Old-Car-Over-7-Years-With-Insurance

ปัจจุบันนี้ รถมือสองในบ้านเราก็จัดได้ว่ามีจำนวนมาก (ซึ่งย้อนเวลาไปหลายปีก่อน รถพวกนี้ก็คือรถใหม่นั่นล่ะ) ซึ่งก็มีหลายคันที่อายุเกิน 7 ปีขึ้นไปแล้ว โดยปกติแล้วถ้าซื้อมาใช้ตั้งแต่ตอนยังเป็นป้ายแเดง ก็จะมีประกันภัยชั้น 1 ติดรถมาด้วย ซึ่งโดยปกติ ถ้าคุณต่อประกันภัยชั้น 1 กับบริษัทเดิมอย่างต่อเนื่อง และมีประวัติที่ดี ก็อาจจะต่อประกันภัยชั้น 1 ได้นานถึง 10 ปี หรือมากกว่านั้นก็ยังได้ …

ข้อดีและข้อเสียของประกันภัยชั้น 1 อย่างที่รู้ๆ กัน นั่นคือ ให้ความคุ้มครองมาก เช่น กรณีรถถูกชนแล้วหนี ซึ่งประกันภัยประเภทอื่นไม่คุ้มครอง แถมยังได้ส่วนลดทุกปี ถ้าคุณใช้รถเก๋งมือสองแบบ Compact Car ทั่วไป บางทีจ่ายค่าเบี้ยประกันไม่ถึง 1 หมื่นบาท ด้วยซ้ำ ถ้าประวัติการเคลมของคุณมีน้อยๆ นะ แต่ค่าเบี้ยประกันภัยที่ค่อนข้างสูงเช่นกัน

Old-Car-Over-7-Years-With-Insurance

แต่รถมือสองหลายคัน อาจจะไม่ได้ต่อประภันภัยชั้น 1 มานานแล้ว เมื่อเราไปซื้อรถมือสองมาจากรถบ้าน หรือรถเต็นท์ แล้วอยากที่จะทำประกันภัยชั้น 1 ก็ลำบากซะแล้ว เพราะบริษัทประกันภัย จะรับทำประกันภัยชั้น 1 กับรถยนต์ที่อายุไม่เกิน 7 ปีเท่านั้น

ประกันภัยชั้น 2+ และ 3+ จึงเกิดขึ้นมาเพื่อรองรับจุดนี้ เหมาะสำหรับรถมือสองที่มีอายุเกิน 4 ปีขึ้น ไป เพราะอะไร? ลองดูคุณสมบัติกัน …

Old-Car-Over-7-Years-With-Insurance

ความคุ้มครองประกันภัยรถยนต์ชั้น 2+

ประกันรถยนต์ชั้น 2+ ให้ความคุ้มครองใกล้เคียงกับประกันชั้น 1 ต่างกันเพียงคุ้มครองแค่อุบัติเหตุ ที่เกิดจากการชนของ “รถยนต์” เท่านั้น (ซึ่ง ถ้ามีมอเตอร์ไซค์ หรือพาหนะอื่นๆ มาชน จะไม่ได้รับความคุ้มครอง) ราคาเบี้ยประกันไม่แพงมาก เหมาะสำหรับคนที่มีเคลมน้อยๆ

สำหรับความคุ้มครอง แยกออกมาได้เป็นข้อๆ ดังนี้

– ความเสียหายต่อตัวรถ เฉพาะกรณีชนกับพาหนะทางบก
– ชีวิตและร่างกายบุคคลภายนอก รวมถึงผู้โดยสารในรถยนต์เอาประกันภัย
– ทรัพย์สินบุคคลภายนอก
– การประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล ค่ารักษาพยาบาล และการประกันตัวผู้ขับขี่
– การสูญหายและไฟไหม้ตัวรถ
– ภัยธรรมชาติ หรือ ภัยก่อการร้าย

Old-Car-Over-7-Years-With-Insurance

ความคุ้มครองประกันภัยรถยนต์ชั้น 3+

ประกันรถยนต์ชั้น 3+ ถือว่าคุ้มค่ามาก เหมาะสำหรับรถเก่าๆ หรือคนที่ไม่ได้ขับรถบ่อยๆ เท่าไหร่ เพราะเป็นประกันภัยที่เน้นจ่ายเฉพาะเราขับไปชนคนอื่นเป็นหลัก อีกทั้งถ้ารถคุณมีประวัติดี ไม่เคยเคลม เวลาต่อประกันภัย ก็ยังได้ส่วนลดประวัติอีกด้วย และเบี้ยประกันภัยก็ไม่แพงมาก

สำหรับความคุ้มครอง แยกออกมาได้เป็นข้อๆ ดังนี้

– ความเสียหายต่อตัวรถ เฉพาะกรณีชนกับพาหนะทางบก
– ชีวิตและร่างกายบุคคลภายนอก รวมถึงผู้โดยสารในรถยนต์เอาประกันภัย
– ทรัพย์สินบุคคลภายนอก
– การประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล ค่ารักษาพยาบาล และการประกันตัวผู้ขับขี่

ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของคุณแล้วล่ะครับ ถ้าจะเลือกทำประกันภัยแบบไหน เอาตามงบที่มี หรือเอาตามเงื่อนไขความคุ้มครอง ล้วนแล้วดีทั้งหมดครับ

—–

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก จส.100

5-Ways-if-You-Forget-Key-Car

ความขี้ลืมของคนเรานั้น เกิดขึ้นได้เสมอ บางทีเรื่องที่กำลังนึกคิดอยู่ไม่ทันไร อ้าว! ลืมไปซะแล้วว่าต้องทำอะไรบ้าง สิ่งเหล่านี้มีให้เห็นอยู่เสมอ ไม่เว้นแม้แต่การลืมกุญแจรถก็เช่นกัน บางทีก็อาจจะทำหล่นในรถ หรือทำหล่นตามสถานที่ต่างๆ …

แต่เมื่อคุณลืมกุญแจรถ หรือ กุญแจรีโมท ขึ้นมาแล้ว จะต้องทำอย่างไรบ้าง มาดูกันครับ

5-Ways-If-You-Forget-Key-Car

1. ตั้งสติ

พยายามตั้งสติ นึกก่อนว่าเราไปลืมไว้ตรงไหน หรือจุดใด หรือเปล่า อย่าเพิ่งตกใจ ค่อยๆ คิดก่อน

2. กุญแจสำรอง

ตามปกติแล้ว รถทุกคันจะมีกุญแจสำรองมาให้ 1 ดอก หรือบางคน อาจจะไปทำกุญแจสำรองเพิ่มมากกว่า 1 ดอก ก็มี ถ้าเกิดคุณขับรถออกไปทำธุระที่ไม่ไกลจากบ้านนัก กลับไปเอากุญแจสำรองมาไขก่อนดีกว่า หรือวันหลังถ้ากลัวลืมอีก ก็ลงทุนปั้มกุญแจสำรองอีก 1 ดอก พกติดตัวไว้ในกระเป๋าสตางค์เลยก็ได้

5-Ways-If-You-Forget-Key-Car

ภาพจาก thaicop.blogspot.com

3. ตามช่างกุญแจ หรือบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน

ถ้าเกิดลืมกุญแจขณะจอดรถอยู่ในที่ย่านชุมชน ลอง Search หาช่างกุญแจในมือถือดู หรือเดินหาดูว่าตรงไหนมีช่างกุญแจอยู่บ้างหรือเปล่า เพราะช่างกุญแจหลายคนมีทักษะในการเปิดประตูรถได้ (ซึ่งบางคน สามารถใช้เพียงคลิปหนีบกระดาษ ไขสะเดากุญแจได้แล้ว!) หรือมีกุญแจพิเศษ (กุญแจผี) ที่สามารถไขเปิดประตูรถได้

ถ้าเป็นรถรุ่นปีใหม่ๆ หน่อย มักจะมีบริการช่วยเหลือฉุกเฉินอยู่ ก็สามารถโทรติดต่อเพื่อขอความช่วยเหลือได้ เพราะอาจจะมีเครื่องมือที่สามารถสะเดาะกุญแจได้ ที่สำคัญ ต้องสอบถามเรื่องราคาก่อน ไม่เช่นนั้น อาจจ่ายแพงกว่าที่คิด

ถ้าหากรถรถคุณมีตัวล็อคประตูแบบเงี่ยงที่สามารถงัดขึ้นได้ อาจจะลองใช้ลวดตะขอ หรือเชือกเส้นเล็กๆ ผูกเป็นห่วงที่ปลาย แล้วสอดเข้าไปตรงที่ขอบยางของประตูรถ ให้ห่วงหรือตะขอเกี่ยว เข้ากับ ตัวล็อคแล้วงัดขึ้นมา

4. โทรแจ้งตำรวจ หรือสถานีวิทยุเพื่อสังคม

กรณีที่รอบๆ ตัวที่รถและคุณอยู่ ไม่มีช่างกุญแจ ก็ลองโทรหาตำรวจ 191 หรือสายด่วน บก. 02 โทร. 1197 หรือแจ้งไปที่ Fanpage “ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ กองบังคับการตำรวจจราจร” หรือเบอร์โทรของโครงการ โทร. 02-354-6324 ตำรวจจราจรในพระราชดำริ ดู เพราะมีตำรวจช่างจราจรช่วยท่านได้

หรือโทรไปยังรายการวิทยุเพื่อสังคม อย่างเช่น สวพ.91 (โทร. 1644) และ จส.100 (โทร. 1137) ดู เพราะอาจจะมีคนขับรถแท็กซี่ หรือคนที่มีทักษะในการสะเดาะกุญแจฟังอยู่ อาจจะเป็นจิตอาสา มาช่วยเหลือคุณในยามยากได้

5-Ways-If-You-Forget-Key-Car

5. ทุบกระจก

ถ้ากรณีที่ลืมกุญแจไว้ในรถ แล้วดันมีความจำเป็นเร่งด่วน หรือว่ามีเด็กเล็กๆ ติดอยู่ในรถด้วย บางทีการ “ทุบกระจกรถ” ก็อาจจะเป็นทางเลทอกสุดท้ายที่ต้องทำ

ในกรณีที่ต้องการทุบกระจก ให้เลือกทุบที่บริเวณกระจกหูช้างบานหลัง (ซึ่งเป็นกระจกที่ทำไว้ สามารถให้กระจกบานหลังลงได้มากที่สุด) แค่พอเอื้อมมือไปปลดล็อคประตูรถได้ ครับ

ทางที่ดี กุญแจรถถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก เมื่อขับรถแล้วดับเครื่องยนต์แล้ว พยายามพกกุญแจรถติดตัว ใส่กระเป๋ากางเกงไว้ก่อนเลย เพื่อป้องกันการลืมไว้ในรถ หรือไปลืมไว้ที่ไหนอีกครับผม

หากช่วงนี้ ใครกำลังอยากขายรถคันเดิมอยู่ สามารถขายรถคันเดิมของคุณกับทาง CARRO ดูได้ โดยได้ราคาที่ดีที่สุด รับประกันความพึงพอใจ พร้อมปิดการขายภายใน 24 ชั่วโมง! กับ CARRO Express แค่คลิก -> https://th.carro.co/sell-car/express หรือจะ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

และอีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ ซื้อรถ คลิก -> https://th.carro.co/taladrod/allcar/carro 

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่หาไม่ได้ สามารถสั่งตามออเดอร์ได้ที่นี้ > https://th.carro.co/buy-car หรือโทร. 02-508-8690 อีกทั้งยัง Inbox เข้ามาสอบถามก็ได้เช่นกันได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง หรือทาง Line เชิญเลยครับที่ @carroautomall

How-Engines-Lose-Oil-Lubricants

ปกติของรถยนต์ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ ก็ควรหมั่นตรวจสอบดูแลรักษาบ้างอย่างน้อยอาทิตย์ละหนึ่งครั้ง เพื่อดูว่ามีส่วนใดผิดปกติหรือบกพร่องบ้างหรือไม่ หลายๆ คน ขับรถเป็นอย่างเดียว ดูแลรักษารถไม่เป็นเลยก็มี

เครื่องยนต์ของรถ ก็จัดเป็นสิ่งสำคัญมากเช่นกัน ปกติระดับน้ำมันเครื่อง เวลาเราใช้ไปมันก็จะมีลดลงไปบ้างอยู่แล้ว จากการเผาไหม้หรือเสียดสีกับเหล็กภายในเครื่องยนต์ แต่บางกรณีเล่นหายกันแบบหมดไวมาก เหมือนโดนดูดเลย บางคนกว่าจะรู้ตัวอีกที น้ำมันเครื่องขาด น้ำมันเครื่องแห้ง ส่งผลตามมาถึงขั้นเครื่องยนต์พัง ได้ยกเครื่องใหม่เลยทีเดียว

สาเหตุอะไรบ้าง ที่ทำให้น้ำมันเครื่องหาย มาดูกันครับ …

1. เครื่องยนต์สึกหรอมาก

How-Engines-Lose-Oil-Lubricants

เครื่องยนต์สึกหรอมาก ส่งผลให้การเผาไหม้ภายในเครื่องยนต์ หรือในกระบอกสูบไม่สมบูรณ์ กำลังเครื่องยนต์ตก ควรดูว่ากระบอกสูบ ลูกสูบ และแหวนลูกสูบ สภาพเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าสึก หลวม กร่อน หรือไหม้ หรือไหลไปผสมกับเชื้อเพลิง ก่อให้เกิดปัญหาควันขาว ก็ควรเปลี่ยนใหม่

2. ซีลต่างๆ มีการรั่วซึม

How-Engines-Lose-Oil-Lubricants

ลองก้มไปดูใต้ท้องรถ หลังจากจอดรถเสร็จแล้วซิว่า มีหยดน้ำมันเครื่องสีน้ำตาลดำๆ ลงมาที่พื้นบ้างหรือไม่ ถ้ามี ลองดูตามซีลยางต่างๆ เช่น ซีลหน้าเครื่อง ซีลท้ายเครื่อง ฝาเครื่อง หรือประเก็นต่างๆ ของเครื่องยนต์ เมื่อเครื่องยนต์ทำงาน จะเกิดความร้อนและแรงดัน ทำให้น้ำมันเครื่องถูกดันผ่านปะเก็น ซีล โอริงต่างๆ ถ้าเจอจุดรั่วซึมแล้ว ก็รีบขับรถเข้าอู่เปลี่ยนใหม่เถอะ

3. วาล์วสึก วาล์วยัน

How-Engines-Lose-Oil-Lubricants

อะไรที่เกี่ยวกับวาล์วทั้งหลายแหล่ เช่น ก้านวาล์ว ร่องนำวาล์ว ยางหมวกวาล์ว (หรือ ยางตีนวาล์ว) รถยนต์ของใครที่ใช้แก๊ส LPG มักจะเป็นกันไว 2-3 ปี ก็ต้องเปลี่ยนแล้ว เพราะแก๊ส LPG มีความร้อนสูง ซีลต่างๆ เสื่อมเร็วกว่าพวกใช้น้ำมัน

ถ้าชิ้นส่วนวาล์วหมดสภาพ หรือยางแข็งตัวแล้ว ก็ควรเปลี่ยนซะใหม่ เพราะทำให้เครื่องยนต์เผาไหม้ได้ไม่เต็มที่ อาจทำให้น้ำมันเครื่องไหลผ่านเข้าไปในกระบอกสูบได้ วิธีแก้ก็เปลี่ยนใหม่ซะ แต่บางอาการก็อาจจะต้องจ่ายมากหน่อย เช่น วาล์วรั่ว

ทางที่ดี ถ้าคุณใช้รถมือสองอายุหลายปีแล้ว อย่าลืมตรวจเช็คน้ำมันเครื่องสัปดาห์ละครั้งนะครับ อย่างน้อยๆ ก็กันไว้ดีกว่าแก้ครับ

ขอขอบคุณภาพจาก อู่เรืองยนต์

Bye-Bye-Volkswagen-Beetle

รถยนต์ Volkswagen Beetle (โฟล์คสวาเกน บีทเทิล) หรือ Volkswagen Type 1 หรือรถ “โฟล์คเต่า” ที่คนไทยเรียกกันจนติดปากมานานมาก ในที่สุดก็มาจนถึงวันที่เลิกผลิต หลังจากที่อยู่ในสายการผลิตของ Volkswagen มายาวนานถึง 80 ปี จนกลายเป็นรถที่มีตำนานการผลิตยาวนานที่สุดในอุตสาหกรรมยานยนต์ของโลกรุ่นหนึ่ง

โดย Beetle คันสุดท้ายในสายการผลิตของ Volkswagen ถูกนำออกจากโรงงานประกอบรถยนต์ในรัฐ Puebla (ปวยบลา) ประเทศเม็กซิโก เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคมที่ผ่านมา พร้อมพิธีอำลาอย่างสมเกียรติ

Scott Keogh ประธานและ CEO ของ Volkswagen Group of America กล่าวว่า “เราไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่า แบรนด์ Volkswagen จะอยู่จุดไหน หากไม่มีรถ Beetle”

Bye-Bye-Volkswagen-Beetle

Volkswagen Beetle เริ่มผลิตออกสู่ตลาดครั้งแรกในปี 1938 จากแนวคิดของ “Aldorf Hiler” (อดอล์ฟ ฮิตเล่อร์) ที่คนไทยรู้จักกันดีในฐานะหัวหน้าพรรคนาซี ต้องการผลิตรถยนต์สำหรับประชาชน ซึ่งชื่อ “Volkswagen” ก็บอกอยู่แล้วว่าคือ “รถของประชาชน” และได้การออกแบบรถโดย Dr.Ferdinand Porsche ซึ่งภายหลังได้ก่อตั้งแบรนด์ Porsche เพื่อผลิตรถสปอร์ตชั้นยอดออกมาจำหน่าย

และ Volkswagen Beetle ก็สามารถสร้างชื่อเสียงได้อีกครั้งในปี 1972 ที่สามารถทำยอดขายได้ 15 ล้านคันทั่วโลก แซงหน้ายอดขายรถ Ford Model T ระดับตำนานของ Henry Ford

Bye-Bye-Volkswagen-Beetle

ตลอดระยะเวลา 81 ปีที่ผ่านมา รถ Beetle ได้รับใช้ผู้คนในภารกิจต่างๆ สารพัด เป็นรถยนต์ที่ใช้กันตั้งแต่ระดับชาวบ้านทั่วไป ไปจนถึงระดับประธานาธิบดีของบางประเทศ จัดเป็นรถที่อยู่ในตำนานวงการยานยนต์อีกรุ่น ทั้งดีไซน์เฉพาะตัวที่คลาสสิกไปตลอดกาล

อย่างไรก็ตาม ก็ถึงเวลาของช่วงขาลง จนช่วงปลายๆ ยุค 70 รถโฟล์คเต่า จึงเลิกผลิตจำหน่ายในยุโรปหมด เหลือแต่เพียงจำหน่ายในแถบอเมริกากลาง กับอเมริกาใต้อย่างเดียว จน Volkswagen Beetle รุ่นแรกที่ผลิตในเม็กซิโก เลิกผลิตไปราวปี 2003

Bye-Bye-Volkswagen-Beetle

แม้ว่าจะมี Volkswagen Beetle เจเนอเรชั่นที่ 2 เกิดขึ้นมาในเดือนตุลาคม 1997 ซึ่งทำยอดขายกว่า 80,000 คันในสหรัฐฯ เมื่อปี 1999 ก่อนที่ยอดขายจะตกลงเรื่อยๆ หลังจากนั้น คนกลับมองหารถยนต์ราคาประหยัดและรถยนต์ SUV ของ Volkswagen มากกว่า และ Beetle เจเนอเรชั่นที่ 3 ที่ตามออกมาในปี 2011

แต่ Beetle ทั้งสองรุ่นนี้ ก็ไม่สามารถสร้างยอดขายที่สู้กับรุ่นต้นตำรับได้เลย

Bye-Bye-Volkswagen-Beetle

เมื่อเดือนสิงหาคม 2018 Volkswagen เปิดตัวรถ Beetle รุ่นสุดท้ายในชื่อ “Final Edition” 5,961 คัน สำหรับส่งไปขายในตลาดสหรัฐอเมริกา

Bye-Bye-Volkswagen-Beetle

และรุ่น “Final Edition” ในเดือนกรกฎาคม 2019 (อีกครั้ง) ที่ผลิตในจำนวนจำกัดเพียง 65 คัน ตามจำนวนปีของ Volkswagen Beetle ที่ผลิตขายในเม็กซิโก โดยเปิดขายผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ต สนนราคาอยู่ที่คันละ 21,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 642,600 บาท โดยแต่ละคันจะติดป้ายโลหะที่ระลึกที่ด้านซ้ายรถ พร้อมหมายเลข 1-65

แต่อนาคตก็ไม่แน่ เพราะรถแนว Retro ในยุคเดียวกันอย่าง Fiat 500 หรือ MINI Cooper ยังขายได้ ก็เป็นไปได้ที่ทาง Volkswagen จะผลิต Beetle ขึ้นอีกครั้งในอนาคตก็ได้เช่นกัน

ขอขอบคุณ

รถ-EV-ของเล่นคนรวย-จริงหรือ

หลายคนคงยังจำกันได้ว่า “รถ EV” เริ่มเป็นที่รู้จักกันจริงๆ ในบ้านเราก็ช่วงประมาณยุค 90 ได้ แต่ในยุคนั้นยังเป็นเทคโนโลยีที่มีอยู่ในรถต้นแบบ และรถทดลองวิจัยเท่านั้น ซึ่งรถต้นแบบ หลายต่อหลายรุ่นที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ก็ได้ถูกนำมาโชว์ในบ้านเราหลายครั้งหลายครา

จากปัญหาสภาพการจราจรในกรุงเทพฯ ยังเต็มไปด้วยรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน และรถก็ติดมากขึ้นเรื่อยๆ แถมยังมีรถเมล์เก่าๆ ที่วิ่งปล่อยควันดำโขมง สิ่งแวดล้อมและสุขภาพของคนเมืองจะย่ำแย่ลงเรื่อยๆ รวมไปถึงการใช้น้ำมันที่มากขึ้นเรื่อยๆ รถยนต์ไฟฟ้า จึงมีคนเริ่มนำเข้ามาขายอย่างจริงจัง (เท่าที่จำได้ จะเป็น Nissan Leaf ที่มีผู้จำหน่ายอิสระ นำเข้ามาขาย) เมื่อเกือบๆ 10 ปีที่ผ่านมานี้

แต่รถ EV ก็เป็นได้แค่ของเล่นคนรวยเท่านั้น จริงหรือ?

EV-Car-Is-Richman-Toy

ราคาของรถ EV ในยุคแรกๆ ที่ผลิตออกมาจากโรงงานยังคงมีราคาแพงมาก และบวกภาษีเข้าไปเยอะ จนผู้ซื้อรถยนต์คันใหม่เข้าถึงได้ยากมาก ในขณะที่ผู้ใช้รถยนต์คันเดิม ก็ไม่เกิดแรงจูงใจให้เปลี่ยนรถมาเป็นรถ EV ได้อย่างที่ต้องการ ไหนจะต้องมีที่ชาร์จ หาสถานีชาร์จ ระยะเวลาในการชาร์จ ระยะทางในการวิ่ง ค่าบำรุงรักษา ค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่อีก ฯลฯ

ในช่วงที่รถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก 2ที่นั่ง อย่าง “FOMM” (ฟอมม์) เปิดตลาดในบ้านเราเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ก็สร้างความฮืฮอาได้พอตัวทีเดียว

แต่ด้วยราคาที่ตั้งไว้ 599,900 บาท ที่ถึงแม้จะมีส่วนลด 100,000 บาท จำนวนจำกัด เหลือ 499,900 บาท (ราคา ณ วันที่ 15 ก.ค. 2562) เนื่องด้วยเพราะความเป็นรถขนาดเล็ก ก็อาจจะยังทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ ยังลังเลในการตัดสินใจซื้ออยู่

แต่พอเมื่อ MG ได้เปิดตัว MG ZS EV ใหม่ ในราคา 1,190,000 บาท ซึ่งเป็นรถ SUV Crossover ซึ่งให้คุณสมบัติในการใช้งานที่ค่อนข้างหลากหลายกว่า ก็ทำเอาสั่นสะเทือนวงการรถยนต์กันพอสมควร เพราะราคาที่ว่ามานี้ ขนาดมนุษย์เงินเดือน ก็สามารถเข้าถึง เป็นเจ้าของได้แล้ว

เราจึงถือว่ารถ EV ในยุคอนาคตข้างหน้านี้ ไม่ใช่ของเล่นคนรวยอีกต่อไป

ความประหยัด และสมรรถนะของรถ EV

EV-Car-Is-Richman-Toy

รถ EV ชูคุณสมบัติความประหยัดมาเป็นที่หนึ่งเลย และในแง่ของการรักษาสิ่งแวดล้อม

อย่างเช่นรถยนต์ไฟฟ้า FOMM ใช้กำลังไฟฟ้าเท่ากับหม้อชาบู หรือ 2,000 วัตต์ โดยชาร์จเพียง 6-7 ชั่วโมง ก็สามารถวิ่งได้ระยะทางถึง 166 กิโลเมตร เฉลี่ยค่าใช้จ่ายเพียง 30 สตางค์/กม. เท่านั้น แถมยังทำความเร็วได้สูงสุด 80 กม./ชม.

และในส่วนของ MG EV ZS หากชาร์จผ่าน MG Home Charger ใช้เวลาชาร์จไฟจาก 0-100% ใช้เวลาเพียง 6.5 ชั่วโมง ให้ระยะทางขับเคลื่อนสูงสุด 337 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ถือได้เวลาสะดวกและประหยัดมากๆ

และยังสามารถเร่งจาก 0-50 กม./ชม. ได้ภายในเวลา 3.1 วินาที และ 0-100 กม./ชม. ประมาณ 8-9 วินาที … นี่ระดับเดียวกับรถสปอร์ต ที่ใช้น้ำมันชัดๆ!

การชาร์จไฟ

EV-Car-Is-Richman-Toy

สำหรับการชาร์จไฟของรถ EV นั้น ก็มีอยู่หลายรูปแบบ วิธีการชาร์จก็เหมือนกับที่เราใช้ในรถ Plug-In Hybrid นั่นล่ะครับ อาทิเช่น

แบบ Normal Charge ชาร์จธรรมดา ซึ่งจะใช้ไฟบ้านในการชาร์จ ใช้เวลาชาร์จประมาณ 4-6 ชั่วโมง ซึ่งจะมีชุดสายไฟที่แถมมาให้กับรถด้วย ซึ่งเป็นการชาร์จแบบ AC Charging หรือกระแสสลับ ใช้หัวชาร์จและเต้ารับแบบ Type 2

แบบ Double Speed Charge ผ่านเครื่องชาร์จแบบ Wall Box (อุปกรณ์ที่ติดตั้งพิเศษ สำหรับชาร์จโดยการเสียบจากปลั๊กไฟในบ้าน มีความปลอดภัยสูง) ใช้เวลาประมาณ 5-6 ชั่วโมง เช่นกัน

ส่วนแบบ Quick Charge เน้นความรวดเร็ว เพราะเป็นการชาร์จด้วยระบบไฟฟ้ากระแสตรง DC Charging ใช้หัวชาร์จและเต้ารับแบบ FF กินเวลาประมาณ 30-60 นาที ส่วนใหญ่จุดชาร์จ จะอยู่ตามสถานที่ต่างๆ หรือตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ ที่เริ่มมีการให้บริการกันหลายที่แล้ว

ความประหยัด กับ ความสิ้นเปลือง

EV-Car-Is-Richman-Toy

ในเรื่องของความประหยัด รถ EVถือว่าตอบโจทย์ได้ดีทีเดียว ตัดรายจ่ายในเรื่องของเหลวในเครื่องยนต์ไปแทบทั้งหมด ค่าน้ำมันก็ไม่มี อีกทั้งไม่ได้ใช้ระบบเกียร์ ไม่ต้องมีหม้อน้ำ และระบบน้ำหล่อเย็น เพราะใช้เพียงมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ให้กำลังมหาศาลตามกระแสไฟที่จ่ายให้กับมอเตอร์ ยิ่งเร่งมากก็ยิ่งแรงมาก เพราะไม่ต้องรอรอบเครื่อง เหมือนกับเครื่องยนต์ปกติ ให้อัตราเร่งที่ดีมากๆ

แต่ค่าใช้จ่ายจะไปหนักเอาตรงที่รถคุณแบตเตอรี่เสื่อม หรือระบบ Inverter เสื่อม ซึ่งค่าใช้จ่ายตรงนี้ก็ถือว่าหนักอยู่พอสมควรทีเดียว เพื่อกระตุ้นให้เป็นแรงจูงใจในคนใช้รถยนต์ไฟฟ้า บรรดาค่ายรถยนต์หลายค่าย ก็จึงขยายระยะเวลารับประกันแบตเตอรี่ เป็น 8 ปีบ้าง 10 ปีบ้าง รวมไปถึง Inverter ก็มีการรับประกัน ทำให้คนใช้รู้สึกอุ่นใจได้มากขึ้น

แหล่งที่มาของพลังไฟฟ้า เหลือเฟือ!

EV-Car-Is-Richman-Toy

ถ้าพูดถึงรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน แหล่งพลังงานก็ต้องพึ่งพาน้ำมันเป็นหลัก (อาจจะมีอย่างอื่นผสมเข้ามาด้วย เช่น แก๊สโซฮอล์ หรือ ไบโอดีเซล ที่มีส่วนผสมอื่นเข้ามา เช่น น้ำมันพืช ไขมันสัตว์ น้ำตาล มันสำปะหลัง อ้อย ปาล์ม มะพร้าว ถั่วเหลือง สบู่ดำ หรือสาหร่าย เป็นต้น) หากเป็นพลังงานไฟฟ้า จะมีแหล่งกำเนิดที่สะอาด และไม่มีวันหมด เช่น แสงอาทิตย์, ลม, น้ำจากเขื่อน หรือการรีไซเคิลขยะมาทำไฟฟ้า เป็นต้น

EV-Car-Is-Richman-Toy

บทสรุป

บางคนอาจจะบอกว่า รถยนต์ไฟฟ้าถึงจะดีแค่ไหน ถ้าราคาที่เอื้อมไม่ถึง แม้ว่าในตอนนี้ ก็เป็นได้แค่ของเล่นคนรวย หรือเศรษฐีรักษ์โลก … โดยคนส่วนใหญ่อาจจะมองว่าใช้รถไฮบริด ก็ประหยัดน้ำมันและถือว่าลดการใช้พลังงานได้เช่นกัน และข้อจำกัดของสถานีชาร์จ ที่ยังเป็นปัญหา และกำลังเร่งขยายจุดติดตั้งสถานีชาร์จกันอยู่

แต่จากปัญหาด้านพลังงาน ด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้ในอนาคตข้างหน้านี้ รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นพลังงานสะอาด คงเป็นรถยนต์รุ่นหลักของทุกค่ายรถบนโลกใบนี้อย่างแน่นอน

เพราะยิ่งเทคโนโลยีของแบตเตอรี่ยิ่งก้าวหน้าเท่าใด ให้ระยะทางในการวิ่งได้มากเท่าไหร่ รถยนต์ไฟฟ้าก็ยิ่งเป็นที่นิยม เมื่อคนนิยมเยอะ ยอดการผลิตก็มากขึ้น ต้นทุนการผลิตก็ถูกลง จนเป็นที่จับต้องได้ของคนทั่วไป ไม่ใช่ของเล่นคนรวยอย่างแน่นอน …

ถ้าคุณตัดสินใจอยากขายรถคันเดิม เพื่อไปซื้อรถคันใหม่ หรือรับเป็นเงินก้อนไปใช้ สามารถขายรถคันเดิมกับ Carro ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ Carro Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook Carro Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

5-Ways-To-Try-Car-Installments

ช่วงนี้เชื่อได้เลยว่า หลายต่อหลายคน มีปัญหาทางการเงินอยู่ ในยุคที่เงินฝืด เงินหายาก ทำมาหากินลำบาก พอคิดจะทำอาชีพ หรือค้าขายอะไรก็ตาม ก็ต้องมีคนทำอยู่ก่อนหน้าแล้ว หรือไม่ก็ต้องเจอคู่แข่ง ที่พร้อมจะทำธุรกิจเหมือนเราตลอด …..

หลายคนที่ทำงานอาชีพอิสระ หรือเป็นคนค้าขาย ถ้าต้องผ่อนรถอยู่ในเวลานี้ รถที่คุณรัก คงกลายเป็นตัวภาระไปเสียแล้ว บางคนมักคิดว่าเดือนนี้จะผ่อนไหวหรือไม่ไหว แล้วถ้าขาดส่งเกิน 3 งวดล่ะ จะโดนยึดรถไปหรือเปล่า! เพราะตามกฎหมายอนุโลมให้ผู้เช่าซื้อ สามารถค้างค่างวดได้เป็นจำนวน 3 งวด หากเกินกว่านั้น บริษัทไฟแนนซ์มีสิทธิ์ยึดรถได้ในทันที

Carro หาคำตอบมาให้ทุกท่าน 5 ข้อ ได้พิจารณาทางออกในตอนนี้แล้วครับ ลองไปอ่านดูกันได้เลย …

5-Ways-To-Try-Car-Installments

1. การขายให้บุคคลอื่น โดยไม่ต้องเปลี่ยนสัญญา

คุณเคยเข้าไปดูตามกลุ่ม Facebook ไหมล่ะ? จะมีประกาศขายรถ หาคนผ่อนต่อ ของคนร้อนเงินอยู่เรื่อยๆ บางคันมีราคาที่ถูกเป็นพิเศษ หรือให้เปล่าเลยก็มี กรณีที่ผู้ขายเพิ่งผ่อนไปได้ไม่กี่งวด แต่จงจำไว้ด้วยว่า การขายรถให้บุคคลอื่นโดยที่ยังไม่ได้เปลี่ยนสัญญา ชื่อผู้เช่าซื้อยังเป็นคนเดิมอยู่ ค่อนข้างเสี่ยงพอสมควร

กรณีที่คนซื้อรถคุณไปแล้ว เอาไปขายให้คนอื่นต่อ หรือรถหาย ผู้เช่าซื้อจะต้องรับผิดชอบเต็มๆ หรือเอารถไปจำนำในบ่อน หรือเอาไปขายให้เต็นท์ต่อ เจ้าของหรือผู้เช่าซื้อรถ ต้องรับปัญหากันไปเต็มๆ! เจ้าของรถอาจจะถูกดำเนินคดีอาญา ในข้อหายักยอกทรัพย์ได้ เพราะกรรมสิทธิ์รถเป็นของไฟแนนซ์ ดังนั้น เจ้าของรถไม่มีสิทธิ์ที่จะเอาไปขาย

2. การขายให้บุคคลอื่นโดยเปลี่ยนสัญญา

อันนี้เป็นการขายรถโดยผู้ซื้อ และผู้ขาย ไปเปลี่ยนสัญญาใหม่ และนำเงินที่ได้ไปปิดจ่ายไฟแนนซ์ วิธีนี้ปลอดภัยสุด ทั้งคนค้ำประกัน ทั้งผู้เช่าซื้อ เพราะถือว่าเป็นการตัดปัญหาทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง แต่คุณก็อาจจะต้องยอมขายรถถูกมากเป็นพิเศษ หรือให้เปล่าไปก็มี กรณีที่ผู้ขายเพิ่งผ่อนไปได้ไม่กี่งวด

5-Ways-To-Try-Car-Installments

3. ปรับโครงสร้างหนี้

หลายๆ ไฟแนนซ์ในตอนนี้ มีบริการ “ปรับโครงสร้างหนี้” หรือ “รีไฟแนนซ์” สำหรับคนที่ผ่อนรถไม่ไหว โดยขยายเวลาจ่ายค่าเช่าซื้อออกไปอีก ซึ่งโดยมากจะเพิ่มได้สูงสุดอยู่ที่ 48 เดือน เมื่อรวมกับสัญญาเดิมจะต้องไม่เกิน 96 เดือน (เงื่อนไขอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละสถาบันการเงิน)

แต่เงื่อนไขนี้ จะต้องผ่อนจ่ายค่างวดมาแล้วไม่ต่ำกว่า 12 เดือน และต้องจ่ายค่างวดที่ยังค้างอยู่ก่อน รถต้องมีประกันภัยชั้น 1 รวมไปถึงมีผู้ค้ำประกันทุกกรณี และดอกเบี้ยต่องวด ที่อาจจะต้องจ่ายมากขึ้น เป็นต้น

4. ผ่อนดอกเบี้ยไปก่อน

ถ้าผ่อนรถด้วยเงินต้นไม่ไหวจริงๆ ก็ลองคุยกับทางไฟแนนซ์ดู ว่าผ่อนเฉพาะดอกเบี้ยไปก่อนได้หรือไม่

5-Ways-To-Try-Car-Installments

5. คืนรถ

กรณีผ่อนไม่ไหวจริงๆ ติดค้างหลายงวดมาก และรถก็ยังขายเปลี่ยนสัญญาไม่ได้ ก็ควรนำรถไปคืนไฟแนนซ์ดีกว่า เพราะการคืนรถ คือการเลิกสัญญาเช่าซื้อ ซึ่งไฟแนนซ์ก็จะนำรถคุณไปขายทอดตลาด แต่คุณก็อาจจะต้องเตรียมค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ทางไฟแนนซ์อาจเรียกกับคุณในภายหลังได้ ในกรณีที่รถขายทอดตลาดแล้ว โปะหนี้ของคุณไม่หมด

แต่ถ้ายังหลบๆ ซ่อนๆ เอาเก็บไว้ใช้ต่อ หมายศาลอาจส่งมาถึงบ้านได้ ต้องไปชำระค่าเสียหาย ค่าขาดประโยชน์ อื่นๆ รวมถึงเป็นคดีแพ่ง ฐานผิดสัญญาเช่าซื้ออีก

ก็ลองหาทางออกกันดูนะครับ ใครเหมาะสมกับข้อไหน ก็ลองพิจารณาเอา เพราะเศรษฐกิจแบบนี้ เรื่องเงินๆ ทองๆ บอกได้เลยว่า ตัวใครตัวมัน!

ถ้าคุณตัดสินใจอยากขายรถคันเดิม เพื่อไปซื้อรถคันใหม่ หรือรับเป็นเงินก้อนไปใช้ สามารถขายรถคันเดิมกับ Carro ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ Carro Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook Carro Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

แหล่งที่มาของภาพ:

  • Fast Auto Show 2019
7-Initials-Of-Car-Brand-Name

ที่มาของแบรนด์ยี่ห้อรถยนต์นั้น บางแบรนด์อาจจะมีประวัติเก่าแก่มาก ทำธุรกิจสืบทอดยาวนานตั้งแต่ก่อนจะมาผลิตรถยนต์ขายด้วยซ้ำไป รถหลายยี่ห้อ อาจจะใช้นามสกุลของผู้ก่อตั้ง หรือชื่อสถานที่ มาใช้เป็นยี่ห้อตัวเอง เพื่อเป็นเกียรติประวัติของตระกูลนั้นๆ หรือสถานที่นั้นๆ ในการกำเนิดในโลกยานยนต์

แต่หลายยี่ห้อก็อาจจะเลือกใช้อักษรย่อ มาตั้งเป็นชื่อยี่ห้อรถของตัวเอง บางแบรนด์ก็เป็นที่ติดหูของคนเล่นรถใช้รถทั่วโลก แต่น้อยคนนักที่จะทราบว่า ชื่อย่อของรถยี่ห้อเนี้ย มันหมายความว่าอะไร

Mr.Carro จะมาเล่าให้ฟังถึงรายละเอียด ของชื่อย่อยี่ห้อรถแต่ละเจ้าครับ ว่ามีที่มาจากอะไร …

1. BMW

BMW-Series-3-2019

สำหรับ BMW (บีเอ็มดับเบิลยู) ที่คนไทยเรียกกันติดปากว่า “บีเอ็มฯ” แต่คนเยอรมนีเรียกกันว่า “เบเอ็มเว” มีที่มาจากคำในภาษาเยอรมันที่ว่า “Bayerische Motoren Werke” หรือ “Bavarian Motor Works” ในภาษาอังกฤษ หมายถึง กลุ่มกรรมกรยานยนต์แห่งแคว้นบาวาเรีย

ซึ่งเป็นการรวมตัวกันระหว่างบริษัท Rapp Motorenwerke โดย Carl Rapp และ Max Friz วิศวกรเครื่องกลชาวเยอรมัน กับ Fahrzeugfabrik Eisenach แห่งแคว้นทือริงเงิน (Thuringen) ถือกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2516 โดยตั้งชื่อบริษัทว่า Bayerische Flugzeugwerke AG แต่ในปี 1918 ก็เปลี่ยนชื่อบริษัทแบบที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน และมีที่ตั้งอยู่ในนครมิวนิค

BMW เริ่มต้นธุรกิจการผลิตใบพัดเครื่องบินในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ส่วนโลโก้สีฟ้า-ขาว ที่มาของสัญลักษณ์ดังกล่าวนี้คือลักษณะการหมุนของใบพัดเครื่องบิน แต่ในส่วนของสีฟ้าและสีขาว มาจากสีประจำแคว้นบาวาเรียครับ

2. FIAT

FIAT

รถ FIAT (เฟียต) ที่รู้ไทยรู้จักกันมานานแล้วจนเรียกกันติดปาก แท้จริงแล้วมาจาก คำย่อเต็มๆ ของ “Fabbrica Italiana Automobili Torino” ในภาษาอิตาลี หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า Italian Automobiles Factory, Turin

FIAT ได้ถูกก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1899 โดย Giovanni Agnelli (จีโอวานนี่ อักเนลลี) ร่วมกับนักลงทุนอีกหลายคน ปัจจุบัน FIAT มีแบรนด์รถยนต์ในเครือมากมาย อาทิ FIAT, Ferratri, Alfa Romeo, Maserati, Abarth และยังควบรวมกิจการของ Chrysler, Dodge กับ Jeep มาไว้ในมืออีกด้วย ในชื่อ FCA (Fiat Chrysler Automobiles)

พร้อมกับธุรกิจอื่นอีก เช่น รถบรรทุก, อุปกรณ์การเกษตร, อุปกรณ์ก่อสร้าง, การเงิน, สื่อสิ่งพิมพ์ และอุตสาหกรรมเหล็ก เป็นต้น และตระกูล Agnelli ตอนนี้ยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ของทีมฟุตบอล Juventus (ยูเวนตุส) อีกด้วย

3. MG

MG-ZS-EV

MG (เอ็มจี) รถยี่ห้อเก่าแก่ชื่อดัง ของอังกฤษ (แต่ปัจจุบันมีสัญชาติจีนไปซะแล้ว) ซึ่ง “MG” นั้นย่อมาจาก Morris Garages เป็นชื่ออู่ซ่อมรถของ William Richard Morris (วิลเลี่ยม ริชาร์ด มอร์ริส) ผู้ก่อตั้งแบรนด์รถยนต์ยี่ห้อนี้ในปี 1924 ตั้งอยู่บนถนนลองวอลล์ เมืองออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ

นับจากนั้นรถ MG ก็ถูกเปลี่ยนเจ้าของหลายครั้ง จาก Morris มาสู่ British Motor Corporation, British Motor Holdings, British Leyland, Rover Group, British Aerospace, BMW, MG Rover Group ในปี 2005 จึงถูกซื้อโดยบริษัทจีน Nanjing Automobile Group (ซึ่งต่อมารวมเข้ากับ SAIC – Shanghai Automotive Industry Corporation ในปี 2008 ทำให้ปัจจุบัน MG เป็นของ SAIC)

ซึ่ง MG ในบ้านเรา เป็นการร่วมมือกันระหว่าง บริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) และทาง SAIC ผลิตรถ MG ขายในประเทศไทย พร้อมกับเป็นฐานส่งออกไปยังประเทศที่ใช้รถพวงมาลัยขวาด้วย

4. MAN

MAN

รถบรรทุก รถบัส “MAN” (เอ็มเอเอ็น) ที่สิงห์รถรรทุกรู้จักกันดี กับชื่อที่เรียก “แมน” กันจนติดปาก เป็นรถบรรทุกสัญชาติเยอรมนีที่ถือกำเนิดขึ้นเมื่อ 1758 ในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรป โดย MAN SE (หรือ MAN Truck & Bus) ตอนนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของ Volkswagen AG มีสำนักงานใหญ่อยู่ในนครมิวนิค ประเทศเยอรมนี

คำว่า “MAN” นั้นย่อมาจากภาษาเยอรมันที่ว่า “Maschinenfabrik Augsburg-Nurnberg” หรือคำว่า “Machine Works of Augsburg and Nürnberg, Truck Manufacturer” ในภาษาอังกฤษ

5. UD Trucks

UD-Trucks

UD Trucks (ยูดี ทรัคส์) เป็นยี่ห้อรถอีกยี่ห้อหนึ่งที่หลายคนรู้จักกันดี นับตั้งแต่ยุคที่เป็น Nissan Diesel ถูกก่อตั้งขึ้นโดย Kenzo Adachi (เคนโซ่ อาดาชิ) เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 1935 ในชื่อบริษัท Nihon Diesel Industries, Ltd. มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่อาเกโอะ เมืองไซตามะ ประเทศญี่ปุ่น

ในปี 1960 เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น “Nissan Diesel” (นิสสัน ดีเซล) ก่อนจะถูกขายกิจการ ควบรวมเป็นส่วนหนึ่งของ AB Volvo (หรือ Volvo Trucks) 100% นับตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมา

สำหรับคำว่า “UD Trucks” แต่เดิม “UD” นั้นหมายถึง “Uniflow Diesel” (เครื่องยนต์ดีเซลแบบ 2 จังหวะ) ที่พัฒนาขึ้นในปี 1955 แต่ต่อมาได้พัฒนาไปในความหมายที่ว่า “Ultimate Dependability” หรือ “ความไว้วางใจสูงสุด”

6. GMC

GMC

รถ “GMC” ชื่อมีชื่อเสียงในไทยมานานมาก ในรูปแบบรถกระบะ รถบรรทุกอเมริกันคันโต มีชื่อเต็มๆ ว่า “General Motors Company” หรือ บริษัท เจเนอรัล มอเตอร์ ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ยี่ห้อนี้นั่นเอง

ยี่ห้อ GMC ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 22 กรกฎาคม 1911 ปัจจุบันเน้นการผลิตเฉพาะรถประเภทกระบะ รถ SUV และรถตู้ เป็นต้น

7. FAW

FAW

ช่วงนี้ของจีนๆ กำลังมาแรง อย่างรถบรรทุก FAW (เอฟเอดับบลิว) ที่หลายคนคงเคยเห็นกัน ซึ่ง FAW ถือกำเนิดขึ้นในวันที่ 15 กรกฎาคม 1953 ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน ถือเป็นบริษัทรถยนต์ของรัฐบริษัทแรก ที่เกิดขึ้นตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 ของจีนในปี 1953 เริ่มต้นผลิตรถบรรทุกที่ได้เทคโนโลยีมาจากสหภาพโซเวียต ปัจจุบันเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของรถยนต์, รถบรรทุก, รถโดยสาร และรถโค้ช

สำหรับชื่อ “FAW” นั้นย่อมาจาก “First Automobile Works” ครับ

ถ้าคุณตัดสินใจอยากขายรถคันเดิม เพื่อไปซื้อรถคันใหม่ หรือรับเป็นเงินก้อนไปใช้ สามารถขายรถคันเดิมกับ Carro ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ Carro Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook Carro Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

Fast-And-Furious-9-In-Thailand

ช่วงเดือนที่ผ่านมา เรื่องที่คอหนัง คอรถซิ่ง ทั้งตื่นเต้นและฮือฮาสุดๆ คงต้องยกให้เรื่องของกองถ่ายหนังฮอลลีวูดชื่อดังอย่าง Fast and Furious 9 (เร็ว..แรงทะลุนรก 9) หนังดังระดับโลกที่มีมาแล้วถึง 18 ปี 9 ภาค ที่เซอร์ไพรส์สุดๆ ด้วยการยกกองถ่ายมาถ่ายทำทางภาคใต้ของไทย

ถึงแม้ว่า Fast and Furious 9 นี้ จะมีกำหนดออกฉายในปี 2020 จะไร้นักแสดงหลักๆ ของเรื่องมาที่ไทย และใช้สตันท์แมนวัยเกือบ 80 ซิ่งรถแทน วิน ดีเซล

จากการเปิดเผยของ นริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครทูตประจำกรุงบัวโนสไอเรส อาร์เจนตินา ซึ่งเป็นประธานคณะกก.พิจารณาคำขออนุญาตถ่ายทำภาพยนตร์และวีดิทัศน์จากต่างประเทศที่เข้ามาถ่ายทำในไทย (คณะที่ 2) กล่าวว่า มีเพียงประมาณไม่เกิน 20 % ของเนื้อเรื่องทั้งหมดที่ตอนนี้ถ่ายทำอยู่ในหลายประเทศ และมีงบค่าใช้จ่ายที่ถ่ายทำในไทย 340 ล้านบาท

รวมไปถึง ไม่มีดารานำอย่าง วิน ดีเซล, เจสัน สเตแธม หรือนางเอกของเรื่องมาถ่ายทำในไทย ดารานำทั้งหมดถ่ายทำในอังกฤษ และ สหรัฐฯ ส่วนฉากที่มีบทพูดทั้งหมดในรถ ถ่ายในสตูดิโอ โดยใช้ CG ช่วย ส่วนฉากของยูนิตในไทย เป็นฉากการไล่ล่า โดยใช้สตันท์แมนทั้งหมด ทั้งต่างชาติ และคนไทย

แน่นอนว่ารถที่พาข้ามน้ำข้ามทะเลมาถ่ายหนังด้วย ย่อมเป็นที่สนใจอย่างมากของคนคอหนัง และรถรักรถแต่งอย่างแน่นอน จะมีรุ่นไหนบ้าง มาชมกัน …..

Dodge Charger SRT Hellcat

Dodge-Charger-SRT-Hellcat

สำหรับรถซีดานบ้าพลัง สไตล์อเมริกันแท้ๆ อย่าง Dodge Charger SRT Hellcat (ดอดจ์ ชาร์จเจอร์ เอสอาร์ที เฮลล์แคท) จัดเป็นรถรุ่น Top สุด ในตระกูล Dodge Charger ในฉายาแมวนรก Hellcat (ชื่อนี้นำมาจาก Grumman F6F Hellcat เครื่องบินรบของสหรัฐฯ ช่วง WW2) จัดว่าเร็ว แรง และทรงพลังที่สุดในโลก

Fast-and-Furious-9-Dodge-Charger

มาพร้อมขุมพลังขนาด 6.2 ลิตร แบบ V8 HEMI Supercharged ที่ให้แรงม้าถึง 707 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 880 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.7 วินาที ทำความเร็วได้สูงสุดถึง 328 กม./ชม. ซึ่งทางทีมงาน Fast and Furious ได้นำมาปรับแต่งให้ดูดิบ เถื่อน และแรงยิ่งขึ้นไปอีก!

Ford Mustang

Ford-Mustang

Ford Mustang (ฟอร์ด มัสแตง) ทางทีมงานได้นำมาด้วยกันถึง 3 คัน เป็นโฉมเจเนอเรชั่นที่ 6 ตัวก่อนไมเนอร์เชนจ์ ที่คาดว่าตัวจะเป็นตัว Top สุด ของ Mustang ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 5.0 ลิตร แบบ V8 DOHC 32 วาล์ว 460 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด

Jeep Gladiator

Jeep-Gladiator

รถหน้าตากระจังหน้า 7 ซี่ อันเป็นเอกลักษณ์อย่าง Jeep Gladiator (จี๊ป กาดิเอเตอร์) ที่ทางทีมงาน Fast and Furious ได้นำมาปรับแต่งใหม่ด้วยการยกสูง และใส่ล้อขนาดใหญ่ มาพร้อมเครื่องยนต์แบบ Pentastar ขนาด 3.6 ลิตร V6 ให้แรงม้าสูงสุด 280 แรงม้า

Land Rover Defender 90

Land-Rover-Defender-90

Land Rover Defender (แลนด์ โรเวอร์ ดีเฟนเดอร์) รถยอดฮิตสำหรับสายลุยป่าฝ่าดงในตำนานที่ยาวนานกว่า 70 ปี ทาง Fast and Furious ก็นำมาสร้างสีสันในหนังด้วยเช่นกัน จัดเป็นรถรุ่นบรรพบุรุษของรถ SUV นับตั้งแต่ Series I, II และ III จนกลายมาเป็น Defender ที่ขายมาอย่างยาวนานมาตั้งแต่ปี 1983 – 2016 ซึ่งรุ่นที่นำมาถ่ายหนัง น่าจะเป็นตัวท้ายๆ ของโฉมนี้แล้ว

Buggy

Fast-and-Furious-9-Buggy

Buggy คันนี้เป็นรถที่คาดเดาได้ยาก ว่ามาจากรถยี่ห้อ รุ่นอะไร เพราะเป็นรถที่ดัดแปลงขึ้นมาใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้โดยเฉพาะ

ขอขอบคุณเนื้อหาบางส่วนจาก

New-Cars-In-Half-Year-Later-2019

ช่วงครึ่งหลังปี 2562 แม้ว่าเศรษฐกิจยังคงย่ำแย่ แบบนี้มาอย่างต่อเนื่อง กำลังซื้อในตลาดกลุ่มใหญ่หดหาย ทำให้ค่ายรถนอกจากจะต้องจัดโปรโมชั่นกระตุ้นการขาย ก็ยังต้องรีบเปิดตัว Product ใหม่ เพื่อแข่งกันชิงส่วนแบ่งทางการตลาดอีกด้วย

ซึ่งถ้านับกันตามตรง ตั้งแต่ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ค่ายรถหลายค่ายก็เปิดตัวรถกันไปหลายรุ่น อาทิเช่น MG ZS EV รถ SUV พลังไฟฟ้า 100% จากค่าย MG ที่ไม่ต้องถามเลยว่า กี่ล้าน! หรือจะเป็น Toyota Hiace และ Commuter ใหม่ ที่สร้างความตื่นเต้นให้กับวงการรถตู้ไปอย่างมาก …

Carro ขอแนะนำรถใหม่ รุ่นเด็ด ที่เตรียมตัวเปิดตัวในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2562 นี้ จะมียี่ห้อไหน รุ่นใดบ้าง ไปชมกันได้เลยครับ.

1. Toyota Corolla Altis

Toyota-Corolla-Altis-Taiwan

หลังจากที่ Toyota Corolla Altis (โตโยต้า โคโรลล่า อัลติส) รุ่นปัจจุบันที่ขายในบ้านเรามานานหลายปีแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนโฉมกันสักที (ทั้งๆ ที่ ในต่างประเทศ ก็โมเดลเชนจ์กันไปนานแล้ว) โดย Altis ใหม่นี้ โดยมาพร้อมกับแพลทฟอร์ม TNGA เช่นเดียวกับรุ่น C-HR, Camry หรือ Prius

มาพร้อมรูปลักษณ์ภายนอกสไตล์สปอร์ต ห้องโดยสารภายในมาในแนวคิด Sensuous Minimalism แถมยังมีหน้าจอขนาด 8 นิ้ว รองรับระบบ Toyota Drive+Connect อีกด้วย

Toyota-Corolla-Altis-Taiwan

ส่วนเครื่องยนต์ มากันแบบครบๆ เหมือนเดิม ทั้งเครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 1.6 ลิตร และขนาด 1.8 ลิตร กับเครื่องยนต์เบนซิน Hybrid ขนาด 1.8 ลิตร พร้อมกับปรับปรุงระบบช่วงล่างใหม่ ระบบเกียร์มีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 6 สปีด เกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i และแบบ ECVT ในรุ่น Hybrid ในสไตล์ทนๆ ไม่จุกจิก ขวัญใจแท็กซี่ ที่มาสร้างความคึกคักในตลาดรถเดือนสิงหาคม 2562 แน่ๆ

2. Mazda3

Mazda3-2019

Mazda3 (มาสด้า3) ใหม่หมดจด ที่แฟนๆ Zoom-Zoom ต่างรอคอย มาแน่นอนครับ! ในเดือนกันยายนนี้ หลังจากที่เปิดตัวที่ญี่ปุ่นไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน (ซึ่งในโฉมนี้ ไม่ได้ใช้ชื่อ Axela แล้ว แต่ใช้เป็น Mazda3 เช่นเดียวกับในทั่วโลก) ยังมีให้เลือกทั้งตัวถังแบบ Sedan และ Fastback เหมือนเดิม

สำหรับขุมพลังของ Mazda3 ใหม่ ในไทย คาดว่าเครื่องยนต์ก็ยังเป็นขนาด 2.0 ลิตร เหมือนในโฉมปัจจุบันครับ แต่ในส่วนของเวอร์ชั่นญี่ปุ่น ใช้เครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร SkyActiv-G 111 แรงม้า, ขนาด 2.0 ลิตร SkyActiv-G 111 แรงม้า และเครื่องยนต์ดีเซล ขนาด 1.8 ลิตร SkyActiv-D 116 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 6 สปีด (เฉพาะรุ่น 1.5 ลิตร เวอร์ชั่นญี่ปุ่น) และเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด เช่นเคย

3. Mazda CX-8

Mazda-CX-8-2019

Mazda CX-8 (มาสด้า ซีเอ็กซ์-8) รถ SUV รุ่นใหญ่จาก Mazda หลังจากที่มีข่าวว่าจะมาไทย แต่ก็ยังเงียบอยู่ ซึ่งคาดว่าน่าจะได้ฤกษ์เปิดตัวในบ้านเรา ประมาณเดือนตุลาคม 2562

ใช้ขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล Skyactiv-D ขนาด 2.2 ลิตร เหมือนในตัว CX-5 แต่ปรับแรงม้าให้สูงขึ้น แบบแถวเรียง 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว Turbo ให้แรงม้าสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด มีให้เลือกทั้งรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า 2WD และขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ AWD

4. Mitsubishi Pajero Sport

New-Mitsubishi-Pajero-Sport-2019

Mitsubishi Pajero Sport (มิตซูบิชิ ปาเจโร่ สปอร์ต) รถ SUV หรือที่เรียกกันว่ารถ PPV ยอดฮิตในบ้านเรา เปิดตัวไมเนอร์เชนจ์ครั้งแรกในโลกที่ไทย ตัวรถหน้าตาใหม่ (หรือ Design Language ที่ค่ายรถหลายค่าย มักเรียกกัน) ไปในทิศทางเดียวกับ Mitsubishi รุ่นอื่นๆ ที่มาใน Theme ออกแบบ “Dynamic Shield” ด้วยชุดไฟหน้าใหม่ กระจังหน้าใหม่ กันชนใหม่ และไฟท้ายใหม่

พร้อมปรับปรุงห้องโดยสารภายในใหม่ อัดแน่นด้วยระบบความปลอดภัยมากขึ้น เช่น ระบบส่งสัญญาณเตือนเมื่อเปลี่ยนเลน (LCA) และระบบสัญญาณเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด (RCTA)

มาพร้อมเครื่องยนต์ MIVEC Turbo Diesel ขนาด 2.4 ลิตร 181 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด มีให้เลือก 3 รุ่นย่อย ได้แก่ 2WD GT, 2WD GT Premium และ 4WD GT Premium ในราคา 1,299,000 – 1,599,000 บาท

5. Suzuki Carry

All-New-Suzuki-Carry-2019

Suzuki Carry (ซูซูกิ แครี่) โฉมใหม่หมดจด ขวัญใจชาวฟู้ดทรัค ถึงเวลาเปลี่ยนโฉมใหม่หมดจดซะที หลังจากที่ขายรุ่นเดิมมาอย่างยาวนานถึงสิบปีกว่า ครั้งนี้ด้านหน้ารถออกแบบเป็นตัดหน้าตรง เหมือนรถตู้ กระบะหลังเปิดได้ 3 ด้าน และสามารถบรรทุกได้มากถึง 1 ตัน! พร้อมการออกแบบห้องโดยสารภายในใหม่ เน้นที่เก็บของเต็มพิกัด!

มาพร้อมเครื่องยนต์รหัส K15B-C ขนาด 1.5 ลิตร 95 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด บนระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ส่วนราคาโปรดติดตามได้ในงาน BIG Motor Sale 2019 นี้!

6. Mercedes-Benz A-Class

Mercedes-Benz-A-Class-Sedan

Mercedes-Benz A-Class (เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอ-คลาส) ใหม่! มาไทยแน่นอน พร้อมเปิดตัวในวันที่ 22 สิงหาคม นี้ ในชื่อ Mercedes-Benz A 200 AMG Dynamic ซึ่งภายในมีฟังก์ชั่นเด่นๆ อย่าง หน้าจอคู่ Dual Screen Cockpit ขนาด 10.25 นิ้ว จำนวน 2 จอ, ระบบควบคุม Multimedia “MBUX”, หรือช่องแอร์เรืองแสง illuminated Air Vents แบบ Turbine เป็นต้น

ในเวอร์ชั่นอาจมาพร้อมขุมพลังขนาด 1.3 ลิตร Turbo 163 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด ในราคาที่ยังไม่เป็นที่เปิดเผย

7. Audi TT

Audi-TT

Audi TT (ออดี้ ทีที) ยนตรกรรมสปอร์ตตระกูล TT ที่ได้รับความนิยมและตอบรับจากลูกค้าอย่างต่อเนื่องจากทั่วโลก เมื่อเดือนที่ผ่านมาได้ทาง Audi ได้เปิดตัว Audi TT สเปคไทย ทีเดียว 3 รุ่น คือ The New Audi TT Roadster, Audi TTS Coupé และ Audi TT Coupé ใหม่

มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 ลิตร Turbo 230 แรงม้า และ 286 แรงม้า ในรุ่น TTS Coupé ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ S tronic 6 สปีด และยังเพิ่มความมั่นใจด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ หรือ quattro เอกลักษณ์ของ Audi สามารถทำความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. ในราคา 3,299,000 – 4,699,000  บาท

8. Peugeot 3008 & 5008

Peugeot-3008

Peugeot 3008 & 5008 (เปอโยต์ 3008 และ 5008) เป็นรถแบบ SUV 5 ที่นั่ง ขนาด Compact ส่วนรุ่น 5008 จะเป็นแบบ 7 ที่นั่ง ที่ออกแบบมาได้อย่างล้ำสมัย ภายในห้องโดยสารออกแบบใหม่ มีอุปกรณ์เด่นๆ อาทิ เบาะหนังแท้, ระบบปรับอากาศแบบ Dual Zone, หน้าปัดแสดงผลแบบดิจิตอลขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว, หน้าจอระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว พร้อมรองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ เป็นต้น

ส่วนเครื่องยนต์ของเวอร์ชั่นไทย คาดว่าแบบเดียวกับที่จำหน่ายที่มาเลเซีย แบบเบนซิน ขนาด 1.6 ลิตร Twin Scroll Turbo High Pressure (THP) ให้กำลังสูงสุด 165-167 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Paddle Shifts ที่พวงมาลัย และโหมดการขับขี่ที่ปรับได้ 5 รูปแบบ ซึ่งราคาอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านบาทกลางๆ

9. Chevrolet Captiva

Chevrolet-Captiva-2019

หลังจากที่ Chevrolet นำ Chevrolet Captiva (เชฟโรเลต แคปติวา) รถ SUV ยอดนิยมจากค่าย ได้นำรถต้นแบบของ Captiva ใหม่ มาโชว์ในงาน Motor Show 2019 ที่ผ่านมา ก็ได้รับเสียงตอบรับจากแฟนๆ พอสมควร โดย Captiva รุ่นใหม่นี้เป็นรถที่ GM ร่วมกับทาง SAIC ของจีน เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงเดือนสิงหาคม – กันยายน 2562 นี้

ขุมพลังที่ใช้คาดว่าเป็นเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว Turbo ให้แรงม้าสูงสุด 147 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 230 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ขับเคลื่อนล้อหน้า

10. MG Extender

MG-Extender

MG Extender (เอ็มจี เอ็กซ์เทนเดอร์) ครั้งแรกของ MG ที่เปิดตัวรถกระบะ เตรียมชิมลางสมรภูมิรถกระบะอันดุเดือดครั้งแรกในไทย ใน Concept “กระบะพันธุ์ยักษ์ ให้มากกว่าความแกร่ง” โดยมาพร้อมการออกแบบภายใต้แนวคิด BRIT Dynamic ตัวถังขนาดใหญ่ ระบบความปลอดภัยครบครัน และระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i-SMART รองรับการสั่งการด้วยเสียงภาษาไทย ครั้งแรกของโลกในรถกระบะ

มาพร้อมเครื่องยนต์ Diesel Commonrail Turbo ขนาด 2.0 ลิตร 161 แรงม้า ระบบช่วงล่างแบบ European Tuning Suspension พร้อมการติดตั้งระบบความปลอดภัยครบครัน รวมทั้งยังเป็นรถกระบะที่มาพร้อมระบบดิสก์เบรก 4 ล้อ มี 9 รุ่นย่อย ครอบคลุมทั้งแบบกระบะตอนครึ่ง (Giant Cab) และแบบ 4 ประตู (Double Cab) ในราคา 549,000 – 1,029,000 บาท

เตรียมเปิดตัวในงาน BIG Motor Sale 2019 ซึ่งจะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 16 -25 สิงหาคม นี้ ที่ BITEC บางนา

ถูกใจแบบไหน อยากได้แบบไหน เตรียมตัวเก็บเงิน ไปรอซื้อกันได้แล้วครับ …

5-Trick-To-Manage-Luggage

ไม่ว่าเวลาไหน ก็จะต้องมีคนเดินทางไปไหนมาไหนเสมอๆ ทั้งไปเที่ยว ไปทำงาน ไปส่งสินค้า ฯลฯ ตามเหตุผลของแต่ละคน ที่ไม่จำกัดว่าจะต้องไปในฤดูกาลไหน

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดอีกอย่าง นั่นคือ “กระเป๋าเดินทาง” นั่นเอง หลายคนมักประสบปัญหาในการจัดกระเป๋าเดินทางอยู่เสมอๆ เพราะบางทีก็ตัดสินใจไม่ถูก ว่าจะเอาอะไรไปบ้างดี? หรือของบางอย่าง ยัดลงไปแล้วก็กินที่อีก …

Mr.Carro จะมาแนะนำ 5 วิธี ในการจัดกระเป๋าเดินทาง ให้พร้อมลุยในทุกสถานการณ์ครับ

Zip-Lock

1. ถุงพลาสติก

ถุงพลาสติก หรือ “ถุงก๊อบแก๊บ” ที่เรียกกันติดปากนั้น ไว้ใช้ประโยชน์ตอนเก็บเสื้อผ้าที่ใช้แล้ว หรือผ้าขนหนู เพราะป้องกันการเปียกและกันกลิ่นไม่พึงประสงค์ ไม่งั้นคงเก็บกลิ่นเหม็นไปทั้งกระเป๋าเลยทีเดียว หรือจะใช้ถุงแบบ Zip-Lock (ถุงสุญญากาศ) ก็ได้เช่นกัน

2. รองเท้า

ถ้าคุณคิดจะเอารองเท้าผ้าใบ หรือรองเท้าหนังไปด้วย คุณควรจะยัด “ถุงเท้า” เข้าไปในรองเท้าด้วยเลยเพียงแค่ม้วนๆ เข้าไป เสร็จแล้วก็เอาถุงผ้า หรือถึงพลาสติกใส่รองเท้าเอาไว้อีกที เพื่อป้องกันไปเปื้อนสิ่งของอื่นๆ

Manage-Luggage

3. ของใหญ่ไว้ล่าง ของเล็กไว้บน

ใช้หลักการเดียวกับ “ปิรามิด” นั่นล่ะครับ ของหนักๆ เอาไว้ด้านล่างสุด ส่วนชั้นกลางๆ ก็จัดวางเป็นเสื้อยืด ใช้ม้วนๆ เอา เพื่อกันกระแทกไปด้วย แต่ในกรณีของกางเกงขายาว อันนี้เราแนะนำให้วางตามแนวยาวของกระเป๋าเลย หรือจะวางเสื้อผ้าที่ม้วนแล้วไว้ในช่องตรงกลาง จากนั้นค่อยพับขากางเกงมาไว้ตรงกลาง ก็ได้เช่นกัน

ส่วนของเบาๆ หรือของที่จำเป็นต้องหยิบออกมาใช้บ่อยๆ เช่น ยารักษาโรค ยาสีฟัน แปรงสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก เครื่องสำอาง หรือสบู่ เป็นต้น ก็ไว้ด้านบนๆ จะได้ง่ายต่อการหา ซึ่งก็พกติดตัวแค่เพียงพอต่อการใช้การใช้งานก็พอแล้ว ไม่ต้องแบกไปมากๆ

4. เอาเสื้อกันฝน ไปแทนร่ม

หลายคนอาจจะเอาร่มพับได้ติดกระเป๋าเดินทางไปด้วยในหน้าฝน แต่ผมคิดว่า พกเสื้อกันฝนไปดีกว่า เพราะจะช่วยให้ประหยัดเนื้อที่ในกระเป๋าได้

Luggage-Tag

5. ล็อคกระเป๋า ติด Tag ป้ายชื่อ

กรณีเดินทางโดยเครื่องบิน ก่อนที่คุณจะโหลดกระเป๋าขึ้นเครื่อง ต้องล็อคกระเป๋าให้เรียบร้อย แล้วเก็บกุญแจไว้ที่ตัว ส่วนกระเป๋าเดินทางควรหา Tag ติดป้ายแสดง ชื่อ-ที่อยู่ เบอร์โทรติดต่อ Line และจุดหมายปลายทาง เผื่อกระเป๋าเกิดไปตกหล่นระหว้างทาง จะได้สามารถตามคืนได้ภายหลัง

หรือหาสติ๊กเกอร์ เศษผ้า มาแปะ มาผูก ทำไว้เป็นสัญลักษณ์ที่กระเป๋าด้วยก็ดี เพราะถ้าหากดันมีใครทะลึ่งใช้กระเป๋าเดินทางแบบเดียวกับคุณ มีหวังหยิบผิดไปแน่นอน!

Luggage

สำหรับเอกสารสำคัญ เช่น บัตรประชาชน บัตรประจำตัวต่างๆ บัตรเครดิต หรือพาสปอร์ต อันนี้ไม่ควรเก็บรวมในกระเป๋าเดินทาง เพราะการนำออกมาใช้ทีวุ่นวายยุ่งยาก ต้องเสียเวลารื้อค้น และยังต้องระวังกับโจรในเครื่องแบบ ที่คอยแอบกรีดหรืองัดกระเป๋าเดินทาง ขณะลำเลียง หรือขนส่งอีก

หากเป็นไปได้ ควรหากระเป๋าสะพายใบเล็กๆ ไว้เก็บของใช้ที่สามารถหยิบได้ง่าย และเผื่อต้องใช้ในการเดินทาง อาทิ สมุดโน๊ต ปากกา เงิน บัตรเครดิต ยารักษาโรค กล้องถ่ายรูป โทรศัพท์มือถือ หรือ Power Bank ฯลฯ แต่ก็ควรจะมีสำรองเงินเอาไว้บ้างที่กระเป๋าเดินทาง เผื่ออาจจำเป็นต้องใช้ หากต้องไปในประเทศที่มีคนคอยกรีดกระเป๋าเยอะๆ (เช่น ในประเทศแถบยุโรปในขณะนี้ ที่แก๊งกรีดกระเป๋าอาละวาดหนักมาก)

อีกสิ่งที่สำคัญ คือ อย่าปล่อยให้กระเป๋าเดินทางมีพื้นที่ว่าง เพราะจะทำให้ของในกระเป๋าเดินทางกระจัดกระจายได้ง่ายๆ วิธีง่ายๆ คือขยำกระดาษ แล้วยัดไว้ในกระเป๋าเยอะๆ ก็ได้ หรือจะช็อปปิ้งใส่กระเป๋าเดินทางตอนขากลับก็ได้เช่นกัน