mercedes-benz-gle

Review Mercedes-Benz GLE-Class ครอสโอเวอร์หรู ราคาเริ่ด

ช่วงหลังๆ ดูเหมือนค่ายดาวสามแฉก จะมีรถรุ่นใหม่-ดีไซน์เก๋รๆ มาทำตลาดในบ้านเรามากขึ้น จากเดิมที่เน้นคลาส ซี-คลาส, อี-คลาส เอส-คลาส ทุกวันนี้ก็จัดเต็ม มีทั้งเอเอ็มจี, เอ, บี, ชี, ซีแอลเอ, ซีแอลเอส, อี, จีแอล, จีแอลเอ, จีแอลอี, เอ็ม, เอส, เอสแอลซี และวี เรียกได้ว่าครบ!!ตั้งแต่รถเก๋งคันเล็กดีไซน์พอเหมาะ ยันรถตู้ขนาดใหญ่ดีไซน์หรู ล่าสุดได้มีโอกาสสัมผัสกับรถในกลุ่มเอนกประสงค์ เอสยูวีหรือที่เบนซ์ให้คำนิยามว่าเป็นครอสโอเวอร์ ในรุ่น เมอร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลอี 450 เอเอ็มจี คูเป้

แรกพบสบตากับเมอร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลอี 450 เอเอ็มจี คูเป้ บอกเลยว่าโลโก้ดาวสามแฉกขนาดใหญ่นี่เตะตามาก ตัวกระจังหน้าเรื่อยไปจนถึงไฟหน้าทรงสปอร์ตแบบ  Avant-garde ไม่เพียงเท่านั้นไฟหน้ายังมาพร้อมเทคโนโลยีใหม่แบบเต็มรูปแบบ LED Intelligent Light System และเมื่อไล่ระดับสายตามมายังด้านข้างก็มีจุดดึงดูดสุดๆนั่นก็คือล้อแม็กของชุดแต่งเอเอ็มจีแบบ 22 นิ้ว 5 ก้านคู่ นี่ดูดุดัน เข้มมาก เมื่อสำรวจตรวจสอบมาถึงด้านหลังก็จะพบกับลิ้นสปอยเลอร์และแถบแถบโครเมียมที่ลาดยาว และไฟท้ายแอลอีดีซ้าย-ขวาก็ช่วยให้ดีไซน์ด้านหลังของรถคันนี้ดูไม่เทอะทะมากเกินไป

มาดูกันที่ภายใน สำหรับห้องโดยสารของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลอี 450 เอเอ็มจี คูเป้ โดยรวมค่อนข้างกว้างขวาง มีมิติการตกแต่งภายในที่ดูหรูหรา แต่แฝงความดุดันเล็กน้อย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเบาะหนังสีดำทรงสปอร์ต และเช่นเคยเบาะสามารถปรับให้เหมาะสมกับสรีระของเราได้ด้วยระบบไฟฟ้า และยังมีฟังก์ชั่นจดจำเหมือนดังเช่นรถรุ่นอื่นๆของเบนซ์ ส่วนพวงมาลัยเป็นแบบมัลติฟังก์ชั่นที่เต็มไปด้วยปุ่มต่างๆถึง 12 ปุ่มเพื่อเอื้อต่อการใช้งานง่าย และแอบเพิ่มลุกส์ให้ดูดุด้วยการหุ้มหนังให้ดูสปอร์ตไล่ระดับสายตามาที่แผงคอนโซล ที่มีลายไม้มาแซมๆ

และอย่างที่กล่าวไว้ รถคันนี้เป็นรถที่ดูหรูหรา แต่แอบดุในตัว ซึ่งความดุจะเป็นแบบผู้ใหญ่ ดูน่าเกรงขาม โดยแผงคอนโซลด้านหน้ามีจอแสดงผลขนาดใหญ่ 20.3 เซนติเมตร ที่จะช่วยเหลือผู้ขับขี่ทั้งการเป็นเนวิเกเตอร์,การต่อบลูธูท,การเปิดดูภาพถ่ายผ่านยูเอสบีหรือเอสดีการ์ด,การถอยจอดรถเพราะมีกล้องด้านหลังและยังมีกล้องแสดงภาพแบบ 360 องศาอีกด้วย

ส่วนความบันเทิงก็สามารถเชื่อมต่อระบบมัลติมีเดียในรูปแบบต่างๆทั้งอินเทอร์เน็ต,วิทยุ-ซีดีเพื่อฟังเพลง ซึ่งความโดดเด่นที่ผู้ขับขี่และผู้โดยสารที่ชอบฟังเพลงแบบดังๆเปิดแบบตูมๆอย่างเราก็ไม่ต้องห่วง เพราะรถคันนี้มาพร้อมระบบเสียงรอบทิศทางนั้นเอง

ส่วนคอนโซลตรงกลางที่คั่นระหว่างผู้ขับขี่และผู้โดยสาร นอกเหนือจากจะมีช่องเก็บของแล้ว ยังเป็นที่รวมของปุ่มอีกแล้ว โดยเป็นปุ่มปรับระบบช่วงล่างแบบต่างๆให้เหมาะสมกับสภาพท้องถนนที่ผู้ขับขี่จะต้องพบเจอ  จุดดึงดูดสายตาของรถคันนี้ที่ผู้ขับขี่หรือผู้โดยสารจะต้องมองอีกประการก็คือหลังคาซันรูฟขนาดใหญ่ สามารถเปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า และด้วยสภาพอากาศร้อนๆแบบบ้านเรา ก็ไม่ต้องกังวลเพราะมีแผงบังแดดที่ทำงานด้วยระบบไฟฟ้าเช่นเดียวกัน เรียกว่ากดปุ๊ป มาปั๊ป และแผงดังกล่าวยังดูเนียนตาไม่ได้ดูแปลกแตกต่างไปกับตัวรถเลย

ลองมาดูพื้นที่ห้องโดยสารด้านหลังกันนิดหนึ่ง สำหรับตัวเบาะเป็นสีเดียวกับเบาะด้านหน้า ส่วนความกังวลใจว่าพื้นที่ด้านหลังจะเล็กไปไหม หรือ หากผู้โดยสารที่ตัวสูงใหญ่เข้ามานั่งแล้วจะดูอึดอัดไหม ก็ต้องบอกว่า อาจจะมีบ้างเล็กน้อยเพราะดีไซน์การออกแบบของตัวรถ ที่หลังคาโค้งลาดลงมา แต่โดยรวมๆก็ต้องบอกว่า นั่งได้ สบาย ไม่ได้รู้สึกติด หรือ อึดอัดมากเท่าไร และเมื่อเปิดดูฝากระโปรงรถเพื่อสำรวจพื้นที่จัดเก็บสัมภาระต่างๆก็ถือว่ากว้างขวาง เพียงพอกับมนุษย์ (ที่ชอบ) ขนได้อย่างแน่นอน

เรียกได้ว่าบอกเล่ากันพอหอมปาก หอมคอ ข้อมูลต่างๆโฟกัสเฉพาะดีไซน์การออกแบบและภายใน-ภายนอก หากจะสมรรถนะ หรือ การตอบสนองต่างๆสามารถอ่านรีวิวข้างเคียงได้ แต่โดยสรุปหากคุณผู้ชายที่กำลังมองหารถอเนกประสงค์ที่ขับแล้วดูหรูหรา แอบดุเล็กน้อย และรองรับไลฟ์สไตล์ทั้งการทำงานในเมือง และการขับขี่ท่องเที่ยวทั้งในแบบโสดๆ หรือแบบครอบครัวที่จะเดินทางไปที่ต่างๆในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เจ้าเมอร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลอี 450 เอเอ็มจี คูเป้ ก็ดูจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย ก็เอาเป็นว่า “เคาะ” หรือ “ดีล” ไปเลยสำหรับรถรุ่นนี้ สนนราคาสวยๆอยู่ที่ 7.99 ล้านบาทเท่านั้น!!!

Carro-Review-Honda-City-CNG
ถ้าจะพูดถึง Honda City CNG (ฮอนด้า ซิตี้ ซีเอ็นจี) ที่เปิดตัวออกมาตอบรับความต้องการ ในช่วงเดือนสิงหาคม 2557 สำหรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการประหยัดเงินในกระเป๋า มีงบประมาณมีอยู่เพียงจำกัด ไม่อยากจ่ายเงินผ่อนกับดอกเบี้ยในแต่ละเดือนมาก การมองหา Honda City CNG มือสอง ก็ถือเป็นทางออกที่ดี
Review-Honda-City-CNG

แม้ว่าในช่วงหลัง ราคาน้ำมันเริ่มปรับลดลง (หรือว่า? คนไทยคงรับกันได้แล้ว กับเรื่องน้ำมันเบนซินแพงจนชินชา) ทำให้รถที่ติดตั้งก๊าซธรรมชาติ CNG เริ่มมีบรรดา Maker ผลิตออกจากโรงงานสู่ตลาดน้อยลงเรื่อยๆ จนในที่สุด Honda ก็เลิกผลิต Honda City CNG ไปในช่วงประมาณปลายปี 2559

แต่ถ้าคุณยังสนใจที่จะมองหา Honda City CNG มาใช้งาน เราขอแนะนำในรีวิวนี้ครับ.

Review-Honda-City-CNG

รูปลักษณ์ การดีไซน์ ของฮอนด้า ซิตี้ ซีเอ็นจี พูดง่ายๆ ก็คือ ฮอนด้า ซิตี้ ในรุ่นปกติ แตกต่างกันแค่รถรุ่นนี้ มีการติดตั้งพลังงานทางเลือกซีเอ็นจี ให้ลูกค้าได้เลือก และจะมีเพียงสเปคบางอย่างที่แตกต่างกันนิดหน่อย

โดยหน้าตาของซีตี้ ซีเอ็นจี ไฟหน้าจะเป็นแบบมัลติรีเฟลกเตอร์ ถ้าเป็นรุ่น S ให้สังเกตว่าจะเป็นสีดำ แต่ถ้าเป็นรุ่น V จะเป็นแบบโครเมียม ดูหรูหราขึ้นมาหน่อย เช่นเดียวกับกระจังหน้า และคิ้วกระโปรงด้านท้าย ถ้าเป็นรุ่น V จะเป็นแบบโครเมียม แต่ถ้ารุ่น S จะขึ้นอยู่กับสีรถแต่ละคัน

Review-Honda-City-CNG

และจุดที่บ่งบอกว่ารถรุ่นนี้คือซิตี้ ซีเอ็นจี ก็คือป้ายสัญลักษณ์ CNG ที่ติดตั้งอยู่ใกล้ๆ กับป้าย i-VTEC ตรงฝากระโปรงด้านหลังเหนือไฟท้าย ส่วนล้ออัลลอยรถคันนี้ เป็นแบบ 15 นิ้ว ดูดีตามมาตรฐาน

Review-Honda-City-CNG

มิติตัวรถ ยาว 4,440 มม. กว้าง 1,695 มม. สูง 1,471 มม. ระยะฐานล้อ 2,600 มม.

