รีวิว Toyota Vios Gen.3 มือสอง City Car สปอร์ตใสใส วัยรุ่นชอบ

Toyota Vios (โตโยต้า วีออส) มือสอง ถือเป็นรถยอดนิยม ยอดฮิตของคนไทยเลยก็ว่าได้ และถือเป็นรถเรือธงจากค่ายโตโยต้า ที่มียอดขายดิบขายดีทุกปีทุกสมัย (แม้ว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Toyota จะเริ่มหันไปเน้นความสำคัญกับ Toyota Yaris ATIV มากขึ้นก็ตาม)

รีวิว Toyota Vios Gen.3 มือสอง City Car สปอร์ตใสใส วัยรุ่นชอบ

“Vios” ถือกำเนิดครั้งแรกในชื่อ “Soluna” เข้าสู่ตลาดเมืองไทยครั้งแรกในปี 2540 มาจนถึง “Vios” รุ่นที่ 3 ในปี 2556 สามารถครองตำแหน่งยอดขายสูงสุดเป็นอันดับ 1 ด้วยยอดขายสะสมตั้งแต่เปิดตัวจนถึงปัจจุบันที่มากกว่า 847,910 คัน *(ยอดขายถึงเดือนธันวาคม 2559) นับเป็นส่วนแบ่งการตลาดถึง 40% และมียอดขายรวมเป็นอันดับ 1 ในประเทศไทย ในกลุ่มรถยนต์นั่งขนาด 1.5 ลิตร

รีวิว Toyota Vios Gen.3 มือสอง City Car สปอร์ตใสใส วัยรุ่นชอบ

โดย Toyota Vios เจเนอเรชั่นที่ 3 ที่มีขายอยู่ในตลาดรถบ้านเรานั้น เปิดตัวครั้งแรกในโลกที่ไทย เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2556 ล่วงมาจนถึงเดือนมีนาคม 2559 ได้ปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์และระบบเกียร์ใหม่ เซ็ทระบบช่วงล่างและพวงมาลัยใหม่ ก่อนจะปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ใหญ่ไปเมื่อเดือนมกราคม 2560 ที่ผ่านมา

ซึ่งตลอดระยะเวลาก็มีรุ่นพิเศษ อาทิเช่นรุ่น TRD Sportivo หรือรุ่น Executive ออกมาสร้างสีสัน และเป็นทางเลือกสำหรับลูกค้าที่ชอบรถผลิตจำนวนจำกัด เข้ามาให้เลือก จนยุติสายการผลิตไปเมื่อช่วงเดือนสิงหาคม 2565 นี่เอง

สำหรับ โตโยต้า วีออส (Gen.3 โฉมแรก) รุ่นนี้มีดีอะไร ทำไมถึงยังยอดฮิตในตลาดรถมือสอง วันนี้ Mr.Carro จะมาบอกเล่ารายละเอียดให้ฟังครับ.

รีวิว Toyota Vios Gen.3 มือสอง City Car สปอร์ตใสใส วัยรุ่นชอบ

สำหรับ Toyota Vios โฉมนี้ มาภายใต้แนวคิด “Value Beyond Belief” ด้วยการดีไซน์ภายนอก-ภายในใหม่หมดจรดทั้งคัน ตอนเปิดตัวครั้งแรก มีทั้งหมด 4 รุ่นย่อย ได้แก่ J, E, G และ S โดยในรุ่น J และ E นั้นมี 2 รุ่นย่อยให้เลือก ทั้งแบบเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด เปิดราคาเริ่มต้นที่ 559,000 บาท

ก่อนจะเลิกผลิตเกียร์ธรรมดาทั้งหมดในช่วงโฉมหลังๆ ปรับเป็นเกียร์อัตโนมัติ CVT 7 สปีด พร้อม Sequential Shift และปรับชื่อรุ่นย่อยไปเป็น Mid, Entry และ High เป็นต้น

ในเดือนกรกฎาคม 2556 Toyota ได้โปรโมทแคมแปญ “VIOS V Control” ที่แสดงถึงความโดดเด่นในเรื่องการควบคุม และการทรงตัวที่เหนือชั้น โดยตัวอักษร “V” มาจากอักษรตัวแรกของ Vios และหมายถึงสัญลักษณ์ “V” หรือเลข 5 ในภาษาโรมันอีกด้วย ดังนั้น คำว่า “V Control” จึงหมายถึง การทำงานร่วมกันของ 5 คุณลักษณะเด่น ของ Vios เพื่อสู่อีกระดับของรถยนต์ที่มีการควบคุมที่เหนือกว่า

โดย 5 องค์ประกอบของ V Control ประกอบไปด้วย

  1. ดีไซน์ Aerodynamic คือ การออกแบบชิ้นส่วนต่างๆ ตามหลักอากาศพลศาสตร์ เพื่อลดแรงเสียดทานของอากาศ ช่วยให้การขับขี่ทางตรงทำได้อย่างมั่นคง ทรงตัวดี ประหยัดน้ำมันเป็นเยี่ยม เช่น Aero Stabilizing Fin ครีบรีดอากาศบริเวณกระจกมองข้างและไฟท้าย ช่วยสร้างกระแสลมวน และแรงกดบริเวณด้านข้างตัวรถ เพิ่มประสิทธิภาพในการทรงตัว, Air Spats ลดแรงต้านของกระแสลมบริเวณล้อหน้าและหลัง ทำให้กระแสลมไหลผ่านตัวรถได้ดียิ่งขึ้น, ครีบใต้ท้องรถ บริเวณพื้นรถด้านหน้าช่วยให้ลมไหลผ่านท้องรถได้ดีขึ้นให้การทรงตัวที่ดีขึ้น และหลังคาแบบ Catamaran ออกแบบหลังคาให้มีแนวลึก 2 แนว ช่วยให้หลังคารถมีความแข็งแกร่ง และมีน้ำหนักเบา
  2. พวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า EPS ใหม่ ปรับปรุงระบบพวงมาลัยใหม่ ควบคุมแม่นยำมากขึ้น โดยระบบจะปรับน้ำหนักของพวงมาลัยอัตโนมัติให้เหมาะสมกับทุกสภาพความเร็ว
  3. ช่วงล่างปรับจูนใหม่ เกาะถนน นุ่มนวล
  4. ระบบเบรกใหม่ หยุดรถได้ทันใจ ใช้ระยะทางสั้นกว่าเดิม
  5. โครงสร้างตัวถังรถที่แข็งแกร่งขึ้น จากการเพิ่มจุดเชื่อมมากกว่า 100 จุด ทั่วทุกพื้นที่ของโครงสร้างตัวถัง พร้อมเสริมเหล็กค้ำขนาดใหญ่ใต้พื้นรถถึง 3 จุด ทำให้โครงสร้างรถแข็งแกร่ง ทนทานทนต่อแรงบิดและแรงดึงสูง และมีน้ำหนักเบา

รีวิว Toyota Vios Gen.3 มือสอง City Car สปอร์ตใสใส วัยรุ่นชอบ

ขณะที่เครื่องยนต์ใช้ขนาด 1.5 ลิตร ตัวเดิมที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2002 นั่นคือรหัส 1NZ–FE แบบ 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว VVT-i ให้แรงม้าสูงสุด 109 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที ส่วนแรงบิดสูงสุด 141 นิวตันเมตร ที่ 4,200 รอบ/นาที รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 หรือออกเทน 91 ขึ้นไป

โดยเครื่องยนต์รหัส 1NZ-FE ในโฉมนี้ได้รับการปรับปรุงในหลายจุด เช่น ปรับโปรแกรมควบคุมเครื่องยนต์ และระบบเกียร์อัตโนมัติ ให้ทำงานเข้ากันอย่างราบรื่นขึ้น นอกจากนี้ยังปรับการทำงานของคันเร่งไฟฟ้า ให้ทำงานดีขึ้น และเปลี่ยนยางแท่นเครื่องใหม่ ลดการสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์ เป็นต้น

ส่วนในรุ่นปี 2016 ที่ออกแบบมาให้รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ได้นั้น เครื่องยนต์จะเป็นรหัส 2NR-FBE แบบ 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว Dual VVT-i ให้แรงม้าสูงสุด 108 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที ส่วนแรงบิดสูงสุด ที่ 140 นิวตันเมตร ที่ 4,200 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ CVT 7 สปีด พร้อม Sequential Shift เพียงแบบเดียว

รีวิว Toyota Vios Gen.3 มือสอง City Car สปอร์ตใสใส วัยรุ่นชอบ

ภายนอกของรุ่น G

เกริ่นข้อมูลเทคนิคกันพอหอมปากหอมคอ ก็มาถึงดีไซน์การออกแบบ รวมไปถึงมิติขนาดตัวรถกันบ้าง โดยมองรวมๆ รูปลักษณ์ของรถรุ่นนี้สวยกว่ารุ่นก่อน ดูทันสมัย-โมเดิร์น มีเหลี่ยมมีมุม ทำให้ดูมีมิติแตกต่างจากรุ่นก่อนที่จะดูโค้งๆ มนๆ ตัวเส้นสายทั้งด้านหน้า ด้านข้าง และด้านหลังก็ดูลงตัวขึ้น ที่สำคัญ โครงสร้างตัวถังแข็งแรงกว่ารุ่นเดิมถึง 20%

โตโยต้า วีออส มีขนาดความยาว 4,410 มม. กว้าง 1,700 มม. สูง 1,475 มม. ระยะฐานล้อ 2,550 มม. น้ำหนักตัวรถอยู่ที่ 1,020 -1,075 กก. (แต่ละรุ่นน้ำหนักจะแตกต่างกันเล็กน้อย)

รีวิว Toyota Vios Gen.3 มือสอง City Car สปอร์ตใสใส วัยรุ่นชอบ

ภายนอกของรุ่น S

ดีไซน์ด้านหน้ามีจุดดึงดูดคือไฟหน้าโปรเจคเตอร์รมดำ กระจังหน้าแบบโครเมียมรมดำ (ในรุ่นท็อป) แต่ถ้าเป็นรุ่นรองท็อปจะเป็นไฟโปรเจคเตอร์เฉยๆ พร้อมทั้งกระจังหน้าโครเมียม และในรุ่นปกติทั่วไปจะเป็นไฟหน้าแบบมัลติรีเฟลกเตอร์ กระจังหน้าจะเป็นสีเดียวกับตัวรถและมีแถบโครเมียม และมีไฟตัดหมอกหน้าซ้าย-ขวา มุมมองด้านข้างของรุ่นท็อปจะเห็นล้ออัลลอยรมดำ 16 นิ้ว แต่ในรุ่นรองท็อปจะเป็นขนาด 15 นิ้ว

และเมื่อไล่เลียงมาสำรวจบั้นท้ายของรถรุ่นนี้ ก็จะเห็นคิ้วฝากระโปรงท้ายที่โดดเด่นเป็นสง่าด้วยโครเมียมรมดำ และเช่นเดียวกันถ้าไม่ใช่รุ่นท็อป ก็จะเป็นแบบโครเมียมธรรมดา มองซ้าย-ขวาจะเห็นไฟท้ายแบบมัลติรีเฟล็กเตอร์

ในแง่การดีไซน์ ออกแบบทั้งด้านหน้า-ด้านหลัง รวมไปถึงภายในภายนอก ถือว่ารุ่นนี้ทำได้ดีกว่ารุ่นก่อนอย่างมาก ทั้งดูทันสมัยขึ้น ดูดุขึ้น เพราะรุ่นเดิมนั้นดูจะโล้นๆ ไม่มีอะไร (แต่ก็ขายได้เรื่อยๆ) ส่วนภายในห้องโดยสารก็มีความพยายามที่จะให้อารมณ์สปอร์ต ซึ่งก็ต้องชมเชยว่าทำได้ดี สมราคาสมคุณค่าที่จะต้องจ่ายไป

รีวิว Toyota Vios Gen.3 มือสอง City Car สปอร์ตใสใส วัยรุ่นชอบ

ภายในของรุ่น G

มาดูภายในห้องโดยสารกันบ้าง เลิกใช้มาตรวัดอยู่ตรงกลางแล้ว โดยรวมๆ ออกแบบให้ห้องโดยสารกว้างขวางที่สุด ด้วยการออกแบบแผงคอนโซลให้มีขนาดเล็ก เพื่อให้ห้องโดยสารกว้าง ให้อารมณ์สปอร์ต และหรูหรา มีให้เลือกทั้งสีเบจและสีดำ ตั้งแต่ตัวเบาะ ตัวแผงคอนโซล และวัสดุตกแต่งแผงประตูที่เป็นแบบ Piano Black ในรุ่นท็อป และรองท็อป

แต่รุ่นพื้นฐานก็ใช่ว่าจะแตกต่าง เพราะใช้แบบเมทัลลิก และสีดำ แต่หากใครที่อยากได้อารมณ์สปอร์ตสุดสุด ก็ต้องเลือกรุ่นท็อปไปเลย เพราะคุณจะได้เบาะที่นั่งลายสปอร์ตโทนสีฟ้า

รีวิว Toyota Vios Gen.3 มือสอง City Car สปอร์ตใสใส วัยรุ่นชอบ

ภายในของรุ่น S

ความสะดวกสบายในการนั่งนั้น สำหรับเบาะทรงนี้ก็ต้องบอกว่าไม่ไหล ไม่ลื่น เพราะทรงเบาะโอบกระชับ และยังปรับระดับสูงต่ำได้ตามสรีระร่างกาย ส่วนเบาะที่นั่งด้านหลัง ก็นั่งได้สบายๆ ไม่แคบไปไม่กว้างไป ไม่ได้อึดอัดอะไร เพราะในส่วนด้านหลังของเบาะหน้าออกแบบใหม่ให้มีส่วนโค้งเว้า คนนั่งด้านหลังจึงมีพื้นที่หัวเข่าเพิ่มขึ้น 48 มม. และมีระยะห่างระหว่างคนขับและคนนั่งหลังเพิ่มขึ้น 10 มม. มีพื้นที่วางขาเพียงพอ

ส่วนพวงมาลัยเป็นแบบพาวเวอร์ไฟฟ้า EPS ปรับสูงต่ำได้ พร้อมหุ้มหนังและสวิตซ์ควบคุมเครื่องเสียง ด้วยสารพัดปุ่มๆ ที่ถูกติดตั้งอยู่ ตรงหน้าผู้ขับขี่จะเห็นมาตรวัดอนาล็อก และจอแสดงผลการขับขี่ พร้อมสัญลักษณ์ ECO เมื่อมีการขับขี่แบบประหยัด แถมยังมีระบบสตาร์ทอัจฉริยะ (Push Start) อีกด้วย

รีวิว Toyota Vios Gen.3 มือสอง City Car สปอร์ตใสใส วัยรุ่นชอบ

ระบบปรับอากาศของรถรุ่นนี้เป็นแบบระบบอัตโนมัติ และมีจอแสดงผล LED ดูเก๋กู้ดมาก ขณะที่อุปกรณ์เพื่อความบันเทิงต่างๆ นั้น ในรุ่นนี้มาพร้อมกับ วิทยุแบบ OEM แบบ 2 DIN ที่ติดตั้งมาจากโรงงาน มี Front End ทั้ง CD, MP3, WMA และช่องต่อ USB, AUX พร้อมทั้งลำโพง 4 ตัว ใช้งานง่าย

ระบบกันสะเทือนแบบเดียวกับ Vios รุ่นเดิม ด้านหน้าอิสระแม็กเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังทอร์ชั่นบีม คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง จึงส่งผลให้ช่วงล่างมีความมั่นคงยิ่งขึ้น โดยที่ยังคงใช้สปริงและช๊อกแอ็บซอร์เบอร์เหมือนรุ่นเดิม ส่วนระบบเบรกได้รับการปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพด้วยระบบท่อสุญญากาศ 2 เส้น ใช้แรงดันจากเครื่องยนต์ซึ่งควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์มาควบคุมระบบเบรก ช่วยให้การเบรกมีประสิทธิภาพดีขึ้น โดยเฉพาะที่ความเร็วสูง

รีวิว Toyota Vios Gen.3 มือสอง City Car สปอร์ตใสใส วัยรุ่นชอบ

มาตรฐานความปลอดภัย มาแบบจัดเต็มในทุกรุ่นย่อย ทั้งระบบควบคุมการทรงตัว (VSC) (ในโฉมไมเนอร์เชนจ์), ระบบเบรคป้องกันล้อล็อก (ABS), ระบบกระจายแรงเบรค (EBD) และระบบเสริมแรงเบรค (BA) และถุงลมนิรภัย เป็นต้น

สำหรับข้อมูลจากทีมวิศวกร Toyota โดยการทดสอบของ โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ระบุว่า ทดสอบรถรุ่นนี้บน Dyno ในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 11.4 วินาที ทำความเร็วได้สูงสุด 179 กม./ชม. อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเฉลี่ย 16.1 กม./ลิตร

รีวิว Toyota Vios Gen.3 มือสอง City Car สปอร์ตใสใส วัยรุ่นชอบ

ทัศนะความคุ้มค่าน่าใช้ โดย Mr.Carro …

ความคุ้มค่าตอนซื้อ

รุ่นนี้ในตลาดรถมือสอง ถือว่าได้รับความนิยมมาก พูดได้เลยว่าซื้อง่ายขายคล่อง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนวัยทำงานใหม่ พ่อค้าแม่ค้า คนทำงานอาชีพอิสระ หรือบริษัทต่างๆ ที่ซื้อไว้ใช้งานเป็นรถประจำบริษัท มีวิ่งกันเกลื่อนเมือง

ความคุ้มค่าตอนใช้งาน

รุ่นนี้ช่วงล่างถือว่าปรับปรุงมาดี แม้ว่าจะเป็นแบเดิมกับ Vios โฉมก่อนหน้า แต่ได้ปรับปรุงเหล็กกันโคลงกับทอร์ชั่นบาร์ใหม่ พร้อมเสริมบาร์หลังด้านท้าย ปรับจูนโช๊คอัพใหม่ให้ค่า Rebound ที่ไม่หนืดหรือกระด้างไป ขับแล้วนุ่มนวล ไม่กระด้างและยวบยาบ แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นรถขนาดไม่ใหญ่ เวลาวิ่งด้วยความเร็วสูงก็ยังรู้สึกมั่นคง ไม่ลอย เข้าโค้งถือว่าเกาะถนนดี ไม่เอียง

พวงมาลัยไฟฟ้ามีความหนืดพอดี มั่นคงในทุกช่วงความเร็ว ไม่หนักและไม่เบาจนเกินไป ส่วนระบบดิสก์เบรก 4 ล้อ เกาะถนนหนึบดีกว่ารถหลายๆ รุ่นเลย เพราะระบบเบรกได้เพิ่มสายต่อออกจากหม้อลมเบรกเป็นสองเส้น

ส่วนห้องโดยสารภายใน ถือว่าเก็บเสียงเงียบใช้ได้ เพราะใช้กระจกบังลมหน้าแบบ Acoustic Glass เหมาะกับการขับขี่ในเมือง ส่วนการขับขี่ด้วยความเร็วสูง หรือลากรอบเครื่องยนต์สูงๆ ก็ยังคงมีเสียงเล็ดลอดเข้ามาดังอยู่บ้าง

อีกทั้งท่านั่งในการขับขี่ ผู้เขียนสูง 170 ซม. ก็ยังสามารถปรับเบาะให้นั่งขับด้านหน้าได้สบายๆ รวมถึงตอนย้ายไปนั่งบริเวณด้านหลังคนขับ หัวไม่ติดเพดานในรถ

การตอบสนองของคันเร่งค่อนข้างดี ให้อัตราเร่งที่ทันใจ การเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติของระบบที่ค่อนข้างลื่นไหลกว่าเดิม ไม่มีอาการกระตุก (แต่ถ้าเป็นรุ่นเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT จะดีกว่านี้อีก)

การใช้งานในเมือง ประหยัดน้ำมันเฉลี่ย 10-12 กม./ลิตร และการใช้งานนอกเมือง ประหยัดน้ำมันเฉลี่ย 16-17 กม./ลิตร

ขณะที่จุดด้อยเท่าที่เห็น คือหลายคนมักบอกว่า วีออส โฉมนี้ (ตัวก่อนไมเนอร์เชนจ์) ยังใช้เครื่องเก่าเกียร์เดิมตั้งแต่ Soluna Vios ตัวแรก แต่ผมมองว่ามันเป็นข้อดีอย่างหนึ่ง เครื่องยนต์ตัวนี้ก็ถูกพิสูจน์มาแล้วว่าทนทานไม่จุกจิก ระบบเกียร์ก็ทนทาน

รีวิว Toyota Vios Gen.3 มือสอง City Car สปอร์ตใสใส วัยรุ่นชอบ

ความคุ้มค่าตอนซ่อม

ตัวรถไม่จุกจิก ทนทาน ประหยัด ราคาอะไหล่ไม่แพง เตรียมงบไว้สำหรับดูแลตามปกติ ปีละ 5,000 – 10,000 บาท (กรณีดูแลรักษาทั่วไป ถ้ามีเช็คระยะใหญ่ ก็อาจจะต้องเตรียมเงินไว้เพิ่ม) ครับ

ความคุ้มค่าตอนขายต่อ

สำหรับ Toyota Vios โฉมปี 2013 – ปัจจุบัน มีราคามือสองอยู่ที่ 275,000 – 550,000 บาท (เป็นราคาในตลาดรถปี 2565 โดยประมาณ และขึ้นอยู่กับปีรถ รุ่นย่อย กับ สภาพของตัวรถ)

Download Catalogue Toyota Vios (คลิกที่นี่)

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์คันใหม่ มาขายรถกับทาง Carro Express สิ! คลิกเลยที่ https://th.carro.co/sell-car/express รับรองได้เงินเร็ว ไว ทันใจแน่นอน!

Carro Automall Toyota Vios / โตโยต้า วีออส

สำหรับใครที่รักรถ Toyota Vios และอยากเป็นเจ้าของ Toyota Vios สภาพเยี่ยมสักคัน Carro แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ เรามี โตโยต้า วีออส ให้คุณเลือกมากมาย คุณสามารถจองรถ Toyota Vios ได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น! พร้อมคำนวณสินเชื่อและค่างวด ได้ภายในเว็บไซต์ทันที!

ซึ่ง โตโยต้า วีออส ทุกคัน ผ่านการตรวจสภาพโดย Carro Certified อย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 160 จุด, การันตีคืนเงินภายใน 5 วัน, รับประกันเครื่องยนต์และเกียร์ 1 ปี, รับประกันไม่กรอไมล์ และไม่ประสบอุบัติเหตุหนัก ไฟไหม้ หรือน้ำท่วม พร้อมรับประกันคุณภาพรถ 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร!

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” เลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา รวมถึงมีเทคโนโลยีสนับสนุนฝ่ายขาย ทั้ง Digital Device ที่เชื่อมต่อกับ Digital Screen นำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และจัดการเรื่องเอกสารให้กับลูกค้าให้ตั้งแต่ต้นจนจบ บวกกับ Online Viewing Service ที่ลูกค้าสามารถวิดีโอคอล ตรวจสภาพรถยนต์คันที่สนใจได้แบบเรียลไทม์ ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ Carro สิ!

หรือถ้าหากคุณสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงกรอกชื่อ-เบอร์โทรศัพท์ และรถที่คุณสนใจ ไว้ที่ “รับการแจ้งเตือน” เมื่อมีรถที่คุณต้องการ Carro จะรีบติดต่อไปยังคุณทันที สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> Carro Thailand โทร. 02-460-9380 หรือทาง Line @carrothai

แนะนำรถ 5 รุ่นเหมาะสำหรับเด็กจบใหม่ ที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยทำงาน

การสำเร็จการศึกษา คือ ก้าวสำคัญสำหรับอนาคต หมายถึงโลกใหม่ เส้นทางใหม่ และความท้าทายใหม่ การมองหารถสักคันสำหรับการใช้งานในฐานะของเด็กจบใหม่วัยทำงานจึงเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อให้ได้ “รถที่ดีที่สุด” ที่เป็นเหมือนทั้งของขวัญวันสำเร็จการศึกษาและรถคู่ใจสำหรับเริ่มต้นวัยทำงาน รู้ใจเลยอยากแนะนำนักศึกษาจบใหม่ทุกคนในการซื้อรถคันแรก ว่าคันไหนที่จะโฉบเฉี่ยวทันสมัยเหมาะสำหรับไลฟ์สไตล์ชีวิตในเมือง ที่สำคัญต้องราคาสบายกระเป๋า จะซื้อสดก็ได้ จะผ่อนก็ไม่หนักเกินไป มีรุ่นไหนบ้าง ไปดูกันเลย

แนะนำรถ 5 รุ่นเหมาะสำหรับเด็กจบใหม่ ที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยทำงาน

5 รุ่นรถสำหรับ “เด็กจบใหม่วัยทำงาน” ที่อยากซื้อรถคันแรก

ต้องบอกว่าในปัจจุบันนี้มีรถรุ่นใหม่ออกมาให้เลือกมากมาย โดยเฉพาะรถยนต์พลังงานไฟฟ้าจากประเทศจีนที่มีขนาดกะทัดรัด เหมาะสมสำหรับการใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ แต่ตำแหน่งของรถยอดนิยมที่ยังอยู่ในหัวใจนักขับก็แทบจะไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนัก จากรถหลายรุ่นจำนวนนับร้อย รู้ใจขอเลือกมาเพียง 5 รุ่นเท่านั้นที่ถูกอกถูกใจสำหรับนักขับรุ่นใหม่ จะมีรถรุ่นไหนเข้ารอบบ้าง มาทำความรู้จักไปพร้อมกันได้เลย

แนะนำรถ 5 รุ่นเหมาะสำหรับเด็กจบใหม่ ที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยทำงาน

1. Suzuki Swift

หนึ่งในดวงใจที่ยังคงติดอันดับรถเล็กสำหรับการใช้งานในเมืองที่มีความทันสมัยที่มาพร้อมกับความคล่องแคล่ว คล่องตัวอยู่เสมอกับ Suzuki Swift ที่มีการปรับปรุงรูปโฉมมาตั้งแต่ครั้งแรกมาสู่รถเก๋งดีไซน์น่ารัก โฉบเฉี่ยวและคงความทันสมัยเอาไว้ได้อย่างลงตัว เรียกว่าถ้าใครเคยรู้จักกับ Suzuki Swift รุ่นแรก คงแทบไม่รู้เลยว่ารถคันนี้เดินทางมาไกลได้ขนาดนี้ ด้วยรูปทรงที่สวยงาม สะดุดตา พร้อมด้วยพลังเครื่องยนต์ที่มีขนาด 1.0 ที่ต้องบอกว่ารถมอเตอร์ไซต์บางรุ่นยังประหยัดน้อยกว่ารถเก๋งดีไซน์น่ารักคันนี้

ด้วยพื้นที่ใช้สอยที่ออกแบบมาได้กว้างขวางมากกับขนาดเล็กหลอกตา ต้องบอกว่า เป็นความคุ้มค่าคุ้มราคาที่ออกแบบมาได้อย่างลงตัว สำหรับชีวิตในการทำงานที่มีเอกสารมากมาย หรือการพักผ่อนในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์กับเพื่อนฝูงที่รู้ใจ Suzuki Swift พร้อมทำหน้าที่เป็นพาหนะที่ตอบโจทย์ทุกการใช้งานได้อย่างลงตัว และที่สำคัญอยู่ในราคาที่เบาและเป็นเจ้าของได้ง่าย ๆ นับจากวันจบการศึกษาเลยก็ว่าได้ โดยราคาในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 557,000 บาทเท่านั้น แถมยังประหยัดน้ำมันอีกด้วย

แนะนำรถ 5 รุ่นเหมาะสำหรับเด็กจบใหม่ ที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยทำงาน

2. Mitsubishi Mirage / Mitsubishi Attrage

อีกหนึ่งค่ายผลิตรถชั้นนำที่ออกแบบรถมาได้อย่างลงตัวสำหรับใครก็ตามที่อาจมองว่ารถในระดับ 1.0 ลิตรนั้นมันเล็กไปสำหรับผู้ชายตัวใหญ่ร่างโต ดังนั้น การมองหารถเก๋งที่มีพื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวางขึ้นจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมาก และหนึ่งในรูปแบบรถที่ตอบโจทย์ได้ตรงตามความต้องการของคุณคือ Mitsubishi Mirage / Mitsubishi Attrage สองตัวเลือกที่แสนโดนเด่นจากค่าย Mitsubishi ที่คุณต้องร้องว้าวทั้งในรูปทรงและประสิทธิภาพในการใช้งานอย่างแน่นอน

สำหรับรูปลักษณ์ภายนอก เรียกว่าตอบสนองคนรักรถบอดี้ใหญ่ได้เป็นอย่างดี ทั้งพื้นที่ในห้องโดยสารที่กว้างขวาง ไม่ว่าจะปรับรูปแบบเพื่อการรับเพื่อนไปทำงานด้วยกันหรือวันพักผ่อนยามเลิกงาน หรือพื้นที่สำหรับการใส่เอกสารสำหรับการนำเสนองานต่าง ๆ ที่ใส่ได้ทั้งในพื้นที่โดยสารหรือพื้นที่เก็บของด้านหลังก็สามารถทำได้อย่างลงตัว มาพร้อมขุมพลังระดับ 1.0 ลิตรอีกเช่นกัน แต่ดีไซน์นั้นเหมือนรถหรูในระดับที่เหนือกว่า Mitsubishi Mirage / Mitsubishi Attrage จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอีกแบบสำหรับการซื้อรถคันแรกสำหรับวัยทำงานของคุณ โดยราคาเปิดตัวของ Mitsubishi Mirage อยู่ที่ 523,000 บาท และMitsubishi Attrage เปิดตัวในราคา 543,000 บาท เท่านั้น

แนะนำรถ 5 รุ่นเหมาะสำหรับเด็กจบใหม่ ที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยทำงาน

3. Nissan March

หนึ่งในดวงใจของผู้รักความเร็ว ความแรง และความแข็งแกร่งของตัวถังรถกับ Nissan March ความน่ารักที่มากับความแข็งแกร่งที่ออกแบบมาได้อย่างลงตัว การออกแบบที่เน้นความโค้งเว้าที่สร้างความน่ารักน่าสนใจ แตกต่างไปจากการออกแบบรถทั่วไป อีกทั้งด้วยเทคโนโลยี Eco car ที่ถูกนำเข้ามาในรถคันนี้กับเครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร ที่มีพลังขับเคลื่อนที่ดีมาก แถมยังประหยัดน้ำมันเป็นเลิศ เดินทางในเมืองใหญ่ได้แบบสบาย ๆ ไม่ต้องกังวลเรื่องของการเผาผลาญน้ำมันที่สิ้นเปลืองเกินเหตุ

นอกจากนั้น ด้วยดีไซน์ภายในห้องโดยสารที่หรูหรา ทันสมัย เพิ่มเติมฟังก์ชันต่าง ๆ สำหรับการขับขี่และการผ่อนคลายความเหนื่อยล้าด้วยระบบมัลติมีเดียครบครัน ทำให้รถเล็กรุ่นนี้เป็นยนตรกรรมที่เต็มเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพสำหรับการขับรถในเมืองใหญ่ จะรถติดแค่ไหน Nissan March ก็พร้อมเป็นเพื่อนอยู่เคียงข้างสร้างความสนุกสนานให้กับคุณทั้งในวันทำงานอันแสนเร่งรีบ และวันพักผ่อนอันแสนเร้าใจ นี่แหละ รถคู่ใจคนวัยมันส์ในยามเริ่มต้นวัยทำงานในปีแรกกับสนนราคาเบาที่สุดเพียงแค่ 420,000 บาทเท่านั้น โดยรุ่นท็อปสุดของ Nissan March อยู่ที่ 495,000 บาท เท่านั้น

แนะนำรถ 5 รุ่นเหมาะสำหรับเด็กจบใหม่ ที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยทำงาน

4. Toyota Yaris ATIV

สนามการแข่งขันนี้ไม่มีเขาได้อย่างไร กับความโฉบเฉี่ยวทันสมัยกับ Eco car ขนาดเล็กราคาเบา ๆ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ชีวิตในเมืองได้อย่างลงตัวกับ Toyota Yaris ATIV ที่ออกแบบมาเอาใจนักขับอย่างเต็มที่ทั้งในรูปโฉม Hatchback และ Sedan ที่ปรับฟังก์ชันสำหรับการใช้งานได้อย่างเต็มที่ ที่มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกแบบ “ทะลุออกหน้าต่างรถ” ทั้งระบบมัลติมีเดียสำหรับการสร้างความบันเทิงในการเดินทาง พร้อมกับแผ่นกรองอากาศที่สร้างความสดชื่นภายในตัวรถที่เป็นนวัตกรรมการออกแบบที่ใส่ใจในตัวผู้ขับขี่อย่างมาก

ความโดดเด่นคือการออกแบบที่มีหลากหลายเวอร์ชันให้เลือก เรียกกันว่าละลานตากันเลยทีเดียวทั้งในส่วนของรูปโฉมทั่วไป ที่สามารถประยุกต์เข้ากับรูปแบบไลฟ์สไตล์ต่าง ๆ ได้อย่างลงตัว ทั้งในเรื่องของการทำงานและการพักผ่อน Toyota Yaris ATIV เตรียมทุกสิ่งเอาไว้แบบจัดเต็มเพื่อตอบสนองความต้องการด้านการใช้รถให้ลงตัวที่สุด และมาพร้อมกับระบบการขับเคลื่อนที่สามารถเลือกได้ตามความเหมาะสมของเงินทุนที่มีตั้งแต่ Sport ราคา 609,000 บาท หรือ Play Limited Edition Sport ราคา 634,000 บาท เรียกได้ว่าจะเป็นรูปโฉมไหน Toyota Yaris ATIV ก็จัดให้แบบเต็มๆ

แนะนำรถ 5 รุ่นเหมาะสำหรับเด็กจบใหม่ ที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยทำงาน

5. Honda City

อีกหนึ่งยนตรกรรมชั้นเลิศที่ไม่อาจมองข้ามได้กับค่ายการออกแบบและผลิตรถระดับโลกอย่าง Honda ที่ขอส่ง Honda City RS เข้าประกวด ขวัญใจรถสำหรับการใช้ชีวิตในเมืองสำหรับเด็กจบใหม่และเริ่มต้นวัยทำงานเป็นปีแรก ด้วยราคาเบา ๆ สบายกระเป๋าและมีรูปแบบดีไซน์ให้เลือกทั้งแบบ Sedan และ Hatchback มาพร้อมกับเทคโนโลยีเครื่องยนต์รูปแบบใหม่แบบ e:HEV ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าร่วม ทำให้ Honda City ประหยัดน้ำมัน ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ได้มาก

นอกจากนั้นด้วยดีไซน์ของห้องโดยสารที่ออกแบบมาได้อย่างกว้างขวางและยังเข้ากับดีไซน์ตัวรถที่เลิศหรู จึงเป็นรถที่มีขนาดเกือบเทียบเท่ารถขนาดกลาง แต่มีประสิทธิภาพที่ล้นเกินราคา ไม่ว่าจะเป็นการเก็บเอกสาร อุปกรณ์สำหรับการทำงานก็สามารถทำได้อย่างลงตัว หรือจะปรับเปลี่ยนรูปโฉมเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจกับเพื่อนฝูงก็สามารถทำได้ในทันที นับได้ว่าเป็นรถเก๋งอเนกประสงค์ที่พร้อมในเรื่องการใช้งานอย่างเต็มที่ สนนราคาเพียงแค่ 579,500 บาท สำหรับรุ่น Sedan และ 599,000 บาท สำหรับรุ่น Hatchback

ไม่ว่าเด็กจบใหม่หรือคนวัยทำงาน ต้องไม่ลืมมีประกันรถยนต์

น่าจะตอบโจทย์ความต้องการของการใช้ชีวิตในเมืองใหญ่กับรถทั้ง 5 รุ่นใหม่สำหรับใครที่กำลังเริ่มต้นวัยทำงาน เลือกรถที่ถูกใจได้แล้ว อย่าลืมเลือกประกันรถยนต์ที่คุ้มค่าสำหรับการคุ้มครองรถและตัวคุณเองแบบเต็มประสิทธิภาพ ที่รู้ใจ ประกันออนไลน์ เรามีประกันรถยนต์หลากหลายรูปแบบที่พร้อมตอบสนองความต้องการได้อย่างลงตัว มองหาประกันรถยนต์ที่ใช่ไปกับเรา เพราะเรารู้ใจกว่า ประหยัดกว่า เราทำให้ประกันรถยนต์เป็นเรื่องง่าย ไม่ซับซ้อน และเชื่อถือได้ ให้เราได้ดูแลรถคันใหม่ของคุณกับการเริ่มต้นวัยทำงานด้วยความอุ่นใจไปในทุกเส้นทาง คลิกเช็คราคาและปรับแต่งแผนของคุณได้เลย

สามารถติดตามข่าวสารและโปรโมชั่นใหม่ๆ จากรู้ใจได้ที่ FB fan page: Roojai หรือ คลิก add Official Line ของเราไว้ได้เลย

ที่สุดของยางรถยนต์ใหม่สำหรับครอบครัว

ปัจจุบันในบ้านเรามีรถหลากหลาย Segment มาก แต่ละแบรนด์ผลิตรถออกมาหลากหลายรุ่นเพื่อตอบสนองการใช้งานได้ให้ตรงกับการใช้งานจริงยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรถ Eco-Car รถเก๋งขนาดเล็ก รถ Compact รถ SUV รถกระบะ รถตู้ รถแวน แต่เพื่อนๆ รู้ไหมครับ ว่าประเภทรถไหนที่มีการเติบโตเพิ่มมากที่สุด ?? ต้องบอกตรงๆว่า กลุ่มรถ SUV รถอเนกประสงค์ กับ กระบะยกสูงมี % การเติบโตที่สูงขึ้นเรื่อยๆทุกปีครับ ซึ่งคาดการณ์ว่าจะเป็นกลุ่มที่มีการใช้งานมากที่สุดในอีก 3-5 ปีข้างหน้า

ที่สุดของยางรถยนต์ใหม่สำหรับครอบครัว

ซึ่งรถประเภทนี้ก็จะเหมาะกับรถสำหรับครอบครัว สามารถใช้งานออกต่างจังหวัดได้ดี ซึ่งพอดูการใช้งานจริงๆ ไทร์บิดก็เห็นว่าความสำคัญของรถประเภทนี้ก็คือ เรื่องสมรรถนะการขับขี่ที่ต้องดีให้สามารถใช้งานได้ทุกสภาพถนน และ อีกเรื่องคือความสบายในการขับขี่ครับ ซึ่งส่วนหนึ่งของรถที่ส่งผลต่อปัจจัยทั้งสองส่วนก็คือ เรื่องของยางรถยนต์ครับ ทางไทร์บิดอยากจะแนะนำยางรุ่นใหม่รุ่นหนึ่งที่ค่อนข้างตอบโจทย์ทั้งสองปัจจัยมากๆ ครับ ก็คือยี่ห้อ Goodyear รุ่น Assurance MaxGuard SUV ซึ่งต้องบอกว่าเป็นยางที่สำหรับ SUV และกระบะยกสูงโดยเฉพาะครับ

ที่สุดของยางรถยนต์ใหม่สำหรับครอบครัว

ด้วยคอนเซ็ปต์ที่ทาง Goodyear นำเสนอ 2 IN 1 ครับ ก็คือเรื่องของการรีดน้ำเกาะถนนบนถนนเปียก และ ความแข็งแรงทนทานต่อการใช้งานครับ ซึ่งทาง Goodyear ได้นำเทคโนโลยีหลักสองอย่างมาใช้ในยางรุ่น Assurance MaxGuard SUV ก็คือเทคโนโลยีที่ชื่อว่า ActiveGrip Technology และ DuraGuard Technology ซึ่งไทร์บิดจะมาอธิบายว่าสองเทคโนโลยีสองข้อดีมันมีดียังไงครับ

ที่สุดของยางรถยนต์ใหม่สำหรับครอบครัว

อย่างแรก ActiveGrip Technology ชื่อก็ชัดเจนแล้วครับเกี่ยวกับเรื่องของการยึดเกาะถนนครับ ซึ่ง ตัวเทคโนโลยีนี้จะแบ่งเป็นสองส่วนครับก็คือส่วนของ ลายดอกยาง และ สูตรเนื้อยางใหม่ สำหรับลายดอกยางการออกแบบใหม่ทำให้มีลายดอกยางทั้งแนวตั้งและแนวนอนเพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการระบายน้ำออกจากหน้ายางและยังช่วยตัดฟิล์มน้ำทำให้หน้ายางสัมผัสกับพื้นถนนได้ดียิ่งขึ้นบนถนนเปียก ซึ่งเพื่อนๆวิ่งออกต่างจังหวัดก็ทำให้มั่นใจยิ่งขึ้นเพราะปัญหาการเหินน้ำเป็นปัญหาหลักๆของอุบัติเหตุบนท้องถนนรองลงมาจากเรื่องความประมาทครับ ส่วนต่อมาก็คือเรื่องของสูตรเนื้อยางเนื้อยางของ Goodyear Assurance MaxGuard SUV รุ่นนี้ มีโมเลกุลเล็กลงกว่ายางรุ่นเก่าครับทำให้เวลาแนบสนิทกับพื้นถนนนั้นทำได้ดียิ่งขึ้นซึ่งจะช่วยให้เพื่อนๆยิ่งมั่นใจยิ่งขึ้นสำหรับการยึดเกาะถนนบนถนนแห้งอีกด้วยครับ

ที่สุดของยางรถยนต์ใหม่สำหรับครอบครัว

ส่วนของเทคโนโลยีที่สอง DuraGuard Technology แน่นอนครับเป็นเรื่องของการปกป้องแข็งแรงของยางครับด้วยการพัฒนาและเสริมความแข็งแกร่งของเข็มขัดรัดหน้ายางของยาง Goodyear Assurance MaxGuard SUV ซึ่งเข็มขัดรัดหน้ายางจะอยู่ใต้ฐานดอกยางครับซึ่งจะทำหน้าที่สองส่วนครับ อย่างแรกเลยความแข็งแรงเมื่อโดนกระแทกบริเวณหน้ายางครับเช่นปัญหาการตกหลุมเทคโนโลยีนี้ก็จะทำให้ช่วยลดปัญหายางแตกเสียหายจากกระแทกครับ

ส่วนที่สองของเข็มขัดรัดหน้ายางที่แข็งแรงก็คือ หน้ายางจะถูกขึงตึงเพิ่มมากยิ่งขึ้นและมีการขยับตัวที่น้อยลง ซึ่งทำให้เวลาเราใช้งานแล้วหน้ายางสามารถสัมผัสกับพื้นถนนได้เต็มหน้าซึ่งจะส่งผลดีทั้งเรื่องของการยึดเกาะถนน และ อายุการใช้งานครับ เพื่อนๆอาจสงสัยใช่ไหมครับว่าเกี่ยวยังไงกับอายุการใช้งาน ไทร์บิดจะอธิบายให้ฟังครับ เป็นเพราะว่าเมื่อหน้ายางสัมผัสกับพื้นถนนได้เต็มหน้าเท่ากับว่าหน้ายางมีพื้นที่ในการรับน้ำหนักเยอะขึ้นเวลาถูกกดทับจากน้ำหนักรถก็จะถูกเฉลี่ยบนหน้ายางได้เยอะขึ้นทำให้การสึกก็จะช้าลง ส่งผลให้อายุการใช้งานของยาง Goodyear Assurance MaxGuard SUV มีอายุการใช้งานที่มากขึ้นครับ

เพิ่มเติมอีกเล็กน้อยครับเรื่องที่เพื่อนๆค่อนข้างเป็นกังวลกับเรื่องยาง Goodyear ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเสียงและเรื่องของความแข็งของยาง ต้องบอกเลยว่าปัจจุบัน Goodyear เปลี่ยน New generation แล้วครับ เพราะยางทุกรุ่นของ Goodyear แก้ไขในเรื่องเก่าๆทั้งหมดแล้วครับเพราะภายใน สามปีนี้ Goodyear ออกมาทั้ง Assurance Duraplus2, Assurance Triplemax2, Eagle F1 Sport, Wrangler AT SilentTrac และสุดท้ายก็คือ Assurance MaxGuard SUV รุ่นนี้ครับเปลี่ยนใหม่หมด เพื่อนๆหายห่วงได้เลยครับกับภาพลักษณ์เก่าๆที่เพื่อนๆเคยเจอ ไทร์บิด ยืนยัน นั่งยัน นอนยันครับ และหากเพื่อนๆต้องการเช็กราคายางแต่ละรุ่นของทาง Goodyear สามารถเช็กได้ที่ https://tiresbid.com/home ได้ครับ เพราะ ไทร์บิด x Goodyear เรียบร้อยแล้วครับ ตัวแทนขายบนออนไลน์อย่างเป็นทางการของทาง Goodyear ครับ

หากเพื่อนๆมีข้อสงสัยไม่รู้ว่าจะเลือกยางยี่ห้อไหนและช้อปเช็กยาง & นัดหมายออนไลน์ที่ www.tiresbid.com ได้เลยครับ เพราะเราเป็นเว็บที่ดีที่สุดครับ และเพื่อนๆสามารถหาอ่านบทความรู้ยานยนต์และรีวิวยางรถยนต์ได้ครบถ้วน แถมไทร์บิดเรายังมีบริการให้เพื่อนๆต้องการสอบถามเรื่องยาง ล้อยาง โดยปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเรื่องยางรถยนต์ได้ผ่านทาง Line OA : @tiresbid (เติม@ด้วยนะครับ) ทางทีมงานไทร์บิดยินดีให้คำปรึกษา Tire Specialist เรื่องยาง เรื่องง่าย กันอย่างเต็มที่ครับ เราเป็นตัวกลางยางมืออาชีพ ข้อมูลยางกว่า 16 ยี่ห้อ นึกถึงยาง นึกถึงไทร์บิดออนไลน์นะครับ วันนี้ก็ขอขอบคุณมากครับเพื่อนๆที่ติดตาม หากมีข้อสงสัยเลือกยางไม่ถูกสอบถามมาที่ไทร์บิดของเราได้เลยครับ ขอบคุณมากครับ

CARRO แนะนำ 10 รถใหม่ ที่สาวออฟฟิศควรซื้อมาใช้ ในปี 2021

“รถยนต์” ในปัจจุบันนี้ถือว่าเป็นปัจจัยที่ 5 ของคุณ และรถยนต์นั้นก็ถือว่า เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับบางสาขาอาชีพ รวมไปถึงอาจจะเป็นสิ่งที่แสดงออกถึงสถานะทางสังคม และฐานะทางการเงิน ของผู้ที่ครอบครองอีกต่างหาก

การเดินทางในเมืองหลวงสำหรับคุณผู้หญิงนั้น ถ้าไม่มีรถยนต์ส่วนตัว บางทีก็ต้องถือว่าลำบากนะ ไหนจะต้องขึ้นรถเมล์ รถไฟฟ้า ลงเรือ นั่งวินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง หรือต่อแท็กซี่ บางทีก็ดูไม่เป็นส่วนตัว และลำบากในการเดินทาง ยิ่งในยุคโควิด-19 ระบาดด้วยแล้ว ออกไปใช้ระบบขนส่งมวลชน ยิ่งต้องระมัดระวัง ทำให้สาวออฟฟิศหลายคน พอเมื่อเริ่มทำงานไปสักพัก เงินเดือนผ่อนรถไหว ก็อาจจะตัดสินใจดาวน์รถป้ายแดงออกมาขับกัน ด้วยเงื่อนไขสารพัดแคมเปญ โปรโมชั่น เช่น ดาวน์น้อย ฟรีดาวน์ ผ่อนง่าย เป็นเจ้าของได้ง่ายๆ

อีกทั้งรถสมัยนี้ มีดีไซน์ตรงกับ Lifestyle ของคุณผู้หญิงมากยิ่งขึ้น เช่น มีที่เก็บเครื่องสำอาง มีที่วางแก้วน้ำ ที่เก็บของมากมายในรถ มีกระจกเสริมสวย หรือที่ชาร์จมือถือไร้สาย เป็นต้น ทำให้ผู้หญิงก็เริ่มศึกษาข้อมูล การตัดสินใจซื้อรถยนต์กันมากขึ้น

CARRO ขอแนะนำ 10 รถยนต์รุ่นใหม่ ที่เหมาะกับสาวออฟฟิศวัยทำงาน เชิญชมได้เลยครับ.

Toyota Yaris 2020

1. Toyota Yaris ราคา 549,000 – 679,000 บาท

รถที่ตอบสนองความต้องการของสาวๆ คือ ต้องเป็นรถที่มีความอเนกประสงค์รอบด้าน ถ้าต้องการรถในรูปแบบแฮทช์แบค 5 ประตู ต้องลอง Toyota Yaris (โตโยต้า ยาริส) ที่มาพร้อม Concept “Yes, That’s Right!” ที่สุดของความใช่ ในสไตล์คุณ

ปรับโฉมหน้าตาและด้านท้ายใหม่ ภายในตกแต่งใหม่ รถท้ายสั้น ขับขี่ง่าย หาที่จอดก็ง่าย ประหยัดน้ำมันด้วยเครื่องยนต์รหัส 3NR-FKE ขนาด 1.2 ลิตร Dual VVT-i ให้แรงม้าสูงสุด 92 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 109 นิวตัน-เมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที กับระบบเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i พร้อม Shift Lock ที่ปรับจูนเกียร์ให้ตอบสนองต่อการขับขี่ที่ดีมากขึ้น

Toyota Yaris ATIV 2020

2. Toyota Yaris ATIV ราคา 539,000 – 674,000 บาท

รถที่ตอบสนองความต้องการของสาวๆ คือ ต้องเป็นรถที่มีความอเนกประสงค์รอบด้าน ถ้าต้องการรถในรูปแบบซีดาน 4 ประตู ต้องลอง Toyota Yaris ATIV (โตโยต้า ยาริส เอทีฟ) ที่มาพร้อม Concept “Yaris ATIV…Life Activated”

อีกทั้งชื่อรุ่น “ATIV” ยังมีที่มาจากคำว่า “Smart” และ “Active” โดดเด่นรูปลักษณ์ดีไซน์ใหม่ตลอดทั้งคัน ทั้งภายนอกและภายใน ขับขี่ในเมืองสะดวกคล่องตัว ประหยัดน้ำมันด้วยเครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร 86 แรงม้า ระบบเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i ถือว่าพอเพียงสำหรับการใช้งานในเมือง

Toyota Corolla Cross 2020

3. Toyota Corolla Cross ราคา 989,000 – 1,199,000 บาท

ถ้าเป็นสาวออฟฟิศที่มีลูกแล้ว นอกจากจะต้องทำงานนอกบ้านแล้ว ช่วงเลิกงานหรือวันหยุด ยังต้องเป็นแม่บ้านอีกด้วย รถที่ดูเหมาะสมที่สุดคงต้องยกให้ Toyota Corolla Cross (โตโยต้า โคโรลล่า ครอส) ที่มาพร้อมหน้าตาน่ารัก ถูกใจสาวๆ แน่นอน รวมไปถึงความอเนกประสงค์ของห้องโดยสาร ขับไปช็อปปิ้ง เจอฝนตก น้ำท่วม ลุยน้ำเบาๆ ได้ ช่างลงตัวกับชีวิตคนเมืองจริงๆ และมีให้เลือกกับแบบรุ่นเบนซินธรรมดา และรุ่นไฮบริด

เครื่องยนต์ เริ่มต้นด้วยรุ่นเบนซินรหัส 2ZR-FBE ขนาด 1.8 ลิตร ให้แรงม้าสูงสุด 140 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 177 นิวตัน-เมตร (18.05 กก.-ม.) ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด CVT-i พร้อม Sequential Shift และ Shift Lock ให้อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเฉลี่ย 15.4 กม./ลิตร

ส่วนรุ่น Hybrid มากับชุดระบบไฮบริดเจเนอเรชั่น 4 ที่พัฒนาแบตเตอรี่ใหม่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 1.8 ลิตร รหัส 2ZR-FXE 98 แรงม้า พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าซิงโครนัส แม่เหล็กถาวร 53 กิโลวัตต์ และแบตเตอรี่แพคชนิด Ni-MH (นิคเกิล-เมทัล ไฮไดรด์) แบบใหม่ ให้กำลังรวมทั้งระบบ 122 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ E-CVT พร้อม Shift Lock และเลือกโหมดในการขับเลือกได้ระหว่าง EV, Sport และ Eco อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเฉลี่ย 23.3 กม./ลิตร

Nissan Almera 2020

4. Nissan Almera ราคา 509,000 – 659,000 บาท

Nissan Almera (นิสสัน อัลเมร่า) เป็นอีกหนึ่ง Eco-Car แบบ 4 ประตู เครื่อง Turbo รุ่นแรกที่ออกมาในตลาด “Intelligent Urban Sedan” โดดเด่นด้วยการออกแบบที่ใหม่โฉบเฉี่ยว และเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ เช่น กระจังหน้าแบบ V-Motion ไฟหน้า-ไฟท้าย ทรงบูมเมอแรง แนวเสาหลังคาหลังที่ถูกยกขึ้น (Kick-Up C-pillars) และ หลังคาแบบลอยตัว (Floating Roof) เป็นต้น

ภายในออกแบบใหม่หมด ใช้วัสดุคุณภาพสูง เน้นความประณีตในการประกอบ พร้อมพื้นที่ว่างเหนือศีรษะ พื้นที่วางขาที่กว้างขวาง คงไว้ซึ่งความเป็นผู้นำในด้านความกว้างขวางที่สุด ในรถยนต์ระดับเดียวกัน สาวๆ ถูกใจแน่นอน และหน้าจอระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ AIVI สะดวกสบายทั้งการใข้งานระบบนำทาง ระบบความปลอดภัย ระบบรักษาความปลอดภัย และอื่นๆ ภายใต้การเชื่อมต่อผ่านสมาร์ทโฟน

วางขุมพลังขนาด 1.0 ลิตร Turbo รหัส HRA0 ให้แรงม้าสูงสุด 100 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดถึง 152 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่งความเร็วสูงจากแรงบิดแบบต่อเนื่อง (Flat Torque) มีประหยัดน้ำมันได้สูงสุดถึง 23.3 กม./ลิตร ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ Xtronic CVT พร้อม D-Step Logic แถมยังโดดเด่นด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัย Nissan Intelligent Mobility

Honda City 2020

5. Honda City Turbo ราคา 579,500 – 739,000 บาท

เป็นตัวเลือกที่ฮอตฮิตมานานแล้ว สำหรับ Honda City (ฮอนด้า ซิตี้) รถขวัญใจคุณผู้หญิงมาตั้งแต่รุ่นแรกเลยล่ะ สำหรับโฉมไมเนอร์เชนจ์นี้ เปิดตัวมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2561 ชูดจุดเด่นที่ห้องโดยสารกว้างขวาง เบาะนั่งปรับพับได้หลายรูปแบบ เหมาะอย่างยิ่งกับการใข้งานในเมือง ขนของก็ได้ มีออพชั่นแพรวพราว ขับง่าย หาที่จอดก็ง่าย เป็นอะไรที่คุณผู้หญิงชอบมาก

มาพร้อมขุมพลังขนาด 1.0 ลิตร DOHC VTEC TURBO ให้สมรรถนะการขับขี่สูงถึง 122 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิด 173 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 – 4,500 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ CVT และรองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 ประหยัดน้ำมัน ใช้งานในเมือง ลงตัวสุดๆ อีกทั้งยังมี City e:HEV รุ่นไฮบริด ให้เลือกอีกด้วย ในราคา 839,000 บาท

All-New Honda City Hatchback 2021

6. Honda City Hatchback Turbo ราคา 599,000 – 749,000 บาท

Honda City Hatchback (ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบค) ครั้งแรกในโลกกับฮอนด้า ซิตี้ ในรูปแบบ 5 ประตู ในไทย ตอบสนองทุกการขับขี่ด้วยฟังก์ชันการใช้งานระดับพรีเมียม อาทิ หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ พร้อมมาตรวัดเรืองแสง ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และระบบสั่งการด้วยเสียง SIRI

ผสานเอกลักษณ์ความอเนกประสงค์กับเบาะนั่ง อัลตราซีท (ULTR) และการขับขี่ที่สนุกสนานกับ ขุมพลังเทอร์โบ เครื่องยนต์ 1.0 ลิตร DOHC VTEC TURBO ให้สมรรถนะการขับขี่สูงถึง 122 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิด 173 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 – 4,500 รอบ/นาที

ประหยัดน้ำมันดีเยี่ยมถึง 23.3 กม./ลิตร ตอบสนองทุกการขับขี่ด้วยระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัยแบบ 7 สปีด และสามารถรองรับน้ำมัน E20 อีกทั้งยังมี City Hatchback e:HEV รุ่นไฮบริด ให้เลือกอีกด้วย ในราคา 849,000 บาท

Honda เปิดตัว All-New Honda Civic 2022 ใหม่

7. Honda Civic ราคา 964,900 – 1,199,900 บาท

สำหรับสาวออฟฟิศที่มีเงินเดือนสูงหน่อย (อย่างน้อยก็สัก 5 หมื่นบาทขึ้นไป จะได้ผ่อนสบายๆ) ตัวเลือกอย่าง Honda Civic (ฮอนด้า ซีวิค) ก็น่าสนใจ เพราะได้รับกระแสตอบรับที่ดีมากนับตั้งแต่เปิดตัว ตัวรถรูปทรงที่ดูสปอร์ตโฉบเฉี่ยว ที่เพิ่มความเหลี่ยมคมมามากขึ้น ยกระดับความสมบูรณ์แบบทั้งดีไซน์ และการใช้งานในทุกมิติ

และมั่นใจทุกการขับขี่กับ Honda SENSING ทุกรุ่นย่อย กับระบบใหม่ Lead Car Departure Notification System (LCDN) ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ สะดวกสบายแบบเหนือกว่า กับครั้งแรกของระบบควบคุมประตูแบบอัจฉริยะ พร้อม Honda Smart Key Card ล็อก และปลดล็อกรถได้ง่ายๆ เพียงพกการ์ดไว้กับตัว

ห้องโดยสารกว้างขวาง มีทั้งมุมหรูหรา เรียบง่าย และสปอร์ต ออพชั่นครบครัน ระบบความปลอดภัยจัดเต็ม แรง เร้าใจ เกินกว่าใครจะตามทันกับขุมพลัง VTEC TURBO ใหม่ เบนซิน Turbo ขนาด 1.5 ลิตร 178 แรงม้า ประหยัดน้ำมันดีเยี่ยม 17.2 กม./ลิตร ทั้งยังรองรับพลังงานทางเลือก E85

Mazda2 Sedan Sports 2021

8. Mazda2 ราคา 546,000 – 799,000 บาท

รถรุ่นนี้เหมาะสำหรับสาวเปรี้ยว หัวใจสปอร์ต นั่นคือ Mazda2 (มาสด้า2) 2021 Collection ยกระดับความคุ้มค่ากับออพชั่นที่เกินราคา กับพลัง Zoom-Zoom ดีไซน์เรียบหรูสง่างามดุจงานศิลปะชิ้นเอก ตามแนวคิด Kodo Design (โคโดะ ดีไซน์) ที่เรียบง่าย แต่งดงามตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ได้อย่างลงตัว

มีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์ดีเซล SkyActiv-D ขนาด 1.5 ลิตร 105 แรงม้า หนึ่งเดียวในตลาด และเครื่องยนต์เบนซิน SkyActiv-G ขนาด 1.3 ลิตร 93 แรงม้า ประหยัดน้ำมันสูงสุด 23.3 กม./ลิตร แถมภายในห้องโดยสารเทียบชั้นรถยุโรป หรูหรา ดูดี

อีกทั้งยังมาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยระดับโลก i-ACTIVSENSE เทคโนโลยีเชื่อมต่อกับโลกโซเชียลด้วย MZD CONNECT เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด ระบบประหยัดพลังงานอัจฉริยะ i-ELOOP ทำงานควบคู่กับระบบ i-Stop และล่าสุดระบบ G-VECTORING CONTROL หรือระบบควบคุมสมรรถนะการขับขี่อัจฉริยะ หนึ่งในชุดเทคโนโลยี SKYACTIV-VEHICLE DYNAMICS มั่นใจว่า ถูกใจคุณผู้หญิงอย่างแน่นอน

Suzuki Swift 2021

9. Suzuki Swift ราคา 557,000 – 629,000 บาท

Suzuki Swift (ซูซูกิ สวิฟท์) ใหม่ จัดว่าเป็น Eco-Car รุ่นล่าสุด รูปทรงถูกใจคุณผู้หญิง และมีสมรรถนะไม่เล็กเลย Suzuki มาพร้อม Concept สไตล์เด่นบนเส้นทางที่แตกต่าง WE STANDOUT ด้วย Sport Compact Car มาตรฐานระดับโลก บนแพลตฟอร์มใหม่ HEARTECT กับเทคโนโลยีอันทันสมัยช่วยในการขับขี่ และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน เจาะกลุ่มคนหนุ่มสาววัยทำงาน ถูกใจคุณผู้หญิงแน่นอน ขับแบบเดิมๆ ก็ดูดี แต่งก็สวย น่ารัก

ชูจุดเด่นเทคโนโลยีเครื่องยนต์แบบ DUALJET ขนาด 1.25 ลิตร 83 แรงม้า มาพร้อมเทคโนโลยีหัวฉีดคู่ หรือ DUALJET เพิ่มประสิทธิภาพด้วยระบบหัวฉีดคู่ ฉีดน้ำมันเข้าไปที่กระบอกสูบพร้อมกันทั้ง 2 หัวฉีด ได้กำลังและแรงบิดที่ดียิ่งขึ้น ช่วยให้ประหยัดน้ำมันมากกว่า 23 กม./ลิตร รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20

MG ZS 2020

10. MG ZS ราคา 689,000 – 799,000 บาท

MG ZS (เอ็มจี แซดเอส) รถเอสยูวีเพื่อชีวิตที่ไร้ขีดจำกัด ตอกย้ำความเป็นผู้นำเทคโนโลยีสมาร์ทคาร์ รูปลักษณ์โดดเด่นสไตล์ บริท ไดนามิค (Brit Dynamic) หรูหราทันสมัยและสปอร์ตยิ่งขึ้น ห้องโดยสารกว้างขวาง ออพชั่นเพียบ พ่วงด้วยระบบความปลอดภัย Synchronized Protection System 9 ระบบ และยังติดตั้งระบบอัจฉริยะ i-SMART รองรับการสั่งการด้วยเสียงภาษาไทยครั้งแรกในโลก ถือว่าถูกใจใครหลายๆ คน เลยทีเดียว

ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซินรุ่นใหม่ รหัส 15S4C ขนาด 1.5 ลิตร แบบ 4 สูบ DOHC VTi-TECH ให้แรงม้าสูงสุด 114 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 150 นิวตันเมตร ที่ 4,500 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ใหม่ 8 สปีด และสามารถปรับโหมดพวงมาลัยได้ถึง 3 โหมด

ถ้าคุณผู้หญิงสนใจรถที่ทาง CARRO นำเสนอมา ก็ลองศึกษาหาข้อมูล ไปดูรถตัวจริง ทดลองขับ แล้วก็ดูว่างบประมาณที่มีมีอยู่ หรือมีกำลังผ่อนต่อเดือนได้ขนาดไหน ไปเลือกรถคันที่ใช่ได้เลย

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถใหม่ป้ายแดง มาขายรถคันเดิมกับ CARRO Express สิ! Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

แต่ถ้าหากช่วงนี้ใครไม่มีงบซื้อรถป้ายแดง ลองหารถมือสองรุ่นข้างต้น มาใช้แทนที่รถคันเดิม CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ พร้อมตอบโจทย์คุณด้วยคอนเซปต์ “click.buy.drive.” คุณสามารถจองรถออนไลน์ ได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น!

รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check และยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” ให้คุณเลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา พร้อมรับประกันคุณภาพรถนานถึง 2 ปี หรือ 20,000 กิโลเมตร! อีกทั้งยังการันตีความพึงพอใจ คืนเงินได้ภายใน 5 วันอีกด้วย! เรามีรถให้คุณเลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ CARRO Automall สิ!

หรือถ้าหากสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall Official โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall ครับ

CARRO Automall แนะนำ 6 รถมือสอง สำหรับเด็กจบใหม่

ในช่วงนี้ แม้ว่าจะมีเด็กจบใหม่ ที่เรียนจบมหาวิทยาลัยและต้องก้าวเข้าสู่โลกการทำงาน กลับ ประสบปัญหาจากโควิด-19 กันเป็นจำนวนมาก เนื่องจากหางานไม่ได้ พร้อมๆ กับผู้คนที่ตกงานกันเป็นจำนวนนับล้านคน

แต่ก็ยังมีเด็กจบใหม่จำนวนหนึ่ง ที่โชคดีมาก หางานได้ในเวลานี้ แต่เนื่องด้วยการระบาดของโควิด-19 ซึ่งบางงานอาจจะ Work From Home ไม่ได้ ทำให้ต้องออกจากบ้านไปทำงาน จะใช้ระบบขนส่งสาธารณะก็ค่อนข้างรอนาน เสี่ยงต่อการเจอคนเยอะๆ และอาจเป็นอันตรายต่อคนที่บ้านอีก หลายคนจึงจำเป็นต้องซื้อรถมาใช้ในการเดินทาง ท่ามกลางทุนทรัพย์ที่มีจำกัด

CARRO Automall เลยจะมาแนะนำให้น้องๆ และทุกคนได้รู้จักกับ 6 รถมือสองยอดฮิตในตอนนี้กันครับ ซึ่งอาจจะไว้ใช้เป็นรถคันแรก สำหรับใช้เดินทางไปทำงาน โดยที่มีค่าใช้จ่ายในการดูแล หรือเติมน้ำมันในแต่ละเดือนที่จะพอจ่ายไหว เมื่อเทียบกับเงินเดือนที่ได้รับกันครับ

Nissan-March-2013

1. Nissan March

Nissan March (นิสสัน มาร์ช) จัดว่าเป็นรถ “Eco-Car” รุ่นแรกของไทย เปิดตัวจำหน่ายมาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2010 ใน Concept “ให้ชีวิตคุณง่ายขึ้นอีก” มียอดสะสมรวมมากนับหลักแสนคัน และยังมีรถป้ายแดงขายในตอนนี้ โดยปรับราคาขึ้นไปบ้าง ณ ปัจจุบัน

มีจุดเด่นที่ขนาดตัวรถเล็ก แต่ภายในกว้างขวาง นั่งสบาย (เฉพาะด้านหน้า) มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร 79 แรงม้า มีทั้งเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติแบบ Xtronic CVT ให้เลือก ใช้งานในเมืองได้อย่างพอเพียง ประหยัดน้ำมัน มีให้เลือกหลายรุ่นย่อย ราคามือสองปัจจุบัน มีเงินแค่หนึ่งแสนกว่าบาท ก็เป็นเจ้าของได้แล้ว

Toyota-Yaris

2. Toyota Yaris

ชื่อชั้นของ “โตโยต้า” ต้องยอมรับว่าเป็นรถที่ทนทาน ไม่จุกจิก รวมถึงราคาขายต่อที่ดีกว่ารถแบรนด์อื่นๆ แต่ข้อเสียก็มักชอบกั๊กออฟชั่นมากหน่อย ถ้าคุณรับได้ก็ไม่เป็นไร

สำหรับรถมือสองที่เราขอแนะนำ นั่นคือ Toyota Yaris (โตโยต้า ยาริส) รถสปอร์ตแฮทช์แบค ที่ตอบสนองชีวิตไลฟ์สไตล์คนเมือง ในรูปแบบรถอีโค่คาร์ ที่เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2013 มาพร้อมขุมพลังขนาด 1.2 ลิตร ให้แรงม้าสูงสุด 86 แรงม้า ภายในได้เปรียบเนื่องจากกว้างขวางกว่ารถในระดับเดียวกัน ออฟชั่นที่มีให้ก็ถือว่าใช้ได้ ส่วนราคามือสองเริ่มต้นอยู่ที่สองแสนกว่าบาท เด็กจบใหม่ผ่อนไหวอยู่แล้ว

CARRO Automall แนะนำ Toyota Vios

3. Toyota Vios

ขยับตัวรถขึ้นมาในระดับเครื่องยนต์ใหญ่หน่อย กับ Toyota Vios (โตโยต้า วีออส) ที่เปิดตัวจำหน่ายมาตั้งแต่ปี 2013 จนถึงปัจจุบัน เหมาะสำหรับคนต้องใช้รถในต่างจังหวัด วิ่งบนทางหลวงบ่อยๆ ได้กำลังเครื่องยนต์ พลังเร่งแซงมากขึ้น

รุ่นนี้มาพร้อมขุมพลังที่ใช้กันอย่างยาวนาน ขนาด 1.5 ลิตร รหัส 1NZ-FE ให้แรงม้าสูงสุด 109 แรงม้า ที่ใช้มาตั้งแต่ Vios โฉมแรก ความทนทานนี่หายห่วง ดูแลง่าย ไม่จุกจิก ส่วนในรุ่นไมเนอร์เชนจ์ และรุ่นที่ขายในปัจจุบัน ปรับเครื่องยนต์ใหม่เป็นรหัส 2NR-FBE 108 แรงม้า เติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ได้ด้วย ส่วนราคามือสองเริ่มต้นอยู่ที่สองแสนกลางๆ ก็พร้อมเป็นเจ้าของได้

CARRO Automall แนะนำ Honda Jazz

4. Honda Jazz

รถยอดนิยมของเหล่าบรรดาวัยรุ่น นักศึกษา หรือเด็กจบใหม่ที่เพิ่งทำงานกัน เพราะเป็นรถที่มีรูปร่างหน้าตาสปอร์ตโดนใจวัยรุ่น แต่งสวย ของแต่งเยอะอีกรุ่น คนต้องยกให้กับ Honda Jazz (ฮอนด้า แจ๊ส) ซึ่งในปัจจุบันก็ถือมีรุ่นที่เป็นป้ายป้ายแดงออกห้างจำหน่าย แต่ในราคามือสองนั้น ถือว่าย่อมเยาว์กว่ามาก เริ่มต้นที่สามแสนกว่าบาท

รุ่นนี้มาพร้อมขุมพลังขนาด 1.5 ลิตร รหัส L15Z1 ให้แรงม้าสูงสุด 117 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 146 นิวตัน-เมตร ที่ 4,700 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ CVT ใหม่ ดูแลง่าย ทนทาน ขับสนุกยิ่งขึ้นด้วย Paddle Shift ที่พวงมาลัยแบบ 7 สปีด แถมยังมีระบบ Cruise Control ขับทางไกลสบายๆ ไม่ต้องเมื่อยขาขวา

Mazda2

5. Mazda2

อีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับคนเพิ่งเริ่มทำงาน ที่ชอบรถแนวสปอร์ต ขับแล้วช่วงล่างเกาะถนนดี ขับสนุก ได้อารมณ์คล้ายกับรถซิตี้คาร์ของยุโรป ต้องยกให้ Mazda2 (มาสด้า2) ที่ออกจำหน่ายมาตั้งแต่ปี 2015 คุณอาจจะลืมไปเลย ว่านี่คือรถ Eco-Car แถมมีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์เบนซิน และดีเซล

ด้วยสมรรถนะของเครื่องยนต์ SKYACTIV ทั้งแบบเบนซินขนาด 1.3 ลิตร 93 แรงม้า ประหยัดน้ำมัน 23.3 กม./ลิตร และดีเซลขนาด 1.5 ลิตร Turbo 105 แรงม้า ประหยัดสุดยอด 26.3 กม./ลิตร มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด กับ Manual Mode ออฟชั่นมีเยอะพอควร (ยกเว้นรุ่นเริ่มต้น) ถูกใจเด็กจบใหม่ขาซิ่งหลายๆ คน โดยราคามือสองเริ่มต้นเกือบๆ สามแสนบาท อาจต้องเก็บเงินดาวน์ หรือผ่อนต่อเดือนมากหน่อยนะ!

Suzuki-Swift-2012

6. Suzuki Swift

พูดถึง Suzuki Swift (ซูซูกิ สวิฟท์) หลายคนน่าจะเคยเห็นและรู้สึกชื่นชอบ กับความเป็นสปอร์ตที่แฝงอยู่ และดูคล้ายกับรถ Mini ของอังกฤษ โดย Suzuki Swift โฉมปี 2012 – 2018 ยังคงเป็นรถอีโคคาร์ยอดนิยมในตลาดรถมือสอง ซื้อง่ายขายคล่อง แต่งสวย

มาพร้อมขุมพลังขนาด 1.25 ลิตร รหัส K12B ให้แรงม้าสูงสุด 91 แรงม้า จัดว่ามากที่สุดเมื่อเทียบกับอีโคคาร์ในขนาด 1.2 ลิตรด้วยกัน ซึ่งตัวรถก็มีออฟชั่นที่จัดมาให้มากพอสมควร ในราคามือสองตอนนี้เริ่มต้นประมาณเกือบๆ สองแสนบาท ก็ซื้อได้แล้ว

ส่วนช่วงนี้ ใครอยากซื้อรถมือสองสภาพเยี่ยม ราคาเบาๆ CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ พร้อมตอบโจทย์คุณด้วยคอนเซปต์ “click.buy.drive.” คุณสามารถจองรถออนไลน์ ได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น!

รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check และยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” ให้คุณเลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา พร้อมรับประกันคุณภาพรถนานถึง 2 ปี หรือ 20,000 กิโลเมตร! 

อีกทั้งยังการันตีความพึงพอใจ คืนเงินได้ภายใน 5 วันอีกด้วย! เรามีรถให้คุณเลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ CARRO Automall สิ!

หรือถ้าหากสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall Official โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall ครับ

เปรียบเทียบ มวยคู่เด็ด! Honda City Turbo VS MG5 กับข้อดี ข้อเสีย ราคา ก่อนจะตัดสินใจซื้อ!

CARRO Thailand ขอเปรียบเทียบรถยอดนิยมแห่งปี 2021 กับรายละเอียดต่างๆ ข้อดี ข้อเสีย พร้อมตารางราคา และอัตราดอกเบี้ย กับ Honda City 2021 (ฮอนด้า ซิตี้) จัดว่าเป็นรถขายดีในเวลานี้ และ All-New MG5 2021 (เอ็มจี5) ใหม่ล่าสุดจากค่ายเอ็มจี

ซึ่งการมาของ MG5 ในครั้งนี้ เรียกได้ว่าสร้างความคึกคักให้กับตลาดรถ Eco-Car (อีโคคาร์) กันอีกครั้ง และตัวรถยังให้อารมณ์สปอร์ตเหมือนกันทั้งคู่ CARRO เลยจับมาเปรียบเทียบกันให้เห็นกันจะๆ! หากใครสนใจรุ่นไหนอยู่ ลองคำนวณงบประมาณที่มี แล้วเลือกดูว่า จะผ่อนจะซื้อกันแบบไหนได้เลย

ถ้าคุณอยากขายรถด่วน เพื่อไปซื้อรถคันใหม่ หรือรับเงินก้อนไปใช้ สามารถขายรถคันเก่า หรือตีราคารถกับทาง CARRO ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ CARRO Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ —> เพิ่มเพื่อน

Honda City 2021 / ฮอนด้า ซิตี้ 2021

Honda City 2021

ข้อดี : รูปทรงสวย สปอร์ต ภายในกว้างขวาง นั่งสบาย พื้นที่เก็บสัมภาระ ใหญ่มาก เครื่อง 1.5 Turbo ที่แรงม้ามากกว่า อันนี้เป็นจุดได้เปรียบกว่า MG5 (ซึ่งสายซิ่งคงถูกใจแน่ๆ เพราะเอาไปต่อยอด แต่งได้อีกเพียบ) ช่วงล่างเกาะถนน ห้องเครื่องเก็บสายไฟ เก็บท่อต่างๆ ได้เรียบร้อย ชุดแต่ง ของแต่งในตลาดมีเพียบ เพราะได้เปรียบกว่าตรงที่ออกมาได้ 1 ปีกว่าแล้ว

ข้อด้อย : ราคาจำหน่าย ที่สูงไปนิดนึง อันนี้ถือเป็นข้อด้อยเมื่อเทียบกับ All-New MG5 ส่วนชุดคอนโซลภายใน ดูการดีไซน์รู้สึกเรียบง่ายไปหน่อย ซึ่งก็อยู่ที่มุมมองของแต่ละคน กับระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch ที่หลายคนอาจจะไม่ “สะใจ” กับฟังก์ชั่นที่มีมาให้นัก

รายละเอียดตัวรถ : เป็นรถในขนาด B-Segment (หรือ Sub-Compact ที่กระโดดลงมาเล่นในตลาดรถ Eco-Car Phase 2 แต่ทาง Honda ไม่เรียก Eco-Car แต่เรียกเป็น Ecology Car)

อุปกรณ์มาตรฐานเด่นๆ :

  • ไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ พร้อมไฟ Daytime Running Light แบบ LED และไฟท้ายแบบ LED
  • ไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED (ในรุ่น RS)
  • กระจังหน้าแบบโครเมียม
  • เสาอากาศแบบครีบฉลาม
  • ล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ขนาด 15 นิ้ว และ 16 นิ้ว (ในรุ่น RS)
  • เบาะหนังและภายในสีทูโทน ไอเวอรี่/ดำ (เฉพาะรุ่น SV)
  • คอนโซลหน้าแบบ Piano Black (เฉพาะรุ่น SV/RS)
  • มาตรวัดเรืองแสงสีขาวพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่
  • ระบบเชื่อมต่อ Honda CONNECT (ในรุ่น RS)
  • ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และระบบสั่งการด้วยเสียง SIRI
  • พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชัน พร้อมปุ่มควบคุมระบบเครื่องเสียงและปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์
  • ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (ในรุ่น RS)
  • พวงมาลัยปรับระดับได้ 4 ทิศทาง
  • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ (ยกเว้นรุ่น S)
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (ในรุ่น RS)
  • ชุดแต่งสไตล์สปอร์ตแบบ RS รอบคัน (ในรุ่น RS)
  • กระจังหน้าแบบ Gloss Black และสัญลักษณ์ RS (ในรุ่น RS)
  • ไฟหน้าแบบ LED พร้อมไฟ Daytime Running Light แบบ LED ไฟตัดหมอกแบบ LED (ในรุ่น RS)
  • กระจกมองข้างสีดำแบบสปอร์ตพร้อมไฟเลี้ยวในตัว (ในรุ่น RS)
  • สปอยเลอร์หลังแบบ Gloss Black พร้อมสัญลักษณ์ RS (ในรุ่น RS)
  • เบาะหนังกลับดีไซน์ใหม่ ตกแต่งด้วยด้ายสีแดง (ในรุ่น RS)

Honda City 2021 / ฮอนด้า ซิตี้ 2021

เครื่องยนต์ : ขนาด 1.0 ลิตร แบบ 3 สูบ DOHC VTEC 12 วาล์ว Turbocharger ให้แรงม้าสูงสุด 122 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 173 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 – 4,500 รอบ/นาที ให้สมรรถนะการขับขี่ที่เหนือกว่าเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร (เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม) และแรงบิดเทียบเท่าเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร

ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ทุกรุ่น ให้อัตราเร่ง และประหยัดน้ำมันได้ถึง 23.8 กม./ลิตร และมี Paddle Shifts เปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัยได้ แบบ 7 สปีด และสามารถรองรับน้ำมัน E20 ได้

มิติตัวรถ : ยาว 4,553 มม. กว้าง 1,748 มม. สูง 1,467 มม. ระยะฐานล้อ 2,589 มม. ระยะต่ำสุดจากพื้น 135 มม. น้ำหนักรถ 1,150 – 1,165 กิโลกรัม

มีสีให้เลือก 6 สี ได้แก่ สีใหม่ สีแดงอิกไนต์ (เมทัลลิก) เฉพาะรุ่น RS สีขาว Platinum (มุก) เฉพาะรุ่น RS และรุ่น SV สีดำ Crystal (มุก) สีเงิน Lunar (เมทัลลิก) สีเทา Modern Steel (เมทัลลิก) และสีขาว Taffata เฉพาะรุ่น V และรุ่น S

ราคาจำหน่าย :

  • รุ่น S (รุ่นเริ่มต้น) ราคา 579,500 บาท
  • รุ่น V (รุ่นกลาง) ราคา 609,000 บาท
  • รุ่น SV (รุ่นท็อป) ราคา 665,000 บาท
  • รุ่น RS (รุ่นท็อป-สปอร์ต) ราคา 739,000 บาท

จุดเด่น All-New MG5 ใหม่

All-New MG5 2021

ข้อดี : รูปทรงสวย สปอร์ต มาพร้อมนิยาม “BEYOND” ที่สะท้อนตัวตนของผู้ขับขี่ที่มีความโดดเด่นและมีมุมมองที่เหนือระดับ ได้เปรียบกับความใหญ่ของตัวรถที่กินขาดรถ C-Segment หรือใหญ่เทียบเท่า Honda Civic (ฮอนด้า ซีวิค) ทีเดียว รวมถึงหน้าตารถ และท้ายรถ ที่ดูคล้ายกับรถยุโรปอย่าง Mercedes-Benz (เมอร์เซเดส-เบนซ์) เรื่องการดีไซน์ถือว่าสอบผ่านเลยทีเดียว ถูกใจคนชอบรถยนต์แนวยุโรป แต่ราคาสบายกระเป๋ากว่ามากครับ

และห้องโดยสารภายในที่มีความใหญ่กว่า ออฟชั่นมาตรึม! พร้อมกับหน้าจอแบบสัมผัสขนาด 10 นิ้ว “ใหญ่สะใจ” คนชอบหน้าจอโตๆ ผนวกกับระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i-SMART สังการทำงานด้วยเสียงได้ พัฒนาดีขึ้นกว่าเดิม กับระบบ Smart Check, Smart Command และ Smart Connect อันเป็นจุดเด่นของ MG รวมถึงซันรูฟไฟฟ้า หลังคาเปิดได้ อันนี้ถือว่าได้เปรียบมากกว่า Honda City Turbo อย่างเห็นได้ชัด

ข้อด้อย : อาจจะเป็นในเรื่องของวัสดุพลาสติก ที่สมราคา แต่ก็ไม่แย่นะ การเก็บงาน ความหนาของชิ้นงาน ถือว่าดีกว่าเมื่อก่อนเยอะ ซึ่งฝากระโปรงท้าย มีเพิ่มพลาสติกตัวเหล็กยกด้วย กับในส่วนของเครื่องยนต์ที่จุดนี้อาจจะดูด้อยกว่า City Turbo หน่อย หลายคนอาจจะผิดหวังที่ MG5 ตัว Turbo ไม่มา แต่เครื่องยนต์ 1.5 ลิตรตัวนี้ เน้นใช้งานในเมืองก็ถือว่า OK แม้จะไม่แรง แต่ก็ได้ประหยัดน้ำมัน

รวมถึงศูนย์บริการที่แม้จะมีถึง 150 แห่งแล้วก็ตาม แต่ก็ยังเทียบกับของ Honda ที่มีมากกว่ามาก อาจจะเป็นจุดด้อยสำหรับคนที่ต้องนำรถเข้ารับบริการ กรณีอยู่ในต่างจังหวัด

รายละเอียดตัวรถ : เป็นรถในขนาด B-Segment ที่มีใหญ่กว่ารถยนต์ประเภท B-Segment ทั่วไป

จุดเด่น All-New MG5 ใหม่

อุปกรณ์มาตรฐานเด่นๆ :

  • ไฟหน้าและไฟท้ายแบบ LED พร้อมระบบเปิดปิดอัตโนมัติ
  • ล้ออัลลอยด์ขนาด 17 นิ้ว (เฉพาะรุ่น X)
  • หลังคาซันรูฟ (เฉพาะรุ่น X)
  • วัสดุภายในเป็นแบบผิวสัมผัสนุ่ม (Soft Touch) ในหลายตำแหน่ง
  • เบาะหนังสังเคราะห์ (ยกเว้นรุ่น C)
  • หน้าจอแบบสัมผัสขนาด 10 นิ้ว สามารถเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่านบลูทูธ รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และโทรศัพท์มือถือระบบ Android
  • พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่น
  • ปุ่ม PUSH Start
  • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ
  • กรองอากาศ PM 2.5
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (เฉพาะรุ่น X)
  • มาตรวัดอัจฉริยะแสดงผลแบบดิจิตอลขนาด 7 นิ้ว
  • ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง
  • เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง
  • ระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i-SMART เอกสิทธิ์เฉพาะสำหรับรถยนต์ MG ที่โดดเด่นด้วยระบบการสั่งการด้วยเสียงภาษาไทยซึ่งมาพร้อมฟังก์ชั่นใหม่ล่าสุด คือ กุญแจดิจิตอล (Digital Key) ที่เจ้าของรถสามารถส่งผ่านมายังโทรศัพท์มือถือ โดยผู้ขับขี่ไม่ต้องใช้กุญแจในการสตาร์ท อีกทั้งยังสามารถส่งกุญแจดิจิตอลให้กับผู้อื่นเพื่อใช้งานรถยนต์ได้ด้วยการรับ-ส่งโค้ด ผ่านทางแอพพลิเคชั่น i-SMART (เฉพาะรุ่น X)
  • ดิสก์เบรก 4 ล้อ มาพร้อมระบบป้องกันล้อล็อก ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD และระบบเสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA
  • เบรกมือไฟฟ้า (EPB)
  • ระบบป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง (AVH)
  • ระบบช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน (LCA) (เฉพาะรุ่น X)
  • ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา (BSD) (เฉพาะรุ่น X)
  • ม่านถุงลมนิรภัย (เฉพาะรุ่น X)
  • ระบบกล้องมองภาพรอบทิศทาง 3 มิติ (เฉพาะรุ่น X)
  • ระบบควบคุมการทรงตัวในขณะเข้าโค้ง (XDS)
  • ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและการลื่นไถล (TCS)
  • ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน (HAS) และอื่นๆ อีกมากมาย

จุดเด่น All-New MG5 ใหม่

เครื่องยนต์ : ขนาด 1.5 ลิตร แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว VTi-TECH ให้แรงม้าสูงสุด 114 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 150 นิวตัน-เมตร ที่ 4,500 รอบ/นาที

ขับเคลื่อนด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT 8 สปีด และประหยัดน้ำมันได้ถึง 17.9 กม./ลิตร (ตาม ECO Sticker) และสามารถรองรับน้ำมัน E85 ได้

มิติตัวรถ : ยาว 4,675 มม. กว้าง 1,842 มม. สูง 1,473 มม. (รุ่น X 1,480 มม.) ระยะฐานล้อ 2,680 มม. ระยะต่ำสุดจากพื้น 138 มม. น้ำหนักรถ ประมาณ 1,2XX กิโลกรัม

มีสีให้เลือกทั้งหมด 6 สี ได้แก่ สีเหลือง (Nuclear Yellow), สีขาว (Arctic White), สีดำ (Black Knight), สีเงิน (Silver Metallic), สีแดง (Scarlet Red) และสีเทา (Metal Ash Grey)

*สำหรับรุ่น C มีให้เลือก 3 สี คือ สีขาว, สีดำ และสีเงิน, รุ่น D มีให้เลือก 4 สี คือ สีขาว, สีดำ, สีเงิน และสีเทา และรุ่น X มีให้เลือก 5 สี คือ สีขาว, สีดำ, สีเทา, สีเหลือง และสีแดง

ราคาจำหน่าย :

  • รุ่น C (รุ่นเริ่มต้น) ราคา 559,000 บาท
  • รุ่น D (รุ่นกลาง) ราคา 599,000 บาท
  • รุ่น X (รุ่นท็อป) ราคา 689,000 บาท

ตารางผ่อนดาวน์ Honda City 2021

ตารางผ่อนดาวน์ Honda City 2021 / ฮอนด้า ซิตี้ 2021

ตารางผ่อนดาวน์ All-New MG5 2021 ใหม่

  • รุ่น C ราคา 559,000 บาท
  • รุ่น D ราคา 599,000 บาท
  • รุ่น X ราคา 689,000 บาท

ตารางผ่อนดาวน์ All-New MG5 2021 ใหม่

อย่างไรก็ตาม ขอให้บทความนี้เป็นเครื่องมือช่วยให้ทุกท่าน เลือกรถคู่ใจได้ตามความต้องการ และตามงบที่มี เพราะการเลือกซื้อรถแต่ละคัน แต่ละคนย่อมมีรสนิยม ความชอบ ความพึงพอใจ ในหลายองค์ประกอบไม่เหมือนกัน

รวมไปถึงความเชื่อมั่นในแบรนด์ด้วย ที่ต่างคนก็ต่างมีประสบการณ์ในการเจอที่ปรึกษาการขาย เจอดีลเลอร์ เจอการซ่อม การเคลม หรือราคาอะไหล่ที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้น การที่คุณเลือกรถใช้แบรนด์ต่างจากคนอื่น ไม่ใช่เรื่องผิดแต่ประการใดจ้า

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม มาขายรถคันเดิมกับ CARRO Express สิ! Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

แต่ถ้าหากช่วงนี้ใครอยากเปลี่ยนรถคันใหม่ มาใช้แทนที่รถคันเดิม CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ พร้อมตอบโจทย์คุณด้วยคอนเซปต์ “click.buy.drive.” คุณสามารถจองรถออนไลน์ ได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น!

รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check มากกว่า 200 จุด และยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” ให้คุณเลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา พร้อมรับประกันคุณภาพรถนานถึง 2 ปี หรือ 20,000 กิโลเมตร! อีกทั้งยังการันตีความพึงพอใจ คืนเงินได้ภายใน 5 วันอีกด้วย! เรามีรถให้คุณเลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ CARRO Automall สิ!

หรือถ้าหากสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall Thailand โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall ครับ

8-SUV-Crossover-Plug-In-Hybrid-Most-Electric-Range-2021
รถปลั๊กอินไฮบริด (Plug-In Hybrid Electric Vehicle มักจะเรียกแบบย่อว่า PHEV) หรือ รถพลังไฟฟ้า (ที่ยังคงมีเครื่องยนต์เป็นตัวขับเคลื่อน แต่สามารถชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่ เพื่อใช้เป็นพลังขับเคลื่อนได้) นับเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ได้รับความนิยมในช่วงสิบกว่าปีมานี้ สำหรับ “รถเสียบปลั๊ก” แบบ Plug-In Hybrid ที่หลายคนก็เรียกรวมอยู่ในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าด้วย

รถปลั๊กอินไฮบริด มีจุดเด่นตรงที่เหมาะสำหรับคนที่อาจจะยังไม่สะดวกในการใช้รถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ตรงที่ไม่จำเป็นต้องชาร์จไฟเป็นประจำ เนื่องจากเครื่องยนต์ยังคงเป็นกำลังหลัก และไม่ต้องหาที่แวะชาร์จในเวลาขับ ไปได้ทุกที่ ไม่ต้องกังวล อีกทั้งยังชาร์จไฟได้เต็มไวกว่า

สำหรับในบ้านเรา รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด มีผลิตและนำเข้ามาขายด้วยกันหลากหลายยี่ห้อ แต่จะมีรุ่นไหนที่น่าสนใจ และในระยะทางในการวิ่งได้มากที่สุดต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง MR.CARRO รวบรวมข้อมูล 8 รุ่นเด็ดๆ มาเล่าให้ฟัง

Mercedes-Benz-GLE-350-de-4MATIC-Exclusive-2021

1. Mercedes-Benz GLE 350 de 4MATIC Exclusive ราคา 4,699,000 บาท ระยะทาง 106 กิโลเมตร

Mercedes-Benz GLE 350 de 4MATIC Exclusive (เมอร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลอี 350 ดีอี) ผสานเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดและความแข็งแกร่งในแบบฉบับของเครื่องยนต์ดีเซลเข้าด้วยกันเป็นครั้งแรก

การออกแบบภายนอก ให้อารมณ์สปอร์ตในทุกมิติด้วยดีไซน์แบบ Exclusive Body Styling พร้อมอุปกรณ์มาตรฐานที่มีความโดดเด่นในทุกรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้าแบบ LED High-Performance ล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตขนาด 20 นิ้ว ตลอดจนความแข็งแกร่งของส่วนท้าย ที่บ่งบอกถึงความโดดเด่น

กับครั้งแรกของระบบมัลติมีเดีย MBUX (Mercedes-Benz User Experience) ที่เชื่อมโยงคุณเข้ากับเทคโนโลยีอันชาญฉลาดเสมือนมีผู้ช่วยส่วนตัว โดยพัฒนามาจากนวัตกรรม AI และยังมาพร้อมระบบความปลอดภัยที่ล้ำหน้าอย่างครบครัน

พร้อมเติมเต็มประสบการณ์ใหม่ให้กับชีวิต ด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร พร้อม Turbocharger และ Intercooler ผสานพลังมอเตอร์ไฟฟ้าด้วยเทคโนโลยี Plug-In Hybrid เจเนอเรชันที่ 3 พร้อมแรงม้าสูงสุดถึง 320 แรงม้า ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 6.8 วินาที ขับเคลื่อนผ่านระบบส่งกำลังแบบ 9G-TRONIC พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และสามารถวิ่งด้วยวิ่งด้วยไฟฟ้าได้ไกลสูงสุด 106 กิโลเมตร

BMW-X5-xDrive45e-M-Sport-2020

2. BMW X5 xDrive45e M Sport ราคา 4,999,000 บาท ระยะทาง 67-87 กิโลเมตร

BMW X5 xDrive45e M Sport (บีเอ็มดับเบิลยู X5) เจเนอเรชั่นที่ 2 ของ BMW X5 มาในรูปแบบปลั๊กอินไฮบริดผสานขุมพลังการขับเคลื่อนระบบไฟฟ้า เข้ากับความคล่องตัวในแบบฉบับรถยนต์ Sports Activity Vehicle (SAV) มาพร้อมชุดไฟหน้า Adaptive LED ฝาท้ายอัตโนมัติด้วยระบบไฟฟ้า ระบบปลดล็อคประตูอัจฉริยะ Comfort Access System หลังคากระจกแบบ Panorama เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า เป็นต้น พร้อมกุญแจรีโมทระบบสัมผัส BMW Display Key

ส่วนภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยวัสดุหนังแท้ และอะลูมิเนียมลาย Tetragon ที่มาพร้อมเบาะนั่งหุ้มด้วยหนัง Vernesca ปรับด้วยไฟฟ้า พร้อมระบบความจำฝั่งคนขับ ที่ปรับดันหลังไฟฟ้า เบาะนั่งคู่หน้า ส่วนเบาะนั่งด้านหลัง แบ่งพับแบบ 40 : 20 : 40 พวงมาลัย Multifunction หุ้มหนังแบบ M Sport มีระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ 4 Zones และระบบจัดเก็บสัมภาระท้ายรถ Luggage Compartment Package เป็นต้น

ซึ่ง BMW X5 xDrive45e M Sport ใหม่ มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ 43.5 กม./ลิตร ตาม ECO Sticker โดยเมื่อขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว จะสามารถทำความเร็วสูงสุดที่ 135 กม./ชม. จากเดิมสูงสุดที่ 120 กม./ชม. และวิ่งด้วยไฟฟ้าได้ไกลสูงสุด 67-87 กิโลเมตร ตามมาตรฐานการทดสอบ WLTP ของยุโรป

MG-HS-PHEV-2021

3. MG HS PHEV ราคา 1,359,000 บาท ระยะทาง 67 กิโลเมตร

MG HS PHEV (เอ็มจี เอชเอส พีเอชอีวี) รถยนต์ SUV แบบปลั๊กอินไฮบริดรุ่นล่าสุดจากค่าย MG ชูแนวคิด “Refinement” พร้อมขับเคลื่อนทุกคุณค่าของชีวิต โดยสะท้อนถึงความเหนือระดับ ทั้งความหรูหรา ความสะดวกสบายความปลอดภัย และการแนะนำเทคโนโลยี Plug-in Hybrid ผสานพลังสุดยอดแห่งระบบขับเคลื่อน 2 ระบบ เข้าด้วยกัน ทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า

ขับเคลื่อนด้วยระบบ Plug-in Hybrid มีพละกำลังสูงสุด 284 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 480 นิวตันเมตร จากขุมพลังของเครื่องยนต์เบนซิน Turbo ขนาด 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 162 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร และมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor ที่ให้กำลังสูงสุด 122 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 230 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ Lithium-Ion แบบ 6 โมดูล มีขนาดใหญ่ถึง 16.6 kWh

ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์แบบ EDU II – 10 Speeds ที่ใช้เวลาเปลี่ยนเกียร์เพียง 0.2 วินาที ตอบสนองได้อย่างทันใจ ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายในเวลา 7.5 วินาที สามารถขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% สูงสุดถึง 67 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง

Range-Rover-Sport-Plug-In-Hybrid-HSE-Plus

4. Range Rover Sport Plug-In Hybrid HSE Plus ราคา 5,699,000 บาท ระยะทาง 51 กิโลเมตร

Range Rover Sport Plug-In Hybrid HSE Plus (เรนจ์ โรเวอร์ สปอร์ต ปลั๊กอินไฮบริด เอชเอสอี พลัส) เพิ่มทางเลือกสำหรับลูกค้าที่ต้องการรถยนต์ SUV ขนาดใหญ่ กับสมรรถนะอันยอดเยี่ยม ทั้งการขับขี่บนถนนปกติ และในสภาพพื้นผิวถนนหลายรูปแบบ อันเป็นจุดขายของรถยนต์ เรนจ์ โรเวอร์ สปอร์ต

มาพร้อมอุปกรณ์มาตรฐาน อาทิ ไฟหน้าแบ Matrix LED ปรับการทำงานอัตโนมัติ, ล้อแม็กขนาด 21 นิ้ว, ระบบความปลอดภัยรอบคัน พร้อมกล้องแสดงผลรอบทิศทาง 360 องศา เป็นต้น

ห้องโดยสารภายในมาพร้อมเทคโนโลยี InControl Connect Pro แสดงผลผ่านหน้าจอสัมผัสขนาด 10 นิ้ว เครื่องเสียงชุดใหญ่แบบพรีเมียมของ Meridian ลำโพงถึง 19 พร้อม Sub-Woofer และมี WiFi Hotspot เชื่อมต่ออุปกรณ์ภายในรถได้

ขุมพลังปลั๊กอินไฮบริด ทำงารร่วมกับเครื่องยนต์เบนซินตระกูล Ingenium ขนาด 2.0 ลิตร แบบ 4 สูบ 300 แรงม้า คู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า 116 แรงม้า พ่วงด้วยแบตเตอรี่ความจุ 13 kWh ให้กำลังรวมทั้งระบบ 404 แรงม้า ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 6.7 วินาที อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 27.7 กม./ลิตร วิ่งด้วยไฟฟ้าได้ไกลสูงสุดประมาณ 51 กิโลเมตร

Mercedes-Benz-GLC-300-e-4MATIC-AMG-Dynamic

5. Mercedes-Benz GLC 300 e 4MATIC AMG Dynamic ราคา 3,699,000 บาท ระยะทาง 46-49 กิโลเมตร

Mercedes-Benz GLC 300 e 4MATIC AMG Dynamic (เมอร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลซี 300 อี) คือรถยนต์ SUV Plug-In Hybrid ขนาดกลาง ที่ยกระดับใหม่ในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี ภายใน และดีไซน์แบบ SUV ที่เป็นเอกลักษณ์

มาพร้อมระบบสั่งการด้วยเสียง “Hey Mercedes” ระบบสั่งงานด้วยเสียงซึ่งสามารถประมวลผลประโยคที่ใกล้เคียงกับคำสั่งทั่วไปได้ ทั้งจดจำและเรียนรู้การสั่งงานของคุณได้ ระบบปรับรูปแบบการขับขี่ (Dynamic Select) ที่เปลี่ยนจากการปรับโหมดขับขี่ผ่านพวงมาลัย มาเป็นการปรับโหมดการขับขี่ผ่านหน้าจอแสดงผล ที่ตอบสนองการขับขี่ได้ในแบบฉบับที่คุณโปรดปราน ไม่ว่าจะเป็นโหมด ECO, Comfort, Sport, Sport+, Individual โดยที่ระบบจะปรับการทำงานของเครื่องยนต์ในส่วนต่าง ๆ อาทิ ระบบส่งกำลัง ระบบบังคับเลี้ยวหรือโปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ เป็นต้น

ด้วยสมรรถนะของเทคโนโลยี Plug-in Hybrid ที่จะพาคุณก้าวสู่โลกสีเขียวแห่งอนาคต โดยผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 211 แรงม้า และจากมอเตอร์ไฟฟ้า 122 แรงม้า รวมเป็นกำลังสูงสุด 320 แรงม้า พร้อมด้วยแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ความจุ 13.5 kWh

ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด แบบ 9G-TRONIC ที่ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์มีความนุ่มนวลมากยิ่งขึ้น และประหยัดพลังงานได้มากถึง 6.5% มีอัตราการใช้พลังงาน 17.8-16.5 kWh/100 กม. ให้ระยะทางขับขี่ด้วยระบบไฟฟ้าล้วน 46-49 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NEDC)

BMW-X3-xDrive30e-M-Sport-2020

6. BMW X3 xDrive30e M Sport ราคา 3,659,000 บาท ระยะทาง 47 กิโลเมตร

BMW X3 xDrive30e M Sport (บีเอ็มดับบลิว เอ็กซ์3) ผสมผสานระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ xDrive และระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า eDrive ของบีเอ็มดับเบิลยูเข้ากันอย่างลงตัว เพื่อมอบความเพลิดเพลินในการขับขี่ควบคู่ความยั่งยืนอย่างสมบูรณ์ บีเอ็มดับเบิลยู X3 xDrive30e M Sport ใหม่

มาพร้อมกับระบบปลั๊กอินไฮบริด ที่ประกอบด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร มอบกำลังสูงสุดที่ 184 แรงม้า พร้อมเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo และมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด แบบ Sport Steptronic มอบกำลังขับจากระบบไฟฟ้าสูงสุดที่ 109 แรงม้า ส่งพลังลงสู่ล้อทั้งสี่อย่างเต็มพิกัด

เมื่อนับรวมกันแล้ว เครื่องยนต์ขุมพลังเบนซิน 4 สูบ และมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังรวมสูงสุดถึง 292 แรงม้า แรงบิดรวมสูงสุด 420 นิวตันเมตร และยังช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงให้ลงมาที่ 35.7 กม./ลิตร โดยอัตราการใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ประมาณ 17.92 kWh ต่อ 100 กิโลเมตร

ส่วนแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน มาพร้อมกับเทคโนโลยีเซลล์แบตเตอรี่ใหม่ล่าสุด ส่งกำลังให้สามารถขับขี่ในโหมดไฟฟ้าล้วนได้ในระยะทางสูงสุดถึง 47 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NEDC) เร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 6.1 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 210 กม./ชม.

มอเตอร์ไฟฟ้าของรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู X3 xDrive30e M Sport สามารถทำงานทั้งในรูปแบบการขับขี่พลังงานไฟฟ้าล้วน หรือเพื่อช่วยสนับสนุนการทำงานของเครื่องยนต์สันดาป โดยในโหมด MAX eDrive ซึ่งเปิดใช้งานได้ด้วยปุ่ม eDrive บริเวณคอนโซลหลัก บีเอ็มดับเบิลยู X3 xDrive30e M Sport ใหม่ จะสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 135 กม./ชม. ด้านโหมด Auto eDrive แบบมาตรฐาน สามารถทำความเร็วสูงสุดด้วยการขับขี่แบบไฟฟ้าล้วนได้ที่ 110 กม./ชม.

ในขณะเดียวกัน เครื่องยนต์สันดาป ยังสามารถสลับมาทำหน้าที่แทนเมื่อเร่งความเร็วสูงขึ้น หรือเมื่อมีจำเป็นต้องใช้พละกำลังจากเครื่องยนต์เพิ่มเติม

Porsche-Cayenne-e-Hybrid-2021

7. Porsche Cayenne e-Hybrid ราคา 6,300,000 บาท ระยะทาง 47 กิโลเมตร

Porsche Cayenne e-Hybrid (ปอร์เช่ คาเยนน์ อี-ไฮบริด) ปอร์เช่เสริมศักยภาพพิสัยการเดินทางด้วยพลังงานไฟฟ้า ให้แก่สายพันธุ์สปอร์ต SUV ปลั๊กอินไฮบริด กับ Cayenne โดยสมรรถนะของแบตเตอรี่ High-Voltage เพิ่มขึ้นเป็น 17.9 kWh จากเดิม 14.1 kWh ส่งผลต่อระยะทางที่สามารถวิ่งได้ด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว เพิ่มสูงขึ้นอีกถึงกว่า 30%

เมื่อทดสอบตามมาตรฐาน NEDC (ECE-R101) ปอร์เช่ คาเยนน์ อี ไฮบริด (Porsche Cayenne E-Hybrid) และ เทอร์โบ เอส อี ไฮบริด (Turbo S E-Hybrid) มีพิสัยการเดินทางโดยปราศจากมลพิษสูงสุดถึง 47 กิโลเมตร

ระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ใน Porsche Cayenne e-Hybrid ทุกคัน รวมทั้งรุ่นตัวถังคูเป้ (coupe) ที่ให้ภาพลักษณ์สปอร์ตเต็มตัว ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติอัจฉริยะ 8 สปีด Tiptronic S ให้พละกำลังสูงสุด 136 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ความเร็วสูงสุดเมื่อใช้พลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ทำได้ที่ 135 กม./ชม. ตอบสนองต่อการขับขี่ที่ต้องการกำลังเพิ่มขึ้น หรือในขณะที่เลือกใช้งาน Driving Modes ทั้งในโหมด Sport และ Sport Plus ด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายในที่แตกต่างกันในแต่ละรุ่น

สำหรับ Cayenne E-Hybrid ประจำการขุมพลังเครื่องยนต์เบนซินขนาดความจุ 3.0 ลิตร V6 Turbo 340 แรงม้า เมื่อผสานการทำงานทั้งสองระบบจะได้กำลังสูงสุดรวมกว่า 462 แรงม้า (340 กิโลวัตต์)

ในส่วนของ Cayenne Turbo S E-Hybrid ให้พละกำลังสูงสุดถึง 550 แรงม้า จากเครื่องยนต์เบนซิน 4.0 ลิตร V8 Twin Turbo นั่นหมายถึงพลังมหาศาลจะได้รับการปลดปล่อย เมื่อทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าถึงกว่า 680 แรงม้า

Mitsubishi-Outlander-PHEV-2020

8. Mitsubishi Outlander PHEV ราคา 1,749,000 บาท ระยะทาง 45 กิโลเมตร

Mitsubishi Outlander PHEV (มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี) เป็นรถ SUV ระดับพรีเมียมที่ประกอบในประเทศ ผสาน DNA และเทคโนโลยีรถยนต์ระดับตำนานของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส เข้าไว้ด้วยกัน เริ่มด้วย “Pajero” สุดยอดตำนานแห่งรถเอสยูวี “Mitsubishi Lancer Evolution” เจ้าแห่งสนาม “เวิลด์แรลลี่แชมเปี้ยนชิพ” (WRC) ที่มีเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ซูเปอร์-ออลวิลล์คอนโทรล (S-AWC) ที่เป็นหนึ่งในตำนานแห่งสมรรถนะ รวมทั้งยานยนต์พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตขึ้นเพื่อจำหน่ายจริงรุ่นแรกของโลกอย่าง “i-MiEV” (ไอ-มีฟ)

ดีไซน์ภายนอกที่โดดเด่น โฉบเฉี่ยว และหรูหราเหนือระดับ ดีไซน์ภายในประณีตทุกรายละเอียด ห้องโดยสารกว้างขวาง ทรงพลังด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ และเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.4 ลิตร แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ให้แรงม้าสูงสุด 305 แรงม้า สามารถวิ่งได้ด้วยไฟฟ้าล้วน ถึง 45 กิโลเมตร

ส่งกำลังผ่านโหมดการขับขี่ 3 รูปแบบ ได้แก่ โหมด EV (ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ) โหมด Hybrid (ขับเคลื่อนหลักด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า โดยมีเครื่องยนต์ทำหน้าที่ผลิตกระแสไฟฟ้าให้แก่มอเตอร์ไฟฟ้าคู่) และโหมด Parallel Hybrid (เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าทำหน้าที่ขับเคลื่อนตัวรถไปพร้อมกัน)

พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ซูเปอร์-ออลวิลล์คอนโทรล (S-AWC) ให้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเพียง 52.6 กม./ลิตร หรือ 1.9 ลิตรต่อ 100 กม. ตามมาตรฐาน NEDC

MR.CARRO หวังว่า 8 อันดับ รถยนต์ SUV และ Crossover แบบ Plug-In Hybrid ระยะทางวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนมากสุดในไทย ที่นำมาเสนอนั้น หากใครอยากได้ หรือกำลังตัดสินใจจะซื้ออยู่พอดี แต่งบไม่พอ! มาขายรถคันเดิมของคุณกับทาง CARRO สิ ได้ราคาดีที่สุด พร้อมปิดการขายภายใน 24 ชั่วโมง! กับ CARRO Express แค่คลิก -> https://th.carro.co/sell-car/express หรือจะ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

และอีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ ซื้อรถ คลิก -> https://th.carro.co/taladrod/allcar/carro 

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่หาไม่ได้ สามารถสั่งตามออเดอร์ได้ที่นี้ > https://th.carro.co/buy-car หรือโทร. 02-508-8690 อีกทั้งยัง Inbox เข้ามาสอบถามก็ได้เช่นกันได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง หรือทาง Line เชิญเลยครับที่ @carroautomall

หมายเหตุ : ข้อมูลสินค้า 8 อันดับข้างต้นนี้ เป็นข้อมูลสินค้าที่ Update ณ เดือนเมษายน 2564 เมื่อเวลาผ่านไปราคาและอันดับดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ โปรดสอบถามรายละเอียดหรือราคาล่าสุด ที่ตัวแทนจำหน่ายรถรุ่นนั้นๆ อีกครั้ง

Nissan-Big-M-1993

รถกระบะของ Nissan ในยุคปัจจุบันแม้ว่าจะถูกลืมๆ กันไปบ้าง แต่ย้อนกลับไปในยุค 90 รถกระบะของนิสสัน จัดว่ามีชื่อเสียงโด่งดังมากเลยทีเดียว กับ “Nissan Big M” (นิสสัน บิ๊กเอ็ม) ที่สร้างชื่อให้กับสยามกลการอย่างมาก นั้บตั้งแต่ปี 2529 – 2541

อ่านเพิ่มเติม : ประวัติ Nissan Big M มือสอง (นิสสัน บิ๊กเอ็ม มือสอง)

โดยในโฉมรหัส D21 นี้ เป็นรุ่นที่ขายกันมายาวนานอีกรุ่นหนึ่ง และโครงสร้างของตัวรถ ยังแชร์ให้กับในรุ่น D40 ของที่บ้านเรารู้จักกันในชื่อ Nissan Big M Frontier (ต่อมาเหลือแค่ Frontier) ใช้ร่วมกันอีกด้วย

สำหรับกระบะ Nissan Big M ในรุ่นกระบะตอนเดียว จะใช้ชื่อว่า Premium Cab ซึ่งก็มีแตกออกเป็นหลายรุ่นย่อยมาก รวมไปถึงการปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์หลายครั้งมาก ทั้งยังมีเครื่องยนต์ทั้งแบบเบนซิน ขนาด 1.6 ลิตร กับ 2.0 ลิตร และแบบดีเซล ขนาด 2.5 ลิตร กับ 2.7 ลิตร ให้เลือก

สำหรับ Nissan Big M คันนี้ เป็นรถของผู้ใช้ Facebook ชื่อคุณ Champ Chaichana ได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความระบุว่า “Nissan big m D21 เครื่องเบนซิน Z16 Original Standard Company วิ่งน้อย 20X,XXX สายเดิม,สายบาง, เชิญทางนี้ครับ สายสะสมชมวิว อนุรักษ์นิยม ไม่ควรพลาดครับ แท้โรงงานทุกชิ้น #28ปีดูแลอย่างดีครับ”

ซึ่งชาวเน็ตหลายคนต่างชื่นชมกับสภาพรถ ที่ดูสวยและเดิมๆ ใกล้เคียงรถใหม่ป้ายแดงเลยทีเดียว ซึ่งรถกระบะตอนเดียวส่วนใหญ่จะหาสภาพเดิมสุดๆ แบบนี้ได้ยาก เนื่องจากซื้อไปแล้ว ก็ใช้งานกันอย่างคุ้มค่าสุดๆ … ไปดูรูปกันเลยดีกว่า

Nissan-Big-M-1993

สภาพเดิมๆ ทั้งคัน

Nissan-Big-M-1993

สภาพเดิมๆ ทั้งคัน

Nissan-Big-M-1993

กระจังหน้าเดิม ตรงรุ่น ตรงยุค

Nissan-Big-M-1993

กระบะท้ายเดิมๆ

Nissan-Big-M-1993

สติ๊กเกอร์ข้างรถ ตรงรุ่น พร้อมสติ๊กเกอร์แอร์ KIKI / ZEXEL ของ Nissan

Nissan-Big-M-1993

ห้องโดยสารภายใน เดิมๆ เพิ่มชุดลำโพงเข้าไป

Nissan-Big-M-1993

สภาพพร้อมใช้งาน

Nissan-Big-M-1993

ชุดเบาะนั่ง เดิมๆ มีรอยแตกบ้างตามการใช้งาน

Nissan-Big-M-1993

มาตรวัดความเร็ว เดิมๆ

Nissan-Big-M-1993

กรอบแอร์ละลาย เป็นเรื่องปกติของรถ Nissan ยุค 90

Nissan-Big-M-1993

แม่แรงติดรถ ของเดิมๆ อยู่พร้อม

Nissan-Big-M-1993

เครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.6 ลิตร รหัส Z16 เดิมๆ สะอาด พร้อมหม้อกรองอากาศของเดิมจาก Siam Tsuchiya

Nissan-Big-M-1993

สติ๊กเกอร์เครื่องยนต์ตระกูล Z ของแท้ดั้งเดิม

Nissan-Big-M-1993

แผ่นเพลทของเดิม

Nissan-Big-M-1993

ชุดเครื่องมือ สมุดรับประกัน ยังอยู่ครบ!

ส่วนใครที่อยากขายรถ ไม่ว่าจะเป็นรถบ้าน รถมือสอง ก็สามารถปรึกษากับทางเราดูก่อนได้ เพียงแค่คุณขายรถคันเดิมกับ CARRO ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ CARRO Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

Toyota-TRD-2000

ย้อนกลับไปในยุค 90 ช่วงนั้นรถแต่งรถแรง ยังไม่ได้เป็นที่นิยมเป็นวงกว้าง ถึงขั้นที่ว่าค่ายรถต่างๆ ต้องผลิตออกมาเอาใจตลาดแบบในปัจจุบัน แต่ก็จะมีคนเฉพาะกลุ่ม (เอาจริงๆ ก็กลุ่มใหญ่พอสมควรเลยล่ะ) ที่นิยมเล่นรถแต่งซิ่งในแนวนี้อยู่ในเวลานั้น จึงเป็นโอกาสทอง ของบรรดาสำนักแต่งต่างๆ ได้แสดงโชว์ฝีมือ และออก “ของแรง” มาให้ได้ซื้อหากัน ในจำนวนจำกัด และราคาสูงมากก็ตาม

ด้านสำนักแต่งที่คู่บุญของ Toyota มานาน อย่าง “TRD” (Toyota Racing Development) ก็ได้ทำการโมดิฟายรถในเครือของ Toyota มาตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งในยุค 90 ชื่อชั้นของ TRD อาจไม่คุ้นหูของคนทั่วไปในไทยนัก

แต่สำหรับคนรักรถโตโยต้าแล้ว ชื่อนี้มีของดีออกมาเยอะ! นับตั้งแต่น้องเล็ก TRD 2000, TRD 2000GT เอาเจ้า MR2 มาแต่ง ไปจนถึงสปอร์ตรุ่นใหญ่ TRD 3000GT ที่จับเจ้า Supra มาแต่งให้แรง

MR.CARRO จะขอนำเสนอ TRD 2000 ในมุมของ User Voice ครับ

TRD-2000-Catalogue

ในปี 1994 ช่วงที่รายการแข่งขันรถยนต์ JTCC (All Japan Touring Car Championship) กำลังฮิตในประเทศญี่ปุ่น Toyota ได้ส่ง Corolla ลงเข้าแข่งขัน ผนวกกับเศรษฐกิจญี่ปุ่น ที่กำลังบูม (ก่อนฟองสบู่แตก) ในขณะนั้น

Toyota-TRD-2000

ทางสำนักแต่ง TRD (Toyota Racing Development) และ Toyota Techno Craft Co., Ltd จึงนำ Toyota Corolla เจเนอเรชั่นที่ 7 หรือ “สามห่วง” ที่รู้จักกันดีในบ้านเรา รุ่นย่อย GT (รหัสรุ่น E-AE101-AEMVF) มาแต่งพิเศษในชื่อ “TRD 2000” เมื่อเดือนตุลาคม 1994 ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 99 คัน

Toyota-TRD-2000

สำหรับรถคันที่เรานำเสนออยู่นี้ ได้ถูกเจ้าของรถตกแต่งให้แตกต่างไปจาก TRD 2000 เดิมเล็กน้อย เริ่มต้นตั้งแต่การเปลี่ยนไฟหน้าเป็นแบบเดียวกับ Corolla Wagon (หรือแบบของ Depo ที่ขายในบ้านเรานั่นล่ะ) เลนส์ไฟเลี้ยวแบบใส กระจังหน้านำของ Corolla FX มาใส่ ส่วนล้อนั้นใช้ของ Enkei NT03 และยางขนาด 205/40R17 ของ Dunlop

Toyota-TRD-2000

เครื่องตัวเดียวกับ Celica!

มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร รหัส 3S-GE แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ตัวเดียวกันกับที่ใช้ในการแข่งขัน JTCC ให้แรงม้าสูงสุด 180 แรงม้า ที่ 7,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 19.5 กก.-ม. ที่ 4,800 รอบ/นาที จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ EFI ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด บนน้ำหนักตัวรถ 1,140 กิโลกรัม

Toyota-TRD-2000

ของแท้ ต้องมีแผ่นเพลท หน้าตาแบบนี้ จาก Toyota Techno Craft

ซึ่งเจ้าเครื่องยนต์ 3S-GE ที่อยู่ใน TRD 2000 นี้ มีแรงม้าที่มากกว่าเครื่องยนต์ 4A-GE ที่อยู่ใน Corolla GT ถึง 20 แรงม้า และแรงบิดที่มากกว่า 3.0 กก.-ม.

อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง (ตามมาตรฐานโหมด 10-15) อยู่ที่ 11.2 กม./ลิตร

Toyota-TRD-2000

สำหรับชุดยางแท่นเครื่องของ TRD ได้ปรับปรุงใหม่ ให้รองรับแรงสั่นสะเทือนจากเครื่องยนต์ได้มากขึ้น

Toyota-TRD-2000

ภายใน ได้อารมณ์สปอร์ตกำลังดี

TRD 2000 มาพร้อมชุดแต่งครบครัน อาทิ คอยล์สปริง TRD, หัวเกียร์ TRD แบบ Quick Shift, ท่อไอเสียคู่ TRD แบบสแตนเลส, โช๊คอัพ TRD, ผ้าเบรก TRD, เหล็กค้ำโช๊คหน้า TRD, ชุดเกียร์ Manual Transaxle แบบ S54 แบบเดียวกับใน Toyota Celica (ST202), สติ้กเกอร์ด้านข้าง และชื่อรุ่นด้านหลัง

ส่วนคันที่เรานำเสนอนี้ ภายในใช้พวงมาลัย 4 ก้านของ MOMO และเบาะนั่งของ Recaro ซึ่งเจ้าของได้ตกแต่งเองเพิ่มเติม

Toyota-TRD-2000

ชุดมาตรวัดจากรุ่นธรรมดา จนดูไม่ว่านี่เครื่องแรง!

ในส่วนของ Option สามารถสั่งเพิ่มเติมได้ อาทิ ชุดคลัทช์ TRD, เฟืองท้าย TRD แบบ LSD, เหล็กกันโคลง TRD, เบาะนั่ง Konig Prinz P200, พวงมาลัยหุ้มหนังแท้ 3 ก้าน TRD และล้อแม็ก TRD Type-FT (15X6.5JJ-38) พร้อมยาง Yokohama Grand Prix M5 ขนาด 195/55R15

Toyota-TRD-2000

ราคาตัวรถ 1,726,000 เยน ราคารวมชุดแต่งทั้งหมด 3,350,000 เยน

แต่ความพิเศษของรถรุ่นนี้ ตอนขายก็พิเศษไปด้วยเช่นกัน เพราะขายได้แค่ใน 1 จังหวัด และ 3 จังหวัด ที่ต้องแสดงการมีสถานที่จอดรถเป็นของตนเอง (ถึงจะซื้อได้) อีกทั้งยังไม่ขายให้กับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 25 ปี

แต่ด้วยราคาจำหน่ายที่สูงมาก ทำให้รถรุ่นนี้ ขายไปได้แค่ 10 คันเท่านั้น!

Toyota-TRD-2000

ท่อไอเสียคู่ ติดตั้งมาให้พร้อม

แม้ว่าภายนอกจะดูธรรมดาสามัญ แต่ถ้าเป็นคนเล่นรถ จะรู้เลยว่ารุ่นนี้น่ะ ไม่ธรรมดา!

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถใหม่ป้ายแดง มาขายรถคันเดิมกับ CARRO Express สิ! Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

แต่ถ้าหากช่วงนี้ใครไม่มีงบซื้อรถป้ายแดง ลองหารถมือสองรุ่นข้างต้น มาใช้แทนที่รถคันเดิม CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ พร้อมตอบโจทย์คุณด้วยคอนเซปต์ “click.buy.drive.” คุณสามารถจองรถออนไลน์ ได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น!

รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check และยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” ให้คุณเลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา พร้อมรับประกันคุณภาพรถนานถึง 2 ปี หรือ 20,000 กิโลเมตร! อีกทั้งยังการันตีความพึงพอใจ คืนเงินได้ภายใน 5 วันอีกด้วย! เรามีรถให้คุณเลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ CARRO Automall สิ!

หรือถ้าหากสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall Official โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall ครับ

เนื้อเรื่อง / ภาพ โดย Kentaro HIROSHIMA

แหล่งที่มาจาก:

Best-Car-Camera-For-Your-Car

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ทุกวันนี้ “กล้องติดรถยนต์” หรือ “กล้องหน้ารถ” (Dash Cam หรือ Car Camera) นั้น มีความสำคัญอย่างยิ่ง กลายเป็น New Normal ที่ต้องมีกันแล้วในรถทุกคัน เพื่อช่วยในการบันทึกเรื่องราวต่างๆ บนท้องถนนขณะขับรถ อาทิเช่น ภาพรถยนต์มักง่ายทำผิดกฎจราจร หรือเกิดอุบัติเหตุในมุมด้านหน้า (และด้านหลัง) การชนแล้วหนี รวมทั้งยังเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ ช่วยให้ตำรวจ และบริษัทประภันภัย สามารถสืบสวนและทำงานได้ง่ายขึ้น ตัดสินได้ง่ายขึ้นว่าใครถูกใครผิด ซึ่งถ้าหากไม่มีกล้อง การติดตามเรื่องราวเหล่านี้ อาจต้องเสียเวลามาก และตามคู่กรณีได้ลำบาก

แต่กล้องหน้ารถ ทุกวันนี้ก็มีออกมาให้เลือกกันเยอะมาก จากสารพัดแบรนด์ มีกันตั้งแต่ราคาถูกๆ ไม่ถึงพัน แต่คุณสมบัติ ความละเอียดก็ไม่คมชัด หรือบันทึกได้ไม่นาน ไปจนถึงราคาแพงหลักหมื่นบาท ภาพคมชัดสุดๆ รวมถึงการบันทึกอัตโนมัติ บวกกับระบบป้องกันไฟล์ภาพหาย และฟังก์ชั่นการบันทึกโหมดกล้องวงจรปิดเมื่อจอดรถ ซึ่งมีให้เลือกได้ตามกำลังทรัพย์ และวิธีติดตั้งกลองหน้ารถ ยังง่ายนิดเดียว

กล้องติดหน้ารถยนต์ ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ FULL HD 1080p หรือ HD Ready 720p ถือว่าเป็นมาตรฐาน ให้คุณภาพไฟล์วีดีโอที่ละเอียดและใช้งานได้ และถ้าจะซื้อก็ควรเลือกใช้มาตรฐานนี้ อีกทั้งยังต้องดูตัวเลนส์ และชิปประมวลผล ที่ต้องทำงานคู่กันด้วย ว่าคุณภาพดีหรือไม่

สำหรับกล้องติดหน้ารถยนต์ ในปี 2020 ราคาสบายกระเป๋า ไม่เกินสองพันบาท จะมีแบบไหน ยี่ห้อไหนบ้าง ที่น่าซื้อมาติดในรถของคุณ? MR.CARRO ขอแนะนำกล้องติดรถยนต์ยอดนิยม เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า คุ้มราคา สำหรับรถคุณในปี 2020 จ้า.

Best-Car-Camera-For-Your-Car

1. Xiaomi 70mai Car DVR Camera Full HD 1080P

ราคา 959 บาท (ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ โปรดเช็ค ณ จุดขายอีกครั้ง)

Xiaomi ผู้ผลิตสมาร์ทโฟน และสินค้าหลายหลายจากประเทศจีน ก็มีทำกล้องหน้ารถ Xiaomi ออกมาขายด้วยเช่นกัน ได้ที่เราขอแนะนำเป็นรุ่นราคาย่อมเยาว์ แต่คุณสมบัติก็ถือว่าเจ๋ง นั่นคือ Xiaomi 70mai และราคาที่ไม่แพงอีกด้วย

มาพร้อมเลนส์มุมกว้าง 130 องศา ใช้เซ็นเซอร์ของ Sony IMX323 ถ่ายวีดีโอตอนกลางคืนได้คมชัด พร้อมการเชื่อมต่อผ่านระบบ WiFi, G-Sensor เซ็นเซอร์ G-Built สำหรับบันทึกเหตุฉุกเฉินอัตโนมัติ และการบันทึกแบบวนรอบอัตโนมัติ พร้อมเทคโนโลยีการบีบอัดภาพขั้นสูง H.264 ช่วยให้วิดีโอมีคุณภาพดี และประหยัดพื้นที่จัดเก็บไฟล์ รองรับ Micro SD Card สูงสุด 32 GB และการควบคุมเสียงภาษาอังกฤษ – รัสเซีย

แอพพลิเคชั่นมือถือที่รองรับ (การควบคุม Android 6.0 เหนือ / iOS) (สนับสนุนคำสั่งภาษาอังกฤษ) ชื่อแอพ 70mai (ภาษาอังกฤษ) ดูผ่านมือถือได้ เล่นซ้ำวิดีโอและดาวน์โหลดด้วย 70mai พร้อมฟรี Wifi ในตัว

Best-Car-Camera-For-Your-Car

2. Morestech G1W NT96650

ราคา 999 บาท (ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ โปรดเช็ค ณ จุดขายอีกครั้ง)

Morestech เป็นแบรนด์ที่สั่งผลิต นำเข้าและจำหน่ายกล้องติดรถยนต์คุณภาพจากประเทศจีน มีราคาไม่แพง และรับประกัน 1 ปีเต็ม โดยรุ่นนี้เป็นรุ่นที่พัฒนาจากของเดิม คุณภาพระดับ Full HD ใช้ชิพเซ็ต Novatek NTK96650BG

พร้อมฟังก์ชั่น WDR สามารถบันทึกวีดีโอตอนกลางคืนได้ดีมากขึ้น ภาพชัดขึ้น ไม่แตก และยังพิเศษ ตรงที่ระบุป้ายทะเบียนรถผู้ขับขี่เป็นภาษาไทยได้

ส่วนคุณสมบัติของกล้องนั้นก็มี หน้าจอแสดงผลขนาด 2.7 นิ้ว บันทึกภาพทันที่เมื่อสตาร์ทเครื่อง และหยุดบันทึกเมื่อดับเครื่องยนต์ ใช้ชิพเซ็ต NT96650 และ Sensor AR0330 มีระบบป้องกันไฟล์สูญหายด้วย G-Sensor พร้อมเลนส์บันทึกภาพมุมกว้างได้ และฟังก์ชั่นโหมดตรวจจับการเคลื่อนไหว Motion Detection ความคมชัดระดับ FULL HD 1080p รองรับ Micro SD Card สูงสุด 32 GB

Best-Car-Camera-For-Your-Car

3. Aston Alpha Hero Next Cam

ราคา 990 บาท (ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ โปรดเช็ค ณ จุดขายอีกครั้ง)

เป็นกล้องแบรนด์จีนอีกหนึ่งเจ้า ที่ได้รับความนิยมหลายรุ่นเลยทีเดียว สำหรับรุ่นนี้ มีหน้าจอแสดงผลขนาด 3 นิ้ว ตัวเลนส์ 2 ล้านพิกเซล ให้ความละเอียดสูงระดับ Full HD 720P รองรับเมนูภาษาไทย รองรับ Micro SD Card สูงสุด 32 GB

มีฟังก์ชั่นเด่นๆ อย่าง Lane Departure Warning แจ้งเตือนอัตโนมัติเมื่อขับรถออกนอกเลน, ฟังก์ชั่น Parking Mode บันทึกตอนจอดรถอัตโนมัติเมื่อเกิดแรงสั่นสะเทือน พร้อม G-Sensor ป้องกันไฟล์วีดีโอหาย หรือบันทึกทับ และ Loop Recording บันทึกวิดีโอแบบหมุนวน และฟังก์ชั่นโหมดตรวจจับการเคลื่อนไหว Motion Detection

Best-Car-Camera-For-Your-Car

4. DDPai Mini Full HD

ราคา 1,120 บาท (ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ โปรดเช็ค ณ จุดขายอีกครั้ง)

กล้องติดรถยนต์ DDPai Mini Full HD ก็จัดว่าเป็นกล้องหน้ารถที่คนถามหากันเยอะ เพราะมีราคาไม่แพง รูปทรงดีไซน์แบบ Hidden Design กลมกลืนไปกับตัวรถ คุณภาพคมชัดระดับ Full HD 1080p รูรับแสง F2.2 ดูกลางคืนได้ดี เลนส์แบบหมุนได้ 140 องศา และรองรับ Micro SD Card ได้สูงสุดถึง 128 GB

อ่านป้ายทะเบียนได้ง่าย ด้วยระบบ IR Filter อีกทั้งยังสามารถดาวน์โหลดไฟล์วิดีโอมาเก็บไว้บนโทรศัพท์ได้ง่ายๆ ด้วย Wifi ในตัว ผ่านแอพพลิเคชั่น DDPAI ที่รองรับทั้งบน iOS และ Android รองรับการใช้งาน

มีฟังก์ชั่น G-sensor บันทึกภาพฉุกเฉินเมื่อมีแรงสั่นสะเทือน ฟังก์ชั่น Parking Monitoring บันทึกภาพอัตโนมัติ เมื่อรถสั่น มี Loop Cycle Recording ฟังก์ชั่นบันทึกข้อมูลทับ DeFog AIgorithm, สั่งงานผ่านเสียง แถมยังมีระบบตรวจจับรถคันด้านหน้าเพื่อป้องกันชนท้าย และแจ้งเตือนเมื่อมีการเปลี่ยนเลนถนน (ADAS)

Best-Car-Camera-For-Your-Car

5. Blueskysea B1W

ราคา 1,590 บาท (ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ โปรดเช็ค ณ จุดขายอีกครั้ง)

Blueskysea B1W เป็นกล้องติดรถยนต์ (จากจีนอีกนั่นแหละ) ที่ชาวต่างชาตินิยมใช้กันมาก มาพร้อมชิพเซ็ทของ Novatek GM8135S processor และเซ็นเซอร์รับภาพจาก Sony IMX323 CMOS Sensor รูรับแสง F1.8 ดูกลางคืนได้ชัด เลนส์มุมมองกว้าง 150 องศา หมุนได้ 360 องศา ให้ความละเอียดสูงระดับ Full HD 1080P รองรับเมนูภาษาไทย รองรับ Micro SD Card สูงสุด 64 GB

สามารถตั้งค่ากล้อง และดาวน์โหลดไฟล์วิดีโอมาเก็บไว้บนโทรศัพท์ได้ง่ายๆ ด้วย Built-In Wifi ในตัว ผ่านแอพพลิเคชั่น B1W-CARCVR ที่รองรับทั้งบน iOS และ Android รองรับการใช้งาน แม้กระทั่งการจอดรถก็ตาม (แต่ต้องต่อสายไฟเชื่อมกับตัวรถยนต์ หรือที่จุดบุหรี่ครับ) และยังเป็นแบบคาปาซิเตอร์ ซึ่งปลอดภัยกว่าแบตเตอรี่แบบลีเธียมด้วย เวลาเจอแดดจัดๆ

Best-Car-Camera-For-Your-Car

6. Xiaomi 70Mai Dash Cam Pro DVR WiFi

ราคา 1,590 บาท (ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ โปรดเช็ค ณ จุดขายอีกครั้ง)

กล้องติดรถยนต์ Xiaomi 70mai Dash Cam 1S English Car Camera เป็นกล้องหน้ารถรุ่น PRO จากค่าย Xiaomi ที่ต้องดีกว่ารุ่นธรรมดาแน่นอน เริ่มต้นด้วยความละเอียดภาพแบบ Full HD ความละเอียดมากถึง 2592 X 1944 Px ขนาด 5 ล้านพิกเซล หน้าจอ 2 นิ้ว มุมมองเลนส์กว้าง 140 องศา เห็นชัดด้วยเซ็นเซอร์รับภาพจาก Sony IMX335 รองรับ Micro SD Card สูงสุด 64 GB

พร้อมระบบ Voice Control และเมนู (เฉพาะภาษาอังกฤษ) และสามารถดาวน์โหลดวิดีโอและผ่านแอพพลิเคชั่น 70mai พร้อมฟรี Wifi ในตัว ส่วนตัวแบตเตอรี่เป็นแบบลิเธียมไอออน ขนาด 500mAh

มีฟังก์ชั่น G-Sensor บันทึกภาพฉุกเฉินเมื่อมีแรงสั่นสะเทือน ฟังก์ชั่น Parking Monitoring บันทึกภาพอัตโนมัติ เมื่อรถสั่น มี Loop Cycle Recording ฟังก์ชั่นบันทึกข้อมูลทับ DeFog AIgorithm, สั่งงานผ่านเสียง แถมยังมีระบบตรวจจับรถคันด้านหน้าเพื่อป้องกันชนท้าย และแจ้งเตือนเมื่อมีการเปลี่ยนเลนถนน (ADAS)

สำหรับกล้องติดรถยนต์ทั้ง 6 แบบ ที่ทาง MR.CARRO นำเสนอมา น่าจะถูกใจใครหลายๆ คนเชียวนะครับ

ส่วนช่วงนี้ถ้าเกิดใครร้อนเงินเพราะโควิด-19 วิธีขายรถที่ได้เงินเร็วไว ง่ายนิดเดียว เพียงนำรถมาขายกับ CARRO Express ได้เลย แค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand เลยนะจ๊ะ

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand คลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน