New-Maserati-Ghibli-Hybrid-2021

มาเซราติ ประเทศไทย เปิดตัว Maserati Ghibli Hybrid (มาเซราติ กิบลี ไฮบริด) ใหม่ เป็นยนตรกรรม Mild Hybrid ที่ใช้การขับเคลื่อนแบบผสมผสานระหว่างเครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฟฟ้า ครั้งแรกในประเทศไทย และเป็นรุ่นแรกในประวัติศาสตร์ของค่ายตรีศูล ในราคาเร้าใจ 5,990,000 บาท!

Maserati Ghibli Hybrid นับเป็นหนึ่งใน Project สุดท้าทายของค่ายตรีศูล ซึ่งเป็นเสมือนการก้าวสู่ยุคอนาคตอย่างเต็มตัว

New-Maserati-Ghibli-Hybrid-2021

Maserati Ghibli ถูกเจาะจงให้เป็นรถสายพันธุ์แรกที่เริ่มใช้ขุมพลังไฮบริด เพราะเป็นรุ่นมียอดจำหน่ายสูงสุดกว่า 100,000 คัน นับตั้งแต่การเปิดตัวช่วงปี 2013 โดยความท้าทายของโปรเจ็กต์นี้ คือ ผลิตรถไฮบริดอย่างไร ไม่ให้กระทบกับตัวตนของแบรนด์ ทำให้ Maserati Ghibli Hybrid เป็นหนึ่งในรถไฮบริดที่ดีสุดในโลก และคงเอกลักษณ์เสียงคำรามอันดุดันไว้ได้อย่างครบถ้วน

New-Maserati-Ghibli-Hybrid-2021

ตัวรถภายนอก Ghibli Hybrid ผ่านการออกแบบใหม่โดย Centro Stile Maserati ทั้งภายนอกและห้องโดยสาร ดีไซน์โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ โดยสิ่งที่แสดงถึงความเป็นรุ่นไฮบริดก็คือ การนำสีน้ำเงินมาใช้ เพื่อสื่อถึงเทคโนโลยีไฮบริดและโลกแห่งอนาคต โดยสีน้ำเงิน นำมาตกแต่งช่องระบายอากาศด้านข้าง 3 ช่อง และสัญลักษณ์สายฟ้า ของโลโก้ตรีศูลบริเวณเสา C

New-Maserati-Ghibli-Hybrid-2021

ขณะที่เบาะในห้องโดยสาร ก็ผ่านการเย็บด้วยตะเข็บสีน้ำเงิน ส่วนกระจังหน้าก็ผ่านการออกแบบใหม่ ซี่กระจังมีลักษณะคล้าย “ส้อมเสียง” (Tuning Fork) เครื่องดนตรีชนิดหนึ่งที่มีเสียงใสชัด

New-Maserati-Ghibli-Hybrid-2021

พร้อมเชื่อมต่อโลกดิจิทัลครบวงจร ผ่านโปรแกรม Maserati Connect และ Maserati Intelligent Assistant โดยใช้ข้อมูลพื้นฐานจาก Android Automotive ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ขับ พร้อมอัปเดตฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆ โดยอัตโนมัติ

New-Maserati-Ghibli-Hybrid-2021

ในส่วนของเทคโนโลยีไฮบริด ใช้การสะสมพลังงานกลขณะลดความเร็วหรือเบรก เพื่อนำมาแปลงเป็นไฟฟ้าและชาร์จเข้าแบตเตอรี่ พร้อมติดตั้งท่อไอเสีย ที่ปรับแต่งเสียงคำรามตามแบบฉบับของยนตรกรรม มาเซราติ

New-Maserati-Ghibli-Hybrid-2021

นวัตกรรมขุมพลังไฮบริดสุดล้ำ เป็นผลลัพธ์จากมันสมองของทีมวิศวกรและฝ่ายเทคนิคของ มาเซราติ Innovation Lab ที่เมืองโมเดนา โดยผสานเครื่องยนต์เบนซิน Turbo ขนาด 2.0 ลิตร เข้ากับ Altenator 48 โวลต์ และ Electronic Supercharged (e-Booster) พร้อมแบตเตอรี่รองรับ ให้แรงม้าสูงถึง 330 แรงม้า (HP) แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร

อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 5.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 255 กม./ชม. พร้อมติดตั้งแบตเตอรี่บริเวณท้ายรถ เพื่อความสมดุล และมีน้ำหนักโดยรวมเบากว่า Ghibli Diesel ประมาณ 80 กิโลกรัม

New-Maserati-Ghibli-Hybrid-2021

มาเซราติ กิบลี ไฮบริด ใหม่ นับเป็นก้าวแรกสู่การทำเทคโนโลยีไฮบริดมาใช้กับรถรุ่นอื่นๆ ในอนาคต อีกทั้งยังมีแผนเปิดตัวรุ่น กรันทูริสโม (GranTurismo) และ กรันคาบริโอ (GranCabrio) ขับเคลื่อนไฟฟ้าล้วนในปี 2021

ส่วนใครที่อยากขายรถ ไม่ว่าจะเป็นรถบ้าน รถมือสอง ก็สามารถปรึกษากับทางเราดูก่อนได้ เพียงแค่คุณขายรถคันเดิมกับ CARRO ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ CARRO Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothai หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

New-Car-In-Motor-Expo-2020

“มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 37” หรือ The 37th Thailand International Motor Expo 2020 ภายใต้แนวคิด “พร้อมขับเคลื่อน ไปในความเปลี่ยนแปลง” หรือ “Whatever Changes will be…Move on” หลังจากที่ต้องเผชิญกับโควิด-19 มาเกือบทั้งปีนี้ จนอ่วมไปตามๆ กัน ทั้งตัวค่ายรถเอง และผู้บริโภคเอง กำลังซื้อหดหายไปอย่างมากในปีนี้

โดยงาน Motor Expo 2020 พร้อมจัดงานในยุค New Normal เตรียมนำรถรุ่นใหม่ และรถรุ่นยอดนิยม มาจัดแสดงส่งท้ายปี 2020 โดยงานมอเตอร์เอ็กซ์โป ปีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 2 – 13 ธันวาคม 2563 ณ อิมแพค ชาเลนเจอร์ 1-3 เมืองทองธานี

ไหนๆ จะไปดู ไปซื้อรถใหม่ที่งาน Motor Expo 2020 กันแล้ว ถ้าคุณอยากขายรถคันเดิม หรือรับเป็นเงินก้อนไปใช้ สามารถขายรถคันเดิมกับ Carro ได้ เราพร้อมรับซื้อรถของคุณ ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ Carro Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน Fanpage Carro Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothai หรือคลิกที่นี่ —> เพิ่มเพื่อน

CARRO ขอนำเสนอรถยนต์ใหม่ๆ ที่เปิดตัวก่อนงานและในงาน Motor Expo 2020 นับตั้งแต่ในเดือนตุลาคม – พฤศจิกายน บริษัทรถยนต์หลายแบรนด์ ได้เปิดตัวรถรุ่นใหม่ ไปแล้วหลายค่าย CARRO ขอแนะนำให้ทุกท่านได้ทราบข้อมูลและรายละเอียดต่างๆ ครับผม …

Toyota-GR-Yaris-2021

1. Toyota GR Yaris

Toyota เตรียมสั่งนำเข้า Toyota GR Yaris (โตโยต้า จีอาร์ ยาริส) รถสปอร์ตตัวแรง 3 ประตู แต่งซิ่งครบสูตร ด้วยโควต้านำเข้าเพียง 6 คันเท่านั้น ในราคาประมาณ 2.7 ล้านบาท! หลังจากที่เปิตตัวในญี่ปุ่นไปในงาน Tokyo Auto Salon 2020 ช่วงต้นปีที่ผ่านมา และจัดได้ว่าเป็น Yaris ที่แรงที่สุดในโลกด้วย

มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินรหัส G16E-GTS ขนาด 1.6 ลิตร Turbo แบบ 3 สูบแถวเรียง ให้แรงม้าสูงสุด 272 แรงม้า ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 370 นิวตัน-เมตร (37.7 กก.-ม.) ที่ 3,000-4,600 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 6 สปีด แบบ iMT บนระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ GR4 ที่ถูกพัฒนามาจากในสนามแข่ง WRC

ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 5.5 วินาที และจำกัดความเร็วสูงสุดไว้ที่ 230 กม./ชม.

Toyota-Innova-Crysta-2021

2. Toyota Innova (Minorchange)

Toyota (โตโยต้า) เผยโฉม Toyota Innova (โตโยต้า อินโนวา) รุ่นไมเนอร์เชนจ์ มีให้เลือก 3 รุ่น คือ 2.8 Crysta Premium, 2.8 Crysta และ 2.0 Entry ปรับเปลี่ยนดีไซน์ภายนอกรอบคัน โฉบเฉี่ยว ทันสมัย โดดเด่นสะดุดตามากขึ้น นับตั้งแต่กระจังหน้าดีไซน์ใหม่ กันชนหน้าใหม่ ชุดตกแต่งรอบคัน สปอยเลอร์หลัง ล้อแม็กดีไซน์ใหม่ขนาด 16 นิ้ว และ 17 นิ้ว

ภายในออกแบบอย่างมีระดับ กว้างสบาย ตืดตั้งเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 9 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay และฟังก์ชันความปลอดภัยอย่าง กล้องมองภาพรอบทิศทาง 360 องศา (Panoramic View Monitor) และสัญญาณกะระยะด้านหน้าและด้านหลัง

พร้อมขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล 2.8 ลิตร GD-Efficient Boost, เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร Dual VVT-i ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Sequential Shift และเกียร์ธรรมดา 5 สปีด ในราคา 1,199,000 – 1,429,000 บาท

Nissan-Navara-Pro-4X-2021

3. Nissan Navara

Nissan (นิสสัน) เปิดตัว Nissan Navara (นิสสัน นาวารา) โฉมหน้ายกใหม่!ถอดแบบมาจากรุ่นพี่สายพันธุ์ยักษ์อย่าง Nissan Titan บุกตลาดเป็นประเทศแรกในโลก ด้วยดีไซน์ใหม่ดุดัน เพื่อลูกค้าคนไทยด้วยพลังที่กล้า เพื่อคนแกร่ง จากชื่อเสียงมากกว่า 80 ปี ของรถกระบะนิสสันที่ลูกค้ายอมรับในเรื่องความแข็งแกร่งทนทาน โดยไม่ละทิ้ง DNA ของนิสสันที่ท้าทายทุกขีดจำกัด

ดีไซน์ Concept “Unbreakable Design” คำนึงถึงการใช้งาน และความชื่นชอบของลูกค้า กับรุ่นย่อยใหม่ PRO4X และ PRO2X อีกขั้นของกระบะ Adventure สำหรับทุกความท้าทาย ด้วยดีไซน์ภายนอกที่ดุดัน กระจังหน้าใหม่แบบ Interlock และซุ้มล้อขนาดใหญ่ ชุดไฟหน้าแบบ QUAD – LED คุณภาพสูง 4 ดวง พร้อม Daytime Running Light และไฟท้ายแบบ LED แบบเส้นเดียวที่ทันสมัย

มาพร้อมเครื่องยนต์ใหม่ รหัส YS23DDTT ขนาด 2.3 ลิตร 4 สูบ Twin Turbo เกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด พร้อมโหมด Manual ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า (PS) และแรงบิด 450 นิวตัน-เมตร (Nm) และ Nissan Intelligent Mobility เทคโนโลยีการขับขี่อัจฉริยะเต็มรูปแบบ ในราคา 599,000 – 1,149,000 บาท

All-New-Honda-City-Hatchback-2021

4. Honda City Hatchback

Honda เปิดตัว Honda City Hatchback (ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบค) ครั้งแรกในโลกกับฮอนด้า ซิตี้ ในรูปแบบ 5 ประตู ในไทย ตอบสนองทุกการขับขี่ด้วยฟังก์ชันการใช้งานระดับพรีเมียม อาทิ หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ พร้อมมาตรวัดเรืองแสง ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และระบบสั่งการด้วยเสียง SIRI

ผสานเอกลักษณ์ความอเนกประสงค์กับเบาะนั่ง อัลตราซีท (ULTR) และการขับขี่ที่สนุกสนานกับ ขุมพลังเทอร์โบ เครื่องยนต์ 1.0 ลิตร DOHC VTEC TURBO ให้สมรรถนะการขับขี่สูงถึง 122 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิด 173 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 – 4,500 รอบ/นาที

ประหยัดน้ำมันดีเยี่ยมถึง 23.3 กม./ลิตร ตอบสนองทุกการขับขี่ด้วยระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัยแบบ 7 สปีด และสามารถรองรับน้ำมัน E20 ในราคา 599,000 – 749,000 บาท!

New-Honda-City-Hybrid-2021

5. Honda City e:HEV

Honda (ฮอนด้า) เปิดตัว Honda City e:HEV (ฮอนด้า ซิตี้ อีเอชอีวี) ยนตรกรรม Full Hybrid รุ่นแรกของเซกเมนต์ City Car ในประเทศไทย ที่มาพร้อมเทคโนโลยีการขับเคลื่อน Sport Hybrid Intelligent Multi-Mode Drive i-MMD ผสานการทำงานอันทรงพลังของมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว กับเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร Atkinson Cycle DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว 98 แรงม้า

ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ อัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน เป็นระบบ Full Hybrid 109 แรงม้า ที่ตอบสนองได้ทันใจด้วยแรงบิดสูงสุด 253 นิวตัน-เมตร ที่ 0 – 3,000 รอบ/นาที ให้อัตราการประหยัดน้ำมันดีเยี่ยมถึง 27.8 กม./ลิตร และรองรับน้ำมัน E20

พร้อมเพิ่มความมั่นใจในทุกการขับขี่กับเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ “ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง” (Honda SENSING) ดีไซน์สปอร์ตโดดเด่น ด้วยชุดแต่งสไตล์ RS เสริมเอกลักษณ์เฉพาะของความเป็นไฮบริดด้วยโลโก้ฮอนด้าสีฟ้า (H Mark) และโลโก้ e:HEV

ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง สะดวกสบายในทุกมิติ ครบครันด้วยเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยและฟังก์ชันการใช้งานระดับพรีเมียม ในราคา 839,000 บาท!