Review-Honda-City-CNG

Review-Honda-City-CNG

เปิดมาดูภายในห้องโดยสารสีเบจ ทำให้ดูกว้างขวาง โปร่ง โล่ง ส่วนการตกแต่งระหว่างรุ่นปกติและรุ่นท็อปต่างกันเพียงเล็กน้อย นอกจากนั้นแล้ว ตัวเรือนไมล์หรือหน้าจอแสดงผลนั้น ถ้าเป็นรุ่นท็อป จะเป็นสีฟ้า ที่แสดงข้อมูลผลการขับขี่ ดูง่าย ไม่ปวดตา แต่ถ้าเป็นรุ่นปกติจะเป็นสีส้ม

Review-Honda-City-CNG

Review-Honda-City-CNG

จุดที่แตกต่างกันอีกอย่างก็คือ พวงมาลัย ที่ดีไซน์ไม่เหมือนกัน แต่คุณสมบัติไม่ได้ต่างกัน สามารถปรับระดับระดับได้ 4 ทิศทาง ใกล้ๆ กันกับพวงมาลัย จะมีปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์อัจฉริยะ และยังมีปุ่มเลือกการขับขี่แบบน้ำมัน หรือแบบก๊าซซีเอ็นจี ซึ่งจะมีไฟแสดงสถานะการทำงานอยู่ว่าตอนนี้ใช้ระบบอะไร และยังมีไฟแสดงสถานะปริมาณก๊าซ CNG ให้ผู้ขับขี่ได้รับทราบ

Review-Honda-City-CNG

ส่วนเบาะของผู้ขับขี่ ก็ปรับ สูง-ต่ำ ตามความถนัดของแต่ละคนได้ ไม่ต้องห่วงเรื่องความสะดวกสบาย เพราะหากใครเคยนั่งฮอนด้า ซิตี้ ในรุ่นปกติยังไง รุ่นนี้ก็เป็นแบบนั้น โดยพื้นที่ห้องโดยสารด้านหน้ากว้างขวาง ทัศนวิสัยดี ส่วนพื้นที่เบาะด้านหลังก็นั่งสบายแม้ผู้โดยสารจะมีรูปร่างสูงใหญ่

และสิ่งที่หลายคนกังวลคือ พื้นที่เก็บของด้านหลัง เนื่องจากต้องกันพื้นที่ส่วนหนึ่งในการจัดเก็บถังก๊าซซีเอ็นจี งานนี้บอกเลยว่าไม่ต้องกังวล คุณยังสามารถที่จะขนสัมภาระต่างๆ ของคุณได้

Review-Honda-City-CNG

ส่วนอุปกรณ์ความบันเทิงต่างๆก็มีให้ทั้งวิทยุ, CD แบบ 1 แผ่น, MP3 และลำโพงอีก 4 ตัว สามารถเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบบลูทูธได้ พร้อมกับมีช่องเชื่อมต่อ พวก USB/AUX หรือพวกอุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆ ได้

เอาเป็นว่าเฉพาะหน้าตา รูปลักษณ์ ทั้งภายนอกภายใน ถือว่าสวยงาม และครบครัน ตามมาตรฐานของฮอนด้า!

Review-Honda-City-CNG

ฮอนด้า ซิตี้ ซีเอ็นจี มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร แบบ 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว i-VTEC รองรับทั้งน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซ CNG โดยระบบน้ำมัน ให้แรงม้าสูงสุด 117 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 146 นิวตัน-เมตร ที่ 4,700 รอบ/นาที

ส่วนระบบก๊าซ CNG ให้แรงม้าสูงสุด 102 แรงม้า ที่ 6,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 127 นิวตัน-เมตร ที่ 4,800 รอบ/นาที ระบบจ่ายเชื้อเพลิงเป็นแบบหัวฉีด ส่งกำลังผ่านเกียร์ CVT แบบใหม่ ที่ได้รับการพัฒนาภายใต้เทคโนโลยีเอิร์ธดรีม ขยายอัตราทดเกียร์ให้กว้างขึ้น พร้อมระบบ G-Design Shift ช่วยให้อัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงมีประสิทธิภาพ พร้อมอัตราเร่งที่ตอบสนองดียิ่งขึ้น และรองรับพลังงานทางเลือก E20

Review-Honda-City-CNG

ถังก๊าซ CNG มีความจุ 65 ลิตร ผลิตจากเหล็กคุณภาพสูง ทนทานต่อก๊าซแรงดันสูง และออกแบบจุดยึดถังก๊าซและโครงสร้างตัวถังแน่นหนาตามมาตรฐานความปลอดภัย พร้อมแผงกั้นถังก๊าซเพื่อแบ่งสัดส่วนพื้นที่ติดตั้งถังก๊าซและห้องสัมภาระด้านท้าย อีกทั้งช่วยป้องกันแรงกระแทกบริเวณห้องสัมภาระด้านท้าย

Review-Honda-City-CNG

สำหรับตำแหน่งหัวรับเชื้อเพลิง CNG ได้รับการออกแบบให้อยู่ใกล้กับจุดเติมน้ำมัน พร้อมลิ้นป้องกันการไหลย้อนกลับของก๊าซ มีสวิตช์เลือกปรับเปลี่ยนการใช้พลังงานได้ระหว่างน้ำมันและก๊าซ CNG พร้อมไฟแสดงสถานะการใช้และปริมาณก๊าซ โดยกล่องควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ (ECU) จะทำหน้าที่ประมวลผลการจ่ายก๊าซและช่วยตัดการจ่ายก๊าซ CNG ได้อย่างแม่นยำ หากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือระบบทำงานผิดปกติ และระบบกันสะเทือนหน้า-หลังที่ได้รับการออกแบบเฉพาะสำหรับระบบ CNG เพื่อการทรงตัวที่ดีมั่นคงในทุกการขับขี่ 

สำหรับจุดเติมของน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ CNG ที่อยู่ใกล้กัน ทั้งเติมแบบน้ำมันและแบบซีเอ็นจี เรื่องความปลอดภัยของซีเอ็นจีนั้น จุดนี้มองว่าหายห่วง เพราะรถระดับนี้ถูกดีไซน์และพัฒนามาหลายขั้นหลายตอนกว่าจะนำออกมาขายได้ แถมมีการรับประกันสร้างความอุ่นใจ ดีกว่าไปติดตั้งเอง และเสี่ยงต่อมาตรฐานหรือคุณภาพของถังหรือผู้ที่ติดตั้ง

ฮอนด้า ซิตี้ ซีเอ็นจี มีให้เลือก 3 รุ่นย่อย ได้แก่ S CNG MT, S CNG AT และ V CNG AT มีให้เลือกทั้งหมด 6 สี ได้แก่ สีขาวทาฟเฟต้า สีเงินอลาบาสเตอร์ (เมทัลลิก) สีดำคริสตัล (มุก) สีเทาโมเดิร์นสตีล (เมทัลลิก) สีแดงคาร์เนเลียน (มุก) และสีน้ำตาลโกลเด้น (เมทัลลิก)

หมายเหตุ:

– สีดำคริสตัล (มุก) และสีแดงคาร์เนเลียน (มุก) ตอนเป็นรถมือหนึ่ง ต้องเพิ่มเงินอีก 6,000 บาท
– รุ่น S CNG MT มี 3 สีให้เลือก คือ สีขาวทาฟเฟต้า, สีเงินอลาบาสเตอร์ (เมทัลลิก) และสีดำคริสตัล (มุก)
– รุ่น S CNG AT มี 4 สีให้เลือก คือ สีขาวทาฟเฟต้า, สีเงินอลาบาสเตอร์ (เมทัลลิก) สีดำคริสตัล (มุก) และสีเทาโมเดิร์นสตีล (เมทัลลิก)
– รุ่น V CNG AT มี 6 สีให้เลือก คือ สีขาวทาฟเฟต้า, สีเงินอลาบาสเตอร์ (เมทัลลิก), สีดำคริสตัล (มุก), สีเทาโมเดิร์นสตีล (เมทัลลิก), สีแดงคาร์เนเลียน (มุก) และสีน้ำตาลโกลเด้น (เมทัลลิก)

Review-Honda-City-CNG

ทัศนะความคุ้มค่าน่าใช้ โดย MR.CARRO …

ความคุ้มค่าตอนซื้อ

รุ่นนี้ในตลาดรถมือสอง ถือว่าได้รับความนิยมพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนวัยทำงานใหม่ พ่อค้าแม่ค้า คนทำงานอาชีพอิสระ หรือบริษัทต่างๆ ที่ซื้อไว้ใช้งานเป็นรถประจำบริษัท เป็นรถรุ่นมีวิ่งให้เห็นกันเกลื่อนเมือง อีกทั้งยังเป็นรถ Honda เพียงรุ่นเดียวที่ติดตั้งก๊าซ CNG ออกมาจากโรงงาน ได้เปรียบในเรื่องรับประกันคุณภาพมาตรฐาน 3 ปี หรือ 1 แสนกิโลเมตร …

ความคุ้มค่าตอนใช้งาน

ถ้าคุณเป็นคนที่จำเป็นต้องใช้รถเยอะ ถือว่าคุ้มค่ามากๆ เพราะก๊าซธรรมชาติ CNG ยังไงก็ประหยัดกว่าใช้น้ำมันเบนซินอยู่แล้ว ตกเฉลี่ยกิโลเมตรละประมาณ 50 สตางค์ ขึ้นอยู่กับสภาพจราจร และการขับขี่ของแต่ละคน

ขณะที่จุดด้อยเท่าที่เห็น คือเรื่องของพื้นที่จัดเก็บสัมภาระด้านท้าย ที่ต้องยกเนื้อที่ส่วนหนึ่งให้กับถัง CNG และแน่นอน การมีถังก็ทำให้น้ำหนักรถเพิ่มขึ้น และต้องใช้เวลาเติมบ่อย กับเติมนาน นอกนั้นไม่มีอะไรมาก

และ สถานีบริการของเอ็นจีวี ที่ยังมีจำนวนไม่มากพอ (ถ้าเทียบกับ LPG หรือปั้มน้ำมันทั่วไป) ดังนั้นก่อนจะซื้อ ก็ลองสำรวจเส้นทางในการใช้รถใช้ถนนของตัวเองว่า มีสถานีรองรับหรือไม่อย่างไร เพราะอาจจะลำบากหน่อยเวลาขับรถในบางย่าน หรือขับรถออกต่างจังหวัด

ความคุ้มค่าตอนซ่อม

ตัวรถไม่จุกจิก ทนทาน ประหยัด ราคาอะไหล่ไม่แพง เตรียมงบไว้สำหรับดูแลตามปกติ ปีละ 5,000 – 10,000 บาท (กรณีดูแลรักษาทั่วไป ถ้ามีเช็คระยะใหญ่ ก็อาจจะต้องเตรียมเงินไว้เพิ่ม) ครับ

ความคุ้มค่าตอนขายต่อ

สำหรับ Honda City CNG โฉมปี 2014 – 2016 มีราคามือสองอยู่ที่ 300,000 – 380,000 บาท (เป็นราคาในตลาดรถปี 2564 โดยประมาณ และขึ้นอยู่กับปีรถ รุ่นย่อย กับ สภาพของตัวรถ)

Download Catalogue Honda City CNG คลิกที่นี่ >>> Honda-City-CNG-8-2014-Brochure

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม มาขายรถคันเดิมกับ CARRO Express สิ! Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

แต่ถ้าหากช่วงนี้ใครอยากซื้อรถคันใหม่ มาใช้แทนที่รถคันเดิม CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ พร้อมตอบโจทย์คุณด้วยคอนเซปต์ “click.buy.drive.” คุณสามารถจองรถออนไลน์ ได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น!

รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check และยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” ให้คุณเลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา พร้อมรับประกันคุณภาพรถนานถึง 2 ปี หรือ 20,000 กิโลเมตร! อีกทั้งยังการันตีความพึงพอใจ คืนเงินได้ภายใน 5 วันอีกด้วย! เรามีรถให้คุณเลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ CARRO Automall สิ!

หรือถ้าหากสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall Official โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall ครับ

mazda-2

Review Mazda 2 Eco Car สุดหรูทั้งดีไซน์ และขุมกำลังดีเซลแห่งอนาคต

มาสด้า 2 (Mazda2) หลายคนอาจจะรู้สึกผิดหวัง กับ ราคาเล็กน้อย กับ รถยนต์ที่บอกว่าเป็นรถอีโคคาร์ด้วยราคาค่าตัวที่ต้องซู๊ดดดดปากดังๆ เพราะถ้าเทียบราคา กับความเป็น อีโคคาร์แล้ว ต้องบอกว่ามาสด้า 2  ถือว่าค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับบรรดารถอีโคคาร์ทั่วไป ทั้ง  8 รุ่นในบ้านเรา

จุดเด่น จุดด้อยของรถคันนี้จะมีอะไร ลองไปดูกันเริ่มต้นที่รุ่นสแตนดานซ์  1.5 Skyactiv-D XD ราคาเริ่มต้นที่  6.75 แสน รุ่นกลาง 1.5 Skyactiv-D XD High ราคา 7.35 แสนบาท และรุ่นท๊อป 1.5 Skyactiv-D XD High Plus+ ราคา 7.90 แสนบาท

แต่ถ้ามองในเชิงเทคโนโลยีและความคุ้มค่ากับการนำเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ  รวมทั้งการตัดสินใจน้ำเครื่อยนตฺดีเซลมาใส่ไว้ในเก๋งเล็กเป็นครั้งแรก หากจะชั่งน้ำหนักกับ เรื่อง “ราคา” ที่กระโดดไปสูงกว่าอีโคคาร์ทั่วแล้วถือว่า “รับได้”

หากจะมอง ให้ มาสด้า2 คันนี้ กระโดดขึ้นไปชกข้ามรุ่น เพราะถ้าเปรียบกับความเป็นรถยนต์นั่งขนาดเล็กเครื่องยนต์ดีเซลแล้ว โดยส่วนตัว คู่แข่งที่ ตรงตัวมากที่สุด เห็นจะเป็นรถจากฝั่งยุโรปอย่าง “มินิ” ที่ทั้งด้านประสิทธิภาพขุมพลังของเครื่องยนต์ อัตราสิ้นเปลืองถือว่าพอสูสี แต่หากจะดูที่ระดับราคากับความคุ้มค่าและอัตราสินเปลื้องแล้ว ต้องให้มาสด้า2 ที่ กินขาดด้วยราคาที่เป็นมิตรภาพที่จับต้องได้ง่ายกว่า เมื่อเทียบกับรถ “มินิ”

แต่อย่างที่บอก เมื่อเทียบกับรถญี่ปุ่นระดับเดียวกันตรงๆ นั้น ไร้คู่เเข่ง แต่หากจะเทียบกับความเป็น “อีโคคาร์” ถือว่า ราคาสูงโดดไปอยู่ในระดับ “ซิตี้ คาร์” เเม้ว่ารถคันนี้จะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เข้าช่วยถึง 17% แล้วก็ตาม

สาเหตุที่ต้องยก ประเด็นเรื่องของ “ราคา” มาอยู่ในอันดับต้นๆ นั้น เพราะ ประเด็นนี้กลายเป็น “โจทย์” สำคัญที่มาสด้าจะต้องเร่งเเก้ เพื่อให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายรับรู่ โปรดักส์ได้อย่างถูกต้องการวางราคา ขายของ มาสด้า 2 จะเห็นว่า มาสด้า ได้วางตำแหน่ง “ราคา” ตัวเองไว้ระดับ บี  คารื ระดับพรีเมี่ยม เเต่เอาเข้าจริง… ลูกค้าจะรับได้ กับ ความเป็นรถอีโคคาร์ ที่ราคากระโดด ขนาดนี้ได้หรือไม่คงต้องใช้เวลา…

ส่วนเรื่องรูปร่างหน้าตา การออกแบบของรถคันนี้ ถือว่าสวยสุด ด้วยดีไซน์โคโดะ หรือการออกแบบที่สะท้อนจิตวิญญานแห่งการเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้เราประทับใจกับรถรุ่นพี่อย่าง มาสด้า3 ที่มีทั้งความโฉบเฉี่ยว ความสปอร์ต ดุดัน โฉบเฉียว หรูหรา แน่นอน เมื่อมาสด้า ทำตคลอดมาสด้า2 ความสวยสะดุดตา เรื่อนร่าง รถคันนี้ จำลองมาสด้า3  มาเหมือนพิมพ์เเกะ เพียงเเต่ดีไซน์และขนาด ที่ผ่านการย่อส่วนมาอย่างลงตัว… ทั้งรุ่น ซีดาน และ เเฮทช์เเบค

หากเทียบกับ มาสด้า2 โฉมก่อน ถือว่า มาสด้าสอบผ่าน โดยเฉพาะรุ่น ซีดาน ที่ ช่วงด้านท้ายที่ โดง ไม่สวยสมกับความโฉบเฉี่ยวของการออกแบบในตอนหน้าและด้านข้าง ซึ่งหากจำไม่ผิดมาได้ได้แก้ปัญหา เนื่องดังกล่าวด้ยการ ลดส่วนสูงในตอนท้ายของโมเดลเก่าลงมาเล็กน้อย เเละช่วยได้พอสมควร ส่วน เเฮชท์เเบค โมเดลก่อนหน้า เรื่องการออกแบบ เรียกง่ายๆ ว่า “ไม่สุด” ในการดีไซน์ลงไปอย่างสิ้นเชิง หรือหากจะเทียบบรรดา อีโคคาร์ แอทช์แบค ที่พอฟัดพอเหวี่ยงได้ น่าจะมี โตโยต้า ยารีส ทีอาร์ ตัวเเต่ง  ที่ถือว่าออกแบบ เน้นความโฉบเฉียวพอฟัดพอเหวี่ยง เพียงเเต่ขนาดตัวของ ยารีส ดีจะหนากว่ามาสด้า2 เล็กน้อย

ส่วนรุ่นซีดาน โหวตให้มาสด้า2  มาเหนือไร้คู่เเข่งการออกแบบภายนอก ขอติงในส่วนไฟเลี้ยวท้าย ที่ออกแบบมาต้องการความโฉบเฉียว เเต่เวลาขับตามหลัง อาจจะมองไฟเลี้ยวได้ไม่ชัดเจน  เพราะมีขนาดเล็ก เป็นเส้นด้านท้าย

ภายในห้องโดยสาร มาสด้าใช้โทนสีดำเข้าช่วยขับความดุดันแปละความสปอร์ตภายในห้องโดยสารเบาะหนังสไตลล์บัคเก็ตซีท ตัดด้วยเส้นด้านสีเเดง เดินตะเข็บคู่ มาตัด กับสีดำ สะดุดตา และกระชากอารมณ์ความสปอร์ตออกมา ทั้งเบาะนั่ง และบริเวณ คอลโซลด้านหน้า แต่น่าเสียดายเเทนที่ มาสด้า จะเดิน ดายสีเเดงตัวขอบ ที่บริเวณเเผงประตู และพวงมาลัยด้วย  น่าจะช่วยให้การเคลื่อนไหวของ อารมณ์ความเร้าใจ ในห้องโดยสานไม่ไหลลื่น … จากการเดินเส้นดาย

อีกหนึ่งสิ่งที่ดูขัดเเย้งคือแผงช่องเเเอร์ บริเวณคอบโซลหน้าฝั่งคนนั้ง ที่ออกแบบมาให้เป็นเเนวนอนยาว  มองผาดๆอาจจะได้ในเรื่องของความเรียบงาน แต่โดยส่วนตัวแล้ว มองว่า คามเรียบง่ายนี้ถูกกลื่น ไปด้วยความรู้สึกว่า “เชย” แถมปุ่มกดไฟพาทสาด (ไฟฉุกเฉิน)  ที่อยู่ในระนาบเดียวกับช่องเเอร์เเนวนอน นั้น ก็ถูกกลื่นหายไป

อุปกรณ์การใช้งานอื่นๆในห้องโดยสาร  แม้ว่า จะใส่มาเต็มแต่กลับกลายเป็นสิ่งที่ “เกิน” และไม่จำเป็นต้องมีก็ได้  ซึ่งช่วยเปลี่ยนองศา การมอง ด้วยHeads-up display หน้าจอแสดงความเร็ว ที่ด้านหลังพวงมาลัย  โดยส่วนตัวเเล้วรู้สึกว่า ไม่มีก็ได้ เเถมยังเเกะกะสายตา เพราะ เเค่เข็มไมลล์ที่หน้าปัดม์ บอกความเร็วนั้น เกินพอเเล้ว

สิ่งที่ต้องชม คือการนำ ปุ่มควบคุม Center Commander มาไว้ที่ ข้างๆ ผู้ขับ  ไม่ต้องเอื้อมมือไปสั่งการไกลนัก เพียงเเค่ความคุมหมุน ควบคุม คำสั่งต่างๆ   มีเหมือนเช่นเดียวกับรถหรูอย่าง บีเอ็มดับเบิลยู ส่วนระบบการทำงาน เพื่อใช้เเผนที่นำทางผ่านระบบ การติดต่อสื่อสาร MZD Connect นั้นไสามารถทำได้ ซึ่งลูกค้าจะต้องเข้าไปติดต่อกับทมางมาสด้าเพื่ออัพเดรสข้อมูล หรือ ของซื้อเพื่อรับโหลดข้อมูลการนำทางเข้าสู่ระบบอีกครั้ง เรียกว่า ถ้าลูกค้าอยากใช้ ก็ต้องเสียเงินเพิ่ม

ถึงตรงนี้ต้องบอกว่า สำหรับคนที่กำลังมองหารถ อีโคคาร์ หรือ บี คาร์ โดยยังไม่ตั้งธงในใจว่า เป็นรุ่นอะไร ลอ งช่างน้ำหนัก และเปรียบเทียบความต้องการกับเงินในกระเป๋า แต่หากตั้งธงมาแล้วว่า ต้องเป็นมาสด้า2 ลองสาระตะ… ความคุ้มค่า กับความต้องการแต่หากจะให้เเนะนำ แค่  รุ่นเริ่มต้น นั้นถือว่าน่าเพียงพอแล้ว

suzuki-ciaz

Review Suzuki Ciaz RS อีโค่คาร์ สปอร์ตพร้อมต่อกร “ยาริส”

ซีดาน ชื่อชั้นของรถ อีโคคาร์ จากค่าย ซูซูกิ ถือว่าถูกใจใครหลายคน โดยเฉพาะในรุ่น  สวิฟท์ ที่เปิดตัวมาก็สร้างปรากฏการณ์ยอดจองถล่มทลาย แม้จะรอนานแค่ไหนลูกค้าก็ยอมรอ ขณะที่รุ่น เซเลริโอ แม้จะไม่เปรี้ยงปร้างแต่ก็มีขายได้เรื่อยๆ และอีกหนึ่งรุ่นที่ได้รับความนิยมไม่แพ้รุ่นอื่นๆก็คือเซียส รถ อีโคคาร์ แบบ ซีดาน ที่มีจุดเด่นอยู่ที่ไซส์ตัวถังขนาดใหญ่

เพื่อมาต่อกรกับตลาดรถแบบประหยัด สู้กับ ยาริส ที่เป็นเจ้าตลาดของรถประเภทนี้  และล่าสุดในช่วงปลายปีที่แล้วค่ายซูซูกิ ก็จับเอาเซียสมาแต่งหล่อในรุ่นพิเศษ เซียส อาร์เอส ซึ่งความพิเศษของรถรุ่นนี้ที่แตกต่างจากรุ่นปกติ

ภายนอก

เริ่มตั้งแต่กระจังหน้าโครเมียม ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ พร้อมไฟตัดหมอกคู่หน้า ตัวชุดแต่งอาร์เอสที่ให้มา ก็มีชุดสปอยเลอร์ที่ประกอบไปด้วย สเกิร์ตหน้า ,สเกิร์ตข้าง,สเกิร์ตหลัง และตัวสปอยเลอร์หลังสไตล์สปอร์ตพร้อมไฟเบรกดวงที่สาม ส่วนล้ออลูมิเนียมอัลลอยด์มีขนาด 16 นิ้ว และที่ขาดไม่ได้คือสัญลักษณ์ RS ที่บ่งบอกความเป็นรุ่นพิเศษรุ่นนี้ โดยรวมๆถ้าดูจากดีไซน์ภายนอกก็ถือว่าสปอร์ตขึ้นมาอีกนิด หล่อ-สวยขึ้นมาอีกหน่อย

ภายใน

โฉบเข้ามาดูภายในห้องโดยสารกันดูบ้าง มองจากตาเปล่าแล้วก็ต้องบอกว่ากว้างขวาง โอ่โถง ตัวเบาะ เช่นเดียวกับพวงมาลัยสามก้านก็หุ้มหนัง โดยพวงมาลัยสามารถควบคุมระบบเครื่องเสียงและเชื่อมต่อระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์ไร้สายได้ ส่วนแผงหน้าปัดมาตรวัดตรงหน้าก็ดูง่าย สบายตา เพราะตัวเลขเป็นสีขาวเรืองแสง ทางด้านอุปกรณ์ความบันเทิงอะไรต่างๆครบครันมาก โดยระบบเครื่องเสียงมาพร้อมลำโพง 4ตัว เล่นได้ตั้งแต่วิทยุ,ซีดี,เอ็มพี3,AUX,USB และยังมีฟังก์ชั่น Suzuki Smart Connect  ที่ประกอบไปด้วยจอทัชสกรีน 7 นิ้ว รองรับระบบนำทางเนวิเกเตอร์ ,เอสดี การ์ด ,ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์ผ่านบลูธูท , และยังมีโปรแกรม Apple CarPlay ที่สามารถเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน และยังสามารถสั่งงานด้วยเสียง หรือปลายนิ้วสัมผัสที่หน้าจอ สามารถดูแผนที่ หรือจะรับสายโทรเข้า โทรออก รับส่งข้อความ ฟังเพลงต่างๆได้

สลับมาที่ห้องโดยสารด้านหลัง โดยรวมถือว่ากว้างขวาง ไม่อึดอัด ตัวเบาะนั่งสบายไม่ว่าจะนั่ง สองคนหรือสามคน  พื้นที่วางขามีเหลือเหลือไม่ติดเบาะด้านหน้า และมีที่พักแขนพร้อมที่วางแก้ว ทำให้รวมๆแล้วที่วางแก้วในรถคันนี้มีมากถึง 8 จุด และที่โดดเด่นอีกประการคือพื้นที่เก็บสัมภาระท้ายรถที่จุของได้เยอะมาก อ่านจากข้อมูลสเปคพบว่าจุได้ถึง 565 ลิตร

เครื่องยนต์

ในส่วนของเครื่องยนต์สำหรับรถรุ่นนี้มาพร้อมกับความจุ 1,242 ซีซี . รหัส K12B 4 สูบ 16 วาล์ว กำลังสูงสุด 91 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 118 นิวตัน-เมตร ที่ 4,800 รอบต่อนาที มิติตัวรถ ความยาวอยู่ที่ 4,505 มม. ความกว้าง 1,730 มม. และความสูง 1,475 มม. โดยมีให้เลือก 3 สีด้วยกันคือแดง Ablaze Red Pearl  ,ขาว Snow White Pearl,ดำ Super Black Pearl เคาะราคาอยู่ที่ 675,000 บาท

เรียกได้ว่าเป็นรถที่คุ้มค่าคุ้มราคา ด้วยตัวอุปกรณ์อะไรต่างๆนาๆที่ใส่เข้ามากับราคาขนาดนี้ ใครที่งบน้อย หรือ เป็นวัยเริ่มต้นการทำงาน หรือ จะซื้อเป็นรถคันแรกของตัวเอง ก็ต้องบอกว่าซูซูกิ เซียส อาร์เอส น่าจะตอบโจทย์และคุ้มค่าที่สุด

อีโค่คาร์สปอร์ตกับจาก Suzuki

ถือเป็นรถที่ได้ทั้งรูปลักษณ์และอรรถประโยชน์ใช้สอยที่คุ้มค่าอย่างมาก โดยความโดดเด่นที่ต้องให้คะแนนก็ต้องยกให้ห้องโดยสารที่กว้างขวางโอ่อ่า และอุปกรณ์ตกแต่งที่ไม่มากไป ไม่น้อยไป ทำให้รถดูหล่อขึ้น หนุ่มขึ้น ส่วนอุปกรณ์ภายในที่ใส่เข้ามาแบบจัดเต็มและการตั้งราคาขายหลักหกแสนกว่าๆ ก็ยิ่งทำให้รถรุ่นนี้คุ้มค่าคุ้มราคามาก ฟันธง!!

toyota-camry-esport

Review Toyota Camry Esport หล่อ…เข้ม…กระชากใจ!!

สารภาพว่าแว่บแรกที่ได้เห็นโตโยต้า คัมรี่ เอสสปอร์ต คันสี่แดงจอดโชว์อยู่….ถึงกะร้องว้าว!!!

ไม่น่าเชื่อว่ารถในกลุ่มนี้ เซ็กเมนต์นี้จะถูกแต่งองค์ทรงเครื่องจากหนุ่มใหญ่ มาเป็นหนุ่มน้อยได้ แถมดูเป็นหนุ่มเข้ม กระเป๋าหนัก กระชากใจสาวน้อย สาวใหญ่ได้ไม่ยาก !!

ถามว่าอะไรมาดึงดูดใจให้เพ้อพร่ำพรรณนาขนาดนี้ ก็เอาเป็นว่ารถคันนี้โดดเด่นตั้งแต่กระจังหน้า ที่ไม่เหมือนกับรุ่นคัมรี่ในรุ่นปกติ โดยกระจังหน้าโครเมียมรมดำดูดุเข้ม แบบ Sport Type ส่วนไฟหน้าโปรเจคเตอร์รมดำเช่นเดียวกัน และที่ดูสวยเฉี่ยวคือไฟ Daytime Running Lights แบบ LED ไล่เลียงมาด้านข้างจะเห็นล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว และเส้นสายการออกแบบที่ดูมีมิติ พอมาถึงบั้นท้ายก็จะเห็นไฟท้ายและสปอยเลอร์หลังแถมด้วยท่อไอเสียคู่ Dual Muffler ให้อารมณ์สปอร์ตสุดๆ

มาสำรวจภายในห้องโดยสารกันบ้าง แต่เดิมเมื่อเปิดประตูเข้ามาดูภายในของคัมรี่ในรุ่นปกติจะพบกับความหรูหรา สุขุม นุ่มลึก อะไรประมาณนั้น แต่พอมาเป็นคัมรี่ เอสสปอร์ต ก็แน่นอนว่ามันต้องสปอร์ต ดิบๆดุดัน ( แต่เอาจริงๆรู้สึกว่ามันกระด้างๆแข็งๆไม่สวยยังไงไม่รู้ ) โดยภายในของรถรุ่นนี้ที่โดดเด่นสุดคือเบาะหนังคู่หน้า ที่เป็นทูโทน ตะเข็บขาว ซึ่งตามปกติอะไรที่เป็นสปอร์ตๆเรามักจะเห็นตะเข็บด้ายแดง แต่รุ่นนี้เก๋กว่า ไม่เหมือนใครด้วยตะเข็บขาว!! ตัวเบาะเป็นหนังที่ออกแบบมาให้โอบกระชับ ไม่ลื่น นั่งสบาย มีระบบบันทึกตำแหน่งของผู้ขับขี่ พวงมาลัยปรับไฟฟ้าและกระจกมองข้าง ส่วนเบาะหลังก็กว้างขวาง นั่งสบาย และยังแยกพับ 60:40 ปรับใช้งานได้ใจชอบ

ความเป็นสปอร์ตของรถรุ่นนี้ยังไม่หมด โดยพวงมาลัยเป็นแบบหุ้มหนัง 3 ก้านทรงสปอร์ต  พร้อมสารพัดปุ่มควบคุม อาทิ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control  ,ปุ่มควบคุมเครื่องเสียง จอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ และระบบเชื่อมต่อ Hand-free ไร้สาย Bluetooth ,ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย Paddle Shift นอกจากนั้นแล้วชุดแป้นเหยียบคันเร่งและเบรกก็เป็นแบบสปอร์ตเช่นเดียวกัน

ส่วนคอนโซลตรงกลางมีแอร์อัตโนมัติ อิสระแยกซ้าย-ขวา ไล่ลงมาจะเจอจอทัชสกรีน ขนาด 7 นิ้ว รองรับระบบนำทางและรองรับสมาร์ท จี บุ๊คของโตโยต้า นอกจากนั้นแล้วยังมีระบบเครื่องเสียงรองรับทั้งวิทยุ ซีดี ดีวีดี USB AUX Bluetooth และมีลำโพง 6 ตำแหน่ง ไม่เพียงเท่านั้นยังมี Wireless Charger ระบบชาร์จสมาร์ทโฟนแบบไร้สาย และที่เกือบจะลืมบอกไปในรุ่นนี้ก็คือ มีหลังคามูนรูฟเพิ่มความเก๋ไก๋เข้ามา

ถือเป็นข้อมูลแบบหอมปากหอมคอในแง่ของดีไซน์ ภายในภายนอก รวมไปถึงอุปกรณ์ต่างๆส่วนข้อมูลด้านสมรรถนะนั้น มาพร้อมกับรหัสเครื่องยนต์ 2AR-FE แบบ 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว Dual VVT-I ความจุกระบอกสูบ 2.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 184 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 235 นิวตัน-เมตร ที่ 4,100 รอบต่อนาทีและระบบส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดพร้อมSequential Shift  โดยมีให้เลือกเป็นเจ้าของ 7 สี ได้แก่ Red Mica Metallic,Light Blue Mica Metallic,Dark Blue Mica Metallic, Diamond White,Silver Metallic ,Gray Metallic และ Attitude Black Mica
สนนราคาตอนเปิดตัวอยู่ที่ 1.639 ล้านบาท (ราคาหลังวันที่ 1 ม.ค. 2559 อาจจะปรับตามภาษีใหม่ )

โดยสรุปหากพูดถึงดีไซน์การออกแบบรูปลักษณ์หน้าตาก็ต้องบอกว่าถูกใจ เพราะดูกระชากวัยลงมาจากหนุ่มใหญ่มาเป็นหนุ่มน้อย แถมยังนำเข้ามาจากออสเตรเลีย ยิ่งทำให้ผู้ที่เป็นเจ้าของดูพราว์ด เพราะเป็นลิมิเต็ด อิดิชั่นอะไรประมาณนั้น แต่ที่ไม่ค่อยถูกใจเท่าไรคือภายในที่ดูดิบกระด้างไปหน่อย แต่ในแง่ความสะดวกนั่งสบายก็ต้องยกให้ ส่วนสมรรถนะจะเป็นอย่างไร จะตอบสนองถูกใจหรือไม่ก็ต้องลองไปทดลองขับกันดูที่โชว์รูมโตโยต้า!!

mg-6

รีวิว MG6 ปรับลุคใหม่ หวังแจ้งเกิดให้ได้กับรถซีดานเมืองไทย

เริ่มจะได้เห็นรถแบรนด์เอ็มจีในบ้านเรามากขึ้น โดยเฉพาะในรุ่นน้องเล็กอย่าง เอ็มจี 3 ที่มีเอกลักษณ์ สไตล์สีสันสดใส ถูกใจวัยรุ่น อย่างไรก็ตามในรุ่นพี่ใหญ่ เอ็มจี 6 ที่เปิดตัวนำร่องทำตลาดก่อนกลับไม่ได้รับความนิยมมากเท่าไร ดังนั้นทางเอ็มจีจึงต้องมีการแต่งองค์ทรงเครื่องกันใหม่หวังเอาใจลูกค้าคนไทย และเพื่อกระตุ้นยอดขายรถในรุ่นนี้ให้คึกคักเหมือนรุ่นน้องบ้าง

ก่อนจะไปสัมผัสกับรถรุ่นใหม่ ก็ขอนำเสนอข้อมูลเทคนิคของเอ็มจี 6 กันก่อน โดยในรุ่นใหม่นี้มาพร้อมเครื่องยนต์เทอร์โบ ขนาด 1.8 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุถึง 161 แรงม้า (118 กิโลวัตต์) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 215 นิวตัน-เมตรที่ 2,000-4,500 รอบ/นาที รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 พร้อมกับเกียร์อัตโนมัติแบบ 6 สปีด DCT (Dual Clutch Transmission)

ทราบข้อมูลเทคนิคกันพอหอมปากหอมคอ ก็ได้เวลาไปสัมผัสกับเอ็มจี 6 ใหม่ โดยทันทีที่ได้เห็น แอบคิดเล็กน้อยว่า…เปลี่ยนตรงไหน!!! สารภาพว่าแว่บแรกคิดแบบนี้จริงๆ คือดูแล้วไม่ต่างจากรุ่นเดิมสักเท่าไร พอมาดูบั้นท้าย…ก็คล้ายคลึงแบบเดิมน่ะ และเพื่อคลายข้อสงสัยของตัวเองก็เลยเริ่มสำรวจอย่างถี่ถ้วนแบบใกล้ชิด

ว่าแล้วก็เริ่มตั้งแต่รูปลักษณ์หน้าตาด้านหน้ากันก่อน เมื่อมาดูใกล้ๆก็เริ่มเห็นจุดที่เปลี่ยนแปลง (เล็กน้อย) โดยไฟหน้าในรุ่นปรับโฉมใหม่ครั้งนี้เป็นแบบ Bi-Xenon HID ดูทันสมัยและมีประโยชน์ในแง่การส่องสว่างที่มากขึ้นและมุมด้านล่างลงมาเล็กน้อยของไฟหน้าจะมี Headlight Washer หรือระบบหัวฉีดน้ำล้างไฟหน้า อันนี้ถือว่าโอเคเลยเพราะจะช่วยทำความสะอาดและล้างไฟหน้า เพิ่มความปลอดภัยและส่องสว่าง

นอกจากนั้นสิ่งที่น่าสนใจในมุมมองด้านข้างนี้อีกอย่างคือลวดลายของล้อแมกซ์ ดูดุดันกว่ารุ่นเดิม เพราะตัวเดิมดูมีความอ่อนฉ้อยสวยงามไฉไลมาก พอมาถึงบั้นท้ายของรถคันนี้ สารภาพตามตรงๆ เลยว่าไม่ค่อยรักไม่ค่อยเลิฟเท่าไร พยายามจะเพ่งมองทั้งใกล้ทั้งไกล ก็ไม่ค่อยถูกใจกับดีไซน์บั้นท้าย มีความรู้สึกว่าไฟท้ายดูเล็กๆ ดูไม่บาลานซ์กับบอดี้รถยังไงไม่รู้ ยังดีที่มีสปอยเลอร์หลัง ไฟตัดหมอก และตัวท่อที่ปลายท่อเป็นสเตนเลสให้อารมณ์สปอร์ต ทำให้ดูดีขึ้นมาหน่อย เข้ามาสำรวจภายในกันดูบ้าง โดยมุมมองรวมๆ ถือว่ากว้างขวาง ยิ่งหากภายในเป็นสีเบจ ห้องโดยสารจะดูสว่าง โล่ง แต่เมื่อเลือกห้องโดยสารโทนสีดำ ก็จะให้อารมณ์สปอร์ต ตัววัสดุ อุปกรณ์ต่างๆหรือการประกอบดูดี สมราคา  ตัวเบาะของผู้ขับขี่สามารถปรับได้ด้วยระบบไฟฟ้า 6 ทิศทาง เช่นเดียวกับผู้โดยสารคู่หน้าหากเป็นรุ่นท็อปก็สามารถปรับไฟฟ้าด้วย ตัวเบาะแถวหลัง พนักพิงปรับได้ 60:40 พับราบเป็นแนวเดียวกันเพิ่มพื้นที่ในการจัดเก็บของได้มากขึ้น

พวงมาลัยของรถรุ่นนี้เป็นแบบมัลติฟังก์ชั่น ปรับได้ 4 ทิศทาง ตัวหน้าจอแสดงผลการทำงานด้านหน้ามองง่าย เรือนไมล์เรืองแสงสีขาวตัดกับสีแดง ไล่สายตามาตรงกลางห้องโดยสาร มีจอทัชสกรีนขนาด 7 นิ้วที่สามารถทำหน้าที่เป็นเนวิเกเตอร์ มีระบบนำทาง หรือจะโชว์ภาพจากกล้องหลัง หรือด้านความบันเทิงก็ทำได้หมดทั้งซีดี เอ็มพี3 วิทยุ รองรับ USB และ AUX มาพร้อมลำโพง 8 ตำแหน่ง และยังสามารถเชื่อมต่อบลูธูทกับระบบสมาร์ทโฟนได้ ไม่เพียงเท่านั้น พระเอกที่ทางเอ็มจีมีการพราว์ด ทู พรีเซ้นต์มากก็คือการพัฒนาระบบ inkaNet ที่เป็นระบบอัจฉริยะ เชื่อมต่อระหว่างรถกับเจ้าของรถ โดยจะเชื่อมต่อกันผ่านระบบโทรศัพท์ ทำให้เจ้าของรถได้รู้สถานะว่ารถเป็นอย่างไร อาทิ ปิดประตูสนิทไหม กำลังไฟพอหรือเปล่า หรือน้ำมันเหลือเท่าไร รวมไปถึงยังควบคุมการทำงานของรถได้ อาทิ สั่งล้อกหรือปลดล้อก ค้นหารถด้วยระบบ Find My Car อีกทั้งยังมีสามารถเตือนความผิดปกติของรถได้ โดยระบบจะแจ้งเตือนเข้ามาในเอสเอ็มเอส ยกตัวอย่างที่จะแจ้งเตือน ก็คือ รถมีการเคลื่อนที่ผิดปกติ หรือรถมีการสตาร์ทเครื่องยนต์อยู่

เรียกได้ว่าหาจุดขายมาพร้อมรบครั้งใหม่ ซึ่งผลการตอบรับจะเป็นอย่างไรก็ต้องคอยติดตามกันดู แต่ในแง่ภาพรวมๆหลังจากได้สัมผัสกับเจ้าเอ็มจี 6 ใหม่ก็ต้องบอกว่า ดีไซน์ภายนอกไม่ได้ขี้เหร่ แต่หากเทียบกับคู่แข่งอื่นๆที่มีอยู่ในตลาดแล้วก็อาจจะเป็นรองแน่นอน ส่วนเรื่องภายในก็ทำได้ดี แถมระบบต่างๆที่พยายามใส่เข้ามาก็ถือเป็นการเพิ่มแวลูให้รถรุ่นนี้ดูดีมากขึ้น เอาเป็นว่าลูกค้าที่ยังลังเลใจหรือยังไม่รู้จักกับแบรนด์นี้ ก็ลองเข้าไปแวะชมและทดลองขับกันได้ที่โชว์รูมของเอ็มจีทั่วประเทศ

โดยเอ็มจี 6 มีให้เลือก 5 สีได้แก่ สีขาว Arctic White, สีดำ, สีแดง, สีเงิน และสีเทา ส่วนในรุ่นฟาสต์แบ็ค มีสีพิเศษตัวถังขาว Arctic White หลังคาดำ เอาใจพวกชอบแต่งรถให้ดูเป็นสปอร์ต

สนนราคาของเอ็มจี 6 ใหม่ มีด้วยกัน 2 แบบให้เลือก คือฟาสต์แบ็ค (Fastback)
รุ่น 1.8 C 828,000 บาท
รุ่น 1.8 D 908,000 บาท
รุ่น 1.8 D Sunroof 938,000 บาท
รุ่น 1.8 X 1,008,000 บาท
และรุ่น 1.8 X Sunroof 1,038,000 บาท

ส่วนในรุ่น ซีดาน (Sedan) เริ่มต้นที่
รุ่น 1.8 C  818,000 บาท
รุ่น 1.8 D 898,000 บาท
รุ่น 1.8 D Sunroof 928,000 บาท
รุ่น 1.8 X 998,000 บาท
และรุ่น 1.8 X Sunroof 1,028,000 บาท

ถือเป็นความพยายามของเอ็มจี ที่ต้องการจะผลักและดัน เอ็มจี 6 ให้สามารถแจ้งเกิดในบ้านเรา แต่มุมมองรวมๆการดีไซน์แม้จะเป็นการปรับโฉมใหม่ แต่เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับคู่แข่งในตลาดที่มีจุดแข็งทั้งในแง่ของแบรนด์ ดีไซน์ และแฟนเฉพาะกลุ่มแล้วก็ต้องถือว่าเป็นการบ้านที่หนักหนา อย่างไรก็ตามก็ต้องให้คะแนนความพยายาม โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาสวมใส่เพื่อเชื่อมต่อระหว่างผู้ขับขี่และรถ ก็ถือเป็นการอำนวยความสะดวกและให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของผู้คนในยุคนี้

suzuki-ciaz

Review Suzuki Ciaz – หรูหราเหนือระดับฉีกคำนิยาม ECO Car

Suzuki Ciaz (ซูซูกิ เซียส) แม้จะเป็นอีโคคาร์ 4 ประตู แต่ด้วยขนาดที่เห็นแล้ว ต้องบอกว่าไม่ได้ด้อยไปกว่ารถขนาดบี-เซ็กเมนต์เลยแม้แต่น้อย  แถมยังอาจจะใหญ่กว่าในบางรุ่นเสียด้วยซ้ำ แล้วอย่างนี้ เครื่องยนต์ขนาด 1.25 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว ที่ให้กำลังสูงสุด 91 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 116 นิวตัน-เมตร บล็อกเดียวกับซูซูกิ สวิฟท์ จะนำพาขนาดที่ใหญ่โตกว่าเยอะไปได้หรือ หลังจากขึ้นไปนั่งในตำแหน่งคนขับ กดปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ พร้อมออกเดินทาง

กำลังในช่วงออกตัวดูดีน่าสนใจ บางจังหวะกดแรงไปนิด ถึงกับหลังติดเบาะ เพิ่มน้ำหนักที่คันเร่งมากขึ้น ความเร็วตามมาในทันที ไต่ระดับความเร็วขึ้นไปจนถึง 120 กิโลเมตต่อชั่วโมง ได้แบบชิล ชิล ด้วยความไหลลื่นของเครื่องยนต์ และช่วงล่างที่ให้ความมั่นคง เลยมั่นใจเพิ่มความเร็วขึ้นไปอีก แต่กาลกลับกลายว่า ช่างล่างค่อนข้างลอย จนต้องใช้สมาธิเพิ่มขึ้นอย่างมาก อีกทั้งเพิ่มน้ำหนักที่มือ  เพื่อควบคุมตัวรถให้ไปไม่สั่นไหวจนเกินไป เกียร์อัตโนมัติ CVT ทำงานได้ค่อนข้างราบรื่นในจังหวะทำความเร็วไปเรื่อยๆ

ไม่มีอาการกระตุกให้ได้รู้สึก จะมีตอนถอนคันเร่งในช่วงรอบเดินเบา ความเร็วต่ำ มีอาการสะอึกนิดหนึ่ง คราวแรกไม่แน่ใจ ลองดูใหม่ ยังคงเป็นอยู่ แสดงว่าเป็นบุคลิกจริง  แม้จะรูปร่างใหญ่โต แต่ความคล่องตัวในการใช้ในตัวเมือง ยังคงมีให้อย่างเต็มที่ ด้วยกำลังของเครื่องยนต์ที่เรียกมาใช้ในช่วงตีนต้นได้ดี และช่วงล่างที่ให้ความมั่นคงในการเปลี่ยนเลน หลบหลีกเพื่อนร่วมทางได้ค่อนข้างดี ดีไซน์ของ ซูซูกิ เซียส เน้นความโอ่อ่าภูมิฐาน สอดคล้องกับขนาดที่ใหญ่โต ไฟหน้าแบบโปรเจ็คเตอร์ สอดรับกับกระจังหน้าแถบห้าเส้น ที่มีโลโก้ขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง กันชนหน้าขนาดใหญ่พร้อมไฟตัดหมอก เส้นสายด้านข้างไหลลื่นต่อเนื่องถึงท้าย

ไฟท้ายเรียบหรู บางมุมดูคล้ายรถซีดานหรู ภายในออกแบบให้ดูเรียบเนียน อาจจะด้วยเพราะลูกค้าเป้าหมายเป็นกลุ่มครอบครัว พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น เพื่อไม่ต้องละสายตาจากถนน ชุดเครื่องเสียงรองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ภายนอก ผ่านช่องเชื่อมต่อ AUX  และ USB ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ ควบคุมความเย็นได้ทั่วถึงทั้งห้องโดยสาร แม้ช่องแอร์หลังไม่มีก็ตาม เข้าไปนั่งด้านหลังเป็นผู้โดยสาร อนุมานตัวเองว่าเป็นผู้บริหารหนุ่มมาดเท่ พื้นที่วางเท้ามีให้อย่างเหลือเฟือ ขนาดภายนอกทีมองว่าใหญ่

บอกเลยว่างานนี้ซูซูกิ เซียส ใหญ่จริง เพราะมีหลายครั้งหลายคัน ที่ดูภายนอกใหญ่โตมโหฬาร แต่พอเข้าไปนั่งด้านหลัง กลับอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก เบาะนั่งนุ่มสบาย แต่สั้นไปนิดรองรับต้นขาไม่เต็มที่ นั่งระยะทางนานๆ อาจมีเมื่อย พนักพิงเบาะนั่งหลังตรงกลาง มีท้าวแขนให้ดึงออกมาใช้งาน และยังเป็นที่วางแก้วน้ำอีกด้วย

