์ มาใช้แบบผสมน้ำมันกับไฟฟ้า และปัจจุบันก็มีรถ EV และยางรถยนต์สำหรับรถ EV โดยเฉพาะเข้ามาแล้วเป็นการพัฒนานวัตกรรม เทคโนโลยีทั้งหมด เพื่อให้สภาพชีวิตของเราที่ดีขึ้น อีกในด้านสิ่งแวดล้อมของจำพวกนี้เมื่อมีการพัฒนาออกมาก็ยังจะช่วยให้พวกเราลดปริมาณขยะ ลดปริมาณของเสียที่ทำให้โลกของเราร้อนมากยิ่งขึ้นเพื่อให้เรารักษาสภาพแวดล้อมของโลกเราได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วยครับ

หากเพื่อนๆ มีข้อสงสัยไม่รู้ว่าจะเลือกยางยี่ห้อไหนและช้อปเช็กยาง & นัดหมายออนไลน์ที่ https://tiresbid.com/home ได้เลยครับ เพราะเราเป็นเว็บจำหน่ายยางที่ดีที่สุดครับ มีแบรนด์สินค้าคุณภาพให้เลือกมากที่สุด และเพื่อนๆสามารถหาอ่านบทความรู้ยานยนต์และรีวิวยางรถยนต์ครอบคลุมการใช้งานมากที่สุดในประเทศ แถมไทร์บิดเรายังมีบริการผู้เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาอย่างเป็นกลาง ให้เพื่อนๆที่ต้องการสอบถามได้ยางที่เหมาะสมที่สุดผ่านทาง Line OA : @tiresbid (เติม@ด้วยนะครับ) เราเป็นตัวกลางยางมืออาชีพโปรโมชั่นยางรถพิเศษไทร์บิดมากมาย ให้บริการครบทุกรูปแบบ จุดบริการ เปลี่ยนถึงบ้าน จัดส่ง Fast Service ทุกรูปแบบการรับบริการนัดหมายล่วงหน้า ใช้เวลาเพียง 1 ชม. ในการรับบริการติดตั้งเปลี่ยนยาง ให้เรื่องยางรถของคุณง่ายยิ่งขึ้น ซื้อยางรถมั่นใจทุกครั้งที่ไทร์บิด วันนี้ก็ขอขอบคุณมากครับเพื่อนๆ ที่ติดตาม หากมีข้อสงสัยเลือกยางไม่ถูกสอบถามมาที่ไทร์บิดของเราได้เลยครับ วันนี้ขอบคุณมากครับ

8 รถมือสอง Eco-Car สุดคุ้มน่าใช้

8 รถอีโคคาร์มือสอง ประหยัดน้ำมัน ราคาไม่แพง ที่น่าเป็นเจ้าของ!

ในปัจจุบัน “รถมือสอง” นั้นจะมีตัวเลือกในท้องตลาดอย่างมหาศาล และมีรถหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่สภาพเก่าๆ ราคาเพียงหลักหมื่นต้นๆ ไปจนถึงราคาหลายล้านบาท ซึ่งก็มีทั้งผู้ที่ใช้แล้วไม่ถูกใจ ใช้แล้วเบื่อ อยากขายแล้วซื้อใหม่ หรือครอบครัวขยายขึ้น ต้องเปลี่ยนรถใหญ่ขึ้นก็มี

แต่อีกหนึ่งในรถที่ให้ความคุ้มค่าในการใช้งาน ในยุคเศรษฐกิจขาขึ้นก่ายหน้าผากแบบนี้ นั่นคือรถยนต์ “Eco-Car” ที่เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้นทำงานใหม่ๆ แม่บ้าน หรือนักศึกษา เป็นต้น อยากได้รถมือสองประหยัดน้ำมัน หาที่จอดง่าย ไว้ใช้งานในเมือง ไปจ่ายตลาด หรือขับไปมหาวิทยาลัย ในงบประมาณจำกัด และมีราคารถมือสองที่ไม่แพงมาก ซื้อขายง่าย

ตัวเลือกอย่างรถยนต์ Eco-Car (อีโคคาร์) ถือได้ว่าเหมาะสมกับงบประมาณและสภาวะเศรษฐกิจในขณะนี้ … Carro ขอแนะนำ 8 รถมือสอง Eco-Car สุดคุ้มน่าใช้ มีรุ่นไหนที่น่าสนใจบ้าง รับชมกันได้เลยครับ

8 รถมือสอง Eco-Car สุดคุ้มน่าใช้

1. Toyota Yaris

Toyota Yaris (โตโยต้า ยาริส) ในอดีตถือเป็นรถ Sub-Compact ที่ยอดนิยมที่สุดอีกหนึ่งรุ่นในท้องตลาด ซึ่งรุ่นแรกก่อนหน้านั้น ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร แต่ในเจเนอเรชั่นที่เป็น Eco-Car ตอนนี้ เปิดตัวไปเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2556 ด้วยรูปลักษณ์ใหม่ เน้นกลุ่มวัยรุ่น ความปลอดภัยครบครัน

และผ่านการปรับโฉมมาหลายครั้ง แถมยังมีรถใหม่ป้ายแดงขายในตอนนี้อยู่ด้วย เป็นรถที่ดูแลง่าย ทนทาน ค่าซ่อมไม่แพง ศูนย์บริการหาง่าย ของแต่งก็มีเยอะ ขนาดเล็ก เหมาะกับการใช้งานในเมือง

ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร รหัส 3NR-FE แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว Dual VVT-i 86 แรงม้า ปัจจุบัน Yaris มีราคาอยู่ในตลาดรถมือสองประมาณ 240,000 – 540,000 บาท ขึ้นอยู่กับปี รุ่นย่อย และสภาพตัวรถ

8 รถมือสอง Eco-Car สุดคุ้มน่าใช้

2. Toyota Yaris ATIV

Toyota Yaris ATIV (โตโยต้า ยาริส เอทีฟ) จัดเป็นรถ Sedan ในรูปแบบ Eco-Car รุ่นยอดนิยมอีกหนึ่งรุ่นในท้องตลาด ที่ทาง Toyota ตั้งใจออกมาขายเพื่อชนกับ Eco-Car ซีดานค่ายอื่นๆ โดยเฉพาะ เปิดตัวไปเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2560 ด้วยรูปลักษณ์สปอร์ต เจาะกลุ่มวัยรุ่น ความปลอดภัยครบครัน แถมยังมีรถใหม่ป้ายแดงขายอยู่ด้วย เป็นรถที่ดูแลง่าย ทนทาน ค่าซ่อมไม่แพง ใช้อะไหล่ร่วมกับ Yaris โฉม Hatchback ได้พอสมควร

โดยทั้ง Yaris และ Yaris ATIV ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร รหัส 3NR-FE แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว Dual VVT-i 86 แรงม้า ปัจจุบัน Yaris ATIV มีราคาอยู่ในตลาดรถมือสองประมาณ 350,000 – 540,000 บาท ขึ้นอยู่กับปี รุ่นย่อย และสภาพตัวรถ

8 รถมือสอง Eco-Car สุดคุ้มน่าใช้

3. Nissan March

Nissan March (นิสสัน มาร์ช) ถือเป็นรถ Eco-Car รุ่นแรกที่ทำตลาดในโครงการนี้ ซึ่งในยุคของสยามกลการ เคยทำรุ่นนี้ขายเมื่อ 20 กว่าปีก่อน เปิดตัวเมื่อ 12 มีนาคม 2553 มีราคาจำหน่ายที่สามารถเป็นเจ้าของได้ง่าย ได้รับความนิยมอย่างมากและมียอดขายสะสมรวมหลายแสนคัน แถมยังส่งออกไปขายในญี่ปุ่นอีกด้วย และปัจจุบันยังมีแบบรถป้ายแดงขาย จึงไม่ต้องกังวลเรื่องอะไหล่นัก

มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร รหัส HR12DE แบบ 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว CVTC 79 แรงม้า ประหยัดนํ้ามันได้มากถึง 20 กม./ลิตร มีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา และเกียร์อัตโนมัติ Xtronic CVT ปัจจุบันมีราคาอยู่ในตลาดรถมือสองประมาณ 130,000 – 330,000 บาท ขึ้นอยู่กับปี รุ่นย่อย และสภาพตัวรถ

8 รถมือสอง Eco-Car สุดคุ้มน่าใช้

4. Nissan Almera

Nissan Almera (นิสสัน อัลเมร่า) เป็นรถ Eco-Car ขนาด 4 ประตู รุ่นแรกที่ผลิตออกมาในตลาดประเทศไทย เปิดตัวไปเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2554 พร้อมทั้งมีรุ่นพิเศษออกมาหลายครั้ง รวมไปถึงการปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ และเวอร์ชั่นใส่ชุดแต่ง NISMO ด้วย มีความโดดเด่นด้วยขนาดห้องโดยสารที่กว้างขวางกว่ารถรุ่นเดียวกันมาก

มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร HR12DE แบบ 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว CVTC 79 แรงม้า ประหยัดน้ำมันได้มากถึง 20 กม./ลิตร มีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา และเกียร์อัตโนมัติ Xtronic CVT ปัจจุบันมีราคาอยู่ในตลาดรถมือสองประมาณ 160,000 – 360,000 บาท ขึ้นอยู่กับปี รุ่นย่อย และสภาพตัวรถ

หรือถ้ามีงบประมาณมากหน่อย จะเลือก Almera โฉมปัจจุบันในรูปแบบรถมือสอง ที่เปิดตัวสู่ตลาดบ้านเรามาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 ก็ได้เช่นกัน

มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์ขนาด 1.0 ลิตร Turbo รหัส HRA0 แบบ 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 100 แรงม้า ประหยัดน้ำมันได้มากถึง 23.3 กม./ลิตร ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ Xtronic CVT พร้อม D-Step Logic ปัจจุบันมีราคาอยู่ในตลาดรถมือสองประมาณ 450,000 – 500,000 บาท ขึ้นอยู่กับปี รุ่นย่อย และสภาพตัวรถ

8 รถมือสอง Eco-Car สุดคุ้มน่าใช้

5. Suzuki Swift

Suzuki Swift (ซูซูกิ สวิฟท์) สำหรับโฉมนี้ เปิดตัวไปเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2555 เป็นรุ่นที่ประกอบในบ้านเรา ด้วยรูปแบบ Eco-Car ที่ขายดีของซูซูกิ นำเสนอด้วยรูปทรงน่ารักเหมือนรถ Hatchback จากฝั่งยุโรป ออพชั่นแพรวพราว แต่งสวย ประหยัดน้ำมันได้มากถึง 20 กม./ลิตร และมีรุ่นพิเศษออกมากระตุ้นตลาดอยู่เรื่อยๆ

มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร รหัส K12B ขนาด 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว VVT 91 แรงม้า ปัจจุบันมีราคาอยู่ในตลาดรถมือสองประมาณ 180,000 – 350,000 บาท ขึ้นอยู่กับปี รุ่นย่อย และสภาพตัวรถ

หรือถ้ามีงบประมาณมากหน่อย จะเลือก Swift โฉมปัจจุบันในรูปแบบรถมือสอง ที่เปิดตัวสู่ตลาดบ้านเรามาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2561 ก็ได้เช่นกัน

มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร รหัส K12M แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 83 แรงม้า กับเทคโนโลยีหัวฉีดคู่ DUALJET รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 ปัจจุบันมีราคาอยู่ในตลาดรถมือสองประมาณ 350,000 – 460,000 บาท ขึ้นอยู่กับปี รุ่นย่อย และสภาพตัวรถ

8 รถมือสอง Eco-Car สุดคุ้มน่าใช้

6. Suzuki Ciaz

Suzuki Ciaz (ซูซูกิ เซียส) (ชื่อรุ่น มาจากคำว่า “City A-Z”) เปิดตัวไปเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2558 เป็นรถซีดาน 4 ประตู ที่มีอะไรร่วมกันกับ Swift หลายๆ อย่าง แต่งสวย สปอร์ต ภายในมีพื้นที่กว้างขวาง ประหยัดน้ำมันมากถึง 20 กม./ลิตร และตอนนี้ก็ยังมีรถป้ายแดงขายอยู่

มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร รหัส K12B ขนาด 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว VVT 91 แรงม้า ปัจจุบันมีราคาอยู่ในตลาดรถมือสองประมาณ 240,000 – 400,000 บาท ขึ้นอยู่กับปี รุ่นย่อย และสภาพตัวรถ

