All-New-Toyota-Corolla-Altis-2019

โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย เปิดตัว Toyota Corolla Altis (โคโรลล่า อัลติส) ใหม่ ที่เร้าใจ ด้วยดีไซน์ภายนอกอันโดดเด่นเหนือใคร เส้นสายหนักแน่นเด่นชัดรอบคัน แสดงให้เห็นถึงความแข็งแรง ภายในกว้างขวาง ทันสมัย ใส่ใจในทุกรายละเอียดของการตกแต่ง ให้ความรู้สึกเรียบหรู อีกทั้งยังออกแบบ โดยคำนึงถึงความสะดวกสบายในการใช้งานของผู้ขับขี่และผู้โดยสารเป็นหลัก เพียบพร้อมด้วยฟังก์ชันการใช้งานของอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ครบครัน

All-New-Toyota-Corolla-Altis-2019

ด้านสมรรถนะการขับขี่ที่เหนือชั้นเกินใคร จากสถาปัตยกรรมยานยนต์ใหม่ TNGA (Toyota New Global Architecture) ให้ความสนุกสนานในการขับขี่อย่างเต็มที่ (Fun-to-drive) สร้างประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร

มั่นใจในทุกสถานการณ์การขับขี่ ด้วยระบบความปลอดภัยมาตรฐานระดับโลกของรถโตโยต้ารุ่นล่าสุด (Toyota Safety Sense) และยิ่งไปกว่านั้นถือเป็นครั้งแรกของโคโรลล่า อัลติส ใหม่ ที่มาพร้อมระบบไฮบริดรุ่นล่าสุด ในเจเนอเรชั่นที่ 4 เพิ่มประสิทธิภาพในอัตราการเร่งที่ดีขึ้น และสามารถประหยัดน้ำมันได้สูงสุด

“Corolla (โคโรลล่า)” ได้สร้างตำนานในฐานะรถยนต์โตโยต้ามาแล้วมากกว่า 50 ปี นับตั้งแต่รุ่นแรกจนถึงรุ่นล่าสุด เรายังคงรักษาไว้ซึ่งพื้นฐานอันสำคัญทางด้านคุณภาพ ความทนทาน และความน่าเชื่อถือ โดยโคโรลล่ารุ่นแรก เริ่มผลิตในญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 2509 และได้รับความนิยมอย่างล้นหลามในประเทศญี่ปุ่น

จึงทำให้กลายเป็นรถยนต์ที่มียอดขายสูงสุดภายใน 3 ปี และได้รับความนิยมไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว โดยปัจจุบันมียอดขายสะสมมากกว่า 47 ล้านคันทั่วโลก ซึ่งรถยนต์โคโรลล่าหนึ่งคัน จะถูกขายทุกๆ 15 วินาที ในกว่า 150 ประเทศทั่วโลก ถือเป็นรถยนต์ที่ขายดีที่สุดสำหรับโตโยต้าทั่วโลก

All-New-Toyota-Corolla-Altis-2019

ในประเทศไทย โคโรลล่า เปิดตัวในประเทศไทยเมื่อปี 2509 ด้วยเช่นกัน จากผลตอบรับอย่างท่วมท้นของลูกค้าชาวไทย ในช่วงกว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา โคโรลล่า ครองความนิยมในฐานะรถยนต์นั่งที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุดในประเทศไทย ด้วยยอดขายสะสมกว่า 800,000 คัน ได้รับความนิยมมากที่สุดรุ่นหนึ่งในประเทศไทย

โคโรลล่า อัลติส ใหม่ ในรุ่นที่ 12 ซึ่งรถรุ่นนี้ จะเปลี่ยนความคิดของทุกท่าน ที่มีต่อโคโรลล่าอย่างสิ้นเชิง

All-New-Toyota-Corolla-Altis-2019

และในโคโรลล่า อัลติส รุ่นใหม่นี้ ยังมาพร้อมกับเครื่องยนต์ไฮบริดเจนเนอเรชั่นที่ 4 ซึ่งมีประหยัดน้ำมันสูงสุด ด้วยอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันที่ 23 กม./ลิตร โดยมีให้เลือกถึง 3 รุ่น และรถรุ่นนี้ถือเป็นรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดแบบเต็มรูปแบบคันแรกในตลาดนี้ สำหรับประเทศไทย และเมื่อไม่นานมานี้ เราเพิ่งฉลองความสำเร็จ 10 ปีของรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดในประเทศไทย พร้อมกับการเปิดตัวโครงการการบริหารจัดการแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดใช้แล้วแบบครบวงจร ความรับผิดชอบของเราในครั้งนี้จะส่งผลดีต่อการใช้รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด รวมไปถึงการเดินทางสาธารณะอีกด้วย

All-New-Toyota-Corolla-Altis-2019

นอกจากนี้ ยังเปิดตัวรุ่นสปอร์ตใหม่ “Corolla Altis GR-Sport” ที่พัฒนาภายใต้แนวคิด “Gazoo Racing Sport” โดยรุ่น GR-Sport มาพร้อมแพ็คเกจพิเศษ ซึ่งจะเพิ่มแอโรไดนามิก และมอบความตื่นเต้นเร้าใจในการขับขี่สูงสุด

All-New-Toyota-Corolla-Altis-2019

โคโรลล่า อัลติส ใหม่ ได้รับการพัฒนาให้มี 5 จุดขายหลัก ได้แก่

1. ด้านการออกแบบ – ภายนอกได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด “Shooting Robust” กับเส้นสาย ที่โฉบเฉี่ยว ทันสมัย ให้ความหนักแน่น ภายในได้รับการพัฒนาภายใต้แนวคิด “Clean & Wide” ตัวรถกว้างขวาง คำนึงถึงการใช้งานจริง เพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากมาย

2. ด้านประสิทธิภาพของการขับขี่ – สถาปัตยกรรมยานยนต์ใหม่ TNGA ที่ช่วยทำให้จุดศูนย์ถ่วงของตัวรถโดยรวมลดลง เพิ่มประสิทธิภาพการทรงตัวทั้งการขับขี่ทางตรงและในขณะเข้าโค้ง ช่วงล่างด้านหน้า MacPherson Strut และช่วงล่างด้านหลังอิสระแบบปีกนกคู่ Double Wishbone เพิ่มความนุ่มนวลในขณะโดยสารและเพิ่มประสิทธิภาพการทรงตัวได้อย่างดีเยี่ยม รวมถึงการเพิ่มวัสดุดูดซับเสียงและ การสั่นสะเทือนในตำแหน่งต่างๆ สร้างความผ่อนคลายให้กับผู้โดยสารตลอดการเดินทาง

All-New-Toyota-Corolla-Altis-2019

3. ระบบ ไฮบริด เจเนอเรชั่นที่ 4 – ครั้งแรกกับ โคโรลล่า อัลติส ใหม่ รถยนต์รุ่นเดียวในตลาด C-Segment ที่ใส่ระบบ Full hybrid system ช่วยให้ประหยัดน้ำมันได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ยังคงไว้ซึ่งความสนุกในการขับขี่ และตอบสนองต่อการเร่งแซงได้อย่างมั่นใจ

All-New-Toyota-Corolla-Altis-2019

สำหรับรุ่น 1.6G
– เครื่องยนต์ 1ZR-FBE ขนาด 1.6 ลิตร และเกียร์อัตโนมัติ SUPER CVT-i 7 สปีดพร้อม Sequential Shift

สำหรับรุ่น GR SPORT
– เครื่องยนต์ 2ZR-FBE ขนาด 1.8 ลิตร และเกียร์อัตโนมัติ SUPER CVT-i 7 สปีดพร้อม Sequential Shift

All-New-Toyota-Corolla-Altis-2019

สำหรับรุ่นไฮบริด
– เครื่องยนต์ 2ZR-FXE ขนาด 1.8 ลิตร พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า และเกียร์ E-CVT ขับเคลื่อนด้วยระบบไฮบริดเจเนอเรชันที่ 4 เพิ่มประสิทธิภาพและประหยัดน้ำมันได้ดียิ่งขึ้น

นอกเหนือจากเครื่องยนต์ไฮบริด โคโรลล่า อัลติส ใหม่ มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 1.8 ลิตรและ 1.6 ลิตร เบนซิน เพื่อตอบสนองต่อทุกความต้องการในทุกกลุ่มลูกค้า โดยมีการปรับจูนเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร ให้มีอัตราเร่งตอบสนองที่ดีเยี่ยม และเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร ให้มีความเหมาะสมต่อการใช้งานทั่วไป

All-New-Toyota-Corolla-Altis-2019

4. ระบบความปลอดภัยมาตรฐานระดับโลกของรถโตโยต้า

  1. ระบบความปลอดภัยก่อนการชน (Active Safety) ได้เพิ่มระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา (Blind Spot Monitor) และระบบช่วยเตือนในขณะถอยรถ (Rear Cross Traffic Alert) อีกทั้งยังคงมีระบบควบคุมการทรงตัว VSC (Vehicle Stability Control) และระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC (Hill Start Assist Control) เป็นอุปกรณ์มาตรฐานทุกรุ่น
  2. ระบบความปลอดภัยหลังการชน (Passive Safety) โดยตัวรถเสริมโครงสร้างด้านหน้า เพื่อช่วยถ่ายเทแรงกรณีที่เกิดการปะทะ และโครงสร้างด้านข้างแบบวงแหวน ช่วยลดการยุบตัวจากการชน รวมทั้งมีถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
  3. Toyota Safety Sense ใหม่ล่าสุด มีระบบการทำงานเพิ่มเติม คือ Dynamic Radar Cruise Control แบบ Full-Speed range ซึ่งสามารถปรับลดความเร็วจนถึงจุดหยุดนิ่งตามรถยนต์ คันหน้าและระบบ Lane Tracing Assist ที่ช่วยประคองรถยนต์ให้วิ่งอยู่ในเลนได้เอง แม้ในขณะเข้าโค้ง เพื่อช่วยลดความเมื่อยล้าในขณะขับขี่

All-New-Toyota-Corolla-Altis-2019

5. ระบบการเชื่อมต่อ – สะดวกสบายไปกับ Apple CarPlay และ T-Connect Telematics เพื่อช่วยให้ไม่พลาดในทุกการเชื่อมต่อ ทุกที่ และทุกเวลา

กลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลัก ก็คือ กลุ่มคนวัยทำงานที่มองหารถยนต์ที่มีดีไซน์เรียบหรู มีระดับ และมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยพร้อมฟังก์ชันครบครัน ทดแทนกลุ่มรถยนต์นั่งขนาดเล็ก เพื่อตอบรับการใช้งานได้เป็นอย่างดี

All-New-Toyota-Corolla-Altis-2019

โดยแนวทางการสื่อสารของ โคโรลล่า อัลติส ใหม่ ใช้สโลแกน All New Corolla Altis, “Make A New High” “ข้ามสู่ขีดสุดที่เหนือกว่า”

พร้อมทั้งแนะนำพรีเซนเตอร์คนล่าสุด ณเดชน์ คูกิมิยะ นักแสดงยอดนิยม ที่สะท้อนภาพลักษณ์ ที่บ่งบอกถึงความหรูหรา มีระดับ ของโคโรลล่า อัลติส ใหม่ ได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น และหลังจากนี้เราจะจัดกิจกรรมเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ที่โชว์รูมโตโยต้าทั่วประเทศ ในวันที่ 13-15 กันยายนนี้ เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสและทดลองขับ พร้อมร่วมสนุกกับกิจกรรมพิเศษ

นอกจากนั้น ลูกค้าสามารถเป็นเจ้าของโคโรลล่า อัลติส ใหม่ ได้ง่ายขึ้น ด้วยข้อเสนอพิเศษดอกเบี้ยพิเศษ 1.99% หรือ ผ่อนเริ่มต้นเพียง 8,500 บาท ต่อเดือน

All-New-Toyota-Corolla-Altis-2019

และครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่โคโรลล่า อัลติส ใหม่ มีแพ็คเกจการขยายระยะเวลารับประกันคุณภาพและฟรีค่าแรงเช็คระยะ อีกทั้งเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด มีแพ็คเกจการรับประกันรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด ที่ครอบคลุมทั้งแบตเตอรี่ ระบบไฮบริด และการรับประกันราคาขายต่อที่โตโยต้า ชัวร์ เช่นเดียวกับ C-HR และ Camry Hybrid โดยได้วางเป้าหมายการขาย ไว้ที่ 2,300 คัน ต่อเดือน

โคโรลล่า อัลติส ใหม่ มีให้เลือก 6 รุ่น และ 7 สี

– White Pearl* – Phantom Brown
– Super White II – Attitude Black Mica
– Silver Metallic – Red Mica Metallic
สีใหม่ 1 สี
– Celestite Gray

สำหรับรุ่นเครื่องยนต์ไฮบริด

– Hybrid Entry เกียร์อัตโนมัติ ราคา 939,000 บาท***
– Hybrid Mid เกียร์อัตโนมัติ ราคา 989,000 บาท***
– Hybrid High เกียร์อัตโนมัติ ราคา 1,099,000 บาท***

(*สำหรับสีพิเศษ White Pearl มีเฉพาะรุ่น Hybrid และเครื่องยนต์ 1.8 GR-Sport เพิ่ม 10,000 บาท)

สำหรับรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน

– Limo เกียร์อัตโนมัติ ราคา 829,000 บาท***
– 1.6G เกียร์อัตโนมัติ ราคา 869,000 บาท***
– 1.8 GR-Sport** เกียร์อัตโนมัติ ราคา 999,000 บาท***
(**มี 3 สี White Pearl, Red Mica Metallic, Attitude Black Mica)

***ราคาดังกล่าวเป็นราคารถยนต์พร้อมอุปกรณ์มาตรฐานที่ผลิตจากโรงงาน รวมราคาชุดอุปกรณ์ตกแต่งพิเศษ

พิเศษสำหรับลูกค้า All-New Corolla Altis ผ่อนเริ่มต้นเพียง 8,500 บาท ต่อเดือน หรือ เลือกรับดอกเบี้ยพิเศษ 1.99% นาน 48 เดือน

ถ้าคุณอยากซื้อ All-New Corolla Altis ใหม่ สามารถขายรถคันเก่ากับ Carro ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ Carro Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook Carro Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

Mercedes-Benz-A-200-AMG-Dynamic

เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) เปิดตัว “The new Mercedes-Benz A-Class” เจเนอเรชันที่ 4 รุ่นใหม่ล่าสุดสำหรับ Young Generation ที่จะเข้ามาเติมเต็ม Port Folio ของรถยนต์ในกลุ่ม Compact Car ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

นำเสนอในรุ่น Mercedes-Benz A 200 AMG Dynamic มาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่ดูสปอร์ต และโฉบเฉี่ยวมากขึ้นด้วยดีไซน์ภายนอก และภายในที่ได้รับการออกแบบใหม่ มีระบบความปลอดภัยที่ดีที่สุด พร้อมให้สมรรถนะการขับขี่ที่เร้าใจยิ่งขึ้นจากเครื่องยนต์ใหม่ ขนาด 1.3 ลิตร ที่มีอัตราการปล่อยไอเสียที่ต่ำ และอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันที่ยอดเยี่ยม แต่ให้กำลังสูงสุดถึง 163 แรงม้า ซึ่งถือเป็นคอมแพ็คคาร์ที่มีกำลังแรงม้ามากที่สุดในโลกเมื่อเทียบกับรถยนต์ ที่มีขนาดเครื่องยนต์เท่ากัน

พร้อมยกระดับความสะดวกสบายขณะขับขี่ด้วย “MBUX” หรือ “เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยูสเซอร์ เอ็กซ์พีเรียนซ์” (Mercedes-Benz User Experience) ระบบมัลติมีเดียใหม่ล่าสุดที่ติดตั้งใน The new A-Class เป็นรุ่นแรกในกลุ่มรถยนต์คอมแพ็คคาร์ Mercedes-Benz A 200 AMG Dynamic นำเสนอในราคา 2,490,000 บาท

“เมอร์เซเดส-เบนซ์ นำเสนอรถยนต์กลุ่มคอมแพ็คคาร์ครั้งแรกจากการเปิดตัว Mercedes-Benz A-Class ในงานเจนีวา มอเตอร์โชว์ เมื่อปี 2540 นับเป็นเวลากว่า 20 ปี ที่รถยนต์ตระกูล A-Class ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ยอดขายรถยนต์ในกลุ่ม Compact Car ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก”

Mercedes-Benz-A200-AMG-Dynamic

ดีไซน์ภายนอก ของ Mercedes-Benz A 200 AMG Dynamic นั้น สอดคล้องกับปรัชญาการออกแบบ Sensual Purity โดยจะเน้นความเรียบง่าย และให้ความสำคัญกับผิวสัมผัส แต่ในขณะเดียวกันก็มีความร้อนแรง และน่าดึงดูดใจ

ด้วยโครงสร้างภายนอกแบบ AMG ฝากระจังหน้าแบบ Diamond Radiator Grille ตัวรถมาพร้อมเส้นสายข้างตัวรถแบบ Catwalk นอกจากนั้นยังมีล้อขนาด 18 นิ้ว แบบ 5 ก้านคู่ และโคมไฟหน้าแบบ LED High Performance เพรียวบาง และกรอบเคลือบโครเมี่ยมที่ทำงานร่วมกับไฟ Daytime Running Light แบบ LED ที่มีลักษณะคล้ายคบเพลิง

Mercedes-Benz-A200-AMG-Dynamic

ดีไซน์ภายใน ภายในห้องโดยสารสไตล์สปอร์ตแบบ AMG โดยมีพื้นที่ว่างช่วงไหล่ ข้อศอก และเหนือศีรษะมากกว่ารถยนต์ประเภทเดียวกัน รวมไปถึงการออกแบบห้องโดยสาร ตอนหลังให้เข้าออกได้ง่าย พร้อมห้องเก็บสัมภาระด้านหลังมีปริมาตร 420 ลิตร

พวงมาลัยของรถยนต์รุ่นนี้ตกแต่งแบบสปอร์ตท้ายตัดหุ้มด้วยหนัง nappa เพื่อเพิ่มความเร้าใจในการขับขี่ เบาะที่นั่งหุ้มด้วยหนัง ARTICO / DINAMICA microfibre ทั้งหมด โดยเบาะที่นั่งด้านคนขับ มาพร้อมหน่วยความจำ อีกทั้งเบาะด้านหลังยังสามารถพับได้แบบ 40:20:40

Mercedes-Benz-A200-AMG-Dynamic

รูปลักษณ์ของแผงหน้าปัดมีความล้ำสมัย มาพร้อมกับหน้าจอ Widescreen ขนาด 10.25 นิ้ว ต่อกัน 2 หน้าจอ เป็นอุปกรณ์มาตรฐานโดยหน้าจอทั้งสองจะอยู่ติดกันและมีลักษณะลอยตัวแบ่งการแสดงผลเป็น 2 ส่วน คือ แผงหน้าปัดสำหรับแสดงมาตรวัดต่างๆ ซึ่งเป็นหน้าจอแบบ Widescreen ขนาดใหญ่เพื่อให้ผู้ขับขี่มองเห็นได้ชัดเจน และอีกส่วนหนึ่งจะเป็นหน้าจออินโฟเทนเมนต์ที่ใช้ระบบสัมผัส (Touchscreen) ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ใช้ในรถยนต์ Compact Car

โดยผู้ขับขี่สามารถควบคุมและออกคำสั่งได้ด้วยการสัมผัสที่หน้าจอ หรือใช้ Touchpad ดีไซน์ใหม่ ส่วนช่องลมของครื่อง ปรับอากาศนั้นได้รับการออกแบบโดยใช้กังหัน (Turbine) เป็นต้นแบบ

นอกจากนั้น ส่วนล่างของคอนโซลกลาง ออกแบบให้มีลักษณะคล้ายปีกที่ดูแบนราบ และไร้รอยต่อ โดยมีระบบไฟส่องสว่างในห้องโดยสารที่มีให้เลือกถึง 64 สี มากกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 5 เท่า อีกทั้งยังสามารถผสมสีสันต่างๆ เพิ่มเป็นสีพิเศษ ได้อีก 10 สี

Mercedes-Benz-A200-AMG-Dynamic

Mercedes-Benz A 200 AMG Dynamic มาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ๆ มากมาย! เช่น ระบบช่วยหยุดรถ (Active Brake Assist) ที่ได้รับพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น โดยสามารถลดความเสียหาย หรือป้องกันการชนกับรถคันหน้าที่ใช้ความเร็วต่ำกว่า กำลังชะลอหรือแม้แต่รถที่จอดอยู่ข้างหน้าได้ และยังช่วยป้องกันไม่ให้รถเฉี่ยวชนกับผู้ที่ข้ามถนนหรือผู้ใช้จักรยานได้เช่นกัน

อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกของรถยนต์ Compact Car ของ Mercedes-Benz ที่มาพร้อมกับระบบช่วยจอดพร้อมกล้องหลัง (Parking package with reversing camera)

นอกจากนั้น ยังมีเทคโนโลยีที่เป็นไฮไลท์ของรถยนต์รุ่นใหม่นี้ คือบริการ Mercedes me connect ที่มีความสามารถในการเชื่อมต่อระหว่างลูกค้า และผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ ที่จะทำงานร่วมกับระบบมัลติมีเดียอัจฉริยะที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาใหม่ล่าสุดอย่างระบบ MBUX หรือ Mercedes-Benz User Experience เป็นครั้งแรกสำหรับรถยนต์ในกลุ่มคอมแพ็คคาร์

Mercedes-Benz-A200-AMG-Dynamic

โดยผลลัพธ์ที่ได้คือ มีฟีเจอร์ต่างๆ ที่หลากหลายขึ้น บริการ Mercedes me connect มาพร้อมฟังก์ชันโดดเด่นมากมาย ผู้ขับขี่สามารถเลือกปรับเพิ่มบริการ และฟังก์ชันต่างๆ ตามต้องการผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน อาทิ