เติมเต็มความสบาย และหรูหราได้มากยิ่งขึ้น  ความนุ่มนวลของซูซูกิ เซียส ด้วยช่วงล่างหน้าแม็คเฟอร์สัน สตรัท หลังทอร์ชั่นบีม พร้อมเหล็กกันโคลง ทำให้ไม่ว่าจะเป็นการขับผ่านหลุมบ่อ เนินลูกระนาด หรือคอสะพาน  เบาะนั่งด้านหลังไม่มีอาการกระเด้งกระดอนเลยแม้แต่น้อย และรวมถึงจังหวะเลนเชนจ์ ที่แม้จะมีอาการเหวี่ยงอยู่บ้าง แต่ถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับความยาวของตัวรถด้วยความซนส่วนตัว ระหว่างนั่งเบาะหลังว่างๆ เลยล้วงแคะแกะเกาไปเรื่อย ปรากฎว่าพบกับสิ่งที่น่าสงสัย ทำไมถึงไม่ทำให้เนียนกว่านี้ คือกำมะหยี่ที่ปิดหลังคาด้านในช่วงลาดเสาซี หรือตรงรอยต่อกระจกหลัง
เมื่อลองกดดูมีอาการยุบตัว ประมาณว่าไม่เป็นเนื้อเดียวกับเหล็กหลังคา เหมือนจุดอื่นๆ แต่ดูแล้วไม่น่าใช่ติดตั้งผิดพลาด เพราะไม่ได้ล่อนหลุดออกมา

Mazda-CX-3

ดีจริงหรือไม่ กับ Mazda CX-3 อยากรู้ไปดูกัน

ต้องยอมรับว่า กระแสรถครอสโอเวอร์ขนาดเล็ก หรือ บีเอสยูวีในบ้านเรานั้นมาแรงจริงๆ หลังจาก นิสสัน จู๊ค ได้สร้างกระแสให้กับคนที่เบื่อรถยนต์ บีคาร์ ซีคาร์ทั่วไป และก็ยังเอื้อมไม่ถึงที่จะก้าวไปสู่ตลาดรถยนต์เอสยูวี

บวกกับรูปร่างหน้าตาการดีไซน์ของรถประเภทนี้สามารถใส่ลูกเล่น เข้าไปได้ทั้งความโฉบเฉี่ยวแบบมีดีไซน์ในสไตล์ที่แตกต่าง ก่อนที่จะตอกย้ำความสำเร็จด้วยยอดจองถล่มถลาย จากรถ ฮอนด้า เอชอาร์-วี ที่ยิ่งทำให้ความร้อนแรงของรถประเภทนี้ในบ้านเราได้รับการยอมรับที่กว้างขวางเพิ่มมากขึ้น

ล่าสุดกับค่ายซูมซูมที่เพิ่งทำคลอด สปอร์ต ครอสโอเวอร์น้องใหม่ หมาดๆ สำหรับตลาดบ้านเรา ที่ต้องบอกว่าให้หมาดๆ สำหรับตลาดบ้านเรา เพราะรถคันนี้ “มาสด้า ซีเอ็กซ์ 3 เปิดตัวออกสู่ตลาดโลกมาสักระยะ

Mazda CX-3

ก่อนที่มาสด้าประเทศไทยจะตัดสินใจนำรถคันนี้เข้ามาผลิต และทำตลาดในบ้านเรา ด้วยหวังว่าจะดึงความต้องการจากกลุ่มลูกค้าที่ต้องการอัพเกรดจากบีคาร์ขึ้นมา  แต่ยังก้าวไปไม่ถึงรถเอสยูวี และกลุ่มซีคาร์ ต้องการเปลี่ยนแนวหันหน้ารถเอสยูวี ซึ่งมาสด้าเชื่อว่า ซีเอ็กซ์ 3 คันนี้ คือคำตอบ…

ชื่อชั้นเรื่องการออกแบบ ภายใต้แนวคิด โคโดะ ดีไซน์ ของมาสด้า นั้นถือว่ากินขาด… สวย สะดุดตา ทุกเจเนเรชั่น ตั้งแต่ มาสด้า ซีเอ็กซ์ 5  มาสด้า 2 มาสด้า 3 และ ซีเอ็กซ์ 3 คันนี้ ถือว่าไม่ผิดหวังจริงๆ พร้อมสะกดทุกสายตา มองแว๊บ… บางความรู้สึกรถคันนี้ถือมาสด้า 2 ยกสูงนั่นเอง

ซีเอ็กซ์ 3 มีให้เลือก 2 เครื่องยนต์หลักคือ 2 ลิตร เบนซิน สกายแอคทีฟจี  และเครื่องยนต์ดีเซล 1.5 ลิตร สกายแอคทีฟดี ตอนนี้เราจะนำเสนอในรุ่น 2 ลิตร สกายแอคทีฟ เบนซิน ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์แบบ 2.0 แถวเรียง 4 สูบ 16 วาล์ว แรงม้าสูงสุด 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสุงสุด 2,800 รอบต่อนาที เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด รับน้ำมันสูงสุดได้ถึง อี 85

ไม่พูดพร่ำทำเพลงสำหรับเจ้าซีเอ็กซ์ 5 คันนี้ ความจัดจ้านจองเครื่องยนต์ บวกกับเทคโนโลยี สกายแอคทีฟ ที่ใช้นวัตกรรมการออกแบบตัวรถยนต์วัสดุ ช่วยเข้ามาช่วยทั้งเครื่องยนต์ โครงสร้างตัวถัง เกียร์ และแชสซีย์ ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมอันเหนือชั้นของมาสด้า ช่วยในเรื่องของอัตราความประหยัดน้ำมันไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม แต่ยังคงไว้ซึ่งขุมพลัง ทำให้รถในตระกูลสกายแอคทีฟคงไว้ซึ่งความแรง และความประหยัดในรถคันเดียวแต่โดยส่วนตัว นั้นชื่นชมในเทคโลยีสกายแอคทีฟ เพียงแต่ คาใจเรื่องให้น้ำหนักตัวรถในจังหวะที่วิ่งทำความเร็ว ของรถมาสด้า สกายแอคทีฟนั้น มีความรู้สึกว่ารถเบา และจังหวะให้รู้สึกโหวงๆไปบ้าง

แต่สำหรับเจ้าซีเอ็กซ์ 3 ด้วยสไตล์ของครอสโอเวอร์ ที่มีขนาดความสูงไม่มาก ทำให้การขับขี่ยึดเกาะถนนค่อนข้างดี บวกกับขุมพลังของเครื่องยนต์ จังหวะการขับเข้าโค้งทำได้คล่องตัว สนุกสนาน ในด้านหลังพวงมาลัยเพิ่มควาแต่หากเข้าไปนั่งในตำแหน่งผู้โดยสาร ทางขับขึ้น ลงเขา คดโค้ง จะสัมผัสอาการเหวี่ยงโยนภายในห้องโดยสารได้มากกว่าปกติ

Mazda CX-3

ด้วยดีไซน์ของรถที่เน้นความโฉบเฉียว สปอร์ต  หากเข้าไปนั่งที่ห้องโดยสารด้านหลัง อาจจะรู้สึกคับแบบ ทั้งเฮดรูมและเลครูม ไม่เหมาะสำหรับการโดยสารระยะทางไกล ส่วนเพื่อที่เก็บสัมภาระด้านหลัง แค่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ขนาด 28นิ้ว   ไว้ใบเดียวก็เต็มพื้นที่

แต่หากต้องการเพิ่มที่ที่บรรจุของ โดยไม่มีผู้โดยสารด้านหลัง สามารถพับเบาะโดยสารเพื่อเพิ่มพื้นที่ได้

“ขับมันส์ แต่อึดอัดไปหน่อย”

Mazda CX-3

มาสด้า ซีเอ็กซ์ 3  สวย สะดุดตา ขับสนุก ทั้งใน เมือง นอกเมือง แต่ถ้ามีผู้โดยสาร คนที่ 3 แนะนำว่า ต้องเป็นการเดินทางไม่ไกลนัก เพราะห้องโดยสารข้างหลังค่อนข้างแคบ แถม หากขับเร็วแรง โค้งเยอะ คนขับ สนุก แต่ ผู้โดยสารอาจจะเป็นทุกได้ ถ้าถามตรง ในเซกเม้นต็นี้ระหว่าง 3รุ่น คือ นิสสัน  จู๊ค ฮอนด้า เอชอาร์-วี และ มาสด้า ซีเอ็กซ์ 3 คันนี้

บอกตรง ฮอนด้า เอชอาร์-วี กินขาด ทั้งพลกำลัง ความสนุกสนานการขับขี่ ที่สำคัญ ผู้โดยสาร ทั้งเบาะหน้า เบาะหลัง นั่งสบายกว่าเห็นๆ

brio-amaze

Review Honda Brio Amaze สมการความสุข..ที่รอการเติมเต็ม!

Eco-Car (อีโคคาร์) 4 ประตูหลายรุ่น เน้นขายความใหญ่โตมโหฬาร เกินกว่าที่จะเป็นเก๋งเล็ก เพราะบางคันใหญ่กว่าคอมแพ็คคาร์เสียด้วยซ้ำ แต่นั่นไม่ใช่กับ ฮอนด้า บริโอ้ อเมซ เป็นแน่

เพราะดีไซน์ และขนาดของอีโคคาร์ 4 ประตูรุ่นนี้ ใหญ่กว่าแบบ 5 ประตู แฮทช์แบ็คเพียงเล็กน้อย เรียกว่าไม่หนีกันกี่มากน้อย คงความเป็นรถในเซ็กเมนต์เดียวกัน

เบาะนั่งดีไซน์เท่ สัมผัสแรกให้ความรู้สึกลอย ใช้เวลาสร้างความคุ้นชินพักใหญ่ ทัศนวิสัยด้านหน้า มองได้กว้างไกล พื้นที่เหนือศรีษะ มีให้เหลือเฟือ ห้องโดยสารด้านหลังกว้างขวางอยู่พอสมควร พื้นที่วางเท้ามากพอ คะเนจากสายตาแม้จะรูปร่างใหญ่โต ก็พอนั่งได้สบายๆ เบาะนั่งด้านหลัง บริโอ้ อเมซ ไม่สามารถพับแยก แต่ใส่ความหรูหราลงไป ด้วยท้าวแขนตรงกลางเบาะหลัง พร้อมที่วางแก้ว แบบพับเก็บได้ พวงมาลัยสปอร์ต 3 ก้าน จับกระชับมือ มาตรวัด 3 วง เรืองแสง พร้อมแสดงข้อมูลเกี่ยวกับรถ เครื่องเสียงแบบ 2 DIN พร้อมช่องต่อ AUX และ USB สำหรับเชื่อมต่ออุปกรณ์พกพาต่างๆ

ช่วงออกตัว แม้จะเป็นเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร 4 สูบ i-VTEC ที่ดูเหมือนจะเล็ก แต่กลับให้กำลังจี้ดจ้าดได้ใจ เรียกว่าออกตัวพร้อมๆ กัน เครื่องยนต์บล็อกใหญ่กว่ายังกินยาก เพิ่มน้ำหนักเท้า เข็มไมล์ขยับขึ้นไปเรื่อยๆ

เครื่องยนต์ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ CVT ได้เนียนอยู่พอควร จะมีบางจังหวะเช่นเร่งแซง เกียร์มีอาการกระตุกอยู่บ้างเบาๆ แต่ไม่ใช่อาการกระชาก ความเร็วปลายวันนั้นทำจนไปสุดที่เกือบ 145 กิโลเตรต่อชั่วโมง ก็ตื้ออยู่แค่นั้น จะขยี้เท่าไหร่ คิ๊กดาวน์กี่ครั้ง หรือแม้แต่ปรับเกียร์เป็นโหมดสปอร์ต ก็ได้เท่านี้

เหลือบไปดูรอบเครื่องยนต์ ด้วยเพราะเสียงที่ค่อนข้างเครียดดังมาจากใต้ฝากระโปรงหน้า เมื่อยามที่ทำความเร็วสูง พบว่า ไปแตะอยู่ที่ 6,000 รอบ/นาที ดูจะสูงไปหน่อย กับความเร็วที่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อทำความเร็วเกิน 120 กม./ชม. แล้ว รู้สึกได้ถึงอาการรถลอย ต้องเพิ่มความใส่ใจมากขึ้น รวมถึงเมื่อยามเข้าโค้งบนความเร็วสูง มีหลายโค้งที่ต้องถอนคันเร่งก่อนเวลาอันควร และบางโค้งถึงขนาดต้องแตะเบรกกันเลยทีเดียว

ส่วนความเร็วต่ำกว่านั้น ไปกันแบบชิลล์ ชิลล์ ประมาณว่าตรงกับบุคลิครถอีโค คาร์ เน้นความประหยัด เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนเมือง ที่ไม่ได้ทำความเร็วอะไรมากนัก แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยขนาดกะทัดรัด ช่วยให้ ฮอนด้า บริโอ้ อเมซ มีความคล่องตัว เพราะไม่ว่าจะจังหวะเร่งแซง หลบหลีกเพื่อนร่วมทาง ทำได้แบบเนียนๆ เป็นผลมาจากช่วงล่าง และพวงมาลัยที่แม่นยำ ช่วยให้ควบคุมรถได้อย่างมั่นใจ

ดีไซน์ภายนอก เส้นสายรอบคัน แสดงให้เห็นถึงพลัง แต่มีสไตล์โฉบเฉี่ยว โดยเฉพาะเส้น 2 เส้น ระหว่างประตูหน้า กับประตูหลัง กระจังหน้าโครเมียมสไตล์สปอร์ต กันชนหน้าสีเดียวกับตัวรถ ไฟท้าย และคิ้วโครเมียม ดีไซน์ใหม่ พื้นที่เก็บสัมภาระกระโปรงหลัง ความจุ 400 ลิตร มากพอสำหรับถุงกอล์ฟขนาดใหญ่ หรือกระเป๋าเดินทางใบเขื่อง

ขายรถ ต้องคาร์โร

Carro ได้รวบรวมแนวทางให้กับผู้ขายรถยนต์มือสอง
สามารถทำตามได้ไม่ยาก

ถ้าหากคุณกำลังมีแผนจะขายรถคันเก่า เพื่อไปถอยรถป้ายแดงคันใหม่ หรือซื้อรถมือสองจากดีลเลอร์ต่างๆ ไม่รอช้า ในบทความนี้ Carro มีขั้นตอนง่ายๆ ไม่ต้องคิดมากให้ปวดหัว ว่าจะทำอย่างไรคุณถึงจะขายรถให้ได้ไว และได้ราคาดีทีสุด

1.) ขายรถ ที่ไหนดี?

คำถามสุดฮิตที่ไม่ว่าใครที่คิดจะขายรถต้องถาม ซึ่งในปัจจุบันการขายรถมือสองมีช่องทางให้เลือกหลากหลายวีธี และไม่จำเป็นต้องออกไปตะเวนเช็กราคา และขายรถให้กับเต็นท์รถมือสองอย่างเดียวเหมือนเมื่อก่อน ซึ่งการขายรถกับเต็นท์รถมือสองไม่ใช่ว่าไม่ดีนะ แต่ตอนนี้แค่มีทางเลือกให้กับผู้ขายมากขึ้น จะได้คิดและตัดสินใจได้ดีขึ้น จะได้ไม่รู้สึกเสียใจหรือเสียดายภายหลัง

1.1 ขายให้กับดีลเลอร์รถมือสอง (เต็นท์รถมือสอง)

การขายรถให้ดีลเลอร์เป็นวิธีขายรถที่คนนิยมมากที่สุดทั้งในสมัยก่อนและปัจจุบัน เพราะการขายรถที่นี้จะสามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว สะดวกสบาย และยังเหมาะสำหรับคนที่ต้องการซื้อรถมือสองคันใหม่อีกด้วย หรือที่เรียกกันว่าการเทิร์นรถ

การเทิร์นรถ คือ การแลกเปลี่ยนรถกันแล้วเพิ่มเงินส่วนต่าง โดยจะเทรินกับดีลเลอร์หรือกับคนทั่วไปก็ได้ แต่การเทรินรถกับดีลเลอร์ ย่อมได้ราคาดีกว่า ขายรถให้กับดีลเลอร์อย่างเดียว เทิร์นรถจึงเป็นอีกทางหนึ่งที่จะทำให้ได้รถใหม่ตามต้องการได้

Tips :: ถ้าไม่เทิร์นรถกับผู้ประกอบการรถมือสอง การแลกรถกับผู้ขายรถทั่วไป ก็เป็นทางเลือกที่ดี อยู่ที่การคุยตกลงกันระหว่างเจ้าของรถทั้งสองฝ่าย

1.2 เจ้าของขายเอง (ขายให้กับบุคคลทั่วไป)

การขายรถยนต์ด้วยตัวเองเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการประกาศขายบนเว็บไซต์ หรือฝากขายผ่านคนรู้จัก วิธีนี้มีข้อดีคือสามารถกำหนดราคาเองได้ แต่อาจต้องใช้เวลา กว่าจะมีคนทั่วไปสนใจมาซื้อรถ

ขายรถที่ไหนดี

1.3 ขายรถให้กับทาง Carro

คาร์โร รู้ดีว่าก่อนที่ผู้ขายจะตัดสินใจขายรถคงต้องไตร่ตรองมาสักระยะหนึ่งแล้ว อีกทั้งการขายรถก็คงไม่เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ ปัญหาที่ตามมาหลายๆอย่างที่ทำให้ผู้ขายกังวล ทำให้เราได้คิดระบบให้การขายรถให้ได้ง่ายๆขึ้นเพื่อมาตอบโจทย์ผู้ขายโดยเฉพาะ คือ  “บริการขายรถยนต์เสร็จสิ้นภายใน 24 ชั่วโมง” หรือ “Carro Express”

โดยเราการันตีว่า ผู้ขายรถจะขายออกได้ไว ได้ราคาดี สามารถปิดการขายได้ภายใน 24 ชั่วโมง ขั้นตอนลงขายง่าย อีกทั้งยังเปิดให้บริการฟรี ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ อีกด้วย ถ้าสนใจสามารถเข้าไปเช็กราคาขายรถก่อนได้ โดยใส่ข้อมูลรถของคุณที่นี้ > https://th.carro.co/sell-car/express

 

2.) เช็ก “ราคากลางรถมือสอง”

ขั้นตอนถัดไปที่สำคัญสำหรับการขายรถยนต์ คือการเช็กราคากลางของรถมือสองนั้นเอง เพราะการดูราคารถมือสอง จะทำให้คุณสามารถตั้งราคาได้แบบเป็นกลาง และสามารถป้องกันการถูกเอาเปรียบ หรือการกดราคาได้ หรือถ้าผู้ขายรถตั้งราคาตามใจโดยมีราคาที่สูงเกินไปจะทำให้ขายออกยาก และใช้เวลานาน เผลอๆอาจจะไม่มีคนสนใจซื้อด้วยซ้ำ

ซึ่งคุณสามารถเช็กราคาผ่านเว็บไซต์รถมือสองต่างๆ เทียบกับรุ่น ยี่ห้อ ปีเดียวกันว่าคนส่วนใหญ่ตั้งราคาอยู่เท่าไร หรืออีกทางหนึ่งคุณสามารถส่งรูปและข้อมูลรถเพื่อมาเช็กราคากับทางคาร์โรได้ ฟรี ที่เพจ Facebook: Carro thailand

ขายรถที่ไหนดี

3.) เตรียมรถ “ให้พร้อมขาย”

วิธีที่จะขายรถให้ได้ง่ายที่สุด คือสภาพรถจะต้องดูดี และสมบูรณ์ เพราะว่าผู้ซื้อทุกคนก็อยากได้รถที่มีสภาพใหม่ หรือว่ารถที่สภาพดีพร้อมใช้งาน ดังนั้น คุณก็ควรที่จะนำไปทำการตรวจสภาพแบบพื้นฐาน เช่น เช็กน้ำมันเครื่อง เป็นต้น และทำความสะอาดทั้งภายในและภายนอกรถให้ดูดี

 

4.) เตรียมเอกสารของรถ

เมื่อรถของคุณพร้อมขายแล้ว เอกสารยังไม่พร้อมแล้วจะขายรถมือสองได้อย่างไรกันล่ะ คุณควรเตรียมเอกสารสำคัญเพื่อให้กับผู้ซื้อได้มั่นใจว่าเป็นรถถูกกฎหมาย เช่น สมุดคู่มือรถ ทะเบียนที่ถูกต้อง เอกสารประกันภัยรถยนต์ พรบ. สุดท้ายต้องมีเอกสารการโอนรถให้ผู้ซื้ออย่างถูกต้อง ดูการโอนที่นี่ EP.2