All-New-Isuzu-MU-X-2020

6. Isuzu MU-X

Isuzu (อีซูซุ) เปิดตัว  “All-New Isuzu MU-X (ออลนิว อีซูซุมิว-เอ็กซ์)” ใหม่ ครั้งแรกของโลก! ยนตรกรรมอเนกประสงค์รุ่นใหม่หมดระดับ Masterpiece ภายใต้นิยาม “เหนือทุกความเชื่อ…เหนือทุกความสำเร็จ (Originality Redefined)” พลิกโฉมใหม่ทั้งภายนอกจรดภายใน ด้วยดีไซน์ที่หรูหรา สะดวกสบาย ประณีตในทุกรายละเอียด ในราคา 1,121,000 บาท (ราคาช่วงแนะนำ 1,109,000 บาท) – 1,579,000 บาท

ตัวรถภายนอก หรู ล้ำสไตล์ สง่างาม โฉบเฉี่ยวเร้าอารมณ์ ภายใต้แนวคิด Emotional & Solid ผสานความหนักแน่นและพลิ้วไหวเข้าไว้ด้วยกันตลอดทั้งคัน ส่วนภายในกว้างขวาง โอ่อ่า ด้วยแนวคิดการออกแบบ Fine, Rich & Impressive Craftsmanship ด้วยวิธีการออกแบบ Integrated Cockpit คอนโซลหน้าเชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกับคอนโซลกลาง จัดวางเรียบหรู

มีให้เลือกครบครันด้วยสไตล์ที่หลากหลายรวม 4 รุ่น ได้แก่ Ultimate, Elegant, Luxury และ Active เครื่องยนต์ 3.0 Ddi Blue Power และ 1.9 Ddi Blue Power Gen 2 พร้อมทางเลือกทั้งเกียร์อัตโนมัติ และเกียร์ธรรมดาแบบ 6 สปีด มีให้เลือกทั้งระบบขับเคลื่อน 2 ล้อและ 4 ล้อ พร้อมระบบขับเคลื่อน Rough Terrain Mode ในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ โดยทำงานได้ทั้ง 2H, 4H และ 4L

Mitsubishi-Outlander-PHEV-2020

7. Mitsubishi Outlander PHEV

Mitsubishi (มิตซูบิชิ) เตรียมรุกตลาดรถยนต์ Plug-In Hybrid เป็นครั้งแรกในไทยกับ Mitsubishi Outlander PHEV (มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ ปลั๊กอินไฮบริด) ที่ผลิตจากโรงงานแหลมฉบัง จ.ชลบุรี เตรียมเปิดตัวในงาน Motor Expo 2020 นี้

มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 2.5 ลิตร 4 สูบ 135 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 211 นิวตันเมตร ผสานกำลังกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว หน้า-หลัง ให้กำลัง 82 แรงม้า และ 95 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 195 นิวตันเมตรทั้งคู่ ให้กำลังรวมสูงสุด 305 แรงม้า โดยราคารุ่น GT อยู่ที่ 1,640,000 บาท และรุ่น GT Premium ราคา 1,749,000 บาท

Mitsubishi-Xpander-2020

8. Mitsubishi Xpander

Mitsubishi Xpander (มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์) รุ่นปรับปรุงใหม่ โดดเด่นมากขึ้นด้วยล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ขนาด 16 นิ้ว กระจังหน้าดีไซน์ใหม่ และเสาอากาศแบบครีบฉลาม พร้อมเอกลักษณ์การออกแบบ Advanced ‘Dynamic Shield’ ที่มาพร้อมกับสีภายนอกใหม่ สีเทา Graphite Gray พร้อมด้วยระยะความสูงจากพื้นถึง 205 มม.

ห้องโดยสารภายในสะดวกสบาย กว้างขวาง ตกแต่งด้วยวัสดุบุนุ่มคุณภาพเยี่ยม มีความเงียบเพิ่มมากขึ้น มีเสียงรบกวนและการสั่นสะเทือนที่ต่ำ (NVH) เพิ่มสุนทรียภาพตามปรัชญาแบบ “โอโมเตะนาชิ” ที่ถ่ายทอดความประณีตและยังใส่ใจในทุกรายละเอียด

สะดวกสบายมากขึ้นด้วยกุญแจอัจฉริยะแบบ KOS พร้อมปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ และระบบปรับอากาศด้านหลังแบบแยกอิสระสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง พวงมาลัยสามารถปรับระดับสูง-ต่ำ และปรับเข้า-ออกได้ พร้อมกับสวิตช์ควบคุมระบบเครื่องเสียงและปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์บนพวงมาลัย และจอแสดงข้อมูลอเนกประสงค์ TFT ขนาด 4.2 นิ้ว พร้อมการแสดงผลแบบภาพเคลื่อนไหว 3 มิติ ในราคา 789,000 – 863,000 บาท

Ford-Ranger-2021

9. Ford Ranger / Everest

Ford (ฟอร์ด) ปรับโฉม Ford Ranger (ฟอร์ด เรนเจอร์) ใหม่ ภายใต้แนวคิด ‘Live The Ranger Life’ มาพร้อมระบบส่งกำลังที่ได้รับการพัฒนาไปอีกขั้น โดยรุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ทุกคันจะได้รับประกันเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังนาน 10 ปี หรือ 150,000 กม. (แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน) ในราคา 669,000 – 1,699,000 บาท

ภายนอกกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ ทรงสี่เหลี่ยมคางหมูตกแต่งตะแกรงสีดำ ในรุ่น XL, XL Street, XL+, XLT และWildtrak, ล้ออัลลอยสีดำและกระจกข้างสีดำในรุ่น XL+ Sport, XL Street, XLT และ Wildtrak, มือจับประตูสีดำในรุ่น XL+ Sport, XLT และ Wildtrak และอุปกรณ์เสริมใหม่ แผ่นเปิด-ปิดฝากระบะท้ายด้วยระบบไฟฟ้า (Power Roller Shutter) เป็นครั้งแรกสำหรับ Wildtrak

ในโอกาสนี้ Ford ยังได้เปิดตัว Ranger XL Street ใหม่ กระบะตอนครึ่งตัวเตี้ยแต่งพิเศษ เป็นรุ่นย่อยใหม่ล่าสุด ด้วยดีไซน์สปอร์ตรอบคัน ผลงานของทีมดีไซเนอร์ของ ฟอร์ด ออสเตรเลีย ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากรถแข่ง Ford Ranger ของทีมฟอร์ด ไทยแลนด์ เรสซิ่ง (Ford Thailand Racing – FTR) มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล 2.2 ลิตร ผสานเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด

Ford-Everest-2021

และในส่วนของ Ford Everest (ฟอร์ด เอเวอเรสต์) ใหม่ ต่อยอดความสำเร็จของ Ford Everest Sport ที่ได้รับกระแสตอบรับดีจากลูกค้า โดยลูกค้ากว่าครึ่ง ให้ความสนใจเลือกซื้อจากดีไซน์สไตล์สปอร์ต โฉบเฉี่ยว และดุดัน

ด้วยกระจังหน้าอันเป็นเอกลักษณ์ ตัวอักษรนูน ‘Everest’ บนฝากระโปรงหน้า พร้อมมือจับ กระจกข้าง และล้ออัลลอยใหม่สำหรับรุ่นเทรนด์ พร้อมมอบตัวเลือกสีภายนอกใหม่ สีขาว สโนว์ เฟลก ไวท์ เพิร์ล สำหรับฟอร์ด เอเวอเรสต์ สำหรับรุ่นเทรนด์, ไทเทเนี่ยม และไทเทเนี่ยม พลัส และสีน้ำเงินดีพ คริสตัล บลู สำหรับรุ่นสปอร์ต ในราคา 1,299,000 – 1,799,000 บาท

Rolls-Royce-Ghost-2021

10. Rolls-Royce Ghost

Rolls-Royce (โรลส์-รอยซ์) เผยโฉม Rolls-Royce Ghost (โรลส์-รอยซ์ โกสต์) เจเนอเรชั่น 2 ในฐานะตัวแทนการเข้าสู่ยุคใหม่ของบริษัท ที่เตรียมมาเปิดตัวเขย่าตู้เซฟเศรษฐีไทย ให้เอาเงินออกมาซื้อได้ในเดือนนี้

Rolls-Royce Ghost ใหม่ พัฒนาขึ้นบนแพลทฟอร์มอลูมิเนียม สเปซเฟรม Architecture of Luxury แบบเดียวกับ Rolls-Royce Phantom และ Rolls-Royce Cullinan การออกแบบตัวรถเน้นความเรียบง่าย ใช้ประตูคู่หลังแบบ Coach Doors กับห้องโดยสารที่เงียบเชียบภายใต้สูตร Formula for Serenity รวมถึงงานตกแต่งพิเศษจากแผนก Bespoke และปรับปรุงระบบฟอกอากาศภายในห้องโดยสารใหม่ Micro-Environment Purification System หรือ MEPS เป็นต้น

ขุมพลังมาจากเครื่องยนต์เบนซินตระกูล N74 ของ BMW แบบ V12 ความจุ 6.75 ลิตร Twin Turbo 563 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 850 นิวตันเมตร ที่ 1,600 รอบ/นาที ให้อัตราเร่ง 0 – 100 กม./ชม. ภายใน 4.8 วินาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะของ ZF พร้อมเทคโนโลยี Satellite Aided Transmission

Maserati-Ghibli-Hybrid-2021

11. Maserati Ghibli Hybrid

Maserati (มาเซราติ) เผยโฉม Maserati Ghibli Hybrid (มาเซราติ กิบลี ไฮบริด) หัวใจลูกผสมแบบ Mild Hybrid เป็นครั้งแรกของค่ายนี้ พร้อมการปรับปรุงใหม่รอบคัน ให้ดูแตกต่างไปจาก Ghibli รุ่นปกติ สำหรับลูกค้าที่มองหาสมรรถนะและความประหยัด เตรียมเปิดตัวในไทยเดือนนี้

ใช้เครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 ลิตร Turbo ฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 4 สูบเรียง อัดอากาศด้วย Supercharge ไฟฟ้า หรือ E-Booster ให้แรงม้าสูงสุด 330 แรงม้า และส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ของ ZF พร้อมกำลังไฟ 48 โวลต์ ที่ใช้เทคโนโลยี BSG หรือ Belt-Driven Starter Generator สายพานที่รวมกับมอเตอร์สตาร์ท ทำหน้าที่แทน Alternator (ไดชาร์จ) และนำกระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ระบบไฟ 48 โวลท์ ไปเพิ่มแรงบิด และลดการใช้เชื้อเพลิง

ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 5.7 วินาที ทำความเร็วได้สูงสุด 255 กม./ชม. อีกทั้งยังมาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ มีระบบเชื่อมต่อภายใต้โปรแกรม Maserati Connect ให้ข้อมูลผู้ขับขี่ ทำงานร่วมกับชุดระบบมัลติมีเดีย MIA (Maserati Intelligent Assistant) แบบใหม่ ใช้พื้นฐานของ Android Automotive แสดงผลด้วยจอทัชสกรีนขนาด 10.1 นิ้ว

Audi-e-tron-Sportback-55-quattro-S-line-2020

12. Audi e-tron Sportback

Audi (อาวดี้) เปิดตัว Audi e-tron Sportback 55 quattro S line รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% โมเดลที่ 2 ของ Audi เป็นแบรนด์แรกในประเทศไทย ชูจุดเด่นและความสมบูรณ์แบบทางเทคโนโลยีไฟฟ้า 100% ตอบรับกลยุทธ์ของ AUDI AG ที่กำหนดนิยามใหม่ของ “Vorsprung” ให้มีความทันสมัย สะท้อนจุดยืน ความพร้อม และบทบาทของแบรนด์ Audi สำหรับยุคยานยนต์ใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า

พร้อมเปิดตัวแคมเปญ Branding ใหม่พร้อมกันทั่วโลก กับสโลแกน “Future is An Attitude” ชูจุดเด่นของเทคโนโลยี ดีไซน์ที่สะท้อน DNA ของ Audi ลุคสปอร์ตพรีเมียมและสมรรถนะอันยอดเยี่ยม ภายในมาพร้อมจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ Virtual cockpit plus ขนาด 12.3 นิ้ว และจอควบคุมมัลติฟังก์ชันแบบสัมผัส พร้อมตอบสนองการสั่งงาน (Haptic Feedback) ขนาด 8.6 นิ้ว เพียงปลายนิ้วสัมผัส รองรับการสั่งการด้วยการเขียนด้วยนิ้ว เชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือด้วย Audi Smartphone Interface และเครื่องเสียงระดับพรีเมียม Bang & Olufsen พร้อมระบบเสียง 3 มิติ

ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นใหม่ มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัจฉริยะแบบไฟฟ้า (Electric quattro) มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตำแหน่ง ให้กำลังสูงสุดถึง 300 กิโลวัตต์ หรือ 408 แรงม้า ระยะทางวิ่งสูงสุด 463 กิโลเมตร ต่อการชาร์จไฟหนึ่งครั้ง (อ้างอิงตามผลการทดสอบโดยใช้มาตรฐาน NEDC) การขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตำแหน่ง

ผสมผสานกับระบบขับเคลื่อน quattro และมีการนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่ (Recuperation) อย่างชาญฉลาด 2 รูปแบบ คือ พลังงานจากการปล่อยให้รถวิ่งในลักษณะลอยตัว (Coasting) และพลังงานจากการเบรก (Braking) พร้อมเปิดจองและส่งมอบทันทีในราคา 5,299,000 บาท

BMW-430i-Coupe-M-Sport-2021

13. BMW 430i Coupe M Sport

BMW (บีเอ็มดับเบิลยู) เปิดตัว BMW 430i Coupe M Sport (บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 4 คูเป้) ใหม่ มาพร้อมกลิ่นอายที่ผสมผสานทั้งความแข็งแกร่ง ทรงพลัง และความหรูหราในสไตล์คูเป้ของ BMW ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 90 ปี

โดย BMW 430i Coupe M Sport ใหม่ พัฒนาทั้งในด้านสมรรถนะและสุนทรียภาพให้โดดเด่นกว่ารุ่นก่อนหน้า รวมถึง BMW ซีรี่ส์ 3 ซีดาน อย่างชัดเจน ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบแถวเรียง พร้อมเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo รุ่นใหม่ล่าสุด และเทคโนโลยี Mild Hybrid ยกระดับการโต้ตอบให้ฉับไวกว่า มอบสมรรถนะการขับขี่ได้เต็มพิกัด

ส่งพละกำลังสูงสุด 258 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ระหว่าง 1,550- 4,400 รอบ/นาที ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 5.8 วินาที ในราคา 3,969,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และโปรแกรมบำรุงรักษา BSI Standard)

BMW-X1-sDrive20d-M-Sport-2021

14. BMW X1

BMW X1 (บีเอ็มดับเบิลยู X1) รถยนต์ Sports Activity Vehicle รุ่นปรับโฉมใหม่ ให้การใช้งานที่หลากหลายยิ่งกว่า และฟีเจอร์การใช้งานและอุปกรณ์ล้ำสมัยอีกมากมาย มาพร้อมเครื่องยนต์ BMW TwinPower Turbo แบบ 3 สูบ และ 4 สูบ

โดย BNW X1 sDrive18i (Iconic) ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร ให้แรงม้าสูงสุด 140 แรงม้า ที่ 4,600-6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 220 นิวตันเมตร ที่ 1,480-4,200 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับเกียร์ Steptronic อัตโนมัติ 7 จังหวะ คลัทช์คู่ อัตราเร่ง 0 – 100 กม./ชม. ในเวลา 9.7 วินาที สู่ความเร็วสูงสุด 205 กม./ชม.