  • Mercedes-Benz emergency call system ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุรถชน เซ็นเซอร์ ของระบบนี้จะทำงานโดยอัตโนมัติ และส่งตำแหน่งของรถยนต์ให้กับศูนย์ช่วยเหลือทันที
  • Vehicle Monitoring เจ้าของรถยนต์สามารถเช็คตำแหน่งล่าสุด หรือเส้นทางการขับขี่ของรถยนต์ได้ผ่านแอปพลิเคชั่นของ Mercedes me connect ได้
  • Vehicle Set-up ผู้ขับขี่สามารถตรวจสอบสภาพรถยนต์ได้จากระยะไกล โดยเซ็นเซอร์ที่อยู่ในรถจะตรวจสอบสภาพของรถยนต์ในขณะนั้น และส่งเป็นข้อมูลผ่านแอปพลิเคชั่นฯให้ทั้งผู้ขับขี่ และศูนย์ซ่อมบำรุงสามารถเปิดดูรายละเอียดข้อมูลสถานะต่างๆ ได้
  • Maintenance Management ระบบนี้จะช่วยเตือนเมื่อถึงเวลานำรถยนต์เข้าตรวจสภาพ โดยจะตั้งวัน และเวลาเข้ารับบริการในครั้งต่อไปให้อัตโนมัติ
  • Remote Engine Start ฟังก์ชันที่ช่วยให้การใช้รถของคุณสะดวกสบายมากขึ้น โดยคุณสามารถเชื่อมต่อผ่านโทรศัพท์มือถือ เพื่อเปิดเครื่องปรับอากาศทำความเย็นล่วงหน้า หรือการสั่งเปิด หรือล็อกประตูรถจากระยะไกล เป็นต้น
  • Online Booking ฟังก์ชั่นสำหรับการนัดหมายเพื่อเข้ารับบริการต่างๆ จากเมอร์เซเดส-เบนซ์ได้ง่ายเพียงปลายนิ้ว

Mercedes-Benz-A200-AMG-Dynamic

สำหรับระบบ MBUX นั้น รองรับการสั่งการผ่านจุดสำคัญ 2 จุด คือ หน้าจอ Widescreen ระบบสัมผัส (หน้าจอส่วนอินโฟเทนเมนต์) และ Touchpad ที่อยู่ตรงคอนโซลกลาง ระบบนี้มีจุดเด่น อยู่ที่คุณสมบัติด้านการเรียนรู้ที่สามารถจดจำความต้องการของผู้เป็นเจ้าของผ่านระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยระบบนี้ มาพร้อมกับฟังก์ชันใหม่ๆ ที่น่าสนใจมากมาย อาทิ

  • Navigation ระบบนำทางแบบใหม่ที่มาพร้อมกับ GPS ที่แม่นยำยิ่งขึ้น และแผนที่ที่แสดงผลแบบสามมิติ (3D) ด้วยกราฟิกที่มีความละเอียดสูง ทำงานร่วมกับระบบ AR ในการนำทางโดยผู้ใช้สามารถหาจุดหมายที่ต้องการได้ด้วยการสัมผัสหน้าจอ นอกจากนั้นยังสามารถรายงานสภาพถนนและสถานะของร้านค้าต่างๆ ได้แบบเรียลไทม์อีกด้วย
  • Personal profiles ที่จะจดจำข้อมูลของผู้ขับขี่แต่ละคนไว้ ทั้งลักษณะของการปรับเบาะ ที่นั่ง สีไฟในห้องโดยสารที่ชอบ สถานที่ที่ไปเป็นประจำ ฯลฯ โดยระบบนี้สามารถจดจำข้อมูลของผู้ขับขี่ได้ถึง 22 โปรไฟล์
  • Linguatronic ระบบสั่งการด้วยเสียงที่รองรับได้ทั้งภาษาอังกฤษ ภาษาเยอรมัน และภาษาฝรั่งเศสของทุกสำเนียงทั่วโลก (Natural Speech Recognition) ระบบนี้สามารถรับรู้และเข้าใจเกือบทุกคำที่ปรากฏอยู่ในระบบอินโฟเทนเม้นท์ของรถยนต์ โดยผู้ขับขี่สามารถเปิดระบบได้เพียงพูดคำว่า “Hey, Mercedes”

Mercedes-Benz-A200-AMG-Dynamic

และยังเป็นรถยนต์ระดับพรีเมี่ยมรุ่นแรกในตลาด ที่ใช้เครื่องยนต์ขนาดเล็ก เพียง 1,332 ซีซี แต่ให้แรงม้าสูงสุดถึง 163 แรงม้า ซึ่งถือเป็น Compact Car ที่มีแรงม้ามากที่สุดในโลก เมื่อเทียบกับรถยนต์ที่มีขนาดเครื่องยนต์เท่ากัน แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ที่ 1,620 รอบ/นาที และยังมีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันที่ยอดเยี่ยมเฉลี่ยเพียง 5.2 ลิตร/100 กม. อีกด้วย

สำหรับใครที่อยากขายรถกับทาง Carro ก็สามารถขายด่วนๆ ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ Carro Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook Carro Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

BIG-Motor-Sale-2019

งานมหกรรมยานยนต์ เพื่อขายแห่งชาติ (Bangkok International Grand Motor Sale) หรือ BIG Motor Sale 2019 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 16 – 25 สิงหาคม 2562 ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค โดย ยานยนต์สแควร์ กรุ๊ป ตอบโจทย์ราคาดี แคมเปญเด่น โปรโมชั่นหลากหลาย ตลอด 10 วันจัดงาน

BIG-Motor-Sale-2019-หน้างาน

ในปีนี้ มีผู้ประกอบการค่ายรถ 25 แบรนด์ ที่มาร่วมงาน ได้แก่ Aston Martin, Audi, Bentley, BMW, Ford, Honda, Hyundai, Isuzu, KIA, Maserati, Mazda, Mercedes-Benz, MG, MINI, Mitsubishi, Nissan, Peugeot, Porsche, Rolls-Royce, Subaru, Suzuki, TATA, Toyota, Thairung และ Volvo

และค่ายรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์อีก 14 แบรนด์ ได้แก่ Benelli, BMW Motorrad, Hanway, Harley-Davidson, Honda, Kawasaki, Moto Guzzi, Piaggio, Royal Enfield, Scomadi, Suzuki, Triumph, Vespa, Yamaha ที่จะนำรถเข้ามาร่วมจำหน่าย รวมทั้งจะมีการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ในงานนี้อีกด้วย

นอกจากนี้ ยังมีทั้งโซนรถยนต์นำเข้าพรีเมี่ยมใหม่ รถยนต์มือสองพรีเมี่ยม และอุปกรณ์ยานยนต์ ของแต่งรถอีกด้วย แถมยังมีรถแข่ง รถ Retro ที่หลายๆ คน ชื่นชอบ มาให้ชมกันอีกมากมาย

บรรยากาศในงานจะเป็นอย่างไรบ้าง เชิญติดตามชมกันได้เลยครับ …

Toyota-Majesty

All-New Toyota Majesty

KIA-Soul-EV-BLACKPINK-Edition

All-New KIA Soul EV Blackpink Edition

All-New-Suzuki-Carry

All-New Suzuki Carry

New-Mitsubishi-Pajero-Sport

New Mitsubishi Pajero Sport

All-New-MG-Extender

New MG Expander

Peugeot-5008

Peugeot 5008

Ford-Mustang

Ford Mustang

Ford-Ranger-Raptor

Ford Ranger Raptor แต่งดุๆ

Secondhand-Cars-Import-Cars

มุมรถนำเข้า รถมือสอง และอุปกรณ์ตกแต่ง

Suzuki-Carry-Foodpark

ใครหิวก็แวะมาที่ซุ้ม Food Park ของ Suzuki Carry ได้

Motorcycle-Zone

โซนรถจักรยานยนต์

Suzuki-Katana

Suzuki Katana

Tire-In-BIG-Motor-Sale-2019

ยางรถยนต์หลากหลายแบบ

Car-Camera

กล้องติดรถยนต์ ก็มีให้เลือก

Car-Club

พบกับ Car Club ในวันหยุด

Motorcycle-Test-Riding

งานโชว์รถเจ้าแรก! ที่มีลานทดสอบรถจักรยานยนต์ด้วย

New-Car-In-BIG-Motor-Sale-2019

งานมหกรรมยานยนต์ เพื่อขายแห่งชาติ (Bangkok International Grand Motor Sale) หรือ BIG Motor Sale 2019 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 16 – 25 สิงหาคม 2562 ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค โดย ยานยนต์สแควร์ กรุ๊ป ในแนวคิด “เปิดโลกยานยนต์สรรสร้าง”

Carro ขอนำเสนอรถยนต์ใหม่ๆ ที่เตรียมเปิดตัวก่อนและในงาน BIG Motor Sale 2019 โดยในเดือนสิงหาคม บริษัทรถยนต์หลายแบรนด์ ต่างเตรียมเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ กันหลายค่าย Carro ขอแนะนำให้ได้ทราบข้อมูลและรายละเอียดต่างๆ ครับผม …

1. Toyota Sienta

Toyota-Sienta-2019

Toyota Sienta (โตโยต้า เซียนต้า) เพิ่งไปตัวไปสดๆ ร้อนๆ ในเดือนนี้ ปรับปรุงใหม่ภายใต้แนวคิด “คลิก ให้ชีวิตสุดชิค” ให้มีความทันสมัย (Chic) และง่ายต่อการใช้งานแค่เพียงสัมผัส (Click) ดีไซน์ภายนอกปรับกระจังหน้า กันชนหน้าใหม่ มีไฟหน้าโปรเจคเตอร์ Bi-Beam LED พร้อมสีใหม่ Citrus Mica Metallic

ส่วนภายใน เบาะหนังและวัสดุกึ่งสังเคราะห์สีดำ เดินด้ายส้ม แผงข้างประตูดีไซน์ใหม่ ติดตั้งจอสัมผัสขนาด 6.8 นิ้ว ใหม่ พร้อมฟังก์ชัน T-Link พร้อมกล้องมองภาพรอบทิศทาง 360 องศา 4 จุดรอบคัน และกล้องบันทึกภาพ ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย ในราคา 765,000 – 875,000 บาท

2. Toyota Majesty

All-New-Toyota-Majesty

Toyota Majesty (โตโยต้า มาเจสตี้) รถตู้สุดหรูจากค่ายโตโยต้า ที่จะมาแทนรุ่น Ventury โดยเตรียมขายเป็นครั้งแรกในงาน BIG Motor Sale 2019 นี้ ใช้พื้นฐานเดียวกับ Hiace และ Commuter โฉมใหม่ อัดแน่นออพชั่นเต็มพิกัด

ขุมพลังเป็นแบบรหัส 1GD-FTV ขนาด 2.8 ลิตร VG Turbo ให้แรงม้าสูงสุด 177 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตรที่ 1,600-2,400 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ในราคาเท่าไหร่ โปรดติดตาม …

3. Mitsubishi Pajero Sport

New-Mitsubishi-Pajero-Sport-2019

Mitsubishi Pajero Sport (มิตซูบิชิ ปาเจโร่ สปอร์ต) รถ SUV หรือที่เรียกกันว่ารถ PPV ยอดฮิตในบ้านเรา เปิดตัวไมเนอร์เชนจ์ครั้งแรกในโลกที่ไทย ปรับชุดไฟหน้า กระจังหน้า กันชนหน้า และไฟท้าย ใหม่ และปรับปรุงภายในใหม่ อัดแน่นด้วยระบบความปลอดภัยมากขึ้น เช่น ระบบส่งสัญญาณเตือนเมื่อเปลี่ยนเลน (LCA) และระบบสัญญาณเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด (RCTA)

มาพร้อมเครื่องยนต์ MIVEC Turbo Diesel ขนาด 2.4 ลิตร 181 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด มีให้เลือก 3 รุ่นย่อย ได้แก่ 2WD GT, 2WD GT Premium และ 4WD GT Premium ในราคา 1,299,000 – 1,599,000 บาท

4. Suzuki Carry

All-New-Suzuki-Carry-2019

Suzuki Carry (ซูซูกิ แครี่) โฉมใหม่หมดจด ขวัญใจชาวฟู้ดทรัค ถึงเวลาเปลี่ยนโฉมใหม่หมดจดซะที หลังจากที่ขายรุ่นเดิมมาอย่างยาวนานถึงสิบปีกว่า ครั้งนี้ด้านหน้ารถออกแบบเป็นตัดหน้าตรง เหมือนรถตู้ กระบะหลังเปิดได้ 3 ด้าน และสามารถบรรทุกได้มากถึง 1 ตัน! พร้อมการออกแบบห้องโดยสารภายในใหม่ เน้นที่เก็บของเต็มพิกัด!

มาพร้อมเครื่องยนต์รหัส K15B-C ขนาด 1.5 ลิตร 95 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด บนระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ส่วนราคาโปรดติดตามได้ในงาน BIG Motor Sale 2019 นี้!

5. Mercedes-Benz A-Class

Mercedes-Benz-A-Class-Sedan

Mercedes-Benz A-Class (เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอ-คลาส) ใหม่! มาไทยแน่นอน พร้อมเปิดตัวในวันที่ 22 สิงหาคม นี้ ในชื่อ Mercedes-Benz A 200 AMG Dynamic ซึ่งภายในมีฟังก์ชั่นเด่นๆ อย่าง หน้าจอคู่ Dual Screen Cockpit ขนาด 10.25 นิ้ว จำนวน 2 จอ, ระบบควบคุม Multimedia “MBUX”, หรือช่องแอร์เรืองแสง illuminated Air Vents แบบ Turbine เป็นต้น

ในเวอร์ชั่นอาจมาพร้อมขุมพลังขนาด 1.3 ลิตร Turbo 163 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด ในราคาที่ยังไม่เป็นที่เปิดเผย

6. Audi TT

Audi-TT

Audi TT (ออดี้ ทีที) ยนตรกรรมสปอร์ตตระกูล TT ที่ได้รับความนิยมและตอบรับจากลูกค้าอย่างต่อเนื่องจากทั่วโลก เมื่อเดือนที่ผ่านมาได้ทาง Audi ได้เปิดตัว Audi TT สเปคไทย ทีเดียว 3 รุ่น คือ The New Audi TT Roadster, Audi TTS Coupé และ Audi TT Coupé ใหม่

มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 ลิตร Turbo 230 แรงม้า และ 286 แรงม้า ในรุ่น TTS Coupé ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ S tronic 6 สปีด และยังเพิ่มความมั่นใจด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ หรือ quattro เอกลักษณ์ของ Audi สามารถทำความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. ในราคา 3,299,000 – 4,699,000  บาท

7. Peugeot 3008 & 5008

Peugeot-3008

Peugeot 3008 & 5008 (เปอโยต์ 3008 และ 5008) เป็นรถแบบ SUV 5 ที่นั่ง ขนาด Compact ส่วนรุ่น 5008 จะเป็นแบบ 7 ที่นั่ง ที่ออกแบบมาได้อย่างล้ำสมัย ภายในห้องโดยสารออกแบบใหม่ มีอุปกรณ์เด่นๆ อาทิ เบาะหนังแท้, ระบบปรับอากาศแบบ Dual Zone, หน้าปัดแสดงผลแบบดิจิตอลขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว, หน้าจอระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว พร้อมรองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ เป็นต้น

ส่วนเครื่องยนต์ของเวอร์ชั่นไทย คาดว่าแบบเดียวกับที่จำหน่ายที่มาเลเซีย แบบเบนซิน ขนาด 1.6 ลิตร Twin Scroll Turbo High Pressure (THP) ให้กำลังสูงสุด 165-167 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Paddle Shifts ที่พวงมาลัย และโหมดการขับขี่ที่ปรับได้ 5 รูปแบบ

ซึ่งราคาของ 3008 เริ่มต้นที่ 1,549,000 ล้านบาท และรุ่น 7 ที่นั่งอย่าง 5008 เริ่มต้น 1,749,000 บาท พร้อมโปรแกรมบำรุงรักษา 3 ปี หรือ 60,000 กม.

8. MG Extender

MG-Extender

MG Extender (เอ็มจี เอ็กซ์เทนเดอร์) ครั้งแรกของ MG ที่เปิดตัวรถกระบะ เตรียมชิมลางสมรภูมิรถกระบะอันดุเดือดครั้งแรกในไทย ใน Concept “กระบะพันธุ์ยักษ์ ให้มากกว่าความแกร่ง” โดยมาพร้อมการออกแบบภายใต้แนวคิด BRIT Dynamic ตัวถังขนาดใหญ่ ระบบความปลอดภัยครบครัน และระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i-SMART รองรับการสั่งการด้วยเสียงภาษาไทย ครั้งแรกของโลกในรถกระบะ

มาพร้อมเครื่องยนต์ Diesel Commonrail Turbo ขนาด 2.0 ลิตร 161 แรงม้า ระบบช่วงล่างแบบ European Tuning Suspension พร้อมการติดตั้งระบบความปลอดภัยครบครัน รวมทั้งยังเป็นรถกระบะที่มาพร้อมระบบดิสก์เบรก 4 ล้อ มี 9 รุ่นย่อย ครอบคลุมทั้งแบบกระบะตอนครึ่ง (Giant Cab) และแบบ 4 ประตู (Double Cab) ในราคา 549,000 – 1,029,000 บาท

สำหรับผู้ที่สนใจซื้อรถใหม่ในงาน BIG Motor Sale 2019 แต่ยังไม่รู้ว่าว่าจะขายรถคันเดิมที่ไหนดี ที่ได้ราคาที่ดีที่สุด … ให้ Carro เป็นผู้ช่วยมืออาชีพของคุณ

ขวัญใจฟู๊ดทรัค!-All-New-Suzuki-Carry-ใหม่!

หลายๆ คน อาจจะคุ้นเคยกับ Suzuki Carry (ซูซูกิ แครี่) ที่มีให้เห็นวิ่งกันเกลื่อนเมืองในไทยมาอย่างยาวนานมาก ย้อนนับไปตั้งแต่ในยุค 60 ในรูปแบบรถบรรทุกขนาดจิ๋ว ที่เราเรียกกันว่า “รถกระป๊อ” จวบจนถึงในโฉมที่มีขายอยู่ปัจจุบัน ในรูปแบบรถบรรทุกขนาดเล็ก ที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานของ Suzuki APV และผลิตออกขายมายาวนานกว่า 10 ปี (นับตั้งแต่ปี 2549) ในบ้านเรา

พอหลังจากที่ประเทศอินโดนีเซีย ได้เปิดิตัว All-New Suzuki Carry เวอร์ชั่นตลาดโลกเป็นครั้งแรกที่งาน Telkomsel Indonesia International Motor Show เมื่อวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา ทางโรงงานซูซูกิ ในประเทศอินโดนีเซีย ก็ประกาศความพร้อมในการส่งออกรถรุ่นนี้ไปยังเกือบ 100 ประเทศทั่วโลกเลยทีเดียว

Suzuki Carry ถูกเปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อปี 2549 ด้วยความอเนกประสงค์และตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการใช้งานรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์ขนาดย่อม ส่งผลให้ปัจจุบัน Suzuki Carry ครองตลาดในไทยเป็นอันดับ 1 ของเซกเม้นท์นี้ โดยมียอดขายรวมถึงปัจจุบันกว่า 50,000 คัน

และ Suzuki Carry รายละเอียดจะมีอะไรบ้าง Mr.Carro จะมาเล่าให้ฟัง …

All-New-Suzuki-Carry-2019

สำหรับ All-New Suzuki Carry เวอร์ชั่นที่ขายในตลาดโลกนั้น ยังคงแตกต่างไปจากเวอร์ชั่นญี่ปุ่นที่เป็นรถบรรทุกขนาดจิ๋ว (จัดเป็นรถในกลุ่ม K-Car) ซึ่งด้านหน้ารถออกแบบเป็นตัดหน้าตรง เหมือนรถตู้

มาพร้อมภายใต้แนวคิด “CARRY YOUR DREAM เคียงข้างทุกเส้นทางฝัน” พร้อมด้วยการคว้าตัวพ่อค้าเจ้าของธุรกิจอาหารทะเลแห้งออนไลน์ชื่อดัง “ฮาซัน” หรือ คุณอนุรักษ์ สรรฤทัย มาเป็นพรีเซนเตอร์ในฐานะตัวแทนของผู้ประกอบธุรกิจที่มีความฝัน และดำเนินธุรกิจจนประสบความสำเร็จ

All-New-Suzuki-Carry-2019

All-New-Suzuki-Carry-2019

มิติตัวรถ ยาว 4,195 มม. กว้าง 1,765 มม. สูง 1,910 มม. ระยะฐานล้อ 2,205 มม. น้ำหนักรถ 1,065 กิโลกรัม พร้อมยางขนาด 165/80R13

กระบะหลังยังคงเปิดได้ทั้ง 3 ด้าน และมีขอให้เกี่ยวเชือกได้ถึง 22 จุด รวมไปถึงรับน้ำหนักได้มากถึง 945 กิโลกรัม

All-New-Suzuki-Carry

ห้องโดยสารภายใน มาพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกเท่าที่จำเป็น แผงคอนโซลออกแบบใหม่ ถูกใจคนชอบเก็บของสุดๆ! ด้วยช่องเก็บของที่มีอยู่เยอะมากๆ ปุ่มปรับแอร์แบบลูกบิด ใช้งานง่าย พร้อมคันเกียร์ที่ย้ายจากกลางตัวรถ มาอยู่บริเวณด้านข้างพวงมาลัย ช่วยให้เปลี่ยนได้เกียร์ได้ง่ายขึ้น แถมยังติดตั้งพวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฟฟ้ามาให้อีกด้วย มีแอร์ วิทยุ/MP3/USB/AUX และเบาะคนขับปรับเลื่อนได้ 105 มม.

All-New-Suzuki-Carry-2019

สำหรับขุมพลังเครื่องยนต์ของเวอร์ชั่นไทย เป็นเครื่องยนต์เบนซินรหัส K15B-C ขนาด 1.5 ลิตร (1,462 ซีซี) ให้แรงม้าสูงสุด 71 แรงม้า ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 135 นิวตัน-เมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด ขับเคลื่อนล้อหลัง

ตัวรถติดตั้งระบบ Engine Drag Control ทำหน้าที่รักษาความเร็วของล้อหน้าและล้อหลังให้สมดุลกัน ช่วยป้องกันรถไม่เกิดการลื่นไถล เพื่อให้สามารถควบคุมรถได้อย่างมั่นคง ในสถานการณ์เมื่อขับขี่บนพื้นเปียกหรือพื้นถนนลื่น วงเลี้ยวแคบสุดเพียง 4.4 เมตร เพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่ เหมาะกับใช้งานในพื้นที่ที่มีเงื่อนไขจำกัดได้เป็นอย่างดี

สำหรับ All-New Suzuki Carry มีสีเดียวให้เลือก คือ สีขาว ในราคา 385,000 บาท โดยตั้งเป้าเจาะกลุ่มผู้ประกอบการหน้าใหม่เพิ่มขึ้น เน้นเจาะไปยังกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม รวมถึงกลุ่มรถ Food Truck ที่มีแนวโน้มขยายตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง และตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 4,000 คัน

New-Mitsubishi-Pajero-Sport-2019

Mitsubishi เผยโฉม Mitsubishi Pajero Sport (มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต) ใหม่ ครั้งแรกในโลกที่ประเทศไทย ในราคา 1,299,000 – 1,599,000 บาท

New-Mitsubishi-Pajero-Sport-2019

Mitsubishi Pajero Sport (มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต) หรือในชื่อที่ใช้ในบางประเทศ นั่นคือ Mitsubishi Montero Sport (มิตซุบิชิ มอนเทโร สปอร์ต) ใหม่ มาพร้อมรูปลักษณ์ภายนอกที่หรูหราและทรงพลังยิ่งขึ้น พร้อมปรับปรุงภายในห้องโดยสารใหม่ ด้วยจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ LCD ขนาด 8 นิ้ว ปรับปรุงใหม่เพื่อง่ายต่อการอ่าน และประตูท้ายไฟฟ้าที่ใช่ง่ายยิ่งขึ้น เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเปิด-ปิด ด้วยสมาร์ทโฟน

New-Mitsubishi-Pajero-Sport-2019

ทั้งนี้ มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต คือหนึ่งในรุ่นรถยนต์ที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ระดับโลกของ Mitsubishi Motors (มิตซูบิชิ มอเตอร์ส) ด้วยยอดจำหน่ายราว 77,000 คันทั่วโลกในปีงบประมาณ 2561 ที่ผ่านมา

Mitsubishi Pajero Sport ผลิตขึ้นที่โรงงานแหลมฉบังของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ในประเทศไทย โดย Mitsubishi Pajero Sport ใหม่ จะเปิดตัวเพื่อจำหน่ายในอีกกว่า 90 ประเทศ รวมถึง ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย และอื่นๆ

เปลี่ยนอะไรบ้าง?

New-Mitsubishi-Pajero-Sport-2019

Mitsubishi Pajero Sport ได้รับการออกแบบใหม่ภายใต้แนวคิด “ความสำเร็จที่เป็นคุณ” ดีไซน์ภายนอกดูทรงพลังและหรูหรายิ่งขึ้น ปรับชุดไฟหน้า กระจังหน้า กันชนหน้า และไฟท้าย ใหม่ และปรับปรุงภายในใหม่ เป็นต้น

New-Mitsubishi-Pajero-Sport-2019

1) ดีไซน์เน้นสง่างาม และทรงพลัง

การดีไซน์ด้านหน้าแบบ Dynamic Shield ของ Mitsubishi ได้พัฒนาขึ้นไปอีกขั้นใน Mitsubishi Pajero Sport ใหม่ ให้วิสัยทัศน์ดีขึ้น และเน้นความกว้างขวางโอ่อ่าของด้านหน้ารถ ด้วยตำแหน่งไฟหน้าที่ทอดตัวต่อเนื่องจากกระจังหน้าพร้อมชุดไฟ Combination Lamps ติดตั้งที่มุมของกันชน ฝากระโปรงหน้าสูงขึ้นกว่าเดิม ช่วยเพิ่มมิติความลึกให้กับด้านหน้ารถ และตกแต่งด้วยชิ้นส่วนโครเมียม ยังดูประณีตหรูหราอีกด้วย

New-Mitsubishi-Pajero-Sport-2019

2) อุปกรณ์เทคโนโลยีอำนวยความสะดวกใหม่

  • จอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ LCD ขนาด 8 นิ้ว ที่ง่ายต่อการอ่าน พร้อมเชื่อมต่อและแสดงข้อมูลจากหน้าจอระบบสัมผัส SDA
  • ระบบเปิดและปิดประตูท้ายด้วยไฟฟ้า พร้อมระบบความปลอดภัยและระบบแฮนด์ฟรี

ระบบรีโมทคอนโทรลของ มิตซูบิชิ มอบความสะดวกสบายด้วยคำสั่งการทำงานต่างๆ ซึ่งจะส่งการแจ้งเตือนไปยังสมาร์ทโฟนของผู้ขับขี่ในกรณีที่เปิดประตูท้ายหรือไฟหน้าทิ้งไว้ อีกทั้งยังสามารถสั่งการเปิดและปิดประตูท้ายไฟฟ้าผ่านสมาร์ทโฟน

โดยระบบจะส่งคำสั่งการเปิดและปิดประตูท้ายอัตโนมัติเมื่อเจ้าของรถอยู่ในระยะใกล้ตัวรถ และสามารถส่งคำสั่งได้จากทุกที่ในระยะของการเชื่อมต่อรถยนต์ผ่านแอปพลิเคชัน โดยทำงานควบคู่กับระบบกุญแจอัจฉริยะ KOS หรือเมื่ออยู่ในระยะสัญญาณบลูทูธ

New-Mitsubishi-Pajero-Sport-2019

3) ภายในห้องโดยสาร ใหม่!

  • คอนโซลกลางและมือจับประตูแบบใหม่ พร้อมด้วยวัสดุบุนุ่มพิเศษ
  • เพิ่มช่องเก็บของใต้คอนโซล พร้อมปรับปรุงการจัดวางตำแหน่งช่องจ่ายกระแสไฟ และช่องต่ออุปกรณ์ USB ที่ตำแหน่งบริเวณคอนโซลกลางด้านหลัง เพื่อการใช้งานที่สะดวกสบายยิ่งขึ้น สำหรับผู้โดยสารในทุกตำแหน่ง

New-Mitsubishi-Pajero-Sport-2019

4) สมรรถนะการขับขี่ที่เหนือชั้น

  • เครื่องยนต์ MIVEC เทอร์โบดีเซล ขนาด 2.4 ลิตร 181 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด
  • เทคโนโลยีความปลอดภัยครบครันยิ่งขึ้น ด้วยระบบส่งสัญญาณเตือนเมื่อเปลี่ยนเลน (LCA) และระบบสัญญาณเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด (RCTA)
  • เทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ SUPER-SELECT 4WD-II ถ่ายทอดกำลังได้อย่างเหมาะสมต่อการขับเคลื่อนไปบนทุกสภาพพื้นผิวถนนและสามารถควบคุมการขับขี่ได้อย่างมั่นใจ
  • พร้อมระบบควบคุมใหม่ เพื่อปรับเปลี่ยนการขับเคลื่อนสำหรับเส้นทางออฟโรดในรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ

ราคาของ Pajero Sport ใหม่ …

New-Mitsubishi-Pajero-Sport-2019

ราคาของ Mitsubishi Pajero Sport ใหม่ มีดังนี้ / Mitsubishi Pajero Sport. Shown in Thai Baht.

– รุ่น 2WD GT ราคา 1,299,000 บาท
– รุ่น 2WD GT Premium ราคา 1,469,000 บาท
– รุ่น 4WD GT Premium ราคา 1,599,000 บาท

New-Mitsubishi-Pajero-Sport-2019

มาพร้อมสีใหม่ 2 สี ได้แก่ White Diamond และ Graphite Gray

ข้อเสนอสุดพิเศษ สำหรับมิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ใหม่

มีผลตั้งแต่วันที่ 25 กรกฏาคม 2562 – 30 กันยายน 2562

• ดอกเบี้ยพิเศษ 1.99% (1)
• ฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่ง นาน 1 ปี (2)
• ฟรี รับประกันคุณภาพ 5 ปี (3)
• ฟรี ค่าแรงเช็กระยะนาน 5 ปี (4)
• ฟรี อุปกรณ์เชื่อมต่อสัญญาณภาพและเสียงระบบดิจิตอล (HDMI WiFi Dongle) (5)

(1) สำหรับลูกค้าที่จองรถยนต์มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ใหม่ (รุ่นปี 2020) ตั้งแต่วันที่ 25 ก.ค. 62 – 30 ก.ย. 62 และออกรถภายในวันที่ 31 ต.ค. 62 เลือกรับดอกเบี้ยพิเศษในอัตราร้อยละ 1.99 สำหรับลูกค้าที่ชำระเงินดาวน์เริ่มต้นในอัตราร้อยละ 25 ของราคารถยนต์ และผ่อนชำระค่าเช่าซื้อทั้งหมดเป็นจำนวน 48 งวดเท่านั้น (เงื่อนไขและรายละเอียดการให้สินเชื่อเช่าซื้อโปรดสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สถาบันการเงินที่ร่วมรายการ ได้แก่ มิตซู ลิสซิ่ง ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ธนาคารธนชาติ จำกัด (มหาชน) บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคาร ไอซีบีซี (ไทย) จำกัด (มหาชน) ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) และ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน)

สำหรับรถยนต์มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต และ มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ใหม่ (รุ่นปี 2020)
(2) รับฟรี ค่าเบี้ยประกันภัยชั้นหนึ่งไดมอนด์ โพรเทคชั่น เป็นระยะเวลา 1 ปี มูลค่าสูงสุด 28,499 บาท ทั้งนี้ เงื่อนไขการรับประกันภัยและทุนประกันภัยเป็นไปตามกรมธรรม์ประกันภัยที่บริษัทรับประกันกำหนด และเงื่อนไขของกรมธรรม์แต่ละฉบับจะมีความแตกต่างกันตามมูลค่าของรถยนต์ที่เอาประกันภัย

(3) รับฟรี การรับประกันคุณภาพรถยนต์ (Diamond Warranty) 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (แล้วแต่ระยะใดจะถึงก่อน) ระยะเวลาการรับประกันของชิ้นส่วนและอุปกรณ์แต่ละชนิดอาจแตกต่างกันตามที่ระบุไว้ในสมุดรับบริการและคู่มือการใช้รถ ซึ่งรับประกันโดยบริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด โปรดศึกษารายละเอียดการรับประกันเพิ่มเติมในคู่มือรถ โดยลูกค้าสามารถเข้ารับบริการที่ศูนย์บริการมาตรฐานของผู้จำหน่ายมิตซูบิชิที่ได้รับการแต่งตั้งเท่านั้น

(4) รับรายการฟรีค่าแรงเช็กระยะนาน 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (แล้วแต่ระยะใดจะถึงก่อน) มูลค่าสูงสุด 8,150 บาท อัตราค่าแรงที่นำมาคำนวณอ้างอิงจากอัตราค่าแรงกลาง บริการฟรีเฉพาะค่าแรงเช็กระยะตามที่กำหนดไว้ในบัตรตรวจเช็กระยะฟรีในสมุดรับบริการและคู่มือการใช้รถ ซึ่งรถยนต์ของลูกค้าจะได้รับการตรวจสอบและบำรุงรักษาตามรายการที่ระบุไว้ โดยลูกค้าสามารถเข้ารับบริการที่ศูนย์บริการมาตรฐานของผู้จำหน่ายมิตซูบิชิที่ได้รับการแต่งตั้งเท่านั้น

(5) สำหรับลูกค้าที่จองรถยนต์มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ใหม่ (รุ่นปี 2020) รุ่น 2WD 2.4D GT-Premium และ 4WD 2.4D GT-Premium ตั้งแต่วันที่ 25 ก.ค. 62 ถึง 31 ต.ค.62 และออกรถภายในวันที่ 30 พ.ย. 62 รับฟรี อุปกรณ์เชื่อมต่อสัญญาณภาพและเสียงระบบดิจิตอล (HDMI WiFi Dongle) จำนวน 1 ชิ้น มูลค่า 1,690 บาท ในวันออกรถ ณ ศูนย์บริการรถยนต์มิตซูบิชิที่ท่านออกรถ

New-Cars-In-Half-Year-Later-2019

ช่วงครึ่งหลังปี 2562 แม้ว่าเศรษฐกิจยังคงย่ำแย่ แบบนี้มาอย่างต่อเนื่อง กำลังซื้อในตลาดกลุ่มใหญ่หดหาย ทำให้ค่ายรถนอกจากจะต้องจัดโปรโมชั่นกระตุ้นการขาย ก็ยังต้องรีบเปิดตัว Product ใหม่ เพื่อแข่งกันชิงส่วนแบ่งทางการตลาดอีกด้วย

ซึ่งถ้านับกันตามตรง ตั้งแต่ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ค่ายรถหลายค่ายก็เปิดตัวรถกันไปหลายรุ่น อาทิเช่น MG ZS EV รถ SUV พลังไฟฟ้า 100% จากค่าย MG ที่ไม่ต้องถามเลยว่า กี่ล้าน! หรือจะเป็น Toyota Hiace และ Commuter ใหม่ ที่สร้างความตื่นเต้นให้กับวงการรถตู้ไปอย่างมาก …

Carro ขอแนะนำรถใหม่ รุ่นเด็ด ที่เตรียมตัวเปิดตัวในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2562 นี้ จะมียี่ห้อไหน รุ่นใดบ้าง ไปชมกันได้เลยครับ.

1. Toyota Corolla Altis

Toyota-Corolla-Altis-Taiwan

หลังจากที่ Toyota Corolla Altis (โตโยต้า โคโรลล่า อัลติส) รุ่นปัจจุบันที่ขายในบ้านเรามานานหลายปีแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนโฉมกันสักที (ทั้งๆ ที่ ในต่างประเทศ ก็โมเดลเชนจ์กันไปนานแล้ว) โดย Altis ใหม่นี้ โดยมาพร้อมกับแพลทฟอร์ม TNGA เช่นเดียวกับรุ่น C-HR, Camry หรือ Prius

มาพร้อมรูปลักษณ์ภายนอกสไตล์สปอร์ต ห้องโดยสารภายในมาในแนวคิด Sensuous Minimalism แถมยังมีหน้าจอขนาด 8 นิ้ว รองรับระบบ Toyota Drive+Connect อีกด้วย

Toyota-Corolla-Altis-Taiwan

ส่วนเครื่องยนต์ มากันแบบครบๆ เหมือนเดิม ทั้งเครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 1.6 ลิตร และขนาด 1.8 ลิตร กับเครื่องยนต์เบนซิน Hybrid ขนาด 1.8 ลิตร พร้อมกับปรับปรุงระบบช่วงล่างใหม่ ระบบเกียร์มีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 6 สปีด เกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i และแบบ ECVT ในรุ่น Hybrid ในสไตล์ทนๆ ไม่จุกจิก ขวัญใจแท็กซี่ ที่มาสร้างความคึกคักในตลาดรถเดือนสิงหาคม 2562 แน่ๆ

2. Mazda3

Mazda3-2019

Mazda3 (มาสด้า3) ใหม่หมดจด ที่แฟนๆ Zoom-Zoom ต่างรอคอย มาแน่นอนครับ! ในเดือนกันยายนนี้ หลังจากที่เปิดตัวที่ญี่ปุ่นไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน (ซึ่งในโฉมนี้ ไม่ได้ใช้ชื่อ Axela แล้ว แต่ใช้เป็น Mazda3 เช่นเดียวกับในทั่วโลก) ยังมีให้เลือกทั้งตัวถังแบบ Sedan และ Fastback เหมือนเดิม

สำหรับขุมพลังของ Mazda3 ใหม่ ในไทย คาดว่าเครื่องยนต์ก็ยังเป็นขนาด 2.0 ลิตร เหมือนในโฉมปัจจุบันครับ แต่ในส่วนของเวอร์ชั่นญี่ปุ่น ใช้เครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร SkyActiv-G 111 แรงม้า, ขนาด 2.0 ลิตร SkyActiv-G 111 แรงม้า และเครื่องยนต์ดีเซล ขนาด 1.8 ลิตร SkyActiv-D 116 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 6 สปีด (เฉพาะรุ่น 1.5 ลิตร เวอร์ชั่นญี่ปุ่น) และเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด เช่นเคย

3. Mazda CX-8

Mazda-CX-8-2019

Mazda CX-8 (มาสด้า ซีเอ็กซ์-8) รถ SUV รุ่นใหญ่จาก Mazda หลังจากที่มีข่าวว่าจะมาไทย แต่ก็ยังเงียบอยู่ ซึ่งคาดว่าน่าจะได้ฤกษ์เปิดตัวในบ้านเรา ประมาณเดือนตุลาคม 2562

ใช้ขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล Skyactiv-D ขนาด 2.2 ลิตร เหมือนในตัว CX-5 แต่ปรับแรงม้าให้สูงขึ้น แบบแถวเรียง 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว Turbo ให้แรงม้าสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด มีให้เลือกทั้งรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า 2WD และขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ AWD

4. Mitsubishi Pajero Sport

New-Mitsubishi-Pajero-Sport-2019

Mitsubishi Pajero Sport (มิตซูบิชิ ปาเจโร่ สปอร์ต) รถ SUV หรือที่เรียกกันว่ารถ PPV ยอดฮิตในบ้านเรา เปิดตัวไมเนอร์เชนจ์ครั้งแรกในโลกที่ไทย ตัวรถหน้าตาใหม่ (หรือ Design Language ที่ค่ายรถหลายค่าย มักเรียกกัน) ไปในทิศทางเดียวกับ Mitsubishi รุ่นอื่นๆ ที่มาใน Theme ออกแบบ “Dynamic Shield” ด้วยชุดไฟหน้าใหม่ กระจังหน้าใหม่ กันชนใหม่ และไฟท้ายใหม่

พร้อมปรับปรุงห้องโดยสารภายในใหม่ อัดแน่นด้วยระบบความปลอดภัยมากขึ้น เช่น ระบบส่งสัญญาณเตือนเมื่อเปลี่ยนเลน (LCA) และระบบสัญญาณเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด (RCTA)

มาพร้อมเครื่องยนต์ MIVEC Turbo Diesel ขนาด 2.4 ลิตร 181 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด มีให้เลือก 3 รุ่นย่อย ได้แก่ 2WD GT, 2WD GT Premium และ 4WD GT Premium ในราคา 1,299,000 – 1,599,000 บาท

5. Suzuki Carry

All-New-Suzuki-Carry-2019

Suzuki Carry (ซูซูกิ แครี่) โฉมใหม่หมดจด ขวัญใจชาวฟู้ดทรัค ถึงเวลาเปลี่ยนโฉมใหม่หมดจดซะที หลังจากที่ขายรุ่นเดิมมาอย่างยาวนานถึงสิบปีกว่า ครั้งนี้ด้านหน้ารถออกแบบเป็นตัดหน้าตรง เหมือนรถตู้ กระบะหลังเปิดได้ 3 ด้าน และสามารถบรรทุกได้มากถึง 1 ตัน! พร้อมการออกแบบห้องโดยสารภายในใหม่ เน้นที่เก็บของเต็มพิกัด!

มาพร้อมเครื่องยนต์รหัส K15B-C ขนาด 1.5 ลิตร 95 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด บนระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ส่วนราคาโปรดติดตามได้ในงาน BIG Motor Sale 2019 นี้!

6. Mercedes-Benz A-Class

Mercedes-Benz-A-Class-Sedan

Mercedes-Benz A-Class (เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอ-คลาส) ใหม่! มาไทยแน่นอน พร้อมเปิดตัวในวันที่ 22 สิงหาคม นี้ ในชื่อ Mercedes-Benz A 200 AMG Dynamic ซึ่งภายในมีฟังก์ชั่นเด่นๆ อย่าง หน้าจอคู่ Dual Screen Cockpit ขนาด 10.25 นิ้ว จำนวน 2 จอ, ระบบควบคุม Multimedia “MBUX”, หรือช่องแอร์เรืองแสง illuminated Air Vents แบบ Turbine เป็นต้น

ในเวอร์ชั่นอาจมาพร้อมขุมพลังขนาด 1.3 ลิตร Turbo 163 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด ในราคาที่ยังไม่เป็นที่เปิดเผย

7. Audi TT

Audi-TT

Audi TT (ออดี้ ทีที) ยนตรกรรมสปอร์ตตระกูล TT ที่ได้รับความนิยมและตอบรับจากลูกค้าอย่างต่อเนื่องจากทั่วโลก เมื่อเดือนที่ผ่านมาได้ทาง Audi ได้เปิดตัว Audi TT สเปคไทย ทีเดียว 3 รุ่น คือ The New Audi TT Roadster, Audi TTS Coupé และ Audi TT Coupé ใหม่

มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 ลิตร Turbo 230 แรงม้า และ 286 แรงม้า ในรุ่น TTS Coupé ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ S tronic 6 สปีด และยังเพิ่มความมั่นใจด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ หรือ quattro เอกลักษณ์ของ Audi สามารถทำความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. ในราคา 3,299,000 – 4,699,000  บาท

8. Peugeot 3008 & 5008

Peugeot-3008

Peugeot 3008 & 5008 (เปอโยต์ 3008 และ 5008) เป็นรถแบบ SUV 5 ที่นั่ง ขนาด Compact ส่วนรุ่น 5008 จะเป็นแบบ 7 ที่นั่ง ที่ออกแบบมาได้อย่างล้ำสมัย ภายในห้องโดยสารออกแบบใหม่ มีอุปกรณ์เด่นๆ อาทิ เบาะหนังแท้, ระบบปรับอากาศแบบ Dual Zone, หน้าปัดแสดงผลแบบดิจิตอลขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว, หน้าจอระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว พร้อมรองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ เป็นต้น

ส่วนเครื่องยนต์ของเวอร์ชั่นไทย คาดว่าแบบเดียวกับที่จำหน่ายที่มาเลเซีย แบบเบนซิน ขนาด 1.6 ลิตร Twin Scroll Turbo High Pressure (THP) ให้กำลังสูงสุด 165-167 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Paddle Shifts ที่พวงมาลัย และโหมดการขับขี่ที่ปรับได้ 5 รูปแบบ ซึ่งราคาอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านบาทกลางๆ

9. Chevrolet Captiva

Chevrolet-Captiva-2019

หลังจากที่ Chevrolet นำ Chevrolet Captiva (เชฟโรเลต แคปติวา) รถ SUV ยอดนิยมจากค่าย ได้นำรถต้นแบบของ Captiva ใหม่ มาโชว์ในงาน Motor Show 2019 ที่ผ่านมา ก็ได้รับเสียงตอบรับจากแฟนๆ พอสมควร โดย Captiva รุ่นใหม่นี้เป็นรถที่ GM ร่วมกับทาง SAIC ของจีน เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงเดือนสิงหาคม – กันยายน 2562 นี้

ขุมพลังที่ใช้คาดว่าเป็นเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว Turbo ให้แรงม้าสูงสุด 147 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 230 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ขับเคลื่อนล้อหน้า

10. MG Extender

MG-Extender

MG Extender (เอ็มจี เอ็กซ์เทนเดอร์) ครั้งแรกของ MG ที่เปิดตัวรถกระบะ เตรียมชิมลางสมรภูมิรถกระบะอันดุเดือดครั้งแรกในไทย ใน Concept “กระบะพันธุ์ยักษ์ ให้มากกว่าความแกร่ง” โดยมาพร้อมการออกแบบภายใต้แนวคิด BRIT Dynamic ตัวถังขนาดใหญ่ ระบบความปลอดภัยครบครัน และระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i-SMART รองรับการสั่งการด้วยเสียงภาษาไทย ครั้งแรกของโลกในรถกระบะ

มาพร้อมเครื่องยนต์ Diesel Commonrail Turbo ขนาด 2.0 ลิตร 161 แรงม้า ระบบช่วงล่างแบบ European Tuning Suspension พร้อมการติดตั้งระบบความปลอดภัยครบครัน รวมทั้งยังเป็นรถกระบะที่มาพร้อมระบบดิสก์เบรก 4 ล้อ มี 9 รุ่นย่อย ครอบคลุมทั้งแบบกระบะตอนครึ่ง (Giant Cab) และแบบ 4 ประตู (Double Cab) ในราคา 549,000 – 1,029,000 บาท

เตรียมเปิดตัวในงาน BIG Motor Sale 2019 ซึ่งจะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 16 -25 สิงหาคม นี้ ที่ BITEC บางนา

ถูกใจแบบไหน อยากได้แบบไหน เตรียมตัวเก็บเงิน ไปรอซื้อกันได้แล้วครับ …

New-MG-ZS-EV-2019
  • รถยนต์ SUV ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 100% ขุมพลังจากแบตเตอรี่ลิเธี่ยม ไอออน (Lithium-ion) ความจุ 44.5 kWh วิ่งได้ไกลกว่า 337 กิโลเมตร* ผสานเทคโนโลยีความปลอดภัย พร้อม Advanced Driver-Assistance Systems ครบครัน
  • รองรับการชาร์จไฟทั้งแบบ Normal Charge ใช้เวลาเพียง 6.5 ชั่วโมง และแบบ Quick Charge ที่ 80% ในเวลาเพียง 30 นาที
  • เชื่อมต่อและสั่งการได้รวดเร็วขึ้นด้วยระบบการเชื่อมต่ออัจฉริยะ i-SMART รองรับการสั่งการด้วยเสียงภาษาไทย พร้อมฟังก์ชั่นตรวจสอบสถานะแบตเตอรี่ การค้นหาสถานีชาร์จได้บนมือถือ

New MG ZS EV รถยนต์เอสยูวีพลังงานไฟฟ้า 100% สไตล์ยุโรป

MG-ZS-EV

New MG ZS EV โดดเด่นด้วยดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ของ SUV ตามแบบฉบับของเอ็มจี โดดเด่นด้วยสีตัวถังแบบพิเศษ สีฟ้า Copenhagen Blue” กระจังหน้าทันสมัย พร้อมติดตั้งจุดชาร์จไว้บริเวณหลังกระจังหน้า และล้ออัลลอยใหม่ขนาด 17 นิ้ว

ภายในห้องโดยสารตกแต่งโทนสีดำ พร้อมการตกแต่งคอนโซลหน้า ด้วยวัสดุนุ่มแบบ Soft Touch ดูหรูหรามีระดับมากขึ้น พวงมาลัยทรงสปอร์ตหุ้มหนังแบบมัลติฟังก์ชั่น สามารถควบคุมฟังก์ชั่นการใช้งานในรถที่เชื่อมกับหน้าจอสีระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้วได้ และระบบปรับอากาศแบบดิจิตอล ที่มาพร้อมระบบกรองอากาศที่สามารถกรองฝุ่นขนาดเล็ก PM 2.5 และยังโดดเด่นด้วยหลังคาซันรูฟแบบ Panoramic Sunroof

MG-ZS-EV

Easy Drive – ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการขับขี่ที่ ง่ายดายในทุกเส้นทาง

New MG ZS EV ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ให้ทั้งสมรรถนะ อัตราเร่งที่รวดเร็วและต่อเนื่อง พร้อมการขับขี่ที่เงียบ ปราศจากมลพิษและเสียงรบกวนจาก มอเตอร์ไฟฟ้า แบบ Permanent Magnet Synchronous Motor ที่ได้รับการพัฒนาให้ส่งกำลังได้ดีเยี่ยม และช่วยระบายความร้อนได้ดียิ่งขึ้น พร้อมแบตเตอรี่ แบบ Lithium-ion ความจุ 44.5 kWh ที่ผ่านการรับรองและทดสอบตามมาตรฐานสากล โดยสามารถวิ่งผ่านน้ำที่มีความสูงได้ถึงกว่า 40 ซม. ในขณะที่แบตเตอรี่ยังคงสามารถทำงานได้ตามปกติ

MG-ZS-EV

อีกทั้งยังมีระบบการปกป้องแบตเตอรี่แบบ 360 องศา และระบบการจัดการอุณหภูมิอัจฉริยะที่ช่วยให้ระบบการทำงานต่างๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพภายใต้สภาวะแวดล้อมที่มีอุณหภูมิต่ำและสูง และระบบควบคุมแบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีพละกำลังสูงสุด 110 กิโลวัตต์ (150 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร สามารถเร่งจาก 0-50 กม./ชม. ในเวลาแค่ 3.1 วินาที และให้ระยะทางขับเคลื่อนสูงสุด 337 กิโลเมตร* ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง (ตามมาตรฐาน NEDC หรือมาตรฐานการทดสอบความประหยัดน้ำมันและมลพิษของยุโรป)

MG-ZS-EV

ยังมาพร้อมระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) ที่สามารถชาร์จพลังงานในระหว่างการขับขี่กลับเข้าแบตเตอรี่ (Regenerative) ที่สามารถเลือกระดับการชาร์จพลังงานกลับได้ถึง 3 ระดับ นอกจากนี้ ยังสามารถปรับโหมดการขับขี่ได้ 3 รูปแบบ เพื่อให้เหมาะกับสไตล์ในการขับขี่ของแต่ละคน ประกอบด้วย โหมดการขับขี่แบบ Eco เพื่อการประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น แบบ Normal สำหรับการขับขี่ทั่วไปและ แบบ Sport เพื่อการขับขี่ที่เร้าใจ

ปลอดภัยสูงสุดด้วยระบบ Advanced Synchronized Protection System ทั้งโครงสร้างตัวถังนิรภัย (FSF) ระบบความปลอดภัย Synchronized Protection System ทั้งหมด 9 ระบบ และระบบเสริมความปลอดภัยในขณะขับขี่ Advanced Driver-Assistance Systems  ได้แก่

  • ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ IHC (Intelligent High-Beam Control)
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control)
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist)
  • ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning)
  • ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning)
  • ระบบช่วยควบคุมรถเมื่อรถออกนอกเลน LDP (Lane Departure Prevention)
  • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA (Lane Keep Assist)
  • ระบบช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน LCA (Lane Change Assist)
  • ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา BSD (Blind Spot Detection)
  • ระบบเตือนขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert)

MG-ZS-EV

NEW MG ZS EV ยังมีการติดตั้งไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่องยนต์ (Follow Me Home Light) ระบบป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง AVH (Auto Vehicle Hold) ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB (Electronic Parking Brake) พร้อมระบบกุญแจนิรภัยแบบ Immobilizer ตลอดจนถุงลมนิรภัยคู่หน้า ถุงลมนิรภัยด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัยรวม 6 จุด รวมถึงกล้องมองหลังและเซ็นเซอร์

Easy Charging – ชาร์จไฟง่าย…สะดวกสบาย ทุกที่ทุกเวลา

MG-ZS-EV

NEW MG ZS EV รองรับการชาร์จไฟได้ 2 รูปแบบ คือ

  • การชาร์จไฟแบบธรรมดา (Normal Charge) ผ่าน MG Home Charger ใช้เวลาชาร์จไฟจาก 0-100% ในระยะเวลาเพียง 6.5 ชั่วโมง
  • การชาร์จไฟแบบเร็ว (Quick Charge) ผ่านสถานีชาร์จไฟฟ้าสาธารณะ (Public Charging Station) โดยใช้เวลาชาร์จไฟจาก 0-80% ในระยะเวลาเพียง 30 นาที

นอกจากนี้ เอ็มจี ยังได้ลงนามความร่วมมือกับ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA เพื่อติดตั้งสถานีชาร์จ EA anywhere ให้กับโชว์รูมของเอ็มจี ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ถึง 107 แห่งทั่วประเทศ และกำลังจะขยายเป็น 130 แห่ง ภายในปีนี้ อีกทั้งยังได้ลงนามความร่วมมือกับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และกำลังอยู่ในระหว่างการเจรจากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ในการติดตั้งที่ชาร์จ

Easy Connect – ควบคุมสั่งการง่ายขึ้นกว่าเดิม ด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะ i-SMART

MG-ZS-EV

ด้วยระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i-SMART ที่ยกระดับประสบการณ์การขับขี่ของผู้ใช้รถยนต์เอ็มจี ใน 3 แกนหลัก คือ ด้านการสั่งการด้วยเสียงภาษาไทย หรือ SMART Command ด้านการเชื่อมต่อผ่านหน้าจอภายในรถ หรือ SMART Connect และด้านการตรวจเช็กรถจากมือถือ หรือ SMART Check ซึ่งผู้ขับขี่ NEW MG ZS EV จะสามารถเช็คระดับพลังงานคงเหลือของแบตเตอรี่ การเช็คสถานะและระยะเวลาของการชาร์จแบตเตอรี่แบบเรียลไทม์ การค้นหาสถานีอัดประจุไฟฟ้าใกล้เคียง หรือสถานีชาร์จที่โชว์รูมทั่วประเทศ รวมทั้งการสั่งการ  MG Home Charger สำหรับการชาร์จไฟที่บ้านได้อีกด้วย

Easy Maintenance – บำรุงรักษาง่าย…ประหยัดค่าใช้จ่ายและค่าซ่อมบำรุง

MG-ZS-EV

New MG ZS EV ช่วยให้ผู้ขับขี่ประหยัดเงินกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง นอกจากนี้ ด้วยระบบขับเคลื่อนที่มาจากแบตเตอรี่ และมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหลัก จึงทำให้ชิ้นส่วนอะไหล่น้อยลง การดูแลรักษาง่ายขึ้น และประหยัดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง

Easy Own – อัดแน่นด้วยฟังก์ชั่น ในราคาที่จับต้องได้ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของโลกปัจจุบัน

MG-ZS-EV

New MG ZS EV เปิดรับจองอย่างเป็นทางการพร้อมข้อเสนอพิเศษ สำหรับลูกค้า 1,000 ท่านแรก

จะได้รับ

1. ประกันภัยชั้น 1 นาน 1 ปี
1. รับประกันแบตเตอรี่รถยนต์แบบไม่จำกัดระยะทาง ตลอดระยะเวลา 8 ปี
3. ฟรี! อุปกรณ์ชาร์จไฟในบ้านหรือ MG Home Charger มูลค่า 45,000 บาท
4. ฟรี! ค่าติดตั้ง MG Home Charger มูลค่า 20,000 บาท

สำหรับรถทดลองขับ จะพร้อมที่โชว์รูมเอ็มจีตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม โดยสามารถส่งมอบรถให้กับลูกค้าได้ในช่วงเวลาเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้น ทางบริษัทฯ ยังมีกำหนดจัดกิจกรรมการตลาดแนะนำรถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายมากขึ้นผ่านกิจกรรม Roadshow ทั่วประเทศ รวมถึงงานแสดงรถยนต์สำคัญๆ ซึ่งได้แก่ งาน BIG Motor Sale 2019 ในเดือนสิงหาคมนี้

Honda-BR-V-2019

บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เผยโฉม Honda BR-V (ฮอนด้า บีอาร์-วี) ใหม่ ยนตรกรรม Active Sport Crossover ดีไซน์สปอร์ตแข็งแกร่ง ด้วยกระจังหน้าใหม่ ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ พร้อมไฟหรี่และไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED ไฟตัดหมอกดีไซน์ใหม่โฉบเฉี่ยว และล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ต 16 นิ้ว มาพร้อมสีใหม่ สีแดงแพสชั่น (มุก)

Honda-BR-V-2019

มาพร้อมห้องโดยสารแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง และแบบ 2 แถว 5 ที่นั่ง สไตล์สปอร์ต พื้นที่ใช้สอยปรับเปลี่ยนได้หลากหลายสไตล์ และฟังก์ชั่นการใช้งานระดับพรีเมียมครบครัน ได้แก่ มาตรวัดเรืองแสงสีขาว พร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ MID ไฟแสดงผลการขับขี่แบบประหยัด

และเทคโนโลยีอันล้ำสมัย ใช้งานง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส เช่น ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ที่รองรับระบบปฏิบัติการ iOS และ Android ควบคุมง่ายขึ้นอีกขั้นด้วยปุ่มควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย เชื่อมต่อภาพและเสียงได้ผ่านช่องเชื่อมต่อ HDMI, USB และ AUX พร้อมระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย (Bluetooth) กับมาตรฐานความปลอดภัยครบครัน

Honda-BR-V-2019

Honda BR-V ใหม่ ใช้ขุมพลังขนาด 1.5 ลิตร แบบ 4 สูบ SOHC i-VTEC 16 วาล์ว 117 แรงม้า แบบเดียวกับใน Honda City และระบบเกียร์ CVT ที่พัฒนาภายใต้เทคโนโลยีเอิร์ธดรีม ที่ประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยม อีกทั้งรองรับแก๊สโซฮอล์ E20 และ E85

Honda-BR-V-2019

มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย …

Honda-BR-V-2019

รุ่น V มาพร้อมไฟหน้าโปรเจคเตอร์ เบาะนั่ง 2 แถว 5 ที่นั่ง เบาะนั่งแถวที่ 2 สามารถพับแยกแบบ 60:40 พร้อมพับตลบจังหวะเดียว (One Motion) เพื่อเพิ่มพื้นที่ให้มากยิ่งขึ้น มาพร้อมถาดรองสัมภาระท้ายรถและกล่องอเนกประสงค์ใต้เบาะนั่งแถวที่ 2 ราคา 765,000 บาท

Honda-BR-V-2019

รุ่น SV มาพร้อมไฟหน้าโปรเจคเตอร์พร้อมไฟหรี่และไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED ไฟตัดหมอกคู่หน้าดีไซน์ใหม่ เพิ่มเสาอากาศแบบครีบฉลาม (Shark Fin) เบาะนั่งแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง ภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยสีทูโทนดำ-แดงสไตล์สปอร์ต เบาะนั่งแถวที่ 2 สามารถพับแยกแบบ 60:40 หรือพับตลบจังหวะเดียว (One Motion) พร้อมปรับเลื่อนหน้า-หลัง เพื่อช่วยให้ผู้โดยสารแถวที่ 3 เข้า-ออกได้สะดวกยิ่งขึ้น และพนักพิงปรับเอนได้ถึง 3 ระดับ เบาะนั่งแถวที่ 3 มีพื้นที่วางขาที่กว้างขวาง พนักพิงสามารถพับแยกแบบ 50:50 หรือพับตลบไปด้านหน้า 2 จังหวะ เพื่อเพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระด้านท้าย มาพร้อมระบบปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง ราคา 835,000 บาท

ฮอนด้า บีอาร์-วี ใหม่ มีให้เลือกทั้งหมด 6 สี ได้แก่ สีแดงแพสชั่น (มุก) ใหม่ สีขาวแพลทินัม (มุก) ใหม่ สีเงินลูนาร์ (เมทัลลิก) สีเทาโมเดิร์นสตีล (เมทัลลิก) สีดำคริสตัล (มุก) และสีขาวทาฟเฟต้า

Honda-BR-V-Promotion-6-8-2019

พร้อมกันนี้ ฮอนด้ายังจัดแคมเปญ “เปลี่ยนคันเก่าเป็นคันใหม่ ให้พร้อมลุยทุกเส้นทาง” เมื่อลูกค้านำรถยนต์รุ่นใดก็ได้มาขายเพื่อเปลี่ยนเป็น Honda BR-V ใหม่ ที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ มีสิทธิ์รับทันที BR-V Journey Set มูลค่า 4,590 บาท ซึ่งประกอบด้วยบัตรเติมน้ำมันมูลค่า 3,000 บาท และชุดโต๊ะปิกนิกแบบพับได้ 4 ที่นั่ง มูลค่า 1,590 บาท ตั้งแต่วันที่ 6 มิถุนายน 2562 – 31 สิงหาคม 2562

อีกทั้งมอบข้อเสนอสุดพิเศษ “Double Smile” ดาวน์ 0 บาท หรือเลือกผ่อนสบายเริ่มต้น 9,000 บาท* ให้แก่ลูกค้าที่จอง ฮอนด้า บีอาร์-วี ใหม่ ตั้งแต่ 6 มิถุนายน 2562 – 30 มิถุนายน 2562 ณ โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

Mazda-Bongo-Brawny-2019

Mazda Bongo Brawny (มาสด้า บองโก้ บราวนี่) หลายคนอาจจะไม่คุ้นเคยกับรถตู้ของ Mazda แต่ถ้าพูดถึง Mazda Bongo คนอายุมากหน่อยก็อาจจะเคยเห็นบ้างในบ้านเรา ซึ่ง Mazda Bongo Brawny รุ่นเก่าก็ขายในตลาดญี่ปุ่นมานานมากๆ แล้ว ถึงเวลาเปลี่ยนโฉมเสียที ด้วยการนำ Toyota Hiace มาแปะโลโก้ Mazda ซะเลย!

Mazda-Bongo-Brawny-2019

แม้ว่า All-new Toyota Hiace รุ่นใหม่ เพิ่งเปิดตัวไปในตลาดโลกเมื่อไม่กี่เดือนก่อน แต่ที่ญี่ปุ่น Toyota Hiace โฉมปัจจุบันก็ยังผลิตขายกันต่อไป Mazda จึงเอามาขายต่อเสียเลย เพราะ Product ของ Mazda ในประเภทรถ Business นั้น เป็นการได้มาจากดีลซื้อรถจากแบรนด์อื่น (หรือ OEM = Origianl Equipment Manufacturer) ล้วนๆ ในปัจจุบัน

Mazda-Bongo-Brawny-2019

รุ่น DX

รุ่น GL

ตัวรถภายนอก เหมือนกัน Hiace แทบทุกประการ ยกเว้น Logo เท่านั้นมาพร้อมล้อกระทะขนาด 15 นิ้ว พร้อมฝาครอบ, กระจังหน้าโครเมียม, ไฟหน้า LED ปรับสูง-ต่ำอัตโนมัติ (เฉพาะรุ่น GL)

Mazda-Bongo-Brawny-2019

ภายในใช้เบาะนั่งแบบ 2 แถว 6 ที่นั่ง ซึ่งแถวที่ 2 มีลักษณะเป็นเบาะยาว สำหรับโดยสารเป็นระยะทางใกล้ๆ มีวิทยุ FM/AM พร้อมช่อง AUX, ถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ระบบควบคุมเสถียรภาพ DSC, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC และระบบเบรก ABS/EBD เป็นต้น

ส่วนในรุ่น GL ภายในยังเพิ่มระบบปรับอากาศตอนหลัง หน้าต่างกรองแสง และแผงปิดซุ้มล้อหลังภายในห้องโดยสารด้วย

Mazda-Bongo-Brawny-2019

อีกทั้งยังมีระบบความปลอดภัยขั้นสูง หรือ Safety Support Car ติดมาให้ด้วย มีทั้งระบบป้องกันการชนด้านหน้า Pre-crash Safety System สามารถตรวจจับคนเดินถนนได้, ระบบเตือนรถออกนอกเลนโดยไม่ตั้งใจ Lane Daparture Alert และระบบไฟสูงอัตโนมัติ Automatic High Beam

ขุมพลังมาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินรหัส 2TR-FE ขนาด 2.0 ลิตร ให้แรงม้าสูงสุด 136 แรงม้า ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 182 นิวตัน-เมตร (18.6 กก.-ม.) ที่ 4,000 รอบ/นาที ประหยัดน้ำมัน 10.4 กม./ลิตร

และเครื่องยนต์ดีเซลรหัส 1GD-FTV ขนาด 2.8 ลิตร ให้แรงม้าสูงสุด 151 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 300 นิวตัน-เมตร (30.6 กก.-ม.) ที่ 1,000 – 3,400 รอบ/นาที ประหยัดน้ำมัน 12.0 กม./ลิตร

ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด และระบบส่งกำกลังมีทั้งล้อหน้าและแบบ 4WD

มี 2 รุ่นย่อยให้เลือก คือ DX และ GL ราคาอยู่ที่ 2,421,360 – 3,594,240 เยน หรือคิดเป็นเงินไทยก็ 693,000 – 1,029,000 บาท