ตั้งศูนย์ กับ ถ่วงล้อ

สวัสดีครับผม วันนี้จะมาไขข้อสงสัยให้กับเพื่อนๆหลายๆ คนยังมีความเข้าใจผิดว่า การตั้งศูนย์กับถ่วงล้อ คืออย่างอย่างเดียวกันไหม ไทร์บิดเลยอยากจะมาขออธิบายอีกว่าทั้งสองอย่างนี้คืออะไร และ มีความสำคัญอย่างไรกันบ้างครับ

ตั้งศูนย์ กับ ถ่วงล้อ

อย่างแรกเลย การถ่วงล้อ คือ การทำให้ล้อนั้นมีความสมดุลของน้ำหนักเท่ากันทั้งวง โดยจะทำเมื่อมีการถอดใส่ยางใหม่กับแม็กซ์ครับ ไม่ว่าจะมีการถอดเอามาปะซ่อม หรือเปลี่ยนจุ๊บยางก็ตาม ก็ควรจะมีการถ่วงใหม่ทุกครั้ง เนื่องจากตำแหน่งยางมีการเปลี่ยนตำแหน่งอาจทำให้น้ำหนักของยางทั้งวงไม่เหมือนเดิมได้ซึ่งจะทำให้เกิดอาการสั่นเมื่อใช้งาน

การถ่วงล้อ ไม่ว่ายางจุดสีแดงหรือสีเหลือง จะอยู่ที่จุดใดบนแม็กซ์ไม่มีผลต่อการใช้งานหลังถ่วงล้อเสร็จ เพราะ หลังจากถ่วงล้อเสร็จน้ำหนักของวงจะเท่ากันทั้งหมด แต่จุดเหลือแดงเป็นจุดที่ทำให้คนถ่วงนั้นทำงานได้ง่ายขึ้น และ ใช้ตะกั่วถ่วงได้น้อยลงเท่านั้น

ตั้งศูนย์ กับ ถ่วงล้อ

อย่างที่สองคือตั้งศูนย์ การตั้งศูนย์นั้นจะทำให้ศูนย์ล้ออยู่ในองศาที่ถูกต้องไม่แบะออกเกินไป หรือ ไม่หุบเกินไป ซึ่งจะทำให้การขับขี่ของรถเรานั้นสมบูรณ์มากที่สุดไม่ว่าจะเป็นการตั้งศูนย์ของมุมแคสเตอร์ และ แคมเบอร์ ปัญหาของศูนย์ล้อเมื่อมีปัญหาอาการที่จะบ่งชี้จะมีอยู่ สองอย่าง แรกคือมีอาการกินซ้ายหรือกินขวาเวลาขับขี่ สองอาการสึกของหน้ายางมีปัญหากินสึกไม่เท่ากันของ ขอบในหรือขอบนอก (กรณีที่ยางสึกเป็นลูกคลื่นนั้นจะเกิดปัญหาจากช่วงล่างที่ต้องเช็กแก้ไขก่อนและค่อยนำมาตั้งศูนย์)

ตั้งศูนย์ กับ ถ่วงล้อ

ซึ่งการตั้งศูนย์นั้น แล้วเปลี่ยนยางใหม่ต้องตั้งศูนย์ ถ่วงล้อไหม?? แน่นอนครับ สิ่งที่ต้องทำคือ ถ่วงล้อครับอย่างที่แจ้งเป็นข้างต้นเพราะหากล้อที่ใส่ยางใหม่มานั้นไม่มีความสมดุลในล้อทั้งวง เมื่อใช้งานก็จะเกิดอาการสั่นเมื่อใช้ความเร็วเยอะๆ เพราะเนื่องมาจากว่าล้อกลิ้งไม่กลมทั้งวงครับ

แต่ถ้าเพื่อนมาถามว่าแล้วตั้งศูนย์ละจำเป็นไหม ไทร์บิดต้องเรียนแจ้งก่อนว่าเมื่อเราเปลี่ยนยางเราถอดแมกซ์ออกจากดุมล้อ และ ใส่กลับเข้าไปที่เดิมเพราะฉะนั้น การเปลี่ยนยางใหม่จะไม่ได้กระทบกับช่วงล่าง และ ศูนย์ล้อเดิมเลยครับ ซึ่งจริงๆ แล้วศูนย์ล้อเนี่ยเป็นส่วนที่ถ้าไม่มีปัญหาก็ไม่ควรจะไปปรับแต่งหรือยุ่งกับมันครับ เพราะทุกครั้งที่ร้านแจ้งว่าตั้งศูนย์นั้นหมายถึงทางร้านจะทำการเช็กศูนย์ให้โดยขึ้นที่เครื่องและตรวจสอบแต่ส่วนมากแทบไม่ได้ปรับแต่งต้องทำอะไรกับศูนย์เท่าไหร่ครับ แต่ถ้ามีอาการหรือปัญหาเหมือนข้างต้นแน่นอนครับควรตั้งศูนย์แต่ก่อนจะตั้งศูนย์แน่นอนว่าต้องมีการบำรุงช่วงล่างหรือหาสาเหตุที่ให้แน่ชัดก่อนครับว่า ปัญหาที่ศูนย์เพี้ยนเกิดจากอะไร

ตั้งศูนย์ กับ ถ่วงล้อ

แต่ก็จะมีเคสที่เป็นปัญหาก็คือ เมื่อเปลี่ยนยางแล้วมีปัญหาการกินซ้ายและขวาทั้งๆที่ตั้งศูนย์แล้วก็ยังไม่หายส่วนมากเหตุการณ์แบบนี้ขอให้เพื่อนๆ เข้าใจว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นคือช่วงล่างมีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นคันชักคันส่ง หรือว่าแร็คพวงมาลัยที่อยู่ด้านในที่มีปัญหามีโอกาสทำให้มีปัญหาการดึงซ้ายหรือดึงขวาเหมือนเดิมครับ

ตั้งศูนย์ กับ ถ่วงล้อ

และก็จะมีอีกปัญหาหนึ่งก็คือ เมื่อเปลี่ยนยางแล้วเส้นเก่าไม่เคยมีปัญหาการดึงซ้ายหรือขวา เลย แล้วทำไมเปลี่ยนยางเส้นใหม่แล้วมีปัญหากินขวากินซ้ายทั้งๆที่ศูนย์ล้อเดิมก็ไม่มีปัญหา อันนี้ผลมาจาก ยางเส้นเก่าที่ก่อนเปลี่ยนนั้นมีการสึกรับกับศูนย์ที่เพี้ยนไปแล้วจนถึงกระทั่งทำให้มีการวิ่งที่ตรง หรือ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งศูนย์เพื่อรองรับกับยางที่สึกผิดปกติทั้งๆ ที่มีปัญหาการกินซ้ายกินขวาอยู่แล้ว พอมาเปลี่ยนยางใหม่ที่มีการสึกเรียบอยู่ทำให้ศูนย์ที่เคยเป็นอยู่นั้นเพี้ยนไปด้วยครับ 

เพราะฉะนั้นจริงๆ เรื่องของการเปลี่ยนยางนั้น ที่แน่ๆเราต้องถ่วงล้อแน่นอน ถ้าเกิดอาการสั่นให้เพื่อนๆไปถ่วงล้อใหม่ครับ แต่ถ้ากินซ้ายกินขวา สึกผิดปกติขอบด้านใน หรือด้านนอกอย่างเดียวก็ให้ไปเช็กเรื่องศูนย์ล้อครับ และอยากให้เพื่อนๆหมั่นเช็กช่วงล่าง และ แมกซ์ด้วยครับเมื่อมีปัญหาข้างต้นเกิดขึ้น แล้วเพื่อนๆ ก็จะพบปัญหาที่แท้จริงๆ ที่ทำให้เพื่อนๆเข้าใจว่า ไม่ใช่ปัญหาที่ยางมีปัญหาครับ เพื่อนๆสามารถที่จะอ่านบทความรู้ยางรถยนต์ เรามีรีวิวยางและบทความรู้ยานยนต์ได้อย่างครบถ้วนครับผม หรือสะดวกช้อปยาง & นัดหมายออนไลน์ที่ www.tiresbid.com ถ้าหากเพื่อนๆ มีข้อสงสัยเรื่องยางไม่แน่ใจว่ารถตัวเองใช้กับยางรุ่นไหนถึงเหมาะสม เราก็มีบริการที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเรื่องยางรถยนต์ที่คอยให้คำแนะนำ โดยสามารถติดต่อช่องทาง Line OA : @tiresbid (มี @ ด้วยนะครับ) โอกาสหน้ามีบทความอะไรใหม่ๆติดตามกันนะครับ

วิวัฒนาการของยางรถยนต์

สวัสดีครับ วันนี้จอร์จจากไทร์บิดกลับมาอีกครั้งครับ กับบทความที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องยางรถยนต์ครับผม ถ้าพูดถึงยางเพื่อนๆคงอยากรู้ใช่ไหมครับ ว่ายางรถยนต์ในอนาคตต่อไปจะเป็นอย่างไรบ้างมันจะยังคงหน้าตาแบบเดิมอยู่ไหม หรือ ว่าจะมีนวัตกรรมอะไรใหม่ๆ เข้ามาอีก ซึ่งจากที่จอร์จทราบมา ณ ปัจจุบันมีความพยายามมากๆ ในการพัฒนาให้ยางนั้นมีความอเนกประสงค์มากยิ่งขึ้นครับ ทั้งในเรื่องของความปลอดภัย การนำกลับมาใช้ใหม่ โดยเฉพาะในเรื่องของความอเนกประสงค์เพิ่มมากยิ่งขึ้น

Evolution-Of-Tires

ถ้าพูดถึงเรื่องความปลอดภัยในการขับขี่ยางก็เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญมาก เพราะมีหลายๆครั้งที่อุบัติเหตุเกิดจากยางแตกทำให้รถเสียหลักจึงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องว่าจะทำอย่างไร ให้ยางที่สูญเสียลมหรือยางแตกนั้นสามารถใช้งานได้ต่อไปซึ่งถามว่าในปัจจุบันก็มี ยางรันแฟลต ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ได้ในระดับที่เรียกว่าดีมากแล้วสำหรับปัจจุบัน แต่ข้อเสียก็คือ หากแตกเสียหายแบบนี้ก็ยังมีข้อจำกัดในการใช้งานไม่ว่าจะเป็นระยะทาง หรือว่ายางก็จะเสียหายไปเลยไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ซึ่งทำให้บริษัทยางต่างๆ พยายามคิดค้นยางที่ไม่ใช้ลม (ไม่ใช่ยางตันนะครับเพื่อนๆ ที่มาทดแทน)

Evolution-Of-Tires

ซึ่งยางในอนาคตต้องมีนวัตกรรมที่มีความนุ่มเงียบ และปลอดภัยมากขึ้นเสียหายได้ยากขึ้นครับ โดยจริงๆ ปัจจุบันได้มีการนำเอายางที่ไม่ใช้ลมและโดนตะปูมาใช้จริงแล้วนะครับ แต่ว่าเป็นรถที่ใช้สำรวจบนอวกาศ ซึ่งยังมีการใช้ที่น้อยมาก แต่ว่าหลังๆเพื่อนๆ อาจจะได้เห็นว่ามีตัวอย่างยางดังกล่าวออกมาให้เห็นบ้างแล้ว แต่ว่ายังไม่ได้นำมาจำหน่ายหรือขายกันครับ เพราะในเรื่องของราคาและกระบวนการผลิตต่างๆ ครับ ก็เป็นนวัตกรรมเรื่องยางอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้ขับขี่บนท้องถนนปลอดภัยเพิ่มมากยิ่งขึ้นครับ

Evolution-Of-Tires

ส่วนต่อมาถ้าพูดถึงการนำกลับมาใช้ใหม่ เพื่อนๆ คงสังเกตเห็นแล้วใช่ไหมละครับ ว่ากองยางที่ใช้แล้ว หรือเสียนั้น ปัจจุบันอาจเห็นได้ตามขยะ แม่น้ำลำคลองเต็มไปหมด เพราะว่ายางปัจจุบันใช้แล้วนั้นสามารถทำลายยางได้ครับ

ถ้านำไปทำลายก็มีอยู่ 2-3 วิธีการ คือ นำเอาไปแยกเส้นลวดกับยางออก แล้วนำเอาไปแปรรูปเป็นยางรองพื้นให้สัตว์เดินบ้าง เส้นลวดก็นำไปหลอมทำใหม่ต่อไป หรือ ไม่ก็นำไปเผาเพื่อให้เป็นพลังงานเชื้อเพลิงใช้งานในโรงงานต่อๆ ไป ซึ่งก็ยังช่วยลดปริมาณขยะส่วนนี้ได้พอสมควร แต่จะทำยังไงให้วิธีพวกนี้หมดไป และดีต่อสภาพแวดล้อมมากที่สุด

Evolution-Of-Tires

ซึ่งบริษัทยางแต่ละที่ก็คิดพัฒนากันอย่างต่อเนื่อง ถามว่าปัจจุบันมีการยืดอายุได้ยังไงก็คือก็แกะร่องดอกยางในยางรถบรรทุก ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ทำให้ยางใช้ได้นานขึ้น แต่กับยางรถเก๋งนั้นไม่ค่อยนิยมทำกันครับ ดังนั้นบริษัทยางก็ต้องออกยางที่ใช้ให้ได้คุ้มที่สุด โดยทำยังไงก็ได้ให้ยางใช้ได้จนหมดอายุการใช้งานแม้โดนเบียดแตกก็ยังใช้ได้อยู่

ส่วนต่อมา วัสดุที่ใช้นั้นยังมีการคิดวิเคราะห์และค้นหาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้วัตถุดิบ สารเคมีที่นำมาทดแทนทำให้การใช้งานได้ทั้งแบบยางที่ดีและสามารถย่อยสลายได้ง่ายด้วยครับ ก็จะเป็นสองส่วนที่ทางผู้ผลิตยางยังค้นหาและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจอร์จคิดว่าอีกไม่นานเราจะได้เห็นกันครับ

ส่วนสุดท้ายก็คือ ทำยังไงให้ยางนั้นอเนกประสงค์เพิ่มมากยิ่งขึ้น ตามที่ได้แจ้งเพื่อนๆไวตั้งแต่ในช่วงต้นบทความ โดยปัจจุบันเพื่อนๆก็เห็นยางมีหน้าที่แค่เกาะถนนกับใช้ในการขับเคลื่อนของรถใช่ไหมครับ ซึ่งปัจจุบันมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องให้ยางรถนั้นอเนกประสงค์เพิ่มมากยิ่งขึ้นรองรับไลฟ์สไตล์การใช้งานหลากหลายมากขึ้นในอนาคตต่อไป จากรถที่ต้องใช้งานการขับเคลื่อนจากเครื่องยนต์กลาง จะถูกปรับเปลี่ยนให้ยางแต่ละวงนั้น สามารถขับเคลื่อนได้ด้วยตัวของยางเอง ซึ่งมีรูปภาพที่ออกมาแล้วในการพัฒนารูปแบบนี้ คือจะมีเครื่องยนต์ที่ติดกับล้อแต่ละล้อเลยครับ ซึ่งจะทำให้โลกของเราลดปริมาณการใช้เครื่องยนต์อีกเป็นจำนวนมากครับ

ซึ่งยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องครับ สำหรับยางรถทุกประเภทเพื่อให้โลกเราได้ใช้ของที่ดียิ่งขึ้นไปครับ เพื่อนๆที่ต้องการหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องยางต่างๆสามารถเข้ามาหาอ่านบทความรู้ยางรถยนต์ฟรี หรือเช็กราคายางเปรียบเทียบได้ที่เว็บไซต์ www.tiresbid.com ครับเรามีความรู้เรื่องยางและรีวิวยางมากมายหลายๆรุ่นครับ พร้อมปรึกษาผู้เชี่ยวชาญยางรถยนต์ทางไทร์บิดได้ฟรีที่ Line official : @tiresbid ขอขอบคุณมากครับที่ติดตามอ่านมาจนจบครับ โอกาสหน้าติดตามบทความดีดีจากไทร์บิดใหม่ครับ

Carro-Tiresbid-How-To-Choose-Tire-For-Car

ยางรถยนต์แต่ละยี่ห้อทำไมราคาช่างแตกต่างกันเหลือเกิน ทั้งๆที่บางทีใช้งานก็ไม่ได้แตกต่างกันมากเท่าไหร่ ข้อสงสัยของเพื่อนๆ ที่คาดว่ามีอยู่ในปัจจุบันจำนวนมากเลย ทำให้เพื่อนๆไม่รู้ว่าจะเลือกใช้ยี่ห้อไหนดี เลือกใช้ตามแบรนด์ที่ตัวเองมั่นใจ หรือว่าเลือกใช้ตามงบประมาณที่ตัวเองมีพอ หรือมีปัจจัยอื่นควรพิจารณาก่อนเปลี่ยนใหม่กันแน่นะ ??

ในบ้านเราปัจจุบันมีแบรนด์ยางมากกว่า 20 แบรนด์ครับ ซึ่งมีตั้งแต่ทุกคนพูดชื่อแล้วรู้จักเลย กับอีกแบบคือพูดมาแล้วไม่เคยได้ยินเลยถึงกับงงว่าและสงสัยว่ายางได้คุณภาพรึเปล่า ซึ่งไทร์บิดขอมาแบ่งยางแต่ละแบบคร่าวๆ ก่อนในปัจจุบันที่บ้านเรามีก็คือ กลุ่มรถบ้าน กลุ่มรถแต่ง ซึ่งจะแบ่งหลักๆ ได้อยู่ 2 ประเภทครับ 

How-To-Choose-Tire-For-Car

กลุ่มรถบ้าน เป็นกลุ่มที่ปริมาณการใช้เยอะที่สุด ซึ่งจะมีแบรนด์ชั้นนำที่เพื่อนๆรู้จักชื่ออยู่แล้ว ตั้งแต่ มิชลิน บริดจสโตน โยโกฮามา กู๊ดเยียร์ ดันลอป คอนติเนนทอล ดีสโตน แม๊กซิส โอตานิ อพอลโล ฯลฯ ซึ่งในกลุ่มแบรนด์พวกนี้จะมีให้เพื่อนๆ ได้เลือกกันหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นยางประเภทนุ่มเงียบ ยางสปอร์ต ยางกระบะบรรทุก หรือ จะเป็นยางอเนกประสงค์ใช้ได้หลากหลายรูปแบบ

ซึ่งทุกแบรนด์พยายามทำให้ทั้งลายดอกยาง และ แก้มยางนั้นมีความทันสมัยให้ดูสวยเตะตา ซึ่งแต่ละแบรนด์ยางจะมีความโดดเด่นของแต่ละแบรนด์ที่มากกว่ากันครับ เช่นบางแบรนด์เน้นนุ่มเงียบ บางแบรนด์เน้นการใช้งานสมรรถนะการขับขี่ที่ดี บางแบรนด์เน้นอายุการใช้งานที่ยาวนาน หรือไม่ว่าจะเป็นเรื่องราคาที่ประหยัดจับต้องได้

How-To-Choose-Tire-For-Car

แต่ก็อาจจะแลกมาด้วยอายุการใช้งานของยางแบรนด์นั้นๆ ครับ ซึ่งถ้าเทียบกันจุดแตกต่างที่ชัดเจนของทุกๆแบรนด์นั้นจะเกี่ยวกับเรื่องของอายุการใช้งานครับส ภาพของเนื้อยางนั้นจะมีความทนทานที่แตกต่างกัน ในกลุ่มแบรนด์พรีเมียม กับ กลุ่มยางราคาประหยัดครับ ซึ่งถ้าเทียบความต่างกันจะอยู่ราวๆ 30-40% ครับ ซึ่งราคาอาจจะไม่ได้แตกต่างกันขนาดนั้น

แต่สิ่งที่ต่างรองลงมาในกลุ่มนี้ก็จะเป็นเรื่องของสมรรถนะและความนุ่มเงียบครับ ก็แตกต่างกันไป อยู่ประมาณ 10-30% (แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องเลือกยางให้ตรงกับคุณลักษณ์ของลายดอกยางนะครับ จะไม่สามารถเอายางสปอร์ตมาเทียบกับยางประเภทนุ่มเงียบเพราะการใช้งานจะแตกต่างกันครับ) ซึ่งโดยรวมก็จะเป็นค่าการตลาดที่แตกต่างกันไปครับ เห็นแบรนด์ใดบ่อยๆก็แปลว่าการตลาดหนักต้นทุนก็แพง ก็บวกราคาไปในค่าสินค้านั่นแหละครับ

How-To-Choose-Tire-For-Car

กลุ่มรถแต่ง จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับกลุ่มแรกไม่ว่าจะเป็นเรื่องลายดอกยางที่เน้นการเกาะถนน หรือ ว่าจะเป็นไซส์ยางที่แปลกไปจากปกติ ที่เน้นให้มีซีรี่ส์ที่ต่ำเพื่อให้รถสวย และช่วยในการทรงตัวการขับขี่ที่ดีครับ ซึ่งยางกลุ่มนี้มียี่ห้อที่คุณภาพที่คนส่วนใหญ่รู้จักก็จะมี Yokohama Nitto Toyo ส่วนแบรนด์อื่นๆก็จะมีทั้งแบรนด์ไทยและแบรนด์จีน ซึ่งถ้าพูดชื่อแบรนด์ไปคาดว่าจะไม่คุ้นหูครับ แต่กลุ่มแต่งรถซิ่งยังไงก็ต้องเคยได้ยินครับ

กลุ่มรถซิ่งจริงๆก็มีการแบ่งเกรดเช่นกันทั้งเกรดพรีเมียม และ เกรดยางราคาประหยัด ซึ่งกลุ่มแบรนด์พรีเมียมจะมีสมรรถนะที่ดีมาก และมีความคงทนที่ดี แต่กลุ่มราคาประหยัดถ้าสังเกตบางทีจะลายดอกยางเหมือนกับแบรนด์บนๆครับ อาจจะคล้ายแต่ไม่เหมือนซะทีเดียวซึ่งการใช้ไม่คล้ายกันเลยครับ เพราะการยึดเกาะถนนการรีดน้ำอาจทำได้น้อยกว่า เพราะว่าเป็นส่วนของเรื่องสูตรเนื้อยางมาประกอบด้วย

แต่ถามว่าทุกแบรนด์ที่ผลิตในบ้านเราใช้ได้หายห่วงไหม เดี๋ยวนี้แทบจะ 100% แล้วครับตั้งแต่มี มอก. เข้ามาควบคุมการดูแล เพราะไม่ใช่ว่าใครอยากจะเอายางมาขายในบ้านเราได้แล้วครับ ยางทุกเส้นต้องมีมาตราฐานที่ดี 

เพราะฉะนั้นเพื่อนๆ ไม่ต้องงงนะครับ เวลาจะเลือกยาง ถ้ารู้ว่าตัวเองเป็นรถบ้านทั่วไป เข้าตามจุดบริการใกล้บ้านหาแบรนด์ชั้นนำยังไงก็เจอแล้ว เราค่อยมาลงรายละเอียดว่าเน้นใช้งานแบบนุ่มเงียบ สปอร์ต บรรทุก อะไรก็ว่าไป แล้วมาดูที่ราคาครับ ต้องบอกว่าราคาเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยชี้วัดได้ในระดับหนึ่งสำหรับยางครับ แต่ถ้าหากเพื่อนๆมีข้อสงสัยสามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญยางรถยนต์ทางไทร์บิดได้ที่ Line official : @tiresbid หรืออ่านบทความรู้ยางรถยนต์ฟรี และหากต้องการข้อมูลเรื่องยางเช็กเปรียบเทียบข้อมูลได้เลยที่ www.tiresbid.com ครับข้อมูลครบถ้วนครับผม

Carro-Tiresbid-Old-Tires-And-Usability

สวัสดีครับ ไทร์บิดกลับมาอีกครั้งครับผม วันนี้จะขอพูดถึงเรื่องปีผลิตยางว่ามีผลต่อการใช้งานไหมครับ ยางปีเก่า ผ่านไป 1 ปี จริงๆแล้วไม่มีผลต่อการใช้งานอะไรเลยครับ และโดยปกติแบรนด์ยางแทบจะทุกแบรนด์นับวันรับประกันจากวันที่ใส่ครับ ในเรื่องการรับประกันการผลิตอย่างน้อยๆ ก็ต้องมี 2 ปีขึ้นไป ถ้าแบรนด์ใหญ่ๆก็ 5-6 ปีก็ว่ากันไปครับ

แต่เพื่อนๆ ก็ยังเป็นห่วงเหมือนเดิมใช่ไหมครับ ว่ายังไงก็อยากได้ยางใหม่เอี่ยมที่สุดไว้ก่อน งั้นไทร์บิดเรามาจำลองเหตุการณ์ดูครับ ว่ากรณีที่เป็นยางปีเก่านั้นเก่าถึงปีไหมกันนะครับ

Old-Tires-And-Usability

กรณีเราซื้อยางเดือนมีนาคม แล้วยางที่เรากำลังจะซื้อนั้น เป็นยางผลิตสัปดาห์ที่ 40 ของปีที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นยางที่เพื่อนๆได้มานั่นเพิ่งผลิตมาแค่ 5 เดือน ซึ่งไม่เกินปีเลยครับ แต่แค่ปีผลิตเป็นของปีที่แล้วครับ และกรณีที่การรับประกันจากการผลิตที่ทางแจ้งไว้จะรับประกันนับจากวันติดตั้งก็แปลว่ายางที่รับประกันจากเดือนมีนาคม บวกไปอีก 5 ปี

สมมติเพื่อนๆใช้รถปีละ 20,000 กิโลเมตร เท่ากับเพื่อนๆ สามารถใช้งานยังไงก็ไม่ถึงห้าปีแน่นอนครับ เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าเราจะซื้อยางปีเก่า แต่เก่าแค่ไม่กี่เดือนเพื่อนๆ สบายใจแน่นอนครับ

Old-Tires-And-Usability

เรามาดูตามความจริงกันว่าจริงๆแล้วโครงสร้างยางแต่ละส่วนนั้น ปีผลิตมีผลต่อการใช้งานจริงๆไหมครับ ข้อแรกเลยก็คือเรื่องของเนื้อยางกรณีที่เป็นยางปีเก่าเพื่อนๆอาจกลัวว่ายางนั้นอาจจะมีปัญหาใช่ไหมครับ แต่ถ้าร้านที่เพื่อนๆ ซื้อนั้นมีคลังเก็บสต็อกในที่ร่ม เพื่อนๆหายห่วงได้เลยครับว่าเนื้อยางที่อยู่ในโกดังนั้นมีสภาพใช้งาน 100% แน่นอนครับ

ส่วนต่อมาคือเรื่องของโครงยางเมื่อยางเก่าเก็บ 1 ปี ไทร์บิดกล้ารับประกันเลยครับว่าโครงยางนั้นไม่มีการคลายตัวหรือคลายความแข็งแรงแน่นอนครับ เพราะฉะนั้นเพื่อนๆ ไม่ต้องเป็นห่วงเลยครับ ว่ายางปีเก่าที่ซื้อจะมีปัญหาความแข็งแรงในการใช้งานครับ

Old-Tires-And-Usability

ข้อดีอีกอย่างหนึ่งในปัจจุบันเลยก็คือ ยางปีเก่าราคาจะถูกลง 10-20% จากราคาปกติเพราะฉะนั้นเพื่อนๆที่อยากใช้งบอย่างประหยัดกับค่ายางแต่ได้ยางที่มีคุณภาพดีลองหาร้านที่รู้จักใกล้บ้านท่าน หรือ ลองมาสอบถามกับทางไทร์บิดได้ครับว่ามีไซส์นี้รุ่นนี้ยางปีเก่าไหมเพื่อเพื่อนๆจะได้ของดีกันครับ หากเพื่อนๆต้องการคำปรึกษาเรื่องยางสามารถสอบถามทางไทร์บิดได้ผ่าน Line official : @tiresbid หรือเข้าเช็กราคายางได้ที่ www.tiresbid.com ได้ครับ สนใจจะอ่านบทความรู้ยางรถยนต์ก็มีให้อ่านฟรีๆ แถมทางเรายินดีให้บริการเพื่อนๆทุกท่านอย่างเต็มที่แน่นอนครับ

Carro-Tiresbid-Howto-Recap-Tires

สวัสดีครับ วันนี้คิมไทร์บิดกลับมาอีกครั้งครับ มีเพื่อนๆหลายคนถามคิมว่าถ้าเราปะยางแล้ว ยางรถของเราจะใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ 100% เหมือนเดิมไหม คิมต้องบอกว่าถ้าเราปะยางอย่างถูกวิธีการใช้งานจะกลับมา 100% แน่นอนครับ แต่ว่าก็มีหลายๆกรณีโดยคิมจะจำแนกไว้ตามนี้เลยครับ

เรามาจำแนกก่อนเลยครับ ว่าบริเวณไหนที่เราสามารถปะซ่อมได้ และปะซ่อมไม่ได้ บริเวณที่ปะซ่อมยางได้จะเป็นบริเวณหน้ายางครับบริเวณที่แข็งแรงที่สุดโดยเป็นบริเวณที่มีเข็มขัดรัดหน้ายางครับ ส่วนบริเวณที่ปะซ่อมได้แต่ปะซ่อมได้ยากก็จะเป็นบริเวณไหล่ยางที่เป็นส่วนลอยต่อระหว่างหน้ายางกับแก้มยาง ซึ่งบริเวณนี้ถ้าแผ่นปะสามารถติดได้เต็มแผ่นโดยไม่ไปแปะบริเวณที่ติดกับแก้มยางนั้นก็ยังสามารถปะได้อยู่ครับ เพราะบริเวณนี้ยังมีการขยับตัวที่เยอะและไม่มีโครงสร้างรองรับให้มีความแข็งแรงเหมือนเดิม และบริเวณที่ปะซ่อมไม่ได้แน่นอนก็คือบริเวณแก้มยางครับผม

ซึ่งเหตุผลที่ไม่สามารถปะซ่อมได้ ก็เพราะว่าบริเวณแก้มยางนั้นไม่มีโครงสร้างที่แข็งแรงประกอบ กับมีการยืดหดตัวตลอดเวลา ทำให้การปะนั้นจะปะไม่อยู่ และจะส่งผลให้แผลรั่วหรือรอยบาดนั้นกว้างขึ้นเรื่อยๆ ครับ

เรามาจำแนกต่อว่าวิธีการปะในบ้านเราปัจจุบันมีการซ่อมกี่แบบ ถ้าเพื่อนๆรู้จักกันก็จะมี 4 แบบหลักๆ แทงใยไหม ปะสตรีมร้อน ปะสตรีมเย็น ปะดอกเห็ด ซึ่งการปะแต่ละแบบก็จะมีข้อดีข้อไม่ดีแตกต่างกันไป เดี๋ยวคิมไทร์บิดจะอธิบายเป็นแต่ละอย่างเลยว่าข้อดีข้อเสียเป็นอย่างไรบ้าง

Howto-Recap-Tires

แทงใยไหมเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดครับ ไม่ต้องยางออกจากล้อแค่เอาใยไหมเสียบลงไปบริเวณที่รั่วแล้วปล่อยคาไว้ถือว่าจบ ข้อดี ก็คือรวดเร็ว ใช้ได้สำหรับรูรั่วเล็กๆ ข้อเสียคือ มีโอกาสเสี่ยงที่ปะไม่อยู่บ่อย มีโอกาสทำให้แผลหรือรูรั่วมีรูที่ใหญ่ขึ้น จึงเป็นวิธีที่เหมาะสำหรับชั่วคราวเท่านั้น

Howto-Recap-Tires

ปะสตรีมร้อนเป็นวิธีที่นิยมมากที่สุดในบ้านเราครับ ไปร้านไหนๆก็จะปะสตรีมร้อนให้เพราะว่าเป็นวิธีที่ปะได้อยู่ที่สุดเพราะการปะสตรีมร้อนจะทำให้ยางที่นำไปปะกับเนื้อยางเก่าติดกันแน่นที่สุด แต่ไม่ถึงกับเป็นยางชิ้นเดียวกันนะครับ แต่ข้อเสียก็ยังมีอยู่ครับเพราะว่ากรณีที่ปะสตรีมร้อนจะทำให้ยางบริเวณนั้นอาจมีโอกาสเสียหายได้หรือทำให้ใช้งานได้ไม่เต็มสมรรถนะ 100% ครับ

Howto-Recap-Tires

ปะสตรีมเย็น จะมีสองรูปแบบโดยเป็นการใช้แค่แผ่นปะกับการใช้วัสดุที่ชื่อว่าดอกเห็ด (การแปะแบบ PRP) ซึ่งการปะสตรีมเย็นในแบบแผ่นปะนั่นดีในแง่ของทำให้โครงยางไม่เสียครับ แต่ว่ารูด้านนอกที่ไม่ได้ปะนั่นเป็นข้อเสียของการเฉพาะแผ่นปะด้านในเพราะความชื้นจะเข้าไปในรูดังกล่าว ซึ่งส่งผลให้โครงยางนั้นเกิดสนิมและอาจทำให้ยางบวมได้ ส่วนการปะแบบดอกเห็ดหรือ PRP นั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุดเพราะว่าทำให้โครงยางนั่นไม่เสียหายและยังมีเดือยที่มาปิดบริเวณรูรั่วซึ่งทำให้ไม่มีความชื้นเข้าในโครงยางไม่ส่งผลเสียต่อยาง ซึ่งจะส่งผลให้ยางนั้นกลับมาใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ 100%

เพราะฉะนั้น บริเวณที่สามารถปะได้ กับ การปะที่ดีที่สุดนั่นมีส่วนสำคัญที่ทำให้ยางนั้นกลับมาใช้งานได้ 100% เหมือนเดิมครับ ปะยางบริเวณหน้ายาง และ ปะแบบดอกเห็ดนั้นยางกลับมาได้ 100% ประยางบริเวณไหล่ยางและปะแบบดอกเห็ดยางอาจกลับมาใช้ได้ 50-80% (ขึ้นอยู่กับความใกล้ของแก้มยาง หรือถ้าไม่อยากจะเปลี่ยนยางใหม่แล้วนำไปปะสตรีมร้อนอาจจะเป็นวิธีที่สุดที่ให้ยางใช้ได้ต่อแต่ว่าอาจมีโอกาสเสี่ยงในการที่ปะไม่อยู่หรือว่ายางบวมได้)

แถมให้อีกนิดครับสำหรับยางรันแฟลตนั้น จะสามารถปะซ่อมได้ครั้งเดียวเพราะว่ายางประเภทรันแฟลตนี้ นั้นต้องการความแข็งแรงของโครงยางมากที่สุด ถ้ามีการปะซ่อมบ่อยๆ โอกาสทำให้โครงยางรันแฟลตนั้นไม่อยู่ในสภาพใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งหากเกิดการยางระเบิดหรือรั่วโครงยางรันแฟลตอาจจะใช้งานไม่ได้ก็อาจเป็นได้ แต่ถ้าเป็นยางธรรมดาก็ไม่ควรปะซ่อมเกิน 3 แผล และเป็นแผลที่ต้องไปใกล้กัน

แถมสุดท้าย จริงๆแล้วรูรั่วนั้นก็มีผลต่อการใช้งาน ถ้ารูรั่วใหญ่เกินกว่า 6 มม. ก็จะส่งผลต่อความแข็งแรงของโครงยาง และ ถ้าใหญ่กว่ากว่า 1 เซนติเมตรก็ไม่แนะนำให้ปะซ่อม (ถึงแม้ปะซ่อมได้แต่ก็อาจทำให้ยางไม่แข็งแรงเหมือนเดิมมีโอกาสยางเสียหายได้ง่ายกว่าปกติ) เพราะก่อนที่จะปะซ่อมเราต้องประเมินก่อนว่ารูรั่วของเราเป็นไซส์ขนาดความกว้างเท่าไหร่ครับ หากเพื่อนๆมีข้อสงสัยเรื่องยางหรือต้องการคำปรึกษาเรื่องยางติดต่อเลย Line Official : @tiresbid และสามารถอ่านบทความรู้ไทร์บิดได้ที่ www.tiresbid.com หรือโทรเลย 090-986-8762 วันนี้ขอขอบคุณเพื่อนๆ มากครับ

Fix-Problem-Broken-Tire

ใครๆ ก็ไม่อยากได้ประสบการณ์ที่ขับรถแล้วยางแตก แน่ๆ เพราะอาจทำให้เกิดเหตุที่ร้ายแรงจนถึงกับชีวิตได้ แบบนี้เราจะรู้ได้ยังไง ว่ายางรถของเรากำลังจะแตก มาเช็กกันดีกว่า

Fix-Problem-Broken-Tire

ทำยังไง? ถ้ารถยางแตก

โดยปกติ ก่อนที่จะเกิดเหตุยางระเบิดนั้น มักจะมีสัญญาณเตือนก่อนเสมอ ลองสังเกตดูว่า ขณะขับรถอยู่นั้น รถเกิดอาการสั่นสะเทือน หรือพวงมาลัยมีอาการสั่นผิดปกติหรือไม่ การบังคับรถยากขึ้นไหม?

โดยเฉพาะขณะเลี้ยวรถ หรือขับเข้าโค้ง ทั้ง ๆ ที่รถไม่ได้มีปัญหาเรื่องถ่วงล้อ และศูนย์ล้อหน้าก็ปกติดี ไม่มีส่วนใดของรถที่ได้รับความเสียหาย เพราะอาการเช่นนี้เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่า ยางรถของคุณเริ่มบวมและพร้อมที่จะระเบิดแล้ว

ถ้าตอนนี้ รถของคุณมีลักษณะดังกล่าว เราแนะนำให้รีบตรวจเช็กสภาพยางรถยนต์ทันที

หรือถ้าจู่ ๆ รถยางเกิดระเบิดระหว่างที่ขับขี่ รถจะเริ่มแฉลบสะบัดไปมา ซึ่งทำให้ควบคุมรถได้ยาก ให้คุณใจเย็น รีบเรียกสติ มือสองข้าง จับพวงมาลัยให้มั่น เพื่อประคองรถไว้ ไม่ให้รถส่ายไปชนรถ หรือสิ่งของรอบข้าง

จากนั้นถอนคันเร่งออก และแตะเบรกเบาๆ (ห้ามแตะแรง) ให้รถค่อยๆ ลดความเร็วลง เปิดไฟฉุกเฉินเพื่อขอทาง และพยายามประคองรถให้จอดในที่ที่ปลอดภัย

โดยสิ่งที่คุณห้ามทำเลย เมื่อยางแตก คือ ห้ามใช้เบรกมือ เพราะจะทำให้รถหมุนคว้าง หรือถ้ารถเป็นเกียร์ธรรมดา อย่าเพิ่งใช้คลัชจนกว่ารถจะใกล้จอดแล้ว

Fix-Problem-Broken-Tire

แล้ว ยางแตก เกิดจากอะไรได้บ้าง?

  • ยางรถยนต์หมดอายุการใช้งาน ลักษณะแก้มยางจะมีรอยแตก บวม ฉีกขาด หรือดอกยางหมดสภาพ
  • บรรทุกของหนักเกินกำหนด ทำให้ยางแบกรับภาระมากเกินไป
  • ขับรถใช้ความเร็วเกินกว่าที่ยางรถยนต์กำหนดไว้
  • ยางรถยนต์ร้อนจัดจากการเบรก และอาจทำให้ยางรถยนต์เกิดไฟไหม้ได้
  • สูบลมยางไม่ถูกต้อง เช่น เปลี่ยนยางรถยนต์ใหม่ แต่ยังใช้จุกเติมลมอันเก่า, เติมลมยางรถยนต์อ่อนเกินไป หรือเติมมากเกินไป
  • ขับรถเจอหลุมบ่อบนถนนบ่อย ทำให้ยางเสี่ยงแตกง่ายขึ้น
  • ใช้ยางรถยนต์ไม่ถูกขนาด เช่น นำยางรถเก๋งมาใส่รถปิคอัพ เป็นต้น

Fix-Problem-Broken-Tire

ทำยังไง ไม่ให้เกิดเหตุการณ์ยางแตกอีก?

ยางรถยนต์ระเบิด ขณะใช้งานนั้นเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ หนึ่งในนั้นคือการเลือกยางที่ไม่เหมาะสมกับรถยนต์นั่นเอง ดังนั้น การเลือกยางรถให้เหมาะจึงสำคัญไม่แพ้กัน และเราสามารถเลือกได้ โดยใช้เทคนิคเหล่านี้

  • เลือกขนาดยาง และกระทะล้อ ให้ถูกต้องตรงตามที่โรงงานผู้ผลิตรถยนต์กำหนด
  • เลือกยางที่รหัสความเร็ว และน้ำหนักบรรทุก เหมาะสมกับรถของคุณ
  • การตั้งศูนย์ถ่วงล้อ ควรตั้งศูนย์ล้อทั้ง 4 ล้อทุกครั้งที่เปลี่ยนยาง
  • ควรเปลี่ยนยางโดยช่างผู้มีความชำนาญ และอุปกรณ์ที่มีความพร้อม
  • เติมลมยางให้พอเหมาะ ไม่แข็งเกินไป หรืออ่อนเกินไป
  • ตรวจสภาพยางสม่ำเสมอ พร้อมๆ กับการหมั่นตรวจสภาพรถยนต์

Fix-Problem-Broken-Tire

เพราะทุกอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ อย่าลืมตั้งสติให้มั่น และที่สำคัญอย่าลืม เช็กประกันรถยนต์ ก่อนการใช้งานรถยนต์ทุกครั้ง วิธีนี้ก็เป็นอีกหนึ่งหนทาง ที่จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น พร้อมกันนี้ ตัวคุณเองก็ไม่ควรละเลยที่จะตรวจสภาพรถยนต์บ่อยๆ ด้วย

หากคุณกำลังมองหาประกันภัยรถยนต์ rabbit finance โบรกเกอร์ประกันภัย ที่มีประกันรถยนต์หลากหลายรูปแบบและราคา ให้คุณได้เลือกให้ตรงกับไลฟ์สไตล์ พร้อมเบี้ยประกันที่คุ้มค่า และบริการเปรียบเทียบประกันรถยนต์ออนไลน์ ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับคุณ ให้การใส่ใจรถยนต์เป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายขึ้น

Change-Tires-At-Shop-Or-Tire-Service-Center

สวัสดีครับ ไทร์บิด กลับมาอีกครั้งครับ วันนี้อยากพูดคุยกับเพื่อนๆครับ ว่าจริงๆ แล้ว ศูนย์บริการที่ปัจจุบันที่มีเยอะขึ้นมาก กับร้านยางดั้งเดิม (ที่ไม่ใช่เป็นเพิงข้างทางนะครับ) แตกต่างกันอย่างไรบ้างครับ

เพื่อนๆ ไทร์บิดหรือว่าจะเป็นคนยุคเก่ายุคใหม่ที่ใช้รถคงหนีไม่พ้นที่จะต้องเปลี่ยนยางรถกัน แต่ว่าร้านยางหรือไม่ว่าจะเป็นศูนย์บริการเปลี่ยนยางนั้นมีเยอะมากจนเพื่อนๆ นั่นไม่แน่ใจว่าจะเลือกเข้ารับบริการเปลี่ยนยางในรูปแบบร้านไหนดีใช่ไหมครับ

วันนี้ ไทร์บิดจะมาให้ข้อมูล ข้อดี ข้อเสีย ระหว่างสองรูปแบบ ว่ามีแตกต่างกันยังไงเป็นข้อๆ ครับ

Change-Tires-At-Shop-Or-Tire-Service-Center

เรื่องแรก คุณภาพของยาง ไม่ว่าจะเป็นศูนย์บริการ หรือ ร้านยางดั้งเดิม นั้น คุณภาพยางใหม่เหมือนกันแน่นอนเพราะมาจากโรงงานเดียวกันในยี่ห้อแบรนด์ชั้นนำนะครับ ไม่นับรวมยางจีนหรือยางไม่มียี่ห้อนะครับ

เพราะยี่ห้อยางชั้นนำโดยปกติก็ขายตรงให้กับร้านยางแบบดั้งเดิมอยู่แล้วครับ ส่วนในเรื่องปีผลิตนั้นจริงๆ ไม่แตกต่างกันครับ เพราะร้านยางดั้งเดิมปัจจุบัน มีการปรับตัวทำให้ยางที่เป็นสต็อกของร้านนั้นค่อนข้างจะปีใหม่อยู่แล้วครับ แต่ทางไทร์บิดชี้แจงครับว่า เดือนผลิตที่แตกต่าง ไม่มีผลต่อการใช้งานแน่นอนครับ

Change-Tires-At-Shop-Or-Tire-Service-Center

เรื่องที่สอง เรื่องราคา เรื่องนี้จะเป็นข้อได้เปรียบของร้านยางดั้งเดิมครับ ในกรณีที่ขายปกติไม่รวมช่วงโปรโมชั่นต่างๆ ครับ เนื่องจากร้านยางดั้งเดิม จะมีต้นทุนที่ต่ำกว่าศูนย์บริการแน่นอนครับ ในเรื่องของค่าการตลาด และ ค่าอื่นๆ ที่ทางศูนย์บริการมีเยอะกว่า

ทำให้ร้านยางดั้งเดิม มีโอกาสขายยางได้ในราคาที่ถูกกว่าศูนย์บริการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของยางธรรมดา และยางรันแฟลตครับ แต่ว่าในความแพงก็มีส่วนดีหลายๆอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องการรับประกันทุกกรณี ที่ทางศูนย์บริการมีมาให้เพิ่มเติมมากกว่าร้านดั้งเดิมครับ

อันนี้เพื่อนๆ อาจจะต้องลองชั่งน้ำหนักดูว่าการใช้งานของทางเรามีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด อันไหนคุ้มกว่ากันครับ

Change-Tires-At-Shop-Or-Tire-Service-Center

เรื่องที่สาม คุณภาพการติดตั้ง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างตอบยากเพราะว่าขึ้นอยู่กับงานฝีมือของช่างไม่ว่าจะเป็นการถอดประกอบใส่ หรือ จะเป็นเรื่องของการถ่วงล้อ

แต่ถามว่าการใช้เครื่องมือ หรือ อุปกรณ์ช่วยเสริมต่างๆนั้น ศูนย์บริการค่อนข้างจะได้มาตรฐานมากกว่า อาทิ การใช้ครีมทายางก่อนประกอบใส่เพื่อป้องกันขอบยางฉีกขาด หรือ ไม่ว่าจะเป็นการขันนอตที่ใช้กากบาท และใช้ประแจปอนด์ย้ำเพื่อความแน่นของนอตล้อ

แต่ปัจจุบัน ร้านยางดั้งเดิมที่ปรับเปลี่ยนมาเป็นศูนย์บริการ ก็มีการปรับเปลี่ยนทำให้งานติดตั้งได้มาตรฐาน ซึ่งเพื่อนๆ หายห่วงได้แน่นอนครับ

Change-Tires-At-Shop-Or-Tire-Service-Center

เรื่องสุดท้ายเป็นเรื่องของความสะดวกในการรับบริการ ก็ถือว่าศูนย์บริการยุคใหม่นั้น ค่อนข้างได้เปรียบเพราะว่าเพื่อนๆ สามารถเข้าใช้บริการได้ทุกสาขาเหมือนกัน

แต่หลักๆ น่าจะเป็นในช่วงเกิดเหตุฉุกเฉิน ที่เราจะใช้ศูนย์บริการที่มีหลายสาขา หรือ อีกเรื่องคือการเติมลมยางที่สะดวกมีที่เติมลมในทุกๆ ที่ แต่ถ้าถามว่าในเรื่องของบริการหลังกายขายเช่นสลับยางถ่วงล้อ นั้น เราก็คงเลือกร้านยางหรือศูนย์บริการใกล้ๆ บ้านอยู่แล้ว ซึ่งก็ไม่มีความแตกต่างอะไรกันมากระหว่างศูนย์บริการกับร้านยางดั้งเดิม

ก็เป็น 4 เรื่องหลักๆ ที่ ไทร์บิดอยากมาบอกต่อกับเพื่อนๆเพื่อให้ทราบถึง ข้อดี ข้อเสีย ของการเข้าศูนย์บริการกับร้านยางดั้งเดิมนั่นมีความแตกต่างกันอย่างไรเพื่อให้เพื่อนๆ ได้ลองชั่งใจและเลือกใช้บริการดูครับว่าเมื่อถึงเวลาเราเปลี่ยนยางนั้นเราจะเข้าที่ไหนดีครับ

แต่ถ้าเพื่อนๆไม่แน่ใจว่าเข้าที่ไหน หรือเลือกยางอะไร ทางไทร์บิดของเรา มีจุดบริการรองรับเพื่อน พร้อมทั้งยังมีรถบริการเปลี่ยนยางถึงบ้าน ที่ได้มาตรฐานเหมือนเข้าที่จุดบริการแน่นอนครับ เพื่อนๆ สามารถเข้าที่เว็บไซต์ไทร์บิดของเรา www.tiresbid.com เพื่อศึกษาข้อมูลไม่ว่าจะเป็นเรื่องของยาง และ เรื่องของการบริการได้ครับ แถมอ่านบทความยาง เพิ่มความรู้กันแบบฟรีๆ อีกด้วย

แต่ถ้าไม่แน่ใจว่าจะสะดวกแบบไหนสามารถสอบถามไทร์บิดผ่านทาง Line Official : @tiresbid ได้ครับ

ทางเรามีทีมงานคอยให้คำแนะนำกับเพื่อนๆไทร์บิดทุกท่านครับ โอกาสหน้าติดตามบทความดีดีจากไทร์บิดกันอีกนะครับ

สัญลักษณ์บนแก้มยาง-บอกอะไร-

สัญลักษณ์ต่างๆ บนแก้มยางคืออะไร? ควรรู้ไว้

ตัวอักษร และตัวเลขบนยางรถยนต์ สามารถบอกอะไรเราได้หลายอย่าง หากสังเกตดูสักนิด จะพบว่าสัญลักษณ์เหล่านี้ มีความสำคัญกับเราพอสมควร รู้เอาไว้ดีกว่าไม่รู้ เพราะเวลาเปลี่ยนยางใหม่จะได้คุ้มค่ากับเงินที่จะต้องเสียไป

ซึ่งในบทความนี้ เราจะขอยกตัวอย่างแบบง่ายๆ ที่เห็นได้ตามรถยนต์ทั่วไป ว่าตัวเลข ตัวอักษรต่างๆ มีความหมายอะไรบ้าง เช่น 205/65R15 95H ที่เราเคยเห็นกันข้างแก้มยาง สามารถแยกออกมาได้ดังนี้

  • 205 = ความกว้างของหน้ายาง มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร
  • 65 = อัตราส่วนความกว้างของหน้ายาง (แก้มยาง)
  • R = ชนิดของยาง ส่วนมากจะเป็นยางเรเดียลเกือบหมดแล้ว
  • 15 = ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของล้อ มีหน่วยเป็นนิ้ว
  • *94 = ดัชนีน้ำหนักบรรทุกสูงสุด ตัวเลข 94 ในที่นี้สามารถบรรทุกน้ำหนักได้ไม่เกิน 670 กิโลกรัม
  • **H = หน่วยวัดความเร็วสูงสุด ตัวอักษร H ในที่นี้สามารถใช้ได้เต็มที่ 210 กม./ชม.

Toyota-Vios-Laos

สำหรับยางรถยนต์อีกประเภท จะมีสัญลักษณ์แตกต่างจากด้านบน ซึ่งส่วนมากจะเป็นพวกรถออฟโรด เช่น

  • 31×10.5R16 ซึ่งสามารถแยกออกมาได้ดังนี้
  • 31 = เส้นผ่าศูนย์กลางยาง มีหน่วยเป็นนิ้ว
  • 10.5 = ความกว้างยาง มีหน่วยเป็นนิ้ว
  • R = โครงสร้างยางแบบเรเดียล
  • 16 = เส้นผ่าศูนย์กลางกระทะล้อ มีหน่วยเป็นนิ้ว

*ตารางแสดงดัชนีน้ำหนักบรรทุกสูงสุด

ส่วนการดูวันเดือนปีที่ผลิตนั้น ให้สังเกตตัวเลข 4 หลัก ที่อยู่ในวงรีเล็กๆ ใกล้ๆ ตัวย่อ DOT ยกตัวอย่างเช่น 1015 ในที่นี้ เลข 2 ตัวแรก 10 จะบอกถึงสัปดาห์ที่ผลิตยางขึ้นมา ถ้าให้ประมาณก็ราวๆ เดือนมีนาคม ส่วนตัวเลขอีก 2 ตัวที่เหลือ 15 จะบอกถึงปี ค.ศ. ที่ผลิต ซึ่งถ้าให้ดูโดยรวมแล้ว ยางวงนี้ผลิตขึ้นเมื่อ เดือนมีนาคม 2015 ซึ่งหากอยากได้ยางใหม่ๆ ให้สังเกตดูที่ตรงนี้นั่นเอง

จำเอาไว้ว่า ขนาดยางเองก็มีความสำคัญเหมือนกัน จะเลือกใช้แบบไหนก็คิดให้ดี เพราะบางคนเน้นใช้งานหนัก บางคนใช้ขับสบายๆ และบางคนแต่งสวยงาม ดังนั้นเลือกใช้ให้ถูกประเภทดีกว่า อย่าเลือกเพราะสวย แต่ใช้งานไม่คุ้มค่า ไม่งั้นได้เสียเงินเปลี่ยนบ่อยๆ แน่

ขอบคุณข้อมูลจาก: Silkspan