8 รถมือสอง Eco-Car สุดคุ้มน่าใช้

7. Mitsubishi Mirage

Mitsubishi Mirage (มิตซูบิชิ มิราจ) ชื่อที่คนรุ่นก่อนคุ้นเคยตั้งแต่ 30 กว่าปีที่แล้ว ในรูปแบบของรถ 4 ประตู และ 5 ประตู ก่อนจะกลับมาเป็นรถ Eco-Car ขายในตลาดบ้านเราอีกครั้ง เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2555 ชูรูปทรงขนาดเล็กน่ารัก ปรับโฉมกันมาหลายรอบแล้ว แต่ก็ยังมีในรูปแบบรถป้ายแดงให้เลือกเช่นกัน

มาพร้อมเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร แบบ 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว MIVEC 78 แรงม้า ประหยัดน้ำมันได้ถึง 20-23.8 กม./ลิตร ปัจจุบันมีราคาอยู่ในตลาดรถมือสองประมาณ 150,000 – 390,000 บาท ขึ้นอยู่กับปี รุ่นย่อย และสภาพตัวรถ

8 รถมือสอง Eco-Car สุดคุ้มน่าใช้

8. Mitsubishi Attrage

Mitsubishi Attrage (มิตซูบิชิ แอททราจ) สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการเปิดตัวที่แรกในโลกในไทย อีกหนึ่งในรถ Eco­-Car แบบ 4 ประตู แบรนด์ที่สอง ที่ออกแนะนำสู่ท้องตลาดในวันที่ 1 กรกฎาคม 2556 ชูจุดเด่นด้วยการสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับรถ อีโคคาร์ ซีดาน จากเทคโนโลยีการออกแบบชั้นสูง และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่มีให้ครบครัน แล้วก็ยังมีในรูปแบบรถป้ายแดงให้เลือกเช่นกัน

มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร แบบ 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว MIVEC 78 แรงม้า รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 และประหยัดน้ำมันสูงสุดถึง 22 กม./ลิตร ปัจจุบันมีราคาอยู่ในตลาดรถมือสองประมาณ 180,000 – 390,000 บาท ขึ้นอยู่กับปี รุ่นย่อย และสภาพตัวรถ

Mr.Carro หวังว่า รถ Eco-Car ที่เรานำมาเสนอนี้ น่าจะถูกใจคุณผู้อ่านนะครับ …

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์คันใหม่ มาขายรถกับทาง Carro Express สิ! คลิกเลยที่ https://th.carro.co/sell-car/express รับรองได้เงินเร็ว ไว ทันใจแน่นอน!

Carro Automall ตลาดรถ

ส่วนใครสนใจจะซื้อรถมือสอง Carro แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ คุณสามารถจองรถได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น! พร้อมคำนวณสินเชื่อและค่างวด ได้ภายในเว็บไซต์ทันที!

ซึ่ง Carro เรามีรถให้คุณเลือกมากมาย รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพโดย Carro Certified อย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 160 จุด, การันตีคืนเงินภายใน 5 วัน, รับประกันเครื่องยนต์และเกียร์ 1 ปี, รับประกันไม่กรอไมล์ และไม่ประสบอุบัติเหตุหนัก ไฟไหม้ หรือน้ำท่วม พร้อมรับประกันคุณภาพรถ 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร!

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” เลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา รวมถึงมีเทคโนโลยีสนับสนุนฝ่ายขาย ทั้ง Digital Device ที่เชื่อมต่อกับ Digital Screen นำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และจัดการเรื่องเอกสารให้กับลูกค้าให้ตั้งแต่ต้นจนจบ บวกกับ Online Viewing Service ที่ลูกค้าสามารถวิดีโอคอล ตรวจสภาพรถยนต์คันที่สนใจได้แบบเรียลไทม์ ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ Carro สิ!

หรือถ้าหากคุณสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงกรอกชื่อ-เบอร์โทรศัพท์ และรถที่คุณสนใจ ไว้ที่ “รับการแจ้งเตือน” เมื่อมีรถที่คุณต้องการ Carro จะรีบติดต่อไปยังคุณทันที สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> Carro Thailand โทร. 02-460-9380 หรือทาง Line @carrothai

หมายเหตุ : *ราคาในตลาดรถมือสอง 8 อันดับข้างต้นนี้ เป็นข้อมูลที่ Update ณ เดือนมิถุนายน 2565 เมื่อเวลาผ่านไปราคามือสองดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้

MUJI Car 1000 : รถยนต์แบรนด์ MUJI กับความสำเร็จ!

ถ้าจะให้พูดถึง “บริษัท เรียวฮิน เคอิคะคุ” (株式会社良品計画) หลายคนมึนตึ้บ ว่านี่คือบริษัทญี่ปุ่นอะไรกันแน่???

แต่ถ้าจะให้พูดถึงแบรนด์ “MUJI” (มูจิ) แบรนด์ไลฟ์สไตล์สัญชาติญี่ปุ่นที่โด่งดังไปทั่วโลก ก็บริษัทนี้แหละครับ เป็นผู้ให้กำเนิด “MUJI” ขึ้นมา ตั้งแต่ค่านิยม ความมุ่งมั่นของบริษัท การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การดำเนินธุรกิจตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน อนาคต และความสำเร็จของแนวคิด “สินค้าคุณภาพดีที่ไม่มียี่ห้อ” ของ MUJI

MUJI ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในญี่ปุ่นในเดือนธันวาคม 1980 โดย Seiji Tsutsumi (เซจิ ซึซูมิ – 辻井喬) ประธานห้างสรรพสินค้าเซบู (Seibu) ลูกของผู้ก่อตั้งกิจการรถไฟ Seibu Railway และเจ้าของกิจการต่างๆ อีกหลายอย่าง

MUJI มีชื่อเต็มๆ ว่า “มูจิรุชิ เรียวฮิน” (Mujirushi Ryohin หรือ 無印良品) เป็นคำภาษาญี่ปุ่นที่มีความหมายว่า ไม่มีแบรนด์ (No Brand) หรือมีความหมายว่า “สินค้าคุณภาพดีที่ไม่มียี่ห้อ” เป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์คุณภาพดีมากมาย รวมถึงของใช้ในบ้าน เครื่องแต่งกาย และอาหาร เป็นต้น

MUJI Car 1000 : รถยนต์แบรนด์ MUJI กับความสำเร็จ!

