วิธี,-รถ,-กำจัดขน,-tips

5 Tips ดีๆ ในการกำจัดขนสัตว์บนรถ
ด้วยวิธีง่ายๆและได้ผลแน่นอน

การมีสัตว์เลี้ยงเป็นเรื่องที่ดี ยิ่งมีสัตว์เลี้ยงคู่ใจเป็นเพื่อนร่วมเดินทางไปด้วยกันยิ่งเป็นประสบการณ์ที่แสนพิเศษ แต่อย่างไรก็ตาม สุนัขหรือสัตว์เลี้ยงตัวโปรดของคุณก็สามารถสร้างความหายนะภายในรถได้เช่นกัน เพราะพวกเขามักจะกัด,แทะเบาะ และทิ้งขนเอาไว้จนฟุ้งกระจายไปทั่วรถ

และถึงแม้ว่า คุณจะสามารถฝึกให้สัตว์เลี้ยงของคุณไม่ให้กัดเบาะหน้ารถ หรือสามารถฝึกให้พวกเขารู้จักอดทนอยู่บนรถจนกว่าจะเจอที่ขับถ่ายที่เหมาะสม แต่คุณก็ไม่สามารถฝึกหรือห้ามสัตว์เลี้ยงของคุณ ให้พวกเขาไม่ทิ้งขนไว้บนรถได้แน่ๆ แต่ปัญหาทั้งหมดที่กล่าวมาสามารถจัดการได้ เพียงแค่คุณทำตามคำแนะนำง่ายๆเหล่านี้ คุณก็สามารถจัดการ “ขน” ภายในรถได้อย่างง่ายดายและมีประสิทธิภาพ

 

1. ใช้มือเปียกๆลูบเบาะภายในรถ

ใช้มือเปียกๆลูบเบาะภายในรถ

ไม่สำคัญว่าสุนัขของคุณจะมีขนาดใหญ่หรือเล็ก เพราะสุนัขทุกตัวจะทิ้งขนไว้ภายในรถอยู่ดี และคุณจะต้องทำความสะอาดหลังจากนั้น วิธีทำความสะอาดหรือกำจัดขนสุนัขที่ง่ายที่สุดคือ การทำให้มือเปียกด้วยน้ำ แต่ไม่ควรเปียกจนชุ่ม เพียงแค่เปียกหมาดๆก็พอ แล้วใช้มือเช็ดเบาะที่นั่งจนขนสุนัขติดมือขึ้นมา ทำซ้ำๆจนกว่าคุณจะทำความสะอาดพื้นผิวที่ต้องการได้หมดจด หากคุณไม่ต้องการใช้มือคุณสามารถใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆแทนก็ได้ แต่ผลลัพธ์อาจได้ผลน้อยกว่าการใช้มือทำความสะอาด

 

2. ใช้เทปกาว

เทปกาว

วิธีที่นิยมในการทำความสะอาดขนสุนัขภายในรถของ คือ การใช้เทปหรือผลิตภัณฑ์ที่คล้ายคลึงกัน โดยใช้เทปที่มีส่วนเหนียวหรือหน้าที่เป็นกาวแตะรอบบริเวณภายในรถ จนขนสัตว์ติดหน้าเทปขึ้นมา วิธีนี้เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากและสามารถทำความสะอาดภายในรถได้ในเวลาอันรวดเร็ว

 

3. ใช้ไม้กวาดหรือแปรงปัดขน

แปรงปัดขน

มีผลิตภัณฑ์หลายอย่าง เช่น ไม้กวาดหรือแปรงปัดขนที่ผลิตออกมาขายในตลาด ซึ่งออกแบบมาเพื่อการกำจัดขนสัตว์โดยเฉพาะ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จึงเหมาะที่สุดที่จะใช้ทำความสะอาดภายในรถของคุณ และเมื่อใช้งานเสร็จ อย่าลืมทำความสะอาดแปรงหรือไม้กวาดด้วย เพราะขนสัตว์จะเกาะติดอยู่บนแปรงเช่นกัน

 

4. ใช้ไฟฟ้าสถิตย์

ไฟฟ้าสถิตย์

นี่เป็นวิธีที่น่าสนใจ ฉลาด และทันสมัยในการกำจัดขนสัตว์ภายในรถ โดยรวมระหว่างหลักฟิสิกส์และการใช้ถุงมือยางไว้ด้วยกัน ที่คุณต้องทำก็คือ ใช้ถุงมือยางธรรมดาถูกับพื้นผิวบนรถ ซึ่งจะทำให้มือของคุณเต็มไปด้วยไฟฟ้าสถิตย์ และขนสุนัขก็จะติดมาบนถุงมือ กระบวนการทำความสะอาดนี้เป็นเรื่องง่ายๆ เพียงคุณลูบ, เช็ดเบาะหรือพื้นที่ภายในรถด้วยถุงมือที่มีไฟฟ้าสถิตย์ เมื่อทำความสะอาดเสร็จก็แค่ถอดถุงมือออก วิธีนี้เป็นการกำจัดขนสัตว์ที่สมบูรณ์แบบ ง่ายและมีประสิทธิภาพ

 

5. เครื่องดูดฝุ่น

เครื่องดูดฝุ่น

คุณสามารถทำความสะอาดภายในรถด้วยเครื่องดูดฝุ่นได้เหมือนกับที่ทำภายในบ้าน วิธีนี้ไม่เพียงแค่จะกำจัดขนสุนัขออกไป แต่ยังขจัดสิ่งสกปรกอนุภาคเล็กอื่นๆ ได้อีกมากมาย

อย่างไรก็ตาม Carro ขอแนะนำให้ทำความสะอาดร่วมกับวิธีอื่นๆ ด้วย เพราะบางครั้งจะมีเส้นผมที่ร่วงบนรถ ติดอยู่ในซอกเบาะ หรือร่วงตกอยู่ตามพื้นรถ ดังนั้นการดูดฝุ่นอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอ แต่ถ้าคุณทำความสะอาดภายในรถด้วยเครื่องดูดฝุ่นร่วมกับวิธีทำความสะอาดอื่นๆ ก็จะทำให้ภายในรถของคุณสะอาดเหมือนกับรถคันใหม่เลยทีเดียว

แบตเตอรี่รถยนต์

วิธีการเลือกและรักษา “แบตเตอรี่” รถยนต์
ที่ช่วย Save อายุแบตเตอรี่ และ Save เงินในกระเป๋า

เชื่อว่าคนมีรถทุกคน ต้องเคยประสบปัญหาตอนขับรถ แล้วอยู่ๆ “แบตเตอรี่” ดันหมดกลางทาง จนรถดับไปดื้อๆ ทำให้ชีวิตในวันนั้นทั้งวันต้องหยุดชะงักและวุ่นวายไปหมด ตามมาด้วยการเสียเงินที่มากกว่าปกติ จากค่าลากรถเข้าอู่ ต้องซื้อแบตฯ ก้อนใหม่กะทันหัน ค่าเปลี่ยนแบตฯ หรือซ่อมอย่างอื่นเพิ่มเติม blah blah blah ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อรถและอารมณ์ของเราเอาซะเลย แถมยังสั่นคลอนเงินในบัญชีไปอีก

แต่เราสามารถเลี่ยงปัญหาทั้งหมดนี้ได้ เพียงแค่เรามีความรู้เบื้องต้น 8 ข้อ เกี่ยวกับ “แบตเตอรี่” รถยนต์ ที่จะช่วยเพิ่มความเข้าใจในการเลือกแบตฯ ที่เหมาะสมกับรถ รู้จักการใช้งานและการรักษาแบตเตอรี่อย่างถูกต้อง แค่นี้ เราก็สามารถขับรถได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องกลัวรถดับกลางทาง ไม่ต้องเสียเงิน เสียเวลา หรืออารมณ์เสียโดยใช่เหตุ!

1.อย่ารอให้แบตเตอรี่เสื่อม จนสตาร์ทรถไม่ติด

คุณควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ตามระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งถ้าเป็นแบตเตอรี่แบบเปียก (มีช่องกลมๆ ไว้ให้เปิดเติมน้ำกลั่นและต้องดูแลสม่ำเสมอ) หรือแบบกึ่งแห้ง (ส่วนใหญ่จะถูกซีลปิดไว้ ไม่เห็นช่องเติมน้ำกลั่น และไม่ต้องดูแลมาก) มักมีอายุการใช้งานเฉลี่ยไม่เกิน 2-3 ปี

แต่ถ้าเป็นแบตเตอรี่แบบแห้งที่มีราคาสูงมาก จะมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าเท่าตัวหรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับการใช้งานและการดูแลรักษา โดยทุกครั้งเมื่อเราเปลี่ยนแบตเตอรี่ ร้านค้าหรืออู่ซ่อมรถจะทำสัญลักษณ์ไว้ที่แบตเตอรี่เพื่อระบุระยะเวลาเริ่มการรับประกัน ซึ่งเราก็สามารถเอาไว้เช็คได้ด้วยว่า แบตเตอรี่จะถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนเมื่อไร

 

2.ตรวจสภาพแบตเตอรี่เป็นประจำ

ถึงแม้ปัจจุบันแบตเตอรี่รถยนต์บางประเภทอาจไม่จำเป็นต้องได้รับการดูแลเลยตลอดอายุการใช้งาน (Maintenance Free) แต่คุณก็ควรตรวจเช็กสภาพแบตเตอรี่อย่างน้อยทุกๆ 2 ปี โดยเฉพาะเมืองไทยที่มีสภาพอากาศร้อนตลอดทั้งปี (เพราะความร้อนจะส่งผลให้แบตเตอรี่ทุกแบบเสื่อมเร็วขึ้น)