ในขณะที่ BMW X1 sDrive20d xLine และ BMW X1 sDrive20d M Sport ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังดีเซล 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร ส่งกำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,500 รอบ/นาที สามารถเร่งความเร็วจากหยุดนิ่งถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 7.9 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 222 กม./ชม.

ซึ่งในรุ่น xLine มาพร้อมเกียร์ Steptronic อัตโนมัติ 8 จังหวะ และในรุ่น M Sport มาพร้อมเกียร์ Steptronic อัตโนมัติ 8 จังหวะแบบสปอร์ต ในราคา 1,999,000 – 2,559,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และโปรแกรมบำรุงรักษา BSI Standard)

New-MG-HS-PHEV-2020

15. MG HS PHEV

MG (เอ็มจี) เปิดตัว MG HS PHEV (เอ็มจี เอชเอส ปลั๊กอินไฮบริด) ชูแนวคิด “Refinement” พร้อมขับเคลื่อนทุกคุณค่าของชีวิต โดยสะท้อนถึงความเหนือระดับ ทั้งความหรูหรา ความสะดวกสบายความปลอดภัย และการแนะนำเทคโนโลยี Plug-in Hybrid ที่ผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับเทคโนโลยี Plug-in Hybrid ผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์ Turbo ขนาด 1.5 ลิตร และมอเตอร์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง ที่มาพร้อมนวัตกรรม Hairpin Design พร้อมแบตเตอรี่ Lithium-ion ขนาดใหญ่ 16.6 kWh ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ EDU II – 10 Speeds ให้กำลังสูงสุด 284 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 480 นิวตันเมตร สามารถเลือกขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้า (EV Mode) ได้ไกลถึง 67 กิโลเมตร

พร้อมติดตั้งระบบความปลอดภัยมาตรฐานสูงมากถึง 25 ระบบ พร้อมทั้ง Advanced Driver Assistance System สนับสนุนช่วยเหลือผู้ขับขี่เทียบเท่าระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ (Autonomous) ระดับ 2 ในราคา 1,359,000 บาท

KIA-Grand-Carnival-2021

16. KIA Grand Carnival

KIA (เกีย) ก็ขอเผยโฉมรถใหม่ๆ ในงาน Motor Expo 2020 ครั้งนี้บ้าง ด้วยการเปิดตัว KIA Grand Carnival (เกีย แกรนด์ คานิวัล) ใหม่! เจเนอเรชั่นที่ 4 ที่ส่งตรงจากเกาหลีใต้มาถึงไทย ที่เตรียมเปิดราคาในงานนี้ด้วยเลย

สำหรับ KIA Grand Carnival โฉมนี้ ปรับรูปโฉมใหม่หมดที่ดูคล้ายกับ SUV และรถมินิแวนในฝั่งอเมริกันมากขึ้น พร้อมกระจังหน้าแบบ Tiger Nose และเส้นสายตัวถังแบบใหม่ เพิ่มเหลี่ยมมุมมากขึ้น สร้างขึ้นบนแพลทฟอร์มใหม่ล่าสุดอย่าง “Grand Utility Vehicle” ที่ใช้ร่วมกับรุ่น Optima และ Sorento พร้อมห้องโดยสารภายในที่หรูหรามากขึ้น โดดเด่นด้วยจอ Infotainment ขนาดใหญ่ด้านคอนโซลหน้า

มาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.2 ลิตร CRDi Turbo 202 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด

นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย ส่ง Nissan Navara (นิสสัน นาวารา) ใหม่ บุกตลาดเป็นประเทศแรกในโลก ด้วยดีไซน์ใหม่ดุดัน เครื่องยนต์ดีเซลใหม่ ขนาด 2.3 ลิตร ทวินเทอร์โบ และติดตั้ง Nissan Intelligent Mobility เทคโนโลยีการขับขี่อัจฉริยะเต็มรูปแบบ เพื่อลูกค้าคนไทยด้วยพลังที่กล้า เพื่อคนแกร่ง

New-Nissan-Navara-2021

ดีไซน์ Concept “Unbreakable Design” คำนึงถึงการใช้งาน และความชื่นชอบของลูกค้า ด้วยดีไซน์ภายนอกที่ดุดัน กระจังหน้าใหม่แบบ Interlock และซุ้มล้อขนาดใหญ่เพิ่มความโดดเด่น ระบบไฟหน้าแบบ QUAD – LED คุณภาพสูง 4 ดวงพร้อม Daytime Running Light และไฟท้ายแบบ LED แบบเส้นเดียวที่ทันสมัย โดยไม่ละทิ้ง DNA ของนิสสันที่ท้าทายทุกขีดจำกัด และพร้อมให้ลูกค้าสามารถเดินทางไปได้ทุกที่ จากชื่อเสียงมากกว่า 80 ปีของรถกระบะนิสสันที่ลูกค้ายอมรับในเรื่องความแข็งแกร่งทนทาน

New-Nissan-Navara-2021

การเปิดตัวในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ Nissan NEXT ที่ประเทศไทย เป็น 1 ใน 2 ฐานการผลิตนิสสัน นาวารา ใหม่ เพื่อลูกค้าชาวไทยและส่งออกไปกว่า 26 ประเทศ

New-Nissan-Navara-2021

เครื่องยนต์ของนิสสัน มีชื่อเสียงทั้งด้านประสิทธิภาพ และความทนทาน โดย นาวารา ใหม่ มีเครื่องยนต์ 3 แบบได้แก่

  • เครื่องยนต์ YS23DDTT ขนาด 2.3 ลิตร 4 สูบ Twin Turbo เกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด พร้อมโหมด Manual ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า (PS) และแรงบิด 450 นิวตัน-เมตร (Nm)
  • เครื่องยนต์ YS23DDT ขนาด 2.3 ลิตร 4 สูบ เทอร์โบแปรผันแบบ VGS เกียร์ธรรมดา 6 สปีด ให้กำลังสูงสุด 163 แรงม้า (PS) และแรงบิด 403 นิวตัน-เมตร (Nm)
  • เครื่องยนต์ YD25DDTTi ขนาด 2.5 ลิตร เทอร์โบแปรผันแบบ VGS ให้กำลังสูงสุด 163 แรงม้า (PS) และแรงบิด 403 นิวตัน-เมตร (Nm)

นอกจากนี้ ยังคงความสมบูรณ์แบบที่สามารถลุยได้ทุกที่ ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ อาทิ ระบบป้องกันการลื่นไถล (Brake Limited Slip Differential: B-LSD) และ ระบบล็อกเฟืองท้ายแบบไฟฟ้า (Electronic Rear Locking Differential) รวมถึงเทคโนโลยีกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (IAVM) ที่เสริมฟังก์ชัน Off-Road Meter เมื่ออยู่ในโหมด 4L

เทคโนโลยีที่ให้ความมั่นใจ ปลอดภัย และสะดวกสบายทุกการขับขี่

มาพร้อมเทคโนโลยีการขับเคลื่อนอัจฉริยะ นิสสัน อินเทลลิเจนท์ โมบิลิตี อาทิ เทคโนโลยีเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ (Intelligent Emergency Breaking) เทคโนโลยีเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนอัจฉริยะ (Intelligent Forward Collision Warning) เทคโนโลยีป้องกันการชนจากจุดอับสายตาอัจฉริยะ (Intelligent Blind Spot Intervention) เทคโนโลยีควบคุมรถเมื่อออกนอกช่องทางอัจฉริยะ (Intelligent Lane Intervention) รวมถึง เทคโนโลยีกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (Intelligent Around View Monitor ที่มีฟังก์ชัน Off-Road Meter เป็นต้น

ตลอดจนเทคโนโลยีความปลอดภัย เซฟตี้ ชิลด์ (Safety Shield Technology) ที่ครบครัน อาทิ ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (Traction Control: TCS), ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวอัจฉริยะ (Vehicle Dynamic Control: VDC) และระบบควบคุมเสถียรภาพของรถขณะลากจูง (Trailer Sway Assist: TSA) เป็นต้น

New-Nissan-Navara-2021

ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ด้วยการเชื่อมต่ออย่างสมบูรณ์แบบ

การเชื่อมต่อเพื่อใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟน สามารถทำได้ผ่าน NissanConnect ที่สามารถเชื่อมต่อกับ Apple CarPlay และ Android Auto* เพื่อใช้งานในรูปแบบที่หลากหลาย อาทิ ระบบนำทาง (Navigation system) หรือ แอปพลิเคชันฟังเพลงต่างๆ ผ่านหน้าจอเครื่องเสียงรถยนต์ระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว พร้อมด้วยระบบสั่งงานด้วยเสียงหรือ Voice Recognition

พร้อมเทคโนโลยีการเชื่อมต่อเพื่อความปลอดภัยและสะดวกสบายตลอดการเดินทาง ร่วมกับแอปพลิเคชัน NissanConnect Service บนสมาร์ทโฟน* เพื่อให้สามารถเชื่อมต่อและดูข้อมูลของรถยนต์ผ่านสมาร์ทโฟน โดยมีฟังก์ชั่นเด่นๆ อาทิ การแสดงพิกัดรถยนต์ สถานะรถยนต์ การช่วยเหลือฉุกเฉิน และ ประวัติการขับขี่ เป็นต้น

*เฉพาะสมาร์ทโฟนรุ่นที่รองรับการใช้งาน

New-Nissan-Navara-2021

สะดวกสบายในทุกการเดินทาง และเต็มที่กับทุกการใช้งาน

ห้องโดยสารของนิสสัน นาวารา ใหม่ ใช้กระจกแบบ Noise-Reducing Acoustic Glass ลดเสียงรบกวน และกระจกตอนหลังกรองแสงสีชาเพื่อความสบายตา หรูหราด้วยการตกแต่งภายในด้วยหนังแท้รอบห้องโดยสารโทนสีดำ เบาะนั่งคู่หน้าแบบ Zero Gravity ปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมดันหลังปรับไฟฟ้า ในตำแหน่งผู้ขับขี่ ที่นั่งด้านหลังเพิ่มความสบายด้วยดีไซน์ใหม่นุ่มสบาย (Comfort rear seating cushions) มีที่พักแขนและที่วางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง รวมถึงพอร์ต USB Type C บริเวณคอนโซลกลาง

สมรรถนะด้านการบรรทุก เป็นที่ได้รับการยอมรับจากลูกค้ามาโดยตลอด นาวารา ใหม่ ยังตอบโจทย์การบรรทุกหนักด้วยโครงสร้างแชสซีส์ เหล็กกล้าชิ้นเดียวตลอดคัน ที่พื้นที่กระบะตอนท้ายได้เพิ่ม Step ด้านท้ายรถ เพื่อความสะดวกในการใช้งานขึ้นลง รวมถึงการปรับตำแหน่งตะขอยึดใหม่ เพื่อตอบโจทย์การบรรทุกสัมภาระทั้งขนาดใหญ่และเล็ก

New-Nissan-Navara-2021

PRO4X และ PRO2X อีกขั้นของกระบะ Adventure สำหรับทุกความท้าทาย

นิสสัน นาวารา PR04X และ PRO2X ใหม่ถ่ายทอด DNA มาจาก Nissan Titan กระบะ Full-Size ในสหรัฐอเมริกา เสริมความดุดันของดีไซน์ภายนอกที่ทันสมัย กระจังหน้า และอุปกรณ์ตกแต่งโทนสีดำ ช่วงล่างที่ปรับแต่งใหม่ ผสานกับล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว พร้อมยางแบบ All Terrain นิสสัน นาวารา ใหม่ PRO Series

มาพร้อมสีพิเศษ สเตลท์ เกรย์ (Stealth Gray) เสริมด้วยชุดแต่ง แอคเซนท์สีส้ม-แดง ภายในห้องโดยสาร และเบาะนั่งสีดำดีไซน์สปอร์ต พร้อมโลโก้ PRO4X

New-Nissan-Navara-2021

สำหรับสีภายนอก มีให้เลือกทั้งหมด 7 สี ได้แก่ สีขาว White Solid, สีขาว White Pearl, สีเงิน Brilliant Silver, สีดำ Black Star, สีแดง Burning Red และสีใหม่ Forged Copper

ขณะที่รุ่น PRO series ทั้ง PRO4X และ PRO2X จะมี สีเทา Stealth Gray เพิ่มเป็นทางเลือกเฉพาะรุ่นอีกด้วย

ลูกค้าสามารถจองนิสสัน นาวารา ใหม่ ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และดูตัวจริงได้ในงาน Motor Espo 2020 โดย นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย จะเริ่มส่งมอบนาวารา ใหม่ ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2563

New-Nissan-Navara-2021

สำหรับราคา Nissan Navara มีดังนี้ครับ / Nissan Navara (Minorchange) Price. Shown in Thai Baht.

