คาร์ซีท อุปกรณ์เซฟตี้สำคัญสำหรับเด็กๆ

เบาะนั่งนิรภัยสำหรับเด็ก หรือที่เรียกกันในในภาษาอังกฤษว่า “Car Seat” (คาร์ซีท) ที่ผู้ปกครองหลายคน อาจจะยังละเลยในจุดนี้ แต่ที่จริงอุปกรณ์นี้ถือเป็นของใช้เด็กอ่อนที่สำคัญมากสำหรับผู้มีลูกเล็กๆ และต้องเดินทางไปไหนมาไหนด้วยรถยนต์ เพื่อปกป้องลูกน้อยตลอดการเดินทาง หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นจะช่วยลดระดับความรุนแรงจากอุบัติเหตุ ลดการบาดเจ็บของร่างกายของลูกคุณได้

อย่างที่ทราบกันดีว่า ภายในของรถยนต์ ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรองรับสรีระของเด็กๆ สำหรับเข็มขัดนิรภัยทั่วไป เหมาะสำหรับผู้ที่มีส่วนสูงเกิน 140 เซนติเมตร ขึ้นไป ซึ่งหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา พวกเขาอาจบาดเจ็บมากขึ้นจากการใช้อุปกรณ์ที่ไม่พอดีร่างกาย โดยศีรษะของเด็ก มีขนาดใหญ่ประมาณร้อยละ 60 ของร่างกาย เมื่อเกิดอุบัติเหตุ อาจทำให้กระดูกต้นคอหักได้ เสี่ยงเลือดออกในกะโหลกศีรษะ ปอด รวมถึงตับ และม้ามแตกได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่

ในยุโรป และอเมริกา มีการบังคับใช้กฎหมายเรื่องเก้าอี้เสริมความปลอดภัยในเด็กอย่างเคร่งครัด ซึ่งได้ผลตอบรับที่ดี เพราะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตในเด็กได้ถึง 70 % ดังนั้น คาร์ซีท จึงเป็นของใช้เด็กอ่อนที่มีความจำเป็นครับ …

คาร์ซีท อุปกรณ์เซฟตี้สำคัญสำหรับเด็กๆ

Car Seat (คาร์ซีท) มีประโยชน์อย่างไร ?

คาร์ซีท ช่วยลดระดับความรุนแรงจากอุบัติเหตุ และลดการบาดเจ็บของร่างกายของเด็ก โดยคุณต้องติดตั้งคาร์ซีทในจุดที่เหมาะสม (เช่น บริเวณจุดกึ่งกลางของเบาะหลัง) และปลอดภัยที่สุด (เพราะจะช่วยป้องกันแรงกระแทกที่เกิดจากทางด้านข้างได้)

สำหรับเด็กแรกเกิด จนถึงอายุประมาณ 12 เดือน หรือ 1 ปี และเด็กที่น้ำหนักตัวไม่เกิน 10 กิโลกรัม ควรใช้คาร์ซีทสำหรับทารก (Infant Seat) หรือ คาร์ซีทสำหรับทารกและเด็กเล็ก (Convertible Seat) แบบนั่งหันหน้าไปด้านหลังรถ และคาร์ซีทต้องสามารถปรับเอนไปกับที่นั่ง 45 องศา โดยประมาณ คาร์ซีทชนิดนี้จะปกป้องหัวของเด็ก ลำคอ และกระดูกสันหลังได้ดีที่สุด

คาร์ซีท อุปกรณ์เซฟตี้สำคัญสำหรับเด็กๆ

เด็กที่มีอายุมากกว่า 12 เดือน หรือ 1 ปี แต่ไม่เกิน 5 ปี หรือน้ำหนัก 10-28 กิโลกรัม ควรใช้คาร์ซีทแบบที่นั่งหันไปทางหน้ารถ

เด็กที่มีน้ำหนักตัว 15-18 กิโลกรัม ควรใช้คาร์ซีทแบบมีพนักพิงด้านหลัง

เด็กที่มีน้ำหนักตัว 22-25 กิโลกรัม หรือเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป สามารถนั่งตัวตรงได้ ควรใช้คาร์ซีทแบบไม่มีพนักพิงด้านหลัง

คาร์ซีท อุปกรณ์เซฟตี้สำคัญสำหรับเด็กๆ

โดยทั่วไปแล้วคาร์ซีท จะมีอายุราวๆ 6 ปีนับจากวันที่ผลิต เนื่องจากอุปกรณ์จะเริ่มเสื่อมสภาพ ไม่สามารถรับแรงกระแทกได้ดี เท่ากับคาร์ซีทใหม่ๆ อีกทั้งเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป หรือการทดสอบที่ไม่ได้มาตรฐานในปัจจุบัน ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย คุณพ่อคุณแม่ควรจะเช็คดูวันที่ผลิตของคาร์ซีท และซื้อคาร์ซีทอันใหม่ให้กับลูกน้อยเพื่อความปลอดภัย ซึ่งคาร์ซีทที่ได้มาตรฐาน จะมีราคาเริ่มต้นที่หลักพัน ไปจนถึงหลักหมื่นปลายๆ เป็นต้น

คาร์ซีท อุปกรณ์เซฟตี้สำคัญสำหรับเด็กๆ

ที่สำคัญ ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ พ.ร.บ.จราจรทางบก ที่ปรับปรุงใหม่ กำหนดให้เด็กอายุไม่เกิน 6 ปี หรือความสูงไม่เกิน 135 ซม. ต้องนั่งและมีที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก (Car Seat) หากฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ ควรให้ฝึกให้เด็กเริ่มนั่ง Car Seat ตั้งแต่แรกเกิด เพื่อสร้างความเคยชินให้กับลูกน้อยนะครับ

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์คันใหม่มาใช้ในช่วงนี้ มาขายรถกับทาง Carro Express สิ! คลิกเลยที่ https://th.carro.co/sell-car/express รับรองได้เงินเร็ว ไว ทันใจแน่นอน!

CARRO Automall

ส่วนใครสนใจจะซื้อรถมือสอง Carro แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ คุณสามารถจองรถได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น! พร้อมคำนวณสินเชื่อและค่างวด ได้ภายในเว็บไซต์ทันที!

ซึ่ง Carro เรามีรถให้คุณเลือกมากมาย รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพโดย Carro Certified อย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 160 จุด, การันตีคืนเงินภายใน 5 วัน, รับประกันเครื่องยนต์และเกียร์ 1 ปี, รับประกันไม่กรอไมล์ และไม่ประสบอุบัติเหตุหนัก ไฟไหม้ หรือน้ำท่วม พร้อมรับประกันคุณภาพรถ 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร!

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” เลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา รวมถึงมีเทคโนโลยีสนับสนุนฝ่ายขาย ทั้ง Digital Device ที่เชื่อมต่อกับ Digital Screen นำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และจัดการเรื่องเอกสารให้กับลูกค้าให้ตั้งแต่ต้นจนจบ บวกกับ Online Viewing Service ที่ลูกค้าสามารถวิดีโอคอล ตรวจสภาพรถยนต์คันที่สนใจได้แบบเรียลไทม์ ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ Carro สิ!

หรือถ้าหากคุณสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงกรอกชื่อ-เบอร์โทรศัพท์ และรถที่คุณสนใจ ไว้ที่ “รับการแจ้งเตือน” เมื่อมีรถที่คุณต้องการ Carro จะรีบติดต่อไปยังคุณทันที สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> Carro Thailand โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carrothai

แหล่งที่มาบางส่วนจาก:

  • mom2kiddy

รีบทำความสะอาดเถอะ! กับ 4 จุดในรถยนต์ ที่สกปรกกว่าส้วมสาธารณะ!

ทุกวันนี้ เราคงห้ามปฏิเสธแล้วล่ะว่า “ความสะอาด” คือสิ่งสำคัญที่สุดนับตั้งแต่เจ้าโควิด-19 เริ่มระบาดไปทั่วโลกตั้งแต่ช่วงต้นปี 2020 ที่ผ่านมา อุปกรณ์เกี่ยวเนื่องกับความสะอาด ไม่ว่าจะเป็นหน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ หรือน้ำยาฆ่าเชื้อ กลายเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิตไปแล้ว

อ่านเพิ่มเติม >> 5 วิธี ป้องกัน “โควิด-19” (COVID-19) สำหรับผู้ใช้รถ ปลอดภัยทั้งคนขับและผู้โดยสาร

อ่านเพิ่มเติม >> 5 วิธี ป้องกันกองทัพหนู และแมลงสาบ บุกยึดรถยนต์ของคุณ!

แม้แต่ในรถยนต์เองก็เช่นกัน ความสะอาดก็เป็นสิ่งที่ห้ามละเลย บางคนอาจจะต้องใช้รถยนต์ทั้งวัน หรือใช้งานแทบทุกวัน แน่นอนล่ะว่าอาจจะมีสิ่งสกปรกปกเปื้อนเข้ามา จนเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคได้อยู่แล้ว

เพราะหลายคนอาจมีกินขนม กินข้าว หรือเปิดกระจกขับรถ ทำให้บรรดาเศษอาหาร เศษผม เศษฝุ่นผงต่างๆ (รวมถึงฝุ่น PM 2.5) สามารถปลิวเข้ามาในรถ หรือระบบแอร์ดูดเข้ามาได้

และคุณจะเชื่อหรือไม่ว่า 4 จุดในรถยนต์นี้ สกปรกกว่าที่รองนั่งชักโครกในห้องน้ำสาธารณะเสียอีก! แต่จะมีจุดไหนบ้าง MR.CARRO จะมาเล่าให้ฟัง

รีบทำความสะอาดเถอะ! กับ 4 จุดในรถยนต์ ที่สกปรกกว่าส้วมสาธารณะ!

1. พวงมาลัยรถ

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ พวงมาลัยรถที่เราจำเป็นต้องจับอยู่ตลอดเวลาของการขับรถนั้น กลายเป็นจุดที่สกปรกที่สุดภายในห้องโดยสาร โดยอ้างอิงจากเว็บไซต์ Carrentals แห่งสหรัฐอเมริกา ที่มีผลวิจัยจากผู้ใช้รถชาวอเมริกันกว่า 1,000 คัน

พบว่า พวงมาลัยรถยนต์มีค่าความสกปรกมากถึง 629 CFU (CFU คือ Colony-Forming Unit คือวิธีการตรวจนับจุลินทรีย์ แบคทีเรีย ยีสต์ หรือ รา ตามมาตรฐาน) สกปรกกว่าส้วมสาธารณะถึง 6 เท่า (172 CFU) แถมสกปรกกว่าปุ่มกดลิฟต์ถึง 2 เท่า (313 CFU)

รีบทำความสะอาดเถอะ! กับ 4 จุดในรถยนต์ ที่สกปรกกว่าส้วมสาธารณะ!

2. ที่วางแก้วน้ำ

ที่วางแก้วน้ำ หลายยังใช้เป็นที่วางของอื่นๆ อีกด้วย นับตั้งแต่เหรียญ, โทรศัพท์มือถือ รวมไปถึงเศษอาหารที่กินเหลือเวลาขับรถ ที่ต้องเจอกับความชื้นและสิ่งสกปรกบ่อยครั้ง มีค่าความสกปรกอยู่สูงถึง 506 CFU ซึ่งสกปรกกว่าฝาชักโครกส้วมห้องน้ำสาธารณะด้วยซ้ำไป

รีบทำความสะอาดเถอะ! กับ 4 จุดในรถยนต์ ที่สกปรกกว่าส้วมสาธารณะ!

3. เข็มขัดนิรภัย

เข็มขัดนิรภัยนี่ก็เป็นแหล่งรวมความสกปรกเอาไว้ใช่ย่อย นับตั้งแต่บริเวณปุ่มกดตัวล็อก, ตัวล็อก และสายเข็มขัดนิรภัย ซึ่งถูกม้วนเก็บอยู่ด้านในของเสากลางตัวรถ หรือเสาหลังรถ หรือใต้เบาะนั่ง จึงเป็นที่สะสมของเชื้อโรคมากมาย ด้วยค่าเฉลี่ยความสกปรกมากถึง 403 CFU

รีบทำความสะอาดเถอะ! กับ 4 จุดในรถยนต์ ที่สกปรกกว่าส้วมสาธารณะ!

4. ที่เปิดประตูรถยนต์

จุดสัมผัสที่บ่อยที่สุดของรถทุกคัน นั่นคือที่เปิดประตูรถยนต์ทั้งภายนอก-ภายใน มือคุณต้องจับตรงนี้เป็นจุดแรกๆ เมื่อจะขึ้นรถหรือลงรถ กลับเป็นสิ่งที่คนละเลยการทำความสะอาดอยู่บ่อยๆ มีค่าเฉลี่ยความสกปรกมากถึง 256 CFU เรียกว่าฝารองนั่งโถส้วมยังสะอาดกว่า

เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว รีบทำความสะอาดโถส้วม เอ๊ย! ภายในรถกันเลยนะครับ แล้วอย่าลืมล้างมือบ่อยๆ ก่อนจะใช้รถ เพื่อที่ทุกจุดในรถของคุณ จะได้สะอาดปลอดเชื้อโควิด-19 หรือเชื้อโรคอื่นๆ ยังไงล่ะครับ

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

แต่ถ้าใครอยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์ไฟฟ้าคันใหม่ มาขายรถกับทาง CARRO Express ได้ที่  https://th.carro.co/sell-car/express หรือถ้าหากต้องการซื้อรถคุณภาพเยี่ยม CARRO เราก็มีพร้อมให้คุณเลือกอย่างมากมายด้วยเช่นกัน พร้อมรับประกันสูงสุดถึง 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร กับ CARRO Automall ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://th.carro.co/taladrod/

Carro Automall / คาร์โร ออโต้มอลล์

หากใครอยากซื้อรถมือสองสภาพเยี่ยม ราคาสบายๆ และมั่นใจได้ในเรื่องของความสะอาดทุกคัน CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ ตอบโจทย์คุณด้วยคอนเซปต์ “click.buy.drive.” คุณสามารถจองรถออนไลน์ ได้ในเวลา 1 นาที!

ซึ่งรถของ CARRO Automall เรามีให้คุณเลือกมากมาย รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพอย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 200 จุด รวมไปถึงการการปรับสภาพ (Car Reconditioning) ด้วยทีมช่างมืออาชีพ ที่ผ่านการผึกอบรมตามมาตรฐานคาร์โรกว่า 40 คน พร้อมให้บริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว กว่า 20 คัน/วัน

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” เลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา รวมถึงมีเทคโนโลยีสนับสนุนฝ่ายขาย ทั้ง Digital Device ที่เชื่อมต่อกับ Digital Screen นำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และจัดการเรื่องเอกสารให้กับลูกค้าให้ตั้งแต่ต้นจนจบ บวกกับ Online Viewing Service ที่ลูกค้าสามารถวิดีโอคอล ตรวจสภาพรถยนต์คันที่สนใจได้แบบเรียลไทม์

เรารับประกันคุณภาพรถ 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร! (CARRO Quality Assurance) อีกทั้งยังการันตีความพึงพอใจ คืนเงินได้ภายใน 5 วันอีกด้วย! ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม กับ CARRO Automall สิ!

หรือถ้าหากสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall Thailand โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall ครับ

แหล่งที่มาจาก:

Carro-Masii-5-Risky-Driving-Behaviors-Car-Accident

เชื่อไหมว่าสถิติการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนนั้นมีมากเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มาตั้งแต่ต้นปี โดยสาเหตุหลักๆ จะมาจากพฤติกรรมของผู้ขับขี่เป็นหลักที่ไม่เคารพกฎหมาย และขาดวินัยในการขับขี่รถยนต์บนท้องถนน อีกทั้งการกระทำแบบนี้จะเพิ่มความเสี่ยงให้แก่ตัวผู้ขับขี่ และผู้ใช้รถใช้ถนนอีกด้วย เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ วันนี้ masii ได้นำ 5 พฤติกรรมเสี่ยงอุบัติเหตุ ที่ไม่น่าทำขณะขับรถมาเตือนเพื่อนๆ กัน ไปดูกันดีกว่าว่าจะมีอะไรบ้าง

5 พฤติกรรมเสี่ยงอุบัติเหตุ ที่ไม่ควรทำขณะขับรถ

5-Risky-Driving-Behaviors-Car-Accident

1. ฝ่าฝืนกฎจราจร

สาเหตุอันดับต้น ๆ ที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนนั้น โดยส่วนใหญ่จะมาจากการฝ่าฝืนกฎจราจร เช่น ฝ่าไฟแดงจราจร ขับรถย้อนศร และใช้ความเร็วที่เกินกำหนด เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎจราจรทำให้เพิ่มอัตราความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ ดังนั้นสิ่งที่ควรทำมากที่สุดสำหรับผู้ขับขี่คือ ผู้ขับขี่ควรปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด เพื่อลดโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุนั่นเอง

2. เมาแล้วขับ

เมาแล้วขับรถ เป็นอีกหนึ่งพฤติกรรมที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ เช่นกัน ดังนั้นหากเพื่อนๆ หรือใครก็ตามที่รู้ตัวว่าดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จนมึนเมา ควรต้องพักการขับรถไว้ก่อน ควรหันมาใช้บริการขนส่งสาธารณะ หรือให้คนที่เราไว้วางไว้ใจมารับเราแทน เพราะการขาดสติ และมีอาการมึนเมานั้น ไม่ควรจะหันมาขับรถอย่างเด็ดขาด เพื่อความปลอดภัยของตัวเรา และผู้อื่น

5-Risky-Driving-Behaviors-Car-Accident

3. เล่นมือถือขณะขับรถ

มีหลายคนที่มักจะประมาทเวลาขับรถ โดยเฉพาะกับการเล่นโทรศัพท์มือถือขณะขับรถ เพราะคิดว่าขับรถมองทางสลับกับมองจอมือถือไปด้วยคงไม่เป็นไรหรอก แต่ความจริงแล้วนั้น พฤติกรรมนี้ถือเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุอันดับต้น ๆ เช่นกัน เพราะเนื่องจากเราจดจ่อกับมือถือมากกว่าขับรถ การกระทำนี้ทำให้ลดความสามารถในการควบคุมรถยนต์ จนทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ เช่น หากมีความจำเป็นต้องใช้โทรศัพท์ เราแนะนำว่าให้ใช้อุปกรณ์เสริมต่าง ๆ หรือจอดรถก่อนเพื่อคุยธุระให้เสร็จก่อนแล้วค่อยขับรถต่อไป

4. เอื้อมหยิบของในรถ

ไม่ว่าคุณจะมีความจำเป็นที่ต้องเอื้อมหยิบของในรถ ทั้งเบาะข้างๆ หรือเบาะหลัง ควรทำการจอดรถให้เรียบร้อยเสียก่อน อย่าเอื้อมตัวหรือมือไปหยิบของขณะที่กำลังขับรถเด็ดขาด เพราะแค่เสี้ยววินาทีที่เราหันไปมองของที่หยิบอยู่นั้น ก่อให้เกิดเหตุที่ไม่สามารถคาดฝันได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ไม่ควรประมาท และควรจอดรถให้สนิทก่อนจะเอื้อมหยิบของ จะปลอดภัยที่สุด

5-Risky-Driving-Behaviors-Car-Accident

5. ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย

แม้ว่าการไม่คาดเข็มขัดนิรภัยจะยังไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ แต่การคาดเข็มขัดนิรภัยก็เป็นสิ่งสำคัญมากๆ สำหรับผู้ขับขี่รถยนต์ทั้งหลายที่ไม่ควรละเลย ทางออกที่ดีที่สุด คือ การคาดเข็มขัดนิรภัยทุกๆ ครั้งก่อนออกเดินทางทั้งตัวผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร เหตุผลที่ต้องคาดเข็มขัดนิรภัยก็เพื่อช่วยลดแรงกระแทกที่อาจเกิดกับตัวเราเมื่อเกิดอุบัติเหตุ โดยจะเป็นตัวฉุดรั้งไม่ให้เรากระเด็นออกจากเบาะ หรือตัวรถนั่นเอง

และทั้งหมดนี้คือ 5 พฤติกรรมเสี่ยงอุบัติเหตุ ที่ไม่ควรทำขณะขับรถที่ผู้ขับขี่ทุกคนควรรู้ เพื่อจะได้ช่วยกันลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ ที่สำคัญคือ การขับขี่อย่างปลอดภัย และมีสติ เคารพกฎจราจรหากใครอยากเพิ่มความอุ่นใจ สามารถ คลิกที่นี่ เพื่อซื้อประกันรถยนต์กับเว็บไซต์มาสิได้ง่ายๆ

ขอขอบคุณบทความดีๆ จาก www.masii.com

Carro-Frank-How-To-Adjust-Seating-For-Driving

เวลารถติดนานๆ หรือขับรถทางไกล แน่นอนว่าผู้ขับขี่อาจจะต้องมีอาการปวดเมื่อย ปวดหลังขณะขับรถอยู่แล้ว สาเหตุก็มาจากท่านั่งในการขับรถของคุณนั่นเอง หากคุณเลือกท่านั่งขับรถที่ผิดวิธี อย่างเช่น ก้มหน้ามากเกินไป นั่งหลังงอ หรือนั่งเอียงตัว ก็จะส่งผลให้คุณปวดเมื่อยหลังจากการขับขี่ได้ งั้นเราลองมาปรับท่านั่งขับรถที่ถูกต้องกันดีกว่า รับรองนั่งสบาย แถมปลอดภัยระหว่างขับขี่อีกด้วยนะ ทำง่ายนิดเดียวครับ

How-To-Adjust-Seating-For-Driving

1. ปรับความห่างของเบาะให้พอดี

อันดับแรกคุณจะต้องปรับระยะห่างของเบาะกับเบรก และระยะห่างของคันเร่งให้พอดี โดยปรับเบาะให้เข่างอตัวเพียงเล็กน้อย เอาแบบสบายๆ ไม่ต้องเกร็งจนเกินไปนะครับ ส่วนระยะห่างการจับพวงมาลัยจะต้องพอดีเช่นกัน เพราะมันจะช่วยทำให้คุณจับพวงมาลัยได้ง่าย และปลอดภัยขณะขับรถนั่นเอง

2. อย่าลืมปรับความสูงของเบาะด้วย

ต่อมาให้ปรับความสูงของเบาะให้พอดีระดับสายตาด้วย อย่างเช่น ถ้าเราเป็นคนที่ตัวเล็กเวลามองอาจจะไม่ค่อยเห็นชัดก็ต้องเพิ่มความสูงของเบาะ แต่ถ้าเราคนที่ตัวสูงก็อาจจะต้องลดระดับความสูงของเบาะ เพื่อช่วยให้คุณมองเห็นเส้นทางง่ายขึ้น

3. ปรับพนักพิงให้พอดีกับแผ่นหลัง

หากคุณอยากนั่งให้สบายๆ และปลอดภัยขณะขับขี่ด้วย ก็ลองปรับพนักพิงเอน 110 องศาก่อนสิ! เพียงแค่ปรับให้พอดีกับแผ่นหลังของคุณ และเอามือไปวางบนพวงมาลัยได้ถนัด มันจะช่วยให้คุณไม่เกร็งขณะขับรถนั่นเอง ทั้งนี้เพื่อความสบายขึ้น เราสามารถปรับหัวเบาะ หรือหัวหมอนให้พอดีกับศีรษะคุณด้วย เวลาคุณเกิดเบรกกระทันหัน จะช่วยลดแรงกระแทกได้ดี และบรรเทาอาการปวดเมื่อยต้นคอ

How-To-Adjust-Seating-For-Driving

4. จับพวงมาลัย 3 และ 9 นาฬิกา

ถือว่าเป็นหัวใจหลักในการขับรถเลยล่ะ เพราะพวงมาลัยเป็นอุปกรณ์ในการควบคุมทิศทางของรถยนต์ กรณีที่คุณจับพวงมาลัยไม่ถูกวิธี จะทำให้คุณบังคับทิศทางยาก โดยแนะนำให้เราจับพวงมาลัยตำแหน่ง 3 และ 9 นาฬิกา จะช่วยให้หมุนพวงมาลัยได้เร็ว และไม่หลุดมือด้วย

5. ปรับกระจกข้างและกระจกหลัง

เพราะความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ ก่อนที่เราจะขับรถยนต์ก็ต้องปรับกระจกมองข้างและกระจกมองหลังให้ชัดเจน ถ้าเราปรับกระจกไม่พอดีกับตำแหน่งอาจจะทำให้คุณเสียหลักในการทรงตัว อีกทั้งอันตรายต่อตัวผู้ขับขี่ และผู้ใช้รถใช้ถนนร่วมกันด้วย

6. คาดเข็มขัดนิรภัยก่อนขับรถ

สุดท้ายก่อนออกเดินทาง เพื่อนๆ อย่าลืมคาดเข็มขัดนิรภัยกันด้วยนะครับ เพื่อความปลอดภัยขณะขับขี่ แถมไม่โดนเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกปรับด้วย เพียงแค่คุณดึงสายเข็มขัดนิรภัยมาพาดเฉียงไล่ลงมาที่สะโพก หลังจากนั้นก็ล็อกสายเข็มขัดนิรภัยให้แน่น แล้วตรวจสอบด้วยนะครับว่าสายเข็มขัดล็อคแน่นหรือไม่ มันจะช่วยป้องกันอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ดีเลยล่ะ

หลังจากเราปรับท่านั่งขับรถให้ถูกวิธีแล้ว มันจะช่วยให้เราควบคุมการขับขี่ได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเวลาที่คุณจับพวงมาลัย เหยียบคันเร่ง เหยียบเบรก หรือวิสัยทัศน์ในการมองเห็น เป็นต้น ถือว่าสำคัญในการขับรถยนต์มากๆ เพราะนอกจากจะเพิ่มความปลอดภัยให้กับตัวคุณ ยังเพิ่มความสะดวกสบายขณะขับรถอีกด้วย แต่ถึงอย่างไรเพื่อนๆ ก็อย่าลืมทำประกันรถยนต์ด้วยนะ จะได้มีคนคอยช่วยดูแลทั้งรถทั้งคุณตลอดเส้นทาง มีเผื่อไว้ก่อน ย่อมอุ่นใจกว่าเนอะ!!

ขอบคุณข้อมูลจาก : frank.co.th ประกันที่รวดเร็ว เรียบง่าย และจริงใจกับคุณ

ขณะขับรถ การเกิดอุบัติเหตุเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ ทุกวินาทีมีความเสี่ยงทั้งนั้น เพราะฉะนั้นการเลือกรถเพื่อมาใช้งานในชีวิตประจำวัน ให้ได้ระดับมาตฐานความปลอดภัยของรถจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม จะให้หวังเชื่อจากผู้ผลิตข้างเดียวก็เชื่อไม่ได้ทั้งหมด รวมถึงการดูค่าการทดสอบมาตรฐานความปลอดภัย ก็ยังจำเป็นที่จะต้องดูจากสถาบันที่เป็นกลาง

เนื่องจากความปลอดภัยนั้นสำคัญ ทำให้ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน ค่ายรถต่างๆ ทุ่มทุนกันพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ ออกมามากมาย บางอย่างนั้นอาจใช้กันจนเป็นเรื่องสามัญไปแล้ว จนไม่รู้ว่า อุปกรณ์ชนิดนี้ ใครคนนั้น? เป็นผู้คิดค้นมันขึ้นมา

วันนี้ MR.CARRO จะมานำเสนอ 5 สิ่งแรกในรถยนต์ที่เกี่ยวกับระบบความปลอดภัย ที่ต่อมารถทุกค่ายต่างต้องนำมาใช้กันหมด มาดูกันว่ามีอะไรกันบ้าง

5-World-First-Safety-Equipment-In-Car

1. เข็มขัดนิรภัย

เข็มขัดนิรภัย เป็นอุปกรณ์สามัญประจำรถยุคใหม่ ที่ทุกคันจะต้องมี เพราะสามารถปกป้องชีวิตของผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตได้อย่างมาก

นับตั้งแต่การคิดค้นของ George Cayley วิศวกรชาวอังกฤษช่วงกลางศตวรรษที่ 19 แต่ก็ยังไม่ได้ต่อยอดอะไร มาจนถึงปี 1946 Dr. C. Hunter Shelden แห่ง Huntington Memorial Hospital ในเมือง Pasadena รัฐแคลิฟอเนีย จึงเริ่มทำการศึกษาถึงการติดตั้งเข็มขัดนิรภัยในรถ ต่อมาในปี 1949 รถยนต์ยี่ห้อ Nash และ Ford ในปี 1955 จึงมีการนำเสนอ “เข็มขัดนิรภัย” ในรูปแบบของอุปกรณ์ติดตั้งเพิ่มเติม

จากนั้นในปี 1958 SAAB ผู้ผลิตรถยนต์จากสวีเดน จึงเริ่มติดตั้งในรถรุ่น GT 750

5-World-First-Safety-Equipment-In-Car

Nils Bohlin วิศวกรของวอลโว่ และผลงานที่ “เปลี่ยนโลก” ของรถยนต์

ต่อมาในปี 1959 เข็มขัดนิรภัย 3 จุด (Three-Point Safety Belt) จึงถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกด้วยแนวคิดของ Nils Bohlin วิศวกรของวอลโว่ ที่ศึกษาการอุบัติเหตุมามากถึง 28,000 เคส ก่อนจะมาพัฒนาเข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรุ่น Amazons และ PV544 สำหรับตลาดสแกนดิเนเวีย

หลังจากที่วอลโว่ได้ยกเลิกสิทธิบัตรที่เป็นเจ้าของเข็มขัดนิรภัย 3 จุดลง ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกๆ ต่างนำนวัตกรรมชิ้นนี้มาใช้เพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่ และพัฒนาต่อยอดเป็นเข็มขัดนิรภัยแบบที่เราใช้กันในปัจจุบัน

5-World-First-Safety-Equipment-In-Car

1.ถุงลมนิรภัยด้านคนขับ / ผู้โดยสาร 2.ถุงลมนิรภัยบริเวณเข่า 3.ถุงลมนิรภัยด้านข้าง 4.ม่านนิรภัย

2. ถุงลมนิรภัย

การขับรถในสมัยก่อน คนขับและผู้โดยสารมักได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต เพราะมาจากการถูกพวงมาลัยกระแทกอัดหน้าอก หรือแผงคอนโซลหน้ากระแทก

Airbag หรือ ถุงลมนิรภัย เริ่มผลิตออกมามีลักษณะเป็นถุงที่เต็มไปด้วยอากาศ ผลิตขึ้นอย่างช้าที่สุดในช่วงต้นปี 1941 ต่อมาในปี 1951 วอลเตอร์ ลินเดอเรอ วิศวกรชาวเยอรมัน ได้ทำการออกแบบถุงลมนิรภัยขึ้น และยื่นขอจดสิทธิบัตรของเยอรมันหมายเลขที่ # 896312 เมื่อ 6 ตุลาคม 1951 ซึ่งออกเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 1953 ประมาณสามเดือนหลังจากที่ชาวอเมริกัน John Hetrick ได้ขอสิทธิบัตรของสหรัฐอเมริกา หมายเลขที่ # 2649311 ก่อนหน้านี้เมื่อ 18 สิงหาคม 1953 แต่ก็ยังใช้ในเชิงพาณิชย์ไม่ได้

ทางฝั่งญี่ปุ่นในปี 1964 Yasuzaburou Kobori ก็ได้เริ่มพัฒนาถุงลมนิรภัยขึ้นเช่นกัน ด้วยระบบ “Safety Net”

จนกระทั่งปี 1971 จึงได้ทดลองนำมาติดตั้งในรถ Ford ติดตั้งในกลุ่มของรถยนต์ทดลองที่เรียกว่า Experimental Fleet of Car

5-World-First-Safety-Equipment-In-Car

หลังจากนั้น GM จึงริเริ่มนำถุงลมนิรภัย มาใช้อย่างจริงจังในรถตัวเองเป็นเจ้าแรกๆ ของโลก โดยเรียกถุงลมนิรภัยว่า ACRS (Air Cushion Restraint System) และติดตั้งครั้งแรกใน 1973 Chevrolet Impala ก่อนที่จะติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานพิเศษ ในรถ Oldsmobile, Buick และ Cadillac

ในอดีต ถุงลมนิรภัยยังมีราคาแพงมาก จึงมีการติดตั้งให้เฉพาะรถยนต์ในรุ่น Top เท่านั้น ก่อนจะเงียบหายไปและเริ่มมาพัฒนากันใหม่ในช่วงปลายๆ ยุค 80 โดยรถยุโรปรุ่นแรกๆ ที่มีถุงลมนิรภัยติดตั้งให้ คือ Mercedes-Benz S-Class (W126) รุ่นปี 1981 และ Ford ที่เริ่มติดตั้งแต่มาตรฐานสามัญครั้งแรก (คือติดตั้งในรถทุกรุ่น ไม่ใช่เฉพาะรถหรูๆ อีกต่อไป) ได้แก่รถรุ่น Ford Escort (Mk5)

หลังจากนั้นก็ใช้เวลานานกว่า 20 ปีได้ กว่าที่ถุงลมนิรภัย จะกลายมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานสามัญ ที่ต้องมีในรถทุกคัน เป็นสิ่งที่อยากได้ แต่ไม่อยากใช้ รวมไปถึงการคิดค้นถุงลมนิรภัยในจุดต่างๆ เพิ่มอีกด้วย เช่น ถุงลมนิรภัยด้านข้าง (มีครั้งแรก ในรถ Volvo 850 ปี 1995) ถุงลมนิรภัยบริเวณเข่า (มีครั้งแรก ในรถ KIA Sportage ปี 1995) ม่านนิรภัย (มีครั้งแรก ในรถ BMW ซีรี่ส์ 5 และ ซีรี่ส์ 7 ปี 1997) หรือแม้กระทั่งถุงนิรภัยสำหรับคนเดินเท้า เมื่อเกิดการชนจากภายนอก (มีครั้งแรก ในรถ Volvo V40 ปี 2012)

5-World-First-Safety-Equipment-In-Car

3. ระบบเบรก ABS

นับตั้งแต่ระบบเบรกในรถยนต์ของเรา เริ่มตั้งแต่ใช้ระบบดรัมเบรกกันเป็นหลัก ต่อมาจึงเริ่มหันมาใช้ดิสก์เบรกหน้า (ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานครั้งแรกในปี 1950 ในรถ Chrysler Crown และ Town & Country) จนกระทั่งรถหลายรุ่น เริ่มใช้ระบบดิสก์เบรก 4 ล้อ ที่เพิ่มความปลอดภัยและมั่นใจในการขับขี่มากขึ้น

แต่ดิสก์เบรก 4 ล้อ เวลาเบรกในที่ลื่น บนพื้นน้ำ หรือเบรกกะทัน รถมักจะประสบกับปัญหา “ล้อล็อคตาย” ทำให้เกิดอุบัติเหตุอยู่บ่อยๆ จึงมีการวิจัยและพัฒนา “ระบบเบรก ABS” ขึ้นมา โดย Mercedes-Benz S-Class (W116) เป็นผู้ริเริ่มการใช้ระบบเบรก ABS เป็นเจ้าแรกของโลกในปี 1978 ซึ่งได้ Bosch เป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ชิ้นนี้ให้

ซึ่งภายหลัง ระบบเบรก ABS ก็กลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่รถทั่วโลกต้องมีให้ อีกทั้งยังพัฒนาต่อยอดไปเป็นระบบต่างๆ อีกด้วย เช่น ระบบ EBD (ระบบควบคุมการกระจายแรงเบรก), ระบบ ESP / ESC (ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว) และระบบ BA (ระบบเสริมแรงเบรก) เป็นต้น

Audi-Quartz

4. ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ / ไฟตาเพชร

ไฟหน้าโปคเจคเตอร์ ยอดฮิตสุดๆ สำหรับรถสมัยนี้ ที่เราเห็นกันจนชินไม่ใช่เรื่องแปลกตาอะไร

ต้นกำเนิดของมันครั้งแรกอยู่ในรถ Audi Quartz ซึ่งเป็นรถต้นแบบของ Audi ที่ออกแบบโดย Pininfarina ในปี 1981 ภายหลังจึงเริ่มใช้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานครั้งแรกในรถรุ่น BMW 7 Series (E32) เมื่อปี 1986 และในส่วนของไฟหน้ารถที่มีไฟ Projector แบบคู่เป็นครั้งแรกของโลก คงต้องยกให้กับ Nissan Silvia (S13) ที่ผลิตขึ้นโดย Ichikoh

ส่วนต้นกำเนิดของ “ไฟตาเพชร” ที่ช่วยให้แสงสว่างสะท้อนออกมาได้มากขึ้น ขับรถได้อย่างปลอดภัยขึ้น กับแผ่น Refector แบบใสทำมุมต่างๆ แบบ Palabora (ภาคตัดกรวย) ภายในโคมไฟ เริ่มใช้ครั้งแรกในรถ Austin Maestro ปี 1983 ซึ่งพัฒนาขึ้นโดย Lucas-Carello แต่ก็รูปแบบของไฟ ก็ยังเป็นแบบโคมแก้วอยู่

Honda-Accord-CB-JDM

มาจนถึงปี 1989 ทาง Honda จึงได้เริ่มใช้ชุดไฟหน้าแบบมัลติรีเฟล็กเตอร์ (หรือแบบเคลียร์เลนส์) ซึ่งพัฒนาโดย Stanley ใช้โคมแบบพลาสติก ที่ให้ความสว่างมากขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ในรถรุ่น Honda Accord หรือที่บ้านเรารู้จักกันในรุ่น “Accord ตาเพชร” นั่นเอง!

5-World-First-Safety-Equipment-In-Car

5. พนักพิงศีรษะ

พนักพิงศีรษะ เริ่มคิดค้นพัฒนาเมื่อปี 1921 โดย Benjamin Katz แต่ก็ไม่ได้ต่อยอด ต่อมาในปัจจุบัน อุปกรณ์ชิ้นนี้ ที่หลายคนอาจจะเฉยๆ เพราะว่ามันมีติดตั้งมากับเบาะนั่งอยู่แล้ว แต่รถเก่าๆ สมัยก่อน ไม่มีนะครับ!

พนักพิงศีรษะ มีใช้กันจริงๆ จังๆ ก็ในยุค 70 ที่ผ่านมานี่เอง เนื่องจากทาง National Highway Traffic Safety Administration (NHTSA) ได้บังคับให้รถทุกคันที่ขายในสหรัฐอเมริกา หลังจากวันที่ 1 มกราคม 1969 เป็นต้นไป ต้องติดตั้งพนักพิงศีรษะมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

ส่วนถ้าใครอยากขายรถ สามารถขายคันเดิมกับ CARRO Express ได้ เรายินดีรับซื้อรถของคุณ ได้เงินไว เร็ว พร้อมปิดการขายได้ทันที แค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรืออยากตีราคารถก่อน สามารถ Inbox สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ —> เพิ่มเพื่อน

แหล่งที่มาบางส่วนจาก: