carr-blog-feature-image

ตอบโจทย์ความสะดวกสบายของคนมีรถ ช่วยลดปัญหาหงุดหงิดกวนใจที่ต้องพบเจอระหว่างเดินทางด้วยแอปพลิเคชั่นที่สามารถดาวน์โหลดมาใช้งานกันได้ฟรี ๆ ทั้งระบบ iOS และ Android มาสิ มาดูกันว่า นอกจาก Google Maps ที่ทุกคนใช้กันเป็นประจำจนคุ้นเคยแล้วก็ยังมีแอปพลิเคชั่นอื่น ๆ ตัวไหนอีกบ้างที่น่าสนใจเหมาะดาวน์โหลดติดมือถือไว้ใช้ในยามจำเป็น

1. JS 100

เกาะติดข่าวสารความเคลื่อนไหวบนท้องถนนจากคลื่นวิทยุ จส. 100 ง่าย ๆ เพียงแค่เปิดแอปก็สามารถเช็กสภาพการจราจรบนท้องถนนที่รายงานแบบ Real time พร้อมแผนที่การเดินทาง ข้อมูลการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนในจุดต่าง ๆ เพื่อให้คนมีรถสามารถวางแผนการเดินทางได้ง่ายยิ่งขึ้น รวมถึงการขอความช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉิน เรียกว่าเป็นแอปพลิเคชั่นเจ๋ง ๆ เหมาะสำหรับคนเมืองไว้ใช้ในการเช็กสภาพจราจรก่อนขับรถไปทำงาน

JS 100

Cr: App JS 100

2. PTT Life Station

คนมีรถคงขำไม่ออกแน่ ๆ หากขับรถเที่ยวต่างจังหวัดหรือในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคยแล้ว เจ้ากรรม! น้ำมันดันกำลังจะหมด มองซ้าย มองขวา จะแวะหาที่เติมน้ำมันได้จากไหน แนะนำเปิดแอปพลิเคชั่นนี้แบบด่วน ๆ เพราะสามารถช่วยค้นหาปั๊มน้ำมันและ NGV ของปตท. ทั่วประเทศได้ พร้อมกับแสดงผลในรูปของแผนที่ เข้าใจง่าย และสะดวกยิ่งขึ้นด้วยฟังก์ชั่น Direction to ช่วยนำทางไปยังปั๊มน้ำมันและ NGV ของปตท. ที่ต้องการ นอกจากนี้มีอัพเดทโปรโมชั่นและสิทธิพิเศษต่าง ๆ ของทุกแบรนด์ในเครือปตท. อีกด้วย

PTT Life Station

Cr: App PTT Life Station

3.Drivvo

แอปพลิเคชั่นช่วยคนมีรถจดบันทึกค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น ค่าน้ำมัน ค่าซ่อมบำรุง ประกันภัย ภาษี เป็นต้น ซึ่งทุกอย่างที่บันทึกจะแสดงข้อมูลออกเป็นกราฟเข้าใจง่าย พร้อมเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายในแต่ละกลุ่ม ทำให้ช่วยวางแผนควบคุมค่าใช้จ่ายในส่วนที่สิ้นเปลืองได้ และสามารถตั้งการแจ้งเตือนเกี่ยวกับการเติมน้ำมันเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง และการบำรุงรักษาครั้งต่อไปได้ ที่สำคัญใช้ง่ายเพราะฟังก์ชั่นต่าง ๆ รองรับภาษาไทย

Drivvo

Cr: App Drivvo

4. HERE WeGo

ขับรถเที่ยวที่ไหนก็ไม่ต้องกลัวหลงกับแอปพลิเคชั่นแผนที่นำทาง ที่รวมข้อมูลเส้นทางสำหรับผู้ใช้จักรยาน รถยนต์ รถประจำทาง และรถแท็กซี่ ซึ่งฟังก์ชั่นของแอปค่อนข้างใช้งานง่ายกว่า Google Maps ช่วยค้นหาสถานที่ได้เร็วแม่นยำ สามารถใช้งานได้ทั้งแบบ Online และ Offline เผื่อใครอยากประหยัดเน็ตมือถือ และในกรณีเกิดขับรถหลงทางไม่ต้องตกใจ!  เพราะแอปจะปรับเส้นทางใหม่แบบ Real time ให้ถึงจุดหมายปลายอย่างปลอดภัยแน่นอน

HERE WeGo

Cr: App HERE WeGo

5. Thailand Highway Traffic

แอปพลิเคชั่นเจ๋ง ๆ ไว้เช็กสภาพจราจรบนทางหลวง สามารถแสดงภาพปัจจุบันบนท้องถนนจากกล้องวงจรปิดมากกว่า 100 ตัว ที่อยู่บนทางหลวง พร้อมช่วยคำนวนเส้นทาง ความเร็ว เวลา อัตราการเคลื่อนตัวของรถ ปริมาณรถติดบนถนนเส้นต่าง ๆ และแผนที่จุดบริการเช่น ห้องน้ำ น้ำดื่ม ซึ่งข้อมูลทั้งหมดมาจากสำนักอำนวยความปลอดภัย กรมทางหลวง ช่วยให้คนขับรถเที่ยวต่างจังหวัดสามารถวางแผนก่อนออกเดินทางได้

Thailand Highway Traffic

Cr: App Thailand Highway Traffic

6. Parking Lots

เรื่องหาที่จอดรถยาก ดูเหมือนจะเป็นปัญหาสุดหนักใจของคนมีรถ เวลาเดินทางไปไหน มาไหน ที่ต้องวัดดวง แอบลุ้นกันว่าลานจอดจะมีที่ว่างเพียงพอไหม แถมบางทีที่จอดดันเต็มก็ต้องขับวนหากันให้เสียเวลา แต่สะดวกยิ่งขึ้นหากมีแอปพลิเคชั่นนี้ติดมือถือ เพราะสามารถค้นหาที่จอดรถในพื้นที่ต่าง ๆ เช่น จุดจอดใกล้สถานีรถไฟฟ้า ย่านใจกลางเมืองทั้งเยาวราช สีลม สุขุมวิท ห้างสรรพสินค้า แหล่งท่องเที่ยวนอกเมืองและต่างจังหวัดอีกด้วย

Parking Lots

Cr: App Parking Lots

7. Oil Price Today

วางแผนเติมน้ำมันล่วงหน้าได้ง่ายขึ้นกับแอปพลิเคชั่นที่รายงานราคาน้ำมันในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งมีข้อมูลน้ำมันอัพเดททั้งแก๊สโซฮอล์ 95, 91, E20, E85, เบนซิน 95, ดีเซล และ NGV พร้อมเปรียบเทียบ เช็กราคาน้ำมันในวันพรุ่งนี้ของปั๊มน้ำมันต่าง ๆ เช่น ปตท. บางจาก เชลล์ เอสโซ่ เป็นต้น รวมถึงแจ้งเตือนเมื่อมีการปรับราคาน้ำมันขึ้น – ลง

Oil Price Today

Cr: App Oil Price Today

มีแอปพลิเคชั่นเจ๋ง ๆ ติดมือถือไว้ช่วยวางแผนการเดินทางกันแล้ว แต่การขับรถด้วยความระมัดระวัง ไม่ประมาท ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องมีติดตัวอยู่ตลอดเวลาเมื่อขับรถอยู่บนท้องถนน ซึ่งหากใครอยากเพิ่มความมั่นใจด้วยการทำประกันรถยนต์สามารถ คลิกที่นี่ หรือโทรสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมกับมาสิได้เลยที่ 02 710 3100 หรือแอด LINE มาสอบถามที่ @masii ได้เลย

ขอบคุณบทความดี ๆ จาก www.masii.com

CarroxGobear-May

เมื่อเพื่อนๆซื้อรถมาแล้ว สิ่งจำเป็นที่เพื่อนๆต้องทำเลยก็คือการหาอู่ซ่อมรถที่ไว้วางใจได้ ซึ่งจะเป็นผู้คอยดูแลรถยนต์ของเพื่อนๆ ทั้งการดูแลรถยนต์ ตรวจเช็กรถยนต์ประจําปี และการซ่อมแซมในรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ

หลายๆคนน่าจะเคยสงสัย และไม่แน่ใจว่าควรจะเลือกส่งรถซ่อมกับอู่ทั่วไปแถวบ้าน หรือส่งรถเข้าศูนย์บริการซ่อมดี พี่มีแนะนำเลยว่า ให้ดูจุดประสงค์การซ่อมรถ งบประมาณของเพื่อนๆ แล้วเลือกว่าแบบไหนจะเหมาะกว่ากัน เพราะอู่ซ่อมรถทั่วไปกับศูนย์ซ่อมรถก็มีข้อดีที่แตกต่างกันไป ไปดูกันเลยครับ ว่าแบบไหนถึงจะเหมาะกับรถยนต์ของคุณ

ศูนย์ซ่อมรถ เลือกแบบไหนดี

ข้อดีของศูนย์ซ่อมรถ

 

  1. ไม่ละเมิดเงื่อนไขการรับประกันแน่นอน

 

ถ้าหากเพื่อนๆซื้อรถยี่ห้อนั้นๆมา แล้วนำไปเข้าศูนย์ซ่อมรถของรถยี่ห้อนั้นๆ ก็แทบไม่ต้องคิดมากเรื่องการรับประกันเป็นโมฆะเลยครับ เพราะแน่นอนว่า ศูนย์ซ่อมรถจะทำการซ่อมรถได้มาตรฐานแบรนด์ แล้วถ้าหากเกิดอะไรขึ้นมา ศูนย์จำหน่ายรถก็ไม่สามารถอ้างได้ว่าเป็นเพราะเพื่อนๆเอารถไปซ่อมที่อู่ซ่อมรถอื่นนั่นเอง

 

  1. เข้าใจเทคโนโลยี ใหม่ๆของรถ

โดยในปัจจุบัน รถยี่ห้อต่างๆล้วนแข่งกันออกเทคโนโลยีล้ำใส่เข้ามาในรถไปเรื่อยๆ ทำให้ถ้าหากรถของเพื่อนๆเป็นรถรุ่นใหม่ๆ การหาอู่ซ่อมรถที่เป็นศูนย์ซ่อมของแบรนด์เองก็จะอุ่นใจได้มากกว่า เพราะศูนย์ซ่อมเหล่านี้จะรู้ไส้รู้พุงถึงระบบรถยนต์แบรนด์ของตัวเองเป็นอย่างดี ถ้าหากเพื่อนๆนำรถยนต์รุ่นใหม่ๆไปซ่อมที่อู่ทั่วไป ช่างก็อาจจะไม่ได้มีความรู้หรืออัพเดตเพียงพอ ทันต่อเทคโนโลยีใหม่ๆเหล่านี้ครับ

 

  1. ขายต่อได้ราคาดี

นั่นเป็นเพราะเวลาเพื่อนๆจะขายต่อรถยนต์ จะต้องมีการเช็กประวัติการดูแลรถยนต์อย่างละเอียดและดูว่าเพื่อนๆนำรถไปซ่อมที่ไหนบ้าง หากรถเพื่อนๆมีประวัติว่าซ่อมที่ศูนย์ซ่อมของแบรนด์มาตลอด ก็ถือว่าเป็นประวัติที่ดีและเชื่อใจได้ ทำให้ราคาขายรถยนต์มือสองสูงขึ้นไปอีกครับ

 

  1. ราคาคุ้มค่าคุณภาพ

หลายๆคนอาจเข้าใจผิดว่า การนำรถส่งเข้าศูนย์ซ่อมจะต้องมีราคาแพงกว่าอู่ซ่อมรถทั่วไปแน่นอน เพราะดูมีความโปรมากกว่า ราคาที่สูงกว่านิดหน่อยนี้ทำให้เพื่อนๆได้คุณภาพการบริการที่ได้มาตรฐาน อาจจะดีกว่าการนำไปซ่อมที่อู่ทั่วไปแล้วรถเสียบ่อยๆจนต้องกลับมาซ่อมใหม่เรื่อยๆ นะครับ

ศูนย์ซ่อมรถ เลือกแบบไหนดี

ข้อดีของอู่ซ่อมรถ

  1. ค่าแรงถูกกว่า

นี่คือข้อได้เปรียบสำคัญของการนำรถเข้าอู่ซ่อมรถทั่วไปเลยนะครับ ด้วยความที่ค่าแรงถูกกว่าทำให้เพื่อนๆเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่า แต่เพื่อนๆก็จะต้องคอยดูให้ดีว่าทางอู่ใช้อะไหล่ น้ำมัน และไส้กรองของแท้ โดยยอมจ่ายราคาเต็มสำหรับสิ่งของเหล่านี้ แล้วได้ประโยชน์สำหรับค่าแรงที่ถูกลงจะดีกว่านั่นเองครับ การใช้บริการอู่ซ่อมรถทั่วไปจึงเหมาะกับงานดูแลรถยนต์ที่ไม่ได้ซับซ้อนมากนัก อู่ที่ไหนก็สามารถทำได้

 

  1. การรับประกันไม่เป็นโมฆะเสมอไป

มักมีหลายๆคนที่กลัวว่าการนำรถเข้าอู่ซ่อมรถทั่วไปแทนการเข้าศูนย์ซ่อมจะทำให้การรับประกันเป็นโมฆะทันที แต่นั่นไม่ใช่เรื่องจริงครับ ถ้าหากเพื่อนๆ เพียงแค่ให้อู่เหล่านี้ช่วยเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องหรือไส้กรอง อันเป็นงานเล็กๆน้อยๆ ก็จะไม่มีผลกระทบต่อการรับประกันรถยนต์แต่ละอย่างใดครับ

 

  1. มีอู่ซ่อมรถเฉพาะด้าน

นี่ก็เป็นอีกข้อดีที่ศูนย์ซ่อมรถอาจจะทำไม่ได้ เพราะศูนย์ซ่อมรถโดยทั่วไปจะมีมาตรฐานในการซ่อมที่เป็นแบบแผนเดียวกันหมด หากเพื่อนๆต้องการซ่อมรถ ที่ต้องใช้ความเชี่ยววชาญเฉพาะด้าน ในบางครั้งศูนย์ซ่อมรถก็อาจจะทำไม่ได้ แต่อู่บางแห่งอาจมีการบอกกันปากต่อปากว่าที่นี่เชี่ยววชาญด้านนี้เป็นพิเศษ สามารถเลือกใช้อู่เหล่านี้ได้เช่นกันครับ

 

ดังนั้นแล้ว ก่อนที่เพื่อนๆจะเลือกอู่ซ่อมรถ ก็ให้ดูว่าจุดประสงค์การซ่อม คุณภาพ และงบประมาณแบบไหนถึงจะเหมาะกับรถยนต์ของเพื่อนๆนั่นเองครับ หากเพื่อนๆเลือกอู่ซ่อมรถได้แล้วแต่ยังไม่รู้ว่าจะเลือกประกันรถยนต์ของอะไรดี ก็เข้ามาที่เว็บไซต์โกแบร์เพื่อเลือกประกันรถยนต์ออนไลน์ได้เลยนะครับ

4 เหตุผลที่รถมือสอง เหมาะกับประกันชั้น 2+

สำหรับใครที่ซื้อรถมือสองมาครอบครองแล้ว นอกเหนือจากการมีประกันภาคบังคับพ.ร.บ.รถยนต์ไว้ดูแลชีวิต ค่ารักษาพยาบาลแล้ว การซื้อประกันรถยนต์ หรือประกันภาคสมัครใจก็เป็นสิ่งที่คุณไม่ควรมองข้าม เพื่อป้องกันกรณีเกิดอุบัติเหตุรถชน รถหาย หรือรถไฟไหม้ หากคุณกำลังมองหาประกันรถยนต์ที่มีความคุ้มค่าที่มาพร้อมกับเบี้ยที่ไม่แพง ไม่แรงเกินไป อยากให้คนใช้รถมือสองลองพิจารณาประกัน 2 พลัส กับเหตุผลดี ๆ ที่นำมาเล่าตามนี้

 

1. เบี้ยประหยัด ราคาไม่แพง ดีต่อใจคนใช้รถมือสอง

หากคุณต้องการประหยัดเงิน และไม่อยากใช้งบเยอะ ประกันชั้น 2+ เป็นอะไรที่ดีต่อใจจริง ๆ เนื่องจากมีเบี้ยประหยัดกว่าประกันชั้น 1 ประมาณครึ่งนึง อย่างไรก็ดีการคำนวณเบี้ยกัน มาจากหลายตัวแปร เช่น

  • ทุนประกันรถที่ควรเลือกตามความต้องการของเราได้ตั้งแต่ 100,000 บาทเป็นต้น เมื่อทุนประกันต่างกันค่าเบี้ยประกันก็ต่างกันด้วย
  • ส่วนลดเบี้ยประกันต่าง ๆ เช่น ประวัติการขับขี่ดีในปีที่ผ่านมา, การเลือกมีค่าเสียหายส่วนแรก (Deductible) ก็ช่วยประหยัดเบี้ยได้เป็นอย่างดี
  • ส่วนลดกล้องติดรถยนต์ก็ทำให้ได้ราคาเบี้ยประกันที่ถูกลงด้วยประมาณ 5-10% จากราคาเบี้ยสุทธิตามประกาศของ คปภ. แนะนำให้ลองพูดคุยขอส่วนลดกับบริษัทฯ ประกันหรือโบรกเกอร์ที่คุณกำลังจะซื้อประกันรถยนต์จะดีที่สุด

ประกันชั้น 2+ จึงเหมาะกับรถมือสองที่มี 4 ปีขึ้นไปที่ต้องการความคุ้มครองเทียบเท่าประกันชั้น 1 แต่ไม่อยากจ่ายเบี้ยแพง ประกันชั้น 2+ คือทางเลือกที่เหมาะที่สุดสำหรับคุณ

 

2. คุ้มครองคุ้มค่า ดูแลอุบัติเหตุ

ถ้าคุณกำลังมองหาตัวช่วยในการประหยัดเบี้ยประกัน ประกันชั้น 2+ สามารถตอบโจทย์คุณได้เพราะประกันชั้น 2+ หรือประกันรถยนต์ชั้น 2 พลัส ยังออกแบบมาเพื่อดูแลอุบัติเหตุที่เกิดจากการชนของรถชนรถตามทุนประกันที่เลือกไว้ (เพียงแต่ประกันชั้น 2+ ไม่คุ้มครองดูแลเหตุรถชนสิ่งอื่นที่ไม่ใช่รถ  เช่น ชนเสาไฟฟ้า ชนรั้วบ้าน หรือไปครูดฟุตบาท หรือเคสอุบัติเหตุที่ไม่สามารถระบุคู่กรณี จะต้องจ่ายค่าซ่อมเอง)

 

3. ประกันชั้น 2+ ช่วยดูแลเหตุรถหาย ไฟไหม้ น้ำท่วม ฯลฯ

อย่างที่บอกว่าประกันชั้น 2 พลัสมีความคุ้มครองที่เหมือนกับประกันรถยนต์ชั้น 1 นอกเหนือจากดูแลเหตุรถชนรถประกันชั้น 2+ ยังช่วยดูแลเหตุรถหาย ให้ความคุ้มครองตามทุนประกันที่ได้เลือกไว้เช่นเดียวกัน และกรณีรถไฟไหม้อีกด้วย ซึ่งจะดูแลตามทุนประกันล่ะ

นอกจากดูแลถยนต์สูญหาย, รถยนต์ไฟไหม้ ประกัน 2+ ยังคุ้มครองเหตุอื่น ๆ เช่น รถยนต์น้ำท่วม,  ผลกระทบจากภัยก่อการร้ายอุบัติเหตุส่วนบุคคลของคนขับและผู้โดยสาร รวมทั้งรักษาพยาบาลผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ทั้งกรณีที่ได้รับบาดเจ็บ หรือสูญเสียชีวิตที่เกินจากความคุ้มครองของพ.ร.บ.รถยนต์ ตามด้วยการรักษาแบบต่อเนื่องที่ต้องใช้ระยะเวลา ฯลฯ เห็นไหมว่า ประกันชั้น 2+ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของคนขับรถมือสอง

 

4. เพราะประกันชั้น 2+ ช่วยจ่ายความเสียหายที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุ

กรมธรรม์ประกันชั้น 2+ นอกจากช่วยดูแลค่าใช้จ่ายในการซ่อมรถของคู่กรณี (ยานพาหนะทางบก) ยังช่วยจ่ายช่วยเหลือกรณีอุบัติเหตุนั้น ๆ ทำให้ทรัพย์สินเสียหายตามทุนประกันที่เลือกไว้ เพื่อแบ่งเบาภาระเรื่องค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น เริ่มสนใจประกันชั้น 2+ เนื้อคู่ของรถมือสองบ้างหรือยัง ? เช็กเบี้ยที่ใช่กับ frank.co.th ได้นะ

ขอบคุณข้อมูลจาก Frank “ประกันที่รวดเร็ว เรียบง่าย และจริงใจกับคุณ”

รีวิว Toyota Vios มือสอง รุ่น "เห็บหมา" กับข้อดี ข้อเสีย มีอะไรบ้าง?