King Cab

  • รุ่น S 6MT ราคา 599,000 บาท
  • รุ่น SL 6MT ราคา 609,000 บาท
  • รุ่น E 6MT ราคา 689,000 บาท
  • รุ่น Calibre E 6MT ราคา 765,000 บาท
  • รุ่น Calibre E 7AT ราคา 815,000 บาท
  • รุ่น Calibre V 6MT ราคา 809,000 บาท
  • รุ่น Calibre V 7AT ราคา 859,000 บาท

Double Cab

  • รุ่น Calibre E 6MT ราคา 849,000 บาท
  • รุ่น Calibre E 7AT ราคา 899,000 บาท
  • รุ่น Calibre V 6MT ราคา 915,000 บาท
  • รุ่น Calibre V 7AT ราคา 965,000 บาท
  • รุ่น 4WD VL 7AT ราคา 1,129,000 บาท

PRO-2X และ New PRO-2X

  • รุ่น PRO-2X 2WD 7AT 999,000 บาท
  • รุ่น PRO-4X 4WD 7AT 1,149,000 บาท

ส่วนใครที่อยากขายรถ ไม่ว่าจะเป็นรถบ้าน รถมือสอง ก็สามารถปรึกษากับทางเราดูก่อนได้ เพียงแค่คุณขายรถคันเดิมกับ CARRO ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ CARRO Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

ในปี 2020 และ 2021 ที่กำลังจะมาถึงนี้ บอกได้เลยว่ากระแสรถยนต์ไฟฟ้า และรถยนต์แบบ SUV นี้ ยังคงฮิตติดตลาดแน่นอน หลายๆ แบรนด์ ที่เคยผลิต หรือไม่เคยผลิตรถทั้ง 2 ประเภทนี้ ต่างต้องรีบทุ่มทุนสร้างสรรค์ผลงานออกมาขายกันยกใหญ่ เพื่อดูดเงินจากกระเป๋าเราๆ ท่านๆ นั่นเอง

HUMMER (ฮัมเมอร์) ก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่ถูก Reborn กลับขึ้นมาใหม่โดย GM ซึ่งจุดเริ่มต้นของ Hummer นั้นมาจากรถยนต์ที่ใช้งานทางทหาร ในชื่อ HMMWV (The High Mobility Multipurpose Wheeled Vehicle) หรือ Humvee อันโด่งดังในช่วงสงครามอ่าวเปอร์เซีย

หลังจากนั้นกลุ่ม GM ก็ซื้อสิทธิ์ในการทำตลาดแบรนด์ Hummer จากผู้ผลิตดั้งเดิมอย่าง AM General ในปี 1999 เพื่อพัฒนาให้สามารถใช้งานในชีวิตประจำวันได้ และออกมาขายด้วยกันถึง 3 รุ่น คือ H1, H2 และ H3 ก่อนจะยุติการทำตลาดไปในปี 2010

GMC-Hummer-EV-2022

การกลับมาของ GMC Hummer EV 2022 ถือว่าสร้างเสียงฮือฮาสำหรับคนชอบรถแนว Off-Road ได้พอสมควร แม้ว่าจะมาในฐานะแบรนด์ย่อยของ GMC ก็ตาม ตัวรถยังคงเหมือนรุ่นดั้งเดิม เรียบง่ายแต่ทันสมัย ด้านหน้าใช้ชุดไฟหน้า LED ทรงเรียว นอกจากนี้ยังมีบังโคลน กันชนขนาดใหญ่ และอื่นๆอีกมากมายที่รถออฟโรดหนึ่งคันควรจะมี

GMC-Hummer-EV-2022

เมื่อดูในห้องโดยสาร ภายในออกแบบได้ล้ำยุค แต่ก็ยังคงความเหลี่ยมอันเป็นเอกลัษณ์ของ Hummer ใช้แผงหน้าปัดดิจิทัลขนาด 12.3 นิ้ว พร้อมจอ Infotainment ขนาด 13.4 นิ้ว ผนวกกับชุดเครื่องเสียงจาก BOSE ด้วยลำโพง 14 ตัว พร้อม Transparent Sky Panels หลังคาที่สามารถถอดออกได้ เพื่อรับสายลมแสงแดด

GMC-Hummer-EV-2022

และอีกจุดเด่นนั่นคือระบบ Hummer’s UltraVision ติดตั้งกล้องไว้รอบคันรถถึง 18 มุมมอง มีตั้งแต่ “ตัวตรวจจับเสมือน” ไปจนถึงกล้องใต้ท้องเครื่องยนต์ เพื่อช่วยหลบหลีกสิ่งกีดขวาง

GMC-Hummer-EV-2022

ขุมพลังใช้มอเตอร์ไฟฟ้าสามตัว ให้กำลังรวมประมาณ 1,000 แรงม้า (746 กิโลวัตต์) และแรงบิดประมาณ 11,500 ปอนด์ – ฟุต (15,592 ปอนด์ – ฟุต) ขับเคลื่อนสี่ล้อ ส่วนอัตราเร่งจาก 0-60 ไมล์/ชม. (0-96 กม./ชม.) ในเวลาประมาณ 3 วินาที เมื่อใช้ระบบ Launch Control “Watts to Freedom” สามารถวิ่งได้ระยะทางมากถึง 350 ไมล์ (หรือ 563 กิโลเมตร) เมื่อชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง

GMC-Hummer-EV-2022

และในตอนนี้ Hummer EV เปิดตัวในรุ่น Edition 1 แล้ว โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 112,595 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 3.5 ล้านบาท) ซึ่งสามารถสร้างยอดจอง 1,000 คัน ได้อย่างรวดเร็ว ภายใน 10 นาที ก็เต็มยอดจองแล้ว! โดยพร้อมส่งมอบรถในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ปี 2021

และในปี 2022 ทาง GMC เตรียมนำเสนอ Hummer EV3X ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2022 ในราคา 99,995 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 3.1 ล้านบาท) ซึ่งยังใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว แต่แรงม้าลดลงมาเหลือ 800 แรงม้า และแรงบิด 9,500 ปอนด์-ฟุต (12,880 นิวตันเมตร) วิ่งได้ระยะทาง 482 กม./ชาร์จ

GMC-Hummer-EV-2022

โดยในปี 2023 จะเปิดตัว Hummer EV2X ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว 625 แรงม้า วิ่งได้ระยะทาง 482 กม./ชาร์จ ในราคา 89,995 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 2.8 ล้านบาท) และในปี 2024 เปิดตัว Hummer EV2 ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว 625 แรงม้า วิ่งได้ระยะทาง 402 กม./ชาร์จ ในราคา 79,995 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 2.4 ล้านบาท)

ส่วนใครที่อยากได้ GMC Hummer EV ใหม่ แต่เงินสดมีไม่เพียงพอ ถ้าใช้รถคันเดิมอยู่ สามารถนำมาขายกับทาง CARRO ได้ แม้ว่ารถจะติดไฟแนนซ์ เราก็พร้อมปิดไฟแนนซ์ให้ และยินดีรับซื้อรถของคุณ สามารถเข้าไปเช็กราคา ตีราคาขายรถก่อนได้ โดยใส่ข้อมูลรถของคุณที่นี่เลย กับ CARRO Express > https://th.carro.co/sell-car/express หรือโทร. 02-508-8425

หรือใครจะ Inbox มาสอบถามก็ได้เช่นกัน ที่ Facebook CARRO Thailand หรือสะดวก Add Line ก็ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

All-New-Isuzu-MU-X-2020

Isuzu (อีซูซุ) เปิดตัว “All-New Isuzu MU-X (ออลนิว อีซูซุมิว-เอ็กซ์)” ยนตรกรรมอเนกประสงค์รุ่นใหม่หมดระดับ Masterpiece รุ่นล่าสุด ภายใต้นิยาม “เหนือทุกความเชื่อ…เหนือทุกความสำเร็จ (Originality Redefined)” พลิกโฉมใหม่ทั้งภายนอกจรดภายใน ด้วยดีไซน์ที่หรูหรา สะดวกสบาย ประณีตในทุกรายละเอียด

พร้อมเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยสุดล้ำ Isuzu Matrix Safety Intelligence ที่ครบครัน และเหนือกว่าด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ADAS ที่มาพร้อมนวัตกรรมกล้องหน้าคู่อัจฉริยะ รวมทั้งพัฒนาสมรรถนะการขับขี่ให้นุ่มนวล มั่นคง ปลอดภัยยิ่งขึ้น ความโดดเด่นที่แตกต่างอย่างมีเอกลักษณ์

All-New-Isuzu-MU-X-2020

ซึ่ง All-New Isuzu MU-X พร้อมแล้วกับการเปิดตัวครั้งแรกในโลกที่เมืองไทย เพื่อเป็นรถธงคันใหม่ของ “อีซูซุ” ที่พร้อมจะสร้างปรากฏการณ์ “Next Normal” ให้กับวงการรถอเนกประสงค์ของไทย นอกจากนี้อีซูซุยังภูมิใจที่จะประกาศให้ทราบว่า มียอดการผลิตรถอีซูซุทุกรุ่นในประเทศไทยครบ 5 ล้านคันแล้วในเดือนตุลาคม

โดดเด่นที่แตกต่างอย่างมีเอกลักษณ์ สะท้อนตัวตนของ “ออลนิว อีซูซุมิว-เอ็กซ์” ประกอบด้วยหลักใหญ่ ๆ ดังนี้

All-New-Isuzu-MU-X-2020

REFLECT YOUR UNIQUE SUCCESS นิยามใหม่แห่งดีไซน์สมบูรณ์แบบ เพื่อความโดดเด่นที่แตกต่าง

อีกระดับแห่งภาพลักษณ์หรู ล้ำสไตล์ สง่างาม โฉบเฉี่ยวเร้าอารมณ์ ภายใต้แนวคิด Emotional & Solid ผสานความหนักแน่นและพลิ้วไหวเข้าไว้ด้วยกันตลอดทั้งคัน อาทิ กระจังหน้าแบบ World Cross Flow, ไฟหน้า Bi-LED Projector ดีไซน์แบบ Arrow Signature สอดรับกับเส้นสายด้านข้างอันเป็นเอกลักษณ์ ทอดยาวสู่ไฟท้าย LED ดีไซน์แบบ Winglet Signature เพิ่มมิติมุมมองให้โดดเด่นด้วยโคมไฟ 3-Line LED

ล้ออัลลอยขนาดใหญ่ Dynamic Design คมเข้ม ดุดัน ขนาด 20″ ในรุ่น Ultimate ขนาด 18″ ในรุ่น Elegant และ Luxury และขนาด 17″ ในรุ่น Active

All-New-Isuzu-MU-X-2020

EMBRACE YOUR EXQUISITE LUXURY เดินทางไปกับนิยามใหม่แห่งความหรูหราของห้องโดยสาร

กว้างขวาง โอ่อ่า ด้วยแนวคิดการออกแบบ Fine, Rich & Impressive Craftsmanship ด้วยวิธีการออกแบบ Integrated Cockpit คอนโซลหน้าเชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกับคอนโซลกลาง จัดวางเรียบหรู พร้อมเบรกมือไฟฟ้า และระบบ Auto Brake Hold ระบบช่วยหยุดอยู่กับที่โดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้างไว้ และปลดเบรกอัตโนมัติเมื่อแตะคันเร่ง

All-New-Isuzu-MU-X-2020

เบาะนั่งดีไซน์หรูสี Saddle Brown ตัดเย็บด้วยวัสดุพิเศษ เดินด้ายแบบเครื่องหนังชั้นหรู พร้อมเทคโนโลยี COOLMAX ช่วยลดการสะสมความร้อน พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน พร้อม Sequential Paddle Shift เปลี่ยนเกียร์ได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส

All-New-Isuzu-MU-X-2020

All-New-Isuzu-MU-X-2020

ระบบเปิด-ปิดประตูท้ายด้วยไฟฟ้า Power Tailgate ปลอดภัยด้วยระบบ Jam Protection พร้อมเทคโนโลยีความบันเทิงและความสะดวกสบายครบครัน โดยมี Ambient Light และ Dome Light ช่วยให้บรรยากาศหรูมีระดับ

All-New-Isuzu-MU-X-2020

PROTECT YOUR EXCLUSIVE SERENITY ก้าวล้ำสู่อีกขั้นแห่งความมั่นใจที่ครบครันกว่า

ด้วยเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยล้ำหน้าล่าสุด Isuzu Matrix Safety Intelligence พัฒนาให้ระบบเพื่อความปลอดภัยทุกระบบทำงานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวอย่างมีประสิทธิภาพ ล้ำหน้าไปอีกขั้นกับเทคโนโลยี ADAS (Advanced Driver Assistance Systems) ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ช่วยสอดส่อง เฝ้าระวัง ด้วยนวัตกรรมกล้องหน้าคู่ 3D Imaging Stereo Camera แม่นยำกว่ากล้องเดี่ยวแบบ Mono Camera ทั่วไป ช่วยตรวจจับเส้นถนนและวัตถุด้านหน้ารถแบบ Real Time ด้วยมิติที่ชัดเจน พร้อมเรดาร์ 2 จุด และเซ็นเซอร์ 8 จุดรอบคัน

ควบคู่ไปกับระบบความปลอดภัยพื้นฐานครบครันทุกรุ่น อาทิ ABS, EBD, BA, BOS, ESC, TCS, HSA, HDC และ TSC เพื่อส่งมอบความมั่นใจและอุ่นใจเหนือระดับยามขับขี่

All-New-Isuzu-MU-X-2020

เทคโนโลยี ADAS ที่รวมไว้ใน “ออลนิว อีซูซุมิว-เอ็กซ์” ได้แก่

  • ACC (Full Speed Range Adaptive Cruise Control) ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมฟังก์ชัน Stop and Go
  • FCW (Forward Collision Warning) ระบบแจ้งเตือนก่อนการชนด้านหน้า
  • AEB (Autonomous Emergency Braking) ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ
  • LDW (Lane Departure Warning) ระบบแจ้งเตือนออกนอกเลน
  • AHB (Automatic High Beam) ระบบควบคุมไฟสูงอัตโนมติ
  • PMM (Pedal Misapplication Mitigation) ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์เมื่อเหยียบคันเร่งผิดพลาด
  • MSL (Manual Speed Limiter) ระบบตั้งค่าจำกัดความเร็วสูงสุดด้วยตัวเอง
  • BSM (Blind Spot Monitoring) ระบบแจ้งเตือนจุดอับสายตา
  • RCTA (Rear Cross Traffic Alert) ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถยนต์
  • Parking Aid System ระบบเซ็นเซอร์ช่วยจอดรถยนต์
  • MCB (Multi-Collision Brake) ระบบเบรกอัตโนมัติหลังการเกิดอุบัติเหตุ ช่วยลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อน