MUJI ตั้งอยู่บนหลักการสามข้อ ซึ่งยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจนถึงทุกวันนี้ ได้แก่

1. การเลือกสรรวัสดุ
2. ปรับปรุงพัฒนากระบวนการต่างๆ
3. สร้างบรรจุภัณฑ์ที่เรียบง่าย

ผลิตภัณฑ์ของ MUJI เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิตที่สมเหตุสมผลที่สุด มีความรวบรัด แต่ไม่ใช่สไตล์มินิมอล
หมายความว่า ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เปรียบเสมือนภาชนะที่ว่างเปล่า ความเรียบง่ายและความว่างเปล่าก่อให้เกิดความเป็นสากลขั้นสูงสุด เป็นการยอมรับความรู้สึกและความนึกคิดของทุกคน

MUJI Car 1000 : รถยนต์แบรนด์ MUJI กับความสำเร็จ!

จนผลิตภัณฑ์ของ MUJI สามารถฉีกทุกตำราการตลาด เอาชนะความนิยมชมชอบมากมาย และแพร่หลายไปไม่เพียงแต่ทั่วประเทศญี่ปุ่น แต่รวมไปถึงที่ต่างๆ ทั่วโลก ในปี 2021 MUJI ทำรายได้ไปกว่า 151,000 ล้านบาท มีสินค้ากว่า 7,000 รายการ และมีกว่า 1,000 สาขาทั่วโลก

ซึ่งในไทยเอง นับตั้งแต่ปี 2556 บริษัทแม่ MUJI ประเทศญี่ปุ่น ได้ร่วมทุนกับ “เซ็นทรัล” จัดตั้ง “บริษัท มูจิ รีเทล (ประเทศไทย) จำกัด” ด้วยทุนจดทะเบียน 520 ล้านบาท ร่วมทุนกันและเดินหน้าขยายธุรกิจในไทยเชิงรุกมากขึ้น

แต่หลายคนอาจไม่รู้มาก่อนเลยว่า MUJI เคยคิดผลิตรถยนต์ออกมาขายด้วย!

MUJI Car 1000 : รถยนต์แบรนด์ MUJI กับความสำเร็จ!

ใช่ครับ แม้ว่าหลายปีก่อน MUJI จะมีแนวคิดพัฒนารถยนต์ไร้คนขับที่ชื่อว่า Gacha ออกมา แต่ในวันนี้ผมกำลังจะพูดถึง MUJI+Car 1000 (มูจิ คาร์ 1000) รถยนต์รุ่นแรกที่ทาง MUJI ร่วมกับทาง Nissan (นิสสัน) นำเอา Nissan March (K11) (นิสสัน มาร์ช) มาผลิตจำหน่ายในแบรนด์ของ MUJI

โดยพร้อมรับจองผ่านทางเว็บไซต์ muji.net ในเดือนเมษายน 2001 และพร้อมส่งมอบรถในวันที่ 11 พฤษภาคม 2001 ที่โชว์รูม Nissan ด้วยจำนวนจำกัดเพียง 1,000 คันเท่านั้น ในราคา 930,000 เยน!

MUJI Car 1000 : รถยนต์แบรนด์ MUJI กับความสำเร็จ!

ตัวรถภายนอกมาพร้อมความเรียบง่ายสไตล์ MUJI เลย ไม่มีโลโก้แบรนด์ ไม่มีชื่อรุ่น กันชนหน้า-หลัง สีดำ กระจกมองข้างสีดำ ล้อรถเป็นแบบกระทะเหล็กขนาด 13 นิ้ว มาพร้อมสีโปรโมทตัวรถ อันเป็นสัญลักษณ์ของ MUJI

ส่วนห้องโดยสารภายในโทนสี Ivory ออกแบบในสไตล์ 2 ที่นั่ง + พื้นที่อิสระด้านหลัง ออกแบบเบาะนั่งหลังใหม่เป็นแบบไวนิล สามารถวางของเปียกได้ และปรับพับแบบ 60:40 ได้ พร้อมจุดยึดที่นั่งสำหรับเด็ก มีแอร์, วิทยุ 1 din พร้อม CD, กระจกกรองแสง UV, กระจกมองข้างพับไฟฟ้า, พรมปูพื้น ที่วางแก้วน้ำข้างประตู และกุญแจรถที่ออกแบบเป็นพิเศษมาให้

มีมิติตัวรถยาว 3,720 มม. กว้าง 1,585 มม. สูง 1,425 มม. ระยะฐานล้อ 2,360 มม. มีน้ำหนักตัวรถ 870 กิโลกรัม

MUJI Car 1000 : รถยนต์แบรนด์ MUJI กับความสำเร็จ!

มาพร้อมขุมพลังรหัส CG10DE แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ให้แรงม้าสูงสุด 60 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 84 นิวตัน-เมตร (8.6 กก.-ม.) ที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด E-Atx ประหยัดน้ำมัน 16.6 กม./ลิตร (ตามมาตรฐานโหมด 10-15)

และพิเศษสุด! ผู้สั่งจองรถในครั้งนี้จะได้รับจักรยานพับได้ขนาด 14 นิ้ว ของ MUJI มูลค่า 29,800 เยน ที่ออกแบบมาเพื่อ Muji+Car 1000 โดยเฉพาะ

ซึ่ง MUJI จะสามารถจำหน่ายรถรุ่นพิเศษ 1,000 คันนี้ไปได้จนหมด ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี แม้ว่าในปัจจุบัน MUJI จะไม่ได้จัดทำรถรุ่นพิเศษแนวนี้ออกมาขายแล้ว แต่เชื่อว่าถ้าใครมีรถรุ่นนี้เก็บไว้ มีราคาดีอย่างแน่นอนครับ

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์คันใหม่ มาขายรถกับทาง Carro Express สิ! คลิกเลยที่ https://th.carro.co/sell-car/express รับรองได้เงินเร็ว ไว ทันใจแน่นอน!