Toyota Vios (โตโยต้า วีออส) เจเนอเรชั่นที่ 2 หรือที่เต็นท์รถมือสองให้ฉายาว่ารุ่น “เห็บหมา” (เพราะรูปทรงเหมือนเห็บหมา?) ถือเป็นรถมือสอง รุ่นยอดฮิตของคนไทยอีกรุ่น ที่โตโยต้าภาคภูมิใจนำเสนอ และจัดเป็นรถยนต์นั่งที่ขายดีเป็นอันดับ 1 ของโตโยต้า ในกลุ่มรถยนต์นั่งขนาด 1.5 ลิตร อีกทั้งยังส่งออกไปขายในแถบ ASEAN อีกด้วย …

รีวิว Toyota Vios มือสอง รุ่น "เห็บหมา" กับข้อดี ข้อเสีย มีอะไรบ้าง?

โฉมที่สองของ Vios เปิดตัวครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 2549 โดยใช้ชื่อว่า “Toyota Belta” (โตโยต้า เบลต้า) และทยอยเปิดตัวในทั่วโลกช่วงต้นปี 2550 โดยใช้ชื่อ “Toyota Yaris Sedan” (โตโยต้า ยาริส ซีดาน) ส่วนในแถบ ASEAN ใช้ชื่อว่า “Toyota Vios” (โตโยต้า วีออส) เปิดตัวในประเทศไทยครั้งแรกวันที่ 8 และ 9 มีนาคม 2550 ที่สยามพารากอน

Vios ครองตำแหน่งยอดขายสูงสุดเป็นอันดับ 1 ด้วยยอดขายสะสมตั้งแต่เดือนธันวาคม 2545 จนถึงในช่วงเดือนมีนาคม 2550 มากกว่า 178,000 คัน และยอดขายรวมทั้งหมด 847,910 คัน *(ยอดขายถึงเดือนธันวาคม 2559) นับเป็นส่วนแบ่งการตลาดถึง 40%

สำหรับ โตโยต้า วีออส (Gen.2 โฉมแรก) มือสองรุ่นนี้มีข้อดี ข้อเสียอย่างไร ทำไมผ่านมา 13 ปีแล้ว ยังยอดฮิตในตลาดรถมือสอง และในหมู่คนขายรถกันอยู่ Carro จะมาบอกเล่าสู่กันฟังครับ.

รีวิว Toyota Vios มือสอง รุ่น "เห็บหมา" กับข้อดี ข้อเสีย มีอะไรบ้าง?

วีออส โฉมนี้ มีจุดขายหลัก 3 ประการ คือ

  • การออกแบบที่สวยงามโดดเด่น ทั้งภายนอกและภายใน
  • สมรรถนะ ความปลอดภัย
  • ความกว้างขวาง สะดวกสบาย รวมถึงประโยชน์ใช้สอย

มีรุ่นย่อยหลักๆ ให้เลือก 5 รุ่น คือ รุ่น J เจาะกลุ่มลูกค้าที่เพิ่งเข้าสู่วัยทำงาน กลุ่มรถเช่า รถบริษัท (รถ Fleet) รุ่น E เจาะกลุ่มลูกค้าวัยทำงานหลายปีแล้ว และพิจารณาความคุ้มค่าในการตัดสินใจซื้อ รุ่น G เจาะกลุ่มเจ้าของกิจการหนุ่มสาว หรือนิสิตนักศึกษา

ส่วนรุ่น S-Limited เป็นรุ่นเพิ่มเติมอุปกรณ์ตกแต่งแบบสปอร์ต และรุ่น G-Limited ซึ่งเพิ่มเติมอุปกรณ์แบบหรูหรา

  • Vios รุ่น J เป็นรุ่นล่างสุด มาพร้อมระบบเบรก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD ระบบเสริมแรงเบรก BA / กระทะล้อขนาด 15 นิ้ว พร้อมฝาครอบ ไฟตัดหมอกหลัง กระเป๋าเก็บเอกสารหลังผู้ขับขี่ และผู้โดยสารตอนหน้า
  • Vios รุ่น E เป็นรุ่นกลาง เพิ่มอุปกรณ์จากรุ่น J มากขึ้นคือ ระบบป้องกันการโจรกรรม TDS พร้อมรีโมทที่ด้ามกุญแจ ล้อแม็กอัลลอยด์ 5 ก้าน ขนาด 15 นิ้ว ไฟตัดหมอกหลัง และห้องโดยสารภายในสามารถเลือกโทนสีได้ 2 แบบ คือ สีครีม (Ivory) และ สีเทาดำ (Dark Grey) และไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง
  • Vios รุ่น E Safety เป็นเกรดรองสูงสุด เพิ่มถุงลมนิรภัยคู่หน้า และและเข็มขัดนิรภัยแบบดึงรั้งกลับอัตโนมัติ ส่วนอุปกรณ์อื่นๆ เหมือนรุ่น E
  • Vios รุ่น G เป็นเกรดสูงสุด เพิ่มอุปกรณ์ภายใน เช่น เครื่องเสียงแบบ 6 ลำโพง หน้าปัดแบบ Optitron พร้อมจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบสีฟ้า ติดตั้งไฟตัดหมอกหน้า ภายในห้องโดยสารหุ้มด้วยหนัง สามารถเลือกโทนสีได้ 2 แบบคือ สีครีม (Ivory) และ สีดำ (Dark Grey) ที่พักแขนพร้อมหลุมวางแก้วน้ำบริเวณผู้โดยสารตอนหลัง และเบาะหลังสามารถพับทะลุไปห้องเก็บสัมภาระได้ ในอัตราส่วน 60:40

และเพิ่ม 3 รุ่นพิเศษ ได้แก่

  • Vios รุ่น S-Limited เพิ่มอุปกรณ์ชุดแต่งจากโรงงานรอบคัน พร้อมปรับแต่งโช้คอัพ และสปริงให้มีความแข็งมากกว่ารุ่นอื่น หน้าปัดแบบออปติตรอนพร้อมจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบสีส้ม ส่วนภายในแบบสปอร์ตสีเทาควันบุหรี่ ทั้งเบาะหุ้มหนัง พวงมาลัยและหัวเกียร์หุ้มหนังสีดำ รวมถึงเบาะผู้โดยสารตอนหลังสามารถพับทะลุไปห้องเก็บสัมภาระได้ ในอัตราส่วน 60/40 ไฟหน้าแบบ Bi-Xenon ปรับระดับสูง – ต่ำ แปรผันอัตโนมัติตามน้ำหนักรถ เปลื่ยนระบบเบรกหลังจากดรัมเป็นดิสก์เบรก
  • Vios รุ่น G-Limited เพิ่มอุปกรณ์จากรุ่น G เช่น ระบบกุญแจอัจฉริยะ Smart Entry เปิด – ปิดประตูแบบสัมผัส พร้อมปุ่มสตาร์ทเครื่อง หรือ Push Start และระบบป้องกันการโจรกรรมกุญแจเลียนแบบหรือ Immobilizer สามารถเลือกโทนสีได้ 2 แบบคือ สีครีม (Ivory) และ สีดำ (Dark Grey)
  • Vios รุ่น GT Street โดยการนำรุ่น J มาตกแต่งในรูปแบบพิเศษ สเกิร์ตรอบคันทั้งด้านหน้า ด้านข้าง และด้านหลัง สปอยเลอร์และสติกเกอร์ GT Street ที่ฝากระโปรงหลัง ท่อไอเสียพร้อมฝาครอบสแตนเลส และสติกเกอร์ด้านข้างดีไซน์สปอร์ต ส่วนภายในใช้โทนสีแดงดำ ทั้งผ้าเบาะ สีแดงกับสีดำ รวมถึงพวงมาลัยหุ้มหนัง หัวเกียร์หุ้มหนังเดินด้ายสีแดง คอนโซลหน้าสุดสปอร์ตสีดำ-แดง และเปลี่ยนล้อกระทะ เป็นล้อแม็กขนาด 15 นิ้ว (ลายเดียวกันกับ Yaris ไมเนอร์เชนจ์รุ่นย่อย G, E) โดยผลิตเพียง 1,000 คัน
  • ต่อมาจึงออกรุ่นพิเศษ Vios TRD Sportivo ให้เลือกกันอีกหลายเวอร์ชั่น และรุ่นพิเศษอื่นๆ

รีวิว Toyota Vios มือสอง รุ่น "เห็บหมา" กับข้อดี ข้อเสีย มีอะไรบ้าง?

เกริ่นข้อมูลรายละเอียดกันไปพอสมควร ก็มาถึงดีไซน์การออกแบบ รวมไปถึงมิติขนาดตัวรถกันบ้าง โดยมองรวมๆ รูปลักษณ์ของรถรุ่นนี้จะเป็นแบบกลมๆ ฝากระโปรงบรรจบกันเป็น U-Shape จากฝากระโปรงหน้า จรดกระจังหน้า ไปจนถึงกันชน ไฟหน้าที่ดูปราดเปรียว ด้านท้ายรถไฟหลังโค้งนูน 3 มิติ ฐานล้อที่ยาวขึ้นกว่าเดิม ตำแหน่งล้อทั้ง 4 ถูกวางไว้ที่มุมกันชนทั้ง 4 ด้าน ของรถได้อย่างลงตัว ทำให้รถมีเสถียรภาพในการขับขี่ที่ดียิ่งขึ้น

โตโยต้า วีออส มีขนาดความยาว 4,300 มม. ความกว้าง 1,700 มม. และความสูง 1,460 มม. ระยะฐานล้อ 2,550 มม. น้ำหนักตัวรถอยู่ที่ 1,020 -1,065 กก. (แต่ละรุ่นน้ำหนักจะแตกต่างกันเล็กน้อย)

เครื่องยนต์ 1NZ-FE ใน Toyota Vios

เครื่องยนต์ยังคงเป็นขนาด 1.5 ลิตร รหัส 1NZ–FE แบบ 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว VVT-i ให้แรงม้าสูงสุด 109 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที ส่วนแรงบิดสูงสุด ที่ 141 นิวตันเมตร ที่ 4,200 รอบ/นาที รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 หรือออกเทน 91 ขึ้นไป ระบบส่งกำลังมีให้เลือก ทั้งแบบเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด สามารถติดแก๊สได้ ไม่มีปัญหา …

แม้ว่า Vios ตัวนี้ จะยังคงใช้เครื่องยนต์ 1NZ-FE แบบเดิม เกียร์อัตราทดเท่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นเกียร์ธรรมดาหรืออัตโนมัติ แต่ปรับเปลี่ยนอัตราทดเฟืองท้ายใหม่ เพื่อให้สอดรับกับน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นนิดหน่อย ทำให้ได้อัตราเร่งที่ดีมากยิ่งขึ้น

รีวิว Toyota Vios มือสอง รุ่น "เห็บหมา" กับข้อดี ข้อเสีย มีอะไรบ้าง?

อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ 10.4 วินาที ในรุ่นเกียร์ธรรมดา และ 12.2 วินาที ในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ ทำความเร็วได้สูงสุด 190 กม./ชม. ในรุ่นเกียร์ธรรมดา และ 180 กม./ชม. ในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ

รุ่นนี้เพิ่มโครงเหล็กยึดหม้อน้ำเลื่อนตัวได้ ช่วยซับแรงกระแทก และเลื่อนหม้อน้ำไปด้านหลัง ป้องกันไม่ให้ชิ้นส่วนที่มีราคาสูงเสียหาย พร้อมติดตั้งฉนวนกันเสียงหลายจุด ตัดเสียงรบกวนจากภายนอก และแผงเหล็กพื้นผิวโค้ง และเหล็กแผ่นเสริมความแกร่งที่ติดตั้งอยู่ในตำแหน่งพื้นด้านหน้า ลดอาการสั่นเข้าห้องโดยสาร

ระบบกันสะเทือนด้านหน้าอิสระแม็กเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังทอร์ชั่นบีม พร้อมเหล็กกันโคลง ระบบเบรกหน้าดิสก์เบรก หลังดิสก์เบรก (ดรัมเบรก เฉพาะรุ่น J และ E)

รีวิว Toyota Vios มือสอง รุ่น "เห็บหมา" กับข้อดี ข้อเสีย มีอะไรบ้าง?

มาดูภายในห้องโดยสารกันบ้าง เสาเอที่ลาดเทไปด้านหน้าขึ้น ทำให้ภายในห้องโดยสารดูกว้างขึ้นทั้งหน้าและหลัง โดดเด่นด้วยมาตรวัดตั้งตรงอยู่ตรงกลางแผงคอนโซล หลายๆ คน อาจจะไม่ถูกใจนัก เพราะดูล้ำยุคไปหน่อย เวลาขับต้องมองมาตรวัดแบบเฉียงๆ

รีวิว Toyota Vios มือสอง รุ่น "เห็บหมา" กับข้อดี ข้อเสีย มีอะไรบ้าง?

มองมาตรงชุดวิทยุ ดีไซน์ออกมาแบบ Built-In ที่มีแผง LCD รูปทรงแนวตั้ง ส่วนที่ปรับแอร์รูปทรงกราฟฟิค แบบมือหมุน 3 ลูก ดูแปลกตา (คล้ายกับมิคกี้เมาส์) พวงมาลัย 3 ก้าน หุ้มหนังแท้ พร้อมสวิตช์ควบคุมเครื่องเสียง และที่วางขวดน้ำบริเวณช่องแอร์ สามารถวางขวดน้ำเป่าแอร์เย็นๆ ดื่มน้ำเย็นๆ ได้ตลอดเวลา …

รีวิว Toyota Vios มือสอง รุ่น "เห็บหมา" กับข้อดี ข้อเสีย มีอะไรบ้าง?

พวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า EPS (Electric Power Steering) ช่วยให้น้ำหนักพวงมาลัยเบา ขับขี่คล่องตัวเมื่อความเร็วต่ำ และค่อยๆ มั่นคงขึ้นตามความเร็วของรถ เบาะนั่งระบบ WIL (Whiplash Injury Lessening) ดีไซน์พิเศษ ช่วยลดอาการบาดเจ็บบริเวณกระดูกต้นคอ

รีวิว Toyota Vios มือสอง รุ่น "เห็บหมา" กับข้อดี ข้อเสีย มีอะไรบ้าง?

ในรถมี 6 ลำโพง อัดแน่นด้วยระบบเพิ่มคุณภาพเสียง ทั้ง DSP (Digital Signal Processor), LIVE-ACS (Live Acoustic) และโดดเด่นกว่ารถในระดับเดียวกัน (ถือเป็นรถ B-Segment รุ่นแรกเลย ที่มีให้) นั่นคือ ASL (Speed Auto Sound Levelizer) ที่ช่วยปรับระดับความดังของเสียงตามความเร็วของรถ นอกจากนี้ยังสามารถเล่นแผ่น MP3 และไฟล์ WMA ได้ (รุ่น J/E 4 ลำโพง, รุ่น G 6 ลำโพง)

เบาะนั่งทั้งด้านหน้าและด้านหลัง จัดว่านั่งได้สบาย ไม่อึดอัด ระยะเบาะหน้าที่สามารถเลื่อนเบาะนั่งได้ 255 มม. ความสูงของเบาะนั่งที่สามารถปรับได้ 45 มม. ปรับระดับสูงต่ำพวงมาลัย 30 มม. พื้นรถด้านหลังแบบเรียบ ไม่มีอุโมงค์ด้านหลังให้เกะกะเท้า สำหรับคนนั่งตรงกลาง …

ส่วนตรงคันเกียร์ ถ้าเป็นรุ่นเกียร์อัตโนมัติ ดูหรูหราด้วยคันเกียร์แบบ Gate-Type เข้าเกียร์ง่าย …

รีวิว Toyota Vios มือสอง รุ่น "เห็บหมา" กับข้อดี ข้อเสีย มีอะไรบ้าง?

ที่เก็บสัมภาระด้านหลังใหญ่พิเศษ จุได้เต็มที่ ขนาดความจุ 475 ลิตร กว้างขวางกว่ารุ่นเดิมถึง 19% เบาะหลังพับลงได้ในสัดส่วน 60:40 (เฉพาะรุ่น G)

มาตรฐานความปลอดภัยมาแบบจัดเต็ม ระบบเบรคป้องกันล้อล็อก (ABS), ระบบกระจายแรงเบรค (EBD) และระบบเสริมแรงเบรค (BA) และถุงลมนิรภัยคู่หน้า เป็นต้น พอหลังจากรุ่นไมเนอร์เชนจ์ในปีหลังๆ โตโยต้าจึงจัดมาให้ครบในทุกรุ่นย่อย

รีวิว Toyota Vios มือสอง รุ่น "เห็บหมา" กับข้อดี ข้อเสีย มีอะไรบ้าง?

ทัศนะความคุ้มค่าน่าใช้ โดย Mr.Carro …

ความคุ้มค่าตอนซื้อ

บอกได้เลยว่า Vios เป็นรถที่ซื้อง่ายขายคล่อง เป็นที่นิยมของคนทุกวัย รวมไปถึงยังเป็นรถที่ไว้ใช้งานประจำบริษัท หรือหน่วยงานต่างๆ เป็นแท็กซี่รุ่นเก่าก็มี มีให้เห็นกันตลอดเวลา ของแต่งรถก็มีให้เลือกเพียบ

ความคุ้มค่าตอนใช้งาน

รุ่นนี้จัดว่าเป็นรถที่คุ้มค่าสำหรับคนใช้รถอีกรุ่น ทั้งประหยัดน้ำมัน เครื่องยนต์ทนทาน ติดแก๊สใช้งานได้เลย ไม่จุกจิก เสียช่างที่ไหนก็ซ่อมได้ เครื่องยนต์กับเกียร์เซ็ทมาให้ทำงานได้สัมพันธ์กัน พวงมาลัยไม่หนัก ขับแล้วไหลลื่น อัตราเร่งดี ออฟชั่นที่ให้มาก็คุ้มค่า ระบบความปลอดภัยมีให้ทุกรุ่นย่อย

รีวิว Toyota Vios มือสอง รุ่น "เห็บหมา" กับข้อดี ข้อเสีย มีอะไรบ้าง?

ส่วนจุดด้อยที่หลายคนพูดถึง ก็จะมีอย่างมาตรวัดตรงกลาง (แบบตั้งตรงกลาง ไม่หันหน้าเข้าคนขับแบบรุ่นเก่า) ที่ไม่ชินต่อความรู้สึกของคนส่วนใหญ่อย่างแรง ขับแล้วมองไม่ถนัดตา กับ Vios รุ่นนี้เปลี่ยนมาใช้คันเร่งไฟฟ้าแล้ว เวลาเหยียบแบบหนักๆ อาจไม่ทันใจนักกว่าคันเร่งแบบใช้สาย ระบบช่วงล่างที่ขับเร็วๆ แล้ว จะเริ่มบิน …

ความคุ้มค่าตอนซ่อม

ตัวรถไม่จุกจิก ทนทาน ประหยัด ราคาอะไหล่ไม่แพง เตรียมงบไว้สำหรับดูแลตามปกติ ปีละ 5,000 – 10,000 บาท (กรณีดูแลรักษาทั่วไป ถ้ามีเช็คระยะใหญ่ ก็อาจจะต้องเตรียมเงินไว้เพิ่ม) ครับ

ความคุ้มค่าตอนขายต่อ

สำหรับ Toyota Vios โฉมปี 2007 – 2013 มีราคามือสองอยู่ที่ 130,000 – 280,000 บาท (เป็นราคาในตลาดรถปี 2565 โดยประมาณ และขึ้นอยู่กับปีรถ รุ่นย่อย กับ สภาพของตัวรถ)

Download Catalogue Toyota Vios คลิกที่นี่ >>> Toyota-Vios-10-2010-Brochure

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์คันใหม่ มาขายรถกับทาง Carro Express สิ! คลิกเลยที่ https://th.carro.co/sell-car/express รับรองได้เงินเร็ว ไว ทันใจแน่นอน!

Carro Automall Toyota Vios / โตโยต้า วีออส

สำหรับใครที่รักรถ Toyota Vios และอยากเป็นเจ้าของ Toyota Vios สภาพเยี่ยมสักคัน Carro แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ เรามี โตโยต้า วีออส ให้คุณเลือกมากมาย คุณสามารถจองรถ Toyota Vios ได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น! พร้อมคำนวณสินเชื่อและค่างวด ได้ภายในเว็บไซต์ทันที!

ซึ่ง โตโยต้า วีออส ทุกคัน ผ่านการตรวจสภาพโดย Carro Certified อย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 160 จุด, การันตีคืนเงินภายใน 5 วัน, รับประกันเครื่องยนต์และเกียร์ 1 ปี, รับประกันไม่กรอไมล์ และไม่ประสบอุบัติเหตุหนัก ไฟไหม้ หรือน้ำท่วม พร้อมรับประกันคุณภาพรถ 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร!

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” เลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา รวมถึงมีเทคโนโลยีสนับสนุนฝ่ายขาย ทั้ง Digital Device ที่เชื่อมต่อกับ Digital Screen นำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และจัดการเรื่องเอกสารให้กับลูกค้าให้ตั้งแต่ต้นจนจบ บวกกับ Online Viewing Service ที่ลูกค้าสามารถวิดีโอคอล ตรวจสภาพรถยนต์คันที่สนใจได้แบบเรียลไทม์ ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ Carro สิ!

หรือถ้าหากคุณสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงกรอกชื่อ-เบอร์โทรศัพท์ และรถที่คุณสนใจ ไว้ที่ “รับการแจ้งเตือน” เมื่อมีรถที่คุณต้องการ Carro จะรีบติดต่อไปยังคุณทันที สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> Carro Thailand โทร. 02-460-9380 หรือทาง Line @carrothai

nissan-sylphy

รีวิว Nissan Sylphy นิสสัน ซิลฟี่ มีดีที่ขนาด (ใหญ่)

รีวิว Nissan Sylphy นิสสัน ซิลฟี่ มีดีที่ขนาด (ใหญ่)

ดูเหมือนความนิยมของรถในกลุ่มคอมแพ็คคาร์ที่มีผู้เล่นในตลาดอย่างโตโยต้า อัลติส , ฮอนด้า ซีวิค , มาสด้า3 , เชฟโรเลต ครูซ , ฟอร์ด โฟกัส , นิสสัน ซิลฟี

ดูจะเงียบเหงา แลดูไม่ค่อยคึกคักสักเท่าไรสำหรับเซกเมนต์นี้ แต่เร็วๆนี้คาดว่าตลาดจะมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดอีกระลอก เพราะฮอนด้าจะมีการเปิดตัวซีวิคในรุ่นใหม่ เช่นเดียวกับฟอร์ด โฟกัส ส่วนโตโยต้า อัลติส ,มาสด้า 3 ก็ยังคงสดใหม่ หรือเชฟโรเลต ครูซ ที่แอบไปแต่งหน้าทาปาก

ขณะที่แบรนด์ที่ยังดูนิ่งๆน่าจะเป็น นิสสัน ซิลฟี่ ซึ่งวันนี้ผู้เขียนจะหยิบมาบอกเล่าว่ารถรุ่นนี้มีอะไรพกพาดีไซน์แบบไหน โดยก่อนหน้าที่จะเล่าถึงรูปลักษณ์ ก็ต้องบอกก่อนว่ารถรุ่นนี้มีขนาดเครื่องยนต์ให้เลือก 2 แบบ ได้แก่รุ่น1.6 ลิตร และ 1.8 ลิตร โดยในรุ่น 1.6 ลิตรนั้นมีตัวเลือกเพิ่มขึ้นมาด้วยการใส่เทอร์โบ ซึ่งใครที่เป็นสาวกของค่ายนิสสันก็ย่อมจะรู้ว่าเทอร์โบจากค่ายนี้มันไม่ธรรมดาแน่ๆ อย่างไรก็ตามวันนี้เราจะพาไปสัมผัสกับในรุ่น1.8ลิตร ที่มีให้เลือกด้วยกัน  2 รุ่นย่อยคือ V และ SV สนนราคาก็ตั้งแต่ 914,000 – 933,000 บาท

โดยการออกแบบด้านหน้าจะเห็นกระจังหน้า – กันชนหน้าดีไซน์สปอร์ต แตกต่างเพียงเล็กน้อยกับในรุ่น1.6 ลิตรตัวล่างที่เป็นกระจังหน้าแบบโครเมียม เช่นเดียวกับไฟหน้าที่มาพร้อมกับไฟหน้าโปรเจคเตอร์เลนส์ ซีนอน สามารถปรับระดับอัตโนมัติ มีไฟตัดหมอกคู่หน้าให้ ไฟหรี่และบั้นท้ายของซิลฟีเป็นแบบแอลอีดี มุมมองด้านข้างจะเห็นสเกิร์ตเล็กๆให้ดูมีมิติ มีความเป็นสปอร์ต ตัวเส้นสายด้านข้างทำให้ตัวรถไม่ดูแข็งกระด้างเกินไป ส่วนล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้วก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่แต่อย่างใด แต่ถ้าถามว่าสวยที่สุดหรือยัง หรือเหมาะกับดีไซน์ตัวรถไหม…ก็ต้องบอกว่า…ยังไม่สุด!สำหรับดีไซน์ล้อแบบนี้

มาดูภายในห้องโดยสารกันบ้าง โดยรวมๆประเมินจากสายตาถือว่ากว้างขวางมาก โดยมิติของรถรุ่นนี้มีความยาว 4,615 มม. ความกว้าง 1,760 มม. ความสูง 1,495 มม. ซึ่งถือว่าสูงที่สุดเมื่อเทียบกับรุ่นอื่นๆในคลาสเดียวกัน ส่วนภายในห้องโดยสารของรุ่น1.8 ลิตรจะมีให้เลือก 2 แบบคือสีเบจ ในรุ่น V  และสีดำในรุ่น  SV  วัสดุภายในก็มีทั้งแบบลายไม้และสีเงิน มาดูที่พวงมาลัยกันบ้าง โดยตัวพวงมาลัยหุ้มหนังสามารถปรับระดับได้4ทิศทาง และสามารถสั่งงานต่างๆผ่านปุ่มมัลติฟังก์ชั่นทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น ระบบเปลี่ยนหน้าจอ MID บนพวงมาลัย ,การควบคุมเครื่องเสียง , Cruise Controlระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ

ตัวมาตรวัดของซิลฟีเป็นแบบอนาล้อกเรืองแสงและสามารถปรับระดับแสงได้ ถือว่าดูง่าย สบายตา ตัวจอมัลติฟังก์ชั่น ดิสเพลย์จะให้ข้อมูลอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันในขณะขับขี่ หรืออัตราสิ้นเปลืองโดยเฉลี่ย,ความเร็วเฉลี่ย ,ระยะทางที่ขับขี่, อุณหภูมิภายนอก  ตรงคอนโซลกลางจะพบกับระบบปรับอากาศแยกซ้ายขวา อัตโนมัติ ต่ำลงมาจะเจอกับหน้าจอแอลอีดีขนาด 5 นิ้ว พร้อมทั้งความบันเทิงต่างๆอาทิ เครื่องเล่นวิทยุ,ซีดี,เอ็มพี3,ช่องเสียบ AUX IN ลำโพง 6 ตัว,สามารถเชื่อมต่อ Bluetooth และระบบนิสสัน คอนเนคแอพพลิเคชั่นที่เอาไว้เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนเพื่อท่องโลกออนไลน์หรือโลกโซเซียลของเรา

ด้านความสบายในห้องโดยสาร สำหรับผู้ขับขี่นั้น ตัวเบาะที่นั่งปรับได้ 6 ทิศทาง ส่วนเบาะผู้โดยสารด้านหน้าปรับได้ 4 ทิศทาง พื้นที่ด้านหน้ากว้างขวางนั่งสบายไม่อึดอัด เช่นเดียวกับด้านหลังสามารถนั่งสามคนได้สบาย ไม่ว่าจะสูงยาว-อ้วนเตี้ยก็รับได้ แถมด้านหลังยังมีช่องแอร์เป็นของตัวเอง ถือว่าเป็นจุดเด่นของรถรุ่นนี้เลยก็ว่าได้  และที่โดดเด่นอีกประการของรถรุ่นนี้ก็คือ พื้นที่ด้านหลังในการเก็บของมีความจุมากถึง 510 ลิตร ซึ่งถือว่าเยอะมาก เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบการขนของสัมภาระต่างๆ

โดยรวมแล้วในแง่ของดีไซน์ ยังไม่ถึงกับว้าว แต่ถ้าพูดถึงจุดเด่นอย่างห้องโดยสารที่กว้างขวาง สะดวกสบายก็ถือว่าตอบโจทย์ เอาเป็นว่าใครที่กำลังมองหารถในเซกเมนต์นี้อยู่ ก็ลองแวะเข้าไปสัมผัสและทดลองขับกันก่อนจะตัดสินใจกันอีกที

ถ้าถามเฉพาะเรื่องหน้าตาการออกแบบ ก็ต้องบอกว่าสวยงามตามมาตรฐาน แต่ไม่ถึงกับต้องร้อง “ว้าว” เพราะผู้เขียนมองแว่บแรกนึกว่า อัลเมร่า ซึ่งเป็นอีโคคาร์ที่มีขนาดที่ใหญ่มากกกกกและเป็นรุ่นที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าของนิสสัน แต่พอมาดูมุมด้านข้างกับการตกแต่ง อุปกรณ์ต่างๆแล้วก็ค่อยร้องอ๋อ..นี่มันซิลฟี่จ๊ะ!! มิใช่ อัลเมร่า!!

ส่วนข้อดีของรถรุ่นนี้ที่ประทับใจก็คือภายในห้องโดยสารที่กว้างขวาง ใครที่ต้องการความโอ่อ่าสะดวกสบายก็น่าจะถูกใจกับเจ้ารถรุ่นนี้ไม่น้อย

mazda-bt-50

Review Mazda BT-50 จากหนุ่มหล่อเจ้าสำอาง กลายมาเป็นหนุ่มหล่อคมเข้ม

พูดถึงตลาด รถปิกอัพ ในบ้านเรา แน่นอน ว่าภาพจำของหลายคน หน้าตา ของรถปิกอัพนั้นจะต้อมีสไตล์ แข็งแกร่ง บึกบึน  พร้อมลุยไปในทุกเส้นทาง แต่สำหรับมาสด้า บีที -50 คันนี้ ต้องบอกว่าภาพจำดังกล่าวค่อยๆ เลือนหาย

ตั้งแต่มาสด้าส่ง บีที -50 คันนี้ออกสู่ตลาดบ้านเราเมื่อช่วง 3 ปีที่ผ่านมาหรือ ราวปี พ.ศ.2555 ได้สร้างปรากฎการณ์ใหม่ให้กับตลาดปิกอัพ เพราะมาสด้าตั้งใจให้ รถ คันนี้ออกมาเป็นรถปิกอัพเข้าไปมาขึ้น เน้น ความสะดวกสบายภายในห้องโดยสาร ใส่ความเป็นรถเก๋ง หรือพูดให้เข้าใจ มากขึ้น คือ ใส่ความเป็นเมือง เติมความหรูหรา  ให้เป็นรถปิกอัพที่ อัพเกรด ขับขี่ใช้ชีวิตในสังคมเมืองได้แบบไม่เคอะเขิน

แต่ในความเป็นจริงดูจะขัดแย้งกับโพซิชั่นที่มาสด้า วางไว้ เพราะด้วยขนาดของตัวถัง และขนาดโดยรวมของตัวรถแล้ว รถคันนี้น่าจะมีไซส์ที่ใหญ่สุดในบรรดารถปิกอัพบ้านเรา วัดจากการทดสอบในบรรดารถปิกอัพทั้งจากฝั่งอเมริกัน และยุโรป  บอกได้เลยว่า มาสด้า บีที -50 คันนี้ใหญ่คับเลนที่สุด

ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อขับในทางนอกเมือง วิ่งระหว่างจังหวังหวัดรถคันนี้ ให้ความรู้สึกคล่องตัว และขุมพลัง ของแรงม้าทั้ง 150 ตัวที่ 3,700 รอบ ของเครื่องยนต์ดีเซล Di-Thunder Pro 2.2 ลิตร ทำงานพร้อมเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด นั้นหายห่วงทั้งขุมกำลัง และความคล่องตัวในการขับขี่ ยิ่งทางตรงยาว หรือ สภาพถนนค่อนข้างโล่งนั้น เจ้า บีที คันนี้สามารถโลดโจนทะยานไปข้างหน้าได้ชนิดที่หาตัวจับได้ยาก…

ส่วนความหนึบหนับ  การยึดเกาะถนนนั้น ถือว่าทำออกมาได้ค่อนข้างเนียนกริบลบภาพปิกอัพเดิมๆ ที่ท้ายเบาออกไป แต่หากนำมาใช้ขับขี่เอง….ตามคอนเซ็ปต์ที่ เป็นปิกอัพเพื่อความสะดวกสบาย สไตล์ เก๋ง เพิ่ม ความหรูหรา และภูมิฐานเมื่อใช้งานงานเมืองนั้น  หากพูดตามคอนเซ็ปต์นั้นสวยหรู แต่เมื่อทดลองใช้งานจริงรถปิกอัพอย่างไร ภาพก็ยังคงเป็นรถปิกอัพเพียงแค่ เสริมด้วยชุดแต่ง อุปกรณ์ความเนี๊ยบเข้ามา


แต่เมื่อมาพูดถึงเรื่อง ความรู้ขณะขับขี่… นั้นคนละเรื่อง ด้วยขนาดของตัวรถที่ใหญ่ กลับกลายเป็นปัญหา ยิ่งสภาพการจราจรที่หนาแน่นในเขตเมืองแล้ว  นอกจากทัศนวิสัยของตัวรถนั้นดีเยี่ยม เพราะขนาดสูงใหญ่ทีมีให้มองหน้า มองหลัง มองข้าง นั้นชัดเจน แต่ความคล่องตัวของตัวรถหายไปจะเปลี่ยนเลน มุดขึ้นลง ซ้ายขวา นั้นต้องกะระยะให้ดี แถมยิ่งต้องตั้งสติ ระมัดระวัง เพื่อนร่วมเส้นทาง กลายเป็นความกังวล

ส่วนพวงมาลัยนั้นคนละเรื่องกับการวิ่งนอกเมื่อง เพราะทั้งหนักและต้องออกแรง (อาจจะเป็นเพราะต้องเพิ่มทักษะ ความระมัดระวังยิ่งขึ้น อีกสิ่งที่ค่อนข้างลำบากคือจังหวะการจอดถอยเข้า ออกซอง ต้องกะระยะ ให้ชัวร์ภายในห้องโดยสารไม่ทิ้งกลิ่นอายความสปอร์ต  ใส่ใจในรายละเอียดตั้งแต่คอนโซลหน้า เบาะที่นั่ง  อุปกรณ์อำนวยความสะดวก มีมาให้ครบครัน

มาสด้า บีที -50 ปิกอัพ สไตล์รถยนต์นั่งสปอร์ต หรูหรา  เหมาะสมสำหรับการวิ่งทั้งนอกเมืองและนอกเมือง แต่ การขับขี่ในเมือง ผู้ขับที่เป็นสุภาพสตรี อาจจะเหมาะกับคุณผู้หญิงที่บุคลิกทะมัดทะแมงคล่องตัว น่าจะเหมาะสม(กว่า)  เพราะด้วยขนาดตัวรถค่อนข้างใหญ่ อาจจะทำให้การควบคุมการขับขี่ในเส้นทางในเมืองนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แถมจะสุนทรีย์ทางการขับขี่อาจจะหายไปแต่ถ้า มั่นใจ…. และชื่นชอบรถสไตล์นี้ ต้องบอกว่า มาสด้า BT-50 คันนี้ นั้นน่าสนใจไม่น้อย ที่สำคัญ คุณจะกลายเป็นสาวมั่น สาวเท่ขึ้นมาทันที

mazda-3

Review Mazda3 ใหม่ สปอร์ตกว่าพี่..สวยกว่าพี่..น้องว่าไม่มีแล้วค่ะ !!

กดปุ่มสตาร์ทเครื่อง มาสด้า 3 ใหม่ ที่หลังแป้นพวงมาลัยเบาๆ เสียงคำรามของเครื่องยนต์สกายแอคทีฟ ก้องเข้ามาในห้องโดยสารให้รู้สึกได้ถึงพละกำลัง

และยิ่งเมื่อกดคันเร่งลงไปก็ยิ่งทำให้เห็นว่าเส้นทางแห่งความสนุกเร้าใจได้เริ่มขึ้นแล้ว ด้วยกำลังที่เรียกมาตั้งแต่ตีนต้น แบบชนิดหลังกระแทกเบาะ เมื่อเผลอกดคันเร่งแรงไปหน่อยเดียว

เส้นทางช่วงแรกยังอยู่ในชุมชน ทำให้ได้เห็นถึงความคล่องแคล่ว จากการหลบหลีกรถราเพื่อนร่วมถนนที่ทำได้อย่างสบายมือ และยิ่งเมื่อพ้นตัวเมือง ที่ทั้งทำความเร็วได้มากขึ้น รวมถึงเส้นทางคดโค้ง ช่วยให้ซึมซับถึงเทคโนโลยีสกายแอคทีฟที่มาสด้าภูมิใจนำเสนอมาตลอด ว่าเป็นอีกขั้นของอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่พัฒนาขึ้นจากเครื่องยนต์สันดาปแบบเดิมให้มีสมรรถนะสูงขึ้น ประหยัดน้ำมัน และมลพิษลดลง

และมาสด้า 3 แฮทช์แบ็ค 5 ประตู ใหม่นี้ พัฒนาให้เป็นสกายแอคทีฟแบบเต็มรูปแบบ ไม่ใช่แค่เครื่องยนต์เพราะช่วงล่าง พวงมาลัย ตัวถัง ระบบส่งกำลัง เบรก ให้มีความหนึบแน่น และสนุกสนานอยู่ในคันเดียว ภายนอกให้ความรู้สึกราวกับสปอร์ตหรูจากยุโรป กระจังหน้าเอกลักษณ์เฉพาะ ทรงห้าเหลี่ยม ลากยาวถึงไฟหน้า ไบ-ซีนอน พร้อมไฟสว่างกลางวัน หรือ แอลอีดี เดย์ไทม์ เส้นสายด้านข้างพริ้วไหวต่อเนื่องไปจนถึงด้านท้าย เฉียบคม ให้ความรู้สึกถึงพลัง ไฟท้ายดีไซน์สอดรับกับไฟหน้า

ภายในมาสด้าได้ออกแบบใหม่ จนทำให้ห้องโดยสารกว้างขึ้น โดยเฉพาะเบาะนั่งด้านหลัง ที่หลายคนเคยเปรยเบาๆ ว่าทั้งเจนเนอเรชั่น 1-2 ค่อนข้างแคบ  ดีไซน์ทุกอย่างเน้นอารมณ์สปอร์ต พวงมาลัยสามก้าน ตกแต่งด้วยวัสดุมันวาว พร้อมระบบมัลติฟังก์ชั่น แต่ที่ทำให้มาสด้า 3 ใหม่ ต่างจากรถญี่ปุ่นทั่วไป คือ แผงควบคุมอุปกรณ์ที่อยู่ตรงคอนโซลกลาง ที่นอกจากใช้ควบคุมทุกอย่างแล้ว ยังใช้ในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ ให้เป็นหนึ่งเดียวกับตัวรถ ทำให้เบียดใกล้กับรถยุโรปชั้นดีได้อย่างกระชั้นชิด โดยมีจอแสดงผลดีไซน์โดนๆ อยู่กลางคอนโซลหน้า

และอีกสิ่งที่บ่งชี้ถึงความล้ำสมัย จอกระจกขนาดเล็กแสดงความเร็วแบบดิจิตอล อยู่เหนือมาตรวัดต่างๆ ไสตล์สปอร์ต เลื่อนตัวขึ้นมาเมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ และเลื่อนเก็บเมื่อดับเครื่องยนต์ หลังจากทดสอบไประยะหนึ่ง รับรู้ถึงอารมณ์การขับขี่ ที่ล้อกันไปกับ โคโดะ ดีไซน์ หรือจิตวิญญาณแห่งการเคลื่อนไหว เพราะไม่ว่าจะโค้งไหน เนินไหน ทำได้กระชับฉับไว มั่นใจกับช่วงล่าง ที่เอาอยู่ทุกครั้ง ประกอบกับพวงมาลัยคมกริบ วางรอยล้อได้อย่างใจ

เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ให้ความสะใจทั้งบนย่านความเร็วสูงที่แม้จะขึ้นไปถึงกว่า 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ที่เรียกมาได้ในเวลาแค่อึดใจ ไม่ว่าจะถนนเปียก หรือแห้ง ก็ยังรู้สึกถึงความเสถียรไม่มีวอกแวกให้ต้องหวาดหวั่น การเข้าโค้ง หรือหลบสิ่งกีดขวาง ที่บังเอิญเส้นทางที่ใช้ในวันนั้น มีพายุฝนพัดผ่าน ทำให้ต้นไม้ล้มเป็นระยะๆ ต้องโยกซ้าย-ขวา กันเป็นพัลวัน แต่ก็ผ่านได้อย่างเนียนๆ

เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดทำงานได้อย่างนุ่มนวล และถ้ายังไม่สะใจ มีโหมดเกียร์ธรรมดา ให้ได้สนุกยิ่งขึ้น มั่นใจกับระบบเบรก เพราะไม่ว่าจะเบรกในย่านความเร็วต่ำแค่กดเบาๆ หรือจังหวะทำความเร็วสูง แม้จะอยู่บนถนนเปียก ก็หยุดได้ฉับไว และไม่มีอาการท้ายปัด ล้อตายเลยแม้แต่น้อย

honda-mobilio

รีวิว Honda Mobilio อเนกประสงค์ก็ใช่!! แถมพกดีไซน์สปอร์ตมาอีก

ฮอนด้า โมบิลิโอ เปิดตัวสู่ตลาดบ้านเรามาหลายปีแล้ว และตอนนี้ก็ยังมีรถป้ายแดงขายกันอยู่ แถมยอดขายในแต่ละเดือนก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่แต่อย่างใด เรียกได้ว่าขายได้เรื่อยๆ โดย Honda Mobilio มือสองรุ่นนี้ มาพร้อมเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร มีให้เลือกทั้งหมด 4 รุ่น ได้แก่

  • S MT ราคา  597,000 บาท
  • S CVT ราคา 642,000 บาท
  • V CVT ราคา 682,000 บาท
  • และรุ่นท็อป RS CVT ราคา 739,000 บาท

ขณะที่คู่แข่งตรงๆของโมบิลิโอ ก็คือโตโยต้า อแวนซ่า นั้นก็มีให้เลือก 5 รุ่น ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 584,000 – 749,000 บาท งานนี้ถ้าวัดเฉพาะราคาแล้วในรุ่นเริ่มต้นพี่โตโยต้าเคาะราคาได้ยั่วยวนใจกว่า แต่เมื่อหันไปดูรุ่นจัดเต็มอย่างรุ่นท้อปนั้น โมบิลิโอ ก็ชนะเลิศเพราะมีราคาที่ต่ำกว่า


สำหรับรถอเนกประสงค์ในกลุ่มนี้ เดิมทีมักจะดีไซน์กันมาแบบขาดๆ เกินๆ จะเล็กก็ไม่ใช่ จะใหญ่ก็ไม่เชิง ซึ่งผู้ผลิตรถยนต์แต่ละเจ้าก็คงพยายามที่จะแก้ไข และดีไซน์ออกมาให้สามารถตอบโจทย์ของลูกค้าให้ได้ดีมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างโมบิลิโอ ที่มีการออกแบบให้ดูทันสมัย มีเพิ่มมูลค่าด้วยการแต่งนั่นนิด ใส่นี่หน่อย แต่ในแง่ของอรรถประโยชน์เพื่อการใช้สอยก็ไม่ละทิ้งไป เรียกได้ว่าลูกค้าเห็นตัวรถแล้วก็รู้สึกว่าคุ้มค่ากับที่จะจ่ายออกไป

โดยมิติของโมบิลิโอ นั้น มาพร้อมความยาว 4,398 มม. ความกว้าง 1,683 มม. และความสูง 1,603 มม.

ส่วนคู่แข่งอย่าง อแวนซ่า นั้น มีความยาว 4,140 มม. ,ความกว้าง 1,660 มม. และความสูง 1,695 มม. ถือว่ามิติใกล้เคียงกัน ไม่ได้แตกต่างอะไรกันมากมาย แต่ในแง่ของความสดใหม่ การดีไซน์ นั้นผู้เขียนก็แอบให้คะแนนโมบิลิโอมากกว่า

สำหรับดีไซน์ของโมบิลิโอ ตัวกระจังหน้าโครเมียมดีไซน์สปอร์ต ไฟหน้าโปรเจคเตอร์พร้อมทั้งไฟหรี่แบบแอลอีดี ด้านล่างลงมาหน่อยจะเห็นไฟตัดหมอกคู่หน้า และฮอนด้า ยังแอบเพิ่มความดุดันกับกันชนหน้าลายสปอร์ต เช่นเดียวกับมุมมองด้านข้างๆ จะมีสเกิร์ตเพิ่มมาตรง กรอบประตู และล้ออัลลอย ขนาด 15 นิ้ว ที่ส่วนตัวชอบมาก เพราะดีไซน์สวยจริงอะไรจริง แถมมองจากมุมนี้ตัวรถแอบดูหรูหรา เห็นแล้วนึกถึงรถอเนกประสงค์ในรุ่นใหญ่ๆ ของฮอนด้า ไม่ว่าจะเป็นโอดิสซีย์, สปาด้า

ส่วนบั้นท้ายของโมบิลิโอนั้นก็มีสเกิร์ตครบ ทั้งด้านบนที่มาพร้อมกับไฟเบรกดวงที่ 3 แบบแอลอีดี และกันชนหลังก็ดีไซน์ให้ดูสปอร์ตพร้อมทั้งมีลูกเล่นด้วยการทำปลอกท่อไอเสียสแตนเลส

มาดูภายในห้องโดยสารกันบ้าง อย่างที่บอกว่านี่คือรถอเนกประสงค์ ดังนั้นในแง่ของการขนคน และขนของนั้นจะเป็นหัวใจหลัก โดยโมบิลิโอ มีที่นั่งทั้งหมด 3 แถว สามารถนั่งได้ 7 คน แต่ถ้าอยากนั่งแบบสบายๆควรจะนั่งแค่ 6 ที่นั่งเท่านั้น เว้นซ่ะแต่แถว 2 จะมีผู้โดยสารตัวเล็กๆมานั่งเบียดกันให้ครบ 3 คน  ตัวเบาะนั่งแถว 2 มีพนักพิงและเลื่อนได้ 3 ระดับ และยังสามารถพับแบบ 60:40 ได้ หรือว่าจะพับแบบตลบเดียวก็ได้ ทำได้ง่ายมากไม่ต้องเปลืองแรง

นอกจากนั้นยังปรับเลื่อนไปข้างหน้าหรือดันไปข้างหลังตามความต้องการของผู้โดยสารได้ ซึ่งตรงนี้เองจะช่วยให้ผู้โดยสารแถว 3 แอบมีพื้นที่ในการวางขาเพิ่มขึ้นด้วย อย่างไรก็ตามหากเดินทางในระยะทางไกลๆและผู้โดยสารแถว 3 มีรูปร่างสูง ยาว ก็อาจจะเมื่อยล้าได้ แต่ในแถว 2 หรือที่นั่งคู่หน้า ก็ไม่ต้องห่วงนั่งได้สบาย


ความพิเศษในรุ่นท้อปของโมบิลิโอ ยังมีเพราะเบาะนั่งแถว 3 พนักพิงปรับเอนได้ 2 ระดับ ส่วนใครที่ต้องการจะขนสัมภาระก็ไม่ต้องห่วง เพราะเบาะแถว 2 และ 3 สามารถพับได้ โดยแถว 3 จะพับแยกแบบ 50:50 ใครต้องการเก็บของแบบไหนก็จัดสรรพื้นที่กันตามสะดวก  ส่วนใครที่ห่วงเรื่องอากาศร้อน – เย็นก็ไม่ต้องกังวลใจไป เพราะโมบิลิโอมีระบบปรับอากาศติดอยู่ตรงเพดานแถว 2 ที่จะกระจายความเย็นสำหรับผู้โดยสารแถว 2 และ แถว 3 ส่วนลำโพงที่ติดตั้งมากับรุ่นนี้มีด้วยกัน 4 ตัว

และสำหรับผู้ขับขี่ก้อสามารถควบคุมเครื่องเสียงได้ผ่านพวงมาลัยโดยไม่ต้องไปเอื้อมมือไปเตะที่หน้าจอ และสิ่งที่สังเกตเห็นหลังจากเข้ามาอยู่ในตัวรถก็คือที่วางแก้ว ที่กระจายอยู่รอบคัน นับรวมๆกันมีกว่า 11 จุด หันไปทางไหนก็เห็นแต่ที่วางแก้ว!!

โดยสรุปจากข้อมูลและการสัมผัสแบบพอหอมปากหอมคอ ก็แอบเทใจให้โมบิลิโอ มากกว่ารุ่นอื่นๆในเซกเมนต์เดียวกัน เพราะหน้าตาที่ดูสปอร์ต รูปทรงโดยรวมมีมิติ แถมยังแอบหรูในบางมุม กล่าวคือรวมๆของรถรุ่นนี้มีความลงตัวที่สุดในแง่ของการออกแบบในมุมมองของผู้เขียนเอง งานนี้ต้องบอกว่าหน้าตาดีมีชัยไปกว่าครึ่ง!!!

bmw-218

รีวิว :: BMW 218i Active Tourer M คิดดี….แต่ดีไซน์ยังไม่สุด!!

แปลกหูแปลกตาไม่ใช่น้อย สำหรับรถในรุ่น ซีรี่ส์ 2 Active Tourer ของค่ายใบพัดสีฟ้า บีเอ็มดับเบิลยู เพราะแว่บแรกที่ได้เห็นนึกว่าเป็นรถสัญชาติญี่ปุ่น มองอีกมุมก็เหมือนสัญชาติอเมริกัน …..มาอ๋อเอาก็ตอนเห็นกระจังหน้าและโลโก้นี่แหละ

สำหรับมุมมองด้านหน้าของ BMW 218i Active Tourer M Sport แน่นอนว่าสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์คือกระจังหน้า ไล่เรียงมาถึงไฟหน้าแอลอีดีที่มีคุณสมบัติช่วยส่องสว่างเวลาเข้าโค้ง มุมซ้ายขวาด้านหน้ามีไฟตัดหมอก ที่ถูกครอบด้วยดีไซน์เก๋ๆ ตัวฝากระโปรงดูมีมิติเล็กน้อยเพราะมีการออกแบบเส้นสาย ทำให้ดีไซน์ด้านหน้าไม่ดูเรียบจนเกินไป อย่างไรก็ตามรูปทรงของตัวถังด้านหน้าที่มีขนาดเล็กๆ สั้นๆ กะทัดรัด ก็ยังแปลกตาอยู่ดี

ไล่เรียงมาด้านข้าง จะเห็นเส้นโค้งหลังคาและประตูขนาดใหญ่ ที่โดดเด่นอีกอย่างคือล้ออัลลอยของชุดแต่ง M ขนาด 18 นิ้ว แบบ Double Spoke ส่วนด้านหลังมีไฟท้ายรูปทรงแอล สปอยเลอร์หลังคา ส่งให้รถดูสปอร์ตมากขึ้น ขณะที่ประตูท้ายรถเปิดปิดง่าย และเปิดได้กว้างมากขึ้นเพราะมีขอบต่ำและตัวบานประตูก็มีขนาดใหญ่ โดยสรุปรูปลักษณ์ภายนอกของรถรุ่นนี้ยังไม่ค่อยถูกใจเท่าไร ดูขาดๆ เกินๆไม่สุด

เข้ามาสำรวจตรวจสอบภายในของรถรุ่นนี้ เดิมทีไม่ค่อยประทับใจกับดีไซน์ภายนอกสักเท่าไร แต่พอเข้ามาสัมผัสข้างใน ได้เห็นวัตถุดิบต่างๆที่นำมาตกแต่ง ก็ต้องบอกว่าพรีเมียม กริ๊บจริงๆ ตัวเบาะกับคอนโซลจะเห็นด้ายสีฟ้าตัดขอบกับสีดำของตัวคอนโซลและเบาะ ทำให้ดูดีมีมูลค่า อย่างไรก็ตามสิ่งที่ไม่ค่อยชอบใจสักเท่าไรน่าจะเป็นเรื่องของเบาะ เพราะเป็นเบาะผ้าสลับด้วยหนัง Alcantara ที่ดูจะบำรุงรักษาลำบาก

เมื่อลองเข้ามานั่งหลังพวงมาลัย ก็มีการปรับที่นั่งให้เหมาะสมกับสรีระ ซึ่งแน่นอนว่ารถระดับนี้สามารถปรับได้ด้วยระบบไฟฟ้า แถมยังมีลูกเล่นตรงเบาะที่นั่ง ที่ยกสูงช่วยเพิ่มวิสัยทัศน์ นอกจากนั้นแล้วยังสามารถเลื่อนปรับขยับไปด้านหน้าได้ มีให้ทั้งเบาะฝั่งคนขับและผู้โดยสารคู่หน้า โดยอารมณ์แรกที่ได้ลองเข้าไปนั่งรู้สึกแปลกๆ เหมือนจะเกะกะ แต่พอลองขยับๆ จนเข้าที่เข้าทางก็ต้องบอกว่าช่วยอำนวยความสะดวกสบายให้กับผู้โดยสารได้ดีไม่น้อย แถมตัวเบาะโอบกระชับ ไม่ไหลไม่ลื่น อย่างไรก็ตามผู้โดยสารที่เป็นผู้ใหญ่ (มาก) คุณพ่อหรือคุณแม่อาจจะไม่ชอบใจ เพราะดูขึ้นลงลำบาก แถมสัมผัสแรกในตอนที่จะก้าวขาไปนั่งก็ดูจะลำบากเล็กน้อย

ส่วนห้องโดยสารด้านหลัง มีช่องแอร์แยกอิสระ ไม่ต้องห่วงเรื่องความร้อน ตัวเบาะที่นั่งก็นั่งสบาย ไม่ติดหัว มีพื้นที่วางขา ถ้าผู้โดยสารแข้งขายาวหน่อยก็ปรับเลื่อนเพื่อเพิ่มพื้นที่วางแข้งขาของตนเองได้ และสำหรับผู้โดยสารที่ต้องการจะขนสัมภาระต่างๆและพื้นที่ห้องด้านหลังไม่พอก็สามารถพับเบาะที่นั่งได้ เพราะตัวเบาะพนักพิงแยกอิสระ 3 ชิ้น เป็นแบบสัดส่วน 40:20:40  พับง่าย และทำให้พื้นที่ด้านหลังเรียบสนิทไปด้วยกันหมด และหากพื้นที่จัดเก็บยังไม่พอ ก็จะมีช่องเก็บสัมภาระที่อยู่ใต้พื้น มีความจุประมาณ 70 ลิตรและมีถาดเอนกประสงค์สำหรับไว้เก็บของชิ้นเล็กๆเปิดปิดง่าย ไม่ยุ่งยาก แต่ช่วยในการจัดเก็บสัมภาระด้านหลังได้อย่างเป็นสัดเป็นส่วนมากขึ้น

ย้อนกลับมาดูอุปกรณ์เทคโนโลยีที่ใส่มาในรถรุ่นนี้กันดูบ้าง ที่เห็นเด่นชัดคือหน้าจอแอลอีดีขนาด 6.5 นิ้ว มีปุ่มควบคุม iDrive และแอพพลิเคชั่น BMW สำหรับเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนภายในรถ ขณะที่พวกวิทยุหรือการเชื่อมต่อยูเอสบี AUX หรือบลูธูทก็มีพร้อมสรรพ

ส่วนข้อมูลเทคนิคของรถรุ่นนี้ ในส่วนของขุมพลังอยู่ที่ 1.5 ลิตร เครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ เทคโนโลยี บีเอ็มดับเบิลยู ทวินพาวเวอร์ เทอร์โบ ทำงานประสานกับเทคโนโลยี EfficientDynamics และระบบ ConnectedDrive เพื่อการเชื่อมต่อแบบรอบด้าน ขณะที่มิติตัวถังมาพร้อมกับความยาว 4,342 มม.,ความกว้าง 1,800 มม. และความสูง 1,586 มม. กำลังสูงสุด 136 แรงม้าที่ 4,400 รอบต่อนาที ,แรงบิดสูงสุดที่ 220 นิวตันเมตร ที่1,250 รอบต่อนาที ความเร็วสูงสุด 205 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระบบขับเคลื่อนเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ

เรียกได้ว่าภายในชนะเลิศ แต่ภายนอกยังไม่ค่อยถูกใจสักเท่าไรนักสำหรับ BMW 218i Active Tourer M Sport  เอาเป็นว่าใครที่สนใจคงต้องลองไปสัมผัสกันดูที่โชว์รูมและศูนย์บริการจำนวน 22 แห่ง ใกล้ที่ไหนไปที่นั่น  สนนราคารถรุ่นนี้อยู่ที่ 2,499,000 บาท

BMW 218i Active Tourer M Sport อารมณ์แรกที่ได้เห็นจากด้านหน้าดูเป็นรถสปอร์ต แต่พอมาดูด้านข้างกลายเป็นรถเก๋งกึ่งครอบครัว กึ่งเอนกประสงค์ไปซ่ะอย่างนั้น โดยรวมๆในแง่ของดีไซน์การออกแบบไม่ค่อยพึงพอใจสักเท่าไรนัก ดูยังขาดๆเกินๆแต่พอเข้ามานั่งด้านในห้องโดยสาร ก็ต้องบอกว่าเรียบหรู เกร๋ๆตามสไตล์บีเอ็มดับเบิลยู เบาะนั่งสบาย ภายในกว้างขวาง มีพื้นที่จัดเก็บสัมภาระล้นปรี่ เรียกได้ว่าตัดสินใจลำบากจริงๆว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ!!!งานนี้คงต้องไปวัดกันที่สมรรถนะว่าจะตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานหรือไม่อย่างไร!!!!

volvo-s60

Review Volvo S60 – ซีดานเรียบหรู เอกลักษณ์เฉพาะในแบบวอลโว่

ซีดานเรียบหรู เอกลักษณ์เฉพาะในแบบวอลโว่ “ทุกชีวิตปลอดภัยในวอลโว่ …..สโลแกนที่อยู่ยงคงกระพันของรถยนต์จากประเทศสวีเดน แม้ช่วงหลังๆจะเงียบๆนิ่งๆแต่ก็ไม่ได้หายไปไหน

ยังคงทำตลาดในบ้านเราแบบค่อยเป็นค่อยไป แถมข่าวล่ามาเร็วก็คือเพิ่งจะมีการปรับโครงสร้างองค์กรการบริหารภายใน ซึ่งหลังจากนี้ก็น่าจะมีความชัดเจน และมีแนวทางตลาดออกมาแข่งขันกับคู่ต่อสู้ในกลุ่มเดียวกันได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ

สำหรับผู้เขียนเองเพิ่งจะมีโอกาสได้สัมผัสและทดลองนั่งวอลโว่ ในรุ่น  S 60 T5 (220 HP) จริงๆในรุ่นนี้มีให้เลือกอีกหนึ่งตัวคือ S60 T4F (180HP) ความแตกต่างคือขนาดของเครื่องยนต์ แรงม้า ที่ในรุ่น S 60 T5  มาพร้อมเครื่องยนต์ที่ใหญ่กว่า  1969 ซีซี.แรงม้าอยู่ที่ 220 HP ขณะที่รุ่น S60 T4F มาพร้อมกับขุมพลัง 1596 ซีซี. 180 แรงม้า

ส่วนตัวเครื่องยนต์ของทั้งคู่รองรับเบนซิน สนนราคาในรุ่น  S 60 T5 อยู่ที่ 2,449,000 บาท

โดยรวมแล้วในความคิดเห็นของผู้เขียนเอง มองว่าในแง่ดีไซน์ภายนอกนั้นหากเทียบกับคู่แข่งในเซ็กเมนต์เดียวกัน แล้วผู้เขียนแอบเทใจให้กับคู่แข่งมากกว่า เพราะคู่แข่งอีก 2 แบรนด์อย่างบีเอ็มดับเบิลยู และเมอร์เซเดส-เบนซ์ในช่วงหลังๆมีการออกแบบรถให้ดูหนุ่มขึ้น สปอร์ตขึ้น

ขณะที่วอลโว่ นั้นแม้จะใส่ลูกเล่นหรือดีไซน์ใหม่แต่ก็ยังมีบุคลิกของผู้ใหญ่ใจดี สุขุม นุ่มลึกมากกว่า มาสำรวจภายในห้องโดยสาร แน่นอนว่ารถระดับนี้ ตัววัสดุอุปกรณ์ต่างๆนั้นค่อนข้างดูดี มีระดับ การดีไซน์หรือการออกแบบก็ไม่มากไปไม่น้อยไป ผู้เขียนเองแอบชอบใจกับภายในที่ดูสปอร์ต มากกว่าดีไซน์ภายนอกเสียอีก

โดยเฉพาะเบาะที่นั่งขนาดใหญ่โตในคู่หน้า นั่งสบาย โอบกระชับ การตัดเย็บเบาะที่นั่งดูใส่ใจในทุกรายละเอียด

เรียกว่าฝีมือกริ๊บจริงๆ ตรงแผงคอนโซลกลางยังเต็มไปด้วยสารพัดปุ่ม โดยมีหน้าจอสำหรับและเป็นที่ตั้งของระบบแอร์คอนดิชั่นที่มีระบบ Electronic Climate Control ช่วยรักษาอุณหภูมิในห้องโดยสารและยังสามารถปรับแยกกันได้ระหว่างคันขับและผู้โดยสารด้านหน้า ไล่ลงมาตรงกลางระหว่างเบาะคู่หน้าจะมีที่วางแก้ว ที่พักแขนซึ่งสามารถเก็บของต่างๆซึ่งในบริเวณนี้นี่เองที่จะมีช่องเสียบยูเอสบีซ่อนตัวอยู่

จุดเด่นหรือเทคโนโลยีที่วอลโว่พยายามนำเสนอในรถหลายๆรุ่นก็ถูกนำมาใส่ไว้ในรถรุ่นนี้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะเทคโนโลยี Sensus ที่จะรวบรวมความบันเทิงเริงใจทั้งหมดมาไว้ในระบบนี้ แถมยังสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านเทคโนโลยีนี้ได้อีกต่างหาก ซึ่งจุดนี้ผู้เขียนแอบเสียดายที่ยังไม่ได้ทดลองเล่นระบบดังกล่าว  โดยระหว่างการเดินทางมัวแต่ฟังเพลงจากวิทยุรวมไปถึงเปิดซีดีตามปกติ ก็เลยไม่ได้ทดสอบระบบดังกล่าวว่าเสถียรหรือใช้งานยากง่ายอย่างไร

อย่างไรก็ตามระบบเครื่องเสียงที่ติดตั้งมาค่อนข้างจะถูกใจ เปิดทีก็บูม บูม  ลื่นหูดีแท้ ช่วยให้การเดินทางไม่เงียบเหงาและไม่น่าเบื่อ โดยรวมในแง่ของดีไซน์ หากวัดเฉพาะภายนอกนั้น ตัวผู้เขียนมองว่าเป็นรถที่มีสไตล์เรียบหรู ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ แต่ก็ไม่ได้ว้าว!!! ส่วนภายในนั้น ถูกใจผู้เขียนมากกว่าเพราะให้อารมณ์สปอร์ต ดูวัยรุ่น ล้ำสมัย เอาเป็นว่าใครที่อยากเป็นเจ้าของคงต้องไปทดลองขับกันดูว่าแท้จริงแล้วบุคลิกของรถรุ่นนี้เป็นอย่างไร จะถูกใจหรือไม่ จะหนุ่มหรือจะแก่ ก็ลองไปทดลองขับและสัมผัสกันได้ที่โชว์รูมวอลโว่ทั่วประเทศ