All-New-Isuzu-MU-X-2020

DEFY YOUR ENDLESS POSSIBILITY ดุลยภาพแห่งความเร้าใจ เสถียรภาพใหม่แห่งการขับขี่

โครงสร้างแพลทฟอร์มใหม่ ช่วงล่างใหม่ ออกแบบตามแนวคิด ISUZU Symmetric Mobility ให้โครงสร้างตัวถัง แชสซีส์ การวางตำแหน่งเครื่องยนต์ และช่วงล่างทำงานร่วมกันได้ลงตัว ช่วงล่างหน้าแบบอิสระปีกนก 2 ชั้น Double Wishbone ออกแบบจุดยึดปีกนกด้านบนใหม่ พร้อมคอยล์สปริง โช้คอัพแก๊สและเหล็กกันโคลงขนาดใหญ่ ช่วงล่างด้านหลังแบบ 5-Link Suspension อันเลื่องชื่อที่พัฒนาไปอีกขั้น ออกแบบจุดยึดคานใหม่และเหล็กกันโคลงให้ยาวขึ้น พร้อมคอยล์สปริงและโช้คอัพแก๊ส

All-New-Isuzu-MU-X-2020

เพื่อสร้างประสบการณ์ และสมรรถนะการขับขี่ที่ดีที่สุดแบบ 3S ได้แก่

  • ความนิ่งและมั่นคง (Stability)
  • ความนุ่มนวลนั่งสบาย (Softness)
  • ความปลอดภัยและการเกาะถนน (Safety and Road Holding)

All-New-Isuzu-MU-X-2020

CRAFT YOUR ULTIMATE PLEASURE สัมผัสใหม่แห่งความสะดวกสบายที่เชื่อมต่อทุกไลฟ์สไตล์ได้อย่างลงตัว

ครบครันด้วยเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกสุดล้ำทั้งคัน ด้วยเบาะนั่งสามแถว ออกแบบให้นั่งสบายทั้ง 7 ที่นั่ง เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า ระบบความบันเทิง ISUZU Ultimate Entertainment หน้าจอ Infotainment Display ขนาดใหญ่ 9 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay แบบไร้สาย และ Android Auto พร้อมลำโพง 8 จุด ให้มิติเสียงรอบทิศทาง

ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual Zone แยกอิสระซ้าย-ขวา พร้อมฟิลเตอร์กรองฝุ่น PM 2.5 Charging Station รองรับการใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าหลากหลาย ทั้ง USB Fast Charger ช่องต่อ AC Power Socket 220V และช่องต่อ DC 12V

และกุญแจ ISUZU Genius Entry สตาร์ทเครื่องยนต์ด้วย Remote Engine Start ใช้เปิด-ปิดประตูท้ายไฟฟ้าได้ด้วย

All-New-Isuzu-MU-X-2020

FULFIL YOUR DISTINCTIVE DESIRE เลือกตัวตนที่บ่งบอกตัวคุณ

“ออลนิว อีซูซุมิว-เอ็กซ์” มีให้เลือกครบครันด้วยสไตล์ที่หลากหลายรวม 4 รุ่น ได้แก่ Ultimate, Elegant, Luxury และ Active
เครื่องยนต์ 3.0 Ddi Blue Power และ 1.9 Ddi Blue Power Gen 2 พร้อมทางเลือกทั้งเกียร์อัตโนมัติ และเกียร์ธรรมดาแบบ 6 สปีด มีให้เลือกทั้งระบบขับเคลื่อน 2 ล้อและ 4 ล้อ พร้อมระบบขับเคลื่อน Rough Terrain Mode ในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ โดยทำงานได้ทั้ง 2H, 4H และ 4L

อีกทั้งมีให้เลือกถึง 6 สี ได้แก่ น้ำตาลมาราเกซ (Marrakesh Brown) ขาวมุกโดโลไมท์ (Dolomite Pearl White) แดงเอทนา (Etna Red) ดำบาวาเรียน ไมก้า (Bavarian Black Mica) เงินไอซ์เบิร์ก (Iceberg Silver) และเงินโบฮีเมียน เมทัลลิค (Bohemian Silver Metallic)

All-New-Isuzu-MU-X-2020

All-New Isuzu MU-X 2021 ใหม่ มีให้เลือกทั้งหมด 7 รุ่น ดังนี้

  • 1.9 Ddi Active A/T ราคา 1,121,000 บาท (ราคาช่วงแนะนำ 1,109,000 บาท)
  • 1.9 Ddi Luxury M/T ราคา 1,266,000 บาท (ราคาช่วงแนะนำ 1,254,000 บาท)
  • 1.9 Ddi Luxury A/T ราคา 1,304,000 บาท
  • 1.9 Ddi Elegant A/T ราคา 1,349,000 บาท
  • 1.9 Ddi Ultimate A/T ราคา 1,434,000 บาท
  • 3.0 Ddi Ultimate A/T ราคา 1,479,000 บาท
  • 3.0 Ddi 4X4 Ultimate A/T ราคา 1,579,000 บาท

Promotion All-New Isuzu MU-X ดูได้ที่นี่ – https://th.carro.co/blog/isuzu-car-price-list/

เชิญพบกับรถยนต์นั่งอเนกประสงค์รุ่นใหม่หมด “All-New Isuzu MU-X” ได้ที่โชว์รูมอีซูซุทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน ศกนี้

ส่วนใครที่อยากได้ All-New Isuzu MU-X ใหม่ แต่เงินสดมีไม่เพียงพอ ถ้าใช้รถคันเดิมอยู่ สามารถนำมาขายกับทาง CARRO ได้ แม้ว่ารถจะติดไฟแนนซ์ เราก็พร้อมปิดไฟแนนซ์ให้ และยินดีรับซื้อรถของคุณ สามารถเข้าไปเช็กราคา ตีราคาขายรถก่อนได้ โดยใส่ข้อมูลรถของคุณที่นี่เลย กับ CARRO Express > https://th.carro.co/sell-car/express หรือโทร. 02-508-8425

หรือใครจะ Inbox มาสอบถามก็ได้เช่นกัน ที่ Facebook CARRO Thailand หรือสะดวก Add Line ก็ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

New-MG-HS-PHEV-2020

MG ประเทศไทย ตอกย้ำภาพลักษณ์การเป็นผู้นำตลาดในกลุ่มรถ SUV และรถยนต์พลังงานทางเลือกในประเทศไทย ประกาศเปิดตัว New MG HS PHEV (เอ็มจี เอชเอส ปลั๊กอินไฮบริด) ชูแนวคิด “Refinement” พร้อมขับเคลื่อนทุกคุณค่าของชีวิต โดยสะท้อนถึงความเหนือระดับ ทั้งความหรูหรา ความสะดวกสบายความปลอดภัย และการแนะนำเทคโนโลยี Plug-in Hybrid

MG ได้เริ่มทำตลาดรถยนต์ในไทยเมื่อ 7 ปีที่แล้ว ซึ่งต้องเผชิญกับการตั้งคำถาม และความท้าทายมากมาย จากความทุ่มเททำงานอย่างหนักตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทำให้ในตอนนี้ MG ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่กับตลาดรถยนต์เมืองไทย

และต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา รถยนต์คันที่ 100,000 ได้ผลิตออกจากโรงงานของเรา ซึ่งก็คือ NEW MG HS PHEV ที่เปิดตัวในวันนี้ ถือเป็นรถยนต์ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบที่สี่ต่อจากเครื่องยนต์เบนซิน เครื่องยนต์ดีเซล และรถยนต์ไฟฟ้าที่เปิดตัวในปีที่ผ่านมา เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคชาวไทย

New-MG-HS-PHEV-2020

New MG HS PHEV “REFINEMENT” พร้อมขับเคลื่อนทุกคุณค่าของชีวิต

รถ SUV รุ่นล่าสุดของเอ็มจี ที่มาพร้อมเทคโนโลยี Plug-in Hybrid ผสานพลังสุดยอดแห่งระบบขับเคลื่อน 2 ระบบ เข้าด้วยกัน ทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า เพิ่มขีดสุดให้สมรรถนะในการขับขี่ พร้อมเทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยขั้นสูง ครบครันด้วยองค์ประกอบการดีไซน์ที่โดดเด่น ภายใต้แนวคิด Brit Dynamic ที่ผสานทั้ง สมรรถนะ (Performance) การควบคุม (Handling) การออกแบบ (Design) และความปลอดภัย (Safety) ได้อย่างลงตัว

New-MG-HS-PHEV-2020

Refined Performance: ขุมพลังแห่งการขับเคลื่อนที่สมบูรณ์แบบของระบบปลั๊กอินไฮบริด

New MG HS PHEV ขับเคลื่อนด้วยระบบ Plug-in Hybrid มีพละกำลังสูงสุด 284 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 480 นิวตันเมตร จากขุมพลังของเครื่องยนต์เบนซิน Turbo ขนาด 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 162 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร และมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor ที่ให้กำลังสูงสุด 122 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 230 นิวตันเมตร มีระบบเกียร์แบบ EDU II – 10 Speeds ที่ใช้เวลาเปลี่ยนเกียร์เพียง 0.2 วินาที ตอบสนองได้อย่างทันใจ

New-MG-HS-PHEV-2020

และเพิ่มความนุ่มนวลมากยิ่งขึ้น สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายในเวลา 7.5 วินาที มาพร้อมรูปแบบการขับขี่ถึง 5 รูปแบบ ได้แก่ โหมด Normal โหมด Eco โหมด EV และโหมด Sport เสริมด้วยปุ่ม Super Sport ที่เพิ่มประสบการณ์การขับขี่ให้ดียิ่งขึ้น

แบตเตอรี่ใน New MG HS PHEV เป็นแบตเตอรี่ Lithium-Ion แบบ 6 โมดูล ซึ่งเป็นเทคโนโลยีแบตเตอรี่ขั้นสูง โดยมีขนาดใหญ่ถึง 16.6 kWh ทำให้มีประสิทธิภาพและเสถียรภาพในการสะสมพลังงานได้มากกว่าจึงวิ่งได้นานขึ้น รวมถึงการทำระยะทางได้มากขึ้น โดยสามารถขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% สูงสุดถึง 67 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง

New-MG-HS-PHEV-2020

นอกจากนี้ ยังใช้เทคโนโลยีในมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Hairpin Design ทำให้มอเตอร์ไฟฟ้าสามารถดึงสมรรถนะของการส่งกำลังและลดอัตราการสูญเสียพลังงานได้ดียิ่งขึ้น พร้อมระบบระบายความร้อนแบบ Coolant ซึ่งดีกว่าระบบระบายความร้อนแบบปกติ ทำให้มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ อีกทั้งยังเพิ่มความมั่นใจและปลอดภัยในการขับขี่ด้วยแบตเตอรี่ที่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก AMERICAN UL2580 และผ่านการทดสอบตามมาตรฐาน IP67 ในการป้องกันน้ำและฝุ่น

New MG HS PHEV มาพร้อมระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) ที่สามารถชาร์จพลังงาน ในระหว่างการขับขี่กลับเข้าแบตเตอรี่ (Regenerative) โดยเลือกระดับการชาร์จพลังงานกลับได้ถึง 3 ระดับ

และด้วยเทคโนโลยี Plug-in Hybrid ทำให้ New MG HS PHEV มีอัตราการประหยัดน้ำมันสูงสุดอยู่ที่ 65 กม./ลิตร (อ้างอิงข้อมูลจาก Eco Sticker) และมีการปล่อยค่าไอเสีย หรือคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 36 กรัม/กม.

New MG HS PHEV ให้ความนุ่มนวลในการขับขี่ด้วยระบบกันสะเทือนของช่วงล่างแบบ Euro Tuning Suspension เสริมด้วยระบบช่วงล่างหน้าแบบ MacPherson Strut และช่วงล่างหลังแบบ Multi-link ที่มาพร้อมเหล็กกันโคลงทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ทำให้มั่นใจยิ่งขึ้นเมื่อขับขี่บนทุกสภาพถนน

New-MG-HS-PHEV-2020

Refined Exterior: ขีดสุดของการออกแบบ

New MG HS PHEV มีความโดดเด่นทางดีไซน์ที่ยกระดับพื้นฐานมาจากรถยนต์ C-SUV ยอดนิยมอย่าง “MG HS” ใช้เส้นสายตัวถังที่โค้งมน ในรูปแบบ British Shoulder Line กระจังหน้าเอกลักษณ์เฉพาะของเอ็มจีแบบ Stellar Magnetic Field ไฟหน้าแบบ LED Projector พร้อมระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ ไฟส่องสว่างสำหรับขับขี่เวลากลางวัน (Daytime Running Lights) ไฟท้าย LED Space Light Field และไฟเลี้ยวแบบ Sequential ที่แสดงผลแบบไล่ระดับทั้งด้านหน้าและด้านหลัง

เพิ่มเอกลักษณ์ความเป็นรถยนต์ Plug-in Hybrid ด้วยล้ออัลลอยด์ดีไซน์ใหม่ในสไตล์ Thunder Wing Blade ขนาด 18 นิ้ว

New-MG-HS-PHEV-2020

Refined Interior & Utility: สะดวกสบายตลอดเส้นทาง

New MG HS PHEV ตกแต่งห้องโดยสารภายในด้วยสี 2-Tone Monaco Blue และใช้วัสดุ Soft Touch เบาะหนังคู่หน้าแบบ Sport Bucket Seat ตกแต่งด้วยวัสดุ Alcantara เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง และเบาะนั่งผู้โดยด้านหน้าปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง เพิ่มความเป็นส่วนตัวในห้องโดยสารด้วย NVH Luxury Silence Space เพิ่มฟิล์มกันเสียง และแผ่นซับเสียงภายในห้องโดยสาร ที่ช่วยตัดเสียงรบกวนภายนอก พร้อมหลังคาซันรูฟที่เปิดกว้างแบบพาโนรามา (Panoramic Sunroof) บนพื้นที่เกือบ 90% ของพื้นที่หลังคา

มอบประสบการณ์ใหม่ในการขับขี่ ด้วยจอแสดงผลอัจฉริยะ Full Virtual Dashboard ขนาด 12 นิ้ว และจอควบคุมกลางแบบ Touch Screen ขนาด 10 นิ้ว ระบบเสียง BOSE 8.1 Sound System พร้อมสร้างบรรยากาศและสีสันให้กับการขับขี่ด้วย Interactive Ambient Light ที่ปรับเฉดสีได้มากถึง 64 เฉดสี

นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้งระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบแยกฝั่ง Dual Zone พร้อมช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ ระบบกรองอากาศ PM 2.5 ระบบกุญแจรีโมทอัจฉริยะ Smart Key พร้อมปุ่ม Push Start และฝากระโปรงท้ายระบบไฟฟ้า

New-MG-HS-PHEV-2020

Refined i-SMART: รู้ใจกว่าที่คิด

New MG HS PHEV ติดตั้งระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i-SMART ที่ทำให้เอ็มจีเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี การเชื่อมต่อ โดยทำให้ผู้ขับขี่สามารถสื่อสารกับรถเสมือนเป็นหนึ่งเดียวกัน ด้วยเทคโนโลยี AI ที่ตอบโจทย์ผู้ขับขี่ด้วย Smart Command ที่สามารถสั่งการระบบผ่านคำสั่งเสียงภาษาไทยหรือควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ผ่านสมาร์ทโฟน

พร้อมยกระดับความสมาร์ทเพื่อความปลอดภัยด้วย Emergency Call ซึ่งเป็นระบบโทรหาคนสำคัญอัตโนมัติในกรณีฉุกเฉิน เมื่อถุงลมนิรภัยทำงาน Smart Connect เชื่อมต่อโลกออนไลน์อย่างชาญฉลาด สามารถเลือกฟังเพลงได้ทั้งแบบออนไลน์และสตรีมมิ่ง ระบบค้นหาร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว พร้อมนำทางและรายงานการจราจรแบบ Real Time รวมทั้งการอ่านข้อมูลข่าวสารต่างๆ ได้อย่างทันเหตุการณ์

และยังสามารถอัพเกรดระบบได้เองผ่านช่องทางออนไลน์ Smart Check ที่มีระบบ Charging Management ในการตรวจสอบสถานะแบตเตอรี่ การชาร์จไฟฟ้าเข้าแบตเตอรี่ และการค้นหาสถานีอัดประจุไฟฟ้า รวมถึงการตรวจสอบสถานะรถยนต์และเตือนเมื่อมีสถานะผิดปกติ สั่งการล็อคหรือปลดล็อคประตูรถ ค้นหารถด้วยระบบ Find My Car และการเข้าถึงบริการ Passion Service ของเอ็มจี ช่วยค้นหาศูนย์บริการ รวมถึงการบันทึกการดูแลรักษารถ ตามระยะ ผ่าน MG Mobile Application

New-MG-HS-PHEV-2020

Refined Safety: ปลอดภัยรอบคัน

New MG HS PHEV มีระบบโครงสร้างตัวถังนิรภัย (Full Space Frame) และระบบความปลอดภัยมาตรฐานยุโรป Advanced Synchronized Protection System กว่า 25 ระบบ โดยแบ่งออกเป็นระบบความปลอดภัยเชิงป้องกันก่อนเกิดอุบัติเหตุที่ช่วยทั้งเรื่องระบบเบรก และช่วยรักษาเสถียรภาพในการขับขี่ จำนวน 14 ระบบ และระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ Advanced Driver Assistance System (ADAS) หรือระบบช่วยควบคุมการ ขับขี่ และลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ จำนวน 11 ระบบ

สำหรับระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ Advanced Driver Assistance System (ADAS) ถือเป็นระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ ระดับที่ 2 (Partial Automation) โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก ดังนี้

New-MG-HS-PHEV-2020

กลุ่มระบบที่ช่วยป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดจากมุมอับสายตา RDA (Rear Drive Assist)

  • ระบบช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน LCA (Lane Change Assist)
  • ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา BSD (Blind Spot Detection)
  • ระบบช่วยเตือนขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert)
  • ระบบช่วยเตือนการเปิดประตู DOW (Door Open Warning)

กลุ่มระบบเตือนและควบคุมให้รถอยู่ในเลน LAS (Lane Assist System)

  • ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning)
  • ระบบช่วยควบคุมรถเมื่อรถจะออกนอกเลน LDP (Lane Departure Prevention)
  • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA (Lane Keep Assist)

กลุ่มระบบที่ช่วยในการขับขี่ FDA (Front Drive Assist)

  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control)
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist)
  • ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าในขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning)
  • ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ IHC (Intelligent High-Beam Control)

นอกจากนี้ยังเสริมอุปกรณ์ความปลอดภัย อาทิ จุดยึดเบาะนั่งเด็ก ISOFIX ระบบล็อกประตูอัตโนมัติ (Speed Sensing Door Lock) เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงรั้งกลับ ถุงลมนิรภัย 6 จุด กล้องมองภาพรอบทิศทางแบบ 3 มิติ (3D Around View Monitor) และระบบกุญแจนิรภัยแบบ Immobilizer

New-MG-HS-PHEV-2020

New MG HS PHEV มีสีตัวถังทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีขาว Arctic White โดยมีสีภายในแบบ 2-Tone Monaco Blue ในขณะที่ตัวถังสีแดง Scarlet Red และสีดำ Black Knight จะมาพร้อมการตกแต่งภายในสีดำ ในราคา 1,359,000 บาท! และโปรโมชั่นพิเศษ ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง 1 ปี และ MG Home Charger พร้อมค่าติดตั้ง

ส่วนใครที่อยากได้ New MG HS PHEV ใหม่ แต่เงินสดมีไม่เพียงพอ ถ้าใช้รถคันเดิมอยู่ สามารถนำมาขายกับทาง CARRO ได้ แม้ว่ารถจะติดไฟแนนซ์ เราก็พร้อมปิดไฟแนนซ์ให้ และยินดีรับซื้อรถของคุณ สามารถเข้าไปเช็กราคา ตีราคาขายรถก่อนได้ โดยใส่ข้อมูลรถของคุณที่นี่เลย กับ CARRO Express > https://th.carro.co/sell-car/express หรือโทร. 02-508-8425

หรือใครจะ Inbox มาสอบถามก็ได้เช่นกัน ที่ Facebook CARRO Thailand หรือสะดวก Add Line ก็ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

ORA-Good-Cat

Great Wall Motor ผู้ผลิตรถยนต์ SUV และรถกระบะรายใหญ่ที่สุดในประเทศจีน ในช่วง 2-3 ปีมานี้ เริ่มเป็นที่รู้จักของชาวจีนและชาวโลกมากขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ได้เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า 100% อย่าง ORA Good Cat (โอร่า กู๊ดแคท) ไปในงาน Chengdu Auto Show 2020

และ ORA Good Cat จัดเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 1 ใน 4 รุ่นของแบรนด์ ORA ซึ่งประกอบด้วย White Cat, Black Cat, iQ และรุ่นล่าสุดอย่าง Good Cat ถือเป็นรถอีกหนึ่งรุ่นที่ได้รับกระแสตอบรับที่ดีมากๆ ทั้งในสื่อต่างๆ และทุกช่องทางออนไลน์

ที่สำคัญ ราคาของ ORA Good Cat ถึงแม้ว่าในการเปิดตัว Great Wall Motor จะไม่ได้ชี้แจงราคาอย่างเป็นทางการของรถรุ่นนี้ แต่ ORA Good Cat ราคาในไทย คาดว่าอยู่ที่ประมาณ 850,000 – 900,000 บาท ได้!

ORA-Good-Cat

และ ORA เซอร์ไพรส์ด้วยการเผยโฉม ORA Good Cat GT ปรับลุคให้รถไฟฟ้า ORA Good Cat ดูสปอร์ต ปราดเปรียวมากยิ่งขึ้น ที่งาน Beijing International Automotive Exhibition 2020 ที่ผ่านมาอีกด้วย

ORA-Good-Cat

สำหรับเจ้า ORA Good Cat (หรือในภาษาจีน 好猫) นับว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นที่ 3 ในแบรนด์ ORA ที่ผลิตออกมาเพื่อจำหน่าย บนแพลทฟอร์มที่ชื่อ L.E.M.O.N. (Lightweight Electrification Multi-purpose Omni-protection Network) เทคโนโลยีสุดล้ำของแพลตฟอร์มแบบ Modular แบบ 5 ประตู Hatchback โดยเริ่มจำหน่ายในประเทศจีนเมื่อเดือนตุลาคม 2020 ที่ผ่านมา

ORA-Good-Cat

ตัวรถภายนอก มาด้วยดีไซน์แบบ Retro Futurism กลมมนสุดคลาสสิก รับกับไฟหน้าทรงกลมดูคล้ายกับ Porsche 911 และ Volkswagen Beetle ให้ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานที่ Cd. = 0.27 และด้านท้ายที่ดูแปลกตา ด้วยตำแหน่งไฟเบรกที่ไว้บริเวณกันชนท้าย และไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED ขนาดยาว ฝังในกระจกบานหลัง พร้อมล้อแม็กแบบ 17 นิ้ว และ 18 นิ้ว ให้เลือก

ORA-Good-Cat

มิติตัวรถยาว 4,235 มม. กว้าง 1,825 มม. สูง 1,596 มม. ระยะฐานล้อ 2,650 มม. ความสูงจากพื้นรถ 120 มม. และน้ำหนักตัวรถ 1,510 กก.

ORA-Good-Cat

ช่วงล่างหน้า แบบอิสระแมคเฟอร์สันสตรัท ส่วนด้านหลังแบบเทลิ่งอาร์ม ทอร์ชั่นบีม

ORA-Good-Cat

ภายในยังคงเน้นรูปแบบความคลาสสิค เรียบง่าย เช่นเคย ด้วยโทนสีแบบครีมตัดชมพู หรือน้ำเงิน ใช้เบาะหนังแท้ พวงมาลัยหุ้มหนัง ขับสนุกไปกับ ORA-Enjoyment ปรับเปลี่ยนสภาวะในห้องโดยสารได้ตามต้องการ และระบบ Smart Quick Start แค่เสียบเข็มขัดนิรภัยและเหยียบเบรก ก็สตาร์ทรถได้ทันที

โดดเด่นด้วยหน้าจอมาตรวัดความเร็ว รวมอยู่กับหน้าจอ Infotainment หรือ ORA Smart-Café ผนวกกับ OS Coffee Intelligent Car Control System ที่ใช้ระบบ AI ในการประมวลผล ทำงานผ่านหน้าจอขนาด 17.25 นิ้ว จำนวน 2 จอ มีระบบจดจำเสียงและใบหน้า และผู้ช่วยอย่าง ORA CAT Avatar ที่แสดงผลเป็นรูปแมวบนหน้าจออีกด้วย

ความโดดเด่นอีกอย่าง คือ การออกแบบให้ช่องแอร์เป็นแถบยาว พร้อม ORA-Fragrance ที่สามารถสั่งฟอกอากาศในรถจากสมาร์ทโฟนได้ ส่วนคันเกียร์ใช้เป็นแบบมือหมุน เพื่อง่ายต่อการเปลี่ยนโหมดการขับขี่ และด้านท้ายเมื่อพับเบาะลง ให้พื้นที่เก็บสัมภาระที่มากถึง 858 ลิตร

ORA-Good-Cat

โดยอีกหนึ่งจุดเด่นของรุ่นนี้ คือมีระบบ Autopilot ขับเคลื่อนอัตโนมัติ อย่าง ORA-Pilot Driving ให้ด้วย ซึ่งใช้ชิพประมวลผลของ Intel ติดตั้งในรถรุ่นนี้ ทำงานร่วมกับ Millimeter Wave Radar 2 ตัว, เซ็นเซอร์ Ultrasonic จำนวน 12 ตัว, กล้องความละเอียดสูงรอบคัน 6 ตัว และระบบตรวจจับพิกัดด้วยดาวเทียม ที่คอบตรวจจับสภาวะของรถของคัน ช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุในเวลาขับขี่ได้มากขึ้น และระบบ Intelligent Cruise Assist System

ORA-Good-Cat

ระบบขับเคลื่อน มอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 105 กิโลวัตต์ (143 แรงม้า) และแรงบิดสูงสุด 210 นิวตัน-เมตร ให้อัตราเร่ง 0-50 กม./ชม. ภายใน 3.8 วินาที จำกัดความเร็วไว้สูงสุดที่ 150 กม./ชม. ถ่ายทอดกำลังผ่านระบบเกียร์ ORA-Goddess Easy Drive พร้อมระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ

กับแบตเตอรี่แบบ CTP ขนาดความจุ 47.8 kWh และ 59.1 kWh ซึ่งสามารถชาร์จได้กว่า 80% (จากแบตเตอรี่คงเหลือ 30%) ภายในเวลาเพียง 30 นาที (ตามมาตรฐาน NEDC)

ให้ระยะทางวิ่ง 401 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง และ 501 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง (ตามมาตรฐาน NEDC (New European Driving Cycle) ของยุโรป)

ORA-Good-Cat-Price

สำหรับรุ่นย่อย และราคาของ ORA Good Cat สามารถแบ่งออกได้เป็น 5 รุ่นย่อยหลักๆ ได้แก่

  • รุ่น Muse Edition 401 กม./ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง อยู่ที่ 105,000 หยวน (ราคาก่อนได้รับอุดหนุนจากรัฐบาลจีน) หรือประมาณ 488,351 บาท
  • รุ่น Venus Edition 401 กม./ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง อยู่ที่ 115,000 หยวน (ราคาก่อนได้รับอุดหนุนจากรัฐบาลจีน) หรือประมาณ 534,860 บาท
  • รุ่น Athena Edition 401 กม./ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง อยู่ที่ 125,000 หยวน (ราคาก่อนได้รับอุดหนุนจากรัฐบาลจีน) หรือประมาณ 581,370 บาท
  • รุ่น Apollo Edition รุ่น 501 กม./ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง อยู่ที่ 135,000 หยวน (ราคาก่อนได้รับอุดหนุนจากรัฐบาลจีน) หรือประมาณ 627,879 บาท
  • รุ่น Poseidon Edition รุ่น 501 กม./ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง อยู่ที่ 145,000 หยวน (ราคาก่อนได้รับอุดหนุนจากรัฐบาลจีน) หรือประมาณ 674,389 บาท

สำหรับในบ้านเรา ต้องรอติดตามดูกันครับ ว่า Great Wall Motors หลังจากเซ็นสัญญาซื้อขายโรงงานกับทาง GM แล้ว จะมีโอกาสขึ้นไลน์ประกอบรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้ หรือว่านำเข้ามาจำหน่ายหรือไม่ แต่ดูจากคุณสมบัติดังกล่าวแล้ว น่าจะขายดีในประเทศจีนอย่างแน่นอน

หากช่วงนี้ใครต้องการซื้อรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพได้มาตรฐาน รับประกันพร้อมโอนทุกคัน หรือหารถมือสองรุ่นที่ต้องการ สามารถเข้ามาดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ CARRO Automall > https://th.carro.co/buy-car หรือโทร. 02-508-8690 หรือจะ Inbox มาสอบถามก็ได้เช่นกัน ที่ Facebook CARRO Automall – รถบ้านมือสอง ถ้าสะดวก Add Line ก็ที่ @carroautomall

ส่วนใครที่อยากขายรถ เพื่อนำเงินไปซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้งาน ขายรถกับ CARRO สิ! เราพร้อมรับซื้อรถคุณ เอารถมาเช็กราคา ตีราคาขายรถก่อนได้ โดยใส่ข้อมูลรถของคุณที่นี่เลย CARRO Express > https://th.carro.co/sell-car/express หรือโทร. 02-508-8425

หรือใครจะ Inbox มาสอบถามก็ได้เช่นกัน ที่ Facebook CARRO Thailand หรือสะดวก Add Line ก็ที่ @Carrothai หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

Isuzu (อีซูซุ) เปิดตัวไลฟ์สไตล์ปิกอัพรุ่นล่าสุด “All-New Isuzu X-Series” (ออลนิว อีซูซุ เอ็กซ์-ซีรี่ส์) พร้อมนิยามใหม่ “ท้าทายทุกลิมิต…สุดขีดสไตล์เอ็กซ์” (Infinite X-Life) ยนตรกรรมดีไซน์เท่เหนือชั้น จัดเต็มด้วยชุดแต่ง X-Stylish Package ใหม่หมดทั้งภายนอกและภายใน ทั้งแนวสปอร์ตเรซซิ่งในรุ่น Speed และสปอร์ตพรีเมียมในรุ่น Hi-Lander

ในปีนี้ รถปิกอัพ “ออลนิว อีซูซุดีแมคซ์” ได้เปิดจำหน่ายครบทุกรุ่น รวมทั้งเพิ่มเกียร์อัตโนมัติในรุ่นความสูงมาตรฐานให้เลือก โดยมีกระแสตอบรับที่ดีมาก แม้ว่าสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวยก็ตาม และด้วยเทรนด์ผู้ใช้รถปิกอัพรุ่นใหม่ๆ มีความชื่นชอบมอเตอร์สปอร์ตและรถแต่งแนวเรซซิ่ง อีซูซุ จึงได้เปิดตัว “ออลนิว อีซูซุ เอ็กซ์-ซีรี่ส์” ไลฟ์สไตล์ปิกอัพดีไซน์เท่ ภายในโทนสีแดง-ดำ เอกลักษณ์แห่งจิตวิญญาณสายพันธุ์สปอร์ต ตอบรับนิยาม “ท้าทายทุกลิมิต…สุดขีดสไตล์เอ็กซ์” ใหม่หมดทั้งภายนอกและภายใน

มาพร้อมชุดแต่ง X-Stylish Package แบบจัดเต็ม ตอบสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่หลงใหลในความเร็ว แรง เร้าใจ ฉีกทุกข้อจำกัดไปกับสไตล์ที่ไม่เหมือนใคร เท่เป็นตัวเองอย่างที่ใจต้องการ โดยมีให้เลือก 2 รุ่นต่างสไตล์อย่างชัดเจน ได้แก่ “ออลนิว อีซูซุ เอ็กซ์-ซีรี่ส์ รุ่น Speed” สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการใช้ชีวิตสนุก ๆ แนวสปอร์ตเรซซิ่ง และ “ออลนิว อีซูซุ เอ็กซ์-ซีรี่ส์ รุ่น Hi-Lander” ที่สื่อความเป็นตัวตนในแบบสปอร์ต พรีเมียม และมีไลฟ์สไตล์ทันสมัยเหนือระดับ

พร้อมทะยานแรงเต็มขั้นด้วยขุมพลังใหม่ เครื่องยนต์อีซูซุ 1.9 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ GEN 2 ตอบสนองฉับไว ทนทาน รองรับการขับขี่ที่สปอร์ตเร้าใจ ที่สุดแห่งความประหยัดน้ำมัน สมบูรณ์แบบด้วยระบบความบันเทิง ความสะดวกสบาย และเทคโนโลยีระบบความปลอดภัยสูงสุดตามแบบฉบับอีซูซุ โดยทั้ง 2 รุ่นจะออกจำหน่ายตั้งแต่วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม ศกนี้”

All-New-Isuzu-D-Max-X-Series-2020

All-New Isuzu X-Series “SPEED”

ยนตรกรรมสุดสปอร์ตที่เร้าอารมณ์และจิตวิญญาณ โฉบเฉี่ยวทุกองศา สะกดทุกสายตา ด้วยแนวคิดการออกแบบ BOLD but EMOTIONAL บึกบึน เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง แต่ปราดเปรียว คล่องตัวตามหลักอากาศพลศาสตร์ พร้อมเปิดประสบการณ์สปอร์ตเต็มรูปแบบ ด้วยชุดแต่ง X-Stylish Package ภายในห้องโดยสาร ที่จะเปลี่ยนทุกวินาทีหลังพวงมาลัยให้กลายเป็นความตื่นเต้นกับดีไซน์ภายในสีดำ-แดงที่โดดเด่นเร้าใจ เต็มไปด้วยอารมณ์เรซซิ่งในทุกรายละเอียด

All-New-Isuzu-D-Max-X-Series-2020

The Infinite Sporty Style

  • ใหม่! กระจังหน้าสีดำ Glossy Black พร้อมสัญลักษณ์ ISUZU สีแดง ดูโฉบเฉี่ยว ปราดเปรียวทุกองศา
  • ใหม่! ชุดแต่งสเกิร์ตรอบคัน พร้อมกันชนหน้า-หลัง ลายเคฟลาร์ โดดเด่นด้วยเส้นขอบล่างสีแดง ดีไซน์ลู่ลม เติมเต็มอารมณ์สปอร์ตให้ตัวรถ
  • ใหม่! สติกเกอร์ดีไซน์เท่ สีเทาขอบแดง คาดหน้า-หลัง พร้อมสัญลักษณ์ X ที่ด้านหน้า สะกดทุกสายตา
  • ใหม่! สัญลักษณ์ X ด้านข้างตัวรถ สีแดง โดดเด่นสะดุดตา เสริมอารมณ์สปอร์ต
  • ใหม่! ล้ออัลลอย 16 นิ้ว สีดำ Glossy Black เข้ากับตัวรถ โดดเด่นด้วยสัญลักษณ์ ISUZU สีแดง เท่ สปอร์ตเต็มอารมณ์
  • ไฟหน้าหล่อเข้ม ISUZU Vision Bi-LED เพิ่มความสว่าง ส่องได้ไกลและกว้างขึ้น ปรับระดับไฟหน้า สูง-ต่ำ ได้ 4 ระดับ พร้อม Auto Lights Off และไฟท้าย Dual-Sonic LED โดดเด่นมีสไตล์ แบบ Clear Lens ให้ความสว่างชัดเจน

All-New-Isuzu-D-Max-X-Series-2020

All-New-Isuzu-D-Max-X-Series-2020

The Infinite Comfort Style

  • ใหม่! ชุดแต่งคอนโซลหน้า ไล่เฉดสีแดง-ดำ พร้อมสัญลักษณ์ X
  • ใหม่! ชุดแต่งแผงข้างประตูสีดำ Piano Black และสีแดง โฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้นด้วยขอบที่เปิดประตูสีแดง
  • ใหม่! เบาะนั่งทูโทนสีดำแดง ทรงสปอร์ต โอบกระชับ นั่งสบาย พร้อมสัญลักษณ์ X สีแดงสุดเท่ที่เบาะคู่หน้า
  • สัญลักษณ์ X ที่หน้าปัดแสดงความเร็ว
  • พวงมาลัยเพาเวอร์มัลติฟังก์ชั่น พร้อมสัญลักษณ์ ISUZU สีแดง ปรับระดับได้ 4 ทิศทาง (Tilt & Telescopic)
  • ชุดคันเกียร์พร้อมเบรกมือ ดีไซน์หุ้มหนัง เสริมอารมณ์สปอร์ตด้วยด้ายแดง
  • ระบบกรองอากาศเข้าห้องโดยสาร High Efficiency Filter ช่วยดักฝุ่นขนาดเล็กได้ถึงระดับ PM 2.5

All-New-Isuzu-D-Max-X-Series-2020

All-New Isuzu X-Series “Hi-Lander”

ยนตรกรรมสปอร์ตหรู มาพร้อมชุดแต่งสปอร์ตพรีเมียมรอบคัน เพิ่มความโดดเด่น และสร้างไดนามิคให้กับตัวรถ ตามแนวคิดการออกแบบ BOLD but EMOTIONAL แข็งแกร่ง บึกบึน เส้นสายคมชัด โฉบเฉี่ยวปราดเปรียว ตามหลักอากาศพลศาสตร์ เอกลักษณ์เฉพาะอีซูซุ พร้อมมอบประสบการณ์เหนือระดับ ไปกับดีไซน์ภายในสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ด้วยชุดแต่ง X-Stylish Package วัสดุพรีเมียม เติมเต็มอารมณ์สปอร์ตให้เต็มสไตล์ตลอดการเดินทาง

All-New-Isuzu-D-Max-X-Series-2020

The Infinite Superior Style

  • ใหม่! กระจังหน้าสีดำ Glossy Black พร้อมสัญลักษณ์ ISUZU สีแดง คมเข้ม ดุดัน สะท้อนจิตวิญญาณสปอร์ต
  • ใหม่! สเกิร์ตกันชนหน้าสีเดียวกับตัวรถ พร้อมขอบล่างสีเงิน
  • ใหม่! สติกเกอร์คาดหน้า-หลัง พร้อมสัญลักษณ์ X ที่ด้านหน้า ตกแต่งขอบด้วยสีเงิน Silver-Grey ในรุ่นสีขาว / ตกแต่งขอบด้วยสีทอง Light Gold-Silver ในรุ่นสีดำ
  • ใหม่! สัญลักษณ์ X ด้านข้างตัวรถ สีแดง โดดเด่นสะดุดตา เสริมอารมณ์สปอร์ต
  • ใหม่! บันไดข้างแบบชิ้นเดียว เรียบหรู มีสไตล์ ตกแต่งด้วยสีเงิน Silver Grey ในรุ่นสีขาว / ตกแต่งด้วยสีเทาเข้ม Dark Grey ในรุ่นสีดำ
  • ใหม่! สปอร์ตบาร์สีเดียวกับตัวรถ ดีไซน์ลู่ลมตามหลักอากาศพลศาสตร์
  • ใหม่! ล้ออัลลอย สีดำ Glossy Black เท่ ดุดัน โดดเด่นด้วยสัญลักษณ์ ISUZU สีแดง เข้มเต็มอารมณ์สปอร์ต ขนาด 18 นิ้ว ในรุ่น 4 ประตู / ขนาด 17 นิ้ว ในรุ่น 2 ประตู
  • ไฟหน้าหล่อเข้ม ISUZU Vison Bi-LED เพิ่มความสว่าง ส่องได้ไกลและกว้างขึ้น ปรับระดับไฟหน้า สูง-ต่ำ ได้ 4 ระดับ พร้อม Auto Lights Off ระบบปิดไฟหน้าอัตโนมัติเมื่อดับเครื่องยนต์และเปิดประตูรถ พร้อม Multifunctional Daylight แบบ Built-in ส่องสว่างในเวลากลางวัน และเป็นไฟหรี่ในเวลากลางคืน และไฟท้าย Dual-Sonic LED โดดเด่นมีสไตล์แบบ Clear Lens ให้ความสว่างชัดเจน
  • กันชนท้าย Integrated Bumper ดีไซน์สปอร์ตเท่ สีเดียวกับตัวรถ ออกแบบให้ขึ้น-ลงง่าย

All-New-Isuzu-D-Max-X-Series-2020

The Infinite Superior Comfort

  • ใหม่! ชุดแต่งคอนโซลหน้าสีดำ Piano Black พร้อมสัญลักษณ์ X เติมความเร้าใจด้วยปุ่มควบคุมและสวิตช์ต่าง ๆ
  • ใหม่! ชุดแต่งแผงข้างประตูสีดำ Piano Black
  • ใหม่! เบาะนั่งกึ่งหนังแท้ ทรงสปอร์ต โอบกระชับ นั่งสบาย พร้อมสัญลักษณ์ X ปักด้ายแดงสุดเท่ที่เบาะคู่หน้า
  • พวงมาลัยเพาเวอร์มัลติฟังก์ชั่น ดีไซน์หุ้มหนังเดินด้ายแดง พร้อมสัญลักษณ์ ISUZU สีแดง ปรับระดับได้ 4 ทิศทาง (Tile & Telescopic)
  • ชุดคันเกียร์พร้อมเบรกมือ หุ้มหนังเดินด้ายแดง
  • ระบบกรองอากาศเข้าห้องโดยสาร High Efficiency Filter ช่วยดักฝุ่นขนาดเล็กได้ถึงระดับ PM 2.5
  • หน้าจอ Smart MID ขนาดใหญ่ 4.2 นิ้ว จอแสดงข้อมูลอัจฉริยะ สวยงาม โดดเด่น อ่านข้อมูลง่าย และชัดเจนยิ่งขึ้นด้วยเทคโนโลยีหน้าจอแบบ TFT (Thin-film Transistor Technology) แสดงข้อมูลได้หลากหลายรูปแบบ
  • สัญลักษณ์ X ที่หน้าปัดแสดงความเร็ว
  • Push Start ระบบสตาร์ทอัจฉริยะ สตาร์ทเครื่องยนต์เพียงปลายนิ้ว พร้อม Isuzu Genius Entry

All-New Isuzu X-Series ทั้ง 2 รุ่น มีให้เลือกสีขาวและสีดำ ทั้งแบบ 2 ประตู และ 4 ประตู โดยมีรายละเอียดและราคา ดังนี้

  • รุ่น Speed มีสีขาวไซบีเรียน (Siberian White) และดำบาวาเรียน ไมก้า (Bavarian Black Mica) ราคา 723,000 – 821,000 บาท
  • รุ่น Hi-Lander มีสีขาวมุกเอเวอเรสต์ (Everest Pearl White) และดำบาวาเรียน ไมก้า (Bavarian Black Mica) นอกจากนี้ในรุ่น 4 ประตู ยังมีเกียร์อัตโนมัติให้เลือกอีกด้วย ราคา 838,000 – 974,000 บาท

ถ้าคุณเกิดอยากตัดสินใจขายรถคันเดิม เพื่อไปซื้อรถคันใหม่ มาขายรถคันเดิมกับ CARRO Express สิ แค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express ก็พร้อมปิดการขายภายใน 24 ชั่วโมง รับเงินสดทันที! หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