Carro Automall ตลาดรถ

ส่วนใครสนใจจะซื้อรถมือสอง Carro แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ คุณสามารถจองรถได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น! พร้อมคำนวณสินเชื่อและค่างวด ได้ภายในเว็บไซต์ทันที!

ซึ่ง Carro เรามีรถให้คุณเลือกมากมาย รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพโดย Carro Certified อย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 160 จุด, การันตีคืนเงินภายใน 5 วัน, รับประกันเครื่องยนต์และเกียร์ 1 ปี, รับประกันไม่กรอไมล์ และไม่ประสบอุบัติเหตุหนัก ไฟไหม้ หรือน้ำท่วม พร้อมรับประกันคุณภาพรถ 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร!

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” เลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา รวมถึงมีเทคโนโลยีสนับสนุนฝ่ายขาย ทั้ง Digital Device ที่เชื่อมต่อกับ Digital Screen นำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และจัดการเรื่องเอกสารให้กับลูกค้าให้ตั้งแต่ต้นจนจบ บวกกับ Online Viewing Service ที่ลูกค้าสามารถวิดีโอคอล ตรวจสภาพรถยนต์คันที่สนใจได้แบบเรียลไทม์ ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ Carro สิ!

หรือถ้าหากคุณสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงกรอกชื่อ-เบอร์โทรศัพท์ และรถที่คุณสนใจ ไว้ที่ “รับการแจ้งเตือน” เมื่อมีรถที่คุณต้องการ Carro จะรีบติดต่อไปยังคุณทันที สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> Carro Thailand โทร. 02-460-9380 หรือทาง Line @carrothai

แหล่งที่มาบางส่วนจาก:

10 รถแท็กซี่รุ่นยอดนิยมในไทย

10 รถแท็กซี่รุ่นยอดฮิตในไทย จะมียี่ห้อไหน รุ่นใดบ้าง มาดูกัน!

ย้อนกลับไปในปี 2535 วงการแท็กซี่ เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่แต่เดิม รถแท็กซี่นั้น ใช้ระบบการต่อรองราคา พลิกโฉมมาเป็น “Taxi-Meter” (แท็กซี่มิเตอร์) ที่คิดค่าโดยสารตามระยะทาง และกำหนดให้ใช้สี “เขียว-เหลือง” เป็นรถส่วนบุคคล พร้อมทั้งจำกัดอายุของรถแท็กซี่ไว้มิให้เกิน 12 ปี (ปัจจุบันเหลือเพียงแค่ 9 ปี) และไม่จำกัดจำนวนการจดทะเบียน ส่วนบุคคล หรือนิติบุคคล จะจดทะเบียนกี่คันก็ได้ ซึ่งต่างจากในอดีตก่อนหน้า

นี่จึงเป็นที่มาของ “แท็กซี่มิเตอร์” ที่วิ่งกันเกลื่อนถนนกรุงเทพฯ ในตอนนี้

สำหรับรถที่แท็กซี่นิยมนั้น ก็ต้องเป็นรถที่ทนทาน (ย้ำ) ต้องวิ่งได้วันละหลายร้อยกิโลเมตร ไม่จุกจิก เครื่องยนต์กลไกต้องไม่ซับซ้อน ซ่อมง่าย อู่ข้างทางก็ซ่อมได้ อะไหล่แท้ เทียบ เทียม ต้องหาง่าย และใช้ด้วยกันได้

Carro ขอนำเสนอ 10 รถแท็กซี่ยอดนิยมในไทย มาดูกันครับว่า จะมีรุ่นไหนยี่ห้อใดบ้าง ที่เป็นที่นิยมของคนขับแท็กซี่ และเจ้าของอู่แท็กซี่ในขณะนี้ …

10 รถแท็กซี่รุ่นยอดนิยมในไทย

Toyota Corolla Altis

Toyota Corolla Altis (โตโยต้า โคโรลล่า อัลติส) เรียกได้ว่าต้องยกให้เป็นรถยอดนิยมตลอดกาล ของชาวแท็กซี่เลยทีเดียว ที่ทุกสหกรณ์มีรถรุ่นนี้หมด ขึ้นชื่อเรื่องความทนทาน อะไหล่แท้ เทียบ เทียม หาง่าย เวลาเสีย ช่างอู่ทั่วไปก็ซ่อมได้ รถทนทาน ไม่จุกจิก ใช้หาเงินกันคุ้ม แม้ว่าช่วงนี้ คนจะนำรถมาทำแท็กซี่กันน้อยลงไปก็ตาม

แต่ Toyota Altis รุ่นนี้ก็ยังมีคนนำไปทำแท็กซี่ กันตั้งแต่รุ่นถูกสุดอย่าง Limo, 1.6G, 1.8 Sport, 1.8 GR Sport หรือแม้กระทั่งรุ่น Hybrid เลย

10 รถแท็กซี่รุ่นยอดนิยมในไทย

ภาพจาก แท็กซี่เกรดเอ อ้วนรังสิต

Toyota Innova Crysta

Toyota Innova Crysta (โตโยต้า อินโนว่า คริสต้า) เรียกได้ว่า เป็นรถยอดนิยมมากพอสมควร สำหรับเหล่าแท็กซี่ที่วิ่งตามสนามบิน หรือรอรับลูกค้าตามหน้าโรงแรมต่างๆ เพราะสามารถขนคนได้เยอะ ขนของได้แยะ ทนทาน อะไหล่แท้ เทียบ เทียม ก็หาง่าย เวลาเสีย ช่างอู่ทั่วไปก็ซ่อมได้ นิยมกันมาตั้งแต่รุ่นแรกๆ ที่ออกมาเมื่อ 10 กว่าปีก่อน

เรื่องเครื่องยนต์กับช่วงล่างทนทานหายห่วง เพราะสามารถใช้ร่วมกับ Toyota Hilux Revo (โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่) ได้ แต่อะไหล่ตัวถัง อาจจะหาของมือสองลำบากนิดๆ เพราะเป็นรถที่ผลิตในอินโดนีเซีย

10 รถแท็กซี่รุ่นยอดนิยมในไทย

Toyota Prius

กลายเป็นตำนานรถแท็กซี่แนวรักษ์โลกไปแล้ว สำหรับ Toyota Prius (โตโยต้า พรีอุส) รถยนต์ไฮบริด เป็นรถแท็กซี่ที่ทาง บริษัท ออลไทย แท็กซี่ จำกัด ทำออกมา 500 คัน ลงทุนกว่า 700 ล้านบาท เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่แท็กซี่ไทย ใช้สีเหลือง สีเดียวกันกับ นิวยอร์ค แท็กซี่ โดดเด่นสะดุดตา เปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์ 2558 และให้บริการเต็มรูปแบบตั้งแต่เดือน พฤษภาคม 2558

โดย Prius ที่นำมาทำแท็กซี่ จะไม่ดัดแปลงหรือติดแก๊ส พร้อมติดตั้งกล้อง CCTV ในรถ ติดตั้งระบบ GPS Tracking และระบบติดตามควบคุมรถหรือ “กล่องดำ” ไม่ว่าจะขับรถเร็วเกินกำหนด ขับกระชาก หรือเหยียบเบรก แม้แต่การทำผิดระเบียบ ด้วยการรับผู้โดยสารแล้วไม่กดมิเตอร์ ทางศูนย์ฯ จะทราบได้ทันที สามารถเรียกผ่าน Application หรือ Call Center 1624 ได้ และจ่ายค่าบริการได้ทั้งเงินสด บัตรเครดิต/เดบิต หรือบัตรเติมเงิน และออกใบเสร็จรับเงินได้

ต้นทุนเฉลี่ยรถแท็กซี่ต่อคัน หักลบจากส่วนลดราคารถ และค่าติดตั้งอุปกรณ์ไอทีเพิ่มเติม ตกคันละประมาณ 1.3 ล้านบาท โดยรถแต่ละคัน จะสามารถทำรายได้ให้บริษัทตกปีละ 1 ล้านบาท (ยอดในปี 2559) แต่ทว่าในปัจจุบัน All Thai Taxi ยังมีรถให้บริการเหลืออยู่เพียง 119 คัน (ยอด ณ เดือนกรกฎาคม 2564) …

10 รถแท็กซี่รุ่นยอดนิยมในไทย

ภาพจาก Sandrew Sarol Asentista

Toyota Fortuner

อันนี้เหมาะสำหรับผู้โดยสารสายลุย Toyota Fortuner (โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์) แท็กซี่ที่สามารถลุยได้ ไม่ว่าจะเป็นทางลูกรัง หรือน้ำท่วม สามารถไปรับ-ส่ง คุณ ถึงประตูบ้านได้สบายๆ

แท็กซี่รุ่นนี้ เน้นวิ่งรับลูกค้าตามสนามบิน เหมานักท่องเที่ยว หรือรอรับลูกค้าตามหน้าโรงแรมต่างๆ เพราะคุ้มค่ากว่าวิ่งรับผู้โดยสารตามท้องถนนทั่วไป

10 รถแท็กซี่รุ่นยอดนิยมในไทย

ภาพจาก Pee Pee

Nissan Sylphy

หนึ่งเดียวของนิสสันในเวลานี้ ที่แท็กซี่นิยมมากที่สุด นั่นคือ Nissan Sylphy (นิสสัน ซิลฟี่) ก็มีให้เห็นอยู่บ้าง ภายในดูสวยหรู น่านั่ง

ส่วน Nissan อาจจะลำบากนิดนึงในเรื่องของชิ้นส่วนตัวถังมือสอง แต่ในเรื่องความทนทานยังไว้ใจได้

10 รถแท็กซี่รุ่นยอดนิยมในไทย

Honda Civic

ด้วยแนวคิด (ของใครหลายๆ คน) ที่ยังเชื่อกันว่า Honda ห้ามนำรถมาทำเป็นแท็กซี่ (ได้ยินมาตั้งแต่ 20 กว่าปีที่แล้ว ทุกวันนี้ก็ยังมีคนพูดกันเหมือนเดิม) …

อ่านเพิ่มเติม >> Honda ห้ามเอารถมาทำ Taxi-Meter จริงหรือ?

แต่ก็มี Honda Civic (ฮอนด้า ซีวิค) ตั้งแต่โฉม EG, ES, FD, FB มาจนถึงรุ่นล่าสุด FC ออกมาเป็นแท็กซี่เห็นกันเรื่อยๆ แม้ว่าจำนวนจะน้อยนิด เพราะค่าบำรุงรักษา ค่าอะไหล่ที่สูง ทำให้หา “Honda” เป็นแท็กซี่ได้ลำบากหน่อย

10 รถแท็กซี่รุ่นยอดนิยมในไทย

ภาพจาก Pok Mu-X2017 TAXI Service

Isuzu MU-X

นี่ก็จัดเป็นแท็กซี่สำหรับผู้โดยสารสายลุย Isuzu MU-X (อีซูซุ มิวเอ็กซ์) แท็กซี่ที่สามารถลุยได้ ไม่ว่าจะเป็นทางลูกรัง หรือน้ำท่วม สามารถไปรับ-ส่ง คุณ ได้ แบบไม่เหนื่อยยาก

ไว้เน้นวิ่งรับลูกค้าตามสนามบิน เหมานักท่องเที่ยว หรือรอรับลูกค้าตามหน้าโรงแรมต่างๆ มากกว่า

10 รถแท็กซี่รุ่นยอดนิยมในไทย

Mitsubishi Pajero Sport

Mitsubishi Pajero Sport (มิตซูบิชิ ปาเจโร่ สปอร์ต) นี่ก็เป็นรถประเภทเดียวกับแท็กซี่สายลุย เน้นรับนักท่องเที่ยวตามโรงแรม หรือรับลูกค้าตามสนามบิน เพราะถ้าวิ่งหาคนขึ้นแล้ว ไม่คุ้มค่าแก๊สแน่นอน!

10 รถแท็กซี่รุ่นยอดนิยมในไทย

BYD e6

สำหรับ BYD แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าจากจีน (ซึ่ง BYD ย่อมาจาก Build Your Dream) ที่เข้ามาทำตลาดในไทยแบบเงียบๆ มาหลายปี ในตอนนี้ได้บริษัท Siam ATR (สยาม แอดวานซ์ เทคโนโลยี่ รีเลชั่นชิป หรือบริษัทในเครือสยามกลการอุตสาหกรรม) เป็นตัวแทนจำหน่ายในปัจจุบัน

โดยโครงการ BYD e6 Taxi VIP (บีวายดี อี6) เกิดขึ้นในเดือนสิงหาคม 2561 เป็นความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและเอกชน ได้แก่ กรมการขนส่งทางบก, บริษัท ไรเซน เอนเนอร์จี จำกัด (ผู้จำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า BYD ในไทยในตอนนั้น) และบริษัท อีวี โซไซตี้ จำกัด (ผู้ประกอบการขนส่งรถ Taxi VIP) ซึ่ง BYD e6 Taxi VIP เป็นรถ Crossover MPV ที่มีดีไซน์เรียบง่าย นั่งได้ 5 ที่นั่ง

มาพร้อมชุดมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ AC Synchronous ให้กำลังสูงสุด 134 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ทำความเร็วสูงสุดได้ 149 กม./ชม. วิ่งได้มากถึง 400 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง พร้อมชุดแบตเตอรี่ลิเธียม-ไออน ฟอสเฟต ที่มีความจุมากถึง 80 kWh

10 รถแท็กซี่รุ่นยอดนิยมในไทย

Mercedes-Benz C 350 e Avantgarde

เมื่อ All Thai Taxi ตัดสินใจทำ “Taxi VIP” (แท็กซี่ วีไอพี) ด้วย Mercedes-Benz C 350 e Avantgarde (เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซี 350 อี อาวองการ์ด) ราคาคันละ 2,640,000 บาท เปิดตัวครั้งแรกในเดือนมิถุนายน 2561 ด้วยจำนวน 100 คันแรก เพื่อยกระดับรถแท็กซี่ให้ทัดเทียมมาตรฐานสากล รองรับผู้โดยสาร เช่น ลูกค้าองค์กรธุรกิจ, ธุรกิจโรงแรม, นักธุรกิจ และนักท่องเที่ยว ที่ต้องการความหรูหรา สะดวกสบาย

สำหรับอัตราค่าบริการ TAXI VIP เริ่มต้น 2 กิโลเมตรแรก 150 บาท กิโลเมตรต่อไป กิโลเมตรละ 12-16 บาท กรณีรถติดนาทีละ 6 บาท กรณีเรียกรถผ่านศูนย์บริการสื่อสารครั้งละไม่เกิน 50 บาท การจองล่วงหน้าและการจ้างจากท่าอากาศยานครั้งละไม่เกิน 100 บาท และให้บริการมีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้โดยสาร ตลอดการเดินทาง อาทิ น้ำดื่มฟรี, หนังสือพิมพ์, ผ้าเย็น, บริการฟรี Wi-Fi, ที่ชาร์จโทรศัพท์มือถือ ฯลฯ

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

ดูรถแท็กซี่แต่ละคันกันไปแล้ว หากใครที่อยากถอยแท็กซี่ออกมาขับบ้าง ก็ลองขายรถคันเดิมกับทาง Carro เพื่อนำเงินไปซื้อรถแท็กซี่มาหาเงินดูสิ โดยได้ราคาที่ดีที่สุด พร้อมปิดการขายภายใน 24 ชั่วโมง! มาขายรถกับทาง Carro Express สิ! คลิกเลยที่ https://th.carro.co/sell-car/express รับรองได้เงินเร็ว ไว ทันใจแน่นอน!

Carro Automall ตลาดรถ

ส่วนใครสนใจจะซื้อรถมือสอง Carro แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ คุณสามารถจองรถได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น! พร้อมคำนวณสินเชื่อและค่างวด ได้ภายในเว็บไซต์ทันที!

ซึ่ง Carro เรามีรถให้คุณเลือกมากมาย รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพโดย Carro Certified อย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 160 จุด, การันตีคืนเงินภายใน 5 วัน, รับประกันเครื่องยนต์และเกียร์ 1 ปี, รับประกันไม่กรอไมล์ และไม่ประสบอุบัติเหตุหนัก ไฟไหม้ หรือน้ำท่วม พร้อมรับประกันคุณภาพรถ 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร!

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” เลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา รวมถึงมีเทคโนโลยีสนับสนุนฝ่ายขาย ทั้ง Digital Device ที่เชื่อมต่อกับ Digital Screen นำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และจัดการเรื่องเอกสารให้กับลูกค้าให้ตั้งแต่ต้นจนจบ บวกกับ Online Viewing Service ที่ลูกค้าสามารถวิดีโอคอล ตรวจสภาพรถยนต์คันที่สนใจได้แบบเรียลไทม์ ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ Carro สิ!

หรือถ้าหากคุณสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงกรอกชื่อ-เบอร์โทรศัพท์ และรถที่คุณสนใจ ไว้ที่ “รับการแจ้งเตือน” เมื่อมีรถที่คุณต้องการ Carro จะรีบติดต่อไปยังคุณทันที สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> Carro Thailand โทร. 02-460-9380 หรือทาง Line @carrothai

หมายเหตุ : *ข้อมูล 10 อันดับข้างต้นนี้ เป็นข้อมูลที่ Update ณ เดือนมิถุนายน 2565 เมื่อเวลาผ่านไปราคาและอันดับดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ โปรดสอบถามรายละเอียดหรือราคาล่าสุด ที่ตัวแทนจำหน่ายรถรุ่นนั้นๆ อีกครั้ง

ต่อเติมโรงรถทาวน์เฮ้าส์ติดข้างบ้าน ผิดหรือไม่?

นับเป็นหนึ่งปัญหาโลกแตก ที่เพื่อนบ้านมักใช้เป็นเรื่องทะเลาะกันมานักต่อนักแล้ว สำหรับ “โรงรถ” ที่คนอยู่หมู่บ้านทาวน์เฮ้าส์ หรือทาวน์โฮม บางส่วนมักจะต่อเติมบ้านด้วยหลังคา หรือกันสาดออกมา ให้ปิดคลุมรถได้จนมิดทั้งคัน

แต่บางทีการต่อเติมบ้าน ก็อาจทำให้มีเรื่องผิดใจกับเพื่อนบ้านได้ เนื่องจากมีส่วนที่ยื่นล้ำ เกิน หรือรุกล้ำกินที่กำแพงบ้านออกไป หรือมีน้ำ เศษฝุ่นเศษขยะต่างๆ ไหลที่ลงในพื้นที่บ้านข้างเคียง ถ้าหนักกว่านั้นคือมีช่างก่อสร้างรุกล้ำเข้าไปก่อนอิฐฉาบปูน ทาสี ทิ้งขยะ ฯลฯ เป็นปัญหามากกว่าเดิมไปใหญ่

Mr.Carro จะมาเล่าให้ฟัง ว่าต่อเติมโรงรถบ้านทาวน์เฮ้าส์จนติดข้างบ้าน ผิดหรือไม่ …..

ต่อเติมโรงรถทาวน์เฮ้าส์ติดข้างบ้าน ผิดหรือไม่?

สำหรับการต่อเติมโรงรถ ทาวน์เฮาส์ ทาวน์โฮม ถ้าจะให้ตอบตามภาษากฎหมายแล้ว ก็คือผิดนะครับ

1. กรณีของบ้านทาวน์เฮ้าส์ ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 55 พ.ศ.2543 ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 ข้อ 50 (1) นั้น กำหนดให้ ผนังของอาคารที่มีหน้าต่าง ประตู ช่องระบายอากาศหรือช่องแสง หรือระเบียงของอาคารต้องมีระยะห่างจากแนวเขตที่ดิน ผนังหรือระเบียงต้องอยู่ห่างเขตที่ดินไม่น้อยกว่า 2 เมตร แต่เนื่องจากเสาที่ไว้สำหรับรับโครงหลังคานั้นไม่ใช้ผนัง จึงสามารถตั้งในที่ดินของเราได้โดยไม่จำต้องมีระยะห่างจากแนวเขตที่ดินกว่า 2 เมตร จึงสามารถหลังคาต่อเติมให้คลุมบริเวณที่จอดรถภายในบ้านทาวน์เฮ้าส์ได้

2. ต่อมามีกฎกระทรวงฉบับที่ 68 พ.ศ. 2563 ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ได้เพิ่มนิยามคำว่า “แนวอาคาร” หมายความว่า แนวผนัง เสา หรือบันไดที่อยู่ด้านนอกสุดของอาคาร ยกเว้นบันไดหนีไฟภายนอกอาคารที่มีลักษณะโปร่ง” ดังนั้น เสาจึงถือเป็นแนวอาคารตามนิยามดังกล่าว ในการตั้งเสาเพื่อรับโครงหลังคาที่ต้องการต่อเติมจึงต้องเว้นระยะตามตามกฎกระทรวงฉบับที่ 55 พ.ศ.2543 ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 ข้อ 50 (1) ด้วย เว้นแต่จะได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากเจ้าของที่ดินข้างเคียงด้านนั้น จึงจะเว้นระยะไว้เพียง 50 เซนติเมตรได้

ต่อเติมโรงรถทาวน์เฮ้าส์ติดข้างบ้าน ผิดหรือไม่?

การต่อเติมใดบ้าง ที่ไม่ต้องแจ้งเขต หรือหน่วยงานท้องถิ่น?

  • การเพิ่มหรือลดเนื้อที่ของพื้นชั้นใดชั้นหนึ่ง หรือเนื้อที่ของหลังคา รวมกันไม่เกิน 5 ตร.ม. และไม่มีการเพิ่มหรือลดจำนวนเสาหรือคาน ซึ่งหมายความว่า ถ้าเกินกว่า 5 ตร.ม. ก็ต้องขออนุญาต

ต่อเติมโรงรถทาวน์เฮ้าส์ติดข้างบ้าน ผิดหรือไม่?

หากต้องการคุณต้องการทำโรงรถจนชนชิดถึงแนวเขตที่ดิน (กำแพงบ้าน) ส่วนใหญ่มักเกินกว่า 5 ตร.ม. อันนี้ต้องขออนุญาตจากหน่วยงานท้องถิ่นแล้ว กรณีสร้างชิดติดกำแพงเพื่อนบ้าน ยังต้องมีขออนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากเพื่อนบ้านข้างๆ แล้ว ยังต้องจัดทำเป็นผนังทึบ และห้ามระบายน้ำลงในเขตเพื่อนบ้านด้วยครับ

มิฉะนั้นอาจเป็นเรื่องใหญ่ได้ หากเพื่อนบ้านไม่พอใจหรือไม่ยอม ไปฟ้องทางนิติบุคคลหรือทางเขต คุณอาจต้องเสียเวลามารื้อทิ้งในภายหลังได้

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์คันใหม่ให้เหมาะกับโรงรถบ้านคุณ มาขายรถกับทาง Carro Express สิ! คลิกเลยที่ https://th.carro.co/sell-car/express รับรองได้เงินเร็ว ไว ทันใจแน่นอน!

Carro Automall ตลาดรถ

ส่วนใครสนใจจะซื้อรถมือสอง Carro แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ คุณสามารถจองรถได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น! พร้อมคำนวณสินเชื่อและค่างวด ได้ภายในเว็บไซต์ทันที!

ซึ่ง Carro เรามีรถให้คุณเลือกมากมาย รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพโดย Carro Certified อย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 160 จุด, การันตีคืนเงินภายใน 5 วัน, รับประกันเครื่องยนต์และเกียร์ 1 ปี, รับประกันไม่กรอไมล์ และไม่ประสบอุบัติเหตุหนัก ไฟไหม้ หรือน้ำท่วม พร้อมรับประกันคุณภาพรถ 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร!

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” เลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา รวมถึงมีเทคโนโลยีสนับสนุนฝ่ายขาย ทั้ง Digital Device ที่เชื่อมต่อกับ Digital Screen นำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และจัดการเรื่องเอกสารให้กับลูกค้าให้ตั้งแต่ต้นจนจบ บวกกับ Online Viewing Service ที่ลูกค้าสามารถวิดีโอคอล ตรวจสภาพรถยนต์คันที่สนใจได้แบบเรียลไทม์ ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ Carro สิ!

หรือถ้าหากคุณสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงกรอกชื่อ-เบอร์โทรศัพท์ และรถที่คุณสนใจ ไว้ที่ “รับการแจ้งเตือน” เมื่อมีรถที่คุณต้องการ Carro จะรีบติดต่อไปยังคุณทันที สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> Carro Thailand โทร. 02-460-9380 หรือทาง Line @carrothai

แหล่งที่มาบางส่วนจาก: