ฟิล์มติดรถยนต์

การนำรถไปติดฟิล์มติดรถยนต์ หลายๆคนก็อาจจะไม่ค่อยแน่ใจว่าควรเลือกฟิล์มติดรถยนต์แบบไหนเพราะมีให้เลือกหลากหลายแบบมาก ทั้งนี้ทั้งนั้น การเลือกฟิล์มติดรถยนต์ ค่อนข้างเป็นตัวเลือกที่แล้วแต่ความชอบของบุคคลมากๆ เพื่อนๆก็จะต้องดูด้วยว่าฟิล์มแต่ละแบบมีคุณภาพคงทนมากน้อยแค่ไหน

ในวันนี้ พี่หมีจึงนำเอาประเภทของฟิล์มติดรถยนต์ยนต์ทั้ง 4 ประเภทมาฝากกัน เพื่อดูว่าในแต่ละแบบมีคุณสมบัติอะไรและมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันอย่างไร เป็นตัวช่วยเพื่อนๆสามารถเลือกฟิล์มติดกระจกที่เหมาะกับรถ และ lifestyle ของเพื่อนๆได้จริงๆครับ ไปดูกันเลย

 

  1. ฟิล์มติดรถยนต์ธรรมดา (Dyed Car Tint)

 

ฟิล์มกรองแสงประเภทนี้ถือว่าเป็นฟิล์มที่มีราคาถูกที่สุด และมีคุณภาพเบสิคที่สุด โดยจะมีการแทรกชั้นเคลือบสีไว้ที่ระหว่างชั้นกาวใสและชั้นนอกกันรอยขีดข่วน เพื่อนๆสามารถเลือกระดับการปกป้องรังสียูวีได้ตั้งแต่ 5%-50% ครับ

ทำให้ข้อดีของฟิล์มติดรถยนต์ประเภทนี้ก็คือ มีราคาน่าคบ สามารถกันแสงยูวีได้ในระดับที่ถือว่าโอเค มีสีเข้มเมื่อมองจากภายนอก แต่อย่างไรก็ดี ฟิล์มประเภทนี้อาจจะหลุดลอกได้ตามกาลเวลา หรือมีฟองอากาศแทรกตัวเข้าไปด้านในทำให้กระจกรถยนต์ดูไม่สวย และด้วยคุณสมบัติที่จะดูดซับความร้อนจากแสงอาทิตย์ได้เพียงส่วนหนึ่ง ก็ยังดูดซับความร้อนได้ไม่มีประสิทธิภาพหากอยู่ในอากาศเมืองไทยครับ

 

  1. ฟิล์มปรอท (Metallic Car Tint)

ฟิล์มติดรถยนต์ประเภทนี้ จะแทรกแผ่นฟิล์มเคลือบไอโลหะไว้ที่ตรงกลาง ซึ่งจะมีความสามารถในการกันแสง uv และสะท้อนความร้อนออกไป โดยเมื่อติดฟิล์มลงบนรถยนต์แล้ว ฟิล์มกรองแสงแบบนี้จะมีหน้าตาคล้ายกระจกเงาที่คนข้างนอกจะมองเข้าไปในตัวรถไม่ได้เลยในเวลากลางวัน แต่กลางคืนจะสามารถมองเข้าไปได้

ฟิล์มชนิดนี้ สามารถกันแสงได้มากตั้งแต่ 60%-90% และกันความร้อนได้ตั้งแต่ 35%-90%

ข้อเสียของฟิล์มติดรถยนต์ประเภทนี้ก็คือ ลักษณะเงาวับด้านนอกอาจจะไม่ได้เข้ากับรสนิยมของคนทุกคน รวมถึงแผ่นฟิล์มเคลือบโลหะอาจจะเข้ามารบกวนสัญญาณโทรศัพท์มือถือ  GPS หรือสัญญาณวิทยุได้ครับ นอกจากนี้ก็จะมีราคาที่แพงกว่าฟิล์มกรองแสงธรรมดาแน่นอน

 

  1. ฟิล์มคาร์บอน (Carbon Car Tint)

ฟิล์มติดรถยนต์แบบคาร์บอนจะไม่ได้มีชั้นฟิล์มโลหะแทรกอยู่ ทำให้ไม่มีปัญหากับเรื่องการใช้โทรศัพท์มือถือหรือระบบ GPS โดยฟิล์มคาร์บอนจะมีลักษณะมืดและมีเนื้อด้าน เมื่อนำไปติดบนรถยนต์ทำให้ดูมีรสนิยม โดยฟิล์มคาร์บอนสามารถกันแสงอินฟราเรดได้ถึง 40% ทำให้ปกป้องรถจากความร้อนที่ผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง และสามารถกันรังสี UVA และ UVB ได้มากถึง 99% แม้ข้อดีเยอะแยะขนาดนี้ แต่แน่นอนว่า ฟิล์มกรองแสงคาร์บอนย่อมมาพร้อมกับราคาที่สูงมากนั่นเองครับ

 

  1. ฟิล์มเซรามิค (Ceramic Car Tint)

ฟิล์มติดรถยนต์แบบเซรามิคจะเป็นการแทรกฟิล์มบางๆด้วยวัสดุเซรามิกเข้าไป ทำให้สามารถกันการแผ่รังสี UV ได้มากถึง 50%-70% กันความร้อนได้ 70% และกันแสงอินฟราเรดได้มากถึง 97%

ฟิล์มกรองแสงชนิดนี้ จะไม่สะท้อนเป็นกระจกเงา สีไม่ซีด ไม่กันสัญญาณโทรศัพท์และบล็อกรังสี UV ลดแสงสะท้อนได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ดีฟิล์มชนิดนี้ก็มีราคาแพงมากๆเช่นกันครับ

โดยในประเทศไทย มีกฎหมายข้อบังคับเรื่องการติดฟิล์มกรองแสงออกมาว่า เพื่อนๆจะสามารถติดฟิล์ม ติดรถยนต์ที่กระจกหน้าและหลังที่ความเข้มไม่เกิน 40% ส่วนกระจกข้างจะติดฟิล์มที่ความเข้มได้ไม่เกิน 60% เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่นั้นเองครับ ทำให้ไม่ว่าเพื่อนๆจะเลือกสิ่งใด ก็ขอให้เน้นเรื่องความปลอดภัยไว้ก่อนด้วยนะครับ และถ้าจะให้ชัวร์ ให้เพื่อนๆทำประกันรถยนต์ติดไว้ จะได้อุ่นใจได้ตลอดเวลานั่นเอง โดยเพื่อนๆสามารถเข้ามาเช็คว่าประกันรถยนต์ชั้นไหนเหมาะกับตัวคุณได้ที่เว็บไซต์โกแบร์เลยนะครับ