ค่าน้ำมันรถ Eco-Car รุ่นเด่นใน CARRO Automall เติมเต็มถังกี่บาท!

ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็ต้องเจอแต่คนใช้รถ จะเป็นเศรษฐีหรือยาจก ต่างบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า “น้ำมันแพงๆๆๆๆ” กับราคาน้ำมันไทยที่พุ่งทะยานกันอย่างต่อเนื่องในปี 2565 นี้นับสิบครั้ง ส่งผลกระทบกับคนที่ต้องใช้รถยนต์ทำงานกันถ้วนหน้า ต่างต้องหาทางออกในการลดรายจ่ายให้กับชีวิตกันเป็นแถวๆ

เมื่อรู้กันว่าน้ำมันขึ้นไปแล้ว มักจะลงยาก การหาทางออกด้วยการเลือกรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้ ก็นับว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ต้องใช้งบประมาณสูง ถ้าใครเงินดาวน์น้อยหรืองบสำหรับผ่อนมีน้อย จะเลือกรถยนต์ Eco-Car มือสองมาใช้ก็ดี เพราะประหยัดพลังงาน กินน้ำมันประมาณ 15 – 23 กม./ลิตร ก็ยังพอช่วยบรรเทารายจ่ายคุณได้บ้าง

CARRO Automall (คาร์โร ออโต้มอลล์) เลยขอแนะนำรถ Eco-Car (รถอีโคคาร์) รุ่นเด่นๆ ที่มีขายในเวลานี้ ว่าแต่ละรุ่น กับราคาน้ำมันไทยวันนี้ (คิดจากราคาน้ำมันในวันที่ 17 มีนาคม 2565 ราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ 38.75 บาท/ลิตร และราคาน้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ 46.16 บาท/ลิตร) ถ้าจะเติมเต็มถังในแต่ละรุ่น ต้องใช้เงินกี่บาท ไปดูกันเลยจ้า

รถ Eco-Car รุ่นเด่นใน CARRO Automall กับราคาน้ำมันไทยวันนี้ เติมเต็มถังกี่บาท!

1. Toyota Yaris / Toyota Yaris ATIV

Toyota Yaris (โตโยต้า ยาริส) / Yaris ATIV (โตโยต้า ยาริส เอทีฟ) เป็นรถที่เปิดตัวมาตั้งแต่ในเดือนเดือนตุลาคม 2556 และ ATIV ที่ตามมาทีหลังในเดือนสิงหาคม 2560

ทั้งคู่มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร รหัส 3NR-FE แบบ 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว Dual VVT-i ให้แรงม้าสูงสุด 86 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 108 นิวตัน-เมตร ระบบเกียร์มีแบบเดียว คือ เกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i

และเครื่องยนต์ใหม่ (ตั้งแต่ปี 2562 – ปัจจุบัน) รหัส 3NR-FKE แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว Dual VVT-iE มอบแรงม้าสูงสุด 92 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 109 นิวตันเมตร ผสานกับระบบเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i และฟังก์ชัน S Mode ขับสนุกมากยิ่งขึ้น (Fun-To-Drive) พร้อมอัตราประหยัดน้ำมันได้ถึง 23.3 กม./ลิตร รองรับแก๊สโซฮอล์ E20

ทั้ง 2 รุ่น ในแบบ Hatchback 5 ประตู และ Sedan 4 ประตู ใช้ขนาดถังน้ำมันเท่ากัน คือ 42 ลิตร หากเติมแก๊สโซฮอล์ 95 เต็มถัง ต้องจ่าย 1,627.50 บาท และหากเติมเบนซิน เต็มถัง ต้องจ่าย 1,938 บาท

รถ Eco-Car รุ่นเด่นใน CARRO Automall กับราคาน้ำมันไทยวันนี้ เติมเต็มถังกี่บาท!

2. Nissan March

Nissan March (นิสสัน มาร์ช) รถ Eco-Car ยอดฮิตในไทยอีกรุ่น ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร รหัส HR12DE แบบ 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว CVTC ให้แรงม้าสูงสุด 79 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 106 นิวตัน-เมตร มีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติแบบ Xtronic CVT

นิสสัน มาร์ช ใช้ถังน้ำมัน 41 ลิตร หากเติมแก๊สโซฮอล์ 95 เต็มถัง ต้องจ่าย 1,588.75 บาท และหากเติมเบนซิน เต็มถัง ต้องจ่าย 1,892 บาท

รถ Eco-Car รุ่นเด่นใน CARRO Automall กับราคาน้ำมันไทยวันนี้ เติมเต็มถังกี่บาท!

3. Nissan Note

Nissan Note (นิสสัน โน๊ต) ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร ตัวเดียวกับใน Nissan March รหัส HR12DE แบบ 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว CVTC ให้แรงม้าสูงสุด 79 แรงบิดสูงสุด 106 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ Xtronic CVT พร้อม D-Step Logic

นิสสัน โน๊ต ใช้ถังน้ำมัน 41 ลิตร หากเติมแก๊สโซฮอล์ 95 เต็มถัง ต้องจ่าย 1,588.75 บาท และหากเติมเบนซิน เต็มถัง ต้องจ่าย 1,892 บาท

รถ Eco-Car รุ่นเด่นใน CARRO Automall กับราคาน้ำมันไทยวันนี้ เติมเต็มถังกี่บาท!

4. Nissan Almera

Nissan Almera (นิสสัน อัลเมร่า) รถ Eco-Car 4 ประตูรุ่นแรกของไทย เปิดตัวครั้งแรกในเดือนตุลาคม 2554 ใช้ขุมพลังเหมือน March รหัส HR12DE ขนาด 1.2 ลิตร แบบ 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว CVTC ให้แรงม้าสูงสุด 79 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 106 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติแบบ Xtronic CVT ประหยัดน้ำมันสูงสุด 20 กม./ลิตร

นิสสัน อัลเมร่า ใช้ถังน้ำมัน 41 ลิตร หากเติมแก๊สโซฮอล์ 95 เต็มถัง ต้องจ่าย 1,588.75 บาท และหากเติมเบนซิน เต็มถัง ต้องจ่าย 1,892 บาท

รถ Eco-Car รุ่นเด่นใน CARRO Automall กับราคาน้ำมันไทยวันนี้ เติมเต็มถังกี่บาท!

5. Nissan Almera Turbo

Nissan Almera Turbo (นิสสัน อัลเมร่า เทอร์โบ) รถ Eco-Car 4 ประตูเจเนอเรชั่นที่ 2 ของ Almera ที่มาพร้อมเครื่องยนต์เทอร์โบ เปิดตัวครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน 2562

ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.0 ลิตร Turbo รหัส HRA0 แบบ 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว ให้แรงม้าสูงสุด 100 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 152 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ Xtronic CVT พร้อม D-Step Logic ประหยัดน้ำมันได้สูงถึง 23.3 กม./ลิตร

นิสสัน อัลเมร่า เทอร์โบ ใช้ถังน้ำมัน 35 ลิตร หากเติมแก๊สโซฮอล์ 95 เต็มถัง ต้องจ่าย 1,356.25 บาท และหากเติมเบนซิน เต็มถัง ต้องจ่าย 1,615 บาท

รถ Eco-Car รุ่นเด่นใน CARRO Automall กับราคาน้ำมันไทยวันนี้ เติมเต็มถังกี่บาท!

6. Honda Brio / Brio Amaze

Honda Brio (ฮอนด้า บริโอ้) และ Honda Brio Amaze (ฮอนด้า บริโอ้ อเมซ) มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร รหัส L12B3 แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว i-VTEC ให้แรงม้าสูงสุด 90 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 110 นิวตัน-เมตร ระบบส่งกำลังมีทั้งเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ที่มาพร้อมระบบ Shift Hold System และทุกรุ่นยังรองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 ได้

ฮอนด้า บริโอ้ และบริโอ้ อเมซ 2 รุ่นนี้ใช้ถังน้ำมันเท่ากัน คือ 35 ลิตร หากเติมแก๊สโซฮอล์ 95 เต็มถัง ต้องจ่าย 1,356.25 บาท และหากเติมเบนซิน เต็มถัง ต้องจ่าย 1,615 บาท

รถ Eco-Car รุ่นเด่นใน CARRO Automall กับราคาน้ำมันไทยวันนี้ เติมเต็มถังกี่บาท!

7. Honda City Turbo

Honda City Turbo (ฮอนด้า ซิตี้ เทอร์โบ) นับเป็นครั้งแรกของรถตระกูล City เปิดตัวในเดือนพฤศจิกายน 2562 ที่วางเครื่องยนต์เทอร์โบ มีขนาดเล็กลงกว่าเดิม แต่แรงม้ามากขึ้น และประหยัดน้ำมันมากขึ้นกว่าเดิม ให้สมรรถนะการขับขี่ที่เหนือกว่าเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร (เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม) และแรงบิดเทียบเท่าเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร

ขุมพลังเทอร์โบใหม่ เครื่องยนต์ 1.0 ลิตร แบบ 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว VTEC Turbo ให้แรงม้าสูงสุด 122 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 173 นิวตัน-เมตร ผสานการทำงานกับระบบเกียร์อัตโนมัติ CVT ประหยัดน้ำมันได้ถึง 23.8 กม./ลิตร และรองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 ได้อีกด้วย

ฮอนด้า ซิตี้ เทอร์โบ ใช้ถังน้ำมัน 40 ลิตร หากเติมแก๊สโซฮอล์ 95 เต็มถัง ต้องจ่าย 1,550 บาท และหากเติมเบนซิน เต็มถัง ต้องจ่าย 1,846 บาท

รถ Eco-Car รุ่นเด่นใน CARRO Automall กับราคาน้ำมันไทยวันนี้ เติมเต็มถังกี่บาท!

8. Mitsubishi Mirage

Mitsubishi Mirage (มิตซูบิชิ มิราจ) มาพร้อมขุมพลังขนาด 1.2 ลิตร รหัส 3A92 แบบ 3 สูบ DOHC MIVEC 12 วาล์ว ให้แรงม้าสูงสุด 78 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 100 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติแบบ Invecs-III CVT รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 และประหยัดน้ำมันได้สูงถึง 22 กม./ลิตร และ 23.3 กม./ลิตร

มิตซูบิชิ มิราจ ใช้ถังน้ำมัน 35 ลิตร หากเติมแก๊สโซฮอล์ 95 เต็มถัง ต้องจ่าย 1,356.25 บาท และหากเติมเบนซิน เต็มถัง ต้องจ่าย 1,615 บาท

รถ Eco-Car รุ่นเด่นใน CARRO Automall กับราคาน้ำมันไทยวันนี้ เติมเต็มถังกี่บาท!

9. Mitsubishi Attrage

Mitsubishi Attrage (มิตซูบิชิ แอททราจ) มาพร้อมขุมพลังขนาด 1.2 ลิตร รหัส 3A92 แบบ 3 สูบ DOHC MIVEC 12 วาล์ว ให้แรงม้าสูงสุด 78 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 100 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติแบบ Invecs-III CVT รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 และประหยัดน้ำมันได้สูงถึง 22 กม./ลิตร และ 23.3 กม./ลิตร

มิตซูบิชิ แอททราจ ใช้ถังน้ำมัน 42 ลิตร หากเติมแก๊สโซฮอล์ 95 เต็มถัง ต้องจ่าย 1,627.50 บาท และหากเติมเบนซิน เต็มถัง ต้องจ่าย 1,938 บาท

รถ Eco-Car รุ่นเด่นใน CARRO Automall กับราคาน้ำมันไทยวันนี้ เติมเต็มถังกี่บาท!

10. Suzuki Celerio

Suzuki Celerio (ซูซูกิ เซเลริโอ) รถ Eco-Car น้องเล็กจาก Suzuki มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.0 ลิตร รหัส K10B แบบ 3 สูบ 12 วาล์ว ให้แรงม้าสูงสุด 68 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 90 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดาแบบ 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ประหยัดน้ำมันได้สูงถึง 22 กม./ลิตร รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20

ซูซูกิ เซเลริโอ้ ใช้ถังน้ำมัน 35 ลิตร หากเติมแก๊สโซฮอล์ 95 เต็มถัง ต้องจ่าย 1,356.25 บาท และหากเติมเบนซิน เต็มถัง ต้องจ่าย 1,615 บาท

รถ Eco-Car รุ่นเด่นใน CARRO Automall กับราคาน้ำมันไทยวันนี้ เติมเต็มถังกี่บาท!

11. Suzuki Ciaz

Suzuki Ciaz (ซูซูกิ เซียส) รถ Eco-Car Sedan จากค่ายซูซูกิ ใช้เครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.25 ลิตร รหัส K12B แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว VVT ให้แรงม้าสูงสุด 91 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 118 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดาแบบ 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ประหยัดน้ำมันได้ถึง 20 กม./ลิตร รองรับเชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์ E20

ซูซูกิ เซียส ใช้ถังน้ำมัน 42 ลิตร หากเติมแก๊สโซฮอล์ 95 เต็มถัง ต้องจ่าย 1,627.50 บาท และหากเติมเบนซิน เต็มถัง ต้องจ่าย 1,938 บาท

รถ Eco-Car รุ่นเด่นใน CARRO Automall กับราคาน้ำมันไทยวันนี้ เติมเต็มถังกี่บาท!

12. Suzuki Swift

Suzuki Swift (ซูซูกิ สวิฟท์) เป็น Swift รุ่นแรกที่เข้าร่วมโครงการรถ Eco-Car เปิดตัวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ใช้เครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.25 ลิตร รหัส K12B แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว VVT ให้แรงม้าสูงสุด 91 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 118 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ประหยัดน้ำมันได้ถึง 20 กม./ลิตร รองรับเชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์ E20

ซูซูกิ สวิฟท์ ใช้ถังน้ำมัน 42 ลิตร หากเติมแก๊สโซฮอล์ 95 เต็มถัง ต้องจ่าย 1,627.50 บาท และหากเติมเบนซิน เต็มถัง ต้องจ่าย 1,938 บาท

รถ Eco-Car รุ่นเด่นใน CARRO Automall กับราคาน้ำมันไทยวันนี้ เติมเต็มถังกี่บาท!

13. Suzuki Swift

Suzuki Swift (ซูซูกิ สวิฟท์) โฉมปัจจุบันที่เปิดตัวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2561 แรงสุดขีด สปีดเร้าใจ ด้วยเครื่องยนต์เบนซินรหัส K12M ขนาด 1.2 ลิตร แบบ 4 สูบ 83 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 108 นิวตัน-เมตร มาพร้อมเทคโนโลยีหัวฉีดคู่ หรือ DUALJET ทำให้น้ำมันมีละอองที่ละเอียดขึ้น ได้กำลังและแรงบิดดียิ่งขึ้น ช่วยให้ประหยัดน้ำมันได้ถึง 23 กม./ลิตร รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20

ซูซูกิ สวิฟท์ ใช้ถังน้ำมัน 37 ลิตร หากเติมแก๊สโซฮอล์ 95 เต็มถัง ต้องจ่าย 1,433.75 บาท และหากเติมเบนซิน เต็มถัง ต้องจ่าย 1,707 บาท

รถ Eco-Car รุ่นเด่นใน CARRO Automall กับราคาน้ำมันไทยวันนี้ เติมเต็มถังกี่บาท!

14. Mazda2

Mazda2 (มาสด้า2) รุ่นเครื่องยนต์เบนซิน ใช้เครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน SKYACTIV-G ขนาด 1.3 ลิตร แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ให้แรงม้าสูงถึง 93 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 123 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ SKYACTIV-DRIVE แบบ 6 สปีด ประหยัดน้ำมันถึง 23.3 กม./ลิตร รองรับเชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์ E20

มาสด้า2 เบนซิน ทั้งแบบ Hatchback 5 ประตู และ Sedan 4 ประตู ใช้ถังน้ำมัน 35 ลิตร เท่ากัน หากเติมแก๊สโซฮอล์ 95 เต็มถัง ต้องจ่าย 1,356.25 บาท และหากเติมเบนซิน เต็มถัง ต้องจ่าย 1,615 บาท

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

สำหรับใครที่ทนราคาน้ำมันแพงไม่ไหว อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์ประหยัดน้ำมันคันใหม่ มาขายรถกับทาง CARRO Express ได้ที่  https://th.carro.co/sell-car/express วิธีการขายรถในแบบยุคใหม่ ง่าย สะดวก รวดเร็ว ได้ราคา อีกทั้งยังลงขายได้ “ฟรี!” พร้อมรับเงินสดกลับบ้านทันที ภายใน 24 ชั่วโมง!

Carro Automall / คาร์โร ออโต้มอลล์

แต่ถ้าหากช่วงนี้ใครอยากเปลี่ยนรถคันใหม่ มาใช้แทนที่รถคันเดิม CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ พร้อมตอบโจทย์คุณด้วยคอนเซปต์ “click.buy.drive.” คุณสามารถจองรถออนไลน์ ได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น!

รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check มากกว่า 160 จุด และยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” ให้คุณเลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา พร้อมรับประกันคุณภาพรถนานถึง 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร! อีกทั้งยังการันตีความพึงพอใจ คืนเงินได้ภายใน 5 วันอีกด้วย! เรามีรถให้คุณเลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ CARRO Automall สิ!

หรือถ้าหากสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall Official โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall ครับ

หมายเหตุ:

  • ราคาน้ำมันสถานี ปตท. ณ วันที่ 17 มี.ค. 2565 เวลา 5.00 น.
  • ราคาน้ำมันนี้ ยังไม่รวมภาษีบำรุงท้องที่

แหล่งที่มาของราคาน้ำมันจาก :

เติมน้ำมันผิด จะเกิดอะไรขึ้น เครื่องยนต์จะเป็นยังไง

หากคุณเพิ่งจะซื้อรถคันใหม่มาใช้ได้ไม่นาน แล้วเจอกับปัญหา เติมน้ำมันผิด คุณอาจจะรู้สึกเหมือนว่ากำลังทำสิ่งที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตลงไป แต่เชื่อหรือไม่ว่าปัญหาเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่ายกว่าที่คุณคิดเอาไว้มาก สาเหตุที่ทำให้ความผิดพลาดเล็กน้อยนี้เกิดขึ้นได้ง่าย นั่นก็เพราะชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิงในท้องตลาดที่มีอยู่ด้วยกันหลากหลายชนิด ถึงแม้จะเป็นน้ำมันประเภทเดียวกัน เช่น น้ำมันดีเซล ก็ยังมีให้เลือกทั้ง B7, B10, B20 และดีเซลพรีเมี่ยม เลือกกันตาลายเลยทีเดียวเมื่อขับเข้าปั๊ม

ยิ่งไปกว่านั้นยังมีน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์ให้เลือกใช้ตามความเหมาะสมของเครื่องยนต์อีกต่างหาก ซึ่งถ้าหากคุณเผลอไปเติมน้ำมันผิดมาจริงๆ รู้ใจ จึงมีคำแนะนำในการแก้ไขปัญหาเบื้องต้นมาฝากกัน

เติมน้ำมันผิด จะเกิดอะไรขึ้น เครื่องยนต์จะเป็นยังไง

เติมน้ำมันผิดแบบไหนเป็นภัยกับรถคุณมากกว่ากัน

อย่างที่เกริ่นไปตอนต้นว่าน้ำมันเชื้อเพลิงประเภทเดียวกันก็มีหลายชนิดให้เลือกใช้ ซึ่งถ้าหากคุณเติมน้ำมันดีเซล B10 อยู่เป็นประจำ คุณอาจจะสามารถเติมน้ำมัน B7 หรือ ดีเซลพรีเมี่ยมให้กับรถของคุณได้ ซึ่งถึงแม้จะมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นแต่ก็ช่วยให้ระบบเผาไหม้ทำงานได้ดีขึ้น สะอาดขึ้น

แต่ในกรณีที่ใช้แบบพรีเมียมอยู่แล้วเผลอไปเติมดีเซลที่มีความบริสุทธิ์ต่ำลง (มีสัดส่วนของไบโอดีเซลผสมเข้ามา) จะขึ้นอยู่กับเครื่องยนต์ของรถคุณว่ารองรับน้ำมันดีเซลชนิดนั้นหรือไม่ โดยการใช้น้ำมันดีเซลที่มีความบริสุทธิ์น้อยลง อาจจะไม่ได้ทำให้เครื่องยนต์เสียในทันที ยังสามารถสตาร์ทใช้งานรถของคุณได้ตามปกติ รวมทั้งสามารถเติมน้ำมันดีเซลชนิดเดิมที่ใช้อยู่เป็นประจำผสมลงไปได้ แต่ในระยะยาวนั้นอาจส่งผลให้เครื่องยนต์หรือชิ้นส่วนบางอย่างเสื่อมลงได้เร็วกว่าที่ควรจะเป็น นำมาซึ่งค่าใช้จ่ายราคาสูงหากต้องเปลี่ยนอะไหล่เครื่องยนต์ชุดใหญ่ก่อนเวลาอันควร

ส่วนการ เติมน้ำมันผิด อาการเป็นอย่างไร แบบที่เป็นอันตรายต่อเครื่องยนต์ของคุณแน่นอนก็คือ การเติมน้ำมันผิดจากประเภทของเครื่องยนต์ โดนเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องยนต์ดีเซลแต่ดันเผลอเติมน้ำมันเบนซินลงไป จะส่งผลให้เครื่องยนต์ของรถเกิดความเสียหายได้ เนื่องจากรถยนต์ดีเซลใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นตัวหล่อลื่น ทำให้ชิ้นส่วนต่าง ๆ ของเครื่องยนต์ทำงานได้อย่างราบรื่น แต่พอเติมน้ำมันเบนซินซึ่งมีส่วนผสมของเอทานอลลงไป ก็จะทำหน้าที่เหมือนตัวทำละลายน้ำมันหล่อลื่นที่เครื่องยนต์ดีเซลต้องการ

ทำให้เมื่อคุณสตาร์ทเครื่องยนต์ก็จะทำให้น้ำมันเบนซินถูกส่งหมุนเวียนในเครื่องยนต์ เพิ่มแรงเสียดทานระหว่างส่วนประกอบต่างๆ และทำให้ชิ้นส่วนเสียหายในที่สุด เพื่อป้องกันการเกิดความเสียหายกับเครื่องยนต์รถของคุณ จึงควรรีบเปลี่ยนถ่ายและไล่ระบบน้ำมันโดยเร็วที่สุด

เติมน้ำมันผิด จะเกิดอะไรขึ้น เครื่องยนต์จะเป็นยังไง

ทำไมการเติมน้ำมันผิดประเภทแล้วถึงทำให้รถมีปัญหา

น้ำมันคนละชนิดกันจะมีระดับการเผาไหม้ของน้ำมันแตกต่างกัน ซึ่งเมื่อคุณเติมน้ำมันคนละประเภทลงในถังน้ำมันที่มีน้ำมันเดิมค้างอยู่ เมื่อมีการสตาร์ทเครื่องยนต์จะทำให้การเผาไหม้สะดุด ส่งผลให้การทำงานของลูกสูบไม่เป็นไปตามจังหวะที่ควรเป็น เครื่องยนต์ทำงานไม่ได้และทำให้เครื่องดับในที่สุด หากคุณเพิกเฉยไม่รีบแก้ไขปัญหา จะทำให้เครื่องยนต์ได้รับความเสียหายอย่างถาวรได้

ดังนั้นเมื่อรู้ตัวแล้วว่า เติมน้ํามันรถผิด ก็ควรรีบทำการถ่ายน้ำมันนั้นออกและทำความสะอาดเครื่องยนต์รวมไปถึงชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้อง ให้ไม่มีสิ่งปนเปื้อนเหลืออยู่โดยเร็วที่สุด ก็จะช่วยให้คุณสามารถรักษาเครื่องยนต์เอาไว้ได้ดังเดิม

วิธีสังเกตอาการหากสงสัยว่า เติมน้ำมันผิด

หากคุณไม่รู้ตัวจริง ๆ ว่าเติมน้ำมันผิดประเภทไปหรือเปล่า แต่รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างว่ารถของคุณมีอาการต่างไปจากเดิม ให้สังเกตว่ามีอาการตามที่ระบุด้านล่างนี้หรือไม่ เพราะอาจเป็นไปได้ว่าคุณ เติมน้ำมันผิด นั่นเอง

1.หากเผลอเติมน้ำมันเบนซินลงในเครื่องยนต์ดีเซล อาการที่อาจเกิดขึ้นกับรถของคุณคือ

  • เครื่องยนต์มีเสียงดังขณะเร่งความเร็ว
  • อัตราการเร่งช้ากว่าปกติ และ ไม่สามารถทำความเร็วได้ดีเมื่อรอบเครื่องยนต์สูงขึ้น
  • ระบบแสดงไฟเตือนเครื่องยนต์ และส่งผลให้เครื่องยนต์ดับได้ในที่สุด
  • ไม่สามารถสตาร์ทรถใหม่ได้

2.หากเผลอเติมน้ำมันดีเซลลงในเครื่องยนต์เบนซิน อาการที่อาจเกิดขึ้นกับรถของคุณคือ

  • มีควันดำออกมาจากท่อไอเสียมากกว่าปกติ
  • เครื่องยนต์ทำงานผิดปกติ และ อาจทำให้เครื่องยนต์ดับได้
  • มีปัญหาในการสตาร์ทเครื่องใหม่

เติมน้ำมันผิด จะเกิดอะไรขึ้น เครื่องยนต์จะเป็นยังไง

เติมน้ำมันผิดประเภทควรทำยังไง

ถ้าหากคุณรู้ตัวตั้งแต่ที่ปั๊มน้ำมันเลยว่าคุณได้เติมน้ำมันผิดประเภทให้กับรถของคุณไปแล้ว ถือว่าโชคดีทีเดียวที่คุณยังไม่ได้สตาร์ทเครื่องยนต์ เพราะน้ำมันจะยังอยู่แค่ในถังน้ำมัน ยังไม่เกิดการหมุนเวียนไปที่เครื่องยนต์หรือชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ซึ่งทำให้คุณแก้ไขความผิดพลาดของการเติมน้ำมันผิดได้ไม่ยาก คุณเพียงแจ้งให้พนักงานในปั๊มน้ำมันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และขอให้ช่างมาช่วยทำการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันรวมทั้งไล่ระบบน้ำมันของเครื่องยนต์ใหม่ เพียงเท่านี้คุณก็สามารถใช้งานรถของคุณได้ตามปกติ โดยที่เครื่องยนต์ยังไม่ได้รับความเสียหาย

ถ้าเติมน้ำมันผิดแล้วสตาร์ทรถไปแล้ว ความโชคร้ายที่สุดจะอยู่ที่เมื่อคุณ เติมน้ำมันผิด แล้วขับรถออกไปโดยที่ไม่รู้อะไรเลยแล้วรถเกิดดับกลางทาง ถ้าหากมีการทำประกันรถยนต์เอาไว้ก็จะสามารถขอใช้บริการลากรถฉุกเฉินได้ ก็จะช่วยให้คุณเบาใจไปได้เยอะเลย แต่ถ้าหากว่าประกันรถยนต์ของคุณไม่ได้ครอบคลุมการดูแลในกรณีนี้เอาไว้ ก็ต้องรีบนำรถเข้าข้างทางโดยเร็วที่สุดแล้วเรียกให้ช่างมาดูจะดีกว่า

เติมน้ำมันผิด จะเกิดอะไรขึ้น เครื่องยนต์จะเป็นยังไง

ที่สำคัญ ! เราไม่แนะนำให้คุณฝืนขับรถไปที่อู่เอง เพราะเมื่อเครื่องยนต์มีการสูบฉีดน้ำมันเข้าสู่ระบบไปทั่วแล้ว จะยิ่งทำให้ชิ้นส่วนต่าง ๆ ได้รับความเสียหาย แต่โดยทั่วไปแล้วเมื่อเครื่องยนต์ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติเครื่องก็จะดับไปโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว และคุณก็ไม่ควรฝืนหรือพยายามสตาร์ทเครื่องใหม่

โดยวิธีใน การดูแลรถเบื้องต้น เมื่อเติมน้ำมันผิดและทำการออกรถไปแล้ว ก็จะคล้ายกันกับกรณีที่ยังไม่ได้สตาร์ทรถออกไป คือ คุณต้องทำการถ่ายน้ำมันรถออกทั้งหมดและให้ช่างไล่ระบบน้ำมันให้ใหม่ รวมทั้งต้องล้างหัวเทียนเพิ่มเติมด้วย นอกจากนี้คุณต้องทำการเปลี่ยนไส้กรองใหม่เพื่อให้ไม่เกิดการปนเปื้อนกับน้ำมันที่เติมผิดไป จึงจะทำให้รถของคุณทำงานได้ตามปกติและไม่สร้างปัญหาให้กับเครื่องยนต์

เติมน้ำมันผิด จะเกิดอะไรขึ้น เครื่องยนต์จะเป็นยังไง

เห็นหรือยังว่าการ เติมน้ำมันผิด นั้นเป็นเรื่องที่อาจเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ และถึงแม้โอกาสในการเกิดขึ้นจะมีไม่มาก แต่ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับเครื่องยนต์ของคุณนั้นค่อนข้างซีเรียสเลยทีเดียว ดังนั้นการเรียนรู้ถึงวิธีการที่ถูกต้องในการ ”แก้ปัญหาเบื้องต้น” เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้เอาไว้ จะช่วยให้คุณดูแลรถของคุณไม่ให้ได้รับความเสียหายได้ ที่สำคัญ การมีประกันรถยนต์ดี ๆ ก็จะช่วยให้คุณอุ่นใจได้มากกว่า ว่าหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดแบบนี้ขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นที่ไหนหรือเมื่อไหร่ ก็พร้อมมีคนดูแลคุณแบบเตรียมสแตนบายให้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งที่รู้ใจ เรามีบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนเตรียมไว้ให้คุณตลอด 24 ชม. ทั่วประเทศไทย รับประกันคุณภาพงานซ่อมนานถึง 12 เดือนอีกด้วย

สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารและโปรโมชั่นใหม่ ๆ จากรู้ใจได้ทาง FB Fan page: Roojai หรือ คลิก add Official LINE ของเราไว้ได้เช่นกัน

Carro-Roojai-How-Far-To-Go-Without-Gas

ในปัจจุบัน หลายคนยังไม่รู้ว่าเมื่อเกิดปัญหารถน้ำมันหมดก่อนไปถึงที่หมายควรทำอย่างไร ก่อนที่รถน้ำมันหมดทุกครั้งจะมีสัญญาณเตือนบนหน้าปัดรถยนต์ขึ้นเป็นสีเหลืองรูปถังน้ำมัน บ่งบอกว่าน้ำมันรถจะหมดแล้ว หากฝืนขับต่อไปเรื่อย ๆ อาจทำให้เครื่องดับและเกิดปัญหาภายหลังตามมาได้ Roojai.com จึงมีเคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จะช่วยให้คุณสามารถขับรถได้ไกลขึ้นกว่าเดิม เพื่อยืดเวลารถดับออกไปให้คุณสามารถหาปั๊มเพื่อเติมน้ำมันรถได้ทันเวลานั่นเอง

How-Far-To-Go-Without-Gas

เพราะปัญหารถน้ํามันหมดเร็ว เป็นอีกปัญหาหลักที่หนีกันไม่พ้นสำหรับนักขับขี่ส่วนใหญ่ หลายคนเมื่อเจอปัญหานี้ ต่างก็รีบปักหมุดหาปั๊มน้ำมันกัน โชคดีหน่อยก็อาจเจอเร็ว แต่ถ้าไม่.. ปั๊มน้ำมันอยู่ไกลก็อาจเจอปัญหารถดับ ต้องเหนื่อยตามเข็นหาปั๊มให้วุ่นวาย คงไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นการรู้เคล็ดลับในการช่วยยืดระยะทางการขับรถออกไปให้ได้ไกลขึ้น ก่อนรถดับต้องเข็น คงจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้รถใช้ถนนไม่ใช่น้อย

เมื่อมีไฟเตือน รถน้ำมันหมด ยังวิ่งได้อีกกี่กิโลเมตร

หลายคนอาจสงสัยเหมือนกันใช่ไหมว่า รถยนต์ในท้องตลาดแต่ละรุ่นเมื่อเจอปัญหา รถน้ำมันหมด หากยังวิ่งต่อไปได้สามารถวิ่งได้อีกกี่กิโลเมตร จากข้อมูลที่เราได้รวบรวมมาทั้งหมด บอกได้เลยว่า โดยปกติแล้วรถในท้องตลาดส่วนใหญ่ เมื่อเจอปัญหาน้ำมันหมด รถยนต์ในสมัยนี้จะมีสัญญาณเตือนให้เติมน้ำมันขึ้นเป็นสีเหลืองรูปถังน้ำมัน

สัญญาณเตือนน้ํามันหมดนี้ จะเตือนก็ต่อเมื่อน้ำมันในถังเหลือน้อยกว่า 10 ลิตร หากดูตรงเข็มหน้าปัดรถยนต์จะมีการคำนวณบอกด้วยว่าสามารถขับต่อไปได้อีกกี่กิโลเมตร และจะลดลงไปเรื่อย ๆ จนเหลือ 0 กิโลเมตร ซึ่งรถยนต์แต่ละคันมีระยะทางการขับขี่ไม่เท่ากัน แต่สำหรับรถรุ่นเก่าจะไม่มีการคำนวณบอกว่าสามารถขับต่อไปได้อีกกี่กิโลเมตร เมื่อขึ้นสัญญาณเตือนน้ำมันหมด ต้องหาปั๊มให้ได้ภายในรัศมี 30 กิโลเมตร

How-Far-To-Go-Without-Gas

ฟีเจอร์คำนวณระยะทางหลังไฟเตือนรถน้ำมันหมด ช่วยได้มากน้อยแค่ไหน

จริงอยู่ที่รถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ในยุคปัจจุบันมีตัวช่วยในการคำนวณระยะทางให้ผู้ขับขี่รู้ว่ารถสามารถวิ่งได้อีกกี่กิโลเมตร เพื่อไม่ให้เกิดปัญหารถน้ำมันหมด หากหน้าปัดรถยนต์ระบุว่ายังวิ่งได้อีก 20-30 กิโลเมตร แต่จะเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน การคำนวณจะตรงตามระยะทางที่รถวิ่งได้จริงหรือไม่ ทางเราเองก็ยังระบุให้รู้แบบชัดเจนไม่ได้

ทางสื่อยานยนต์ของอังกฤษ ‘The Sun’ ได้ออกมาเปิดเผยว่า “ตัวเลขนบนหน้าปัดรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ในปัจจุบันที่ช่วยบอกระยะทางที่เหลือหลังจากไฟเตือนน้ำมันหมดขึ้นนั้น มาจากการคำนวนอัตราการบริโภคน้ำมันโดยเฉลี่ยที่เจ้าของรถขับก่อนหน้านี้ ทำให้บางครั้งตัวเลขที่ระบุระยะทางการวิ่งนั้นอาจไม่ถูกต้องกับสภาพการขับขี่จริง ๆ ณ เวลานั้น”

How-Far-To-Go-Without-Gas

8 รุ่นรถยอดนิยมในประเทศอังกฤษกับระยะทางที่ยังขับต่อได้

ผลสำรวจจากบริษัทประกันภัยชั้นนำของอังกฤษซึ่งได้นำรถยนต์รุ่นที่ชาวอังกฤษนิยมซื้อใช้ มาจัดอันดับระยะทางที่รถยนต์วิ่งไปได้เมื่อรถน้ำมันหมด โดยเริ่มวัดระยะเมื่อไฟแจ้งเตือนน้ำมันติดขึ้น ผลที่ออกมาบอกว่าอันดับที่ 1 ที่สามารถวิ่งได้ไกลที่สุด สามารถวิ่งได้ไกลถึง 74 กม. รถรุ่นนั้นคือ Mercedes-Benz C-Class ส่วนลำดับถัดไปมีดังนี้

  • Mercedes-Benz C-Class: 74 กม.
  • Mini Cooper: 72 กม.
  • Nissan Qashqai: 69 กม.
  • Volkswagen Golf: 67 กม.
  • Audi A3: 67 กม.
  • Ford Focus: 64 ไมล์
  • Volkswagen Polo: 62 กม.
  • Ford Fiesta: 59 กม.

สำหรับรถรุ่นอื่น ๆ ทั่วไปในท้องตลาด จากผลสำรวจแห่งเดียวกันระบุว่า เมื่อไฟแจ้งเตือนรถน้ำมันหมดติดขึ้น รถยนต์ทั่วไปก็ยังคงสามารถขับไปได้อยู่จนกว่าน้ำมันที่มีจะเกลี้ยงถัง ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วจะสามารถขับไปได้อีก 40 – 50 กม. อย่างไรก็ตาม ผู้ขับขี่ก็ไม่ควรรอจนน้ำมันเกลี้ยงถัง เมื่อมีไฟแจ้งเตือน หรือ หากให้ดีคือก่อนขึ้นไฟแจ้งเตือน ควรรีบหาปั๊มที่ใกล้ที่สุดทันที ควรคำนวณระยะทางให้พอดีที่จะถึงปั๊มน้ำมันต่อไป

ไฟเตือนรถน้ำมันหมดขึ้นบ่อยๆ ต้องคอยเช็คดีๆ

การปล่อยให้เกิดไฟเตือนรถน้ำมันหมดขึ้นบ่อยๆ ไม่ได้ดีอย่างที่คิด เพราะเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องคอยระมัดระวัง ผู้ขับขี่ต้องคอยเช็คดี ๆ เพราะน้ำมันที่เหลือน้อยจนไฟสัญญานเตือนนั้นหมายถึง ‘ปั๊มติ๊ก’ หรือตัวปั๊มที่ทำหน้าที่ในการดูดน้ำมันจากถังส่งไปเลี้ยงเครื่องยนต์เพื่อใช้ในการจุดระเบิดจะต้องทำงานหนักกว่าปกติ หากปั๊มติ๊กทำงานหนัก ปั๊มติ๊กจะร้อนเกินไปอาจส่งผลให้ปั๊มติ๊กพัง ใช้งานไม่ได้ เติมน้ำมันไปแต่รถก็สตาร์ทไม่ติด ไปจนถึงอาจส่งผลต่อการทำงานของเครื่องยนต์ในระยะยาวอีกด้วย หากคุณไม่อยากให้เกิดกรณีแบบนี้ขึ้นกับรถของคุณ ควรหมั่นตรวจเช็คปั๊มติ๊กและอย่าให้เกิดไฟเตือนรถน้ำมันหมดบ่อย ๆ เป็นสิ่งที่ดีที่สุดนั่นเอง

How-Far-To-Go-Without-Gas

วิธีปฎิบัติเมื่อไฟเตือนรถน้ำมันหมดโชว์ขึ้นมา

นี่เป็นวิธีง่าย ๆ ที่จะช่วยยืดระยะเวลารถดับออกไปได้ เมื่อไฟเตือนรถน้ำมันหมด สิ่งแรกที่ต้องทำคือ พยายามทำให้รถใช้พลังงานน้ำมันน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างเช่น ปิดแอร์ หรือขับขี่ในอัตราเร่งคงที่เพื่อลดพลังงานที่ใช้น้ำมันน้อยลง ประมาณว่าใช้น้ำมันทุกหยดอย่างคุ้มค่า เป็นการเซฟให้ได้ระยะทางที่ไกลมากขึ้น เซฟน้ำมันให้ได้มากที่สุดเท่าที่น้ำมันมีเหลืออยู่ในถังจะทำได้ แต่วิธีที่ดีที่สุดถ้าไม่อยากเจอปัญหารถน้ำมันหมด ควรเติมน้ำมันไว้ให้เต็มถังอยู่ตลอดเวลาจะดีกว่า เมื่อเห็นว่าน้ำมันรถเหลือน้อยก็แวะปั๊มเติมให้เต็มไว้ทันที ปลอดภัยสุด ไม่ต้องคอยกังวลว่าเครื่องยนต์จะดับแล้วต้องวนหาปั๊มก่อนที่เครื่องยนต์จะดับเพื่อทำเวลา และปัญหาอื่น ๆ อีกมากมาย

สิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อไฟเตือนน้ำมันหมด คือ ควบคุมความเร็วของรถให้เหมาะสมกับเครื่องยนต์ พยายามควบคุมความเร็วให้คงที่ เพื่อเป็นการลดอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง โดยข้อควรปฏิบัติเมื่อน้ำมันใกล้หมด มีดังนี้

  1. หาปั๊มที่ใกล้ที่สุดเพื่อเติมน้ำมัน พยายามหาปั๊มที่อยู่ในรัศมีไม่เกิน 30-40 กม.
  2. อย่าเบรกบ่อย หรือ ลดความเร็วโดยไม่จำเป็น เพราะการเบรก ลด หรือเร่งความเร็วบ่อย ๆ จะทำให้ใช้พลังงานจากน้ำมันมากขึ้น
  3. พยายามหลีกเลี่ยงการใช้ไฟฟ้าภายในรถทั้งหมด เพื่อลดพลังงานแบตเตอรี่ เช่น ปิดแอร์ ปิดวิทยุ เนื่องจากมีส่วนทำให้น้ำมันหมดเร็วเช่นกัน
  4. ปิดกระจก เพื่อไม่ให้ลมจากภายนอกเข้ามาภายในรถยนต์ เพราะลมที่เข้ามาจะทำให้มีอากาศในรถมากขึ้น ส่งผลให้รถต้องใช้แรงวิ่งมากขึ้นเพราะมีมวลอากาศอยู่ด้านใน
  5. หลีกเลี่ยงถนนที่มีการจราจรติดขัด หรือ เส้นทางที่มีหลุม บ่อ เพื่อลดการใช้พลังงานของเครื่องยนต์

หากน้ำมันหมดขึ้นมาจริงๆ จะทำอย่างไรดี?

ก่อนที่เครื่องยนต์จะดับจากสาเหตุ น้ำมันรถหมด จะมีอาการให้สังเกตุดังนี้ รถยนต์จะเกิดการกระตุกเหมือนเครื่องจะดับ เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ให้รีบขับรถไปยังพื้นที่ปลอดทันที หากขับอยู่เลนกลางให้ตบซ้ายชิดขอบฟุตบาททันที หรือหากอยู่บนทางด่วนแล้วเครื่องดับ ให้รีบโทรแจ้ง 1543 สายด่วนการทางพิเศษแห่งประเทศไทย หรือ 1586 สายด่วนกรมทางหลวงได้เลยทันที หรืออีกช่องทางจาก Roadside Assistance ของรถที่คุณขับขี่ได้เช่นกัน

สุดท้ายนี้ สิ่งที่ดีที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาน้ํามันรถหมด ควรเติมน้ำมันให้เต็มถังไว้เสมอ หากเกิดปัญหาน้ำมันรถหมดจริง ๆ ก็สามารถนำเทคนิคเหล่านี้ไปใช้ในการขับขี่ได้ ปลอดภัย มีประโยชน์แน่นอน

ถ้าหากคุณกังวลในเรื่องอุบัติเหตุบนท้องถนน การทำประกันรถยนต์ชั้น 1 จะมอบความคุ้มครองที่ครอบคลุมมากกว่าประกันรูปแบบอื่น ซึ่งที่ Roojai เราการันตีเบี้ยประกันราคาดีที่สุด ผ่อนชำระเบี้ยประกันผ่านบัตรเดดิตได้ 10 งวด

และถ้าไม่อยากพลาดโปรโมชั่นใหม่ ๆ และเรื่องราวดี ๆ ก็สามารถติดตามเราได้ผ่านทาง Official Fanpage: Roojai.com หรือ add Official Line ของเราไว้ได้เลย

Diesel-Change-Name-In-Thailand

หลังจากที่รัฐบาล โดย กรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน ได้มีมติเปลี่ยนแปลงชื่อของน้ำมันดีเซล ซึ่งมีการออกประกาศให้น้ำมันไบโอดีเซล B10 (น้ำมันดีเซลที่ผสมน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ 10% ในทุกลิตร) เป็นน้ำมันดีเซลเกรดมาตรฐานของประเทศ และให้เรียกชื่อว่า น้ำมันดีเซล โดยเริ่มใช้ในวันที่นี้ (1 ตุลาคม 2563) เป็นต้นไป

อ่านเพิ่มเติม : รายชื่อรุ่นรถยนต์ ที่สามารถเติมน้ำมันดีเซล B20 ได้ (Update ปี 2563)

อ่านเพิ่มเติม : กระจ่าง! ทำไมราคาน้ำมันไทย ต้องอิงราคาสิงคโปร์?

Diesel-Change-Name-In-Thailand

ซึ่งปั๊มน้ำมันทุกแห่ง ได้เตรียมการเปลี่ยนป้ายชื่อผลิตภัณฑ์ที่ตู้จ่าย และป้ายโฆษณาต่างๆ ให้เป็นไปตามประกาศของกรมธุรกิจพลังงาน เช่น “น้ำมันดีเซล B10” ก็ถูกเปลี่ยนเป็น “ดีเซล”

ส่วนน้ำมันดีเซลที่จำหน่ายในปัจจุบัน จะต้องเปลี่ยนชื่อเรียกเป็น “ดีเซล B7” ซึ่งจะใช้เป็นเกรดมาตรฐานของประเทศแทน

ในกรณีที่ปั้มน้ำมันนั้นๆ เช่น ปตท. มีน้ำมันดีเซลเกรดพรีเมี่ยมจำหน่ายด้วย ก็จะถูกเปลี่ยนชื่อไปด้วยตามนี้ ได้แก่

  • น้ำมันอัลตร้าฟอร์ซ ดีเซล บี10 (UltraForce Diesel B10) เปลี่ยนชื่อเป็น อัลตร้าฟอร์ซ ดีเซล (UltraForce Diesel)
  • น้ำมันอัลตร้าฟอร์ซ ดีเซล (UltraForce Diesel) เปลี่ยนชื่อเป็น อัลตร้าฟอร์ซ ดีเซล บี7 (UltraForce Diesel B7)
  • น้ำมันอัลตร้าฟอร์ซ ดีเซล พรีเมียม (UltraForce Diesel Premium) เปลี่ยนชื่อเป็น อัลตร้าฟอร์ซ ดีเซลพรีเมียม บี7 (UltraForce Diesel Premium B7)

และสำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่า รถยนต์ของตัวเองใช้น้ำมันดีเซลแบบไหนได้บ้าง? สามารถเช็คดูตามตารางดังกล่าวนี้ ว่ามีรถรุ่นที่คุณใช้อยู่หรือไม่ ใน Link นี้ได้เลยครับ https://www.doeb.go.th/data/bio/totaldiesel011063.pdf

ส่วนใครที่อยากขายรถ ไม่ว่าจะเป็นรถบ้าน รถมือสอง ก็สามารถปรึกษากับทางเราดูก่อนได้ เพียงแค่คุณขายรถคันเดิมกับ CARRO ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ CARRO Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

Carro-Roojai-Saving-Fuel-Even-In-A--Traffic-Jam

“น้ำมันก็เหลือน้อย รถก็ดันมาติดชนิดที่คุณไม่คาดคิดมาก่อน” เคยมั้ย ที่อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ สถานการณ์ที่ตลอดเส้นทาง ฝนตก รถติด การจราจรไม่เป็นใจ แล้วที่คิดไว้ว่าน้ำมันที่เหลือในถัง “คงพอ” ให้ไปถึงปลายทาง กลับต้องมาคิดใหม่อีกครั้งว่าจุดหมายอาจจะต้องเปลี่ยนเป็นแวะเติมน้ำมันรถที่ปั๊ม และต้องใช้ วิธีแก้รถซดน้ำมัน เข้าไปช่วย

เงื่อนไขที่คุณจะทำได้ในตอนที่รถติด น้ำมันก็เหลือในถังไม่มาก แล้วต้องการให้รถประหยัดน้ำมัน อาจมีข้อจำกัดสักหน่อย เทคนิคพื้นๆ ที่ว่าของเยอะๆ ที่อยู่ในรถ ให้เอาออกไป ให้รถแบกน้ำหนักน้อยลงเพื่อช่วยประหยัดน้ำมัน หรือจะบอกให้ไปเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง เป่ากรองอากาศ มันก็เหมือนเป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุ ซึ่งนำมาใช้ไม่ได้กับสถานการณ์เร่งด่วนนี้

Saving-Fuel-Even-In-A--Traffic-Jam

สิ่งที่คุณสามารถทำได้ คือการปรับลักษณะการขับขี่ในขณะที่น้ำมันรถเหลือในถังเพียงน้อยนิดซะมากกว่า ให้ทุกหยดของน้ำมันที่เหลือถูกใช้อย่างคุ้มค่า ไปได้ไกลมากที่สุด ถึงจุดเติมน้ำมันรถที่ปลายทางและไม่ดับตายอยู่กลางถนน

Roojai.com จะพาคุณไปดูวิธีประหยัดน้ำมันรถที่จะช่วยให้รถของคุณไปได้ไกลกว่าเดิม โดยเฉพาะตอนที่รถติดหนักๆ คุณจะได้ไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์น้ำมันรถหมด ต้องจอดตายอยู่กลางทาง วิธีการมีดังต่อไปนี้

Saving-Fuel-Even-In-A--Traffic-Jam

1. ปิดแอร์ ปิดเครื่องเสียง

ส่วนของอุปกรณ์ในรถยนต์ที่มีการใช้ไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ มีผลโดยตรงต่ออัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศในรถ ยิ่งเปิดแรงมาก รถก็กินน้ำมันมาก ด้วยการทำงานของไดชาร์จที่ต้องทำหน้าที่ปั่นไฟเข้าไปในแบตฯ ให้เต็ม และการปิดแอร์จะเป็นการช่วยลดภาระของเครื่องยนต์ให้ไม่ต้องทำงานหนักเหมือนปกติ ส่งผลให้มีการดึงน้ำมันมาใช้สำหรับการเผาไหม้น้อยลง รถก็ใช้น้ำมันน้อยลง

และเช่นเดียวกัน ที่ส่วนของเครื่องเสียงภายในรถนั้นก็เป็นอีกส่วนของอุปกรณ์ใช้ไฟฟ้าในรถที่คุณสามารถเลือกปิดไม่ใช้งานได้ ช่วยให้ประหยัดน้ำมันได้อีกหน่อย ถึงแม้จะไม่มากถึงขั้นต้องว้าว! แต่มันก็อาจจะทำให้รถของคุณไปถึงจุดเติมน้ำมันรถและเลี่ยงไม่ต้องไปจอดกลางทางได้เหมือนกัน

Saving-Fuel-Even-In-A--Traffic-Jam

2. รถติดนาน ๆ ให้ใส่เกียร์ว่าง

บางคนด้วยความเคยชินก็เลือกที่จะใส่เกียร์ D ทิ้งไว้ทั้งที่รถยังติดอยู่วิ่งไปไหนไม่ได้ เพราะคิดว่าเดี๋ยวก็ไฟเขียวรถก็เลื่อนออกไป ไม่ต้องมานั่งเลื่อนเกียร์ไปมา ทว่าบ่อยครั้งสิ่งที่คาดไว้ไม่เป็นอย่างที่คิด รถเลื่อนไปได้นิดเดียวก็ติดอีกยาวๆ เผลอๆ คุณก็ใส่เกียร์ D ทิ้งไว้นานเกินไปด้วย จนทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักกว่าที่ควรจะเป็น ด้วยเหตุของการทำงานจากตัวเกียร์ ถ้าเกียร์มาอยู่ในตำแหน่งเกียร์ว่างหรือตัว N จะสามารถประหยัดน้ำมันรถได้มากกว่า

เพราะฉะนั้นเพื่อความประหยัดน้ำมันรถสูงสุด เมื่อคุณพิจารณาสภาพการจราจรแล้วว่าติดหนัก อย่าลืมเปลี่ยนเกียร์ให้ไปอยู่ในสถานะที่เหมาะสม ยิ่งบางคันที่มีระบบ Auto Hold ตัวรถช่วยเบรกไว้ให้อัตโนมัติ ไม่ต้องเหยียบเบรกค้างไว้ ยิ่งควรที่จะคอยปรับเลื่อนเกียร์ให้เหมาะ เพราะบางทีขับรถเพลิน ๆ อาจทำให้เข้าใจผิดว่าคุณเปลี่ยนเกียร์เป็น N ใส่เกียร์ว่างแล้ว แต่ที่จริงรถยังเร่งอยู่เบาๆ ที่เกียร์ D อยู่จากการทำงานของระบบนี้

Saving-Fuel-Even-In-A--Traffic-Jam

3. ค่อยๆ ออกตัว

เหยียบคันเร่งหนักๆ ให้รถออกตัวกระชากแรงๆ ก็ไม่ต่างกับการเร่งให้น้ำมันรถหมดเร็วขึ้น เพราะตัวเครื่องยนต์ต้องมีการดึงน้ำมันมาใช้เยอะกว่าปกติเพื่อตอบสนองการเหยียบคันเร่งแรง ๆ และนั่นอาจไม่เหมาะเท่าไรในยามที่น้ำมันทุกหยดมีค่า รถติดๆ แล้วน้ำมันรถใกล้หมด ดังนั้นการเลือกที่จะค่อยๆ เร่งออกตัวอย่างช้าๆ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าถ้าปลายทางท้ายสุดของคุณคือเรื่องความประหยัดเป็นที่ตั้งเหนือสิ่งอื่นใด

Saving-Fuel-Even-In-A--Traffic-Jam

4. เปลี่ยนเส้นทางใหม่

จะเปลี่ยนเพื่อให้ได้เจอปั๊มน้ำมันที่ใกล้ที่สุด หรือเพื่อหนีรถติดก็มีประโยชน์ด้วยกันทั้งนั้น ถ้าข้อแม้ของคุณเป็นเรื่องระดับของน้ำมันรถที่อยู่ในถังซึ่งใกล้จะหมด ควรเลือกใช้เส้นทางใหม่ถ้าเป็นไปได้ ที่สำคัญอาจต้องรีบตัดสินใจด้วยอย่าปล่อยทิ้งไว้จนน้ำมันรถใกล้หมด อาจจะเป็นการใช้แอปฯ เพื่อช่วยหาปั๊มน้ำมันรถที่ใกล้ที่สุดก่อนเพื่อแวะไปเติม แล้วค่อยกลับเข้าสู่เส้นทาง หรือหาเส้นทางใหม่เพื่อหนีรถติด ก็ได้ทั้งนั้น

อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณไม่มีทางเลือก จำเป็นที่จะต้องอยู่บนเส้นทางที่รถติด คำแนะนำในข้อก่อนหน้าก็อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในขณะที่คุณอยู่หลังพวงมาลัย

ทั้งหมดนี้ คือวิธีประหยัดน้ำมันยามรถติด เพียงปรับรูปแบบการขับขี่ของคุณเท่านั้น หลังจากแนะนำเทคนิคประหยัดน้ำมันรถไปแล้ว เราขอแนะนำเทคนิคประหยัดเบี้ยประกันรถยนต์บ้าง ถ้าคุณกำลังมองหาทางเลือกในการทำประกันรถยนต์ Roojai.com เสนอราคาที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับผู้ขับขี่ปลอดภัย หากเจอที่อื่นถูกกว่า เราคืนเงิน 100% สามารถผ่อนชำระได้ผ่านบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต เช็คราคาออนไลน์ หรือปรับแผนความคุ้มครองเองได้ตามความเหมาะสมเลย

Carro-Roojai-How-To-Take-Care-Of-Unused-Car

ช่วงที่ ไวรัส โคโรนา (COVID-19) กลายเป็นสิ่งที่น่ากลัว ทุกคนต้องปรับตัวเองกับคำว่า “Social Distancing” เว้นระยะห่างจากบุคคลทั่วไป หลายคนก็ต้องทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) อยู่แต่บ้านไม่ค่อยได้ไปไหน ซึ่งรถของคุณก็จะไม่ค่อยได้ใช้งานไปโดยปริยาย ต้องจอดรถไว้นานควรทำอย่างไร ต้องดูแลยังไงให้รถพร้อมใช้งานได้ตลอดเวลา

Roojai.com ไม่ได้เป็นห่วงรถคุณแค่เรื่องประกันภัยเพียงอย่างเดียว เราก็อยากให้คุณไม่เกิดปัญหาในการใช้งานรถด้วย ยิ่งในสภาวะเช่นนี้ รถไม่ค่อยได้ใช้งาน ต้องจอดรถทิ้งไว้นาน ๆ ย่อมส่งผลให้ตัวรถเกิดปัญหา แล้วพอจะใช้ทีก็ต้องมานั่งซ่อมที แบบนี้ไม่ดีแน่! ควรทำอย่างไรไปดูกันเลย

จอดรถไว้นานควรทําอย่างไร ในช่วงที่ โคโรนา เป็นภัย

How-To-Take-Care-Of-Unused-Car

1. หมั่นดูแลรถให้สะอาดอยู่เสมอ

ไม่ได้ใช้รถนานๆ บางทีคราบขี้นก ยางต้นไม้หยดใส่รถแต่ว่าคุณไม่รู้ ต้องหมั่นตรวจสอบอยู่เสมอ ถ้ามีคราบมีรอยเมื่อเห็นให้ล้างออกโดยทันทีก่อนที่ตัวคราบนั้น ๆ จะเข้าไปทำลายสีรถของคุณ ล้างไม่ออก ขัดยังไงก็ไม่หลุด เป็นเหมือน “ตราบาป” ติดรถของคุณไปตลอด

How-To-Take-Care-Of-Unused-Car

2. หาที่จอดรถที่เหมาะสม

คำว่า “เหมาะสม” ในที่นี้บริบทของมันใช่เพียงแค่ว่าจอดรถในที่ร่มไม่โดนแดดไม่โดนฝนเท่านั้น แต่พื้นที่โดยรอบของที่จอดรถและตำแหน่งการจอดนั้น ไม่ควรเป็นพื้นที่รกร้างที่อาจมีสัตว์นานาชนิดแอบใช้รถของคุณเป็นที่พักผ่อนได้ เช่น หนูหรืองู จอดรถนาน ๆ ไม่ได้ใช้ทุกวันตรงจุดนี้ต้องระวังให้ดี

How-To-Take-Care-Of-Unused-Car

3. หมั่นเปิดฝากระโปรงบ่อยๆ

ใต้ฝากระโปรงอาจเป็นแหล่ง “มั่วสุม” ของพวกหนูซึ่งมันอาจนำความพินาศมาสู่รถคุณได้ เข้าไปกัดสายไฟจนขาด นำอาหารไปกินแล้วทิ้งไว้ในห้องเครื่องเป็นขยะ ซึ่งถ้าไม่คอยเปิดเช็กฝากระโปรง ปิดสนิททิ้งไว้เป็นอาทิตย์บอกเลยว่า “บันเทิงแน่นอน” เปิดมาดูที รถของคุณอาจจะสตาร์ทไม่ติดหรือเห็นเศษขยะสะสมมากมายที่พวกมันมาแทะกัดแล้วทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า การเปิดฝากระโปรงทิ้งไว้หรือคอยเปิดบ่อย ๆ สามารถช่วยได้ เพื่อไม่ให้พวกสัตว์ต่าง ๆ เห็นว่าในห้องเครื่องของรถคุณเป็นที่หลบภัยของมันนั่นเอง

How-To-Take-Care-Of-Unused-Car-4

4. 3-4 วัน สตาร์ทรถสักที

บางคนอาจแนะนำว่าให้สตาร์ทรถสัปดาห์ละครั้งก็ได้ แต่เราอยากให้ความถี่ในการสตาร์ทรถของคุณมากขึ้นสักหน่อย เป็นสัก 3-4 วันให้เครื่องยนต์และระบบต่าง ๆ ของตัวรถได้ทำงาน ทั้งระบบไฟ ระบบแอร์ และอื่น ๆ รอบคัน สตาร์ททิ้งไว้สัก 10-15 นาทีให้ไฟได้ชาร์ทเข้าแบตฯ ไว้บ้าง หรือจะให้ดีกว่านั้นสตาร์ททั้งทีก็ขับวนรอบหมู่บ้านสักรอบสองรอบ ก็จะยิ่งช่วยให้ระบบช่วงล่างของรถได้ทำงานบ้างได้ด้วยอีกต่างหาก

How-To-Take-Care-Of-Unused-Car

5. เติมลมให้ “แข็งขึ้น” สักเล็กน้อย

รถไม่ค่อยได้ขับ จอดทิ้งไว้นาน ๆ ขับอุ่นเครื่องแต่ในหมู่บ้านไม่ได้เอาออกไปไหน เพื่อรักษาสภาพยางรถยนต์ของคุณให้ยังดีอยู่เสมอก็ควรเติมลมยางให้แข็งกว่าปกติสักหน่อย เพิ่มขึ้นสัก 5 ปอนด์จากมาตรฐานก็สามารถช่วยให้ตอนที่น้ำหนักเมื่อกดทับยางตอนจอดนิ่งนาน ๆ ไม่เสียรูป ใช้งานได้อีกยาวๆ

สำคัญไปกว่านั้นต้องหมั่นตรวจเช็กแรงดันลมยางอย่างสม่ำเสมอด้วย ไม่ควรปล่อยให้ลมยางอ่อนจนยางแบนล้อเกือบติดพื้น นอกจากมันจะไม่ดีกับสภาพยางของรถคุณแล้ว ตอนจะขับใช้งานทีก็อาจต้องถอดล้อไปเติมลมยาง เสียเวลาซ่อมอีกต่างหาก วัดลมยางบ่อย ๆ พอเห็นว่าเริ่มอ่อนก็ขับไปเติมไว้นี่แหละดีที่สุด

How-To-Take-Care-Of-Unused-Car

6. อย่ามองข้ามของเหลวของเครื่องยนต์

แม้ว่าคุณจะไม่ค่อยได้ใช้รถบ่อย ๆ ก็ตาม แต่เชื่อว่าคงไม่มีใครปลื้มหลอกถ้าจะขับทีต้องซ่อมที ดังนั้นเรื่องของเหลวในส่วนต่าง ๆ ของเครื่องยนต์คือสิ่งที่มองข้ามไม่ได้ ควรหมั่นตรวจเช็กให้อยู่ในระดับที่ตัวรถต้องการอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นระบบหล่อเย็น น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรก ฯลฯ ต้องเช็กให้ดีทุกส่วน

How-To-Take-Care-Of-Unused-Car

7. ถอดขั้วแบตเตอรี่

ถ้ารู้ว่าจะไม่ค่อยได้สตาร์ทรถนาน ๆ หลายสัปดาห์หรือเป็นเดือน ถอดขั้วแบตฯ ไปเลยน่าจะดีกว่า เพราะต้องไม่ลืมว่าแม้รถจะไม่ได้สตาร์ทแต่ระบบต่าง ๆ ของรถที่ต้องใช้ไฟยังทำงานอยู่ ซึ่งหมายความว่าตัวแบตฯ ก็ต้องจ่ายไฟ แล้วถ้าไม่ได้สตาร์ทรถชาร์จไฟก็อาจทำให้แบตฯ “เกลี้ยง” ได้ พอตอนจะสตาร์ทก็สตาร์ทไม่ติด ทางที่ดีถ้ารู้ว่าจะไม่ได้ใช้รถนาน ๆ ให้ถอดขั้วแบตฯ ออกเลยดีที่สุด

โคโรนา ไวรัสอาจทำให้หลาย ๆ คนต้องปรับตัว ซึ่งคนใช้รถ จอดรถไว้นานควรทำอย่างไร ทั้งหมดน่าจะเป็นคำตอบให้กับทุกคนแล้ว และถึงแม้รถจะจอดไว้ไม่ได้ใช้นาน ๆ เรื่องประกันภัยรถยนต์ก็ยังคงเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องมี เพื่อให้ตอนที่ใช้รถก็จะสามารถขับขี่ได้อย่างมั่นใจ เพราะอุบัติเหตุสามารถเกิดขึ้นกับทุกคนได้ อันตรายไม่น้อยกว่า ไวรัส โคโรนา (COVID-19) ซึ่งสามารถซื้อประกันโควิดออนไลน์ เบี้ยต่ำ คุ้มครองสูง กับเราได้แล้ววันนี้ เลือกทำประกันไว้อุ่นใจกว่า

Carro-How-To-Prep-Your-Car-For-Long-Term-Storage

ในช่วงเวลาที่ไวรัสโควิด-19 กำลังระบาดในบ้านเราและในทั่วโลก ซึ่งก่อให้เกิดผลร้ายมหาศาลทั้งทรัพย์สินและชีวิต เศรษฐกิจก็ได้รับผลกระทบอย่างหนัก เนื่องจากประชากรทั่วโลกไม่ได้ไปมาหาสู่กัน ทำให้การเดินทางนั้นหยุดชะงัก

ในแง่ดีของเวลานี้คือ ได้มีเวลาใช้ชีวิตที่ผ่อนคลายมากขึ้น ไม่ต้องเดินทางไกลไปทำงาน อีกทั้งในบ้านเรายังมีนโยบาย “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ได้เดินทางไหน นอกจากอยู่บ้าน Work From Home หรือดูหนังฟังเพลง รถยนต์จากที่เคยใช้งานประจำ ก็ต้องจอดรถทิ้งไว้นานนับสัปดาห์ หรือนานเป็นเดือน

ขึ้นชื่อว่าเครื่องจักรแล้ว ถ้าไม่ได้ใช้งานๆ ไม่เป็นผลดีแน่นอน MR.CARRO จะมาเสนอ 5 วิธี ดูแลรถจอดไว้นาน ช่วง “อยู่บ้านเพื่อชาติ” ครับ.

1. ดูแลแบตเตอรี่ สตาร์ทรถบ้าง

การจอดรถทิ้งไว้เป็นระยะเวลานานๆ นับสัปดาห์หรือนับเดือน โดยไม่ได้สตาร์ทเครื่องยนต์เลย ส่งผลให้แบตรถยนต์เสื่อมสภาพไว และแบตเตอรี่รถหมดได้ อย่าลืมว่าระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ในรถ เช่น วิทยุ หรือสัญญาณกันขโมย ยังต้องใช้ไฟจากแบตเตอรี่หล่อเลี้ยงการทำงานอยู่ตลอดเวลา แม้จะไม่ได้สตาร์ทรถก็ตาม

เพื่อป้องกันรถแบตหมด ควรสตาร์ทรถบ้าง อย่างน้อยๆ ทุกๆ 2 วัน หรือทุกอาทิตย์ ติดเครื่องทิ้งไว้ครั้งละประมาณ 10-15 นาที หรือเอารถออกไปขับให้ได้ระยะทางหลายๆ กิโลเมตรสักหน่อย เพื่อชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่ เพื่อให้ชิ้นส่วนต่างๆ ภายในรถได้เคลื่อนไหวบ้าง ไม่งั้นพอจะใช้งาน แบตรถยนต์หมด ต้องเสียเวลามาจัมพ์แบตเตอรี่อีก

How-To-Prep-Your-Car-For-Long-Term-Storage

2. เติมลมยาง

รถที่ถูกจอดทิ้งไว้นานๆ น้ำหนักของรถจะกดให้ยางจุดที่รับน้ำหนักนั้นแบนลง และอาจจะเสียรูปได้ ถ้ารถไม่ได้ขับ ก็เติมลมยางให้แข็งไว้ก่อน ถ้าสงสัยว่ารถคุณแรงดันลมยางกี่ปอนด์ ให้ดูได้จากสติ๊กเกอร์ที่ติดอยู่ตรงเสาประตูข้างคนขับ หรือในคู่มือการใช้รถ ตรวจเช็คลมยางอาทิตย์ละครั้ง เพื่อรักษาลมยางให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

หมั่นเติมลมยางรถยนต์ และเติมลมยางกระบะอยู่เสมอ ให้พร้อมใช้งาน แต่ถ้าคิดว่าไม่ได้ใช้รถนานจริงๆ ก็หาแม่แรง หรือสามขามายกรถไว้เลยก็ได้ ป้องกันยางเสียสภาพ

3. จอดรถในที่เหมาะสม และล้างรถบ้าง

เมืองไทยขึ้นชื่อว่าแดดร้อนสุดๆ นี่ล่ะที่จะทำให้วัสดุส่วนที่เป็นยาง หนัง หรือพลาสติกต่างๆ รอบคันรถ กรอบแตกเสื่อมสภาพได้ และยังทำลายสีรถ แลกเกอร์ที่เคลือบไว้ลอก ทำให้สีซีดได้ จึงควรเก็บรถไว้ในที่ร่ม ถ้ามีผ้าคลุมรถก็คลุมซะ แล้วหาโอกาสล้างรถบ้าง เพื่อรักษาสีรถ

และควรหลีกเลี่ยงการจอดใต้ต้นไม้ใหญ่ เช่น ต้นมะม่วง ต้นจามจุรี ต้นไทร ต้นโพธิ์ หรือต้นหูกวาง ฯลฯ เนื่องจากกิ่งไม้ ฝัก เมล็ด หรือยางไม้ อาจหักหรือหล่นมาโดนรถ รวมไปถึงขี้นกด้วย และการจอดในบริเวณพงหญ้าและจุดทิ้งขยะ ก็มีโอกาสที่มด แมลงสาบ จิ้งจก หรือหนู บุกยึดส่วนต่างๆ ของรถคุณได้

How-To-Prep-Your-Car-For-Long-Term-Storage

4. อย่าดึงเบรกมือ

รถที่จอดนานๆ ไม่ควรดึงเบรกมือค้างไว้ เพราะเบรคอาจติดได้ และอาจเจอปัญหาขยับรถไม่ได้ หากต้องการไม่ให้รถไหล ใช้บล็อก หรือวัสดุอื่นที่ไม่ทำความเสียหายกับยางรถยนต์วางไว้แทน

5. ถ่ายน้ำมันเครื่อง เติมน้ำมันให้เต็มถัง

น้ำมันเครื่องที่ใช้งานมาแล้ว มักมีสิ่งปนเปื้อน เศษเหล็กเศษผงต่างๆ ในอ่างน้ำมันเครื่อง และมีสภาพเป็นกรด อาจทำลายชิ้นส่วนในเครื่องยนต์ได้ ถ้าจอดรถนานนับเดือนขึ้นไป ลงทุนถ่ายน้ำมันเครื่องใหม่ดีกว่า

และอย่าลืม หาโอกาสเติมน้ำมันให้เต็มถังไว้ เพราะป้องกันความชื้นที่จะกลั่นตัวเป็นหยดน้ำได้ และช่วยป้องกันการเกิดสนิมภายในถังน้ำมัน (กรณีรถรุ่นเก่าๆ ที่ถังน้ำมันเป็นแบบโลหะ)

และนี่ก็คือ “เคล็ดไม่ลับ” ในการดูแลรถยนต์ช่วง “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” นะครับ!

หากช่วงนี้ ใครกำลังอยากขายรถคันเดิมอยู่ สามารถขายรถคันเดิมของคุณกับทาง CARRO ดูได้ โดยได้ราคาที่ดีที่สุด รับประกันความพึงพอใจ พร้อมปิดการขายภายใน 24 ชั่วโมง! กับ CARRO Express แค่คลิก -> https://th.carro.co/sell-car/express หรือจะ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

และอีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ ซื้อรถ คลิก -> https://th.carro.co/taladrod/allcar/carro 

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่หาไม่ได้ สามารถสั่งตามออเดอร์ได้ที่นี้ > https://th.carro.co/buy-car หรือโทร. 02-508-8690 อีกทั้งยัง Inbox เข้ามาสอบถามก็ได้เช่นกันได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง หรือทาง Line เชิญเลยครับที่ @carroautomall

“สิงคโปร์” (Singapore) เป็นประเทศเล็กๆ ที่คนทั่วโลกรู้จักกันดี ในฐานะเกาะเล็กๆ (ที่เป็นประเทศด้วย) ที่แยกตัวออกมาจากประเทศมาเลเซีย มีพื้นที่แค่เพียง 718.3 ตร.กม. ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติเหมือนประเทศอื่น มีเพียงทรัพยากรมนุษย์เท่านั้น แต่สามารถสร้างประเทศ ให้เป็นศูนย์กลางทางการค้าขาย ในระดับ ASEAN และในระดับโลกได้

เป็นศูนย์รวมของบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลก มีสำนักงานในประเทศนี้ และศูนย์รวมเรือสินค้าจากทั่วโลก เพราะมีท่าเรือขนส่งสินค้าปลอดภาษี ให้ผู้ซื้อ-ผู้ขาย มาทำการซื้อขายได้ที่นี่ ด้วยความที่สิงคโปร์เป็น “พ่อค้าคนกลาง” นั่นเอง

ตัวประเทศสิงคโปร์เอง ยังมีฐานะทางเศรษฐกิจดี (แม้ว่าช่วงนี้ อาจจะมีอาการ “สะดุด” ออกมาให้เห็นอยู่บ้างก็ตาม) จากการพัฒนาเศรษฐกิจด้านการค้ามาหลายสิบปี อีกทั้งยังมีแรงงานต่างชาติ ที่นิยมเข้าไปทำงานเป็นจำนวนมากอีกด้วย

พอย้อนกลับมาที่หัวเรื่อง ก็สงสัยว่าแต่ทำไม? ประเทศไทย เวลาปรับขึ้นหรือลงราคาน้ำมัน ถึงต้องอิงราคาน้ำมัน จากประเทศสิงคโปร์ด้วย?

ทำไมราคาน้ำมันไทยต้องอิงสิงคโปร์

ทางสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน มีรายละเอียดอธิบายดังนี้ …

สาเหตุที่ต้องอ้างอิงราคาสิงคโปร์ นั่นหมายถึง เป็นราคาที่สะท้อนถึงการซื้อ-ขาย ของทุกประเทศ ในภูมิภาคนี้

1. สะท้อนต้นทุนการนำเข้าของไทยในระดับต่ำสุด ตลาดสิงคโปร์เป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุด ในภูมิภาคเอเซีย ซึ่งใกล้ไทยมากที่สุด ดังนั้น ต้นทุนในการนำเข้า จึงเป็นต้นทุนที่ถูกที่สุดที่โรงกลั่นไทยต้องแข่งขันด้วย

2. ปริมาณการซื้อ-ขาย สูง ซึ่ง สิงคโปร์ จะเป็นตลาดที่ซื้อขายน้ำมันเช่นเดียวกับนิวยอร์ค (NYMEX) โดยน้ำมันที่ทำการซื้อขาย อาจไม่ได้เก็บไว้ในสิงคโปร์ แต่จะมีการตกลงซื้อขายในสิงคโปร์ เนื่องจากจะมีบริษัทที่ทำธุรกิจซื้อขายน้ำมัน มาเปิดดำเนินการในสิงคโปร์ ปริมาณการซื้อขายน้ำมันในสิงคโปร์ จะอยู่ในระดับสูงเช่นเดียวกับตลาดใหญ่ ในพื้นที่อื่น (ยุโรป อเมริกา ตะวันออกกลาง) ซึ่งทำให้ยากต่อการปั่นราคา

โดยผู้ซื้อหรือผู้ขาย และราคาจะสะท้อน จากความสามารถในการจัดหา และความต้องการน้ำมันของภูมิภาคนี้

3. ราคาสะท้อนความสามารถในการจัดหา และความต้องการของเอเซีย แม้สิงคโปร์จะมีกำลังการกลั่นรวมอยู่ที่ 1.5 ล้านบาเรลต่อวัน ซึ่งยังเป็นระดับที่ต่ำกว่า จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ แต่การกลั่นของสิงคโปร์ เป็นการกลั่นเพื่อส่งออก ในขณะที่ประเทศที่มีกำลังกลั่น มากกว่าสิงคโปร์ดังกล่าว เป็นการกลั่นเพื่อใช้ในประเทศเป็นหลัก เมื่อเหลือแล้วจึงส่งออก จากการกลั่นเพื่อส่งออกเป็นหลัก ทำให้ราคาจำหน่ายของตลาดสิงคโปร์ จะสะท้อนราคาส่งออกที่แท้จริง ซึ่งจะสะท้อนความสามารถในการจัดหา และสภาพความต้องการนำน้ำมันสำเร็จรูป ของภูมิภาคเอเซีย

ทำไมราคาน้ำมันไทยต้องอิงสิงคโปร์

4. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ เป็นฐานกำหนดราคาส่งออกของประเทศต่างๆ แม้ว่าการส่งออกของสิงคโปร์จะเริ่มลดลง เพราะมีกำลังกลั่นเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ แต่ราคาที่ส่งออกของประเทศต่างๆ ยังคงใช้ราคาน้ำมันของตลาดสิงคโปร์ เป็นฐานในการกำหนดราคาส่งออก และการซื้อขายเพื่อส่งออกจากประเทศต่างๆ ยังทำการซื้อขายที่สิงคโปร์เป็นหลัก

5. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปตลาดสิงคโปร์ เปลี่ยนแปลงสอดคล้องกับตลาดอื่นๆ ทั่วโลก สพช. ได้ศึกษาการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันในตลาดต่างๆ ได้แก่ ตลาดตะวันออกกลาง ตลาดยุโรป ตลาดอเมริกา และตลาดจรสิงคโปร์พบว่า ราคาน้ำมันสำเร็จรูปทุกตลาดต่างปรับตัวเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน และในระดับที่ใกล้เคียงกัน อาจมีบางช่วงที่ราคา ของบางตลาดเปลี่ยนแปลงในทิศทาง หรือระดับที่แตกต่างกับตลาดอื่นๆ ซึ่งเป็นเพราะภาวะที่ความต้องการ และปริมาณน้ำมันในตลาด ไม่มีความสมดุลในช่วงเวลานั้นๆ

แต่ต่อมาราคาที่แตกต่างจากตลาดอื่นมาก จะทำให้เกิดการไหลเข้า / หรือออกของน้ำมันจากตลาดอื่น จนทำให้ระดับของราคาตลาดนั้น ปรับตัวสู่ภาวะสมดุลกับตลาดอื่น ทั้งนี้ เนื่องจากน้ำมันสำเร็จรูปที่จำหน่ายในทุกตลาด เป็นสินค้าภายใต้ระบบการค้าเสรี และเป็นสากล

6. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดสิงคโปร์ ผันผวนน้อยกว่าตลาดอื่นๆ จากการสังเกตความเคลื่อนไหว ของราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดต่างๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาพบว่า ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ มีความผันผวนน้อยกว่าตลาดอื่นๆ

และการปรับตัวของราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ ในช่วงที่มีความแตกต่างจากตลาดอื่นมาก ตลาดสิงคโปร์จะใช้เวลาในการปรับตัวสู่สมดุลในเวลาประมาณ 1-3 วัน ซึ่งจะเห็นว่าการแข็งตัวของราคาน้ำมันสำเร็จรูป ในเดือนมีนาคมในตลาดจรสิงคโปร์ ได้ปรับตัวสู่ระดับปกติในช่วงหลังของเดือน

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ วีระ ธีรภัทร

และอันนี้เป็นความคิดเห็นในส่วนของ “วีระ ธีรภัทร” หรือ วีระ ธีระภัทรานนท์ ผู้จัดรายการชื่อดังจากรายการ คุยได้ คุยดี “Talk News & Music” ที่กล่าวไว้ในรายการเมื่อวันที่ 16 ก.ย. 2562 จากความทรงจำ …

“ราคาอ้างอิงสิงคโปร์ คือราคาหน้าโรงกลั่นประเทศไทย ที่อ้างอิงราคาจากที่สิงคโปร์ ไม่ใช่ราคาน้ำมันดิบ และราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ปั้มน้ำมันในประเทศสิงคโปร์

ทำไมถึงใช้อ้างอิงกัน ทั้ง ญี่ปุ่น, เวียดนาม, อินโดนีเซีย เป็นต้น เพราะสิงคโปร์ มีการซื้อ-ขาย น้ำมัน ในสิงคโปร์มากที่สุดในภูมิภาคนี้ เปรียบเหมือน “ตลาดไท” ในบ้านเรา เราเชื่อว่าราคาส้มโอ หรือแตงโมที่ตลาดไท น่าจะถูกกว่าที่ตลาดสดติดบ้านเรา คุณคิดว่าถูกกว่า? หรือแพงกว่า?

แล้วทำไมเราใช้ราคาอ้างอิงที่ถูกกว่า เพราะเราใช้ราคาที่อื่นไม่ได้แล้ว อันนี้คือวิธีคิด ฉันใดฉันนั้น เพราะผู้ซื้อผู้ขายเยอะ และราคานี้ก็ขึ้นลงได้เร็ว เพราะ Demand / Supply เยอะ

ถ้าถามว่าเราไม่ใช้ราคานี้ได้ไหม ได้ ก็อิงจากราคาหน้าโรงกลั่นไป

แต่ถ้าคุณทำราคาได้ต่ำกว่าราคาอ้างอิงที่สิงคโปร์ คุณก็ได้กำไรไป”

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์คันใหม่ให้เหมาะกับโรงรถบ้านคุณ มาขายรถกับทาง Carro Express สิ! คลิกเลยที่ https://th.carro.co/sell-car/express รับรองได้เงินเร็ว ไว ทันใจแน่นอน!

CARRO Automall

ส่วนใครสนใจจะซื้อรถมือสอง Carro แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ คุณสามารถจองรถได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น! พร้อมคำนวณสินเชื่อและค่างวด ได้ภายในเว็บไซต์ทันที!

ซึ่ง Carro เรามีรถให้คุณเลือกมากมาย รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพโดย Carro Certified อย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 160 จุด, การันตีคืนเงินภายใน 5 วัน, รับประกันเครื่องยนต์และเกียร์ 1 ปี, รับประกันไม่กรอไมล์ และไม่ประสบอุบัติเหตุหนัก ไฟไหม้ หรือน้ำท่วม พร้อมรับประกันคุณภาพรถ 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร!

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” เลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา รวมถึงมีเทคโนโลยีสนับสนุนฝ่ายขาย ทั้ง Digital Device ที่เชื่อมต่อกับ Digital Screen นำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และจัดการเรื่องเอกสารให้กับลูกค้าให้ตั้งแต่ต้นจนจบ บวกกับ Online Viewing Service ที่ลูกค้าสามารถวิดีโอคอล ตรวจสภาพรถยนต์คันที่สนใจได้แบบเรียลไทม์ ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ Carro สิ!

หรือถ้าหากคุณสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงกรอกชื่อ-เบอร์โทรศัพท์ และรถที่คุณสนใจ ไว้ที่ “รับการแจ้งเตือน” เมื่อมีรถที่คุณต้องการ Carro จะรีบติดต่อไปยังคุณทันที สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> Carro Thailand โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carrothai

แหล่งที่มาบางส่วนจาก:

  • EPPO

Carro-Masii-Trick-To-Save-Oil-Your-Car

ในปัจจุบันนี้ สิ่งหนึ่งที่คอยรบกวนเราอยู่ทุกวัน คงจะหนีไม่พ้นเรื่องของราคาน้ำมันที่เปลี่ยนแปลงไปเกือบจะทุกๆ วัน เดี๋ยวราคาขึ้นบ้าง ราคาลงบ้าง เท่ากับว่าถ้าเป็นแบบนี้ในแต่ละเดือน เราจะเสียเงินไปกับค่าน้ำมันของรถยนต์ตัวเองประมาณกี่บาทนะ

แน่นอนว่าหลายๆ คนอาจจะมองว่ามันเป็นเรื่องที่จำเป็นที่เราต้องใช้จ่ายทุกเดือนสำหรับค่าน้ำมัน แต่ถ้าเราลองมองว่าให้เรื่องจำเป็นสามารถประหยัดขึ้นมาได้ จะถือว่าเป็นการช่วยเซฟเงินในกระเป๋าของเราได้ไม่มากก็น้อย

เคล็ดลับทำอย่างไรให้ประหยัดค่าน้ำมัน

ถ้าหากเกิดคำถามที่ว่าเราจะสามารถหาวิธีประหยัดค่าน้ำมันได้จากที่ไหนบ้าง ซึ่งทาง masii อยากจะบอกเพื่อนๆ เลยว่า จริงๆ การอัปเดตคอยหมั่นดูราคาน้ำมันก็ถือว่าเป็นวิธีที่ช่วยในเบื้องต้นได้แล้ว แต่วันนี้ทางเราได้รวบรวมวิธีการเคล็ดลับง่ายๆ ที่จะช่วยประหยัดค่าน้ำมันมากฝากเพื่อนๆ ชาว Carro จ้า

ตรวจเช็กสภาพเครื่องยนต์

Carro-Masii-Trick-To-Save-Oil-Your-Car

สิ่งแรกเลย วิธีที่จะช่วยให้เราประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ได้มากขึ้นคือ การหมั่นเช็กดูสภาพรถยนต์ของตัวเอง โดยหลักๆ ทาง มาสิ แนะนำว่าให้เพื่อนๆ ตรวจดูอะไหล่เครื่องยนต์ เพราะถ้าหากเราไม่เปลี่ยนอะไหล่เดิมให้เป็นอะไหล่ที่มีสภาพที่พร้อมใช้งาน จะทำให้อายุการใช้งานของรถสั้นลง ส่งผลให้รถกินน้ำมันมากขึ้นกว่าเดิม

บรรทุกของตามความเหมาะสม

มาสิเข้าใจว่าเพื่อนๆ หลายคนมักจะใช้ชีวิตอยู่บนรถยนต์เป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัวบนรถยนต์ แต่งหน้าบนรถยนต์ หรือแม้แต่การรับประทานอาหารรถยนต์ก็ต้องทำมาบ้างแล้ว แบบนี้ส่งผลทำให้รถยนต์ของเราบรรทุกของมากขึ้น อาทิเช่น กระเป๋าเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องสำอาง รวมไปถึงสัมภาระอื่นๆ เท่ากับว่ายิ่งรถยนต์ของเรามีน้ำหนักมากขึ้น ก็จะทำให้รถทำงานมากขึ้นกว่าเดิม

รักษาความเร็วให้มั่นคง

วิธีที่จะช่วยให้รถยนต์ของเพื่อนๆ ประหยัดค่าน้ำมันได้มากขึ้นคือ การขับขี่รถยนต์ด้วยอัตราความเร็วที่เหมาะสมคือ 60-70 กม./ชม. ซึ่งถ้าเพื่อนๆ สามารถทำได้จะเป็นการประหยัดน้ำมันไปได้ถึง 15-20% และลดความเสี่ยงอุบัติเหตุที่จะเกิดท้องถนนได้อีกด้วย

ทำบัตรเครดิตสำหรับการเติมน้ำมัน

Carro-Masii-Trick-To-Save-Oil-Your-Car

สิ่งสุดท้ายที่อยากจะแนะนำเพื่อนๆ หลายคนคือ การทำบัตรเครดิตสำหรับการเติมน้ำมัน แน่นอนว่าธนาคารหรือสถาบันทางการเงินได้จับมือรวมกับปั๊มน้ำมันมากมาย เพื่อเสนอสิทธิพิเศษ โปรโมชั่น และส่วนลดต่างๆ ยิ่งถ้าหากเราจำเป็นต้องเติมน้ำมันอยู่แล้ว ลองรูดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเติมน้ำมันอาจจะได้รับส่วนลด เครดิตเงินคืน สูงสุดถึง 3-5% ก็เป็นไปได้ อาจจะเป็นยอดจำนวนเงินที่ไม่มากไม่น้อย แต่ที่แน่ๆ คือช่วยเราประหยัดค่าน้ำมันได้มากขึ้นนั่นเอง

เพียงเท่านี้ หากเพื่อนๆ ลองปฎิบัติตามกันดูสัก 2-3 ข้อบอกเลยว่า ค่าน้ำมันแต่ละเดือนที่เพื่อนๆ ใช้จ่ายไป จะประหยัดขึ้นได้อย่างชัดเจน พร้อมทั้งมีเงินเก็บ เงินออมไว้ใช้ในยามจำเป็นอีกด้วยจ้า ถ้าอยากสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมก็สามารถโทรเข้ามาได้ที่ 02 710 3100 หรือไลน์ @masii

ขอขอบคุณบทความดีๆ จาก www.masii.com

What-Car-Can-Use-Diesel-B20-Oil

ในยุคที่น้ำมันดีเซลบ้านเรา มีการพัฒนาคุณภาพไปจากแต่ก่อนมาก ซึ่งก็มีผลดีต่อรถยนต์ ช่วยให้การทำงานของเครื่องยนต์มีประสิทธิภาพมากขึ้น ระบบเผาไหม้ดีขึ้น รวมไปถึงยังช่วยลดมลภาวะของสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

ในขณะเดียวกันก็มีผู้ค้นคิดน้ำมันดีเซลแบบ “Bio Diesel” (ไบโอดีเซล) ขึ้นมา ซึ่งเป็นการนำสารอินทรีย์ต่างๆ เช่น น้ำมันพืช น้ำมันสัตว์ น้ำมันปาล์ม หรือสาหร่าย มาผ่านกระบวนการทางเคมีที่เรียกว่า Transesterifcation โดยทำปฏิกิริยากับแอลกอฮอล์ (Ethanol หรือ Methanol) และมีด่างเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา เช่น โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) จะได้ผลิตผลเป็น Ester และผลิตภัณฑ์ผลพลอยได้ Glycerol ซึ่งเราจะเรียกชนิดของ Bio Diesel แบบ Ester นี้ ตามชนิดของแอลกอฮอล์ที่ใช้ในการทำปฏิกิริยา ซึ่งมีคุณสมบัติที่เหมือนกับน้ำมันดีเซลมากที่สุด

ปัจจุบันน้ำมันดีเซลในบ้านเรา จึงมีทั้งแบบธรรมดา และแบบไบโอดีเซล B5, B7 และแบบ B10 เป็นน้ำมันดีเซลเกรดมาตรฐานของประเทศไทย

ส่วน น้ำมันดีเซล B20 ก็คือ น้ำมันที่มีส่วนผสมของไบโอดีเซล ประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกดไขมัน (B100) ในอัตราส่วนร้อยละ 20 โดยปริมาตรนั่นเอง

ข้อดีของน้ำมันดีเซล B20 คือ ช่วยลดการสึกหรอของปั๊มเชื้อเพลิงในเครื่องยนต์ และการจุดระเบิดของเครื่องยนต์ง่ายขึ้น แถมยังไม่มีสารอะโนมาติกส์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง และช่วยลดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM 2.5 ได้ถึง 10% อีกด้วย

แต่รถยนต์เครื่องยนต์ดีเซล ก็ไม่ใช่ทุกรุ่นที่สามารถใช้น้ำมันดีเซล B20 นี้ได้ เพราะอาจจะทำให้หัวฉีด ท่อทางเดินน้ำมัน หรือไส้กรองน้ำมัน เสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ … แล้วมีรถรุ่นไหนบ้างล่ะ ที่ค่ายรถออกมารองรับว่าสามารถใช้น้ำมันดีเซล B20 ได้? มาดูกัน

Toyota-Hilux-Revo-Diesel-B20

Toyota

รถยนต์กระบะ Toyota Fortuner (โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์) และ Toyota Hilux Revo (โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่) รุ่นใหม่ ที่ผลิตตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นไป มีทั้งหมดจำนวน 41 รุ่น สามารถใช้น้ำมัน B20 ได้ โดยไม่มีเงื่อนไข

ยี่ห้อ รุ่น / แบบ รหัสเครื่องยนต์ มาตรฐานมลพิษ ปี ค.ศ. ที่ผลิต / นำเข้า / รุ่นปี
Toyota Hilux / GUN123R-BTMLYT 1GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN126R-BTFXHT 1GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN126R-CTFMHT 1GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN136R-CTFMHT 1GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN136R-DTTHHT 1GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN126R-DTFHHT 1GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN126R-DTTHHT 1GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN112R-BTMLYT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN122R-BTFXYT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN120R-BTTXHT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN122R-BTFXYT3 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN120R-BTTXHT3 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN122R-CTFXYT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN120R-CTTLHT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN122R-CTFLYT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN122R-CTFSYT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN122R-CTFMYT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN135R-CTFLHT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN135R-CTFSHT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN135R-CTFMHT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN135R-CTTSHT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN135R-CTTMHT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN125R-CTFSHT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN122R-DTFLYT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN120R-DTTLHT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN122R-DTFSYT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN135R-DTFLHT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN135R-DTFSHT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN135R-DTFMHT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN135R-DTTSHT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN135R-DTTMHT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN125R-DTFSHT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN122R-BTMXYT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN122R-BTMXYT3 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN122R-CTMXYT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN122R-CTMSYT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN122R-CTMLYT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN122R-CTMMYT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN122R-DTMLYT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Hilux / GUN122R-DTMSYT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Fortuner / GUN156R-STTMHT 1GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Fortuner / GUN166R-STTMHT 1GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Fortuner / GUN155R-STTMHT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Fortuner / GUN165R-STTMHT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Fortuner / GUN165R-STTSHT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป
Toyota Fortuner / GUN165R-STFSHT 2GD-FTV EURO4 2015 เป็นต้นไป

รถยนต์กระบะ Toyota Fortuner และ Toyota Hilux รุ่นเก่า ตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 2554 ถึงปี 2558 จำนวน 24 รุ่น สามารถใช้น้ำมัน B20 ได้ แต่มีเงื่อนไขว่า ถ้าหากมีการเติมน้ำมัน B20 บ่อยๆ และใช้งานในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 20 องศาเซลเซียส ต้องติดต่อศูนย์จำหน่ายรถโตโยต้า เพื่อขอรับคำแนะนำเพิ่มเติม

ยี่ห้อ รุ่น / แบบ รหัสเครื่องยนต์ มาตรฐานมลพิษ ปี ค.ศ. ที่ผลิต / นำเข้า / รุ่นปี
Toyota Hilux / KUN26R-URMSYT 1KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015
Toyota Hilux / KUN36R-URMSYT 1KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015
Toyota Hilux / KUN16R-PRASYT 1KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015
Toyota Hilux / KUN26R-PRASYT 1KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015
Toyota Hilux / KUN26R-PRMSYT 1KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015
Toyota Hilux / KUN36R-PRASYT 1KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015
Toyota Hilux / KUN36R-PRMSYT 1KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015
Toyota Hilux / KUN15R-TRMDHT 2KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015
Toyota Hilux / KUN15R-URMDHT 2KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015
Toyota Hilux / KUN15R-URMSHT 2KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015
Toyota Hilux / KUN25R-URMSHT 2KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015
Toyota Hilux / KUN35R-URASHT 2KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015
Toyota Hilux / KUN35R-URMDHT 2KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015
Toyota Hilux / KUN35R-URMSHT 2KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015
Toyota Hilux / KUN15R-PRMDHT 2KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015
Toyota Hilux / KUN15R-PRMSHT 2KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015
Toyota Hilux / KUN25R-PRMSHT 2KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015
Toyota Hilux / KUN35R-PRASHT 2KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015
Toyota Hilux / KUN35R-PRMDHT 2KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015
Toyota Hilux / KUN35R-PRMSHT 2KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015
Toyota Fortuner / KUN51R-NKASYT 1KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015
Toyota Fortuner/ KUN61R-NKASYT 1KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015
Toyota Fortuner / KUN60R-NKASHT 2KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015
Toyota Fortuner / KUN60R-NKMSHT 2KD-FTV EURO4 สิงหาคม 2011 – 2015

All-New-Isuzu-D-Max-V-Cross

Isuzu

ตามที่กรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงานได้มีมาตรการในการเพิ่มสัดส่วนการใช้น้ำมัน ไบโอดีเซลสำหรับภาคการขนส่งให้มากขึ้น เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันโดยมีเป้าหมายในการสร้างสมดุลปาล์มน้ำมันทั้งระบบของประเทศ โดยได้ออกประกาศเมื่อวันที่ 24 ตุลาคมที่ผ่านมา กำหนดให้น้ำมันไบโอดีเซล B10 เป็นน้ำมันดีเซลพื้นฐาน เกรดมาตรฐานใหม่ของประเทศไทย แทนน้ำมันไบโอดีเซล B7 ที่รถรุ่นเก่าและรถยุโรปที่ยังไม่สามารถใช้ B20 สามารถใช้ได้

ในขณะที่น้ำมันไบโอดีเซล B20 ยังคงเป็นน้ำมันทางเลือกสำหรับรถรุ่นใหม่ๆ ในตลาด น้ำมันดีเซลพื้นฐานเกรดมาตรฐานใหม่นี้จะมีผลบังคับใช้ในสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ปีหน้า

ปัจจุบันรถอีซุซุ ทั้งรถปิกอัพ รถอเนกประสงค์ และรถบรรทุกขนาดกลางและขนาดใหญ่ทุกคันที่ผลิตจากโรงงานสามารถรองรับการใช้น้ำมันไบโอดีเซลได้ถึง B20 ดังนั้นเมื่อภาครัฐมีการกำหนดการใช้น้ำมันดีเซลพื้นฐานเกรดมาตรฐานใหม่คือ B10 แทน B7 นั้น อีซูซุจึงไม่มีปัญหาแต่อย่างใด รถอีซูซุทุกรุ่นสามารถใช้น้ำมัน B10 ได้

แต่เพื่อความมั่นใจของลูกค้าและการใช้งานของรถในระยะยาว จึงอยากแนะนำให้ลูกค้านำรถเข้าศูนย์บริการมาตรฐานอีซูซุอย่างสม่ำเสมอตามระยะที่กำหนดเพื่อการบำรุงรักษาอย่างเหมาะสม

รถยนต์กระบะ Isuzu D-Max (อีซูซุ ดีแมคซ์) รุ่นตั้งแต่ปี 2555-2562 จำนวน 20 รุ่น สามารถใช้น้ำมัน B20 ได้ภายใต้คำแนะนำและการตรวจสอบ รวมถึงการเปลี่ยนชิ้นส่วนเมื่อจำเป็นโดยศูนย์บริการมาตรฐานอีซูซุ

ยี่ห้อ รุ่น / แบบ รหัสเครื่องยนต์ มาตรฐานมลพิษ ปี ค.ศ. ที่ผลิต / นำเข้า / รุ่นปี
Isuzu D-Max 4JJ1-TCX EURO4 2019
Isuzu D-Max RZ4E-TC EURO4 2019
Isuzu D-Max 4JJ1-TCX EURO4 2018
Isuzu D-Max RZ4E-TC EURO4 2018
Isuzu D-Max 4JJ1-TCX EURO4 2017
Isuzu D-Max RZ4E-TC EURO4 2017
Isuzu D-Max 4JJ1-TCX EURO4 2016
Isuzu D-Max RZ4E-TC EURO4 2016
Isuzu D-Max 4JJ1-TCX EURO4 2015
Isuzu D-Max 4JK1-TCX EURO4 2015
Isuzu D-Max 4JK1-TC EURO4 2015
Isuzu D-Max 4JJ1-TCX EURO4 2014
Isuzu D-Max 4JK1-TCX EURO4 2014
Isuzu D-Max 4JK1-TC EURO4 2014
Isuzu D-Max 4JJ1-TCX EURO3 2013
Isuzu D-Max 4JK1-TCX EURO3 2013
Isuzu D-Max 4JK1-TC EURO3/EURO4 2013
Isuzu D-Max 4JJ1-TCX EURO3 2012
Isuzu D-Max 4JK1-TCX EURO3 2012
Isuzu D-Max 4JK1-TC EURO3 2012

รถยนต์กระบะ Isuzu MU-X รุ่นปี 2557-2562 จำนวน 12 รุ่น สามารถใช้น้ำมัน B20 ได้ ภายใต้คำแนะนำและการตรวจสอบรวมถึงการเปลี่ยนชิ้นส่วนเมื่อจำเป็นโดยศูนย์บริการมาตรฐานอีซูซุ

ยี่ห้อ รุ่น / แบบ รหัสเครื่องยนต์ มาตรฐานมลพิษ ปี ค.ศ. ที่ผลิต / นำเข้า / รุ่นปี
Isuzu MU-X 4JJ1-TCX EURO4 2019
Isuzu MU-X RZ4E-TC EURO4 2019
Isuzu MU-X 4JJ1-TCX EURO4 2018
Isuzu MU-X RZ4E-TC EURO4 2018
Isuzu MU-X 4JJ1-TCX EURO4 2017
Isuzu MU-X RZ4E-TC EURO4 2017
Isuzu MU-X 4JJ1-TCX EURO4 2016
Isuzu MU-X RZ4E-TC EURO4 2016
Isuzu MU-X 4JJ1-TCX EURO4 2015
Isuzu MU-X 4JK1-TCX EURO4 2015
Isuzu MU-X 4JJ1-TCX EURO4 2014
Isuzu MU-X 4JK1-TCX EURO4 2014

Nissan-Navara-Diesel-B20

Nissan

Nissan Navara (นิสสัน นาวารา) รองรับการใช้งานน้ำมันไบโอดีเซล B20 ได้แล้ว โดยต้องเป็นเครื่องยนต์ดีเซล YD ของรถกระบะ D23 ทุกรุ่น (รถ D23 ที่จำหน่ายตั้งแต่กันยายน 2557) ถูกออกแบบให้รองรับการใช้ B20 ได้ แต่เพื่อให้รถยนต์มีสมรรถนะที่ดีและพร้อมสำหรับการใช้งานอยู่เสมอ ต้องปฏิบัติตามมีคำแนะนำดังต่อไปนี้

– เปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิงทุก 18 เดือน หรือ ระยะ 30,000 กม แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน เพื่อประสิทธิภาพการทำงานที่ดีของไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิง เนื่องจากน้ำมัน B20 มีส่วนผสมที่อาจทำให้เกิดการอุดตันได้ง่ายกว่าเมื่อเทียบกับน้ำมันทั่วไป

– ควรตรวจเช็คระยะทุกๆ 6 เดือน หรือ 10,000 กม เมื่อระยะใดถึงก่อน ที่ศูนย์บริการนิสสันที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการทั่วประเทศ

– ตรวจเช็คสภาพของรถให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์อยู่เสมอ และควรใช้อะไหล่แท้ของนิสสันทุกครั้งเมื่อทำการเปลี่ยน เพื่อรักษาสมรรถนะที่ดีและการใช้งานที่ยาวนาน

– การใช้รถควรจะอยู่ในบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงกว่า 16 องศาเซลเซียส เพราะในสภาวการณ์ที่ต่ำกว่าอุณหภูมิดังกล่าว อาจทำให้เกิดไขขึ้นในน้ำมันที่จะส่งผลกระทบต่อการทำงานของเครื่องยนต์

– หากพบว่าเครื่องยนต์มีอาการผิดปกติ กรุณาติดต่อศูนย์บริการนิสสันทันที

– เติมน้ำมันจากสถานีบริการน้ำมันที่ได้มาตรฐานซึ่งได้รับการรับรองจากกรมธุรกิจพลังงานเท่านั้น

วิธีการตรวจสอบรุ่นรถยนต์ Nissan Navara ที่รองรับน้ำมันไบโอดีเซล B20

Nissan-Navara-B20

1. ตรวจสอบรหัสโมเดลและรหัสเครื่องยนต์ที่บริเวณห้องเครื่องยนต์ด้านคนขับ

1) ตรวจสอบรหัสโมเดล 18 หลัก
โดยดูรหัสตำแหน่งที่  8 / 9 / 10
จะต้องระบุว่าเป็น  D / 2 / 3
2) ตรวจสอบรหัสเครื่องยนต์ ต้องระบุว่าเป็น YD25DDTi

2. หากรหัสทั้ง 2 จุด ตรงกับข้อมูลข้างบน แสดงว่ารถยนต์ของท่านรองรับน้ำมันไบโอดีเซล B20

[ตัวอย่างเช่น]
MODEL = CVL4LZLD23ICP-DBFQ
ENGINE = YD25DDTi

Mitsubishi-Diesel-B20

Mitsubishi

ท่านสามารถตรวจสอบรุ่นรถ Mitsubishi ที่รองรับน้ำมันไบโอดีเซล B20 ด้านล่างนี้

รุ่นรถยนต์ รหัสเลขเครื่องยนต์
มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต* เครื่องยนต์ที่ขึ้นต้นด้วยรหัสเลขเครื่องยนต์ 4N15 และ 4D56
มิตซูบิชิ ไทรทัน* 1. เครื่องยนต์ที่ขึ้นต้นด้วยรหัสเลขเครื่องยนต์ 4N15
2. เครื่องยนต์ที่ขึ้นต้นด้วยรหัสเลขเครื่องยนต์ 4D56 ยกเว้น แบบรหัสรุ่น KA4TNCNMFRU และ KA4TNENMFRU

* รถยนต์ Mitsubishi Triton (มิตซูบิชิ ไทรทัน) และ Mitsubishi Pajero Sport (มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต) เครื่องยนต์ที่ขึ้นต้นด้วยรหัสเลขเครื่องยนต์ 4M41 ไม่รองรับการใช้น้ำมันไบโอดีเซล B20

คำแนะนำการใช้น้ำมันไบโอดีเซล B20 กับรถยนต์มิตซูบิชิที่รองรับ

  • การใช้น้ำมันไบโอดีเซล B20 ในบริเวณที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 16 องศาเซลเซียส อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของเครื่องยนต์ ดังนั้น ก่อนการใช้งานกรุณาขอคำแนะนำจากศูนย์บริการมิตซูบิชิที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการลูกค้าจะต้องใช้น้ำมันที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากกรมธุรกิจพลังงานเท่านั้น

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับน้ำมันดีเซล B20 สามารถดูได้ที่ กรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน

วิธีที่ 1 เช็กด้วยตนเอง จากเอกสารประจำรถยนต์

1.1 เช็กจากสมุดรายการจดทะเบียน

1.2 เช็กจากสมุดคู่มือการใช้รถ

กรณี 1 เลขเครื่องยนต์ ขึ้นต้นด้วยรหัส 4N15 รองรับการใช้น้ำมันไบโอดีเซล B20

กรณี 2 เลขเครื่องยนต์ ขึ้นต้นด้วยรหัส 4D56 รองรับการใช้น้ำมันไบโอดีเซล B20 *ยกเว้น แบบรหัสรุ่น KA4TNCNMFRU และ KA4TNENMFRU ที่ไม่รองรับการใช้น้ำมันไบโอดีเซล B20

หรือ วิธีที่ 2 เช็กผ่านระบบ กรอก แบบรหัสรุ่น เพื่อความมั่นใจ

กรอกรายละเอียดรหัสรุ่นได้ที่ – https://www.mitsubishi-motors.co.th/th/b20

Mazda-BT-50-Pro-Double-Cab

Mazda

Mazda เสริมทัพปิกอัพพันธุ์แกร่ง BT-50 PRO เพื่อรองรับการใช้น้ำมันดีเซล B20 หวังให้ลูกค้ามาสด้าได้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือเกษตรกรไทยเติมน้ำมันดีเซล B20 ตามนโยบายภาครัฐ

Mazda ในฐานะผู้จำหน่ายรถปิกอัพรุ่น BT-50 PRO ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล จึงออกประกาศแผนในการศึกษา พัฒนาในทันทีเพื่อดำเนินการอัพเกรดอุปกรณ์ในรถปิกอัพมาสด้า ให้สามารถรองรับน้ำมันดีเซล B20 สำหรับลูกค้าที่จองซื้อรถปิกอัพ BT-50 PRO ที่เริ่มผลิตตั้งแต่เดือนมกราคม ปี 2563 สามารถเติมน้ำมันดีเซล B20 ได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเครื่องยนต์ สมรรถนะของรถ และอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันแต่อย่างใด

B20compatibility

Ford

รถยนต์ Ford ที่ติดตั้งเครื่องยนต์ ดีเซล 2.0 ลิตร ทั้งเทอร์โบเดี่ยวและเทอร์โบคู่ รองรับการใช้น้ำมันไบโอดีเซล

การใช้ไบโอดีเซล

รถของคุณเหมาะสำหรับการใช้งานไบโอดีเซลที่ผสมไม่เกิน 20% (B20) คุณจะได้รับสมรรถนะและความทนทานของเครื่องยนต์ในแบบที่ยอมรับได้โดยใช้ B20 โดยการปฏิบัติตามแนวด้านล่างนี้
อย่าเติมเชื้อเพลิงที่มีไบโอดีเซลที่มีการผสมเกินกว่า 20% ในถังเชื้อเพลิง

หมายเหตุ:  อย่าใช้น้ำมันดิบ ไขมันหรือเศษไขมันสัตว์จากการประกอบอาหาร เนื่องจากสารเหล่านี้ไม่ใช่ไบโอดีเซล

หมายเหตุ:  หากรถของคุณประสบปัญหาน้ำมันเชื้อเพลิงกลายเป็นไขที่อุณหภูมิต่ำ โปรดพิจารณาใช้น้ำมันดีเซลยี่ห้ออื่นหรือน้ำมันดีเซลที่มีสารไบโอดีเซลในปริมาณที่ต่ำกว่าเดิม

หมายเหตุ:  เราไม่แนะนำให้ใช้สารเติมแต่งต่างๆ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำมันเชื้อเพลิงกลายเป็นไข

Chevrolet-Trailblazer

Chevrolet

เชฟโรเลต ประเทศไทย ได้ประกาศว่ารถกระบะ Colorado และรถอเนกประสงค์ Trailblazer สามารถรองรับการใช้น้ำมันไบโอดีเซล B20 ได้แล้ว

ส่วนรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่สามารถใช้น้ำมันดีเซล B20 ได้ มียี่ห้อ Hino, Isuzu, MAN, Scania, UD Trucks และ Volvo Trucks

ถ้าคุณตัดสินใจอยากขายรถคันเดิม เพื่อไปซื้อรถคันใหม่ หรือรับเป็นเงินก้อนไปใช้ สามารถขายรถคันเดิมกับ CARRO ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ CARRO Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

แหล่งที่มา: เนื้อหาบางส่วนจาก