ทั้งนี้ หากรถเริ่มมีอาการสตาร์ทเอื่อย ๆ หรือระบบไฟทั้งหมดให้ความสว่างน้อยลง นั่นเป็นสัญญาณเตือนว่าแบตเตอรี่อาจมีกำลังไฟน้อย ควรตรวจสอบโดยเร็วว่ามาจากสาเหตุใด และแม้ว่ารถยนต์จะสามารถพ่วงแบตเตอรี่ได้ แต่มักจะมีผลเสียต่อรถยนต์เสมอ

 

3.เลือกแบตเตอรี่ที่มีขนาดพอดีกับรถ

ทุกครั้งที่เปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ โดยเฉพาะเมื่อร้านนำมาเปลี่ยนให้  ควรตรวจสอบหรือย้ำให้แน่ใจว่า แบตเตอรี่ใหม่นั้นมีขนาดที่ถูกต้องและสามารถวางได้พอดีกับฐานแบตเตอรี่รถของคุณ โดยดูได้จากคู่มือประจำรถหรือสอบถามจากร้านที่จำหน่ายได้โดยตรง หรือถ้ายังไม่แน่ใจให้ย้ำไปเลยว่านำมาใช้กับรถยี่ห้อ-รุ่นปีอะไร

 

4.เลือกความจุแบตเตอรี่ให้เหมาะสม

สำหรับการเลือกเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ เราสามารถยึดตามของเดิมได้เลย (ถ้าไม่แน่ใจว่าของเดิมคือรุ่นไหน ให้เช็คจากคู่มือประจำรถ) และไม่ควรลดขนาดความจุของแบตเตอรี่หรือแอมป์ลงโดยเด็ดขาด เพราะผู้ผลิตรถยนต์คำนวณแอมป์ที่เหมาะสมกับการใช้งานของรถยนต์รุ่นนั้น ๆ ไว้แล้ว และไม่ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ให้มีแอมป์สูงเกินกำหนดเช่นกัน หากไม่ได้ติดตั้งอุปกรณ์พิเศษเพิ่มเติม เช่น เครื่องเสียงหรืออุปกรณ์อำนวยความสะดวกอื่น ๆ

แบตเตอรี่หมด

5.เลือกแบตเตอรี่ที่ให้กำลังสตาร์ทเพียงพอ

กำลังสตาร์ทที่ว่า จะถูกระบุด้วยค่า CCA (Cold-Cranking Amps) ที่เป็นคนละค่ากับขนาดความจุของแบตเตอรี่ (Ah หรือแอมแปร์-ชั่วโมง) ซึ่งค่า CCA เป็นค่าสำหรับบอกว่า แบตเตอรี่ลูกนั้นมีความสามารถในการจ่ายไฟ เพื่อให้มอเตอร์สตาร์ทดึงไฟไปใช้ในการสตาร์ทเครื่องยนต์ได้แค่ไหน

ซึ่งเครื่องยนต์แต่ละขนาดต้องการค่า CCA ไม่เท่ากัน ยิ่งเครื่องยนต์ที่มีขนาดความจุมากก็ต้องการค่า CCA มากตาม อย่างไรก็ตาม ค่า CCA ของแบตเตอรี่แต่ละยี่ห้ออาจใช้มาตรฐานในการวัดต่างกัน ซึ่งมีทั้ง SAE, EA, IEC และ DIN ขึ้นอยู่กับผู้ผลิต เพราะฉะนั้นจะดูค่า CCA เฉพาะตัวเลขอย่างเดียวอาจผิดพลาดได้ ควรจะต้องดูทั้งหมดว่าตัวเลขที่ระบุนั้นใช้มาตรฐานใดวัด และไม่ควรต่ำกว่าที่ผู้ผลิตรถยนต์กำหนดไว้

 

6.เลือกแบตเตอรี่ที่ผลิตใหม่เสมอ

แบตเตอรี่ใหม่ที่ยังไม่ถูกจำหน่ายและใช้งาน ก็สามารถเสื่อมคุณภาพลงได้ ดังนั้น เพื่อให้ได้แบตเตอรี่ใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดควรเลือกแบตเตอรี่ที่ผลิตไว้ไม่เกิน 6 เดือน โดยจะมีรหัสเฉพาะระบุไว้ อาจใช้ตัวเลขและตัวอักษรแทน วัน/เดือน/ปี ที่ผลิต อาจแตกต่างกันไปตามยี่ห้อ เช่น อักษรแทนเดือน ตัวเลขแทนปี เป็นต้น เพราะยิ่งแบตเตอรี่ถูกเก็บไว้นานจะยิ่งมีความชื้นในตะกั่วเยอะ ชาร์จไฟยาก และบางร้านที่จำหน่ายก็ไม่ได้ชาร์จไฟแบตเตอรี่จนเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ก่อนนำมาขาย ซึ่งทำให้อายุของแบตฯ ลูกนั้นสั้นลงโดยที่เราไม่รู้ตัว

 

7.ควรรีไซเคิลแบตเตอรี่เก่า

แบตเตอรี่เก่ามีค่าและนำไปรีไซเคิลได้ เพราะร้านที่จำหน่ายแบตเตอรี่มักจะรับเทิร์นแบตเตอรี่เก่าอยู่แล้ว โดยส่วนใหญ่จะนำไปลดราคาแบตเตอรี่ลูกใหม่ให้ ดังนั้นอย่าลืมสอบถามว่าแบตเตอรี่ลูกใหม่ราคาเท่าไร และราคาดังกล่าวหักค่าเทิร์นแบตเตอรี่เก่าแล้วหรือยัง หากไม่แน่ใจลองสอบถามเปรียบเทียบราคาจากร้านอื่น ๆ ก่อนตัดสินใจซื้อ

 

8.เปรียบเทียบการรับประกัน

เป็นสิ่งที่สำคัญมากและไม่ควรมองข้าม สำหรับการเลือกแบตเตอรี่ใหม่ คุณควรตรวจสอบการรับประกันแบตเตอรี่ของทางร้านค้าที่ซื้อทุกครั้ง เพราะอาจระบุระยะเวลารับประกันต่างกัน ซึ่งโดยปกติแบตเตอรี่รถยนต์จะมีระยะเวลารับประกันตั้งแต่ 1-2 ปี แล้วแต่ยี่ห้อของแบตเตอรี่

นอกจากระยะเวลารับประกัน ควรสอบถามรายละเอียดหรือเงื่อนไขการรับประกันด้วยว่าครอบคลุมหรือไม่ครอบคลุมอะไรบ้าง เพราะจะได้ไม่เกิดปัญหาในภายหลัง แต่หลักๆแล้วเงื่อนไขการรับประกันของแต่ละยี่ห้อนั้นก็ไม่ต่างกันมากนัก

รถคลาสสิค-สิงคโปร์

 

อะไรคือเหตุผลที่ทำให้คนส่วนหนึ่ง หันหลังให้รถยนต์ที่ทันสมัยในยุคปัจจุบัน แต่เลือกที่จะมาขับรถคลาสสิคมือ 2 แทน? เหตุผลของแต่ละคนก็คงจะแตกต่างกันไป บางคนอาจแค่ต้องการรถที่มีความโดดเด่น ไม่ซ้ำใคร บางคนอาจจะชอบในความเก่า แต่มีเรื่องราวแฝงอยู่ในตัวรถ หรือไม่ พวกเขาก็มี Passion และความหลงใหลในสไตล์สุดคลาสสิค ที่ไร้กาลเวลานั่นเอง

สิงคโปร์ เป็นประเทศที่พวกเรารู้จักกันดีในความเป็นผู้นำ ด้านกฏระเบียบและกฏหมายที่รัดกุม เรื่องรถก็เช่นกัน ในประเทศสิงคโปร์มีโครงการรถคลาสสิคหรือ “The Classic Vehicle Scheme” ซึ่งอนุญาตให้รถคลาสสิคที่มีสภาพดี (รถที่มีอายุอย่างต่ำ 35 ปี นับตั้งแต่วันที่รถจดทะเบียนเดิมครั้งแรก) ขับเคลื่อนบนถนนได้เป็นเวลาไม่เกิน 45 วัน ต่อปี

ถึงแม้ว่าในประเทศสิงคโปร์ จะมีคนจำนวนไม่มาก ที่มีอภิสิทธิ์ได้เป็นเจ้าของรถคลาสสิค (อาจเพราะกฏเกณฑ์ทางกฏหมายในประเทศ หรือราคารถที่สูงเกินจะเอื้อมถึง) แต่ก็ยังมีคนหลายกลุ่มที่ยอมอุทิศตนให้กับรถรุ่นเก๋าเหล่านี้ อย่างเช่นหน่วยงานที่มีชื่อว่า The Heritage Car Club (Singapore) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่คอยจัดงานกิจกรรมต่างๆ เพื่อกลุ่มคนที่ชื่นชอบรถคลาสสิคโดยเฉพาะ ซึ่งทุกคนสามารถเข้าร่วมกิจกรรมที่หน่วยงานนี้จัดขึ้นได้ แม้ว่าจะไม่ได้ขับรถคลาสสิคก็ตาม

และนี่ก็คือ 5 รถคลาสสิค ที่คุณก็เป็นเจ้าของได้ใน “สิงคโปร์”

1.FORD MUSTANGFord-Mustang

www.mustangandfords.com news mump-0504-rebuilt-vintage-ford-mustang-best-build

ฟอร์ด มัสแตงเป็นสิ่งที่อธิบายตัวตนของ American muscle cars ได้ดีที่สุด รถยนต์ฟอร์ด รุ่นนี้มีราคาที่ค่อนข้างถูกในประเทศสหรัฐอเมริกา ดังนั้น การนำเข้ารถรุ่นนี้เข้ามา คุณจะได้ราคาที่น่าพอใจกว่ามาก นอกจากนี้ฟอร์ด มัสแตงยังมีเครื่องยนต์ที่ทรงประสิทธิภาพจากเครื่องยนต์ V8 อีกด้วย

 

2.FERRARI 250 GTE

Ferrari-250-GTE

www.classicdriver.com en car ferrari 250-gte-22 1961 316006

เพราะรถยนต์เฟอร์รารีคลาสสิคทุกคัน จะมาพร้อมกับการตกแต่งภายในรถด้วยสีดำและด้านนอกสีแดงอันเป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะรุ่น Ferrari 250 GTE ยิ่งเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะมีเครื่องยนต์ 128 E และมีตัวถังแบบ E 508 ซึ่งถือว่าเป็นรุ่นหนึ่งที่ควรอยู่ใน Collection ของนักสะสม และสำหรับทุกคนที่ต้องการขับรถคลาสสิคที่ดีที่สุดสักคัน

 

3.THE BENTLEY S2

The-Bentley-S2

www.classicandperformancecar.com bentley s2

Bentley S2 หรือเบนท์ลีย์ เอส2 เป็นรถโบราณที่ผลิตจากปี พ.ศ.2502 ถึงปี พ.ศ.2505 บวกกับเครื่องยนต์ V8 ดีไซน์หรู ด้วยระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ที่มาพร้อมกับมาตรฐานคลาสสิค ที่ทำให้รถโบราณรุ่นนี้มีระดับมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ Bentley S2 ยังเป็นรถที่มีความ extremely rare เพราะผลิตมาแค่ 1,920 คันบนโลกเท่านั้น แถมยังสะดวกสำหรับการเดินทางระยะไกลแม้จะบรรทุกผู้โดยสารถึง 4 คน และใช้ความเร็วสูงก็ตาม

 

4.VOLKSWAGEN BEETLE

VOLKSWAGEN BEETLE

www.youtube.com watch v=0fRK7WbBVJ4

โฟล์คสวาเก้น บีทเทิล คือรถโบราณที่กำหนดนิยามความเป็น “รถคลาสสิค”

ประกอบด้วยเครื่องยนต์ประหยัดพลังงานแบบ 2 ประตู แต่มีกำลังผลิตเพียงพอสำหรับผู้โดยสาร 4 คน เริ่มผลิตครั้งแรกในปี พ.ศ.2481 โดยรถยนต์ โฟล์คสวาเก้นนับแสนคันถูกขายไปทั่วโลก หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงที่ โฟล์คสวาเก้นประสบความสำเร็จมากที่สุด ทำให้รถรุ่นนี้ กลายเป็น item อันเลอค่าสำหรับนักสะสมรถคลาสสิคตัวยงไปเรียบร้อย

 

5.BMW 327

BMW-327

en.wikipedia.org wiki BMW_327

บีเอ็มดับบลิว เริ่มผลิตรถเก๋ง 2 ประตู รุ่น bmw 327 ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2480 ต่อมาในปี พ.ศ.2488 ได้มีการออกแบบรถรุ่นนี้มาเพิ่มอีก 1 สไตล์ คือ bmw 327 รุ่นเดิม ที่มีเพิ่มเติมคือเปิดประทุนได้!  เครื่องยนต์ที่ใช้ ได้แก่ M78 I6 และ M328 I6 ที่จะทำให้คุณได้เพลิดเพลินไปกับรถคลาสสิคด้วยระบบเกียร์ 4 สปีด สมกับสไตล์คลาสซี่ จนทำให้รถยนต์ในยุคปัจจุบัน ให้ความรู้สึกเหมือนกับรถที่อยู่ในโลกวีดีโอเกมส์กันไปเลย

อ่านมาถึงตรงนี้ คุณเริ่มสนใจเป็นเจ้าของ “รถคลาสสิค” สักคันบ้างหรือยัง?

Parked-Car-Disorderly

จอดรถเกะกะ นอกจากจะโดนคนด่าแล้ว ยังโดนทุบรถอีกด้วย

Parked-Car-Disorderly

จากคลิปข่าว กรณี มีป้า 2 คน ใช้ขวานและพลั่วทุบทำลายรถยนต์คันหนึ่ง เพราะความไม่พอใจที่รถยนต์คันดังกล่าว มาจอดขวางทางเข้า-ออก หน้าบ้านของตน

เจ้าของบ้านเปิดใจ กรณีทุบรถคนจอดขวางทางเข้า-ออก

สด!! เจ้าของบ้านเปิดใจ กรณีทุบรถคนจอดขวางทางเข้า-ออก http://pptv36.news/nNFชมคลิปอื่นเพิ่มเติม : www.facebook.com/PPTVHD36/videos/2112578685426566/#PPTVHD36 #จอดรถขวางทางเข้าออก #จอดรถกีดขวาง #ทำลายทรัพย์สิน #ป้าทุบรถ

Posted by PPTV HD 36 on Monday, February 19, 2018

การที่รถยนต์คันดังกล่าว มาจอดขวางทางเข้าออก รบกวนการใช้ประโยชน์ในทางเพื่อเข้าออกบ้าน แม้ถนนนั้นจะเป็นทางสาธารณะ ซึ่งใครก็มีสิทธิจอดหรือใช้ประโยชน์ได้ก็ตาม แต่การใช้สิทธิ์ทุกอย่าง ต้องบนพื้นฐานของกฎหมาย และไม่รบกวนสิทธิของคนอื่นเช่นเดียวกัน

Parked-Car-Disorderly

ภาพจาก Drama-addict

การจอดรถขวางประตูบ้านของผู้อื่น หรือแม้แต่การจอดขวางทางคนอื่นในลานจอดรถของห้างสรรพสินค้า ซึ่งถือว่า เป็นที่สาธารณะสถาน ถือว่า เป็นการกระทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนรำคาญ เพราะไม่สามารถนำรถเข้าหรือออกจากบ้าน หรือออกจากลานจอดไม่ได้

ข้ออ้างว่าถนนหน้าบ้านเป็นที่สาธารณะ.หรือ เจ้าของบ้านไม่ควรใช้รถเมื่อเขาจอดรถบนถนนหน้าบ้าน ใช้อ้างไม่ได้และไร้สาระ เนื่องจากเจ้าของรถใช้สิทธิไปก่อความเดือดร้อนของผู้อื่นทั้งที่รู้แก่ใจถึงความเสียหายนั้นเยี่ยงวิญญูชนพึงรู้กัน จึงถือว่า กระทำความผิดฐานก่อความเดือดร้อนรำคาญใจตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 397

Parked-Car-Disorderly

ศาลฎีกาเคยพิพากษาในประเด็นดังกล่าวไว้ว่า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1908/2518 จำเลยจอดรถขวางกั้นไม่ให้โจทก์ถอยรถออกไปจากซอยที่เกิดเหตุ เป็นเพียงขัดขวางไม่ให้โจทก์นำรถออกไปได้เท่านั้น ส่วนตัวโจทก์มีอิสระที่จะออกไปจากซอยได้ การกระทำของจำเลยยังไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310

Parked-Car-Disorderly

(ภาพจาก New TV)

แต่เป็นการรังแกข่มเหงทำให้โจทก์ได้รับความเดือดร้อนรำคาญ แม้ซอยนั้นจะอยู่ในที่ดินของผู้มีชื่อซึ่งแบ่งให้ผู้อื่นเช่าปลูกบ้าน แต่ประชาชนก็ชอบที่จะเข้าออกไปติดต่อกับผู้ที่อยู่ในซอยนั้นได้ ถือได้ว่าจำเลยได้กระทำในที่สาธารณสถาน จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 397

Parked-Car-Disorderly

(ภาพจาก New TV)

แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าของบ้านก็ไม่มีสิทธิใช้กำลังทำลายทรัพย์สินของบุคคลอื่นโดยพลการ และหากกระทำก็ย่อมมีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ตามกฎหมายอาญา เช่นกัน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Facebook ทนายเกิดผล แก้วเกิด

เช็กรถ

มั่นตรวจสภาพรถ เพื่อความปลอดภัย และยืดอายุการใช้งาน

หลายคนทำงานจนอาจไม่มีเวลาเช็กสภาพรถที่ใช้งานอยู่ทุกวัน หรือบางคนอาจละเลยจนมองข้ามไป ทำให้วันนี้ คาร์โร เลยอยากขอแนะนำ 7 สิ่งที่คนมีรถ ควรเช็กให้เป็นนิสัย ซึ่งนอกจากจะยืดอายุการใช้งานแล้ว ยังช่วยให้คุณประหยัดเงินค่าบำรุงรักษา และเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนนได้อีกด้วย

1. ก่อนออกรถเช็กสัญญาณเตือนหน้าปัด

สังเกตไหมว่า ทุกครั้งที่เราสตาร์ทรถจะมีเครื่องหมายสัญลักษณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบเครื่องยนต์ เข็มขัดนิรภัย น้ำมันเครื่อง ระดับความร้อน และระดับน้ำมัน ซึ่งแต่ละสัญลักษณ์ก็มีสีที่แตกต่าง คือ สีเขียวแปลว่าใช้งานได้ปกติ, สีเหลืองเป็นการเตือนแต่ยังสามารถใช้ได้อยู่ สีแดงบอกถึงอันตรายให้หยุดใช้รถและรีบตรวจสอบความผิดปกติ

ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องพื้นฐานก็จริง แต่ก็เป็นเรื่องพื้นฐานที่บางคนมองข้าม และรู้ตัวเอาอีกทีก็ตอนที่เกิดความเสียหายแล้ว

เช็กรถ

2. ตรวจสอบของเหลวภายในรถ

เช่นน้ำมันเชื้อเพลิง น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรค น้ำกลั่น น้ำหล่อเย็น เป็นต้น เราต้องหมั่นตรวจเช็คของเหลวเหล่านี้ให้เป็นนิสัย เพราะทุกสิ่งที่กล่าวมามีความสำคัญ และส่งผลถึงทุกการทำงานของรถที่คุณรัก เสียเวลาเช็กเล็กน้อย ดีกว่าต้องมาเสียเงินซ่อมรถที่หลังนะคะ

3. เปิดไฟทุกครั้ง

ทุกครั้งเวลาขับรถควรเช็กว่าสัญญาณไฟต่างๆ เช่นไฟหน้า ไฟหลัง ไฟเลี้ยว ไฟเบรก เปิดหรือไม่ เพราะบางครั้งมักละเลยว่าไฟเหล่านี้ยังอยู่ในสภาพใช้งานได้ อาจเป็นจุดกำเนิดของอุบัติเหตุบนท้องถนน และอุบัติเหตุก็เป็นตัวการที่ทำให้อายุการใช้งานของรถสั้นกว่าที่ควรจะเป็นด้วย

4. ตรวจเช็กลมยางให้เป็นประจำ

ควรตรวจเช็คลมยางสัปดาห์ละครั้งก็ยังดี ซึ่งนอกจากนี้ควรเช็คดอกยางด้วยว่าหายไปเยอะแค่ไหน และยางมีสิ่งผิดปกติติดอยู่บางหรือไม่ หรือกำหนดไปเลยก็ได้ว่าถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงจริงๆ ควรต้องเปลี่ยนทุกๆ 2 ปี เพื่อความปลอดภัย

เช็กลมยางรถ

5. แอร์เย็นเป็นปกติหรือเปล่า

ด้วยสภาพอากาศในบ้านเราที่แสงแดดแผดเผากันทุกฤดูขนาดนี้ ถ้าวันใดเกิดแอร์ของรถเสียขึ้นมาคงบันเทิงแน่ๆ เพราะฉะนั้นระวังอย่าให้น้ำยาแอร์หมด เพราะนอกจากคุณต้องทนอากาศร้อนแล้ว ยังส่งผลให้คอมเพรสเซอร์ทำงานหนักขึ้น และสุดท้ายก็อาจพังก่อนเวลาอันควร

6. ดูเลขไมล์

นอกจากจะนับว่าซื้อรถมาปีไหนแล้ว ยังต้องดูที่อายุการใช้งานของรถด้วยว่าเราใช้ไปกี่กิโลเมตร เพื่อที่เราจะนำรถไปตรวจสภาพได้ถูกต้อง ตรงตามกำหนด เป็นการยืดอายุการใช้งานของรถ และลดภาระรายจ่ายค่าซ่อมรถได้อีกทางหนึ่ง ที่สำคัญ ถ้าคุณมีแผนจะขายรถต่อ อย่าลืมว่าราคาของรถมือสองส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับอายุการใช้งานนี่ล่ะ ซึ่งถ้าคุณสนใจอยากขายรถ คลิก

7. ราคาน้ำมัน

ราคาน้ำมันมีผลต่อชีวิตประจำอย่างมาก เพราะค่าใช้จ่ายของใช้รถหลัก ๆ ก็เป็นคงค่าน้ำมัน และนอกจากดูเรื่องราคาแล้ว ก็อย่าลืมเช็กให้แน่ใจว่าประเภทของน้ำมันที่ใช้อยู่นั้นเหมาะสมกับรถของเราด้วย ซึ่งคุณสามารถติดตามราคาน้ำมันได้ ที่นี้ 

Suzuki-Swift-Compare

ดู Suzuki Swift กันให้ชัด! ว่าแต่ละรุ่นย่อย มีอะไรกันบ้าง

Suzuki-Swift

Suzuki Swift (ซูซูกิ สวิฟท์) เปิดตัวมาพร้อมเสียงฮือฮาของคนชอบรถเล็ก และคนที่สนใจรถแนว Eco-Car (อีโคคาร์) มาพร้อมโครงสร้างตัวถังแบบใหม่ HEARTECT ที่่น้ำหนักเบา แข็งแรง ทนต่อการสึกหรอ มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร รหัส K12M 83 แรงม้า กับเทคโนโลยีหัวฉีดคู่ DUALJET และฟังก์ชั่นจัดเต็ม ในราคาที่จับต้องได้

Suzuki-Swift

มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร รหัส K12M แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ให้แรงม้าสูงสุด 83 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 108 นิวตัน-เมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที กับเทคโนโลยีหัวฉีดคู่ DUALJET รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20

มิติตัวรถ ยาว 3,840 มม. กว้าง 1,735 มม. สูง 1,495 มม. ระยะฐานล้อ 2,450 มม.

Suzuki-Swift

อุปกรณ์มาตรฐานของแต่ละรุ่นย่อย มีดังนี้

1.2 GA CVT ราคา 499,000 บาท

– ไฟหน้ามัลติรีเฟลกเตอร์ฮาโลเจน
– ไฟท้าย LED
– จอแสดงข้อมูลการขับขี่ดิจิตอล
– เบาะหลังปรับพับ 60:40
– ถุงลมนิรภัยคู่หน้า
– ระบบควบคุมเสถียรภาพ ESP
– ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TCS
– ระบบเบรก ABS และ EBD
– ระบบ Idling Stop
– จุดยึดเบาะนั่งเด็ก ISOFIX
– เบาะหลังพับแบบ 60:40
– ล้อกระทะเหล็กขนาด 15 นิ้ว พร้อมฝาครอบล้อ

รุ่น 1.2 GL CVT ราคา 536,000 บาท

เพิ่ม

– ไฟ Daytime Running Light แบบ LED
– มือจับประตูสีเดียวกับตัวรถ
– ที่เปิดประตูท้ายแบบไฟฟ้า
– กระจกมองข้างปรับไฟฟ้า
– เซ็นทรัลล็อค และกุญแจรีโมท
– ปุ่มควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย
– เบาะคนขับปรับสูง-ต่ำได้
– เครื่องเล่นวิทยุ CD/MP3
– USB/AUX
– ไฟห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง

รุ่น 1.2 GLX CVT ราคา 609,000 บาท

เพิ่ม

– กระจังหน้าตกแต่งลายเส้นสีแดง
– ไฟหน้า LED โปรเจคเตอร์ปรับสูง-ต่ำได้
– ไฟตัดหมอกคู่หน้า
– เครื่องเล่นวิทยุ CD/MP3/Bluetooth
– กระจกข้างปรับ-พับไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยว
– พวงมาลัยหุ้มหนังพร้อมปุ่มรับโทรศัพท์
– Keyless Entry & Keyless Push Start
– ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ
– มือจับคู่หลังบนเพดาน
– ดิสก์เบรก 4 ล้อ
– ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง
– ล้อแม็กขนาด 16 นิ้ว

รุ่น 1.2 GLX-Navi CVT ราคา 629,000 บาท

เพิ่ม

– Suzuki Smart Connect หน้าจอสัมผัส 7 นิ้ว
– ระบบ Navigator รองรับ Apple CarPlay และ Mirrorlink

Suzuki-Swift

ราคา

รุ่น 1.2 GA CVT ราคา 499,000 บาท
รุ่น 1.2 GL CVT ราคา 536,000 บาท (เพิ่มขึ้นจากรุ่น GA CVT 37,000 บาท)
รุ่น 1.2 GLX CVT ราคา 609,000 บาท (เพิ่มขึ้นจากรุ่น GL CVT 73,000 บาท)
รุ่น 1.2 GLX-Navi CVT ราคา 629,000 บาท (เพิ่มขึ้นจากรุ่น GLX CVT 20,000 บาท)

*สีขาว เพิ่มเงินอีก 5,000 บาท

มีให้เลือกทั้งหมด 6 สี ได้แก่ Ablaze Red Pearl, Star Silver Metallic, Mineral Gray Metallic, Super Black Pearl และ 2 สีใหม่ คือ Speedy Blue Metallic และ Pure White Pearl

6-Ways-To-Fix-Car-Black-Smoke

เมื่อพูดถึงเรื่องรถ “ควันดำ” หลายคนก็จะนึกถึงรถที่ใช้ “เครื่องยนต์ดีเซล” ของมาทันที! แล้วยิ่งตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้ ที่ประเทศไทยประสบปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ทำให้หน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม กรมการขนส่งทางบก และตำรวจจราจร จึงออกตั้งด่านตรวจวัดควันดำกันทั่ว ซึ่งถ้าโดนจับก็ต้องเสียเวลา เสียค่าปรับ แถมถูกห้ามใช้รถอีก

6-Ways-To-Fix-Car-Black-Smoke

รถเมื่อใช้ไปได้สักระยะหนึ่ง มักจะมีปัญหาเรื่องควันดำ โดยเฉพาะรถเก่าที่มีการใช้งานมานาน ซึ่งนอกจากจะสร้างปัญหาให้กับผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ แล้ว ยังสร้างมลพิษให้กับสภาวะแวดล้อมของโลกอีกด้วย ซึ่งสาเหตุที่รถมีควันดำนั้นมีดังนี้

  1. เครื่องยนต์สึกหรอมาก เช่น ลูกสูบและกระบอกสูบ แหวนลูกสูบชำรุด
  2. ปั๊มฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงชำรุดและทำงานไม่ถูกต้อง หรือฉีดน้ำมันในจังหวะที่ไม่ถูกต้อง
  3. หัวฉีดน้ำมันแรงดันสูงที่จ่ายเข้าไปในห้องเผาไหม้ชำรุด
  4. กรองอากาศอุดตัน
  5. น้ำมันเครื่องมีอายุการใช้งานมาก
  6. เขม่าควันดำและฝุ่นละอองค้างอยู่ภายในท่อไอเสีย

6-Ways-To-Fix-Car-Black-Smoke

ภาพจาก กรมการขนส่งทางบก PR.DLT.News

และเมื่อพบว่ารถคุณเกิดควันดำอย่าได้นิ่งนอนใจ ควรรดำเนินการแก้ไข ดังนี้

1. ซ่อมแซมเครื่องยนต์ในส่วนที่สึกหรอ เช่น เปลี่ยนลูกสูบ แหวนลูกสูบ หรือ ทำการคว้านกระบอกสูบ แล้วเปลี่ยนลูกสูบให้ใหญ่ขึ้น
2. ทำการเช็กปั๊ม โดยนำเข้าศูนย์บริการ ทำการปรับแต่งปั๊มจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงเปลี่ยนชิ้นส่วนที่ชำรุดสึกหรอ รวมทั้งปรับแต่งหัวฉีดน้ำมันและเปลี่ยนชิ้นส่วนที่สึกหรอ รวมทั้งการปรับแต่งอัตราและจังหวะการฉีดน้ำมันให้ถูกต้องเป็นไปตามบริษัทผู้ผลิตกำหนด
3. เปลี่ยนไส้กรองอากาศใหม่ เพื่อให้เกิดการเผาไหม้ที่สมบรูณ์
4. เปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะเวลาที่บริษัทผู้ผลิตกำหนด
5. ปรับแต่งเครื่องยนต์ให้ทำงานถูกต้องตามระยะเวลาที่เหมาะสม
6. ทำการล้างท่อไอเสียโดยใช้น้ำหรือลมฉีดชะล้างเขม่า และฝุ่นละอองภายในท่อไอเสีย

มาตรฐานค่าควันดำจากท่อไอเสียของรถยนต์

ปกติแล้ว การวัดควันดำของรถยนต์ จะวัดกันจอดรถยนต์จอดอยู่กับที่ ซึ่งมีกำหนดไว้ไม่เกินร้อยละ 50 (เมื่อตรวจวัดด้วยเครื่องมือวัดควันดำระบบกระดาษกรอง) หรือไม่เกินร้อยละ 45 (เมื่อตรวจวัดด้วยเครื่องมือวัดควันดำระบบวัดความทึบแสง)

6-Ways-To-Fix-Car-Black-Smoke

ภาพจาก กรมการขนส่งทางบก PR.DLT.News

รถยนต์ที่ปล่อยควันดำ เกินค่ามาตรฐาน นอกจากโดนปรับแล้ว ยังจะถูกติดสติ๊กเกอร์ หรือพ่นสีที่หน้ากระจกรถว่า “ห้ามใช้ชั่วคราว” คือ คำสั่งห้ามใช้รถยนต์เป็นการชั่วคราว จนกว่าจะนำรถไปแก้ไขปรับปรุงเครื่องยนต์ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์และมีควันดำเป็นไปตามมาตรฐาน ภายในกำหนด 30 วัน

และหากยังฝ่าฝืน ไม่นำรถยนต์ไปแก้ไขปรับปรุงเครื่องยนต์ให้มีควันดำลดลง ภายใน 30 วัน ก็จะถูกติดสติ๊กเกอร์ “ห้ามใช้เด็ดขาด” พร้อมบันทึกหมายเลขทะเบียนลงในคอมพิวเตอร์ เพื่อแจ้งไปยังนายทะเบียนของกรมขนส่งทางบกพิจารณาดำเนินการ และจะเคลื่อนย้ายรถยนต์ได้ ก็ต่อเมื่อได้รับการอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่เท่านั้น

ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก กรมควบคุมมลพิษ

Toyota-Vios-เอามาทำแท็กซี่ได้ยังไง

นับตั้งแต่ Toyota Soluna มาจนถึง Toyota Vios ผ่านมา 20 กว่าปีแล้ว ก็ยังมีคนสงสัยว่า “เอา Vios มาทำแท็กซี่ได้ไง?”

Toyota-Soluna-Vios-Taxi

“Toyota Vios เป็นแท็กซี่ได้ยังไง? รถไม่ใช่เครื่อง 1600 นะ ทำไมถึงเอามาทำแท็กซี่ได้” …

เป็นคำพูดที่ผมได้ยินมาตลอด หรือเห็นเป็นกระทู้อยู่ใน Pantip (พันทิป) เป็นระยะๆ ในช่วงเกือบๆ 20 ปีที่ผ่านมา

Toyota-Vios-Taxi-1

ผมจำได้ตั้งแต่ตอนที่ Toyota Soluna (โตโยต้า โซลูน่า) ไมเนอร์เชนจ์ รุ่นท้ายหยดน้ำ ก็มีรถรุ่นนี้ทำออกมาเป็นแท็กซี่แบบป้ายดำ ของสหกรณ์แท็กซี่แห่งหนึ่ง นำรถแท็กซี่รุ่น 1ท-2ท ย้ายทะเบียนเดิม มาใส่ในรถคันใหม่ (ป้ายทะเบียน ทก ทข ห้ามติดมิเตอร์ แต่ก็มีมิเตอร์หลายคันทีเดียว) จนถึงปัจจุบัน ก็มีคนพูดถึง “Toyota Vios Taxi” มาตลอด

Datsun-Sunny-Taxi

Datsun Sunny Taxi ในอดีต

เรื่องมันยาว … ต้องย้อนกลับไปสมัยที่รถแท็กซี่ ยังไม่มีมิเตอร์ ในยุคทะเบียน 1ท-2ท …

ประมาณปี 2513 ทางกระทรวงมหาดไทย สมัยที่จอมพลประภาส จารุเสถียร เป็นรัฐมนตรีว่าการ ได้ออกกฎกระทรวงกำหนดให้รถแท็กซี่ ต้องประกอบการเป็นรูปบริษัทจำกัด หรือสหกรณ์จำกัด โดยมีเงื่อนไขว่าถ้าเป็นบริษัทต้องมีทุนจดทะเบียนไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท และต้องมีรถแท็กซี่ไม่น้อยกว่า 500 คัน

ส่วนสหกรณ์จะต้องมีสมาชิกไม่น้อยกว่า 1,000 คน มีรถแท็กซี่ไม่น้อยกว่า 500 คันเช่นเดียวกัน

กฎกระทรวงดังกล่าวมีผลบังคับใช้ในปี 2517 ในกรณีที่ยังปฏิบัติตามกฎกระทรวงนี้ ไม่ได้ รมต. มหาดไทยมีอำนาจผ่อนผันได้ไม่เกิน 2 ครั้งๆ ละไม่เกิน 2 ปี

ในปีเดียวกัน ก่อนหน้าที่จะมีการประกาศกฎกระทรวงมหาดไทย ก็ได้งดไม่ให้มีการจดทะเบียนเพิ่ม และทำการสำรวจจำนวนแท็กซี่ เพื่อนำมาเป็นข้อมูล พบว่ามีรถอยู่ทั้งหมด 9,000 คัน

Toyota-Corona-Taxi

Toyota Corona แท็กซี่ในอดีต (ภาพจาก Paul Thallon)

ปี 2517 – 2518 ราคาป้ายทะเบียนแท็กซี่ 1ท เริ่มมีราคาขึ้นมาบ้าง มาสูงสุดที่ 70,000 บาท ก่อนสิ้นปี 2518

ต่อมาในปี 2519 พ.ต.ท. บุญเลิศ เลิศปรีชา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงฉบับเก่าให้สหกรณ์มีสมาชิกไม่น้อยกว่า 500 คน ซึ่งลดลงจากเดิมที่กำหนดไว้ 1,000 คน และลดจำนวนแท็กซี่เหลือ 100 คัน การผ่อนผันกฎเกณฑ์ลงนี้เพื่อให้ผู้ขับรถแท็กซี่ มีการรวมตัวกันได้ง่ายขึ้น และสะดวกสำหรับการเข้ามาควบคุมดูแลของทางราชการ

พร้อมกับได้เพิ่มโควต้าทะเบียนแท็กซี่อีก 4,500 ป้าย โดยกำหนดเวลาให้มาจดทะเบียนเสร็จสิ้นภายในวันที่ 30 เมษายน 2519 ในช่วงนั้นจึงมีผู้ประกอบการอาชีพขับรถแท็กซี่รวมตัวกันจัดตั้งสหกรณ์ขึ้นมา 15 สหกรณ์ และรวมสหกรณ์เดิมอีก 1 เป็น 16 สหกรณ์

ป้ายทะเบียนแท็กซี่ที่เพิ่มขึ้นอีก 4,500 ป้าย ซึ่งใช้อักษรนำหน้าเป็น “2ท” ได้แบ่งโควต้าให้แก่สหกรณ์ต่างๆ 6 สหกรณ์ และกับอีก 4 บริษัทแท็กซี่ ทะเบียนที่จัดสรรให้สหกรณ์นั้น ให้แต่ละสหกรณ์นำไปแบ่งกันในหมู่สมาชิก จุดมุ่งหมายหลักก็เพื่อต้องการให้ผู้มีอาชีพขับรถแท็กซี่มีเครื่องมือหากินเป็นของตนเอง

และหลังจากที่ป้ายทะเบียนรุ่น “2ท” ออกสู่ท้องตลาด ราคาป้ายทะเบียน “1ท” ที่เคยมีการซื้อขายกันสูงถึง 70,000 บาท ก็ได้ลดลงมา กล่าวกันว่าในช่วงนั้นป้ายทะเบียนแทบไม่มีการซื้อขายกันเลย อย่างรถ นิสสัน บูลเบิร์ด มีการเสนอขายกันในช่วงนั้น 3 คัน 1 แสนบาท ยังหาคนซื้อยาก ป้าย “2ท” ที่ออกมาใหม่ไม่มีราคา

Toyota-Corolla-KE70-Taxi

Toyota Corolla (KE70) แท็กซี่ในอดีต (ภาพจาก Frog59)

หลังจากนั้นประมาณปี 2523 เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวขึ้น แต่ยังไม่ค่อยจะดีนัก เถ้าแก่แท็กซี่พบทางออกที่จะแก้ปัญหาราคาน้ำมันที่แพง โดยหันมาใช้แก๊ส LPG แทน แต่กว่าที่ทางราชการจะยอมให้ติดตั้ง ก็ใช้เวลานานพอดูเพราะยังไม่มีกฎหมายรองรับ

ทางราชการมองถึงความไม่ปลอดภัย เพราะระบบการใช้เชื้อเพลิงแก๊สไม่เคยมีมาก่อน จนเกิดเป็นคดีขึ้นที่ สน.นางเลิ้ง ถึงขั้นฟ้องร้องต่อศาล แต่ในที่สุดยอมให้ใช้กันได้

เจ้าของอู่จึงคิดค่าเช่าเพิ่มอีก 20 บาท มาเป็น 80 บาท เนื่องจากต้องการลงทุนในถังแก๊ส ป้าย “1ท” เริ่มมีราคาขึ้นมาอีกครั้ง มีการซื้อขายกัน 20,000 บาท และป้าย 2ท ขายกันประมาณ 10,000 บาท

การที่ป้ายทะเบียน “1ท” มีราคาแพงกว่าป้าย “2ท” เพราะว่าป้าย “1ท” สามารถมีการซื้อขายและโอนย้ายข้ามบริษัทแท็กซี่หรือสหกรณ์ได้ ในขณะที่ป้าย “2ท” จำกัดการโอนย้ายอยู่ภายในบริษัทหรือสหกรณ์เดียวกันเท่านั้น

ช่วงนี้นายทุนเจ้าของอู่เดิมเริ่มพากันซื้อป้ายสะสมไว้เพื่อเก็งราคา ช่วงไล่เรี่ยกันนั้น รถแท็กซี่ก็หันมาติดแอร์ ทำให้เป็นที่นิยมของผู้โดยสาร ค่าเช่าจึงขยับตัวสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงหลักแสน คนขับที่มีป้ายเป็นของตนเองเริ่มขายป้ายให้กับนายทุน แล้วหวนกลับมาเช่ารถขับแทน

Toyota-Vios-Taxi

ภาพจาก Login reaming @ Pantip

ในราวปี 2530 ที่เศรษฐกิจเริ่มบูมราคาที่ดินพุ่งสูงขึ้นคนเล่นหุ้นมีกำไรงาม กอปรกับผู้ที่ไปขายแรงงานในตะวันออกกลาง เริ่มกลับมาปักหลักที่บ้านเกิดเมืองนอน มีเศรษฐีใหม่เกิดขึ้นมามากมาย

เริ่มมีผู้คนหน้าใหม่เดินเข้าสู่ธุรกิจแท็กซี่ มาแย่งกันลงทุนในแท็กซี่ ป้ายแท็กซี่เริ่มขาดตลาด ทำให้ราคาดีดตัวขึ้นไป 300,000 บาท สำหรับป้าย “2ท” และ 400,000 บาท สำหรับป้าย “1ท”

Toyota-Vios-Taxi

จนกระทั่งมาในปี 2534 ป้าย 1ท ได้ขยับตัวขึ้นไปถึง 600,000 บาท และป้าย “2ท” ขึ้นไปถึง 500,000 บาท และค่าเช่าต่อหนึ่งกะสูงถึง 450 บาท เพราะการลงทุนในแท็กซี่ 1 คันรวมราคารถและราคาป้าย จนถึงเบี้ยประกันที่ต้องจ่าย เป็นต้นทุนรวมจะตกประมาณคันละเกือบล้านบาท

Toyota-Corolla-EE80-Taxi

Toyota Corolla 1.3 DX (EE80) Taxi ยอดฮิตในยุค 80 (ภาพจาก Aekkarat Aittharit‎)

จนล่วงเลยมาในปี 2535 เป็นช่วงเดียวกับที่ นุกูล ประจวบเหมาะ นั่งอยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม สมัยรัฐบาลนายกฯ อานันท์ ปันยารชุน ยุคเปิดเสรี ทางกรมการขนส่งทางบก จึงรับหน้าที่ไปทำการศึกษาถึงการแก้ไขปัญหาของแท็กซี่ว่า “ทำไมค่าเช่าและค่าโดยสาร แพงเกินกว่าเหตุ”

หลังจากศึกษา ผลปรากฏว่าจำนวนรถที่มีอยู่เพียง 13,500 คัน คือทะเบียน 1ท 9,000 คัน และทะเบียน 2ท 4,500 คัน (ที่เปิดเพิ่มใหม่ให้เมื่อปี 2519) เป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขเพราะจำนวนรถไม่สอดคล้องกับจำนวนผู้โดยสาร

“นั่นเป็นเพราะว่า การจำกัดโควต้าไม่ให้แท็กซี่มีเพิ่มขึ้น สภาพการณ์ดังกล่าว เป็นเช่นนี้มานานเกือบจะ 20 ปี” ประธานสหกรณ์แท็กซี่สยามในยุคนั้น เล่าให้ฟัง

นุกูล จึงผลักดันนโยบายเปิดเสรีออกไป ในที่สุดรัฐประกาศให้มีการเพิ่มป้ายรถแท็กซี่ ได้อย่างไม่จำกัดจำนวนโดยออกเป็นกฎกระทรวงมาเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 2535 ที่ผ่านมา

Toyota-Avanza-Taxi

แม้แต่ Toyota Avanza ก็เอามาทำแท็กซี่เหลือง-ดำ ได้

จึงเป็นที่สิ้นยุคของรถแท็กซี่ยุคเก่า ที่เคยซื้อขายทะเบียนรถกันแพงลิบลิ่ว ค่อยๆ ทยอยหายไปจนเกือบหมด เหลือวิ่งอยู่ในกรุงเทพฯ เพียง 297 คันในปัจจุบัน ซึ่งป้ายทะเบียนแบบเก่า สามารถนำรถที่มีจำนวนซีซีต่ำกว่า 1500 ซีซี มาทำแท็กซี่ได้ แต่ห้ามติดมิเตอร์ (แต่โป๊ะไฟ “Taxi-Meter” กันทั้งนั้น …)

Toyota-Vios-Taxi

Toyota-Vios-Taxi

Toyota-Vios-Taxi

Toyota Vios Taxi ป้ายแดงจากศูนย์ ใส่ทะเบียนแล้วพร้อมใช้งานได้เลย (ภาพจาก ง้วน ออโต้ เซอร์วิส)

โดยรถแท็กซี่ที่จดทะเบียนก่อนปี พ.ศ.2535 คือหมวดทะเบียน 1ท และ 2ท เดิม โดยปัจจุบันเป็น แท็กซี่หมวด ทก และ ทข เป็นสัญลักษณ์ สีเหลือง-ดำ ซึ่งเป็นรถยนต์รับจ้างที่ใช้รับส่งผู้โดยสารในลักษณะเหมาคัน ได้มีประกาศเพิ่มเติมในกฎกระทรวงฉบับที่ 9 พ.ศ.2535 ให้งดรับจดทะเบียนเพิ่มเติม

ซึ่งเจ้าของรถที่จดทะเบียนรถประเภทนี้ หากไม่ประสงค์ใช้รถคันเดิม หรือคันเดิมมีสภาพเสื่อมโทรม สามารถนำรถคันใหม่มาจดทดแทนได้

แต่เพื่อเป็นการพัฒนารถแท็กซี่ให้มีมาตรฐานการให้บริการ มีการติดตั้งมิเตอร์ทุกคัน กรมการขนส่งทางบกจึงได้ยกเลิกการให้จดทดแทนตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2557 โดยให้สิ้นสภาพไปตามระยะเวลา ทำให้ปัจจุบันมีรถแท็กซี่รุ่นเก่าหมวดดังกล่าวที่ไม่ติดมิเตอร์ รวมทั้งสิ้น 297 คัน

ซึ่งกรมการขนส่งทางบกได้กำหนดให้รถแท็กซี่จะต้องนำรถเข้ารับการตรวจสภาพอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุกปีตามเงื่อนไขที่กำหนด พร้อมจัดกำลังเจ้าหน้าที่ชุดตรวจการขนส่งทางบกลงพื้นที่ตรวจสอบอย่างเข้มงวด หากตรวจสอบพบรถมีสภาพไม่มั่นคงแข็งแรงหรือไม่พร้อมให้บริการ ก็จะทำการแจ้งยกเลิกใช้รถดังกล่าวทันที ซึ่งรถจำนวนดังกล่าวจะสิ้นสภาพไปในที่สุด

Toyota-Vios-Taxi

Toyota-Vios-Taxi

Toyota Vios Taxi สี เชียว-เหลือง หลงมาได้ไง! (ภาพจาก มิเตอร์ แท็กซี่)

แต่ก็มีคนหลายคน เมื่อเห็น Toyota Vios เป็นแท็กซี่ ก็ยังมีคำถามที่ว่า “เฮ้ย! Vios ทำแท็กซี่ได้ด้วยหรอ” อยู่อีก!

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์คันใหม่ มาขายรถกับทาง Carro Express สิ! คลิกเลยที่ https://th.carro.co/sell-car/express รับรองได้เงินเร็ว ไว ทันใจแน่นอน!

Carro Automall Toyota Vios / โตโยต้า วีออส

สำหรับใครที่รักรถ Toyota Vios (โตโยต้า วีออส) และอยากเป็นเจ้าของ Toyota Vios สภาพเยี่ยมสักคัน Carro แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ เรามี โตโยต้า วีออส ให้คุณเลือกมากมาย คุณสามารถจองรถ Toyota Vios ได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น! พร้อมคำนวณสินเชื่อและค่างวด ได้ภายในเว็บไซต์ทันที!

ซึ่ง โตโยต้า วีออส ทุกคัน ผ่านการตรวจสภาพโดย Carro Certified อย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 160 จุด, การันตีคืนเงินภายใน 5 วัน, รับประกันเครื่องยนต์และเกียร์ 1 ปี, รับประกันไม่กรอไมล์ และไม่ประสบอุบัติเหตุหนัก ไฟไหม้ หรือน้ำท่วม พร้อมรับประกันคุณภาพรถ 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร!

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” เลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา รวมถึงมีเทคโนโลยีสนับสนุนฝ่ายขาย ทั้ง Digital Device ที่เชื่อมต่อกับ Digital Screen นำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และจัดการเรื่องเอกสารให้กับลูกค้าให้ตั้งแต่ต้นจนจบ บวกกับ Online Viewing Service ที่ลูกค้าสามารถวิดีโอคอล ตรวจสภาพรถยนต์คันที่สนใจได้แบบเรียลไทม์ ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ Carro สิ!

หรือถ้าหากคุณสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงกรอกชื่อ-เบอร์โทรศัพท์ และรถที่คุณสนใจ ไว้ที่ “รับการแจ้งเตือน” เมื่อมีรถที่คุณต้องการ Carro จะรีบติดต่อไปยังคุณทันที สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> Carro Thailand โทร. 02-460-9380 หรือทาง Line @carrothai

แหล่งที่มาบางส่วนจาก:

Honda-Civic-Taxi

Honda-Civic-EG-Taxi

Honda Civic (EG) Taxi-Meter ในอดีต (ภาพจากนิตยสารไทยไดรฟ์เวอร์)

เป็นเรื่องความเชื่อผิดๆ ที่ถกเถียงกันมา 20 กว่าปีได้แล้ว สำหรับ “Honda” (ฮอนด้า) ที่ห้ามนำรถมาทำแท็กซี่ ใครเอารถมาทำแท็กซี่ บริษัทแม่จะขอรับซื้อคืน!

Honda-Civic-ES-Taxi

Honda Civic (ES) Taxi-Meter ในอดีต

ถ้ามันจริงอย่างที่ว่า ก็ดีเลยสิครับ จะได้ทำธุรกิจใหม่ ซื้อรถ Honda Civic (ฮอนด้า ซีวิค) มา ใช้ไปสักพัก (ไม่เกิน 2 ปี) แล้วไปทำสีใหม่ เขียว-เหลือง จดทะเบียนเป็นรถแท็กซี่ แล้วก็รอเวลาบริษัทแม่มาขอซื้อรถคืนกลับ ตั้งราคาขายกลับไว้สูงๆ หน่อย ได้กำไรเห็นๆ! ซื้อคืน ทำบ่อยๆ ซื้อขายวนเวียนกันไป ก็ได้กำไรสบายๆ เพราะเจ้าของรถย่อมเหนือกว่า จะขายคืนหรือไม่ก็ได้

Honda-Civic-FD-Taxi-China

Honda-Civic-FB-Taxi-USA

ในต่างประเทศ ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่รถ Honda จะเป็นแท็กซี่

ทั้งนี้ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ก็ไม่เคยมีออกนโยบายใดๆ ว่าห้ามลูกค้าซื้อรถไปแล้ว นำรถไปทำแท็กซี่ มีเพียงแต่การนำรถไปทำเป็นรถรับจ้าง หรือติดอุปกรณ์อื่นๆ เพิ่มเติม เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือการรับประกันคุณภาพของรถ (3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร)

Honda-Civic-ES-Taxi

Honda Civic (ES) Taxi-Meter ในอดีต

ทางกรมขนส่งทางบก ที่เกี่ยวข้องกับการจดทะเบียน และต่อทะเบียนรถแท็กซี่ ก็ไม่มีการห้ามนำรถยนต์ยี่ห้อใดๆ ไปจดทะเบียนเป็นแท็กซี่ โดยมีแค่เงื่อนไขว่า ต้องเป็นรถยนต์ที่เครื่องยนต์ มีความจุกระบอกสูบ 1,500 ซีซี ขึ้นไป และเป็นรถที่อายุไม่เกิน 2 ปี หรือผ่านการใช้งานมาไม่เกิน 20,000 กิโลเมตร พร้อมกับติดตั้งวิทยุสื่อสาร ทำสีมาตามกำหนด

Honda-Civic-FD-Taxi

Honda-Civic-FD-Taxi

Honda-Civic-FD-Taxi

Honda-Civic-FD-Taxi

Honda Civic (FD) Taxi-Meter

ถ้าเป็นรถยนต์ญี่ปุ่น ที่เห็นเป็นแท็กซี่น้อยๆ ก็มี Honda Civic (แต่ในอดีต Isuzu Vertex คู่แฝดของ Honda Civic (EK) ก็เคยมีสหกรณ์แท็กซี่แห่งหนึ่ง นำรถรุ่นนี้มาทำแท็กซี่หลายคัน พ่นสีฟ้า-แดง) ส่วน Subaru ก็เป็นรถนำเข้าที่มีราคาสูง เลยไม่มีใครเอามาทำแท็กซี่เลยตั้งแต่ในอดีต …

BMW-Series-3-Taxi

BMW-Series-3-Taxi

BMW Series 3 Taxi-Meter (แบบประชด) ในอดีต

ส่วนรถยนต์จากฝั่งยุโรป ปัจจุบันคงไม่มีใครกล้าเอามาทำแท็กซี่แบบในอดีตแล้ว (ในอดีตมีรถยุโรปเป็น Taxi ในบ้านเราหลายยี่ห้อ อาทิ Peugeot 305, 309, 405, Renault R9, R19 หรือ Opel Astra เป็นต้น) เนื่องจากราคาตัวรถที่ขยับขึ้นไปสูงมากถึง 2 ล้านบาทขึ้นไป … ยกเว้นลูกเศรษฐี อยากขับแท็กซี่ หรือทำเป็นแท็กซี่ เพื่อประชดที่รถมีปัญหา (แบบที่เคยมี BMW Series 3 ทำเป็นแท็กซี่เมื่อ 10 กว่าปีก่อน)

Honda-Civic-FB-Taxi

Honda Civic (FB) Taxi-Meter (ภาพจากคุณ Darin Keawken)

การที่รถยนต์บางยี่ห้อบางรุ่น ไม่นิยมนำไปทำแท็กซี่ เนื่องจากมีคุณสมบัติไม่เหมาะสม อาจจะอะไหล่แพงหรือหายาก ไม่คุ้มค่าต่อการนำมาใช้ และรถแท็กซี่ต้องถูกใช้งานอย่างหนักแทบทั้งวัน มากกว่ารถยนต์ทั่วไป ดังนั้น ความทนทานของเครื่องยนต์ ไม่จุกจิก ประหยัดน้ำมัน รวมไปถึงการหาอะไหล่ ที่ต้องใช้ได้ทั้งของแท้ เทียบ เทียม และซ่อมง่าย เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการหรือเจ้าของรถแท็กซี่ คำนึงถึงเป็นอันดับต้นๆ ในการเลือกซื้อรถมาทำแท็กซี่

Honda-Civic-FC-Taxi

การใช้รถยนต์รุ่นเดียวกับความนิยมในหมู่แท็กซี่ นอกจากจะไม่เสียภาพพจน์ใดๆ แล้ว ยังมีอีกข้อดีอีกเพียบ ทั้งในด้านการซ่อมแซม ความทนทาน และหาอะไหล่ได้ง่ายกว่าด้วย … จริงไหมครับ

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์คันใหม่ให้เหมาะกับบ้านคุณ มาขายรถกับทาง Carro Express สิ! คลิกเลยที่ https://th.carro.co/sell-car/express รับรองได้เงินเร็ว ไว ทันใจแน่นอน!

CARRO Automall

ส่วนใครสนใจจะซื้อรถมือสอง Carro แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ คุณสามารถจองรถได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น! พร้อมคำนวณสินเชื่อและค่างวด ได้ภายในเว็บไซต์ทันที!

ซึ่ง Carro เรามีรถให้คุณเลือกมากมาย รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพโดย Carro Certified อย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 160 จุด, การันตีคืนเงินภายใน 5 วัน, รับประกันเครื่องยนต์และเกียร์ 1 ปี, รับประกันไม่กรอไมล์ และไม่ประสบอุบัติเหตุหนัก ไฟไหม้ หรือน้ำท่วม พร้อมรับประกันคุณภาพรถ 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร!

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” เลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา รวมถึงมีเทคโนโลยีสนับสนุนฝ่ายขาย ทั้ง Digital Device ที่เชื่อมต่อกับ Digital Screen นำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และจัดการเรื่องเอกสารให้กับลูกค้าให้ตั้งแต่ต้นจนจบ บวกกับ Online Viewing Service ที่ลูกค้าสามารถวิดีโอคอล ตรวจสภาพรถยนต์คันที่สนใจได้แบบเรียลไทม์ ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ Carro สิ!

หรือถ้าหากคุณสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงกรอกชื่อ-เบอร์โทรศัพท์ และรถที่คุณสนใจ ไว้ที่ “รับการแจ้งเตือน” เมื่อมีรถที่คุณต้องการ Carro จะรีบติดต่อไปยังคุณทันที สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> Carro Thailand โทร. 02-460-9380 หรือทาง Line @carrothai

รอโอนรถยนต์ ใครถือครองกรรมสิทธิ์

หลายๆ ท่าน ที่เคยมีประสบการณ์ในการซื้อรถยนต์มือสอง ซึ่งต้องมีการโอนรถ จากเจ้าของเก่า ไปสู่เจ้าของใหม่ เคยสงสัยกันบ้างหรือไม่ว่า ขณะที่ยังไม่มีการจดเปลี่ยนชื่อในทะเบียน ใครเป็นเจ้าของรถยนต์กันแน่

บางครั้งอาจมีการชำระเงินกันไปแล้ว แต่ระหว่างที่รอการโอนเปลี่ยนชื่อในสมุดทะเบียน จะถือว่าใครเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันนั้น

รอโอนรถยนต์ ใครถือครองกรรมสิทธิ์

รถเก่าแค่ไหนก็ต้องโอนได้ เพื่อการเป็นเจ้าของที่สมบูรณ์

รถทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นจักรยานยนต์ รถยนต์ รถบรรทุก ในทางกฎหมาย จัดเป็นสังหาริมทรัพย์ประเภทหนึ่ง ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 ก็กำหนดไว้ว่า การซื้อขายสังหาริมทรัพย์ที่มีราคาเกินกว่า 500 บาทขึ้นไป จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ หรือวางประจำ หรือชำระหนี้บางส่วน อย่างใดอย่างหนึ่ง

รอโอนรถยนต์ ใครถือครองกรรมสิทธิ์

รถที่จะโอนได้ ต้องมีวันที่ต่อภาษีประจำปีก่อนวันสิ้นอายุ

กรณีนี้ก็สามารถบังคับให้ฝ่ายผู้ขายจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อทางทะเบียนมาให้ผู้ซื้อได้ แต่ในส่วนของกรรมสิทธิ์นั้น เพียงแต่ส่งมอบรถยนต์ให้ก็ถือว่า กรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันนั้นได้โอนมาเป็นของผู้ซื้อแล้ว แม้ยังไม่ทันไปแก้ชื่อทะเบียนเจ้าของ ยังไม่เปลี่ยนป้ายวงกลม หรือไม่ได้ไปแจ้งต่อเจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางบกก็ตาม

รอโอนรถยนต์ ใครถือครองกรรมสิทธิ์

เอกสารการโอนรถ

การซื้อขายรถยนต์ไม่ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่ตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 ก็มีข้อกำหนดให้ต้องมีการไปจดทะเบียนเพื่อเปลี่ยนแปลงชื่อเจ้าของทะเบียนรถยนต์ ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์ในการควบคุมดูแลของรัฐบาล ที่จะใช้สันนิษฐานเบื้องต้นก่อนว่า บุคคลใดเป็นเจ้าของรถยนต์ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ หรือถูกโจรกรรม หรือการใช้รถยนต์ในการกระทำความผิดอาญาต่างๆ

ดังนั้นการซื้อขายรถยนต์แม้ไม่จดทะเบียน ก็ไม่เป็นโมฆะ เพียงแต่ถ้าไม่มีการวางเงินมัดจำ หรือการชำระหนี้บางส่วน หรือมีหลักฐานเป็นหนังสือ ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายก็ไม่สามารถบังคับให้อีกฝ่ายหนึ่ง ต้องปฏิบัติตามสัญญาซื้อขายที่ได้ตกลงกันไว้เท่านั้น

รอโอนรถยนต์ ใครถือครองกรรมสิทธิ์

เมื่อทำการซื้อ-ขาย รถยนต์แล้ว ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ควรไปโอนรถพร้อมกันที่สำนักงานขนส่ง ปลอดภ้ยที่สุด

ตัวอย่างเช่น นายสมภพ ซื้อรถบรรทุกจากนายสมชาย ในการซื้อขายนั้น ต้องมีการติดตั้งปั๊มฉีดน้ำมันไฮดรอลิก และเครนด้วย นายสมภพซึ่งเป็นผู้ซื้อติดไม่เป็น แต่รู้ว่านายสมชายคนขายติดเป็น ก็นำมาให้นายสมชายช่วยติดตั้งให้บนรถ

เมื่อติดตั้งเสร็จนายสมชายเปลี่ยนใจไม่ขายรถยนต์คันนี้ นายสมภพเลยมาฟ้องเป็นคดีขึ้น โดยนายสมชายต่อสู้ว่าการซื้อขายรถยนต์เป็นการซื้อขายสังหาริมทรัพย์เกิน 500 บาท ซึ่งต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้รับผิด หรือวางมัดจำ หรือชำระหนี้บางส่วน แต่กรณีนี้ ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ไม่มีการวางมัดจำ หรือผ่อน และยังไม่มีการส่งมอบรถยนต์ให้ไป ทั้งฝ่ายนายสมภพเองก็ยังไม่ได้ชำระราคาแต่อย่างใด ดังนั้นนายสมภพจะบังคับให้นายสมชายขายรถยนต์คันนี้ไม่ได้

คดีนี้ศาลวินิจฉัยว่า มัดจำนั้นก็คือ เงินทอง หรือทรัพย์สินที่ผู้ซื้อส่งมอบให้ผู้ขายเพื่อเป็นหลักฐานในการทำสัญญา และหากมีการบิดพลิ้วประการใด ผู้ขายย่อมยึดหรือริบเอาไว้ได้

กรณีนี้ถึงแม้ว่านายสมภพจะได้ส่งมอบไฮดรอลิกและเครน อันเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่งให้กับนายสมชายผู้ขาย แต่ก็ไม่ได้มอบให้เพื่อเป็นหลักฐานในการทำสัญญา หากแต่มอบให้เพื่อไปติดตั้งบนตัวรถ ซึ่งเป็นประโยชน์แก่ฝ่ายผู้ซื้อคือ นายสมภพเอง และไม่มีกฎหมายกำหนดว่า ถ้ามีการบิดพลิ้วแล้ว ฝ่ายนายสมชายผู้ขายจะสามารถยึดไฮดรอลิกหรือเครนได้ พฤติการณ์ยังมองไม่ออกว่ามีการทำสัญญาซื้อขายกันจริง

นายสมภพจึงแพ้คดีนายสมชายไป โดยถือว่าไม่มีหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดี

สรุปว่า ควรทำเอกสารซื้อขายพร้อมระบุเงื่อนไขและรายละเอียดอย่างชัดเจน เมื่อมีการตกลงมัดจำหรือจ่ายเงินกัน แล้วค่อยไปโอนกรรมสิทธิ์ในภายหลัง

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์คันใหม่ มาขายรถกับทาง CARRO Express ได้ที่  https://th.carro.co/sell-car/express หรือถ้าหากต้องการซื้อรถคุณภาพเยี่ยม CARRO เราก็มีพร้อมให้คุณเลือกอย่างมากมายด้วยเช่นกัน พร้อมรับประกันสูงสุดถึง 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร กับ CARRO Automall ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://th.carro.co/taladrod/

Carro Automall / คาร์โร ออโต้มอลล์

หากใครอยากซื้อรถมือสองสภาพเยี่ยม ราคาสบายๆ และมั่นใจได้ในเรื่องคุณภาพทุกคัน CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ ตอบโจทย์คุณด้วยคอนเซปต์ “click.buy.drive.” คุณสามารถจองรถออนไลน์ ได้ในเวลา 1 นาที!

ซึ่งรถของ CARRO Automall เรามีให้คุณเลือกมากมาย รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพอย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 200 จุด รวมไปถึงการการปรับสภาพ (Car Reconditioning) ด้วยทีมช่างมืออาชีพ ที่ผ่านการผึกอบรมตามมาตรฐานคาร์โรกว่า 40 คน พร้อมให้บริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว กว่า 20 คัน/วัน

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” เลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา รวมถึงมีเทคโนโลยีสนับสนุนฝ่ายขาย ทั้ง Digital Device ที่เชื่อมต่อกับ Digital Screen นำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และจัดการเรื่องเอกสารให้กับลูกค้าให้ตั้งแต่ต้นจนจบ บวกกับ Online Viewing Service ที่ลูกค้าสามารถวิดีโอคอล ตรวจสภาพรถยนต์คันที่สนใจได้แบบเรียลไทม์

เรารับประกันคุณภาพรถ 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร! (CARRO Quality Assurance) อีกทั้งยังการันตีความพึงพอใจ คืนเงินได้ภายใน 5 วันอีกด้วย! ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม กับ CARRO Automall สิ!

หรือถ้าหากสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall Thailand โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall ครับ

แหล่งที่มาจาก:

  • คุณ ศราวุธ สายเชื้อ จากนิตยสารไทยไดรฟ์เวอร์