Suzuki-Swift-Compare

ดู Suzuki Swift กันให้ชัด! ว่าแต่ละรุ่นย่อย มีอะไรกันบ้าง

Suzuki-Swift

Suzuki Swift (ซูซูกิ สวิฟท์) เปิดตัวมาพร้อมเสียงฮือฮาของคนชอบรถเล็ก และคนที่สนใจรถแนว Eco-Car (อีโคคาร์) มาพร้อมโครงสร้างตัวถังแบบใหม่ HEARTECT ที่่น้ำหนักเบา แข็งแรง ทนต่อการสึกหรอ มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร รหัส K12M 83 แรงม้า กับเทคโนโลยีหัวฉีดคู่ DUALJET และฟังก์ชั่นจัดเต็ม ในราคาที่จับต้องได้

Suzuki-Swift

มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร รหัส K12M แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ให้แรงม้าสูงสุด 83 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 108 นิวตัน-เมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที กับเทคโนโลยีหัวฉีดคู่ DUALJET รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20

มิติตัวรถ ยาว 3,840 มม. กว้าง 1,735 มม. สูง 1,495 มม. ระยะฐานล้อ 2,450 มม.

Suzuki-Swift

อุปกรณ์มาตรฐานของแต่ละรุ่นย่อย มีดังนี้

1.2 GA CVT ราคา 499,000 บาท

– ไฟหน้ามัลติรีเฟลกเตอร์ฮาโลเจน
– ไฟท้าย LED
– จอแสดงข้อมูลการขับขี่ดิจิตอล
– เบาะหลังปรับพับ 60:40
– ถุงลมนิรภัยคู่หน้า
– ระบบควบคุมเสถียรภาพ ESP
– ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TCS
– ระบบเบรก ABS และ EBD
– ระบบ Idling Stop
– จุดยึดเบาะนั่งเด็ก ISOFIX
– เบาะหลังพับแบบ 60:40
– ล้อกระทะเหล็กขนาด 15 นิ้ว พร้อมฝาครอบล้อ

รุ่น 1.2 GL CVT ราคา 536,000 บาท

เพิ่ม

– ไฟ Daytime Running Light แบบ LED
– มือจับประตูสีเดียวกับตัวรถ
– ที่เปิดประตูท้ายแบบไฟฟ้า
– กระจกมองข้างปรับไฟฟ้า
– เซ็นทรัลล็อค และกุญแจรีโมท
– ปุ่มควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย
– เบาะคนขับปรับสูง-ต่ำได้
– เครื่องเล่นวิทยุ CD/MP3
– USB/AUX
– ไฟห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง

รุ่น 1.2 GLX CVT ราคา 609,000 บาท

เพิ่ม

– กระจังหน้าตกแต่งลายเส้นสีแดง
– ไฟหน้า LED โปรเจคเตอร์ปรับสูง-ต่ำได้
– ไฟตัดหมอกคู่หน้า
– เครื่องเล่นวิทยุ CD/MP3/Bluetooth
– กระจกข้างปรับ-พับไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยว
– พวงมาลัยหุ้มหนังพร้อมปุ่มรับโทรศัพท์
– Keyless Entry & Keyless Push Start
– ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ
– มือจับคู่หลังบนเพดาน
– ดิสก์เบรก 4 ล้อ
– ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง
– ล้อแม็กขนาด 16 นิ้ว

รุ่น 1.2 GLX-Navi CVT ราคา 629,000 บาท

เพิ่ม

– Suzuki Smart Connect หน้าจอสัมผัส 7 นิ้ว
– ระบบ Navigator รองรับ Apple CarPlay และ Mirrorlink

Suzuki-Swift

ราคา

รุ่น 1.2 GA CVT ราคา 499,000 บาท
รุ่น 1.2 GL CVT ราคา 536,000 บาท (เพิ่มขึ้นจากรุ่น GA CVT 37,000 บาท)
รุ่น 1.2 GLX CVT ราคา 609,000 บาท (เพิ่มขึ้นจากรุ่น GL CVT 73,000 บาท)
รุ่น 1.2 GLX-Navi CVT ราคา 629,000 บาท (เพิ่มขึ้นจากรุ่น GLX CVT 20,000 บาท)

*สีขาว เพิ่มเงินอีก 5,000 บาท

มีให้เลือกทั้งหมด 6 สี ได้แก่ Ablaze Red Pearl, Star Silver Metallic, Mineral Gray Metallic, Super Black Pearl และ 2 สีใหม่ คือ Speedy Blue Metallic และ Pure White Pearl

Isuzu-MU-X-The-Iconic

“อีซูซุมิว-เอ็กซ์ The Iconic” มาพร้อมชุดแต่งสปอร์ต ในราคา 1,354,000 – 1,411,000 บาท

อีซูซุ เขย่าตลาดรถเมืองไทยอย่างต่อเนื่อง ด้วยการแนะนำ รุ่นพิเศษ! “Isuzu MU-X The Iconic” รถยนต์นั่งอเนกประสงค์สุดหรูที่มาพร้อมชุดแต่งพิเศษสปอร์ตเท่รอบคัน จับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบรถที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

Isuzu-MU-X-The-Iconic“อีซูซุมิว-เอ็กซ์ The Iconic” เป็นรถยนต์นั่งอเนกประสงค์สุดหรูรุ่นล่าสุด ต่อยอดความแรงของ “The New Isuzu MU-X” ภายใต้นิยาม Signature of Privilege เอกลักษณ์แห่งเอกสิทธิ์ โดยเพิ่มเติมความโฉบเฉี่ยว หรูหรา งดงามทุกรายละเอียด อาทิ สปอร์ตเท่รอบคันกับชุดแต่ง Iconic Style ห้องโดยสารโทนเข้ม Lava Black ขับเน้นอารมณ์สปอร์ต ระบบความบันเทิงพร้อม Built-in Navigator และ Digital TV Tuner และล้ออัลลอย 18” Iconic Cross

Isuzu-MU-X-The-Iconic

มีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์ 1.9 และ 3.0 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ ที่ให้การตอบสนองการขับขี่ที่ดี ประหยัดน้ำมัน และรักษาสิ่งแวดล้อม ชุดเกียร์อัตโนมัติ ขับเคลื่อน 2 ล้อ พร้อมช่วงล่างที่นุ่มนวล รวมถึงเทคโนโลยีและฟังก์ชั่นต่างๆ ที่ตอบสนองการใช้ชีวิตยุคใหม่ให้ผู้ใช้รถได้สูงสุดในทุกด้าน โดยมีให้เลือก 2 สี ได้แก่ ขาวมุกเอเวอร์เรสต์ (Everest Pearl White) และ ดำออสเตรเลียนโคล (Australian Coal Black) ในราคา 1,354,000 – 1,411,000 บาท

Isuzu-MU-X-The-Iconic

รุ่นพิเศษ! “อีซูซุมิว-เอ็กซ์ The Iconic” ซึ่งจะเริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ ศกนี้ ณ โชว์รูมอีซูซุทั่วประเทศ

Isuzu-MU-X-The-Iconic-Price

Mazda2-MY2018

Mazda2 (มาสด้า2) ใหม่ ราคาเดิม เพิ่มออพชั่น เปิดตัวแล้ว

Mazda2-MY2018

Mazda แนะนำ Mazda2 (มาสด้า2) รุ่น 2018 Collection ลุยตลาด ภายใต้คอนเซ็ปต์ใหม่ล่าสุด “Excitement Never Ends” หรือ “เร้าใจ ไม่เคยหยุด” ใส่ออพชั่นเพิ่มจนล้นคัน หวังมัดใจสาวก Zoom-Zoom พร้อมเทคโนโลยีสุดล้ำอย่าง SKYACTIV-Vehicle Dynamics ที่มาพร้อมกับระบบ G-Vectoring Control เอกลักษณ์เฉพาะตัวจากมาสด้า เพิ่มออพชั่นเต็มคัน แต่ราคาเท่าเดิม

Mazda2-2018สำหรับมาสด้า2 รุ่น 2018 คอลเลคชั่น ทั้งเครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน 1.3L และเครื่องยนต์สกายแอคทีฟคลีนดีเซล 1.5L ทั้งตัวถังแบบซีดานและแฮตช์แบค หวังมัดใจกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่ในราคาที่จับต้องได้ง่าย เพิ่มอุปกรณ์มาตรฐานที่หลากหลาย ประกอบด้วย

Mazda2-2018

– สีใหม่ล่าสุด สีแดงโซลเรด คริสตัล ที่ให้ความสดใสเป็นประกายของสีแดง
– ระบบเชื่อมต่อโลกการสื่อสาร MZD Connect
– ระบบไฟหน้า เปิด-ปิด แบบอัตโนมัติ
– ที่ปัดน้ำฝนแบบกระจกหน้าแบบอัตโนมัติ
– ไฟหน้าแบบ LED โปรเจคเตอร์ พร้อม Daytime Running Light
– ระบบควบคุมความเร็วคงที่ (Cruise Control)
– ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Advance Blind Spot Monitoring, ABSM)
– ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (Rear Cross Traffic Alert, RCTA)
– ระบบกุญแจรีโมทอัจฉริยะ (Smart Keyless Entry)
– หน้าจอ Active Driving Display แสดงข้อมูลการขับขี่แบบสี

*ออพชั่นเพิ่มเติมขึ้นอยู่กับแต่ละรุ่นของรถ

Mazda2-2018

Mazda 2 เครื่องยนต์เบนซิน

1.3 Skyactiv-G Standard ราคา 530,000 บาท
1.3 Skyactiv-G High ราคา 590,000 บาท
1.3 Skyactiv-G High Connect ราคา 620,000 บาท
1.3 Skyactiv-G High Plus ราคา 670,000 บาท

Mazdd 2 เครื่องยนต์ดีเซล

1.5 Skyactiv-D Standard ราคา 680,000 บาท
1.5 Skyactiv-D High Connect ราคา 750,000 บาท
1.5 Skyactiv-D High Plus L ราคา 789,000 บาท

สำหรับ รุ่น 1.3 Standard ไม่มีการเพิ่มอุปกรณ์

*เฉพาะสี Snowflake Pearl เพิ่มเงินอีก 7,000 บาท
**เฉพาะสี Soul Red เพิ่มเงินอีก 10,000 บาท

รุ่น High

ไฟอ่านแผนที่ตอนหน้า แบบแยกซ้าย–ขวา
ไฟส่องสว่างตรงกลางภายในห้องโดยสาร
หน้าจอกลาง แบบสี Center Display Touchscreen ขนาด 7 นิ้ว
ระบบ MZD Connect พร้อมปุ่ม Center Command
ระบบเชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth
สวิตซ์ควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย
ช่องเชื่อมต่อ USB 1 ช่อง / ช่องใส่ SD Card
ระบบจดจำเสียง Voice Recognition
ลำโพง 6 ตำแหน่ง (เดิน 4 คำแหน่ง)
ระบบเปิด-ปิด ไฟหน้าแบบอัตโนมัติ Auto Headlamp
ระบบปัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติ Rain Sensor

รุ่น 1.3 High Connect เพิ่ม

ไฟหน้า LED Projector Lens พร้อมไฟ Daytime Running Light
ระบบเปิด-ปิด ไฟหน้าแบบอัตโนมัติ Auto Headlamp
ระบบปัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติ Rain Sensor
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control

รุ่น 1.3 High Plus

ระบบเปิด-ปิด ไฟหน้าแบบอัตโนมัติ Auto Headlamp
ระบบปัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติ Rain Sensor
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control
ระบบเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน ABSM
ระบบเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง RCTA

รุ่น 1.5 Standard

ระบบเปิด-ปิด ไฟหน้าแบบอัตโนมัติ Auto Headlamp
ระบบปัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติ Rain Sensor
ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ

รุ่น 1.5 High Connect

ระบบเปิด-ปิด ไฟหน้าแบบอัตโนมัติ Auto Headlamp
ระบบปัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติ Rain Sensor
หน้าจอ Active Driving Display แสดงข้อมูลการขับขี่แบบสี
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control

รุ่น 1.5 High Plus L

ระบบเปิด-ปิด ไฟหน้าแบบอัตโนมัติ Auto Headlamp
ระบบปัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติ Rain Sensor

Mazda2-2018

รถยนต์มาสด้า2 รุ่นปรับโฉมใหม่ มีรูปแบบตัวถังให้เลือกทั้งแบบซีดาน 4 ประตู และแบบแฮตช์แบค 5 ประตู โดยในแต่ละรูปแบบตัวถังจะมี 7 รุ่นย่อย แบ่งเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 4 รุ่นและเครื่องยนต์คลีนดีเซล 3 รุ่น

Mazda2-2018

สีภายนอก มีให้เลือกทั้งหมด 7 สี ซึ่งสีใหม่ล่าสุด คือ สีแดง โซลเรด คริสตัล, สีขาว สโนว์เฟค ไวท์ เพิร์ล, สีน้ำตาล ไททาเนียมแฟลช, สีเงิน อลูมินัม เมทัลลิค, สีน้ำเงิน อีเทอนอล บลู, สีเทา เมทิเออ เกรย์ และสีดำ เจ็ท แบล็ก

Mazda2-2018

นับได้ว่าคุ้มค่าเลยทีเดียวสำหรับผู้ที่กำลังมองหา Mazda2 ใหม่ รุ่นปี 2018 เพราะนอกจากจะได้ออพชั่นต่างๆ เพิ่มขึ้นมาแล้ว ยังได้ประหยัดเงินด้วยเพราะซื้อได้ในราคาที่เท่ากับรุ่นปี 2017 ส่วนใครที่คิดว่างบประมาณยังมีไม่พอ ก็ลองมองหา Mazda2 มือสองได้ง่ายๆ ด้วยการติดต่อมาที่ Fanpage Carro Thailand ได้เลยครับผม

Toyota-Hilux-Australia

“Unbreakable” กับรุ่นพิเศษของ Hilux สำหรับตลาดออสซี่

Toyota Australia เผยโฉมรุ่นพิเศษของรถกระบะ Hilux ที่นำเข้ามาจากไทย และเตรียมขายในประเทศออสเตรเลียอย่างเป็นทางการ ใส่ชุดแต่งแบบลุยๆ ดูดุดัน พร้อมรับทุกศึกทุกสถานการณ์

ทราบหรือไม่ว่า ในปี 2017 Toyota Hilux ครองแชมป์ยอดขายรถกระบะมากที่สุดในออสเตรเลีย มากถึง 47,093 คัน จากทั้งหมด 216,566 คันที่ Toyota ขายได้ในออสเตรเลีย พร้อมครองแชมป์ยอดขายรวมสูงสุด เป็นปีที่ 15 ติดต่อกัน

Toyota-Hilux-Australia

รุ่นพิเศษของกระบะ Hilux เป็นรุ่น Double Cab แบบ 4X4 ที่ตกแต่งใหม่แบบพิเศษใน 3 รุ่นย่อย ได้แก่ Rogue, Rugged และ Rugged X โดยติดตั้งชุดแต่ง และอุปกรณ์เสริมสไตล์ออฟโรดอย่างครบครัน

เริ่มต้นด้วยรุ่นพิเศษพื้นฐานอย่าง Rogue ที่ตกแต่งให้ดูสูงกว่า Hilux SR5 รุ่น Top สุดที่ขายในออสเตรเลีย มาพร้อมกระจังหน้าแบบ Hexagonal กันชนหน้าใหม่ เพิ่มไฟตัดหมอก ใช้ล้อแม็กขนาด 18 นิ้วเท่ากับ Revo Rocco ที่ขายในไทย

Toyota-Hilux-Australia

ในส่วนของรุ่นกลาง Rugged เพิ่มไฟ Daytime Running Light ที่ชุดไฟหน้า ใช้ชุดกันชนหน้าแบบ Steel Bull Bar ตกแต่งในสไตล์ลุยๆ ด้วยท่อสน็อกเกิ้ล บันไดข้าง สติ๊กเกอร์บนฝากระโปรงสีดำ และสปอร์ตบาร์กระบะหลัง

Toyota-Hilux-Australia

Toyota-Hilux-Australia

Toyota-Hilux-Australia

ในรุ่น Top สุดอย่าง Hilux Rugged X พร้อมลุย มาพร้อมกันชนหน้าสีดำแบบ Winch-compatible Hoopless Steel Bull Bar เสริมแผ่นกันกระแทกเครื่องยนต์ด้านล่าง และสติ๊กเกอร์บนฝากระโปรงสีดำ พร้อมอุปกรณ์พิเศษ อย่างไฟหน้าแบบ LED มีท่อสน็อกเกิ้ล หูลากทั้งด้านหน้า-หลัง บันไดข้าง และสปอร์ตบาร์กระบะหลัง

Toyota-Hilux-Australia

สำหรับ Hilux รุ่นพิเศษนี้ จะเริ่มขายในประเทศออสเตรเลีย ช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2018 ครับ

Toyota-Avalon-2018

รถซีดาน Full-Size เจนเนอเรชั่นที่ 5 จากค่ายโตโยต้า

Toyota (โตโยต้า) เปิดตัว Toyota Avalon 2019 (โตโยต้า อวาลอน) ใหม่ รถซีดาน Full-Size เจนเนอเรชั่นที่ 5 ในงาน Detroit Auto Show 2018 โดยมาพร้อมแพลทฟอร์มใหม่ล่าสุด TNGA หรือ Toyota New Global Architecture ที่ใช้ร่วมกันกับในรุ่น Prius หรือ C-HR แต่ว่าใน 2 รุ่นดังกล่าวจะอยู่ในกลุ่ม GA-C ในขณะที่ Avalon จะใช้งานในกลุ่ม GA-K ซึ่งอยู่ในกลุ่มเดียวกับรถหรูอย่าง Lexus ES

Toyota-Avalon

Avalon ใหม่ ใหญ่ขึ้นในทุกมิติ มาพร้อมมิติตัวถังความยาว 4,978 มม. (เพิ่มขึ้น 18 มม.) กว้าง 1,849 มม. (เพิ่มขึ้น14 มม.) ความสูงลดเหลือ 1,435 มม. (ลดลง 25 มม.) ระยะฐานล้อ 2,870 มม. (ยาวขึ้น 50 มม.)

Toyota-Avalon

พร้อมติดตั้งระบบช่วงล่างแบบ Adaptive Variable Suspension (AVS) เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรุ่น Touring ปรับความหนืดของช่วงล่างได้อัตโนมัติ ผ่าน G-Sensors 4 จุดรอบคัน

Toyota-Avalon

Toyota-Avalon

ห้องโดยสารภายในตกแต่งใหม่ทั้งหมด โดดเด่นด้วยชุดแผงควบคุมขนาดยักษ์บริเวณคอนโซลกลาง ระบบอินโฟเทนเมนท์ Entune 3.0 พร้อมระบบ Head-up Display ขนาด 10 นิ้ว ใหญ่สุดในรถระดับเดียวกัน

Toyota-Avalon

ควบคู่ไปกับเครื่องเสียงชุดใหญ่จาก JBL มากถึง 14 จุด มีจุดชาร์จสมาทโฟนแบบไร้สายมาตรฐาน Qi ระบบ Amazon Alexa จากค่าย Amazon และสามารถควบคุมการทำงานบางส่วนของผ่าน Application บนสมาร์ทวอช ได้ด้วย

Toyota-Avalon

เครื่องยนต์ของ Avalon มีให้เลือก 2 แบบ ได้แก่ แบบเบนซินขนาด 3.5 ลิตร แบบ V6 ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด และรุ่นไฮบริด ใช้เครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.5 ลิตร คู่มอเตอร์ไฟฟ้า ส่งกำลังด้วยเกียร์ CVT ส่วนรุ่น Top อย่าง Touring ระบบส่งกำลังจะมีโหมด Sport+ เพิ่มขับเคลื่อนความมันส์ได้มากขึ้น

Toyota-Avalon

ระบบความปลอดภัยถูกติดตั้ง Toyota Safety Sense P เป็นอุปกรณ์มาตรฐานทุกรุ่นย่อย ประกอบด้วย ระบบป้องกันการชนด้านหน้า, ระบบควบคุมความเร็วแปรผันอัตโนมัติ, ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลนโดยไม่ตั้งใจ, ระบบป้องกันรถออกนอกเลน, ระบบไฟสูงอัตโนมัติ, ระบบเตือนมุมอับสายตา และระบบเตือนรถเคลื่อนผ่านขณะถอยหลัง นอกจากนั้น ยังถูกติดตั้งกล้องมองภาพขณะถอยหลังและถุงลมนิรภัย 10 จุดทุกรุ่นย่อย ขณะที่รุ่นบนจะถูกติดตั้งกล้องมองภาพรอบคันมาให้ด้วย

Toyota-Avalon

Toyota จะเริ่มจำหน่าย Avalon ใหม่ ในอเมริกาเหนือช่วงปี 2018 นี้

Isuzu-D-Max-X-Series-2018

ในโอกาสก้าวสู่ปี 2561 นี้ อีซูซุ แนะนำยนตรกรรมใหม่ เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับลูกค้าชาวไทย

Isuzu-D-Max-Hi-Lander-4-DR-Front

“ใหม่! อีซูซุ เอ็กซ์-ซีรี่ส์ 1.9 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์” แรงขีดสุด…เต็มสปีดพันธุ์เอ็กซ์ ไลฟ์สไตล์ปิกอัพเพื่อคนสายพันธุ์สปอร์ต ปรับโฉมใหม่เพิ่มเอกลักษณ์ให้โดดเด่นยิ่งขึ้น ทั้งภายนอกและภายใน มีให้เลือก 2 รุ่น ได้แก่ รุ่น Speed สปอร์ตเข้าถึงจิตวิญญาณชาวเรซซิ่ง

และครั้งแรกกับทางเลือก ใหม่! Speed Cab4 ปิกอัพสปอร์ต 4 ประตูของคนพันธุ์เท่ พร้อมด้วยรุ่น Hi-Lander สปอร์ตพรีเมี่ยม เท่ หรูหรามีสไตล์ดุจรถยนต์นั่ง ราคาจำหน่าย 742,000 – 966,000 บาท

“ใหม่! อีซูซุ เอ็กซ์-ซีรี่ส์ 1.9 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์” เริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ ศกนี้ ณ โชว์รูมอีซูซุทั่วประเทศ

Isuzu-X-Series-2018

“ใหม่! อีซูซุ เอ็กซ์-ซีรี่ส์ 1.9 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์” แรงสุดขีด…เต็มสปีดพันธุ์เอ็กซ์”

ไลฟ์สไตล์ปิกอัพ เพื่อคนสายพันธุ์สปอร์ต เพื่อการขับขี่แบบเรซซิ่งพันธุ์แท้ ภายนอกโดดเด่น สะกดทุกสายตา และดีไซน์ภายในสีดำ-แดง ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

– อีซูซุ เอ็กซ์-ซีรี่ส์ รุ่น Speed ตอบรับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ สู่อีกระดับของขุมพลังสปอร์ตที่ไร้ขีดจำกัด

Isuzu-D-Max-Speed-2-DR-Front

– ชุดแต่งดีไซน์ใหม่! ที่มาพร้อมกระจังหน้า ชุดแต่งสเกิร์ตรอบคัน และสติกเกอร์คาดหน้า-หลัง พร้อมสัญลักษณ์ X ดึงดุดทุกสายตาด้วยเส้น Red Line สีแดงสุดสปอร์ต ดีไซน์ต่อเนื่องรับกับไฟหน้าและเส้นสปีดสีแดงยาวรอบคัน พร้อมสัญลักษณ์ Isuzu สีแดง

– ใหม่! ไฟหน้าแบบ Bi-LED ปรับความสูงต่ำได้ 4 ระดับ พร้อม Multifunctional Daylight แบบ Built-in ดีไซน์ใหม่ เป็นทั้งไฟส่องสว่างเวลากลางวัน และไฟหรี่เวลากลางคืน

Isuzu-D-Max-Speed-2-DR

– ใหม่! เสาข้างประตูสีดํา Blackout Film ในรุ่น Speed Cab4

– ใหม่! ล้ออัลลอยดีไซน์ล่าสุด สีเทาดำ ขนาด 16 นิ้ว

Isuzu-D-Max-Int-Speed-2-DR

– ใหม่! เบาะนั่งสีดำแดง โอบกระชับ ดีไซน์สปอร์ต ลวดลาย Honeycomb พร้อมสัญลักษณ์ X ที่เบาะคู่หน้า

– ดีไซน์ห้องโดยสารใหม่! ด้วยชุดตกแต่งสีดำ Piano Black Style และผิวสัมผัส Soft Touch เดินด้ายสีแดงสุดสปอร์ต ลงตัวกับชุดโครเมี่ยมประดับช่องแอร์และที่เปิดประตูด้านใน พร้อมสัญลักษณ์ X-Series บนแถบสีแดงสุดเท่ที่คอนโซลหน้า และชุดตกแต่งแผงข้างประตูสีแดงลวดลาย Honeycomb สุดสปอร์ต

Isuzu-D-Max-Int-Speed-2-DR-คอนโซล

ชัดเจนด้วยหน้าปัด Super Vision ดีไซน์แบบ 3D Shape Point พร้อมหน้าจอ Color Display MID เทคโนโลยีล่าสุด และฟังก์ชั่นครบครัน พวงมาลัย Multifunction ดีไซน์หุ้มหนังเดินด้ายแดง พร้อมสัญลักษณ์ Isuzu สีแดง ควบคุมเครื่องเสียงและสั่งการจากบนพวงมาลัย ช่อง USB ชาร์จไฟ 2 จุด หน้า-หลัง ในรุ่น Speed Cab4 และ 1 จุดในรุ่น Speed ระบบ Bluetooth เชื่อมต่อระบบโทรศัพท์ พร้อมฟังก์ชั่น Bluetooth Audio กระหึ่มไปกับ Isuzu Surround Sound System ให้มิติเสียงสมจริงกระหึ่มรอบทิศทาง สูงสุดถึง 6 ลําโพง เติมมิติเสียงให้เต็มอารมณ์สปอร์ตยิ่งขึ้น

Isuzu-D-Max-Hi-Lander-2-DR--Front

– อีซูซุ เอ็กซ์-ซีรี่ส์ รุ่น Hi-Lander เติมไลฟ์สไตล์สปอร์ตให้เต็มพลัง ด้วยความหรูหรา เท่แบบมีสไตล์

– ชุดแต่งดีไซน์ใหม่! ที่มาพร้อมกระจังหน้าสุดสปอร์ต ออกแบบลงตัวรับกับสเกิร์ตหน้าดีไซน์เท่ ด้วยกันชนหน้าสีเทาดำ Front Bumper Garnish ที่ตัดรับกับเส้น Red Line สีแดงสุดสปอร์ต ดีไซน์ยาวต่อเนื่องรับกับไฟหน้าอย่างลงตัว มาพร้อมสติกเกอร์ดีไซน์เท่คาดหน้า-หลัง และสัญลักษณ์ Isuzu สีแดง

– ใหม่! ชุดไฟตัดหมอกสีเดียวกับตัวรถ พร้อมกรอบสีเทาดำ

Isuzu-D-Max-Hi-Lander-2-DR

– สปอร์ตบาร์ดีไซน์ใหม่! สีทูโทน

– ใหม่! ไฟหน้าแบบ Bi-LED ปรับความสูงต่ำได้ 4 ระดับ พร้อม Multifunctional Daylight แบบ Built-in ดีไซน์ใหม่ เป็นทั้งไฟส่องสว่างเวลากลางวัน และไฟหรี่เวลากลางคืน

– ใหม่! เสาข้างประตูสีดํา Blackout Film เสริมความพรีเมี่ยมในรุ่น 4 ประตู

– บันไดข้างดีไซน์ใหม่ แบบชิ้นเดียว พร้อมตกแต่งด้วยขอบสีเงิน

– ล้ออัลลอยทูโทนดีไซน์ใหม่! ขนาด 18 นิ้ว ในรุ่น 4 ประตู

Isuzu-D-Max-Int-Hi-Lander-4-DR---คอนโซล

– ใหม่! เบาะนั่งกึ่งหนังแท้ดีไซน์หรู แบบ Double Layer เดินด้ายสีแดงดูสปอร์ตพรีเมี่ยม พร้อมสัญลักษณ์ X-Series ที่เบาะคู่หน้า

– ดีไซน์ห้องโดยสารใหม่! ด้วยชุดตกแต่งสีดำ Piano Black Style และผิวสัมผัสใหม่ Soft Touch เดินด้านสีแดงสุดสปอร์ต หรูหราลงตัวกับชุดโครเมียมประดับช่องแอร์ และที่เปิดประตูด้านใน พร้อมสัญลักษณ์ X-Series ที่คอนโซลหน้า

Isuzu-D-Max-Int-Hi-Lander-4-DR

หน้าปัด Super Vision ดีไซน์แบบ 3D Shape Point พร้อมหน้าจอ Color Display MID ฟังก์ชั่นครบครัน พวงมาลัย Multifunction ดีไซน์หุ้มหนัง เดินด้ายแดง พร้อมสัญลักษณ์ Isuzu สีแดง ควบคุมเครื่องเสียงและสั่งการจากบนพวงมาลัย ในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control ที่สุดของความสะดวกสบายในทุกการเดินทาง Isuzu Media Solution หน้าจอระบบสัมผัสขนาดใหญ่ 7 นิ้ว เชื่อมต่ออุปกรณ์บันเทิงได้หลากหลาย พร้อมระบบบลูทูธ กระหึ่มไปกับ Isuzu Surround Sound System ให้มิติเสียงสมจริงกระหึ่มรอบทิศทาง สูงสุดถึง 8 ลําโพง เติมมิติเสียงให้เต็มอารมณ์สปอร์ตยิ่งขึ้นในรุ่น 4 ประตู

ทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมขุมพลังสปอร์ตสไตล์เอ็กซ์ เครื่องยนต์ 1.9 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ และระบบส่งกำลังสไตล์สปอร์ตโดยทั้งรุ่นเกียร์ออโตเมติก 6 สปีด แบบ Rev Tronic และรุ่นเกียร์ธรรมดา 6 สปีด มาพร้อมโอเวอร์ไดร์ฟ 2 ตำแหน่งที่เกียร์ 5 และ 6

รุ่น Speed และ Speed Cab4 มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ ใหม่! แดงเอทนา ไมก้า (Etna Mica Red) ขาวไซบีเรียน (Siberian White) และ ดำออสเตรเลียนโคล (Australian Coal Black) ส่วนรุ่น Hi-Lander 4 ประตู และ 2 ประตู มีให้เลือก 2 สี ขาวมุกเอเวอเรสต์ (Everest Pearl White) และ ดำออสเตรเลียนโคล (Australian Coal Black)

ราคา

Isuzu D-Max X-Series Speed 1.9 Ddi Blue Power 2 ประตู ราคา 742,000 บาท
Isuzu D-Max X-Series Speed 1.9 Ddi Blue Power Cab 4 ราคา 836,000 บาท

Isuzu D-Max X-Series Hi-Lander 1.9 Ddi Blue Power 2 ประตู รุ่น Z DVD ราคา 835,000 บาท
Isuzu D-Max X-Series Hi-Lander 1.9 Ddi Blue Power 4 ประตู รุ่น Z DVD ราคา 934,000 บาท
Isuzu D-Max X-Series Hi-Lander 1.9 Ddi Blue Power 4 ประตู รุ่น Z DVD A/T ราคา 959,000 บาท

Suzuki-Swift

Suzuki Swift ใหม่ มาพร้อม 4 รุ่นย่อย ในราคา 499,000 – 629,000 บาท

Suzuki-Swift-1

Suzuki เผยโฉม All New Suzuki SWIFT สไตล์เด่นบนเส้นทางที่แตกต่าง WE STANDOUT ด้วย Sport Compact Car มาตรฐานระดับโลก ชูจุดเด่นเทคโนโลยีเครื่องยนต์แบบ DUALJET และแพลตฟอร์มใหม่ HEARTECT พร้อมดีไซน์สปอร์ตคงเอกลักษณ์ DNA ของ SWIFT กับเทคโนโลยีอันทันสมัยช่วยในการขับขี่ และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน เจาะกลุ่มคนหนุ่มสาววัยทำงาน ตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 15,700 คัน

Suzuki-Swift-Design

Suzuki-Swift-Design

Suzuki-Swift-Design

นับตั้งแต่เปิดตัว Swift เป็นครั้งแรกในปี 2004 สามารถสร้างยอดขายได้มากกว่า 5 ล้านคันในทั่วโลก เป็นตัวเลขการันตีได้ว่า Swift เป็นรถที่ประสบความสำเร็จด้านยอดขายของ ซูซูกิ อีกหนึ่งรุ่น โดยทีมงานต่างออกแบบเจ้า Swift ในมากกว่า 50 รูปแบบของการดีไซน์ ตั้งแต่วาดลงบนกระดาษ จนได้แบบที่ถูกใจ ก่อนนำไปปั้นเป็นโมเดล แล้วก็คัดเลือกรูปแบบจนถูกใจอีกรอบ นำไปสู่การทำตัวรถ Mock-Up ใน Scale 1:1 แก้ไขปรับปรุงรูปแบบกันจนสำเร็จ และเดินทางไปสู่ Swift ที่ผลิตจากสายการผลิตออกขายจริง …

Suzuki-Swift-2

Swift เป็นรถรุ่นสำคัญของซูซูกิในระดับโลก แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญของซูซูกิด้านรถยนต์คอมแพคและความทุ่มเทในการสร้างสรรค์รถยนต์ที่มีทั้งดีไซน์สวยทันสมัยและความสนุกในการขับขี่

Suzuki-Swift

สำหรับรุ่นล่าสุดนี้ซึ่งเป็น เจเนอเรชั่นที่ 3 ของ Swift ยังเป็นรถยนต์หนึ่งเดียวที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ RJC Car of the Year 2018 จากการคัดเลือกโดยสถาบันนักวิจัยและผู้สื่อข่าวยานยนต์แห่งญี่ปุ่น หลังจากที่ 2 เจเนอเรชั่น ก่อนได้รับรางวัลนี้มาแล้วในปี 2005 และ 2010 ตามลำดับ

Suzuki-Swift

นายมาซาโอะ โกโบริ หัวหน้าวิศวกร ซูซูกิ มอเตอร์ คอร์ปอเรชัน ประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า “รถรุ่นนี้พัฒนาขึ้นภายใต้ Concept “INNOVATION – Fun & Sporty” โดยออกแบบใหม่ทั้งหมดให้ All New Suzuki SWIFT มีความโดดเด่นทั้งรูปลักษณ์ภายนอกและสมรรถนะในการขับขี่ที่ดีเยี่ยม ในด้านการออกแบบภายนอกยังคงความโดดเด่นด้วยดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์แต่มีกลิ่นอายของรถยุโรปมากยิ่งขึ้น”

Suzuki-Swift

ด้วยมิติของตัวรถซึ่งความสูงอยู่ที่ 1,495 มม. และกว้างขึ้น 40 มม. ทำให้มีความสปอร์ตและดูปราดเปรียวมากขึ้น โดย All New Suzuki SWIFT มีภาพลักษณ์ที่ดูสปอร์ตดุดัน ด้วยเส้นสีแดงตัดกระจังหน้าสีดำ ไฟหน้า LED Projector และไฟหลัง LED ล้ออะลูมิเนียมอัลลอยขนาด 16 นิ้ว

Suzuki-Swift

Suzuki Swift มาพร้อมโครงสร้างใหม่ “Heartect” ที่มีน้ำหนักเบาลง แต่ให้ความแข็งแรงมากขึ้น ช่วยลดน้ำหนัก ภายในเพิ่มเนื้อที่ภายในห้องโดยสาร แผงคอนโซลกลางด้านหน้า เบนเข้าหาคนขับ เพื่อการใช้งานสะดวกยิ่งขึ้น

Suzuki-Swift

มาตรวัดสไตล์สปอร์ต ตกแต่งด้วยลายเส้นสีแดง พร้อมจอแสดงข้อมูลขับขี่แบบ LCD มาพร้อมกับจอสัมผัส Suzuki Smart Connect ขนาด 7 นิ้ว กับฟังก์ชั่นการเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่าน Bluetooth พร้อมโปรแกรมสุดล้ำ Apple CarPlay สำหรับ iOS

Suzuki-Swift

รวมถึงพวงมาลัยที่ออกแบบใหม่เป็นรูปตัว D เพื่อเพิ่มพื้นที่วางเท้าระหว่างเบาะและพวงมาลัย

Suzuki-Swift-Performance

Swift ยังอัดระบบความปลอดภัยอีกเพียบ เช่น โครงสร้างตัวถังแบบ TECT พร้อมระบบกันการสั่นสะเทือน ระบบ TCS ช่วยควบคุมรถขณะขับขี่บนถนนลื่นหรือในทางโค้ง และยังเหมาะกับการขับในเมือง ด้วยระบบ Idling Stop ที่ช่วยลดการสิ้นเปลืองน้ำมันขณะรถหยุดนิ่ง ขับขี่อย่างมั่นใจในทุกเส้นทางด้วยระบบ Hill Hold Control ที่จะช่วยออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน และปลอดภัยมากขึ้นด้วยถุงลมนิรภัย SRS ถึง 6 ตำแหน่ง

Suzuki-Swift

มีมิติตัวรถ ยาว 3,840 มม. กว้าง 1,735 มม. สูง 1,495 มม. และระยะฐานล้อ 2,450 มม.

Suzuki-Swift-Engine

Suzuki Swift ใหม่ มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินใหม่ รหัส K12M ขนาด 1.2 ลิตร 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว VVT ชูจุดเด่นด้วยหัวฉีดคู่ “Dual Jet Engine” เพิ่มประสิทธิภาพในการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ให้แรงม้าสูงสุด 83 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 108 นิวตัน-เมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที ระบบส่งกำลัง มีเฉพาะเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT 6 สปีด

Suzuki-Swift

กลุ่มเป้าหมาย ของ All New Suzuki Swift คือผู้ที่ซื้อรถเพื่อใช้งานเป็นรถคันแรก รายได้ระดับปานกลางขึ้นไป อายุตั้งแต่ 21-39 ปี ซึ่งเป็นวัยทำงานและเริ่มต้นสร้างครอบครัว โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มอายุ 21-29 ปี ซึ่งให้ความสำคัญกับดีไซน์เพื่อสะท้อนถึงภาพลักษณ์ของตนเอง ชอบรถที่ขับสนุก ควบคุมง่าย และกลุ่มที่มีอายุ 30-39 ปี ซึ่งชอบรถที่มีดีไซน์ที่บอกถึงตัวตนและมาพร้อมฟังก์ชันการใช้งานที่คุ้มค่า ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์

Suzuki-Swift

All New Suzuki SWIFT มีให้เลือกทั้งหมด 6 สี ได้แก่ Ablaze Red Pearl, Star Silver Metallic, Mineral Gray Metallic, Super Black Pearl และ 2 สีใหม่ คือ Speedy Blue Metallic และ Pure White Pearl

โดยมีทั้งหมด 4 รุ่นด้วยกัน ได้แก่ GA CVT, GL CVT, GLX CVT และ GLX-Navi CVT

ราคา Suzuki Swift ใหม่

รุ่น 1.2 GA CVT ราคา 499,000 บาท
รุ่น 1.2 GL CVT ราคา 536,000 บาท
รุ่น 1.2 GLX CVT ราคา 609,000 บาท
รุ่น 1.2 GLX-Navi CVT ราคา 629,000 บาท

*สีขาวต้องเพิ่มเงินอีก 5,000 บาท

Suzuki-Swift-Price

Toyota-C-HR-Price

Toyota C-HR ใหม่ ราคา 979,000 – 1,159,000 บาท ยอดจองกว่า 3 พันคันแล้ว!

Toyota-C-HR

บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยราคาจำหน่ายของซับคอมแพคเอสยูวีรุ่นใหม่ Toyota C-HR (Coupe High Rider) โดยมีผลเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 12 มกราคม ศกนี้

นับตั้งแต่ Toyota C-HR ได้แนะนำสู่สาธารณชนในช่วงงาน Motor Expo 2017 ที่ผ่านมา ซึ่งมาพร้อมกับดีไซน์ที่ไร้ขีดจำกัด และเครื่องยนต์ให้เลือก 2 แบบ ทั้งเครื่องยนต์เบนซิน และ ไฮบริด

Toyota-C-HR

Toyota C-HR ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจนทำให้มียอดลงทะเบียนจองสิทธิ์ล่วงหน้ากว่า 3,000 คัน เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 2,000 คัน* บัดนี้โตโยต้า พร้อมประกาศราคาจำหน่ายรถรุ่นดังกล่าว โดยมั่นใจว่าราคาที่นำเสนอนั้นเป็นราคาที่คุ้มค่า และทุกท่านสามารถจับจองเป็นเจ้าของได้ นอกจากนั้นเรายังพร้อมมอบข้อเสนอสุดพิเศษเพื่อเป็นการตอบแทนลูกค้า ดังนี้

– Custom Name Plate สำหรับลูกค้าที่ทำการจองรถตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561
– ขยายเวลารับประกันคุณภาพรถใหม่เป็น 5 ปี หรือ 150,000 กม.
– พิเศษสำหรับรุ่นไฮบริด รับประกันแบตเตอรี่ไฮบริด 10 ปี โดยไม่จำกัดระยะทาง

Toyota-C-HR

โดย Toyota C-HR มีเป้าหมายการขายในปี 2561 อยู่ที่ 2,000 คัน/เดือน สำหรับลูกค้าที่ลงทะเบียน จองสิทธิ์ล่วงหน้าตั้งแต่งาน Motor Expo 2017 ทางบริษัทฯ จะเริ่มส่งมอบรถให้แก่ลูกค้า ตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคมเป็นต้นไป”
*(ข้อมูลยอดลงทะเบียนจองสิทธิ์เป็นเจ้าของล่วงหน้า Toyota C-HR ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2560 – วันที่ 12 มกราคม 2561)

Toyota-C-HR

Toyota C-HR มาพร้อมแนวคิด “Live Alive…ออกไปใช้ชีวิต” ด้วยดีไซน์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรูปทรงของเพชร อีกทั้งการออกแบบที่แสดงให้เห็นถึงความแม่นยำ สะท้อนถึงรูปแบบพื้นผิวของอัญมณีที่มีความประณีตในการเจียระไน นอกจากนี้ยังเพียบพร้อมไปด้วย 4 เทคโนโลยีใหม่ อันได้แก่

– New Generation of Hybrid ระบบไฮบริดเจเนอเรชั่นใหม่ พัฒนาให้แบตเตอรี่มีขนาดเล็กลง แต่เก็บประจุไฟฟ้าได้มากขึ้น ทนทานและประหยัดน้ำมันได้มากขึ้น โดยประหยัดน้ำมันสูงถึง 24.4 กม./ลิตร ด้วยการย้ายตำแหน่งของแบตเตอรี่ ทำให้สามารถระบายความร้อนได้ดีขึ้น

– โครงสร้าง TNGA (Toyota Global New Architecture) ถูกพัฒนาขึ้นโดยการออกแบบโครงสร้างตัวถังใหม่ให้แข็งแกร่ง (Body rigidity) และมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำลง (Low center of gravity) ลดการโคลงตัวของตัวถัง เข้าโค้งได้อย่างมั่นใจ โดดเด่นเรื่องประสิทธิภาพการเกาะถนน (Stablility) คล่องตัวในทุกจังหวะการขับขี่ (Agility) รวมถึงการออกแบบห้องโดยสาร เพิ่มทัศนวิสัยของผู้ขับขี่ให้กว้างขึ้นโดยลดจุดอับสายตา (Visibility) นอกจากนี้ Toyota C-HR มาพร้อมกับช่วงล่างด้านหลังแบบอิสระปีกนกคู่ (Double Wishbone Suspension) ที่นอกจากเพิ่มประสิทธิภาพในการเกาะถนนแล้วยังเพิ่มความนุ่มนวลในการขับขี่อีกด้วย

Toyota-C-HR

– Toyota Safety Sense ระบบความปลอดภัยใหม่ของรถโตโยต้ามาตรฐานระดับโลกรวมเอาระบบความปลอดภัยขั้นสูงไว้ด้วยกัน อาทิ ระบบความปลอดภัยก่อนการชน (Pre-Collision System) ระบบควบคุมและปรับความเร็วอัตโนมัติ (Dynamic Radar Cruise Control) ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Automatic High Beams) ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลนพร้อมพวงมาลัยหน่วงอัตโนมัติ (Lane Departure Alert with Steering Assist)

Toyota T-Connect Telematics ระบบที่เชื่อมต่อผู้ขับขี่และรถยนต์ ผ่าน Smart phone และ Apple watch พร้อมทั้งเครือข่ายศูนย์ข้อมูลอัจฉริยะ เพื่อรับข้อมูลและความช่วยเหลือตลอดการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็น ระบบนำทาง T-Connect Telematics บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชม. ระบบตรวจสอบตำแหน่งรถยนต์และช่วยค้นหาพิกัดในกรณีที่รถถูกโจรกรรม สัญญาณ Wi-Fi ในรถยนต์ และการลดเบี้ยประกันด้วยโปรแกรม Pay As You Drive insurance เป็นต้น

Toyota-C-HR-Price

เลือกเป็นเจ้าของ Toyota C-HR 4 รุ่น 6 สี สำหรับเครื่องยนต์ไฮบริด
(Premium Red/Black Roof, Blue Metallic/Black Roof, Radiant Green Metallic/Black Roof, White Pearl Crystal, Metal Stream Metallic, Attitude Black Mica)
และ 3 สี สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน
(White Pearl Crystal, Metal Stream Metallic, Attitude Black Mica)

รุ่น 1.8 Entry ราคา 979,000 บาท**
รุ่น 1.8 Mid ราคา 1,039,000 บาท**
รุ่น HV Mid ราคา 1,069,000 บาท**
รุ่น HV Hi ราคา 1,159,000 บาท**

Toyota-C-HR

(สำหรับสีพิเศษได้แก่ Premium Red, Blue Metallic และ Radiant Green Metallic พร้อมหลังคาสีดำเพิ่ม 10,000 บาท สี White Pearl Crystal เพิ่ม 10,000 บาท)
**ราคาดังกล่าวเป็นราคารถยนต์พร้อมอุปกรณ์มาตรฐานที่ผลิตจากโรงงาน รวมราคาเครื่องปรับอากาศและภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว

Live-Alive-VibeSpace

พร้อมเปิดประสบการณ์ไปกับโตโยต้า “Live Alive Vibe Space”
พบกับยนตรกรรมใหม่ Toyota C-HR และ 4 เทคโนโลยีใหม่ที่จะทำให้ชีวิตของคุณไปได้ไกลกว่า ซึ่งจะยกขบวนไปพบกับลูกค้าโตโยต้าทั่วประเทศ

4-8 มกราคม 2561 เซ็นทรัลลาดพร้าว
19-23 มกราคม 2561 เซ็นทรัล โคราช
7-11 กุมภาพันธ์ 2561 เซ็นทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่
15-19 กุมภาพันธ์ 2561 เซ็นทรัล ภูเก็ต
23-27 กุมภาพันธ์ 2561 เซ็นทรัล ชลบุรี
7-11 มีนาคม 2561 เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพมหานคร

ข้อมูลผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมศึกษาได้ที่ http://www.toyota.co.th/model/c-hr/specification

Toyota-C-HR

สำหรับผู้ที่สนใจมองหาและซื้อ Toyota C-HR ใหม่ แต่ยังไม่รู้ว่า จะขายรถคันเดิมที่ไหนดี ให้ Carro เป็นผู้ช่วยมืออาชีพของคุณ “ซื้อ ขาย รีไฟแนนซ์ รถยนต์อย่างมืออาชีพกับ Carro Thailand” หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มได้ใน Fanpage “Carro Thailand” ครับผม

Cover-New-Car-2018-In-Thailand

รถใหม่หลากหลายรุ่น ทยอยเปิดตัวกันในทุกเดือน ของปี 2561

สวัสดีปีใหม่ 2561 ปีจอ กับรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่ทยอยเปิดตัวในปีนี้อย่างคับคั่ง เตรียมพร้อมให้ผู้บริโภค ผู้สนใจ ได้เลือกจับจองเป็นเจ้าของรถยนต์ใหม่ๆ กัน ส่วนรถคันเดิมของคุณ ที่ต้องการขายแล้ว แต่ไม่รู้จะขายได้ที่ไหน ก็ติดต่อมาที่ Carro Thailand ได้เลยครับ …

Carro คาดการณ์รถใหม่ที่เตรียมเปิดตัวในปี 2561 จะมียี่ห้อใด รุ่นใดบ้าง ติดตามได้ที่นี่ครับ.

Toyota C-HR – มาแน่

Toyota-C-HR

Toyota C-HR (โตโยต้า ซี-เอชอาร์) นี่ถือว่ามาขายในบ้านเราอย่างแน่นอนแล้ว เพียงแต่ว่ารอเวลาในการเปิดตัวในเดือนมีนาคม 2561 ครับ โดยมาพร้อมกับโครงสร้างแบบ TNGA (Toyota New Global Architecture) ออกแบบและพัฒนาเพื่อสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม และสมบูรณ์แบบทุกการขับเคลื่อนในทุกสภาพถนน พร้อมเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.8 ลิตร และเครื่องยนต์ไฮบริดขนาด 1.8 ลิตร ที่ให้การประหยัดน้ำมันสูงสุดถึง 24.4 กม./ลิตร ซึ่งนับว่าสูงที่สุดเมื่อเทียบกับรถยนต์ระดับเดียวกัน พร้อมรับประกันแบตเตอรี่ไฮบริด 10 ปี และระบบไฮบริด 5 ปี

โดยในรุ่น 1.8 Entry ราคาเริ่มต้นไม่เกิน 1 ล้านบาท ส่วนในรุ่น 1.8 MID และ Hybrid MID ราคา 1,050,000 บาท (+,- ไม่เกิน 20,000 บาท) และในรุ่น Hybrid Hi ราคาไม่เกิน 1.2 ล้านบาท

Toyota Camry

Toyota-Camry

แม้ว่ารถยนต์ 4 ประตู ขนาดกลางในตลาดโลก กำลังเข้าสู่ขาลงด้วยยอดขายที่ร่วงลงไปมาก แต่ Toyota ก็คงเตรียมแผนการเปิดตัว Toyota Camry (โตโยต้า คัมรี่) ในไทย ทั้งในรุ่นเครื่องยนนต์เบนซินธรรมดา และรุ่น Hybrid ช่วงประมาณกลางปี หรือปลายปี 2561 นี้ครับ

ส่วนเครื่องยนต์ คาดว่าจะใช้เครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 2.5 ลิตร แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว VVT-ie พ่วงด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด

Nissan Terra

Nissan-Terra

Nissan เตรียมเปิดตัวรถ SUV 7 ที่นั่ง หลังจากที่มีภาพหลุดว่อนในเน็ตมานาน โดย Nissan Terra (นิสสัน เทอร่า) จะใช้พื้นฐานร่วมกับ Nissan Navara ซึ่งในจีนเตรียมเปิดตัวในกลางปีนี้ และในไทย ก็มีโอกาสได้ผลิตจำหน่ายในปีนี้ด้วย

ด้านขุมพลังนั้น ในเวอร์ชั่นจีนเป็นเครื่องยนต์เบนซิน รหัส QR25 ขนาด 2.5 ลิตร ให้แรงม้าสูงสุด 184 แรงม้า (ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ตัวเดียวกับใน Navara เวอร์ชั่นจีน) มีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 6 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด ขับเคลื่อน 2 และ 4 ล้อ ส่วนในเวอร์ชั่นไทย คาดว่าเป็นเครื่องยนต์ตัวเดียวกับใน Navara ครับ

Suzuki Swift – มาแน่

Suzuki-Swift

Suzuki Swift ใหม่ แม้ว่าจะเปิดตัวในญี่ปุ่นตั้งแต่ปลายปี 2559 แล้ว แต่ในปีนี้ ชาวไทยได้ซื้อหามาใช้แน่นอน เก็บเงินซื้อกันได้เลย (หลังจากที่เห็นรถ Spy-Shot รุ่นนี้ พรางตัวเก็บข้อมูลในไทยนานแล้ว) สำหรับ Suzuki Swift (ซูซูกิ สวิฟท์) เจนเนอเรชั่นที่ 3 พัฒนาโครงสร้างตัวถังภายใต้ Platform “Heartect” น้ำหนักเบา โครงสร้างตัวถังแข็งแรงมากขึ้น มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 1.2 ลิตร 4 สูบ Dualjet 91 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT

ส่วนในรุ่นเครื่องยนต์ Hybrid และรุ่น Sport ในไทยไม่มาแน่นอนเหมือนเดิมครับ สุดท้ายก็ต้องรอดูกันว่า ซูซูกิ จะตัดสินใจเปิดตัว Swift รุ่นใหม่นี้ตอนไหน อาจจะเป็นช่วงต้นปีนี้ก็เป็นไปได้ครับ

Ford Ranger Raptor – มาแน่

Ford-Ranger-Raptor

Ford Ranger Raptor (ฟอร์ด เรนเจอร์ แรพเตอร์) เตรียมเปิดตัวและจำหน่ายในประเทศไทยอย่างแน่นอน ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ นี้

โดย Ford Ranger Raptor จะมาแทน Ranger Wildtrak ที่ขายอยู่ในปัจจุบัน ขุมพลังอาจเลือกใช้เครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.0 ลิตร Ecoblue แบบ 4 สูบ VG Turbo หรืออาจใช้เครื่องดีเซลขนาด 2.2 ลิตร และ 3.2 ลิตร ที่อยู่ใน Ranger รุ่นปัจจุบัน

Mitsubishi Eclipse Cross

Mitsubishi-Eclipse-Cross

หลังจากที่ Mitsubishi ได้ถูกควบรวมกับ Nissan ก็ดูเหมือนสถานการณ์ของบริษัทจะดีขึ้นมาก โดยเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ในหลายประเทศ รวมถึงในไทย ซึ่งทาง Mitsubishi จะส่ง Mitsubishi Eclipse Cross (มิตซูบิชิ อีคลิปส์ ครอส) รถ SUV Crossover รุ่นใหม่ล่าสุด ที่เผยโฉมในงาน Geneva Motor Show เมื่อปีที่ผ่านมา เตรียมตัวเปิดตัวในไทยภายในปีนี้

Mitsubishi Xpander

Mitsubishi-Xpander

มิตซูบิชิ เปิดตัวยนตรกรรมชั้นนำระดับโลก Mitsubishi Xpander (มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์) รถ Crossover MPV ที่ อินโดนีเซีย เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา มีให้เลือกทั้งหมด 6 รุ่นย่อย ได้แก่ GLX MT, GLS MT, Exceed MT, Exceed AT, Sport AT และ Ultimate AT ซึ่งคาดว่าในปีนี้ ได้พบกับตัวจริงที่ไทยอย่างแน่นอน อาจจะเป็นในช่วงต้นปี หรือกลางปีนี้

Mitsubishi Xpander ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร MIVEC ให้กำลังสูงสุด 105 แรงม้า (PS) ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด มีให้เลือกเฉพาะระบบขับเคลื่อนล้อหน้าเท่านั้น

Nissan Note e-Power

Nissan-Note-e-Power

Nissan Note e-Power (นิสสัน โน๊ต อี-เพาเวอร์) รถ Hatchback ขุมพลังไฮบริด ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ใช้เครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 1.2 ลิตร ให้แรงม้าสูงสุด 109 แรงม้า ที่ 3008-10,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 25.9 กก.-ม. ที่ 0-3,008 รอบ/นาที คู่กับชุดแบตเตอรี่ที่ติดตั้งบริเวณใต้เบาะคู่หน้า ส่งกำลังผ่านมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนล้อคู่หน้า ประหยัดน้ำมันสูงสุด (ตามมาตรฐาน JC08) ที่ 34 กม./ลิตร

ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงยอดเยี่ยม สมรรถนะโดยรวมดีกว่ารถเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร โดยได้รับการตอบรับที่ดีมาก ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งในบ้านเรา ทางนิสสันเคยแจ้งว่า จะนำเข้ามาขายในปีนี้ หากทางภาครัฐอนุมัติแผนเพื่อรับอัตราภาษีใหม่ สำหรับ รถยนต์ไฟฟ้า EV / Hybrid

Nissan Leaf

Nissan-Leaf

“Nissan Leaf” (นิสสัน ลีฟ) รุ่นใหม่ล่าสุดจากญี่ปุ่น เพิ่งเปิดตัวและนำมาโชว์ในงาน Motor Expo 2017 ที่ผ่านมา ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า “100%” มีอัตราการปล่อยมลพิษเป็น “0” พร้อมชูจุดเด่นอย่าง “นิสสัน อินเทลลิเจนต์ โมบิลิตี้ (Nissan Intelligent Mobility)” มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าชุดใหม่ แบบ EM57 ที่ให้แรงม้าสูงสุด 150 แรงม้า (PS) (110 กิโลวัตต์) (แรงม้าเพิ่มขึ้น 38% จากรุ่นแรก) ที่ 3,283-9,795 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 32.6 กก.-ม. (320 นิวตันเมตร) ที่ 0-3,283 รอบ/นาที

เพียงชาร์จ 1 ครั้ง สามารถเดินทางได้ระยะทางมากถึง 400 กิโลเมตร! (ตามการทดสอบตามโหมด JC08 ของประเทศญี่ปุ่น) ซึ่งทางนิสสันเคยแจ้งว่า จะนำเข้ามาขายในปีนี้ หากทางภาครัฐอนุมัติแผนเพื่อรับอัตราภาษีใหม่ สำหรับ รถยนต์ไฟฟ้า EV / Hybrid แต่ราคาคงอยู่ที่หลักล้านครับ

Honda Accord

Honda-Accord

Honda Accord (ฮอนด้า แอคคอร์ด) เจนเนอเรชั่นที่ 10 มาพร้อมรูปร่างหน้าตา ที่ฉีกแนวจากเดิมหมด ดีกว่าเดิมทุกด้าน ทั้งระยะฐานล้อ 2,830 มม. (ยาวขึ้น 55 มม.) ความสูง 1,450 มม. (ลดลง 15 มม.) และความกว้างตัวรถ 1,860 มม. (กว้างกว่า 10 มม.) ไฟหน้าแบบ Full LED 9 ดวง ไฟตัดหมอกแบบ LED รวมไปถึงติดตั้งไฟท้าย LED รูปตัว C ภายในเน้นความหรูหรา แฝงอารมณ์สปอร์ต

คาดว่าจะมาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 1.5 ลิตร Turbo 192 แรงม้า หรือเครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 2.0 ลิตร Turbo 252 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด คาดว่าเปิดตัวในไทย ประมาณกลางปีนี้

Hyundai-H-1-Starex

Hyundai H-1 / Grand Starex ปรับโฉมครั้งใหญ่ สวย หรู น่าใช้มากยิ่งขึ้น

Hyundai-H-1

Hyundai H-1 (ฮุนได เอช-วัน) หรือ Grand Starex (แกรนด์ สตาร์เร็กซ์) แม้ว่าโฉมนี้จะผลิตออกมาขายตั้งแต่ปี 2007 แล้ว แต่ก็ยังคงขายได้เรื่อยๆ ในหลายประเทศ ด้วยคุณสมบัติที่มากมาย ราคาที่ไม่แพงนักเมื่อเทียบกับรถประเภทเดียวกันยี่ห้ออื่น แถมคู่แข่งในตลาดก็มีไม่กี่เจ้า อย่างในประเทศไทย Hyundai H-1 ถือว่าสร้างชื่อเสียงให้กับ ฮุนได มาตลอด 10 ปี ที่กลับเข้ามาทำตลาดในไทยอีกครั้ง

Hyundai-H-1

Hyundai Grand Starex เวอร์ชั่นเกาหลี ถึงเวลาไมเนอร์เชนจ์ครั้งที่สอง ด้านหน้าปรับโฉมต่างไปจากเดิมมาก ด้วยไฟหน้าทรงเหลี่ยม กระจังหน้าโครเมียมดีไซน์ใหม่ กันชนหน้าใหม่ ล้อแม็กลายใหม่ โดยในรุ่น Top ใช้ชุดไฟท้ายแบบ LED และล้อแม็กขนาด 17 นิ้ว ให้ความหรูหราสง่างามมากยิ่งขึ้น

Hyundai-H-1

Hyundai-H-1

มิติตัวถังยาว 5,150 มม. กว้าง 1,920 มม. สูง 1,925 มม. ระยะฐานล้อ 3,200 มม.

Hyundai-H-1-Interior

Hyundai-H-1-Interior

ภายในห้องโดยสารเปลี่ยนชุดคอนโซลหน้าใหม่หมด พวงมาลัยแบบ 4 ก้าน หัวเกียร์ออกแบบใหม่ มีระบบ Infotainment ขนาด 8 นิ้ว หน้าจอทัชสกรีน อยู่กึ่งกลางคอนโซล และติดตั้งระบบแอร์ดิจิตอล พร้อมระบบถุงลมนิรภัยคู่หน้า และด้านข้าง

Hyundai-H-1

ขุมพลังเป็นแบบดีเซลขนาด 2.5 ลิตร แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว CRDi ให้แรงม้าสูงสุด 140 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที (ในรุ่นเกียร์ธรรมดา) และ 175 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที (ในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ) แรงบิดสูงสุด 36.0 กก.-ม. ที่ 1,500-2,500 รอบ/นาที (ในรุ่นเกียร์ธรรมดา) และ 46.0 กก.-ม. ที่ 2,000-2,250 รอบ/นาที (ในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ)

อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงโดยเฉลี่ย 9.4 กม./ลิตร (ในรุ่น 2WD) และ 8.9 กม./ลิตร (ในรุ่น 4WD)

ในตลาดเกาหลีใต้สามารถเลือกห้องโดยสารภายในได้ถึง 5 แบบ เช่น 3 ที่นั่ง, 5 ที่นั่ง, 9 ที่นั่ง, 11 ที่นั่ง และ 12 ที่นั่ง

Hyundai-H-1

ส่วนในตลาดบ้านเรา คงต้องรอดูในปีหน้านี้ ว่าทางอินโดนีเซีย ผู้ผลิต Hyundai H-1 / Grand Starex ส่งให้กับไทย จะเปิดตัวและพร้อมส่งออกกันเมื่อไหร่ครับ

ส่วนใครที่สนใจ Hyundai H-1 / Grand Starex มือสอง สามารถเข้าไปดูได้ที่ https://th.carro.co/buycar/Hyundai หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มได้ใน Fanpage “CARRO Thailand” ครับผม