All-New-Honda-e-2020

หากเราจะย้อนกลับไปในช่วงปี 2017 ตอนนั้น Honda Urban EV Concept ได้เปิดรถต้นแบบที่ใช้พลังงานไฟฟ้าครั้งแรกของโลก ในงาน Frankfurt Motor Show 2017 ก็สร้างความฮือฮาไปได้พอสมควร กับการกลับมารุกตลาดรถยนต์ EV อย่างจริงจังอีกครั้ง

โดยในปี 2019 ที่ผ่านมา Honda ก็ได้เข็นรถต้นแบบคันนี้ ในรูปแบบของรถยนต์ที่จำหน่ายจริงในชื่อ Honda e (ฮอนด้า อี) ในรหัสรุ่น ZC7 ที่งาน Tokyo Motor Show 2019 ให้ชาวโลกได้ชมกัน ก่อนที่จะออกจำหน่ายจริงๆ กันในปีนี้ โดยเริ่มจำหน่ายกันในทวีปยุโรป ก่อนที่จะผลิตและจำหน่ายที่บ้านเกิดในญี่ปุ่น

Honda-e-TECHNOLOGY

โดย Honda มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง ในชื่อ “Honda e:TECHNOLOGY” (ฮอนด้า อี: เทคโนโลยี) ซึ่งมีทั้ง รถยนต์ไฟฟ้า รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า และเทคโนโลยีในการจัดการพลังงานต่างๆ ของฮอนด้าในอนาคต ตามแนวทางวิสัยทัศน์ 2030 ของฮอนด้า

ซึ่งคำว่า “อี” หรือ “e” ใน Honda e:TECHNOLOGY แสดงถึงความมุ่งมั่นในการกระตุ้นและสร้างแรงบันดาลใจ เพื่อจุดประกายให้ผู้คนมีรอยยิ้ม เมื่อได้ใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานการขับเคลื่อน

All-New-Honda-e-2020

All-New-Honda-e-2020

รูปทรงภายนอก … บอกได้เลยว่าได้อิทธิพลอย่างมากมาจาก Honda Civic รุ่นแรก และรถต้นแบบ Honda Urban EV Concept ที่แลดูแล้วแบบเรียบง่ายและคลาสสิค ไฟหน้าเป็นแบบ LED พร้อมไฟ Daytime Running Light และยังเป็นไฟแสดงสถานะการชาร์จไฟฟ้าด้วย พร้อมที่เปิดประตูแบบพับเก็บได้อัตโนมัติ

ตัวรถจุดศูนย์ถ่วงต่ำ มีสมดุลน้ำหนักแบบ 50:50 มีรัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 4.3 เมตร มาพร้อมล้อแม็กขนาด 16 นิ้ว และในรุ่น Advance ขนาด 17 นิ้ว

All-New-Honda-e-2020

มิติตัวรถยาว 3,895 มม. กว้าง 1,750 มม. สูง 1,510 มม. ระยะฐานล้อ 2,530 มม. ความสูงจากพื้นรถ 145 มม. และน้ำหนักตัวรถ 1,510 – 1,540 กก.

All-New-Honda-e-2020

ห้องโดยสารภายใน โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์แบบคลาสสิค แต่ดูทันสมัยกับหน้าจอ LED ขนาดยาว 5 จอ เป็นครั้งแรกของโลกที่นำมาใช้ และจอภาพขนาด 6 นิ้ว ที่ใช้ดูภาพแทนกระจกมองข้าง อีกทั้งยังติดตั้งระบบ Honda Personal Assistant ที่ทำงานด้วยเทคโนโลยี AI ของฮอนด้า โดยได้รับการพัฒนาให้ตอบสนองสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการได้

All-New-Honda-e-2020

ส่วนในรุ่น Advance จะมีออพชั่นเพิ่มเติม อาทิ พวงมาลัยและเบาะนั่งปรับอุณหภูมิได้ และระบบช่วยจอดแบบ Parking Pilot เป็นต้น

ระบบขับเคลื่อน ทำงานร่วมกับระบบชาร์จและป้อนกระแสไฟฟ้า (Charging and Feeding System) วางมอเตอร์ไฟฟ้ารหัส MCF5 ขับเคลื่อนล้อหลัง ให้กำลังสูงสุด 136 แรงม้า ที่ 3,078 – 11,920 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 315 นิวตัน-เมตร ที่ 0-2,000 รอบ/นาที ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ประมาณ 9 วินาที

ส่วนในรุ่น Advance ให้กำลังสูงสุด 154 แรงม้า ที่ 3,497 – 10,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 315 นิวตัน-เมตร ที่ 0-2,000 รอบ/นาที

All-New-Honda-e-2020

ส่วนแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน มีความจุ 35.5 kWh ชาร์จไฟเต็มหนึ่งครั้งวิ่งได้ระยะทาง 308 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน JC08 ของญี่ปุ่น และมาตรฐาน WLTC (Worldwide Harmonized Light Vehicles Test Cycle) ได้ระยะทาง 283 กิโลเมตร แต่ถ้าเป็นมาตรฐาน WLTP (Worldwide Harmonized Light Vehicles Test Procedure) ของยุโรป จะอยู่ที่ 219 กิโลเมตร

และในรุ่น Advance ชาร์จไฟเต็มหนึ่งครั้งวิ่งได้ระยะทาง 274 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน JC08 ของญี่ปุ่น และมาตรฐาน WLTC จะได้ระยะทาง 259 กิโลเมตร

All-New-Honda-e-2020

ระบบเสียงภายใน Honda e Advance

สำหรับรุ่นย่อย และราคาของ Honda ที่ขายในประเทศญี่ปุ่น สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 รุ่นย่อยหลักๆ ได้แก่

  • Honda e รุ่นเริ่มต้น ราคา 4,510,000 เยน หรือประมาณ 1,353,384 บาท
  • Honda e รุ่น Advance ราคา 4,950,000 เยน หรือประมาณ 1,485,421 บาท

ส่วนรถรุ่นนี้ มีผู้จำหน่ายอิสระ พร้อมรับออเดอร์สั่งเข้ามาในบ้านเราแล้ว ราคาในอยู่ที่ประมาณ 2,690,000 บาท! ซึ่งถ้าใครสนใจ ก็เตรียมตัวเก็บเงินซื้อกันได้เลย

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์ไฟฟ้าคันใหม่ มาขายรถกับทาง Carro Express สิ! คลิกเลยที่ https://th.carro.co/sell-car/express รับรองได้เงินเร็ว ไว ทันใจแน่นอน!

CARRO Automall

ส่วนใครสนใจจะซื้อรถมือสอง Carro แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ คุณสามารถจองรถได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น! พร้อมคำนวณสินเชื่อและค่างวด ได้ภายในเว็บไซต์ทันที!

ซึ่ง Carro เรามีรถให้คุณเลือกมากมาย รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพโดย Carro Certified อย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 160 จุด, การันตีคืนเงินภายใน 5 วัน, รับประกันเครื่องยนต์และเกียร์ 1 ปี, รับประกันไม่กรอไมล์ และไม่ประสบอุบัติเหตุหนัก ไฟไหม้ หรือน้ำท่วม พร้อมรับประกันคุณภาพรถ 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร!

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” เลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา รวมถึงมีเทคโนโลยีสนับสนุนฝ่ายขาย ทั้ง Digital Device ที่เชื่อมต่อกับ Digital Screen นำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และจัดการเรื่องเอกสารให้กับลูกค้าให้ตั้งแต่ต้นจนจบ บวกกับ Online Viewing Service ที่ลูกค้าสามารถวิดีโอคอล ตรวจสภาพรถยนต์คันที่สนใจได้แบบเรียลไทม์ ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ Carro สิ!

หรือถ้าหากคุณสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงกรอกชื่อ-เบอร์โทรศัพท์ และรถที่คุณสนใจ ไว้ที่ “รับการแจ้งเตือน” เมื่อมีรถที่คุณต้องการ Carro จะรีบติดต่อไปยังคุณทันที สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> Carro Thailand โทร. 02-460-9380 หรือทาง Line @carrothai

MG-eHS-Plug-In-Hybrid

อีกหนึ่งค่ายรถชื่อดังในตำนานของอังกฤษ (ที่ปัจจุบันมีเจ้าของเป็นจีน) ซึ่งในบ้านเรารู้จักกันดีอย่าง MG (เอ็มจี) ก่อนหน้านั้นก็ได้สร้างความฮือฮาไปหนึ่งยก ด้วยการนำเข้า MG ZS EV (เอ็มจี แซดเอส อีวี) รถ Crossover SUV ใช้พลังงานไฟฟ้า 100% สีฟ้าสดใสเข้ามาขายในไทยเป็นเจ้าแรก อีกทั้งยังทำราคาไม่แพง ส่งผลให้ขายดิบขายดี เกินความคาดหมายเลยทีเดียว!

ล่าสุดทาง MG ก็ได้เผยๆ มาแล้วว่า ในช่วงปลายปี 2020 นี้ เตรียผลิต MG eHS Plug-In Hybrid (เอ็มจี อีเอชเอส ปลั๊กอินไฮบริด) ที่โรงงานของ SAIC-CP ในระยองมาจำหน่ายอีกรุ่น ซึ่งเป็นรถในกลุ่ม PHEV ที่ยังมาพร้อมสีฟ้า Copenhagen Blue ให้เลือกอีกด้วย

อ่านเพิ่มเติม : MG เปิดตัวรถ SUV “MG HS” ใหม่ ในราคา 919,000 – 1,119,000 บาท

MG-eHS-Plug-In-Hybrid

สำหรับรูปโฉมภายนอกของ MG eHS Plug-In Hybrid นั้น ยังคงเหมือนกันรุ่นหลักอย่าง MG HS ทุกอย่าง ภายใต้แนวคิด “Elegance” ระดับรถซีดานหรู

MG-eHS-Plug-In-Hybrid

ตัวรถโดดเด่นด้วยเส้นสายตัวถังแบบ British Shoulder Line เน้นเรื่องความโค้งมนของตัวรถ กระจังหน้าดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ MG ซึ่งมาพร้อมแนวคิด Stella Magnetic Field ที่ได้แรงบันดาลใจ มาจากกลุ่มดาวบนท้องฟ้าที่ดึงดูดเข้าหากัน พร้อมล้อแม็กขนาด 18 นิ้ว ลาย Thunder Sword Blade

MG-eHS-Plug-In-Hybrid

มิติตัวรถยาว 4,574 มม. กว้าง 1,876 มม. สูง 1,685 มม. ระยะฐานล้อ 2,720 มม. บนน้ำหนักตัวรถ 1,775 กิโลกรัม

MG-eHS-Plug-In-Hybrid

ภายในห้องโดยสารโดดเด่นด้วยความโค้งมน เล่นระดับ เลือกใช้เบาะหนังแท้ผสมหนัง Alcantara สีทูโทนน้ำเงิน-ขาว Monaco Blue ติดตั้งหน้าปัดแบบดิจิตอลขนาด 12.3 นิ้ว ที่แสดงข้อมูลทั้งเรื่องการขับขี่ ระบบความปลอดภัย ระบบความบันเทิง และระบบนำทาง

MG-eHS-Plug-In-Hybrid

พร้อมชุดหน้าจอสัมผัสแบบ Smart Touchscreen ขนาด 10.1 นิ้ว พร้อมทั้งติดตั้งระบบเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต Internet Car Intelligent System 3.0 (Zebra Smart Solutions บนพื้นฐานของ AliOS เทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้งของ Alibaba Cloud) มาให้ และระบบเครื่องเสียงคุณภาพจาก Bose

MG-eHS-Plug-In-Hybrid

MG eHS ยังติดตั้งระบบความปลอดภัยและระบบช่วยควบคุมการขับขี่ที่เรียกว่า MG Pilot อาทิ ระบบช่วยควบคุมความเร็วแบบแปรผันอัตโนมัติ ACC, ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าขณะขับขี่ FCW, ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ AEB, ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW, ระบบควบคุมความเร็ว SAS Assist, ระบบตรวจสอบจุดบอด BLIS, ระบบเตือนการเปิดประตู DOW, ระบบเปิด/ปิดไฟสูงอัตโนมัติ IHC และระบบภาพพาโนรามา 360 องศา เป็นต้น

MG-eHS-Plug-In-Hybrid

New MG eHS Plug-In Hybrid มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน GDI Turbo ขนาด 1.5 ลิตร แบบเดียวกับใน MG HS รุ่นธรรมดา ให้พละกำลังสูงสุดถึง 163 แรงม้า ระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ 10 สปีด EDU II ขับเคลื่อนล้อหน้า พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Hair-Pin High Power Permanent Magnetic Motor ขนาด 121 แรงม้า ให้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 1.3 ลิตร/100 กม. (หรือ 76.9 กม./ลิตร)

อีกทั้งยังติดตั้งแบตเตอรี่ขนาดความจุ 16.6 kWh ทำให้สามารถขับด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียวๆ หรือโหมด EV ได้ระยะทางมากถึง 75 กิโลเมตร

เมื่อรวมกำลังทั้งหมด จะให้แรงม้าสูงสุด 291 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 480 นิวตัน-เมตร ที่ 1,700 – 4,300 รอบ/นาที ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 6.6 วินาที

MG-eHS-Plug-In-Hybrid

สำหรับ MG eHS Plug-In Hybrid มีให้เลือกเป็นเจ้าของด้วยกัน 3 รุ่นย่อย (กับราคาที่ได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาลจีน) ดังนี้

  • รุ่น e-Plus ราคา 189,800 หยวน หรือประมาณ 869,251 บาท
  • รุ่น e-Pro ราคา 199,800 หยวน หรือประมาณ 915,049 บาท
  • รุ่น e-Trophy ราคา 219,800 หยวน หรือประมาณ 1,006,645 บาท

ติดตามรอตัวจริงของ MG eHS Plug-In Hybrid ในไทยได้ เปิดตัวช่วงก่อนงาน Motor Expo 2020 นี้ ราคาเปิดตัวอยู่ประมาณหนึ่งล้านบาทกลางๆ ขอรับ!

ถ้าคุณเกิดอยากตัดสินใจขายรถด่วนๆ เพื่อไปซื้อรถคันใหม่ หรือได้เงินก้อนไปใช้ สามารถขายรถคันเดิมกับ CARRO ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ CARRO Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน