เรื่องน่ารู้ ขั้นตอนการตรวจสภาพรถตามมาตรฐานคาร์โร 160 จุด

หากใครที่เคยติดตามอ่านบทความต่างๆ ของ Carro (คาร์โร) เกี่ยวกับการแนะนำรถมือสองมาก่อนหน้า ก็จะเห็นได้ว่าเรามักให้ความสำคัญกับการดูรถมือสอง ที่รถต้องได้รับการตรวจสภาพโดยละเอียดมาเป็นอันดับแรกเสมอ เพื่อที่คุณจะได้เลือกรถคันที่สภาพสมบูรณ์ พร้อมใช้งานที่สุด และไม่ก่อให้เกิดปัญหาจุกจิก หลังจากที่ซื้อรถมือสองคันที่ใช่ของคุณมาแล้ว

ส่วนถ้าหากใครไม่มีความเชี่ยวชาญพอ หรือไม่มีความรู้ในการดูรถยนต์มือสอง การให้ผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำ ตรวจสภาพรถให้ หรือเลือกรถคันที่มีสภาพสมบูรณ์ พร้อมใช้งานและส่งมอบให้คุณเลือก ก็เป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ในยุค New Normal เช่นกัน

โดยการซื้อรถมือสองจาก Carro ต้องขอบอกก่อนเลยว่าพิเศษมากๆ เนื่องจากรถยนต์ที่จำหน่ายโดย Carro ได้รับการตรวจสภาพรถจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน “ทุกคัน” มากถึง 160 จุด! ซึ่งทาง Carro ยินดีรับประกันสภาพเครื่องยนต์และเกียร์ให้ถึง 1 ปีเต็ม พร้อมทั้งยินดีคืนเงินภายใน 5 วัน และรับประกันคาร์โรไม่กรอไมล์ ไม่ประสบอุบัติเหตุหนัก ไฟไหม้ หรือน้ำท่วม คุณจึงอุ่นใจได้ว่า ซื้อรถจากทาง Carro ไป มั่นใจ สภาพรถดีเยี่ยมแน่นอน

สำหรับ Carro เราตรวจสภาพรถ 160 จุด อย่างไร และจุดใดบ้างนั้น มาดูตามขั้นตอนด้านล่างได้เลยครับ …

เรื่องน่ารู้ ขั้นตอนการตรวจสภาพรถตามมาตรฐานคาร์โร 160 จุด

สภาพภายนอกรถ

  • ตรวจสอบสภาพตัวถังรถโดยรวม เริ่มตั้งแต่สภาพสีรถยนต์ตามจุดต่างๆ ด้วยการใช้เครื่องมือวัดความหนาของสีรถบนตัวถัง ว่ามีความต่างกันหรือไม่ หรือมีจุดใดเคยทำสีมาแล้วบ้าง ตรวจดูรอยลักยิ้ม รอบบุบ ครูด ว่ามีหรือไม่ ส่วนบริเวณกันชนหน้า-หลัง ฝากระโปรงหน้า ประตูทุกบาน ฝากระโปรงท้าย มีช่องไฟที่เสมอกันหรือไม่ รวมไปถึงบริเวณเส้นข้างตัวรถ เป็นต้น
  • ตรวจสอบตามตะเข็บต่างๆ รอยปั๊ม รอยอาร์ค ทั้งในบริเวณด้านในห้องเครื่อง, ด้านในประตูของแต่ละบาน หรือแม้แต่ฝากระบะท้ายก็ตาม

ตัวถัง และ กันชน

  • ขอบยางประตูรถยนต์ (ทุกบาน)
  • ที่เปิดประตูรถยนต์
  • กันชนหน้า
  • บังโคลนหน้า (ซ้าย)
  • ประตูหน้า (ขวา)
  • แผงประตูหน้า (ขวา)
  • ประตูหน้า (ซ้าย)
  • แผงประตูหน้า (ซ้าย)
  • ฝากระโปรงหน้า, แผ่นกันความร้อน, และค้ำฝากระโปรง
  • บังโคลนหน้า (ขวา)
  • ฝากระโปรงหลัง
  • บังโคลนหลังขวา
  • บังโคลนหลังซ้าย
  • กันชนท้าย
  • ประตูหลัง (ขวา)
  • แผงประตูหลัง (ขวา)
  • ประตููหลัง (ซ้าย)
  • แผงประตูหลัง (ซ้าย)
  • สเกิร์ตข้าง (ซ้าย)
  • สเกิร์ตข้าง (ขวา)
  • สภาพตัวถังโดยรวม

ฝากระโปรง และ ตะแกรง

  • กระจังหน้ารถ
  • ซ้นรูฟ / มูนรูฟ
  • เปิดประทุน
  • ระบบการเปิดฝากระโปรงหน้า

กระจก และ หน้าต่าง

  • กระจกบังลมหน้า
  • กระจกบังลมหลัง
  • กระจกประตูหน้า (ซ้าย)
  • กระจกประตูหน้า (ขวา)
  • กระจกประตูหลัง (ขวา)
  • กระจกประตูหลัง (ซ้าย)
  • กระจกมุมหลัง (ซ้าย)
  • กระจกมุมหลัง (ขวา)
  • สวิตซ์ปัดน้ำฝนหลัง
  • สวิตซ์ปัดน้ำฝนกระจกหน้า
  • ใบปัดน้ำฝนด้านหน้าและด้านหลัง
  • ชุดควบคุมกระจกไฟฟ้า
  • กระจกมองข้างด้านซ้าย
  • กระจกมองข้างด้านขวา
  • กระจกมองหลัง
  • ที่บังแดดด้านหน้า, กระจกส่องหน้า และ ไฟส่องสว่าง

ไฟภายนอก

  • ไฟหน้า (ซ้าย)
  • ไฟหน้า (ขวา)
  • ไฟข้างรถ
  • ไฟท้าย (ซ้าย)
  • ไฟท้าย (ขวา)
  • ไฟฉุกเฉิน
  • ไฟสัญญาณเตือน
  • ระบบไฟตัดหมอก
  • ไฟ Daytime Running Light
  • ระบบปรับไฟ สูง/ต่ำ
  • ระบบไฟ เปิด/ปิด อัตโนมัติ

ชุดล้อ

  • ยางอะไหล่
  • เครื่องมือแม่แรง
  • ขอบล้อ
  • ศูนย์ล้อ
  • ฝาครอบล้อแม๊ก และครอบดุมล้อ

เรื่องน่ารู้ ขั้นตอนการตรวจสภาพรถตามมาตรฐานคาร์โร 160 จุด

สภาพภายในรถ

  • ตรวจสอบสภาพแผงคอนโซล แผงข้างประตูด้านในรถ ฝาครอบชุดสวิทช์กระจกไฟฟ้า และแผงคอนโซลกลาง ตรวจเช็คหมุดยึดต่างๆ มีงานประกอบที่เรียบร้อยตามแบบโรงงาน หรือมีร่องรอยการถอด งัด รอยขีดข่วน หรือทำสีใหม่หรือไม่ พร้อมเช็คฟังก์ชั่นต่างๆ ในรถ ว่าทำงานได้ครบถ้วนหรือไม่
  • เคยติดแก๊ส LPG/NGV มาหรือไม่ โดยตรวจสอบจากด้านท้าย ว่าเคยมีรอยเจาะที่พื้นรถ พื้นยางอะไหล่รถ ว่าเคยเดินท่อมาหรือไม่ รวมถึงท่อทางเดินต่างๆ ในห้องเครื่องยนต์

เครื่องเสียง และ ระบบสัญญาณเตือน

  • ระบบเครื่องเล่นและวิทยุ
  • ลำโพง
  • สัญญาณกันขโมย
  • กล้องถอยหลัง
  • เสาอากาศ

ระบบปรับอากาศ และ ระบบทำความเย็น

  • แผงควบคุมระบบแอร์
  • ชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบแอร์
  • การทำงานของระบบทำความเย็น
  • ช่องแอร์ด้านหน้า
  • ช่องแอร์ด้านหลัง
  • การทำงานของระบบไล่ฝ้า
  • ชุดพักแขนกลางและคอนโซลกลาง

พรมรองพื้น ปูพื้น แผงและเบาะ

  • พรมหรือแผ่นยางรองพื้น
  • พรมในห้องโดยสาร
  • แผงประตูหน้า (ขวา)
  • แผงประตูหน้า (ซ้าย)
  • แผงประตูหลัง (ขวา)
  • แผงประตูหลัง (ซ้าย)
  • แผงครอบเสา A (ขวา)
  • แผงครอบเสา A (ซ้าย)
  • แผงครอบเสากลาง (ขวา)
  • แผงครอบเสากลาง (ซ้าย)
  • แผงครอบเสา C (ขวา)
  • แผงครอบเสา C (ซ้าย)
  • ช่องเก็บของด้านหน้า
  • ช่องเก็บของด้านหน้า
  • เบาะหน้ารวมถึงเบาะไฟฟ้า
  • เบาะหลังรวมถึงเบาะไฟฟ้า
  • เบาะพับ
  • ปรับเบาะอุ่น
  • ปรับเบาะเย็น
  • เบาะ และ พนักพิงศีรษะ
  • ผ้าหลังคา
  • แผงบังสัมภาระ, แผงลำโพงหลัง

สิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ (ภายใน)

  • นาฬิกา
  • ช่องจ่ายไฟ – 12V / ที่เขี่ยบุหรี่
  • ช่องจ่ายไฟ – USB Port / ที่เขี่ยบุหรี่
  • พวงมาลัยเพาเวอร์
  • ชุดควบคุมบนพวงมาลัย
  • สภาพพวงมาลัย
  • การปรับระดับของพวงมาลัย
  • การวัดเลขระยะไมล์
  • ไฟหลังคา, ไฟกลางและไฟส่องแผนที่
  • ที่เขี่ยบุหรี่
  • ชุดเบรคมือ
  • หัวเกียร์
  • แตร
  • ไฟสัญญาณเตือน
  • ระบบครูซคอนโทรล
  • ระบบความจำสถานะผู้ขับขี่
  • แผงควบคุมคอลโซล
  • ระบบ Paddle Shift

ความปลอดภัย

  • เข็มขัดนิรภัย
  • ถุงลมนิรภัย

ระบบล็อค และ แผงควบคุม

  • ระบบเซ็นทรัลล็อค
  • รีโมตเปิดท้ายรถ
  • ระบบปุ่มกดสตาร์ท
  • ฝาถังน้ำมัน

ช่องเก็บสัมภาระ

  • ไฟส่องสัมภาระด้านท้าย
  • แผงครอบสัมภาระด้านท้าย
  • ถาดท้าย

เรื่องน่ารู้ ขั้นตอนการตรวจสภาพรถตามมาตรฐานคาร์โร 160 จุด

ช่วงล่าง

  • วิเคราะห์สภาพช่วงล่าง ปีกนก แขนต่างๆ ลูกหมาก โช๊คอัพ สปริง ยางเบ้าโช๊ค อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานหรือไม่ มีจุดรั่วซึม หรือยุบหรือไม่ ทั้ง 4 ล้อ
  • สภาพยางรถยนต์ ความหนาของดอกยาง สภาพเนื้อยาง มีร่องรอยบาดบวม แตกตำหรือไม่
  • สภาพความหนาของชุดจานเบรก ความหนาของผ้าเบรก สภาพท่ออ่อนเบรกทั้ง 4 ล้อ รวมไปถึงกระปุกน้ำมันเบรก

ของเหลว

  • น้ำมันเบรก
  • น้ำมันเกียร์
  • การรั่วซึมของน้ำมันเกียร์
  • น้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์
  • น้ำยากระปุกฉีดกระจกหน้า
  • น้ำมันเครื่อง
  • การรั่วซึมของน้ำมันเครื่อง

ระบบหล่อเย็น

  • กระปุกพักน้ำหล่อเย็น
  • น้ำยาหล่อเย็น
  • หม้อน้ำ

ระบบไฟฟ้า

  • สายไฟและกล่องฟิวส์
  • ฝาครอบเครื่องยนต์
  • แบตเตอรี่

ระบบไอเสีย

  • ระบบไอเสีย

ช่วงล่าง

  • ระบบปั๊มพวงมาลัยเพาเวอร์
  • แร็คพวงมาลัย, กันโคลงและยางหุ้ม
  • ระบบคันชักคันส่ง
  • ปีกนกและลูกหมากปลายแร็ค
  • เหล็กกันโคลง

ยาง

  • ยางหน้า (ซ้าย)
  • ยางหน้า (ขวา)
  • ยางหลัง (ซ้าย)
  • ยางหลัง (ขวา)

เรื่องน่ารู้ ขั้นตอนการตรวจสภาพรถตามมาตรฐานคาร์โร 160 จุด

ห้องเครื่องยนต์

  • สภาพห้องเครื่องยนต์ สภาพคานหน้าของเดิมหรือไม่ หรือร่องรอยการงัด หรือตอก เปลี่ยน แผ่นแสดงรายละเอียดรถ หรือไม่ หรือมีการทำสีในจุดที่ไม่ควรทำสีหรือไม่ พร้อมตรวจสอบรอยตะเข็บต่างๆ หรือรูระบายน้ำ มีถูกปิดหรือทำสีทับไปหรือไม่
  • ทดสอบการทำงานของเครื่องยนต์ ต้องเดินเรียบ นิ่ง ได้มาตรฐานใกล้เคียงกับรถใหม่ บิดกุญแจแล้วต้องสตาร์ทติดทันที
  • ตรวจเช็คระบบไฟภายในรถ ฟิวส์ต่างๆ จากเครื่องวัด
  • ระบบแอร์ คอมเพรสเซอร์แอร์ แผงคอนเดนเซอร์ ตู้แอร์ อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานหรือไม่ พร้อมเช็ครั่ว เช็คน้ำยาแอร์
  • สภาพชุดสายพานต่างๆ ทั้งสายพานไทม์มิ่ง สายพานแอร์ สายพานพวงมาลัยเพาเวอร์ (ถ้ามี) และสายพานเครื่องยนต์ เป็นต้น
  • ชุดกล้องมองถอยหลัง กล้องหน้ารถ เซ็นเตอร์เปิด-ปิด ฝากระโปรงท้าย
  • ตรวจสอบน้ำมันเครื่อง, น้ำมันเกียร์, น้ำมันเบรก, น้ำมันคลัทช์, น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ (ถ้ามี) และน้ำมันเฟืองท้าย
  • สภาพหม้อน้ำ น้ำยาหล่อเย็น หม้อพักน้ำ และแบตเตอรี่รถยนต์
  • สภาพใบปัดน้ำฝน มอเตอร์ปัดน้ำฝน ที่ฉีดน้ำล้างกระจก ที่ฉีดน้ำไฟหน้า มอเตอร์ปัดน้ำฝน สภาพพร้อมใช้งานหรือไม่

เอกสารของรถ

  • ตรวจดูคู่มือรถ, Book Service สมุด/คูปอง เข้ารับบริการจากผู้ผลิต, คู่มือรับประกันระบบแอร์รถยนต์, เอกสารประกันภัย, พรบ. และเล่มทะเบียนรถ เพื่อประเมินว่าเจ้าของรถคนเดิม ดูแลรถมาอย่างไรบ้าง พร้อมตรวจสอบเลขไมล์รถยนต์ว่ามีกรอไมล์มาหรือไม่

เรื่องน่ารู้ ขั้นตอนการตรวจสภาพรถตามมาตรฐานคาร์โร 160 จุด

ทดสอบขับขี่บนถนน

การนำรถออกไปทดลองขับ พร้อมตรวจสอบสภาพรถ ด้วยการทดลองฟังเสียงดูว่ามีเสียงยุกยิก เสียงดัง จากจุดใดจุดหนึ่งหรือไม่ การตอบสนองของเครื่องยนต์ เกียร์ เบรก ช่วงล่าง พวงมาลัย หรือมีความผิดปกติอะไรของตัวรถหรือไม่ ทั้งช่วงความเร็วต่ำและความเร็วสูง

เครื่องยนต์

  • การสตาร์ทของเครื่องยนต์
  • เสียงผิดปกติในขณะเครื่องยนต์ทำงาน
  • การทำงานขณะรอบเดินเบา
  • อัตราเร่งของเครื่องยนต์
  • สายพานเครื่องยนต์
  • ยางแท่นเครื่องและเกียร์

ช่วงล่างและระบบกันสะเทือน

  • ความหนาของผ้าเบรก
  • แป้นเบรก
  • ระบบเบรก และ ท่อระบบเบรก
  • ระบบกันสะเทือนและโช๊ค
  • ระบบบังคับเลี้ยว
  • เสียงช่วงล่าง
  • ชุดเกียร์

ชุดคลัตช์และระบบส่งกำลัง

  • การทำงานของคลัตช์
  • ระบบเกจ์วัดและแผงหน้าปัด
  • การเปลี่ยนเกียร์สามารถทำงานได้อย่างปกติ
  • เสียงผิดปกติจากการทำงานของชุดเกียร์และระบบขับเคลื่อน
  • ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ
  • การทำงานของเพลาขับและชุดส่งกำลัง

เรื่องน่ารู้ ขั้นตอนการตรวจสภาพรถตามมาตรฐานคาร์โร 160 จุด

การตรวจสภาพโดยรวม

  • รถไม่มีอุบัติเหตุหนัก
  • รถไม่มีไฟไหม้
  • รถไม่มีรอยน้ำท่วม

CARRO Automall

ส่วนใครที่กำลังมองหารถคันที่ใช่ มาใช้งานในช่วงหน้าฝนนี้ เราขอย้ำอีกครั้งว่า Carro จัดเต็มทั้งราคาและคุณภาพ ให้ทุกท่านสามารถเป็นเจ้าของรถคุณภาพดี ราคาโดนใจ และอุ่นใจไปอีกขั้น เพราะผ่านการตรวจสอบรถยนต์ทั้งคัน 160 จุดอย่างละเอียด จากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เรายังรับประกันเครื่องยนต์และเกียร์ 1 ปี รับประกันไม่กรอไมล์ และรับประกันไม่ประสบอุบัติเหตุหนัก ไฟไหม้ หรือน้ำท่วม อีกด้วย! และเรายังมีบริการสินเชื่อรถยนต์จาก Genie เพื่อคุณอีกด้วย

เลือกชม ซื้อรถ หรือจองรถออนไลน์ของ Carro ผ่านหน้าตลาดรถ (คลิกที่นี่) หรือติดต่อผ่าน Inbox ใน Fanpage Carro Thailand

หรือคุณสามารถเลือกชมรถด้วยตนเองได้ที่ Carro Automall สาขาใกล้บ้านท่านได้แล้ววันนี้ ทั้งสาขาดอนเมือง สาขาศรีนครินทร์ และสาขาเกษตรนวมินทร์ เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่ 9.30 – 18.30 น.

Carro Automall สาขาดอนเมือง

Carro Automall สาขาดอนเมือง ตั้งอยู่ ณ 292 ถ.วิภาวดีรังสิต แขวงสนามบิน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ 10210 โทร. 02-508-8690

Carro Automall สาขาศรีนครินทร์

Carro Automall สาขาสวนหลวง ตั้งอยู่ ณ 37/91 ซ.ศรีนครินทร์ 55 (ซอยพรีเมียร์ 1 แยก 1) (ติดฝั่งสวนหลวง ร.9) ถ.ศรีนครินทร์ แขวงหนองบอน เขตประเวศ กรุงเทพฯ 10250 โทร. 02-508-8690

Carro Automall สาขาเกษตรนวมินทร์

และ Carro Automall สาขาเกษตรนวมินทร์ ตั้งอยู่ ณ ตลาดรถยนต์มอเตอร์ สแควร์ 289/5 บล็อก H2 ถ.ประเสริฐมนูกิจ (แยกไฟแดงนวลจันทร์ตัดใหม่ ตลาดรถไฟนวลจันทร์เก่า) เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ 10230 โทร. 02-508-8690

รวมถึงศูนย์บริการลูกค้า Carro Customer Experience Center

สาขา Lotus’s บางกะปิ ชั้น 2 เลขที่ 3109 ถ. ลาดพร้าว แขวงคลองจั่น เขตโลตัสบางกะปิ กรุงเทพฯ 10240

ดูเส้นทาง

สาขา Lotus’s ศรีนครินทร์ ชั้น 1 เลขที่ 9 หมู่ที่ 6 ตำบลบางเมืองใหม่ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ

ดูเส้นทาง

สาขา Lotus’s พระราม 1 ชั้น 3 เลขที่ 31 ถ.พระราม1 แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330

ดูเส้นทาง

สาขา Lotus’s บางใหญ่ ชั้น 1 เลขที่ 90 หมู่ 5 ตำบลบางคูเวียง อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี 11130

ดูเส้นทาง

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook -> Carro Thailand โทร. 02-460-9380 หรือทาง Line @Carrothai ครับ

ต้องรู้! วิธีดูรถน้ำท่วม จมน้ำ 5 จุด แบบง่ายๆ

ถ้าหากคุณต้องการจะซื้อรถมือสองในเวลานี้ นอกจากเราจะต้องตรวจดูสภาพรถอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทั้งตัวถังรถ สีรถ เครื่องยนต์ เกียร์ ช่วงล่าง สภาพภายในรถ รวมไปถึงการทดลองขับขี่ ฯลฯ

แต่ … สิ่งสำคัญที่สุดอีกอย่าง นั่นคือคุณต้องดูด้วยว่า “รถคันนี้ ผ่านการถูกน้ำท่วมมาหรือไม่” ด้วยนะครับ!

“น้ำท่วม” หรือ “น้ำรอการระบาย” ถือเป็นปัญหาสุดคลาสสิกในหลายพื้นที่ของไทย จึงไม่แปลกที่ในตลาดรถมือสองจะมี “รถจมน้ำ” โผล่มาขายอยู่บ้าง แต่ก็สังเกตได้ยากเนื่องจากถูกซ่อมแซมมาใหม่หมดแล้ว แต่เราจะมีวิธีดูรถอย่างไรบ้าง? Mr.Carro ก็ขออาสามาแนะนำวิธีดูรถน้ำท่วม หรือรถจมน้ำมา 5 จุด แบบง่ายที่สุด ให้ทุกคนเป็นความรู้กันครับ

ก่อนซื้อต้องรู้! วิธีดูรถน้ำท่วม รถจมน้ำ 5 จุด แบบง่ายที่สุด

ภาพจาก วิเชษฐ ศรีสวาสดิ์

1. เช็คตัวถัง หาสนิม

จุดแรกที่ควรสังเกตกันก่อนเลย นั่นคือ สภาพตัวถังรถ ซึ่งหลายคันภายนอกอาจจะทำการสาดสีใหม่มาแล้ว ก็อาจจะสังเกตยากหน่อย แต่ในกรณีที่ยังเป็นสีเดิมๆ ของตัวรถ ก็ขอให้สังเกตดูในบริเวณรอยตะเข็บตัวถังจุดต่างๆ ของรถ โดยเฉพาะใต้ท้องรถ ใต้กันชน ขอบยางประตูรถ พวกน็อตยึดต่างๆ หรือบริเวณแชสซีส์รถ

ถ้ามีสนิมขึ้นในที่ที่ไม่น่าจะมี เช่น มุมที่ไม่ได้อยู่บริเวณด้านล่างของตัวรถ ชายล่าง ก็ให้สงสัยไว้ก่อนว่า อาจเป็นไปได้ว่าเคยแช่น้ำ แช่โคลน หรือจมน้ำมาก่อน

ส่วนถ้าเป็นภายในรถ ให้ลองดูบริเวณชิ้นส่วนเหล็ก ใต้บังโคลนล้อหน้า-หลัง แผงฟิวส์บริเวณข้างแป้นคันเร่ง หรือที่วางเท้าคนนั่ง และน็อตยึดฐานเบาะนั่งคู่หน้าของตัวรถ ว่ามีสนิมขึ้นหรือไม่ หรือเบาะนั่งเลื่อนได้สะดวกหรือไม่ ก็อาจจะสังเกตตรงจุดนี้ได้เช่นกัน

ก่อนซื้อต้องรู้! วิธีดูรถน้ำท่วม รถจมน้ำ 5 จุด แบบง่ายที่สุด

ภาพจาก Nobuyasu Watada / Masanobu Hatsuchi

2. ระบบไฟฟ้า

ขึ้นชื่อว่าน้ำกับไฟย่อมไม่ถูกกัน เมื่อไฟเจอน้ำก็มักจะช็อต ซึ่งอาจจะทำให้ระบบไฟในรถมักรวน เพราะมีความชื้นอยู่ในแผงวงจร สายไฟ หรือแผงฟิวส์ ส่งผลให้การทำงานของระบบไฟฟ้าในรถ เดี๋ยวใช้ได้บ้างไม่ได้บ้าง

วิธีสังเกต ให้ลองสตาร์ทรถดูการทำงานของเครื่องยนต์ ดูระบบไฟฟ้าต่าง ว่าทำงานได้ปกติหรือไม่ ยกเว้นว่าคันที่จะเปลี่ยนระบบไฟฟ้า หรือเดินสายไฟมาใหม่ อันนี้ก็อาจยากที่จะสังเกต

ก่อนซื้อต้องรู้! วิธีดูรถน้ำท่วม รถจมน้ำ 5 จุด แบบง่ายที่สุด

ภาพจาก Atipong Pongpat

3. เครื่องยนต์

รถยนต์ที่ถูกน้ำท่วมบริเวณเครื่องยนต์ มักจะถูกยกและถอดออกมาทำความสะอาดขจัดคราบน้ำและโคลนที่เข้าไป แต่หลายๆ อู่ มักจะไม่เปลี่ยนน๊อตที่ประกอบเครื่องยนต์ใหม่เท่าไหร่ ก็อาจจะสังเกตตรงจุดได้ว่าถ้าเห็นชิ้นส่วนน็อตที่ขึ้นสนิม หรือมีร่องรอยการถอดประกอบเครื่อง โดยเฉพาะรอยยากาวตรงฝาสูบ หรือสังเกตตรงฝาตาน้ำเครื่องยนต์ เป็นต้น

แต่ในกรณีที่เจ้าของเดิมยกเครื่องยนต์ใหม่มาวางแทนเครื่องยนต์เดิม อันนี้ก็อาจจะสังเกตได้ยากหน่อย

ก่อนซื้อต้องรู้! วิธีดูรถน้ำท่วม รถจมน้ำ 5 จุด แบบง่ายที่สุด

ภาพจาก Kh Un Per

4. เครื่องมือช่างประจำรถ

ชุดเครื่องมือช่างประจำรถ เช่น ประแจ หรือแม่แรง มักจะเก็บไว้ในท้ายรถ บริเวณยางอะไหล่ อาจสังเกตได้หากชุดเครื่องมือเหล่านี้มีสนิมขึ้นอยู่ รวมถึงบริเวณยางอะไหล่ ตามรอยอาร์ค รอยยาแนว อาจสังเกตได้จากคราบดำๆ หรือคราบน้ำ คราบโคลน ที่อาจมีติดฝังแน่นอยู่

ก่อนซื้อต้องรู้! วิธีดูรถน้ำท่วม รถจมน้ำ 5 จุด แบบง่ายที่สุด

ภาพจาก Sutha Luaknaree

5. กลิ่นในห้องโดยสาร

เรื่องกลิ่นนี่ก็พอจะบ่งบอกได้ว่า รถคันนี้เคยถูกน้ำท่วมมาเช่นกัน แม้ว่ารถที่นำมาขายจะถูกปรับปรุงสภาพมาแล้วก็ตาม ซึ่งพรม และเบาะนั่ง จะถูกนำออกไปซักและตากแดด หรือถูกเปลี่ยนเป็นของใหม่

กลิ่นในห้องโดยสารที่ติดอยู่ตามซอกมุมต่างๆ ของตัวถังรถ อันนี้เป็นเรื่องยากที่จะกำจัด เนื่องจากน้ำที่ท่วมเป็นน้ำโคลน กลิ่นต่างๆ จะติดอยู่ได้นาน

แต่ถ้าคุณเลือกรถกับที่ Carro ทั้ง 5 ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป เพราะเราตรวจสอบรถยนต์โดยละเอียดถึง 160 จุด ตรวจสอบทุกจุด

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์คันใหม่มาใช้ในช่วงนี้ มาขายรถกับทาง Carro Express สิ! คลิกเลยที่ https://th.carro.co/sell-car/express รับรองได้เงินเร็ว ไว ทันใจแน่นอน!

CARRO Automall

ส่วนใครสนใจจะซื้อรถมือสอง Carro แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ คุณสามารถจองรถได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น! พร้อมคำนวณสินเชื่อและค่างวด ได้ภายในเว็บไซต์ทันที!

ซึ่ง Carro เรามีรถให้คุณเลือกมากมาย รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพโดย Carro Certified อย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 160 จุด, การันตีคืนเงินภายใน 5 วัน, รับประกันเครื่องยนต์และเกียร์ 1 ปี, รับประกันไม่กรอไมล์ และไม่ประสบอุบัติเหตุหนัก ไฟไหม้ หรือน้ำท่วม พร้อมรับประกันคุณภาพรถ 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร!

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” เลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา รวมถึงมีเทคโนโลยีสนับสนุนฝ่ายขาย ทั้ง Digital Device ที่เชื่อมต่อกับ Digital Screen นำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และจัดการเรื่องเอกสารให้กับลูกค้าให้ตั้งแต่ต้นจนจบ บวกกับ Online Viewing Service ที่ลูกค้าสามารถวิดีโอคอล ตรวจสภาพรถยนต์คันที่สนใจได้แบบเรียลไทม์ ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ Carro สิ!

หรือถ้าหากคุณสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงกรอกชื่อ-เบอร์โทรศัพท์ และรถที่คุณสนใจ ไว้ที่ “รับการแจ้งเตือน” เมื่อมีรถที่คุณต้องการ Carro จะรีบติดต่อไปยังคุณทันที สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> Carro Thailand โทร. 02-460-9380 หรือทาง Line @carrothai

เติมน้ำมันผิด จะเกิดอะไรขึ้น เครื่องยนต์จะเป็นยังไง

หากคุณเพิ่งจะซื้อรถคันใหม่มาใช้ได้ไม่นาน แล้วเจอกับปัญหา เติมน้ำมันผิด คุณอาจจะรู้สึกเหมือนว่ากำลังทำสิ่งที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตลงไป แต่เชื่อหรือไม่ว่าปัญหาเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่ายกว่าที่คุณคิดเอาไว้มาก สาเหตุที่ทำให้ความผิดพลาดเล็กน้อยนี้เกิดขึ้นได้ง่าย นั่นก็เพราะชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิงในท้องตลาดที่มีอยู่ด้วยกันหลากหลายชนิด ถึงแม้จะเป็นน้ำมันประเภทเดียวกัน เช่น น้ำมันดีเซล ก็ยังมีให้เลือกทั้ง B7, B10, B20 และดีเซลพรีเมี่ยม เลือกกันตาลายเลยทีเดียวเมื่อขับเข้าปั๊ม

ยิ่งไปกว่านั้นยังมีน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์ให้เลือกใช้ตามความเหมาะสมของเครื่องยนต์อีกต่างหาก ซึ่งถ้าหากคุณเผลอไปเติมน้ำมันผิดมาจริงๆ รู้ใจ จึงมีคำแนะนำในการแก้ไขปัญหาเบื้องต้นมาฝากกัน

เติมน้ำมันผิด จะเกิดอะไรขึ้น เครื่องยนต์จะเป็นยังไง

เติมน้ำมันผิดแบบไหนเป็นภัยกับรถคุณมากกว่ากัน

อย่างที่เกริ่นไปตอนต้นว่าน้ำมันเชื้อเพลิงประเภทเดียวกันก็มีหลายชนิดให้เลือกใช้ ซึ่งถ้าหากคุณเติมน้ำมันดีเซล B10 อยู่เป็นประจำ คุณอาจจะสามารถเติมน้ำมัน B7 หรือ ดีเซลพรีเมี่ยมให้กับรถของคุณได้ ซึ่งถึงแม้จะมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นแต่ก็ช่วยให้ระบบเผาไหม้ทำงานได้ดีขึ้น สะอาดขึ้น

แต่ในกรณีที่ใช้แบบพรีเมียมอยู่แล้วเผลอไปเติมดีเซลที่มีความบริสุทธิ์ต่ำลง (มีสัดส่วนของไบโอดีเซลผสมเข้ามา) จะขึ้นอยู่กับเครื่องยนต์ของรถคุณว่ารองรับน้ำมันดีเซลชนิดนั้นหรือไม่ โดยการใช้น้ำมันดีเซลที่มีความบริสุทธิ์น้อยลง อาจจะไม่ได้ทำให้เครื่องยนต์เสียในทันที ยังสามารถสตาร์ทใช้งานรถของคุณได้ตามปกติ รวมทั้งสามารถเติมน้ำมันดีเซลชนิดเดิมที่ใช้อยู่เป็นประจำผสมลงไปได้ แต่ในระยะยาวนั้นอาจส่งผลให้เครื่องยนต์หรือชิ้นส่วนบางอย่างเสื่อมลงได้เร็วกว่าที่ควรจะเป็น นำมาซึ่งค่าใช้จ่ายราคาสูงหากต้องเปลี่ยนอะไหล่เครื่องยนต์ชุดใหญ่ก่อนเวลาอันควร

ส่วนการ เติมน้ำมันผิด อาการเป็นอย่างไร แบบที่เป็นอันตรายต่อเครื่องยนต์ของคุณแน่นอนก็คือ การเติมน้ำมันผิดจากประเภทของเครื่องยนต์ โดนเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องยนต์ดีเซลแต่ดันเผลอเติมน้ำมันเบนซินลงไป จะส่งผลให้เครื่องยนต์ของรถเกิดความเสียหายได้ เนื่องจากรถยนต์ดีเซลใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นตัวหล่อลื่น ทำให้ชิ้นส่วนต่าง ๆ ของเครื่องยนต์ทำงานได้อย่างราบรื่น แต่พอเติมน้ำมันเบนซินซึ่งมีส่วนผสมของเอทานอลลงไป ก็จะทำหน้าที่เหมือนตัวทำละลายน้ำมันหล่อลื่นที่เครื่องยนต์ดีเซลต้องการ

ทำให้เมื่อคุณสตาร์ทเครื่องยนต์ก็จะทำให้น้ำมันเบนซินถูกส่งหมุนเวียนในเครื่องยนต์ เพิ่มแรงเสียดทานระหว่างส่วนประกอบต่างๆ และทำให้ชิ้นส่วนเสียหายในที่สุด เพื่อป้องกันการเกิดความเสียหายกับเครื่องยนต์รถของคุณ จึงควรรีบเปลี่ยนถ่ายและไล่ระบบน้ำมันโดยเร็วที่สุด

เติมน้ำมันผิด จะเกิดอะไรขึ้น เครื่องยนต์จะเป็นยังไง

ทำไมการเติมน้ำมันผิดประเภทแล้วถึงทำให้รถมีปัญหา

น้ำมันคนละชนิดกันจะมีระดับการเผาไหม้ของน้ำมันแตกต่างกัน ซึ่งเมื่อคุณเติมน้ำมันคนละประเภทลงในถังน้ำมันที่มีน้ำมันเดิมค้างอยู่ เมื่อมีการสตาร์ทเครื่องยนต์จะทำให้การเผาไหม้สะดุด ส่งผลให้การทำงานของลูกสูบไม่เป็นไปตามจังหวะที่ควรเป็น เครื่องยนต์ทำงานไม่ได้และทำให้เครื่องดับในที่สุด หากคุณเพิกเฉยไม่รีบแก้ไขปัญหา จะทำให้เครื่องยนต์ได้รับความเสียหายอย่างถาวรได้

ดังนั้นเมื่อรู้ตัวแล้วว่า เติมน้ํามันรถผิด ก็ควรรีบทำการถ่ายน้ำมันนั้นออกและทำความสะอาดเครื่องยนต์รวมไปถึงชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้อง ให้ไม่มีสิ่งปนเปื้อนเหลืออยู่โดยเร็วที่สุด ก็จะช่วยให้คุณสามารถรักษาเครื่องยนต์เอาไว้ได้ดังเดิม

วิธีสังเกตอาการหากสงสัยว่า เติมน้ำมันผิด

หากคุณไม่รู้ตัวจริง ๆ ว่าเติมน้ำมันผิดประเภทไปหรือเปล่า แต่รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างว่ารถของคุณมีอาการต่างไปจากเดิม ให้สังเกตว่ามีอาการตามที่ระบุด้านล่างนี้หรือไม่ เพราะอาจเป็นไปได้ว่าคุณ เติมน้ำมันผิด นั่นเอง

1.หากเผลอเติมน้ำมันเบนซินลงในเครื่องยนต์ดีเซล อาการที่อาจเกิดขึ้นกับรถของคุณคือ

  • เครื่องยนต์มีเสียงดังขณะเร่งความเร็ว
  • อัตราการเร่งช้ากว่าปกติ และ ไม่สามารถทำความเร็วได้ดีเมื่อรอบเครื่องยนต์สูงขึ้น
  • ระบบแสดงไฟเตือนเครื่องยนต์ และส่งผลให้เครื่องยนต์ดับได้ในที่สุด
  • ไม่สามารถสตาร์ทรถใหม่ได้

2.หากเผลอเติมน้ำมันดีเซลลงในเครื่องยนต์เบนซิน อาการที่อาจเกิดขึ้นกับรถของคุณคือ

  • มีควันดำออกมาจากท่อไอเสียมากกว่าปกติ
  • เครื่องยนต์ทำงานผิดปกติ และ อาจทำให้เครื่องยนต์ดับได้
  • มีปัญหาในการสตาร์ทเครื่องใหม่

เติมน้ำมันผิด จะเกิดอะไรขึ้น เครื่องยนต์จะเป็นยังไง

เติมน้ำมันผิดประเภทควรทำยังไง

ถ้าหากคุณรู้ตัวตั้งแต่ที่ปั๊มน้ำมันเลยว่าคุณได้เติมน้ำมันผิดประเภทให้กับรถของคุณไปแล้ว ถือว่าโชคดีทีเดียวที่คุณยังไม่ได้สตาร์ทเครื่องยนต์ เพราะน้ำมันจะยังอยู่แค่ในถังน้ำมัน ยังไม่เกิดการหมุนเวียนไปที่เครื่องยนต์หรือชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ซึ่งทำให้คุณแก้ไขความผิดพลาดของการเติมน้ำมันผิดได้ไม่ยาก คุณเพียงแจ้งให้พนักงานในปั๊มน้ำมันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และขอให้ช่างมาช่วยทำการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันรวมทั้งไล่ระบบน้ำมันของเครื่องยนต์ใหม่ เพียงเท่านี้คุณก็สามารถใช้งานรถของคุณได้ตามปกติ โดยที่เครื่องยนต์ยังไม่ได้รับความเสียหาย

ถ้าเติมน้ำมันผิดแล้วสตาร์ทรถไปแล้ว ความโชคร้ายที่สุดจะอยู่ที่เมื่อคุณ เติมน้ำมันผิด แล้วขับรถออกไปโดยที่ไม่รู้อะไรเลยแล้วรถเกิดดับกลางทาง ถ้าหากมีการทำประกันรถยนต์เอาไว้ก็จะสามารถขอใช้บริการลากรถฉุกเฉินได้ ก็จะช่วยให้คุณเบาใจไปได้เยอะเลย แต่ถ้าหากว่าประกันรถยนต์ของคุณไม่ได้ครอบคลุมการดูแลในกรณีนี้เอาไว้ ก็ต้องรีบนำรถเข้าข้างทางโดยเร็วที่สุดแล้วเรียกให้ช่างมาดูจะดีกว่า

เติมน้ำมันผิด จะเกิดอะไรขึ้น เครื่องยนต์จะเป็นยังไง

ที่สำคัญ ! เราไม่แนะนำให้คุณฝืนขับรถไปที่อู่เอง เพราะเมื่อเครื่องยนต์มีการสูบฉีดน้ำมันเข้าสู่ระบบไปทั่วแล้ว จะยิ่งทำให้ชิ้นส่วนต่าง ๆ ได้รับความเสียหาย แต่โดยทั่วไปแล้วเมื่อเครื่องยนต์ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติเครื่องก็จะดับไปโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว และคุณก็ไม่ควรฝืนหรือพยายามสตาร์ทเครื่องใหม่

โดยวิธีใน การดูแลรถเบื้องต้น เมื่อเติมน้ำมันผิดและทำการออกรถไปแล้ว ก็จะคล้ายกันกับกรณีที่ยังไม่ได้สตาร์ทรถออกไป คือ คุณต้องทำการถ่ายน้ำมันรถออกทั้งหมดและให้ช่างไล่ระบบน้ำมันให้ใหม่ รวมทั้งต้องล้างหัวเทียนเพิ่มเติมด้วย นอกจากนี้คุณต้องทำการเปลี่ยนไส้กรองใหม่เพื่อให้ไม่เกิดการปนเปื้อนกับน้ำมันที่เติมผิดไป จึงจะทำให้รถของคุณทำงานได้ตามปกติและไม่สร้างปัญหาให้กับเครื่องยนต์

เติมน้ำมันผิด จะเกิดอะไรขึ้น เครื่องยนต์จะเป็นยังไง

เห็นหรือยังว่าการ เติมน้ำมันผิด นั้นเป็นเรื่องที่อาจเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ และถึงแม้โอกาสในการเกิดขึ้นจะมีไม่มาก แต่ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับเครื่องยนต์ของคุณนั้นค่อนข้างซีเรียสเลยทีเดียว ดังนั้นการเรียนรู้ถึงวิธีการที่ถูกต้องในการ ”แก้ปัญหาเบื้องต้น” เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้เอาไว้ จะช่วยให้คุณดูแลรถของคุณไม่ให้ได้รับความเสียหายได้ ที่สำคัญ การมีประกันรถยนต์ดี ๆ ก็จะช่วยให้คุณอุ่นใจได้มากกว่า ว่าหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดแบบนี้ขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นที่ไหนหรือเมื่อไหร่ ก็พร้อมมีคนดูแลคุณแบบเตรียมสแตนบายให้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งที่รู้ใจ เรามีบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนเตรียมไว้ให้คุณตลอด 24 ชม. ทั่วประเทศไทย รับประกันคุณภาพงานซ่อมนานถึง 12 เดือนอีกด้วย

สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารและโปรโมชั่นใหม่ ๆ จากรู้ใจได้ทาง FB Fan page: Roojai หรือ คลิก add Official LINE ของเราไว้ได้เช่นกัน

CARRO เปิดตัวเทคโนโลยี 360 View & Sound Engine Analysis ประสบการณ์ใหม่ในการเลือกชมรถยนต์ออนไลน์รายแรกในไทย

แม้ว่าในช่วงนี้ การระบาดของโควิด-19 ยังคงส่งผลกระทบอย่างต่อเนื่อง และมีจำนวนผู้ติดเชื้ออยู่เป็นจำนวนมากถึงหลักหมื่นคนต่อวัน จึงส่งผลให้พฤติกรรมผู้บริโภคเริ่มมีการปรับเปลี่ยนแปลงไปสู่วิถี New Normal อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อช่วยให้วิถีชีวิตสามารถปรับเข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น และมีความปลอดภัยในสุขภาพมากขึ้นไปด้วย

CARRO เปิดตัวเทคโนโลยี 360 View & Sound Engine Analysis ประสบการณ์ใหม่ในการเลือกชมรถยนต์ออนไลน์รายแรกในไทย

ด้วยเหตุนี้ CARRO (คาร์โร) ผู้นำด้านการซื้อ-ขายรถมือสองบนแพลตฟอร์มออนไลน์ และเป็น Unicorn (ยูนิคอร์น) รายแรก ด้านตลาดยานยนต์แห่ง ASEAN จึงเล็งเห็นถึงระบบออนไลน์เป็นสำคัญ พร้อมมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า ด้วยการเปิดตัวเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” ฟีเจอร์ใหม่ล่าสุดในการดูรถเสมือนจริง สร้างประสบการณ์ใหม่ให้แก่ลูกค้าที่กำลังมองหารถมือสองคุณภาพดี ซึ่งเป็นรายแรกของธุรกิจรถมือสองในประเทศไทย

CARRO เปิดตัวเทคโนโลยี 360 View & Sound Engine Analysis ประสบการณ์ใหม่ในการเลือกชมรถยนต์ออนไลน์รายแรกในไทย

หากคุณกำลังสนใจมองหารถยนต์คันที่ชอบ ซื้อรถคันที่ใช่ ในเว็บไซต์ CARRO คุณสามารถเลือกรถยนต์ที่ผ่านการคัดสรรจากทาง CARRO Automall ผ่านระบบออนไลน์ได้ง่ายนิดเดียว! อีกทั้งสามารถเลือกชมภาพรถทั้งภายนอกรถและภายในรถได้อย่างละเอียด รวมถึงสภาพเครื่องยนต์ ที่ลูกค้าสามารถกดเลือกฟังเสียงเครื่องยนต์ของรถคันที่ต้องการได้ด้วย!

โดยวิธีการฟังเสียงเครื่องยนต์สดๆ และดูรูปรถแบบ 360 องศา ทั้งภายนอกและภายใน ทำได้ตามวิธีนี้ครับ

CARRO เปิดตัวเทคโนโลยี 360 View & Sound Engine Analysis ประสบการณ์ใหม่ในการเลือกชมรถยนต์ออนไลน์รายแรกในไทย

1. เลือกชมรถยนต์ในส่วนของ “CARRO ตลาดรถมือสอง” และเลือก “รถ CARRO Automall”

CARRO เปิดตัวเทคโนโลยี 360 View & Sound Engine Analysis ประสบการณ์ใหม่ในการเลือกชมรถยนต์ออนไลน์รายแรกในไทย

2. คลิกเลือกรถยนต์คันที่คุณต้องการ

CARRO เปิดตัวเทคโนโลยี 360 View & Sound Engine Analysis ประสบการณ์ใหม่ในการเลือกชมรถยนต์ออนไลน์รายแรกในไทย

3. กดเลือก “ฟังเสียง” หรือดูภาพตัวรถ “360 องศา” ได้ทั้งภายนอกและภายใน

CARRO เปิดตัวเทคโนโลยี 360 View & Sound Engine Analysis ประสบการณ์ใหม่ในการเลือกชมรถยนต์ออนไลน์รายแรกในไทย

CARRO เปิดตัวเทคโนโลยี 360 View & Sound Engine Analysis ประสบการณ์ใหม่ในการเลือกชมรถยนต์ออนไลน์รายแรกในไทย

4. ดูและฟังเสียงเครื่องยนต์กันได้ตามความต้องการ กี่ครั้งก็ได้ไม่จำกัด และสามารถซูมดูภาพในมุมต่างๆ ได้

นอกจากนั้น คุณยังมั่นใจได้อีกว่า รถยนต์ที่ผ่านการนำเสนอโดย CARRO Automall ได้ผ่านตรวจสอบสภาพรถมากกว่า 200 จุด เราจึงกล้ารับประกันคุณภาพรถนานถึง 2 ปี หรือ 20,000 กิโลเมตร! อีกทั้งยังการันตีความพึงพอใจ คืนเงินได้ภายใน 5 วันอีกด้วย!

CARRO เปิดตัวเทคโนโลยี 360 View & Sound Engine Analysis ประสบการณ์ใหม่ในการเลือกชมรถยนต์ออนไลน์รายแรกในไทย

เพราะนอกจากจะทำให้ช่วยให้การซื้อรถผ่านช่องทางออนไลน์ของลูกค้าเป็นเรื่องง่ายนิดเดียว แบบว่าอยู่บ้านก็สามารถซื้อรถผ่านระบบออนไลน์ได้ รวดเร็ว โปร่งใส ตอบโจทย์วิถีชีวิต New Normal อย่างแท้จริง ซึ่งทาง CARRO ตั้งเป้าหมายว่าระบบจะครอบคลุมสำหรับรถทุกคันของ CARRO Automall ได้บนเว็บไซต์ภายในเดือนกันยายน 2564 นี้

CARRO เปิดตัวเทคโนโลยี 360 View & Sound Engine Analysis ประสบการณ์ใหม่ในการเลือกชมรถยนต์ออนไลน์รายแรกในไทย

สำหรับรถยนต์ทุกคันบนแพลตฟอร์มของคาร์โรที่ดำเนินการซื้อ-ขายผ่านในนามของ CARRO Automall ทั้ง 2 สาขา ไม่ว่าจะเป็นสาขาเกษตรนวมินทร์ หรือสาขาดอนเมืองนั้น ลูกค้าที่มีความสนใจในการทดลองขับ สามารถแจ้งความประสงค์ที่จะใช้บริการในส่วนของ Test Drive@Home ส่งรถให้ทดลองขับถึงหน้าบ้านคุณ ก่อนตัดสินใจซื้อได้อีกด้วย

CARRO เปิดตัวเทคโนโลยี 360 View & Sound Engine Analysis ประสบการณ์ใหม่ในการเลือกชมรถยนต์ออนไลน์รายแรกในไทย

สัมผัสเทคโนโลยีสุดล้ำจากเทคโนโลยี 360 View & Sound Engine Analysis พร้อมเปิดประสบการณ์ใหม่ ในการซื้อ-ขายรถมือสองผ่านระบบออนไลน์ที่สะดวก เชื่อถือได้ และปลอดภัยยิ่งกว่า โดยสามารถเลือกชมรุ่นรถยนต์มากมาย ที่ผ่านการคัดสรรและตรวจสภาพจากผู้เชียวชาญได้แล้วที่ th.carro.co หรือผ่านช่องทาง Facebook : CARRO Automall Thailand

อีกทั้งเรายังมีบริการ Test Drive @Home ที่พร้อมส่งรถให้ทดลองขับถึงหน้าบ้านคุณ เพื่อความสะดวกในการชมรถถึงบ้าน

หรือสามารถเลือกชมรถด้วยตนเองได้ที่ CARRO Automall ทั้ง 3 สาขา ได้แก่ สาขาดอนเมือง, สาขาเกษตรนวมินทร์ และ CARRO Auction ศรีนครินทร์ เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่ 9.30 – 18.30 น. จ้า

สถานที่ตั้งของ CARRO Automall สาขาเกษตร-นวมินทร์

CARRO Automall สาขาเกษตร-นวมินทร์ ตั้งอยู่ ณ ตลาดรถยนต์มอเตอร์ สแควร์ 289/5 บล็อก H2 ถ.ประเสริฐมนูกิจ (แยกไฟแดงนวลจันทร์ตัดใหม่ ตลาดรถไฟนวลจันทร์เก่า) เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ 10230 โทร. 02-508-8690

สถานที่ตั้งของ CARRO Automall สาขาดอนเมือง

CARRO Automall สาขาดอนเมือง ตั้งอยู่ ณ 292 ถ.วิภาวดีรังสิต แขวงสนามบิน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ 10210 โทร. 02-508-8690

สถานที่ตั้งของ CARRO Automall สาขาสวนหลวง

CARRO Automall สาขาสวนหลวง ตั้งอยู่ ณ 37/91 ซ.ศรีนครินทร์ 55 (หมู่บ้านเสรีวิลล่า) (ติดฝั่งสวนหลวง ร.9) ถ.ศรีนครินทร์ แขวงหนองบอน เขตประเวศ กรุงเทพฯ 10250 โทร. 02-508-8690

10 คำถาม ดูแลรถยนต์เบื้องต้น

ว่าด้วยการ “ดูแลรถยนต์เบื้องต้น” รถยนต์คือสิ่งที่มีความสำคัญอย่างมากสำหรับใครหลาย ๆ คน ที่ใช้สำหรับการเดินทาง การทำงาน ชีวิตส่วนตัวและอื่น ๆ แน่นอนว่าทุกคนล้วนอยากให้รถยนต์ของคุณมีอายุการใช้งานที่ยาวนานและสภาพเครื่องที่สามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพอยู่เสมอ นั่นจึงจำเป็นที่จะต้องรู้จัก วิธีดูแลรถยนต์เบื้องต้น เพื่อให้รถของคุณได้รับการบำรุงและสามารถซ่อมแซมได้อย่างทันท่วงทีเมื่อเกิดปัญหาต่างๆ ขึ้น

10 คำถาม ดูแลรถยนต์เบื้องต้น

การดูแลรถ นั้นมีอยู่หลากหลายวิธีที่หลายครั้งเรามักจะเกิดคำถามหรือมีข้อสงสัยว่าทำไมสิ่งที่ต้องคอยตรวจเช็คและหมั่นเปลี่ยนเป็นประจำ รวมถึงสิ่งที่ควรมีติดรถว่าสำคัญอย่างไร

รู้ใจได้รวบรวม 10 คำถามในการดูแลรักษารถยนต์ที่มักจะมีคำถามเกิดขึ้นบ่อย ๆ ว่าทำไมถึงสำคัญ เพื่อให้คุณได้เห็นถึงประโยชน์ของแต่ละองค์ประกอบ รวมถึงได้เรียนรู้ถึงหลักการดูแลรักษาที่ถูกต้อง ส่งผลที่ดีต่อรถยนต์คู่ใจที่จะมีประสิทธิภาพที่ดี พร้อมสำหรับการใช้งานอย่างราบรื่นและปลอดภัยอยู่เสมอ

1. ทำไมถึงควรเช็คหัวเทียนเป็นประจำ?

หัวเทียน เป็นอุปกรณ์ทำหน้าที่ในการ “จุดระเบิด” ให้กับเครื่องยนต์ ผ่านการทำงานด้วยการปล่อยกระแสไฟแรงดันสูง เป็นกลไกสำคัญของเครื่องยนต์เบนซิน รวมถึง แก๊ส และ ก๊าซ ที่ถ้าหากคุณใช้เครื่องยนต์เบนซินควรที่จะมีการหมั่นตรวจสอบอยู่เสมอ ซึ่งโดยปกติแล้วหัวเทียนจะมีอายุในการใช้งานที่ยาวนาน ในรถยนต์บางคันสามารถใช้งานได้เกิน 100,000 กิโลเมตร จึงจะเริ่มแสดงอาการที่ผิดปกติ

10 คำถาม ดูแลรถยนต์เบื้องต้น

โดยให้คุณสังเกตอาการเกี่ยวกับความผิดปกติเมื่อหัวเทียนจะหมดอายุการใช้งาน ได้แก่ น้ำมันสิ้นเปลืองมากกว่าปกติ, เร่งรถแซงแล้วพุ่งไปไม่เร็วเหมือนเดิม หรือ รอบเดินมีอาการเบาและสั่นเนื่องจากหัวเทียนมีการจุดระเบิดไม่เต็มที่

2. ทำไมต้องเปลี่ยนกรองแอร์อย่างสม่ำเสมอ?

การดูแลรถ หลายคนมักจะสงสัยว่า ทำไมถึงควรเปลี่ยน กรองอากาศเครื่องปรับอากาศ หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า “กรองแอร์” ซึ่งก็ต้องบอกเลยว่าท่ามกลางสภาพอากาศในปัจจุบันที่มากไปด้วยฝุ่นละอองและมลภาวะทางอากาศ ที่ กรองแอร์ จะเข้ามาช่วยให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้รับคุณภาพอากาศภายในรถที่ดี อากาศสะอาดและเป็นมิตรต่อสุขภาพ โดยแนะนำให้มีการเปลี่ยนเป็นประจำในตอนที่คุณพารถยนต์ไปถ่ายน้ำมันเครื่องทุกครั้ง

3. ทำไมควรล้างรถบ่อยๆ?

เรียกได้ว่าเป็นข้อสงสัยที่พบได้บ่อยเลยทีเดียว ว่าทำไมเราถึงควรล้างรถบ่อย ๆ ทั้งที่จะปล่อยทิ้งไว้ก็ไม่เห็นเป็นไร แต่ต้องบอกเลยว่าการดูแลรูปลักษณ์ภายนอกของรถยนต์ หมั่นเช็ดล้างและทำความสะอาดเป็นประจำนั้นจะช่วยให้รถของคุณดูใหม่ สีไม่ซีด ไม่มีสนิมขึ้น แสดงถึงความใส่ใจของเจ้าของรถได้เป็นอย่างดี เมื่อคุณนำไปขายต่อก็ไม่ทำให้รถราคาตกอย่างแน่นอน

10 คำถาม ดูแลรถยนต์เบื้องต้น

นอกจากนี้ ในหลาย ๆ ครั้งที่เราต้องขับรถผ่านบริเวณที่มีฝุ่นเยอะหรือที่พักใกล้ทะเลที่จะมีคราบเกลือคอยเกาะสะสมไว้เรื่อยๆ ภายในใต้ท้องเครื่อง ก็อาจจะเสี่ยงต่อการทำให้เครื่องยนต์เสียหาย ตลอดจนเหล่าซากแมลงและขี้นกที่จะทำให้สีเกิดการกร่อยและยังมีปัญหาที่ส่งผลกระทบอีกมากมายที่เรียกได้ว่าการล้างรถนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่ควรทำอย่างสม่ำเสมอ

4. ทำไมต้องเช็คระดับน้ำในหม้อน้ำอยู่เสมอ?

ระดับน้ำในหม้อน้ำ ถือว่าเป็นจุดสำคัญที่ควรมีการตรวจสอบเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นในรถยนต์คันใหม่หรือคันเก่าก็ตาม เพราะถ้าหากหมอน้ำรถยนต์มีน้ำในระดับที่ต่ำอาจจะส่งผลให้เครื่องยนต์มีปัญหาติดขัดในระหว่างการทำงานที่ออกกลางแจ้งหรืออยู่ท่ามกลางอุณภูมิที่ร้อนระอุในช่วงเวลากลางวัน

ผู้ใช้รถ ควรตรวจเช็คระดับของน้ำหล่อเย็นภายในถังพักน้ำหรือหม้อน้ำ โดยการเช็คระดับน้ำควรทำในขณะที่ไม่ได้มีการสตาร์ทเครื่องยนต์หรือในช่วงที่เครื่องยนต์มีสภาพที่เย็นอยู่

ถ้าหากไม่มีการตรวจเช็คเกี่ยวกับระดับน้ำอย่างสม่ำเสมอนั้น น้ำที่ขาดการระบายความร้อนหรือมีระดับน้ำต่ำกว่าที่กำหนด จะทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างติดขัด ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ เสี่ยงต่อการเสียหายลุกลามและสึกหรอได้

5. ทำไมยังต้องเช็คลมยาง?

เรียกได้ว่าเป็นเรื่อง ดูแลรถ ที่หลาย ๆ คนละเลยอย่างมาก สำหรับการเช็คลมยาง ซึ่ง ยางรถยนต์ มีหน้าที่ในการรับน้ำหนักของตัวรถทั้งคัน ที่ถ้าหากไม่ได้มีการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอก็อาจจะส่งผลให้เกิดปัญหาด้านการขับขี่ เนื่องจากลมยางและยางรถยนต์มีผลต่อสมรรถนะการขับขี่ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการเบรก การควบคุม การประหยัดน้ำมัน การบังคับเลี้ยว ตลอดจนการสึกหรอและอายุการใช้งานของยางรถยนต์ที่จะเสื่อมสมรรถภาพเร็วกว่าปกติ

นอกจากจะหมั่นเช็คลมยาวแล้ว ควรทำการเปลี่ยนยางตามสภาพของยางรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นประสิทธิภาพในการเบรก การยึดเกาะถนนรวมถึงเสียงที่ดังขึ้นในระหว่างการขับขี่

6. ทำไมถึงควรเช็คน้ำมันเบรกทุกๆ 1 ปี?

เป็นอีกหนึ่งการ ดูแลรถยนต์ ที่ไม่ควรมองข้ามและมีความสำคัญอย่างมาก น้ำมันเบรก ทำหน้าที่ในการส่งแรงดันไปยังปั๊มเบรก ซึ่งหลังจากใช้งานไปสักระยะหนึ่งแล้ว น้ำมันเบรกจะค่อยๆ เสื่อมอายุการใช้งานและประสิทธิภาพที่ลดน้อยลงกลายเป็นสีที่เริ่มคล้ำพร้อมกับส่งผลต่อศักยภาพในการระบายความร้อนที่ลดลง เพราะฉะนั้น ควรที่จะมีการหมั่นเช็คน้ำมันเบรกเป็นประจำทุกๆ 1 ปี รวมถึงสังเกตอาการผิดปกติเพิ่มเติม เช่น เบรกวืด, เบรกไม่อยู่ หรือ เบรกไหล เป็นต้น

10 คำถาม ดูแลรถยนต์เบื้องต้น

7. ทำไมถึงต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเมื่อครบกำหนด?

สิ่งที่เรามักจะได้ยินอยู่บ่อยๆ ใน เทคนิคดูแลรถ ก็คือ น้ำมันเครื่อง ที่เรียกได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญของรถยนต์ที่จะคอยทำหน้าที่หล่อลื่นชิ้นส่วนต่าง ๆ ของเครื่องยนต์ให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยระบายความร้อนให้กับเครื่อง ปกป้องชิ้นส่วนภายในของเครื่องยนต์รวมถึงชำระล้างสิ่งสกปรก

การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องควรที่จะเปลี่ยนทุกๆ 8,000 กิโลเมตร ไม่เกิน 10,000 กิโลเมตรหรือทำการเปลี่ยนทุกๆ 4 เดือน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของน้ำมันเครื่องสังเคราะห์แต่ละรูปแบบ

8. ทำไมถึงควรทำความสะอาดกรองอากาศเครื่องยนต์?

กรองอากาศ ทำหน้าที่ในการดักจับฝุ่นละออง กรองฝุ่นและสิ่งสกปรกต่าง ๆ ไม่ให้เข้าไปยังเครื่องยนต์ ที่เมื่อมีการสะสมในระยะยาวจะเกิดการอุดตันและทำให้กระบอกสูบได้รับอากาศที่น้อยลง ส่งผลให้มีการเผาไหม้ในเครื่องยนต์ที่ไม่สมบูรณ์ โดยเครื่องกรองอากาศควรมีการล้างและทำความสะอาดหรือเปลี่ยนทุก ๆ 20,000 กิโลเมตรหรือถ้าหากคุณอยู่ในพื้นที่ที่มีฝุ่นเยอะ ควรที่จะเปลี่ยนทุก ๆ ระยะ 10,000 กิโลเมตร

9. ทำไมถึงต้องเปลี่ยนน้ำมันเกียร์?

ไม่ว่ารถของคุณจะเป็นเกียร์อัตโนมัติ CVT หรือ เกียร์อัตโนมัติแบบปกติที่อยู่ในระดับต่าง ๆ การเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง น้ำมันเกียร์จะช่วยลดการสึกหรอรวมถึงช่วยลดแรงเสียดทานของระบบเกียร์ พร้อมทั้งยังสามารถชะล้างพวกเศษโลหะที่มาจากการเสียดสีที่บริเวณหน้าฟันเกียร์ให้หลุดออกไป ให้ระบบการทำงานสะอาดในทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนถ่าย ประสิทธิภาพการทำงานก็ย่อมดีขึ้น

10 คำถาม ดูแลรถยนต์เบื้องต้น

การเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ควรที่จะมีการเปลี่ยนทุกๆ ระยะ 50,000 หรือ 100,000 กิโลเมตร ที่ถ้าหากคุณมีการใช้งานในเมืองหรือขับขี่ด้วยการกดคันเร่งหนักๆ ก็ควรที่จะเพิ่มความถี่ในการเปลี่ยนเป็นระยะ 30,000 – 45,000 กิโลเมตร

10. ทำไมถึงควรทำประกันรถยนต์?

ถือว่าเป็นอีกหนึ่งการ ดูแลรถ ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก สำหรับการทำประกันรถยนต์ที่จะช่วยให้คุณและรถยนต์ได้รับการคุ้มครองและให้ความช่วยเหลือเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ลดความเสี่ยงในการใช้รถยนต์ให้แก่ผู้ขับขี่ ทำให้คุณรู้สึกมั่นใจมากยิ่งขึ้นในการได้รับการคุ้มครองเมื่อต้องเดินทาง ขับขี่ไปยังที่ต่างๆ เป็นสิ่งที่จะเข้ามารองรับเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ช่วยให้คุณประหยัดเงินทั้งสำหรับตัวคุณเองและบุคคลภายนอก ตลอดจนยังเป็นการคุ้มครองรถยนต์ของคุณเมื่อเกิดไฟไหม้ การถูกโจรกรรมต่างๆ อีกด้วย

และนี่ก็เป็น 10 คำถามของการ ดูแลรถยนต์เบื้องต้น ที่จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงความสำคัญในการดูแลและรักษาเครื่องยนต์ที่นอกจากจะดีต่อรถคู่ใจของคุณแล้ว ยังช่วยให้คุณปลอดภัยและเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ในการขับขี่ได้เป็นอย่างดี

สำหรับข้อสุดท้ายเราอยากจะระบุเพิ่มเติมว่า ทำไมควรซื้อประกันรถออนไลน์ที่รู้ใจ นั่นก็เพราะว่าเรามีข้อดีหลายอย่าง มั่นใจได้ในเรื่องบริการและการคุ้มครอง เคลมได้ง่ายๆ ผ่านแอป มีบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน 24 ชั่วโมง ที่สำคัญ ซื้อง่าย ราคาดี บริการรู้ใจกว่า ราคาประหยัดกว่า แถมยังผ่อนได้นานถึง 10 งวดผ่านบัตรเดบิตได้อีกด้วย คลิกดูข้อมูลเพิ่มเติมได้เลย

และถ้าไม่อยากพลาดโปรโมชั่นใหม่ๆ และเรื่องราวดีๆ ก็สามารถติดตามเราได้ผ่านทาง Official Fanpage: Roojai หรือ add Official Line ของเราไว้ได้เช่นกัน

5 เหตุผลสำคัญ ที่คนสมัยนี้ ถึงไม่เลือกขับรถเกียร์ธรรมดา

คุณเคยสังเกตกันบ้างไหมครับ รถยนต์ในบ้านเราตอนนี้ โดยเฉพาะรถเก๋งมือสอง ที่ขายกันตามท้องตลาด 70-80% มักจะเป็นรถยนต์เกียร์อัตโนมัติกันหมดแล้ว ส่วน “เกียร์ธรรมดา” นั้น รถยนต์นั่งที่เป็นเกียร์ธรรมดา มีตัวเลือกให้เลือกกันน้อยมากตามความนิยม เหลืออยู่เพียงแค่ Eco-Car 7-8 รุ่นเท่านั้น ที่เน้นราคาประหยัด หรือขายกลุ่มวัยรุ่นเอาไปแต่งซิ่งหน่อยๆ และรถกระบะ ที่ส่วนใหญ่ยังเป็นเกียร์ธรรมดา เนื่องจากการดูแลรักษาง่ายกว่า และความทนทานในการใช้งาน

อ่านเพิ่มเติม >> 7 อันดับ รถเกียร์ธรรมดาป้ายแดง ที่ค่ายรถยังผลิตขายในปี 2021

อ่านเพิ่มเติม >> 5 สิ่ง ที่คนขับรถ “เกียร์ธรรมดา” ต้องจำให้ขึ้นใจ!

ถ้าเป็นสมัยก่อน ใครจะหัดขับรถ ก็จะต้องเริ่มหัดขับเกียร์ธรรมดากันก่อน (เอาแค่ย้อนไปสัก 30 ปีก่อน รถเกียร์อัตโนมัติ เวลานั้นยังมีราคาแพง และมีตัวเลือกน้อย ในยุครถเกียร์ธรรมดายังเป็นใหญ่) แล้วค่อยไปขับเกียร์ออโต้ แต่มันก็มีข้อดีที่ขับเกียร์ออโต้เป็นเลย ไม่ต้องเสียเวลาไปหัดขับกันอีกรอบ

เอาล่ะ เรามาดูกันว่า 5 เหตุผลสำคัญ ที่คนสมัยนี้ ถึงไม่เลือกขับรถเกียร์ธรรมดากันครับ

5 เหตุผลสำคัญ ที่คนสมัยนี้ ถึงไม่เลือกขับรถเกียร์ธรรมดา

1. กลัวเครื่องดับเวลาออกตัว

อันนี้จัดว่าเป็นความกลัวของคนที่เพิ่งเริ่มหัดขับรถด้วยเกียร์ธรรมดาเลยก็ว่าได้ เจอกันทุกคน ผมเองก็เคยเป็น สืบเนื่องจากการ “ปล่อยคลัทช์ไม่สัมพันธ์กับจังหวะของคันเร่ง” ซึ่งต้องใช้เวลาทำความคุ้นเคยกันพอสมควร เพราะถ้าออกตัวรถไม่สัมพันธ์กัน เครื่องยนต์ก็จะดับ ถ้าเจอรถติดๆ เวลาออกตัว เครื่องดับมันเป็นสิบรอบ จนรถคันหลังเบื่อเลย …

ทางที่ดีถ้าคุณเพิ่งหัดขับรถด้วยเกียร์ธรรมดา เวลาจะออกตัว แนะนำว่าให้เหยียบคลัทช์ไว้ก่อนจนสุด เข้าเกียร์ 1 แล้วเติมคันเร่งลงไปเยอะหน่อย (ห้ามเหยียบคันเร่งจนสุดนะ) ก่อนจะค่อยๆ ผ่อนเท้าออกจากคลัทช์เบาๆ (คำเตือน ห้ามปล่อยเท้าออกจากคลัทช์โดยทันที! เพราะรถอาจพุ่งกระชากไปชนกับคันหน้าได้!)

สำหรับคนที่เพิ่งหัดขับรถใหม่ๆ อาจจะกลัวตรงจุดนี้ เมื่อคุณฝึกใช้เวลาจับจังหวะไปได้จนชำนาญ เลี้ยงคลัทช์เป็น รู้ระยะการปล่อยคลัทช์ของรถ ออกตัวรถได้ ไม่ดับ ขับรถออกตัวได้นุ่มนวล แค่นี้ก็ถือว่าผ่าน

2. ทางชัน คอสะพาน

อีกหนึ่งในจุดที่คนขับรถเกียร์ธรรมดา (โดยเฉพาะมือใหม่ทั้งหลาย) กลัว นั่นคือการเจอรถติดบนคอสะพาน หรือทางชันๆ ในลานจอดรถตามห้าง โอ้โห ยิ่งในกรุงเทพฯ ดินแดนรถติดระดับโลกด้วย บางทีรถติดกันในห้างเป็นชั่วโมงก็มี

คนขับรถเกียร์ธรรมดาถ้าทักษะไม่มากพอ บางทีการออกตัวอาจรถไหลไปชนกันคันท้ายได้ ทางที่ดี ผมแนะนำให้ใช้ “เบรกมือ” ดึงไว้เลยกันรถไหล จะได้ไม่ต้องเหยียบเบรกค้างไว้นานๆ ให้เมื่อย หรือมาเลี้ยงคลัทช์ เหยียบคากันจนคลัทช์ไหม้ …

พอจะออกตัวรถ ก็ให้เหยียบคลัทช์เข้าเกียร์ตามปกติ แล้วก็ปฏิบัติตามข้อ 1 ก่อนจะปลดเบรกมือลง แล้วออกตัวไป แค่นี้ก็ไม่ต้องกลัวรถไหลแล้ว

5 เหตุผลสำคัญ ที่คนสมัยนี้ ถึงไม่เลือกขับรถเกียร์ธรรมดา

3. เมื่อย และคุยโทรศัพท์ลำบาก

การขับรถเกียร์ธรรมดา ยิ่งถ้าเจอรถติดๆ คุณจะต้องเหยียบคลัทช์เข้าเกียร์บ่อยๆ ถ้าต้องขับรถกระบะ หรือรถยุโรปรุ่นเก่าๆ ที่คลัทช์มักแข็งๆ เหมาะกับพวกเท้าหนักๆ หน่อย เหยียบกันจนปวดเข่า ปวดขาซ้าย น่องโป่งเลยทีเดียว

อีกทั้งการคุยโทรศัพท์ขณะขับรถ (แบบไม่ใช้แฮนด์ฟรี) ยังลำบาก เพราะต้องใช้มือซ้ายในการเปลี่ยนเกียร์ตลอด

4. มีแต่รุ่นเริ่มต้น

ถ้าใครจะเล่นรถเกียร์ธรรมดาป้ายแดงในเวลานี้ บอกได้เลยว่ามีแต่รุ่นเริ่มต้นเท่านั้น ที่เป็นเกียร์ธรรมดา ส่วนรุ่น Top หรือรุ่นรอง Top ล้วนแล้วเป็นเกียร์อัตโนมัติทั้งนั้น

ความที่อยากรถได้เกียร์ธรรมดาป้ายแดงรุ่น Top ออพชั่นเยอะๆ เลยต้องหายไปด้วย เพราะว่าไม่มีค่ายรถในบ้านเราผลิตขายสักเจ้า ซึ่งต่างจากรถยนต์ที่ขายในแถบยุโรป ยังมีเกียร์ MT รุ่นท็อปให้เลือกกันอีกเยอะ

5 เหตุผลสำคัญ ที่คนสมัยนี้ ถึงไม่เลือกขับรถเกียร์ธรรมดา

5. ราคามือสองตก

เนื่องจากรถเกียร์ธรรมดาได้รับความนิยมน้อยลงมาก ซึ่งก็ส่งผลให้ราคามือสองตกลงมาด้วย และขายยากหน่อย โดยเฉพาะรถเก๋ง หรือรถ Eco-Car ที่เป็นเกียร์ธรรมดา ราคาหายไปจากรุ่นที่เป็นเกียร์อัตโนมัติราวๆ 20-30% เลยทีเดียว

แต่กรณีนี้ สำหรับรถเกียร์ธรรมดาแบบ SUV, รถกระบะ หรือรถสปอร์ต รถคลาสสิค รถดังในตำนาน อาจไม่มีผลในเรื่องราคาตกนัก เพราะคนที่เล่นรถเหล่านี้ ส่วนหนึ่งต้องขับเกียร์ธรรมดากันเป็นอยู่แล้ว และรถเหล่านี้เป็นประเภทสายลุย สายซิ่ง สายชอบ สายคลาสสิค มีคุณค่า ได้ขับแบบเกียร์ธรรมดา ยังดูดีกว่าขับเกียร์ออโต้ด้วยซ้ำ

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิมตอนนี้ หรือกำลังตัดสินใจจะซื้อรถป้ายแดงอยู่พอดี แต่งบไม่พอ! มาขายรถกับ CARRO Express สิ! Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

อีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน อยากซื้อรถคุณภาพเยี่ยม มาซื้อกับ CARRO Automall สิ!

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall

Gasohol-91-Phased-Out-In-Thailand

กระทรวงพลังงาน เตรียมผลักดันการใช้แก๊สโซฮอล์ E20 ให้เป็นน้ำมันเบนซินพื้นฐานของประเทศ เพื่อช่วยยกระดับราคามันสำปะหลังและอ้อย คาดเริ่มประกาศใช้ E20 เป็นน้ำมันเบนซินหลัก และยกเลิกผลิตแก๊สโซฮอล์ 91 ในเดือนมิถุนายนนี้ ก่อนจะยกเลิกจำหน่ายในวัยที่ 1 กันยายน 2563

เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2563 นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ได้เร่งรัดให้กรมธุรกิจพลังงาน เตรียมพร้อมที่จะให้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 เป็นน้ำมันพื้นฐานกลุ่มเบนซิน ได้ภายในมิถุนายนนี้ เพื่อยกระดับราคามันสำปะหลังและอ้อย ที่ปัจจุบันมีการนำมาใช้ผลิตเป็นเอทานอลคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 27 ของการผลิตเอทานอลทั้งหมด หลังจากก่อนหน้านี้ประกาศให้ดีเซล B10 เป็นน้ำมันดีเซลพื้นฐานเมื่อ 1 มกราคม 2563 เพื่อสนับสนุนราคาปาล์ม

ทั้งนี้ กรมธุรกิจพลังงานได้หารือกับน้ำมันของเอกชน เบื้องต้นสรุปที่จะกำหนดให้โรงกลั่นน้ำมันเลิกการผลิตน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 ตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2563 ก่อนจะยกเลิกการจำหน่ายหน้าปั๊มน้ำมัน มีผลภายในวันที่ 1 กันยายน 2563 เพื่อผลักดันให้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 เป็นน้ำมันเบนซินฐานของประเทศ

Gasohol-91-Phased-Out-In-Thailand

โดย น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 คือ น้ำมันเชื้อเพลิงที่มาจากน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่ว มาผสมกับเอทานอล หรือเอทิแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 99.5% ในอัตราส่วน 10 % จึงได้ออกมาเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอลออกเทน 91 และยังคงคุณสมบัติในการใช้งานกับเครื่องยนต์ เช่นเดียวกับน้ำมันเบนซินออกเทน 91

นับตั้งแต่ภาครัฐ ประกาศยกเลิกน้ำมันเบนซิน 91 ไปในปี 2556 มาจนถึงน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 ยกเลิกในปี 2563 แล้ว รถเก่า รถมือสองของใครหลายๆ คน ที่ไม่ได้รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 จะมีปัญหาหรือไม่? ในการใช้งาน

มาดูกันว่า 3 ทางออกของรถเก่า ต้องทำอย่างไรกันบ้าง

Gasohol-91-Phased-Out-In-Thailand

1. เปลี่ยนชนิดน้ำมัน เป็นแก๊สโซฮอล์ 95 หรือจูนเครื่องยนต์ให้รองรับ E20/E85

หากน้ำมันรถคุณเป็นรถรุ่นเก่า (หลังปี 1995 ขึ้นไป หรือเครื่องยนต์หัวฉีด) MR.CARRO ขอแนะนำให้รถคุณใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ทดแทน เนื่องจากยังคงมีการจำหน่ายตามปกติ และมีราคาที่สูงกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 เพียงนิดเดียว แถมให้ประสิทธิภาพในการทำงานดีขึ้นด้วยซ้ำไป เนื่องจากมีออคเทนที่มากกว่า

น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 คือ น้ำมันเชื้อเพลิงที่มาจากน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่ว มาผสมกับเอทานอล หรือเอทิแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 99.5% ในอัตราส่วน 10 % เพื่อทดแทนสาร MTBE (Methyl Tertiary Butyl Ether) จึงได้ออกมาเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล ออกเทน 95 และยังคงคุณสมบัติในการใช้งานกับเครื่องยนต์ เช่นเดียวกับน้ำมันเบนซินออกเทน 95

Gasohol-91-Phased-Out-In-Thailand

บางคันอาจจะต้องการความประหยัด ก็สามารถไปติดกล่องจูนเครื่องยนต์ ให้สามารถรองรับ น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 หรือ E85 ได้ การติดกล่องก็เพื่อจ่ายน้ำมันให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งแก๊สโซฮอล์ E85 ก็เป็นราคาน้ำมันที่ถูกที่สุดในเวลานี้ (15.29 บาท ณ วันที่ 20 มีนาคม 2563) ช่วยให้สามารถประหยัดเงินได้มาก

แต่ก็แลกกับการสิ้นเปลืองที่มากขึ้น และท่อน้ำมันที่เสื่อมสภาพไวขึ้นด้วย เพราะแอลกฮอลล์ สามารถกัดซึมเข้ารอยปริแตกของท่อน้ำมันได้มากกว่า และต้องเปลี่ยนหัวฉีดใหม่เพื่อลดการอุดตันอีกด้วย

Gasohol-91-Phased-Out-In-Thailand

2. ติดแก๊ส LPG

การติดแก๊ส LPG ในช่วงที่ราคาน้ำมันลดลงฮวบๆ แบบนี้ หลายคนอาจจะคิดว่าเพื้ยนหรือเปล่า? ติดแก๊สแล้วเวลาขายต่อ คนมองว่ารถต้องใช้งานเยอะแน่ๆ ราคาตก เครื่องยนต์ร้อนมากกว่าปกติ ต้องดูแลระบบแก๊ส หม้อต้ม เครื่องยนต์ ต้องตั้งวาล์ว เปลี่ยนซีลวาล์ว แหวนลูกสูบ ฯลฯ เร็วกว่ารถทั่วไป ต้องถ่ายน้ำมันเครื่องไวขึ้น แถวกลัวรถไฟไหม้ด้วย

แต่ที่จริงแล้ว การติดแก๊สก็มีข้อดีอยู่หลายอย่างเช่นกัน เช่น ราคาที่ถูกกว่าน้ำมันมาก (คุณคิดหรือ ว่าราคาน้ำมันจะลงต่ำแบบนี้ตลอดไป) รวมถึงให้ออคเทนเครื่องยนต์ที่มากกว่า (ประมาณออคเทน 105) ทำให้การเผาไหม้ที่สมบูรณ์กว่า

ซึ่งมันจะคุ้มค่ามาก ถ้าคุณเป็นคนที่ใช้รถเยอะๆ เมื่อหักลบรายจ่ายแล้ว การติดแก๊สรถยนต์ อาจทำให้คุณเหลือเงินส่วนต่างไว้ดูแลเครื่องยนต์อีกเยอะเลย ยังไงก็คุ้ม

Gasohol-91-Phased-Out-In-Thailand

3. เปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่

สำหรับรถยนต์รุ่นที่เก่ามากๆ จนน้ำมันไม่รองรับการใช้งานของเครื่องยนต์สักอย่าง อีกทั้งถังน้ำมันยังเป็นเหล็กอีก การเปลี่ยนเครื่องยนต์ก็ดูจะเป็นทางออกที่ดี ของคนที่ไม่ยึดกับกับการ “เน้นเดิมๆ” นัก หรือเครื่องยนต์ที่หาอะไหล่เริ่มยาก กำลังตก ถังน้ำมันแบบเหล็ก ไม่รองรับกับการเติมแก๊สโซฮอล์

เพราะเครื่องยนต์รถรุ่นใหม่ แม้ว่าจะเป็นของเก่าเซียงกงก็ตาม แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นเครื่องยนต์ที่ใช้หัวฉีดในการจ่ายน้ำมัน มากกว่าเครื่องยนต์แบบเก่าที่ใช้ระบบคาร์บูเรเตอร์จ่าน้ำมัน ที่ต้องหาคนจูนเก่งๆ เพื่อให้มีประสิทธิภาพ และก็ให้กำลังเครื่องยนต์ กับการดูแลรักษาที่ง่ายกว่าเครื่องยนต์แบบเก่าๆ

ส่วนใครที่อยากขายรถเก่า เพื่อไปซื้อรถปีใหม่ขึ้น ที่รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 หรือมีเพื่อนฝูงกำลังหาที่ขายรถอยู่ CARRO เรารับซื้อรถของคุณ สามารถเข้าไปเช็กราคา ตีราคาขายรถก่อนได้ โดยใส่ข้อมูลรถของคุณที่นี่เลย กับ CARRO Express > https://th.carro.co/sell-car/express หรือโทร. 02-508-8425

หรือใครจะ Inbox มาสอบถามก็ได้เช่นกัน ที่ Facebook CARRO Thailand หรือสะดวก Add Line ก็ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

ขึ้นชื่อว่า “หนู” แล้ว ในบริบทของภาษาไทย ก็มีอยู่หลายความหมาย ตั้งแต่ หนูที่เป็นสัตว์ตระกูลฟันแทะ มีตั้งแต่ หนูท่อ, หนูหริ่ง, หนูขาว, หนูนา และหนูเลี้ยง เช่น แฮมสเตอร์ หรือคำที่ไว้เรียกเด็กๆ อายุน้อยกว่าว่าเป็น “คุณหนู” หรือจะเป็นคำที่ไว้เรียกคนในวงการการเมือง อย่าง “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล ก็ได้เช่นกัน …

แต่หนูที่เราจะพูดถึงกันในวันนี้ คือ “หนูบ้าน” หรือ “หนูท่อ” ครับ ที่เป็นตัวสร้างความเดือดร้อนไปทั่ว ทั้งสกปรกและอันตราย อีกทั้งกรณีรถยนต์ที่เกิดไฟไหม้หลายต่อหลายครั้ง หรือสตาร์ทไม่ติด ไฟเดินไม่ครบทั้งระบบ ก็มีสาเหตุมาจากหนูกัดสายไฟ ในห้องเครื่องยนต์นี่ล่ะครับ

MR.CARRO จะมาบอกเคล็ดไม่ลับ ของวิธีป้องกันหนูมากัดสายไฟในรถกันครับ …

Protect-Your-Car-From-Rats-And-Mice

บางคนจอดรถ ในพื้นที่ที่มีที่ทิ้งเศษอาหาร กองขยะ ซึ่งเป็นแหล่งที่หนูชุกชุมอยู่แล้ว ภายในห้องเครื่องยนต์มีพื้นที่เป็นซอกมุมหลายส่วน อีกทั้งฉนวนสายไฟในรถ ยังทำมาจากวัสดุที่มีส่วนผสมของธรรมชาติ นั่นคือ “ถั่วเหลือง” ซึ่งจัดว่าเป็นของโปรดของคุณหนูๆ เลยล่ะ

วิธีป้องกันแบบเบสิก ก็เริ่มต้นด้วย ใช้กาวดักหนู หรือยาเบื่อหนู มาวางไว้ที่บริเวณใต้ท้องรถ หรือบริเวณรอบๆ รถ เพื่อให้หนูโดนของพวกนี้ก่อน

Protect-Your-Car-From-Rats-And-Mice

เครื่องยนต์เขรอะแบบนี้ หนูชอบมาก!

เปิดฝากระโปรงรถเอาไว้เสมอ เวลาจอดรถตรงบริเวณที่มักโดนหนูกัดสายไฟบ่อยๆ เพราะหนูมักจะไม่ชอบที่สว่างๆ นัก รวมถึงพยายามทำความสะอาดห้องเครื่องยนต์ ไม่ให้มีกลิ่นหนูหรือกลิ่นสาปต่าางๆ หรือหาแผ่นอะไรก็ได้มาปิดไว้บริเวณใต้ท้องรถ ในจุดที่หนูเข้ามาได้

หรือจะนำน้ำผสมกับพริกป่น ใส่กระบอกฉีดน้ำ ฉีดเข้าไปในบริเวณห้องเครื่อง ตรงที่หนูชอบเข้าไปซุกตัว หรือจะใช้น้ำมันสน (หาซื้อได้ตามร้านวัสดุก่อสร้าง) ชุบเศษผ้าวางไว้ตามจุดที่หนูอยู่ หากเกรงว่ากลิ่นน้ำมันจะแรงไป ให้ผสมน้ำมันกับเกล็ดการบูร เพื่อกลิ่นจะได้ไม่ฉุนเกินไป

Protect-Your-Car-From-Rats-And-Mice

ต้นยี่โถ (ภาพจาก WeKnow.in.th)

ถ้าเน้นแนวธรรมชาติ ก็ใช้ไม้ยี่โถ วางไว้บริเวณใต้ท้องรถก็ได้ เพราะกลิ่นของต้นไม้ชนิดนี้ ไม่ถูกประสาทการรับกลิ่นของหนูเลย แต่ต้องเปลี่ยนไม้ยี่โถราว 3 เดือนครั้ง เพราะกลิ่นจะจางลง แต่ถ้าหาไม่ได้ ก็ลองใช้น้ำมันสะระแหน่ น้ำมันระกำ น้ำมันไพล น้ำมันยูคาลิปตัส กลิ่นจำพวกยาหม่อง น้ำมันมวย เนื่องจากหนูมีประสาทรับกลิ่นที่ไวมาก เพราะหนูมักไม่ชอบกลิ่นหอม

หรือเลี้ยงแมว หรือหมา (ต้องเป็นตัวที่จับหนูเก่งๆ ด้วยนะ) ไว้คอยไล่จับหนู

กรณีหนูกัดสายไฟในรถ แล้วต้องการเคลมประกันภัย

Protect-Your-Car-From-Rats-And-Mice

ส่วนรถใครที่เกิดความเสียหายจากการที่หนูกัดสายไฟในห้องครื่องยนต์แล้ว หากมีทำประกัยภัยชั้น 1 ไว้ ก็สามารถเคลมประกันได้ครับ เเพราะถือเป็นอุบัติเหตุอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่ได้จำกัดเฉพาะการเฉี่ยวชนเท่านั้น โดยเจ้าของรถอาจต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนแรก หรือค่า Excess ซึ่งยังไงก็คุ้มกว่าจ่ายเงินซ่อมเองทั้งหมดอยู่ดี

ในกรณีที่ต้องการเคลมประกัน เนื่องจากถูกหนูกัดสายไฟ ให้ถ่ายรูปรอยเท้าหนู และร่องรอยความเสียหายรอบๆ และไม่ควรทำความสะอาดจุดเสียหายจนกว่าเจ้าหน้าที่ประกันภัยจะออกใบเคลมให้ แล้วค่อยแจ้งบริษัทประกันภัยเคลมต่อไป

แต่ทางที่ดี ถ้ารู้ว่าจุดไหนหนูเยอะ พยายามหลีกเลี่ยงในการจอดรถ แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้ ก็ลองทำตามวิธีที่ว่ามาข้างต้นเถอะครับ …

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิมตอนนี้ หรือกำลังตัดสินใจจะซื้อรถป้ายแดงอยู่พอดี แต่งบไม่พอ!  มาขายรถกับ CARRO Express สิ! หรือจะ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

และอีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน อยากซื้อรถคุณภาพเยี่ยม มาซื้อกับ CARRO Automall สิ!

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่หาไม่ได้ สามารถสั่งตามออเดอร์ได้ที่นี้ > https://th.carro.co/buy-car หรือโทร. 02-508-8690 อีกทั้งยัง Inbox เข้ามาสอบถามก็ได้เช่นกันได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง หรือทาง Line เชิญเลยค่ะที่ @carroautomall

ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก

5-Things-To-Use-Manual-Transmission

ในอดีต รถเกียร์ธรรมดา จัดได้ว่าเป็นรถธรรมดาสามัญ ที่มีอยู่ในบ้านเราทั่วไป (และทั่วโลก) ไม่ใช่ของแปลกอะไร และคนที่ขับรถเป็นกันแทบทุกคนในอดีต ต่างก็เรียนหัดขับรถจากรถเกียร์ธรรมดากันทั้งนั้น

ซึ่งเกียร์ธรรมดา ก็จะมีแยกออกไปได้อีก ทั้ง เกียร์บริเวณคอพวงมาลัย หรือ “เกียร์คอ” มักจะมีเฉพาะในรถรุ่นเก่ามากๆ หรือรถตู้ในอดีตบางรุ่น ที่คนเล่นรถ Retro Car ชอบรถเก่า ยังคงถวิลหา และเกียร์บริเวณแผงคอนโซลกลาง หรือ “เกียร์กระปุก” ที่ปัจจุบัน จะมีให้เลือกกันทั้ง 5 สปีด และ 6 สปีด

มาจนถึงในโลกยุคปัจจุบัน ที่เทคโนโลยีของรถเกียร์อัตโนมัติก้าวล้ำไปมาก และปัญหารถติดที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้รถยนต์เกียร์ธรรมดา “แทบถูกลืม” ไปจากคนใช้รถยุคใหม่ โดยมีเหลือไว้เฉพาะในรถกระบะ รถตู้ รถสปอร์ต หรือรถเก๋ง กับรถ Eco-Car รุ่นถูกสุดเท่านั้น

หากใครอยากที่จะลองขับเกียร์ธรรมดาให้คล่อง และเกียร์ไม่พังไว ต้องอ่าน 5 สิ่งนี้กันก่อน …

5-Things-To-Use-Manual-Transmission

1. อย่ากระแทก หรือเข้าเกียร์แรงๆ

คุณเคยสังเกตคนขับรถเมล์ เวลาเข้าเกียร์ไหมล่ะ? เสียงดังครืดคราดมาเลย นั่นเป็นเพราะเฟืองซินโครเมชในเกียร์สึก ทำให้เกียร์เข้ายาก อันเนื่องมาจากการเข้าเกียร์ไม่ตรงร่องบ้างล่ะ เข้าเกียร์แรงๆ บ้างล่ะ

การเข้าเกียร์ที่ถูกต้อง คือ ควรใช้ “ข้อมือ” ช่วย จะช่วยให้เข้าเกียร์ตามตำแหน่งที่เยื้องกันได้ง่าย เช่น จาก 2-3, 4-5 หรือ 5-4, 3-2 เป็นต้น อย่าเกร็งแขนและข้อมือ เพราะจะเข้าเกียร์ผิดตำแหน่ง หรือเข้าเกียร์ได้ยาก

ยิ่งเกียร์ธรรมดาในรถรุ่นใหม่ๆ เข้าง่ายกว่ารถสมัยก่อนมาก แถมคลัทช์ก็นิ่ม (ถ้าคลัทช์แข็งๆ ก็จะประมาณรถกระบะ) แต่สิ่งสำคัญที่ควรจำไว้ เวลาขับรถบนถนน “ห้ามมองเกียร์” นะครับ!

5-Things-To-Use-Manual-Transmission

2. เลี้ยงคลัทช์ให้ดี เครื่องจะไม่ดับ

เป็นเรื่องที่คนขับรถเกียร์ธรรมดาตอนหัดขับ เป็นกันทุกคน นั่นคือ “ออกตัวแล้วเครื่องดับ” ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกครับ ผมเองก็เคยทำเช่นนี้

คือเรื่องแบบนี้ต้อง “ทำความคุ้นเคย” กับรถ และหมั่น “ฝึกฝน” บ่อยๆ แรกๆ อาจจะยาก แต่บ่อยครั้งเข้าเดี๋ยวก็ชิน เพื่อออกรถให้นุ่นนวล มีจังหวะ ไม่ออกตัวกระชาก จับระยะการปล่อยคลัทช์ให้สัมพันธ์กันกับคันเร่ง ซึ่งในรถแต่ละรุ่น ระยะคลัทช์ตื้นลึกไม่เท่ากัน

บางคนบอก ถ้ากลัวออกตัวแล้วเครื่องดับ ก็ให้เหยียบคันเร่งลึกๆ แช่คลัทช์ไว้แล้วค่อยๆ ถอนคลัทช์ก่อนออกตัวรถ ซึ่งก็ทำได้ แต่มันก็จะกินน้ำมัน หรือหากถอนคลัทช์เร็วไป รถอาจพุ่งไปข้างหน้าได้ครับ

5-Things-To-Use-Manual-Transmission

3. รถติดบนทางชัน ต้องใช้เบรกมือ

การขับรถเกียร์ธรรมดา แล้วต้องจอดคาบนทางชัน เป็นอะไรที่ทำให้มือใหม่ เหงื่อตกเหงื่อแตกกันมาก นั่นคือ “รถติดบนสะพาน” หรือบนลานจอดรถในห้าง หลายคนกลัวตอนออกตัว แล้วรถจะไหลไปชนกับคันหลัง

ไม่ต้องกลัวครับ กรณีรถติดอยู่บนคอสะพาน ให้ดึงเบรกมือไว้ก่อนเลย พอจังหวะจะออกตัว ให้เหยียบคลัทช์ เข้าเกียร์ 1 ค่อยๆ เหยียบคันเร่ง แล้วค่อยๆ ปล่อยคลัทช์ จนรู้สึกว่ารถเริ่มออกตัวได้ ก็ค่อยๆ ปลดเบรกมือลง

5-Things-To-Use-Manual-Transmission

4. อย่าเลี้ยงคลัทช์จนเคยชิน

บางคนติดนิสัยชอบเหยียบคลัทช์แช่ไว้นานๆ แต่การวางเท้าไว้ที่คลัทช์นานๆ นั้น ไม่เป็นผลดีนัก เพราะเหมือนมีน้ำหนักกดไว้อยู้ ทำให้คลัทช์นั้นทำงานตลอด จะทำให้คลัทช์สึกหรอเร็ว และรถกินน้ำมันมากขึ้น

ทางที่ดี เมื่อเข้าเกียร์ เหยียบคลัทช์ ออกตัวรถเรียบร้อยแล้ว ควรวางขาไว้ที่ “แป้นพักเท้า” บริเวณมุมซ้ายสุดนะครับ (แบบในรูป) เพื่อความสบายของเท้า และจะช่วยตรึงและดันให้ร่างกายให้แนบสนิท ติดกับตัวเบาะ ทำให้ขับรถได้สบายขึ้น ไม่เมื่อยขาท่อนบน และช่วยให้กล้ามเนื้อแผ่นหลัง รับแรงสั่นสะเทือนจากช่วงล่างของรถน้อยลง เมื่อนั่งนานๆ จะได้ไม่ปวดหลัง และปวดขาท่อนบน

5-Things-To-Use-Manual-Transmission

5. เปลี่ยนเกียร์ที่ความเร็วเหมาะสม

การเปลี่ยนเกียร์ที่เหมาะสม คุณควรศึกษาจากคู่มือรถของคุณดูก่อนนะครับว่า เขาออกแบบให้เกียร์แต่ละเกียร์นั้น ทำความเร็วสูงสุดได้เท่าไหร่ ช่วงความเร็วที่เหมาะสมในการเปลี่ยนเกียร์ อยู่ที่เท่าไหร่ ซึ่งในรถแต่ละรุ่นไม่เท่ากัน แต่ถ้าใครไม่มีคู่มือรถ ก็อาศัยดูวัดรอบ หรือถ้าไม่มีวัดรอบ ก็อาศัยเงี่ยหูฟังเสียงเครื่องยนต์คำรามเอา ว่าดังพอที่จะเปลี่ยนเกียร์ถัดไปได้หรือยัง

เรื่องกำลังของรถก็มีส่วน หากขับรถเกียร์ธรรมดา เครื่องเบนซิน ก็อาจจะใช้รอบเครื่องที่สูงหน่อย แล้วค่อยเปลี่ยนเกียร์ (เพราะหากเปลี่ยนเกียร์ตอนรอบเครื่องต่ำ รถก็จะสั่นและอืด กับกินน้ำมันมากขึ้น) ส่วนถ้าใครขับรถเกียร์ธรรมดา เครื่องดีเซล ก็สามารถเปลี่ยนในรอบต่ำได้เลย เพราะเครื่องยนต์ดีเซล จะมีแรงบิดที่ค่อนข้างสูง

5-Things-To-Use-Manual-Transmission

สำหรับใครที่ยังไม่คุ้นเคยกับรถ เพื่อความคุ้นเคย ควรฝึกจำตำแหน่งเกียร์ให้ดีก่อน ด้วยการลองเข้าเกียร์แต่ละจังหวะ (ห้ามสตาร์ทรถนะครับ) เพราะตำแหน่งเกียร์ในรถยุโรป เกียร์ “R” จะอยู่ตำแหน่งเดียวกับเกียร์ “1” ในรถหลายๆ รุ่น หลายคนอาจไม่คุ้นเคย ใส่เกียร์ผิด! (ด้วยเหตุนี้ รถหลายรุ่น จึงออกแบบมาให้มีสลักสำหรับดึงขึ้นบริเวณคันเกียร์ เพื่อป้องกันการเข้าเกียร์ R)

อย่าลืม! ใส่เกียร์ว่างทุกครั้งเวลาจอดรถ และเมื่อขึ้นไปนั่งขับรถ ให้ขยับเกียร์ก่อนเลย ว่าอยู่ที่เกียร์ว่างหรือเปล่า ทำให้เป็นนิสัย เพื่อป้องกันการสตาร์ทรถแล้ว รถกระชากไปข้างหน้าได้ แค่นี้คุณก็ขับรถเกียร์ธรรมดาได้อย่างสนุกแล้วล่ะครับ

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิมตอนนี้ หรือกำลังตัดสินใจจะซื้อรถป้ายแดงอยู่พอดี แต่งบไม่พอ!  มาขายรถกับ CARRO Express สิ! หรือจะ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

และอีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน อยากซื้อรถคุณภาพเยี่ยม มาซื้อกับ CARRO Automall สิ!

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่หาไม่ได้ สามารถสั่งตามออเดอร์ได้ที่นี้ > https://th.carro.co/buy-car หรือโทร. 02-508-8690 อีกทั้งยัง Inbox เข้ามาสอบถามก็ได้เช่นกันได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง หรือทาง Line เชิญเลยครับที่ @carroautomall

Find-Noises-In-Your-Car-Part-2

มาหาเสียง (ในรถยนต์) ช่วงโค้งสุดท้าย กันต่อดีกว่าครับ!

ช่วงนี้ก็เรียกได้ว่า น่าจะเป็นสัปดาห์ของการหาเสียง (ในรถยนต์) ช่วงโค้งสุดท้ายแล้วครับ เพราะเดือนหน้าเราก็ต้องเตรียมพร้อมรถยนต์ สำหรับใช้ในการเดินทางช่วงหยุดยาว หรือในช่วงเทศกาลสงกรานต์แล้วล่ะครับ

หาเสียงในรถยนต์ ยิ่งหาเจอได้เร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งดี เพราะ “เสียง” ที่ว่านี้ อาจจะทำให้รถคุณพังกลางทาง หรือเสียเงินซ่อมกันบานปลายเลยก็ได้ ไปอ่านกันต่อครับ …

Differential

1. เสียงหอน (ที่ไม่ใช่คืนหมาหอน)

เสียงหอน … บางทีขับรถไปแล้ว มีเสียงหอนดังออกมาจากเพลาขับ หรือเฟืองท้าย ยิ่งขับเร็วเสียงยิ่งดัง อาจจะมาจากลูกปีนล้อแตก หรือเพลากลาง เพลาขับมีปัญหา และเฟืองท้ายมีปัญหา ต้องไล่สาเหตุดูเป็นจุดๆ ไป ถ้าต้นเสียงเกิดที่ด้านหน้ารถ ก็สันนิษฐานว่าเป็นที่ลูกปืนท้ายเกียร์ หรือเป็นที่ลูกปืนเพลากลาง ที่เรียกกันว่า “ยอย” หรือ “กากบาทเพลากลาง”

แต่ถ้ามาจากด้านท้าย ให้ถอดเฟืองท้ายออกมาเช็ก ว่ามาจากเฟืองเดือยหมู, เฟืองบายสี, เฟืองดอกจอก และเฟืองข้าง ทีเดียวไปเลย ถ้ามีเสียงหอน ลองปรับตั้งระยะห่างของเฟืองท้ายทั้ง 2 ใหม่ ให้ชิดเข้าไป ตรวจสอบการรั่วซึมของซีล ประเก็น ถ้าหมดสภาพก็เปลี่ยนใหม่ ก่อนจะเปลี่ยนน้ำมันเฟืองท้ายใหม่ ถ้าลูกปืนหน้าเฟืองท้ายชำรุด ก็จัดการเปลี่ยนลูกปืนใหม่ซะ

Toyota-Steering-Wheel

2. กุกๆ กักๆ ที่คอพวงมาลัย

กุกๆ กักๆ ที่คอพวงมาลัย … เสียงดังกึกกักที่คอพวงมาลัย อาจมาจากลูกปืนคอพวงมาลัยแตก ตัวรองแกนพวงมาลัยแตก หรือจารบีลูกปีนแห้ง ทางที่ดีตรวจเช็กลูกปีน, ตัวรองแกนพวงมาลัย หรืออัดจารบีตลับลูกปืนใหม่ แม้ว่าช่วงแรกจะไม่มีผลอะไร นอกจากเกิดความรำคาญเวลาหมุนพวงมาลัย แต่อาจจะกลายเป็นเสียมากขึ้น จนพวงมาลัยรถควบคุมรถไม่ได้ก็เป็นไปได้

Manual-Transmission

3. เปลี่ยนเกียร์แล้วมีเสียงดัง

เปลี่ยนเกียร์แล้วมีเสียงดัง … เสียงดังที่เกิดจากตัวเกียร์ เกิดจากนอกห้องเกียร์ เป็นเสียงแตกเสียงคราง หรือเสียงหอน ลองตรวจลูกปีนเกียร์ และเช็กน้ำมันเกียร์ ว่าเปลี่ยนถ่ายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ดูสภาพสีของน้ำมันเกียร์ ตรวจดูว่ายังมีน้ำมันเกียร์อยู่เต็มหรือไม่ เพราะมันอาจจะรั่วซึมหายไป เมื่อชุดเฟืองเกียร์กระทบกัน เสียงโลหะกระทบกัน มันก็ต้องมีเสียงดัง ต้องรีบซ่อมแซม ไม่อย่างนั้นจะได้เปลี่ยนเกียร์ใหม่ทั้งลูก …

อีกกรณีหนึ่ง อาจจะเกิดขึ้นได้จากการเหยียบคลัทช์ไม่สุดแล้วเข้าเกียร์ หรือการใส่เกียร์ไม่ตรงตำแหน่งเกียร์ (ในรถเกียร์ธรรมดา) ครับ

Tire-Setting

4. เวลาเลี้ยว เสียงดังจากยาง

เวลาเลี้ยว เสียงดังจากยาง … เวลาเลี้ยวรถแล้วเกิดเสียงดังเอี๊ยดๆ จากยาง มักได้ยินบ่อยๆ เวลาไปจอดรถบนพื้นผิวค่อนข้างลื่น อาจเกิดจากเนื้อยางเสื่อมสภาพ หรือถ้าหากยางยังดี อาจเกิดจากช่วงล่างหลวมก็เป็นไปได้

Catalytic-Converter

5. หลังดับเครื่อง

หลังดับเครื่อง … หลังจากดับเครื่องรถยนต์แล้ว คุณอาจได้ยินเสียงก๊องแก๊ง มาจากใต้ท้องรถ นั่นเป็นเสียงการทำงานของ Catalytic Converter ในระบบท่อไอเสีย ซึ่งเป็นเสียงการทำงานปกติอยู่แล้ว เสียงดังกล่าวอาจดังนานกว่าปกติ หากใช้รถด้วยความเร็วสูง หรือใช้เครื่องยนต์รอบจัดเป็นระยะเวลานาน แต่เสียงนี้ ไม่ได้เป็นความผิดปกติอันใดครับ …

เมื่อรับทราบอาการดังกล่าวได้แล้ว ว่ามาจากสาเหตุไหน อย่าลืมเอารถไปเข้าศูนย์บริการ หรืออู่ซ่อมรถ ให้ช่างผู้ชำนาญการตรวจดูให้แน่ชัด แล้วเตรียมเสียเงินไว้ด้วย แต่ถ้าเสียงบางอย่างไม่มีผลใดๆ ต่อตัวรถ คุณก็สบายใจได้ …

ถ้าคุณตัดสินใจอยากขายรถคันเดิม เพื่อไปซื้อรถคันใหม่ หรือรับเป็นเงินก้อนไปใช้ สามารถขายรถคันเดิมกับ CARRO ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ CARRO Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน