2018-Isuzu-D-Max-Minorchange

อีซูซุ ฉลองครบรอบ 60 ปีของการดำเนินธุรกิจในไทย ด้วย “D-Max” Blue Power โฉมใหม่!

2018-Isuzu-D-Max-Blue-Power

อีซูซุ เผยโฉม “Isuzu D-Max 1.9 – 3.0 Ddi Blue Power” (อีซูซุดีแมคซ์ 1.9 และ 3.0 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์) ส่งท้ายปีทองด้วยความยิ่งใหญ่ ฉลองครบรอบ 60 ปี อีซูซุในประเทศไทย สานต่อความแรงของ “ปรากฏการณ์ อีซูซุบลูเพาเวอร์” ให้กระหึ่มต่อเนื่อง พร้อมปรับราคาเพิ่มขึ้น 3,000 – 30,000 บาท

พร้อมจัดงานใหญ่ 60 ปีของอีซูซุที่อยู่เคียงคู่สังคมไทย และเปิดตัวรถปิคอัพรุ่นใหม่ล่าสุด ในวันที่ 9 พฤศจิกายน ศกนี้ และรอบสาธารณชนในวันเสาร์ที่ 11 พฤศจิกายน ศกนี้ ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1 อิมแพค เมืองทองธานี

Isuzu-D-Max-Blue-Power

อีซูซุดีแมคซ์ บลูเพาเวอร์ เป็นรถปิกอัพที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง นับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อปลายปี 2558 ด้วยความโดดเด่นของเครื่องยนต์ดีเซล ซูเปอร์คอมมอนเรล รุ่นล่าสุด ซึ่งพัฒนาภายใต้แนวคิด “The Power of Less” มาใช้ในรถปิกอัพครั้งแรกในโลก อีกทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นรถที่มีการออกแบบที่ล้ำสมัยและลงตัว

2018-Isuzu-D-Max-Blue-Power

ในปี 2560 ซึ่งเป็นวาระครบรอบ 60 ปีของการดำเนินธุรกิจอีซูซุในประเทศไทย อีซูซุพร้อมแล้วที่จะตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดรถปิกอัพเมืองไทยอีกครั้งด้วย “ใหม่! อีซูซุ ดีแมคซ์ 1.9 และ 3.0 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์” ขีดสุดแห่งนวัตกรรมเปลี่ยนโลก ที่พัฒนาให้สมบูรณ์แบบขึ้นในทุกๆ ด้าน ภายใต้แนวคิด Sharp/ Aggressive/ Solid หรูหราและสง่างามยิ่งขึ้น ผสานความสปอร์ตและล้ำสมัย รวมทั้งบรรยากาศใหม่ภายในห้องโดยสารแต่ละรุ่นที่บ่งบอกเอกลักษณ์เฉพาะตัว

2018-Isuzu-D-Max-Blue-Power

ควบคู่กับการติดตั้งนวัตกรรมใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้รถ อาทิ ครั้งแรกในวงการปิกอัพกับไฟหน้าใหม่แบบ Bi-LED พร้อม Multifunctional Daylight อีกทั้งยังปรับระดับสูง-ต่ำของไฟหน้าได้ถึง 4 ระดับ ความบันเทิงเหนือระดับกับ ใหม่! Isuzu iConnect พร้อม Built-in Navigator และใหม่ล่าสุด “อีซูซุอินไซท์” ที่โหลดข้อมูลผ่าน Smartphone ได้ ต่อยอดความสะดวกสบายสูงสุดตามแบบฉบับอีซูซุ

Isuzu-D-Max-Blue-Power

นอกจากนี้ยังได้เพิ่มสมรรถนะการบรรทุกใหม่ให้กับ “Isuzu D-Max Blue Power Spark” (อีซูซุดีแมคซ์ บลูเพาเวอร์ สปาร์ค) โดยมีเกียร์ธรรมดา 6 สปีด พร้อมเกียร์โอเวอร์ไดร์ฟถึง 2 ตำแหน่ง คือ เกียร์ 5 และ 6 ให้เลือกในรุ่นเครื่องยนต์ อีซูซุ 1.9 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ ด้วยอัตราทดใหม่ ทรงพลัง ให้กำลังฉุดลากสูงยิ่งขึ้น ออกตัวดีแม้บรรทุกหนัก

2018-Isuzu-D-Max-Blue-Power

ใหม่! อีซูซุดีแมคซ์ 1.9 และ 3.0 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ แต่ละรุ่นได้รับการเติมเต็มความสมบูรณ์แบบสู่ขีดสุดแห่งนวัตกรรมเปลี่ยนโลก อาทิ

– ใหม่! อีซูซุดีแมคซ์ V-Cross MAX 4×4 สปอร์ตออฟโรด ดีไซน์ภายนอกใหม่! ผสานความแกร่งและสปอร์ตเป็นหนึ่งเดียว ดุดัน บึกบึนเต็มขั้น ด้วยโทนสีเทาดำ ไฟหน้าดีไซน์ใหม่แบบ Bi-LED พร้อม Multifunctional Daylight กระจังหน้าใหม่พร้อม Engine Hood Garnish พร้อมชุดแต่งรอบคัน MAX 4X4 ล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่แบบทูโทน ขนาด 18 นิ้ว ห้องโดยสารบรรยากาศใหม่! เพิ่มความสะดวกสบาย หรูหรา พร้อมสัญลักษณ์ V-Cross ที่เบาะนั่งกึ่งหนังแท้ทูโทนสีน้ำตาลเทาเดินด้ายสีส้ม

2018-Isuzu-D-Max-Blue-Power

– ใหม่! อีซูซุดีแมคซ์ บลูเพาเวอร์ รุ่น Hi-Lander สะดุดตากับกระจังหน้าโครเมี่ยม และชุดไฟหน้าดีไซน์ใหม่แบบ Bi-LED พร้อม Multifunctional Daylight ไฟส่องสว่างเวลากลางวัน พร้อมทำหน้าที่เป็นไฟหรี่เวลากลางคืน ล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ขนาด 18 นิ้ว พร้อมดีไซน์ห้องโดยสารใหม่ กว้างขวาง สะดวกสบาย เบาะนั่งกึ่งหนังแท้สีน้ำตาล

– ใหม่! อีซูซุดีแมคซ์ บลูเพาเวอร์ รุ่น Cab 4 และ Spacecab ปรับลุคใหม่ สปอร์ต ทรงพลัง โฉบเฉี่ยวขั้นสุดในทุกมิติ ตอบรับทุกไลฟ์สไตล์ ไฟหน้าดีไซน์ใหม่แบบ Bi-LED พร้อม Multifunctional Daylight และกระจังหน้าโครเมี่ยมดีไซน์ใหม่ บรรยากาศห้องโดยสารใหม่! โทนสีเทาเข้ม เท่ ลงตัว

2018-Isuzu-D-Max-Blue-Power

นอกจากนี้ยังเพิ่มฟังก์ชั่นล้ำสมัย เติมเต็มความสุนทรีย์ให้ทุกการเดินทางด้วยระบบความบันเทิงสมบูรณ์แบบ ใหม่! ISUZU iConnect พร้อม Built-in Navigator หน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว พร้อม Air Mirroring รองรับการเชื่อมต่อแบบ ไร้สายกับ Smartphone สะดวกสบายเพื่อไลฟ์สไตล์เหนือระดับ และ ใหม่ล่าสุด “อีซูซุอินไซท์” ที่พัฒนาไปอีกขั้นผ่านแอพพลิเคชั่นใหม่ สามารถดาวน์โหลดข้อมูลรายงานการขับขี่อีซูซุอินไซท์ผ่านสมาร์ทโฟน เพื่อประสิทธิภาพในการขับขี่ ทั้งด้านความปลอดภัย และประหยัดน้ำมัน

Isuzu-D-Max-Blue-Power

“ใหม่! อีซูซุดีแมคซ์ 1.9 และ 3.0 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์” มีหลายรุ่นให้เลือกตามความต้องการ โดยมี 8 สีให้เลือก พร้อม 3 สีใหม่ล่าสุด สำหรับราคาปรับเพิ่มขึ้น 3,000 – 30,000 บาท

แต่ถ้าติดเรื่องงบประมาณ แนะนำให้ลองดูรถกระบะ Isuzu D-Max มือสองสภาพดีๆ สักคัน ในราคาที่ถูกกว่ารถป้ายแดง ก็ลองเข้าไปเลือกค้นหาได้ที่ https://th.carro.co/buycar/isuzu-dmax ครับผม!

Honda-StepWGN-Spada

ปรับหน้าตาดูทันสมัย ควบคู่ไปกับเครื่องยนต์พลังไฮบริด

Honda StepWGN / StepWGN Spada (ฮอนด้า สเตปแวกอน / สเตปแวกอน สปาด้า) โฉมปัจจุบันที่วางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่น เปิดตัวครั้งแรกเมื่อเดือนเมษายน 2015 ก็ได้เวลาปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ เพื่อช่วงชิงยอดขายจากคู่แข่งซะที

Honda-StepWGN-Spada

โดย StepWGN Spada โฉมไมเนอร์เชนจ์ที่คุณกำลังเห็นอยู่นี้ ทาง Honda ได้ปรับปรุงหน้าตาให้ดูทันสมัย (หรือดูเหมือนหุ่นยนต์?) และร่วมสมัยกับการออกแบบในฮอนด้ารุ่นอื่นๆ อาทิเช่น ชุดกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ มาพร้อมไฟหน้าแบบ LED รวมไปถึงชุดไฟท้ายแบบ LED และสปอยเลอร์หลังดีไซน์ใหม่ เป็นต้น

Honda-StepWGN-Spada

Honda-StepWGN-Spada

มาพร้อมมิติตัวถังยาว 4,695 มม. (รุ่น Spada 4,760 มม.) กว้าง 1,695 มม. สูง 1,840 มม. และระยะฐานล้อ 2,890 มม.

Honda-StepWGN-Spada

Honda-StepWGN-Spada

ห้องโดยสารภายใน สะดวกสบายด้วยเบาะนั่งผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้ามี Heater ในเบาะ สนุกไปกับระบบ Infotainment แบบหน้าจอสัมผัส คอนโซลกลางติดตั้ง USB จ่ายไฟ 2 จุด ติดตั้งเครื่องเล่น DVD แบบพับเก็บได้ พร้อมหน้าจอขนาด 9 นิ้ว สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง พร้อมระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ Triple Zone และระบบฟอกอากาศ Plasma Cluster เป็นต้น

Honda-StepWGN-Spada

Honda-StepWGN-Spada

Honda StepWGN Spada ไมเนอร์เชนจ์ มาพร้อมระบบความปลอดภัย Honda Sensing ใหม่ ประกอบด้วยระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน – Adaptive Cruise Control (ACC), ระบบเตือนการชนด้านหน้าและตรวจจับคนเดินถนนด้วยกล้องและเรดาร์พร้อมระบบช่วยเบรก- Collision Mitigation Braking System (CMBS), ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ – Lane Keeping Assist System (LKAS) รวมไปถึงระบบแจ้งเตือนและช่วยเหลือเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ – Road Departure Mitigation (RDM) with Lane Departure Warning (LDW) เป็นต้น

Honda-StepWGN-Spada

Honda StepWGN Spada มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร รหัส L15B แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว VTEC Turbo Intercooler ให้แรงม้าสูงสุด 150 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 20.7 กก.-ม. (203 นิวตันเมตร) ที่ 1,600-5,500 รอบ/นาที ประหยัดน้ำมันได้ดีเลยทีเดียว ให้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง (ตามโหมด JC08) ได้มากถึง 17.0 กม./ลิตร ในรุ่น B 2WD ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ CVT

และเครื่องยนต์ไฮบริด ขนาด 2.0 ลิตร รหัส LFA-H4 แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว i-VTEC + i-MMD ให้แรงม้าสูงสุด 145 แรงม้า (PS) ที่ 6,200 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 17.8 กก.-ม. (175 นิวตัน-เมตร) ที่ 4,000 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ให้แรงม้าสูงสุด 184 แรงม้า (PS) ที่ 5,000-6,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 32.1 กก.-ม. (315 นิวตัน-เมตร) ที่ 0-2,000 รอบ/นาที ให้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง (ตามโหมด JC08) ได้มากถึง 25.0 กม./ลิตร และส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ CVT

Honda StepWGN Spada มีสีให้เลือกทั้งหมด 8 สี และ 5 รุ่นย่อย ในราคาเริ่มต้นที่ 2,852,280 เยน ไปจนถึง 3,559,680 เยน

Honda-StepWGN-Spada

ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก www.honda.co.jp

New-YARIS-ยาริส

Toyota Yaris Hatchback ใหม่ มาพร้อม 4 รุ่นย่อย และ 7 สี ในราคาพิเศษ 479,000-619,000 บาท

Toyota-Yaris-2017

ย้อนกลับไปในเดือนมกราคม 2549 เวลานั้น โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ได้แนะนำรถยนต์ Toyota Yaris (โตโยต้า ยาริส) เข้าสู่ตลาดประเทศไทยเป็นครั้งแรก และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีมาโดยตลอด ต่อมาในเดือนตุลาคม 2556 โตโยต้า ได้เปิดตัว Yaris เครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร สามารถสร้างยอดขายสะสมได้มากกว่า 150,000 คัน (ข้อมูลยอดขายสะสมถึงเดือนสิงหาคม 2560)

จนกระทั่งในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โตโยต้าได้เปิดตัว Yaris ATIV ในรูปแบบของรถยนต์ซับคอมแพคซีดาน ที่มาพร้อมกับรูปลักษณ์ดีไซน์ใหม่ตลอดทั้งคัน และถึงคิวของ Toyota Yaris Hatchback ที่ได้เวลาปรับโฉมบ้าง

Toyota เตรียมผลิต Yaris เพื่อส่งออกไปยัง 70 ประเทศทั่วโลก ซึ่งจะเริ่มผลิตรถรุ่นนี้ที่โตโยต้าเกตเวย์ จ.ฉะเชิงเทรา พร้อมเริ่มส่งออกนับตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไป และเป้าหมายการขายในปี 2560 ตั้งไว้ที่ 3,200 คัน/เดือน

Toyota-Yaris-2017

Toyota-Yaris-2017

Toyota-Yaris-2017

รูปทรงภายนอก สปอร์ต ถูกใจวัยรุ่น

ยาริส ใหม่ มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เป็นรถยนต์แฮทช์แบ็คขนาดเล็กที่จะตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ วัยรุ่นที่ชอบความโดดเด่นไม่ซ้ำใคร มีไลฟ์สไตล์ที่สนุกสนาน ภายใต้แนวคิด “New YARIS…YES, THAT’S RIGHT! ที่สุดของความใช่ ในสไตล์คุณ”

Toyota-Yaris-2017 Toyota-Yaris-2017

Toyota-Yaris-2017

Toyota Yaris Hatchback ภายนอกดีไซน์โฉบเฉี่ยวตลอดรอบคัน เน้นความสปอร์ตด้วยไฟหน้าโปรเจคเตอร์ พร้อมไฟ LED Light Guiding ไฟส่องสว่างเวลากลางวัน Daytime Running Light แบบ LED และไฟตัดหมอกหน้า
ไฟท้ายแบบ LED Light Guiding สะท้อนถึงความหรูหรา ทันสมัยอย่างลงตัว

ภายนอกและภายในดีไซน์โดดเด่น…Yes That’s Cool!

Toyota-Yaris-2017-Interior

Toyota-Yaris-Optitron-Meter

Toyota-Yaris-Air-Radio

ห้องโดยสารภายใน ดูดี หรูหรา ทันสมัย 

ห้องโดยสารดีไซน์ล้ำสมัย เน้นความกว้างขวาง สะดวกสบาย พร้อมพื้นที่เก็บสัมภาระและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน

Toyota-Yaris-2017-Utility

Trunk-Space

อเนกประสงค์ทุกการใช้สอย

อีกทั้งยังเงียบและนุ่มนวลเหนือระดับรถยนต์ซับคอมแพคแฮทช์แบ็ค ด้วยการเพิ่มวัสดุซับเสียงรบกวนรอบคัน

Toyota-Yaris-Safety

สมรรถนะ ขับสนุกควบคุมได้ดั่งใจ…Yes That’s Fun!

Toyota-Yaris-Dual-VVT-i-Engine

เครื่องยนต์ DUAL VVT-i ขนาด 1.2 ลิตร ผสานกับระบบเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i ให้การตอบสนองต่อการขับขี่ที่ดีมากขึ้น ช่วยเพิ่มสุนทรียภาพในการขับขี่ อีกทั้งยังช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้อย่างยอดเยี่ยม

ระบบความปลอดภัยสูงสุดเป็นมาตรฐานในทุกรุ่น…Yes That’s Safe!

Toyota-Yaris-7Airbags

มั่นใจด้วยมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดที่ครบครัน หนึ่งเดียวในรถยนต์แฮทช์แบ็คขนาดเล็ก ที่มีถุงลมนิรภัยระบบ SRS 7 ตำแหน่ง และอื่นๆ อาทิ ระบบสัญญาณเตือนสิ่งกีดขวางขณะถอยหลัง (ในรุ่น G และ E), ระบบไฟส่องสว่างหลังจากดับเครื่องยนต์(Follow-Me-Home) (เฉพาะรุ่น G), ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC (Hill Start Assist Control), ระบบควบคุมการทรงตัว VSC (Vehicle Stability Control) และ ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC (Traction Control) เป็นต้น

โตโยต้า จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการให้กับลูกค้าและผู้ที่สนใจ ได้สัมผัส ยาริส ใหม่ ที่โชว์รูมโตโยต้าทั่วประเทศในวันที่ 22-24 กันยายน 2560 พร้อมร่วมสนุกกับกิจกรรมพิเศษ

สำหรับข้อเสนอพิเศษ ทาง Toyota มีโปรแกรม Convini-EXT ทางเลือกใหม่จากแพ็กเกจที่คุ้มค่าด้วยการรวมสิทธิประโยชน์ 3 รายการ ด้วยรูปแบบเงินดาวน์และดอกเบี้ยต่ำ พร้อมประกันภัย และการขยายการรับประกันคุณภาพ

Toyota-Yaris-J-Eco-Grade Toyota-Yaris-J-Eco-Grade-Interior– รุ่น J ECO เกียร์อัตโนมัติ ราคา 479,000 บาท*

Toyota-Yaris-J-Grade Toyota-Yaris-J-Grade-Interior– รุ่น J เกียร์ CVT ราคา 529,000 บาท*

Toyota-Yaris-E-Grade Toyota-Yaris-E-Grade-Interior– รุ่น E เกียร์ CVT ราคา 559,000 บาท*

Toyota-Yaris-G-Grade Toyota-Yaris-G-Grade-Interior– รุ่น G เกียร์ CVT ราคา 609,000 บาท*

Follow-Me-Home

*ราคาดังกล่าว เป็นราคารถยนต์พร้อมอุปกรณ์มาตรฐานที่ผลิตจากโรงงาน เป็นราคาพิเศษในช่วงแนะนำ สำหรับลูกค้าที่จองและออกรถตั้งแต่วันนี้ – 31 ตุลาคม 2560

Toyota-Yaris-Orange-Metallic

พร้อมเลือกเป็นเจ้าของ ยาริส ใหม่ 7 สี

(Citrus Mica Metallic / Orange Metallic / Red Mica Metallic / Super White / Silver Metallic / Gray Metallic / Attitude Black Mica)

Nissan-Leaf

Nissan Leaf ใหม่ เจเนอเรชั่นที่ 2 ประหยัดขึ้นกว่าเดิม

             Nissan เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ Nissan Leaf (นิสสัน ลีฟ) เจเนอเรชั่นที่ 2 “Simply Amazing” ครั้งแรกในโลกที่ญี่ปุ่น พร้อมเริ่มขายที่ญี่ปุ่นในวันที่ 2 ตุลาคมนี้ ก่อนส่งออกไปจำหน่ายทั่วโลกเช่นเคย

สำหรับ นิสสัน ถือเป็นผู้บุกเบิกในยานยนต์ไฟฟ้า ด้วยการเปิดตัว นิสสัน ลีฟ ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าคันแรกของโลก และเริ่มจำหน่ายในญี่ปุ่นตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2010 ปัจจุบันมียอดขายที่มากกว่า 280,000 คัน ถือว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่มียอดขายมากที่สุดในโลก ในยุคที่รถยนต์ไฟฟ้า กำลังจะมาแทนที่รถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง!

Nissan-Leaf

Nissan Leaf ใหม่

Nissan-Leaf

Nissan-Leaf

รูปทรงภายนอก เน้นความสปอร์ต ลู่ลมขึ้น

นิสสัน ลีฟ ใหม่ ถูกออกแบบด้วยรูปโฉมสปอร์ต ตัวรถพัฒนาด้วย Concept “Advance Expression” มาพร้อมไฟหน้าแบบ LED ทรงบูมเมอแรง, กระจังหน้า V-Motion แบบ 3 มิติ และไฟท้ายทรงบูมเมอแรงแบบ LED คู่กับล้อแม็กขนาด 16 นิ้ว และ 17 นิ้ว (ในรุ่น G)

มาพร้อมมิติตัวถังยาว 4,480 มม. กว้าง 1,790 มม. สูง 1,540 มม. และระยะฐานล้อ 2,700 มม.

Nissan-Leaf

Nissan-Leaf

Nissan-Leaf

ห้องโดยสารภายใน พร้อมพื้นที่เก็บของกว้างขวาง

ห้องโดยสารออกแบบใหม่ตาม Concept “Gliding Wing” คอนโซลหน้ารูปแบบใหม่ เบาะนั่งเดินด้วยด้ายสีน้ำเงิน ส่วนความบันเทิง มาพร้อมชุดจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว รองรับระบบ Apple CarPlay และ NissanConnect ที่สามารถค้นหาข้อมูล Update ล่าสุด ของสถานีชาร์จไฟฟ้า ทั้งสถานที่ตั้ง หรือเวลาให้บริการ รวมทั้งการรอคิวชาร์จ และในระหว่างชาร์จไฟฟ้า เจ้าของรถสามารถดูปริมาณแบตเตอรี่ได้ผ่านสมาร์ทโฟน เป็นต้น พร้อมพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายที่มากถึง 435 ลิตร (วัดตามมาตรฐาน VDA)

Nissan-Leaf

นิสสัน ลีฟ คือ รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า “100%” และมีอัตราการปล่อยมลพิษเป็น “0” พร้อมชูจุดเด่นอย่าง “นิสสัน อินเทลลิเจนต์ โมบิลิตี้ (Nissan Intelligent Mobility)” ทำให้ผู้ขับขี่มีความมั่นใจกับมุมมองรอบด้าน และสามารถตรวจจับวัตถุต่างๆ ที่อยู่รอบๆ ตัวรถได้ดีขึ้น ด้วยระบบต่างๆ อาทิเช่น

Nissan-Leaf

  • ระบบ ProPILOT ครั้งแรกของการแนะนำระบบขับอัตโนมัติ รวมถึงระบบ ProPILOT Park ที่สามารถนำรถยนต์เข้าจอดในซอง และการจอดรถริมฟุตบาท แบบอัตโนมัติ โดยที่คนขับนั่งเฉยๆ ไม่ต้องไปหมุนพวงมาลัยใดๆ

Nissan-Leaf

  • ระบบ e-Pedal ช่วยในการเร่งความเร็วและการเบรก โดยระบบจะทำงานร่วมกับระบบ Regenerative Braking ในการช่วยหยุดรถ อีกทั้งยังใช้ทดแทนระบบ Hill Start Assisted (HSA) ในการออกตัวบนทางลาดชันอีกด้วย

Nissan Leaf ใหม่ มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าชุดใหม่ แบบ EM57 ที่ให้แรงม้าสูงสุด 150 แรงม้า (PS) (110 กิโลวัตต์) (แรงม้าเพิ่มขึ้น 38% จากรุ่นแรก) ที่ 3,283-9,795 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 32.6 กก.-ม. (320 นิวตันเมตร) ที่ 0-3,283 รอบ/นาที

แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ขนาด 40 กิโลวัตต์/ชม. เพียงชาร์จ 1 ครั้ง สามารถเดินทางได้ระยะทางมากถึง 400 กิโลเมตร (ตามการทดสอบตามโหมด JC08 ของประเทศญี่ปุ่น)

Nissan-Leaf

Nissan-Leaf

ขับไปไหนก็หายห่วงเรื่องไฟหมด ด้วยจุดเติมพลังงานไฟฟ้าที่มากถึง 28,500 จุด (โดยประมาณ) ทั่วประเทศญี่ปุ่น (แบ่งเป็นสถานี Quick Change 7,108 จุด และสถานีขาร์จแบบธรรมดา 20,727 จุด) ใช้เวลาชาร์จประมาณ 40 นาที ก็ได้ปริมาณพลังงานไฟฟ้ามากถึง 80% หากชาร์จแบบ Quick Charge และใช้เวลาชาร์จ 8 ชั่วโมง (กำลังไฟ 6 กิโลวัตต์) สำหรับการชาร์จแบบธรรมดา

Nissan Leaf ใหม่ มีรุ่นย่อยให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่นย่อย ได้แก่ S, X และ G พร้อมมีสีให้เลือกทั้งหมด 6 สี ในราคา 3,150,360-3,990,600 เยน

ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก www.nissan.co.jp

Mitsubishi-Xpander-2018

Mitsubishi Motors เปิดตัว “Xpander” ใหม่ 2 รุ่นย่อย ราคาเริ่มต้นประมาณ 7 แสนบาทปลายๆ

Mitsubishi-Xpander-1

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น เปิดตัวยนตรกรรมชั้นนำระดับโลก “Mitsubishi Xpander” (มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์) รถ Crossover MPV ที่ประเทศอินโดนีเซีย และในประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ของรถยนต์แบบ MPV สร้างยอดขายให้กับมิตซูบิชิอย่างมาก โดยเฉพาะในอินโดนีเซีย ที่มียอดส่งมอบไปมากกว่า 50,000 คัน นับตั้งแต่เปิดตัวในเดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมา

Mitsubishi-Xpander

ซึ่งทางมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ได้ตัดสินใจนำรถรุ่นนี้เข้ามา และเตรียมเปิดตัวภายในงาน BIG Motor Sale 2018 อย่างเป็นทางการ เพื่อต่อกรกับรถในประเภทเดียวกัน อาทิ Honda BR-V และ Toyota Sienta ด้วยคุณสมบัติที่ใหญ่กว่า สูงกว่า ในสไตล์รถ MPV ที่ดีไซน์ตัวรถละม้ายคล้ายกับรถ SUV

“เอ็กซ์แพนเดอร์” คือการผสมผสานความสามารถในการใช้งานที่หลากหลายของรถเอ็มพีวี เข้าไว้กับสมรรถนะที่โดดเด่นตามแบบฉบับของรถเอสยูวี กลายเป็นนิยามใหม่ของมิตซูบิชิ ที่มีความแกร่ง ความโอ่โถง รูปลักษณ์ที่โดดเด่น ความสะดวกสบาย รวมถึงสไตล์และฟังก์ชั่นการใช้งาน หลอมรวมกันเป็นรถครอสโอเวอร์ เอ็มพีวี ซึ่งครบครันทั้งความสบายในการขับขี่ที่มาพร้อมสมรรถนะ และดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยว และขับเคลื่อนล้อหน้า

Mitsubishi-Xpander

– อีกหนึ่งการขับเคลื่อนตลาดในภูมิภาคอาเซียนของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส
– โฉบเฉี่ยวด้วยดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์
– มอบความสบายที่มากขึ้นในทุกการเดินทาง
– กว้างขวางด้วยห้องโดยสาร 7 ที่นั่ง พร้อมพื้นที่เก็บสัมภาระขนาดใหญ่
·- โดดเด่นด้วยสมรรถนะและความแกร่ง

Mitsubishi-Xpander

ตัวถังของ Xpander ใหม่ มีมิติตัวรถยาว 4,475 มม. กว้าง 1,750 มม. สูง 1,700 มม. ระยะฐานล้อ 2,775 มม.

ดีไซน์ตัวรถด้วยหลัก Dynamic Shield t ติดตั้งไฟ Daytime Running Light ไว้บริเวณฝากระโปรงหน้า ส่วนชุดไฟหลักถูกติดตั้งไว้ต่ำกว่า ด้านท้ายไฟท้ายแบบ LED รูปตัว L รองรับด้วยช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระแม็กเฟอร์สันสตรัท และเหล็กกันโคลง ในขณะที่ด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีม ระบบเบรกแบบด้านหน้าดิสก์เบรก ด้านหลังแบบดรัมเบรก

Mitsubishi-Xpander

มีให้เลือกในบ้านเรา 2 รุ่นย่อย ได้แก่ GLS-LTD และ GT โดยรุ่น GT เป็นรุ่น Top สุด ออพชั่นมากกว่ารุ่น GLS-LTD พอสมควร

Mitsubishi-Xpander

พื้นที่ที่กว้างขวางด้วยห้องโดยสาร 7 ที่นั่ง และพื้นที่เก็บสัมภาระขนาดใหญ่ที่สุดในคู่แข่งระดับเดียวกัน ผู้โดยสารแถวที่ 3 สามารถเดินภายในได้อย่างสะดวกสบาย ขณะที่เบาะนั่งแถวที่สองสามารถพับเบาะกลางลงเพื่อใช้เป็นที่วางแขนได้ มีช่องวางแก้วน้ำให้ถึง 16 จุดรอบคัน มีระบบปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง

Mitsubishi-Xpander

ขุมพลังของ “เอ็กซ์แพนเดอร์” ใช้เครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร รหัส 4A91 แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว MIVEC ให้กำลังสูงสุด 105 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด แรงบิดสูงสุด 141 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด พร้อมปุ่ม Overdrive รองรับแก๊สโซฮอล์ E85

Mitsubishi-Xpander

“เอ็กซ์แพนเดอร์” ผลิตขึ้นที่ โรงงานใหม่ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ในประเทศอินโดนีเซีย เมืองเบกาซิ จังหวัดชวาตะวันตก ซึ่งมีแผนการผลิตอยู่ที่จำนวน 80,000 คัน/ปี และจะเริ่มจำหน่ายในตลาดอินโดนีเซีย เร็วๆนี้ พร้อมทั้งยังมีแผนที่จะส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และภูมิภาคอื่นๆ

อุปกรณ์มาตรฐานเด่นๆ ในรุ่น GLS-LTD

  • ไฟหน้าอบบฮาโลเจน + ไฟหรี่แบบ LED
  • ไฟท้าย LED
  • มือจับประตูสีเดียวกับตัวรถ
  • คิ้วขอบประตูสีดำ
  • แผงกันชนหน้า-หลัง และคิ้วด้านข้างสีดำ
  • กระจกมองข้างปรับ-พับไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยว
  • ที่ปัดน้ำฝนแบบหน่วงเวลา
  • ไฟ Welcome Light และไฟส่องสว่างหลังดับเครื่อง
  • เบาะนั่งหุ้มผ้า
  • เครื่องเสียง CD/MP3/USB ขนาด 2DIN
  • ลำโพง 4 จุด
  • ระบบปรับอากาศด้านหลัง
  • พวงมาลัยปรับได้ 4 ทิศทาง
  • กุญแจรีโมท
  • ช่องจ่ายไฟ 12 V 3 ตำแหน่ง
  • ระบบเบรก ABS/EBD/BA
  • ระบบป้องกันลื่นไถล TCL
  • ระบบควบคุมเสถียรภาพ ASC
  • ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA
  • ถุงลมนิรภัยคู่หน้า
  • ล้อแม็กสีเงินขนาด 15 นิ้ว พร้อมยางขนาด 185/68 R15

อุปกรณ์มาตรฐานเด่นๆ ในรุ่น GT (เพิ่มขึ้นจากรุ่น GLS-LTD)

  • ไฟตัดหมอกคู่หน้า
  • ที่เปิดประตู-ขอบประตู วัสดุโครเมียม
  • แผงกันชนหน้า-หลัง และคิ้วด้านข้างสีเงิน
  • เบาะนั่งหนังแท้และหนังสังเคราะห์
  • พวงมาลัย, หัวเกียร์, และเบรกมือ หุ้มหนัง
  • เครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 6.2 นิ้ว CD/DVD/MP3
  • Bluetooth
  • ช่องเชื่อมต่อ USB/AUX
  • จอ MID แบบ TFT สี ขนาด 4.2 นิ้ว
  • สวิตช์เครื่องเสียงและโทรศัพท์ บนพวงมาลัย
  • ลำโพง 6 จุด
  • มาตรวัดแบบ High Contrast
  • Cruise Control
  • กุญแจ KOS พร้อมปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์
  • กล้องมองหลัง
  • ล้อแม็กสีทูโทนขนาด 16 นิ้ว พร้อมยางขนาด 205/55 R16

Mitsubishi-Xpander

สำหรับท่านใดที่สนใจ Mitsubihi Xpander ใหม่ สามารถไปชมตัวจริงได้ที่งาน BIG Motor Sale 2018