Carro แนะนำรถหรู ราคาไม่เกิน 3 ล้าน

Carro แนะนำรถหรู Benz และ BMW ราคาไม่เกินสามล้าน เป็นเจ้าของได้ง่ายๆ!

ในปัจจุบัน “รถมือสอง” ในรูปแบบ “รถหรู” ก็นับได้ว่าเป็นรถยนต์ในกลุ่มตลาดที่ไม่ควรมองข้าม แม้ว่าในช่วงนี้เศรษฐกิจจะยังไม่ดีก็ตาม แต่กลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง เช่น ผู้บริหารระดับสูง เจ้าของกิจการ หรือนักธุรกิจ ก็ยังพร้อมที่จะซื้อรถหรูมาใช้งานได้ตลอดเวลา

ซึ่งการใช้รถหรู จะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของผู้เป็นเจ้าของรถ (ไม่ว่าจะขับเอง หรือมีคนขับรถให้นั่งก็ตาม) ซึ่งดูแล้วภูมิฐาน สง่างาม สมฐานะ แต่รถหรูป้ายแดงอาจจะยังมีราคาสูง ถึงหลายล้านบาทต่อคัน

การมองหารถหรูมือสองที่มีสภาพเยี่ยม คุณภาพเยี่ยม มาใช้สักคัน ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ก็นับได้ว่าเป็นทางเลือกที่ดี ที่ช่วยให้คุณนำเงินส่วนต่างไปดูแลรักษารถ หรือไปลงทุนในธุรกิจได้มากขึ้น … Carro จึงขอแนะนำ รถหรู Mercedes-Benz (เมอร์เซเดส-เบนซ์) และ BMW (บีเอ็มดับเบิลยู) รวมถึงยี่ห้ออื่นๆ สุดคุ้มน่าใช้ คุณภาพเยี่ยมทุกคันจาก Carro ประจำเดือนกรกฏาคม 2565 ว่ามีรุ่นไหนที่น่าสนใจกันบ้าง รับชมกันได้เลยครับ

Benz C-Class (เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซี-คลาส)

MERCEDES-BENZ C350E 2.0 AVANTGARDE 2017 เทา

MERCEDES-BENZ C350E 2.0 AVANTGARDE 2017 เทา

MERCEDES-BENZ C350E 2.0 AVANTGARDE 2017 เทา

1. Mercedes-Benz C 350 e Avantgarde ปี 2017 เลขไมล์ 103,821 กิโลเมตร สภาพเยี่ยม ราคา 1,190,000 บาท!

(สามารถฟังเสียงเครื่องยนต์ รวมถึงดูภาพภายนอกรถ-ภายในรถแบบ 360 องศา ได้)

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม – https://th.carro.co/cardetail/mercedes-benz-c350e-2017-E4724Z.html

MERCEDES-BENZ C350E 2.0 ESTATE AMG DYNAMIC 2018 ดำ

MERCEDES-BENZ C350E 2.0 ESTATE AMG DYNAMIC 2018 ดำ

MERCEDES-BENZ C350E 2.0 ESTATE AMG DYNAMIC 2018 ดำ

2. Mercedes-Benz C 350 e AMG Dynamic ปี 2018 เลขไมล์ 88,063 กิโลเมตร สภาพเยี่ยม ราคา 1,279,000 บาท!

(สามารถฟังเสียงเครื่องยนต์ รวมถึงดูภาพภายนอกรถ-ภายในรถแบบ 360 องศา ได้)

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม – https://th.carro.co/cardetail/mercedes-benz-c350e-2018-EWYX1Y.html

Benz E-Class (เมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาส)

MERCEDES-BENZ E300 2.2 BLUETEC HYBRID AMG DYNAMIC 2015 เทา

MERCEDES-BENZ E300 2.2 BLUETEC HYBRID AMG DYNAMIC 2015 เทา

MERCEDES-BENZ E300 2.2 BLUETEC HYBRID AMG DYNAMIC 2015 เทา

1. Mercedes-Benz E 300 Bluetec Hybrid Executive ปี 2015 เลขไมล์ 123,296 กิโลเมตร สภาพเยี่ยม ราคา 959,000 บาท!

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม – https://th.carro.co/cardetail/mercedes-benz-e300-2015-GV94RK.html

MERCEDES-BENZ E200 2.0 COUPE AMG DYNAMIC 2015 ดำ

MERCEDES-BENZ E200 2.0 COUPE AMG DYNAMIC 2015 ดำ

MERCEDES-BENZ E200 2.0 COUPE AMG DYNAMIC 2015 ดำ

2. Mercedes-Benz E 200 Coupe AMG Dynamic ปี 2015 เลขไมล์ 75,692 กิโลเมตร สภาพเยี่ยม ราคา 1,689,000 บาท!

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม – https://th.carro.co/cardetail/mercedes-benz-e200-2015-G97W7N.html

BENZ E-CLASS E300 2.0 AMG DYNAMIC 2020 เทา

BENZ E-CLASS E300 2.0 AMG DYNAMIC 2020 เทา

BENZ E-CLASS E300 2.0 AMG DYNAMIC 2020 เทา

3. Mercedes-Benz E 300 AMG Dynamic ปี 2020 เลขไมล์ 974 กิโลเมตร สภาพเยี่ยม ลดราคา! เหลือ 2,739,000 บาท!

(สามารถฟังเสียงเครื่องยนต์ รวมถึงดูภาพภายนอกรถ-ภายในรถแบบ 360 องศา ได้)

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม – https://th.carro.co/cardetail/benz-e-class-2020-EN2RRJ.html

Benz CLS-Class (เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซีแอลเอส-คลาส)

BENZ CLS-CLASS 300d AMG Premium 2018 เทา

BENZ CLS-CLASS 300d AMG Premium 2018 เทา

BENZ CLS-CLASS 300d AMG Premium 2018 เทา

3. Mercedes-Benz CLS 300 d AMG Premium ปี 2018 เลขไมล์ 89,383 กิโลเมตร สภาพเยี่ยม ราคา 3,090,000 บาท!

(สามารถฟังเสียงเครื่องยนต์ รวมถึงดูภาพภายนอกรถ-ภายในรถแบบ 360 องศา ได้)

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม – https://th.carro.co/cardetail/benz-cls-class-2018-DXZMM1.html

Benz GLA-Class (เมอร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลเอ-คลาส)

MERCEDES-BENZ GLA250 2.0 AMG DYNAMIC 2019 เทา

MERCEDES-BENZ GLA250 2.0 AMG DYNAMIC 2019 เทา

MERCEDES-BENZ GLA250 2.0 AMG DYNAMIC 2019 เทา

1. Mercedes-Benz GLA 250 AMG Dymanic ปี 2019 เลขไมล์ 48,697 กิโลเมตร สภาพเยี่ยม ลดราคา 1,629,000 บาท!

(สามารถฟังเสียงเครื่องยนต์ รวมถึงดูภาพภายนอกรถ-ภายในรถแบบ 360 องศา ได้)

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม – https://th.carro.co/cardetail/mercedes-benz-gla250-2019-ENMO21.html

BMW Series-3 (บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 3)

BMW 320D 2.0 GRAND TURISMO LUXURY 2019 ดำ

BMW 320D 2.0 GRAND TURISMO LUXURY 2019 ดำ

BMW 320D 2.0 GRAND TURISMO LUXURY 2019 ดำ

1. BMW 320 d GT Luxury ปี 2019 เลขไมล์ 51,599 กิโลเมตร สภาพเยี่ยม ราคา 1,859,000 บาท!

(สามารถฟังเสียงเครื่องยนต์ รวมถึงดูภาพภายนอกรถ-ภายในรถแบบ 360 องศา ได้)

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม – https://th.carro.co/cardetail/bmw-320d-2019-G3714P.html

BMW Series-5 (บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 5)

BMW SERIES 5 520D 2018 ขาว

BMW SERIES 5 520D 2018 ขาว

BMW SERIES 5 520D 2018 ขาว

1. BMW 520 d ปี 2018 เลขไมล์ 17,576 กิโลเมตร สภาพเยี่ยม ราคา 2,299,000 บาท!

(สามารถฟังเสียงเครื่องยนต์ รวมถึงดูภาพภายนอกรถ-ภายในรถแบบ 360 องศา ได้)

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม – https://th.carro.co/cardetail/bmw-series-5-2018-DXZXW1.html

BMW 520D 2.0 LUXURY 2017 ดำ

BMW 520D 2.0 LUXURY 2017 ดำ

BMW 520D 2.0 LUXURY 2017 ดำ

2. BMW 520 d Luxury ปี 2017 เลขไมล์ 112,292 กิโลเมตร สภาพเยี่ยม ราคา 1,809,000 บาท!

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม – https://th.carro.co/cardetail/bmw-520d-2017-GJZPZ5.html

BMW X1 (บีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์ 1)

BMW X1 2.0 sDrive18i Highline 2012 ขาว

BMW X1 2.0 sDrive20d Highline 2012 ขาว

BMW X1 2.0 sDrive18i Highline 2012 ขาว

1. BMW X1 sDrive Highline ปี 2012 เลขไมล์ 169,046 กิโลเมตร สภาพเยี่ยม ราคา 709,000 บาท!

(สามารถฟังเสียงเครื่องยนต์ รวมถึงดูภาพภายนอกรถ-ภายในรถแบบ 360 องศา ได้)

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม – https://th.carro.co/cardetail/bmw-x1-2012-DLX303.html

BMW X3 (บีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์ 3)

BMW X3 2.0 XDRIVE20D M SPORT 2018 ดำ

BMW X3 2.0 XDRIVE20D M SPORT 2018 ดำ

BMW X3 2.0 XDRIVE20D M SPORT 2018 ดำ

1. BMW X3 xDrive20d M Sport ปี 2018 เลขไมล์ 99,481 กิโลเมตร สภาพเยี่ยม ราคา 2,390,000 บาท!

(สามารถฟังเสียงเครื่องยนต์ รวมถึงดูภาพภายนอกรถ-ภายในรถแบบ 360 องศา ได้)

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม – https://th.carro.co/cardetail/bmw-x3-2018-DLKMXN.html

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์คันใหม่ มาขายรถกับทาง Carro Express สิ! คลิกเลยที่ https://th.carro.co/sell-car/express รับรองได้เงินเร็ว ไว ทันใจแน่นอน!

Carro Automall ตลาดรถ

ส่วนใครสนใจจะซื้อรถมือสอง Carro แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ คุณสามารถจองรถได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น! พร้อมคำนวณสินเชื่อและค่างวด ได้ภายในเว็บไซต์ทันที!

ซึ่ง Carro เรามีรถให้คุณเลือกมากมาย รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพโดย Carro Certified อย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 160 จุด, การันตีคืนเงินภายใน 5 วัน, รับประกันเครื่องยนต์และเกียร์ 1 ปี, รับประกันไม่กรอไมล์ และไม่ประสบอุบัติเหตุหนัก ไฟไหม้ หรือน้ำท่วม พร้อมรับประกันคุณภาพรถ 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร!

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” เลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา รวมถึงมีเทคโนโลยีสนับสนุนฝ่ายขาย ทั้ง Digital Device ที่เชื่อมต่อกับ Digital Screen นำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และจัดการเรื่องเอกสารให้กับลูกค้าให้ตั้งแต่ต้นจนจบ บวกกับ Online Viewing Service ที่ลูกค้าสามารถวิดีโอคอล ตรวจสภาพรถยนต์คันที่สนใจได้แบบเรียลไทม์ ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ Carro สิ!

หรือถ้าหากคุณสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงกรอกชื่อ-เบอร์โทรศัพท์ และรถที่คุณสนใจ ไว้ที่ “รับการแจ้งเตือน” เมื่อมีรถที่คุณต้องการ Carro จะรีบติดต่อไปยังคุณทันที สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> Carro Thailand โทร. 02-460-9380 หรือทาง Line @carrothai

หมายเหตุ: ข้อมูลรถแนะนำจาก Carro เป็นข้อมูลรถยนต์ที่มีจำหน่ายในเดือนกรกฎาคม 2565 / เลขกิโลเมตร ณ วันตรวจสภาพรถ

BMW-New-Car-Promotion

รวม Promotion รถใหม่ 2022 BMW (บีเอ็มดับเบิลยู) ทุกรุ่น Update ล่าสุด ประจำเดือนเมษายน 2565

หากช่วงนี้ใครต้องการซื้อรถมือสองคุณภาพเยี่ยม มาที่นี่เลย CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งรถทุกคันผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check และยังมีเทคโนโลยีจากระบบ AI ช่วยประเมินสภาพรถก่อนขาย

รับประกันพร้อมโอนทุกคัน หรือต้องการหารถมือสองยี่ห้อ/รุ่นที่คุณต้องการ ก็ได้เช่นกัน มาซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ที่ CARRO Automall สิ! โทร. 02-508-8690 หรือจะ Inbox มาสอบถามก็ได้ที่ Facebook CARRO Automall – รถบ้านมือสอง ถ้าสะดวก Add Line @carroautomall

แต่ถ้าคุณอยาก “ขายรถ” คันเดิม เพื่อซื้อรถคันใหม่ หรือรับเงินก้อนไปใช้ สามารถขายรถด่วนกับ CARRO ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! และฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย พร้อมปิดการขายภายใน 24 ชั่วโมง! กับ CARRO Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothai คลิกที่นี่ ขายรถด่วน! —> เพิ่มเพื่อน

Motor Show 2022

ข้อเสนอสุดพิเศษ BMW Protect (ประกันภัยชั้น 1) สูงสุด 3 ปี ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 เมษายน 2565 พร้อมทางเลือกของข้อเสนอเพิ่มเติม ได้แก่

– ดาวน์เริ่มต้น 0%

– การันตีมูลค่าในอนาคต (GFV)

– สบายใจ 4 ทางเลือกในอนาคต เลือกขาย หรือเลือกคืนรถตามใจคุณเมื่อสิ้นสุดสัญญาฯ

*รุ่นรถที่เข้าร่วม BMW 2 Series, BMW 3 Series, BMW 3 Series Gran Sedan, BMW 5 Series, BMW 7 Series, BMW X3, BMW X5 (ไม่รวมรุ่นปรับอุปกรณ์ปี 2022) และ BMW X7 (ยกเว้น รุ่น BMW X7 xDrive40d M Sport)

เงื่อนไขสำหรับลูกค้าที่จองรถบีเอ็มดับเบิลยูรุ่นที่กำหนด และทำสัญญาทางการเงินแบบฟรีด้อม ช้อยส์ กับบีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย สำหรับรถที่จองและรับรถตั้งแต่วันนี้ถึง 30 เม.ย. 2565

MOTOR SHOW OFFER

รับ GARMIN SMART WATCH VENU 2S* เมื่อจองรถ BMW X SERIES ทุกรุ่น สำหรับลูกค้าที่จองรถบีเอ็มดับเบิลยู X Series ทุกรุ่น (รวมถึง BMW iX และ BMW iX3)

ดู Promotion BMW เพิ่มเติมได้ที่ – https://www.bmw.co.th/th/topics/offers-and-services/special-offers/special-offers.html

BMW Z4 (E89) ราคาตอนซื้อป้ายแดง ผ่อนเดือนละเท่าไหร่

จากกรณีข่าวรถสปอร์ต BMW Z4 (บีเอ็มดับเบิลยู แซด4) รหัส E89 ซิ่งฝ่าสายฝนจนเกิดอุบัติเหตุรถพุ่งข้ามเลนไปชนรถอีกคัน ทำให้หลายคนอยากทราบรายละเอียดเบื้องต้นของ BMW Z4 รุ่นนี้ว่า มีความเป็นมาในบ้านเราอย่างไรบ้าง …

และราคาจำหน่ายของ BMW Z4 รุ่นดังกล่าว หลายคนอยากทราบว่าตอนป้ายแดงคันละเท่าไหร่ และค่างวดที่ต้องผ่อนจ่ายในแต่ละเดือน เท่าไหร่บ้าง

MR.CARRO เลยขอนำราคาและค่างวดของรถรุ่นนี้ ในยุคที่ยังเป็นรถป้ายแดง มาให้ทุกคนได้ดูกันครับ

BMW Z4 sDrive35i

สำหรับ BMW Z4 Roadster รหัส E89 สุดยอดแห่งโรดสเตอร์ที่ผสมผสานความคลาสสิค กับดีไซน์ที่มีเสน่ห์แบบโรดสเตอร์พันธุ์แท้ และยังเป็นรถ BMW ที่ออกแบบโดยผู้หญิง ซึ่ง Juliane Blasi ออกแบบตัวรถภายนอก และในส่วนของห้องโดยสารออกแบบโดย Nadya Arnaout ผสานกับเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า และความสะดวกสบาย

อีกทั้งยังรวมถึงอารมณ์การขับขี่สไตล์สปอร์ตโรดสเตอร์เต็มรูปแบบ ด้วยการกระจายน้ำหนักอย่างสมดุล 50:50 หน้า:หลัง และระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ผลิตจาก​โรงงานในเมือง Regensburg แคว้นบาวาเรีย ประเทศเยอรมนี ถูกนำเข้ามาเปิดตัวในไทยเมื่อเดือนมีนาคม 2552 แรกเริ่มนั้นเป็นรุ่น sDrive23i, sDrive23i Highline ในราคา 4,599,000 – 5,099,000 บาท

BMW Z4 sDrive35i

BMW Z4 ชูจุดเด่นด้วยหลังคา Retractable Hardtop แบบแข็ง (Hardtop) เป็นครั้งแรก โดยชุดหลังคาสามารถ เปิด-ปิด ด้วยระบบไฟฟ้าในเวลาเพียง 20 วินาที อีกทั้งยังสามารถใส่ถุงกอล์ฟได้ถึง 2 ใบ (ขณะหลังคาปิด) สำหรับผู้ขับขี่ที่รักความสปอร์ตของรถแบบโรดสเตอร์ แต่ยังคงหลงใหลในกีฬากอล์ฟ

BMW Z4 sDrive35i

ไฮเทคสุดๆ กับระบบ iDrive ที่มีศูนย์บัญชาการข้อมูล CIC Car Infotainment Computer สั่งการระบบข้อมูลแผนที่นาวิเกเตอร์ โทรศัพท์ และระบบเอนเตอร์เทนเมนท์ BMW Navigation System Professional ทำงานบนฮาร์ดดิสก์ขนาด 80GB +DVD + Bluetooth + iPod USB Connector แสดงผลผ่านจอมอนิเตอร์ความละเอียดสูง 1280 x 480 พิกเซล

ใช้เครื่องยนต์ขนาด 2.5 ลิตร รหัส N52 ให้แรงม้าสูงสุด 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ที่ 2,750 รอบ/นาที อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 7.3 วินาที อัตราการประหยัดน้ำมัน 11.2 กม./ลิตร

และ sDrive35i ที่นำเข้ามาในช่วงแรก ใช้ขุมพลัง 3.0 ลิตร รหัส N54 ให้แรงม้าสูงสุด 306 แรงม้า และมีราคาอยู่ที่ 7,599,000 บาท

ต่อมาในเดือนมีนาคม 2553 BMW ปรับให้ BMW Z4 sDrive23i สามารถเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 ได้ ซึ่งเป็นโรดสเตอร์พลังงานทางเลือกรุ่นแรกของเมืองไทย ปรับราคาตัวรถลงมาเหลือ 4,399,000 – 4,799,000 บาท

BMW Z4 sDrive35iS

ในเดือนมิถุนายน 2553 BMW เปิดตัว BMW Z4 sDrive35is สุดยอดโรดสเตอร์พันธุ์สปอร์ต เคาะราคาขายสูงกว่าใครเพื่อน สมกับเป็นราคาของคนเท้าหนัก 8,399,000 บาท

มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 6 สูบแถวเรียงขนาด 3.0 ลิตร อัดอากาศด้วยระบบ Twin Turbo ผลิตแรงม้าได้สูงสุด 340 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ที่ 1,500-4,500 รอบ/นาที เพิ่มขึ้นถึง 500 นิวตัน-เมตรในขณะเร่งแซง ด้วยฟังก์ชั่น Overboost ระบบเทอร์โบ ด้วยเทคโนโลยี EfficientDynamics ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายในเวลาเพียง 4.8 วินาที อัตราการประหยัดน้ำมัน 11.1 กม./ลิตร

BMW Z4 sDrive35iS

ระบบเกียร์คลัทช์คู่ DCT 7-สปีด พร้อมฟลายวีลแบบ Two-Mass และโปรแกรมพิเศษ พร้อมฟังก์ชั่น Launch Control รับแรงบิดสูงของเครื่องยนต์ได้สบายๆ และโปรแกรมเกียร์ปรับให้เหมาะสม เน้นพละกำลัง ความปราดเปรียว และมีฟังก์ชั่น Launch Control สำหรับผู้ขับที่ต้องการออกตัวให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด

ระบบปั๊มน้ำและปั๊มน้ำมันเครื่องแบบ On-Demand แล้ว ยังมีระบบ Brake Energy Re-Generation ซึ่งเป็นการนำพลังงานจากการเบรกกลับมาแปรรูปเป็นพลังงานไฟฟ้า เพื่อป้อนให้กับระบบต่างๆ ภายในรถด้วย

BMW Z4 sDrive35iS

ระบบท่อไอเสียปรับแต่งให้เสียงทุ้ม นุ่มลึก เข้ากับคาร์แรคเตอร์ โดยออกแบบท่อทางเดินอากาศและหม้อพักไอเสียเป็นพิเศษ เพื่อให้ได้เสียงความถี่ต่ำ ให้ความรู้สึกถึงพลังที่ซ่อนอยู่ของโรดสเตอร์พันธุ์ดุ โดยที่ไม่ดังส่งเสียงรบกวนจนน่ารำคาญ

ภายหลังในช่วงปี 2555 ปรับรุ่นย่อยเหลือเป็นรุ่น sDrive20i, sDrive20i Highline ใช้เครื่องยนต์เล็กลงเป็น 2.0 ลิตร รหัส N20 ให้แรงม้าสูงสุด 184 แรงม้า ในราคา 3,799,000 – 4,199,000 บาท

BMW Z4 sDrive20i Highline 2013

ช่วงต้นปี 2556 ในเยอรมนี ปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ LCi และรุ่นย่อย บ้านเราเปิดตัวเมื่อเดือนกันยายน 2556 นำเข้าเฉพาะรุ่น sDrive20i Highline อย่างเดียว ในราคา 3,999,000 – 4,099,000 บาท

สำหรับ BMW Z4 sDrive20i Highline มาพร้อมกับสีที่มีให้เลือกได้ถึง 8 สี รวมถึงโทนสีใหม่ล่าสุด เช่น สี Mineral Grey Metallic, สี Glacier Silver Metallic, และ สี Valencia Orange Metallic ที่มีให้เลือกโดยเฉพาะสำหรับ BMW Z4 sDrive20i Highline พร้อมชุดตกแต่งพิเศษที่ผสมผสานระหว่างการดีไซน์แบบ Design Pure Traction และชุดแต่ง M Sport

BMW Z4 sDrive35iS

โดยชุดตกแต่งพิเศษ Design Pure Traction นี้โดดเด่นและเหนือชั้นกับทุกรายละเอียดของการสร้างสรรค์ เน้นความเป็นผู้นำแห่งโรดสเตอร์ที่ไม่เหมือนใคร สะกดทุกสายตากับตัวรถสีส้ม Valencia Orange ภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยโทนสีที่ตัดกัน เพิ่มอารมณ์สปอร์ตด้วยหนังแบบ Alcantara สีส้มตัดกับหนังสีดำทั้งเบาะนั่งแบบสปอร์ตและแผงประตู

BMW Z4 sDrive35iS

ส่วนของคอนโซลกลางสีดำแบบ Black Piano ได้รับการติดตั้งพร้อมหนังที่เย็บด้วยตะเข็บสีส้ม เพิ่มบุคลิกความเป็นสปอร์ตเข้ากันอย่างลงตัว

สำหรับชุดตกแต่งพิเศษ Design Pure Balance นั้น ภายในผสมผสานหนังแท้สีดำกับสีน้ำตาลเข้ม (Cohiba Brown) ของเบาะนั่งแบบสปอร์ตหุ้มหนังแท้ Merino และตัดขอบด้วยตะเข็บสีขาว

BMW Z4 sDrive35iS

นอกจากนี้ ยังเพิ่มความสปอร์ตมากขึ้นด้วยชุดตกแต่ง M Sport Package พร้อมล้ออัลลอย M ขนาด 19 นิ้ว และชุดแต่ง M แอโรไดนามิครบครัน รวมถึงเบาะที่นั่งแบบสปอร์ต, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น หุ้มด้วยหนังแท้สไตล์สปอร์ตแบบ M พร้อมก้านเปลี่ยนเกียร์หลังพวงมาลัย กาบบันได M รวมถึงผ้าบุหลังคาสี Anthracite

BMW Z4 sDrive20i

ก่อนที่จะขายกันมาเรื่อยๆ มาจนถึงต้นปี 2559 ทาง BMW Group Thailand จึงยุติการนำเข้าไป และนี่ก็คือรายละเอียดของ BMW Z4 (E89) ที่คุณต้องรู้ไว้เบื้องต้น ก่อนจะซื้อมาใช้กันครับ!

สำหรับราคาของ BMW Z4 Roadster (E89) ตอนออกใหม่ๆ และค่างวดที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือน ของ BMW Hire Purchase (แบบมี Balloon) จะต้องจ่ายเท่าไหร่ มาดูกันได้ที่ตารางนี้ครับ

BMW Z4 (E89) ราคาตอนซื้อป้ายแดง ผ่อนเดือนละเท่าไหร่

*หมายเหตุ: ราคาและค่างวดตามนี้ คำนวณจากเงินดาวน์ 25% ผ่อน 48 เดือน (และมียอด Ballroon งวดสุดท้าย จ่าย 30-40% ของราคารถ ซึ่งรถในแต่ละรุ่น แต่ละปี จำนวนเงินที่ต้องจ่ายอาจไม่เท่ากัน)

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิมตอนนี้ หรือกำลังตัดสินใจจะซื้อรถป้ายแดงอยู่พอดี แต่งบไม่พอ!  มาขายรถกับ CARRO Express สิ! หรือจะ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

และอีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน อยากซื้อรถคุณภาพเยี่ยม มาซื้อกับ CARRO Automall สิ!

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่หาไม่ได้ สามารถสั่งตามออเดอร์ได้ที่นี้ > https://th.carro.co/buy-car หรือโทร. 02-508-8690 อีกทั้งยัง Inbox เข้ามาสอบถามก็ได้เช่นกันได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง หรือทาง Line เชิญเลยครับที่ @carroautomall

BMW เปิดตัว BMW iX3 และ iX รถยนต์ SAV พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นแรก ในราคา 3,399,000 - 5,999,000 บาท

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ก้าวสู่ยุคใหม่แห่งยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้า เปิดตัว BMW iX (บีเอ็มดับเบิลยู iX) และ BMW iX3 (บีเอ็มดับเบิลยู iX3) รถยนต์อเนกประสงค์ Sports Activity Vehicle (SAV) ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% รถนำเข้าจากประเทศจีน ที่จะมาสร้างนิยามใหม่ให้แก่ประสบการณ์การขับขี่ด้วยพลังงานสะอาดในไทย

BMW Vision iNEXT 2018

BMW Vision iNEXT รถต้นแบบของรถตระกูล iX ที่ออกมาในปี 2018

สำหรับการเปิดตัวครั้งแรกของ BMW iX นี้ มาในรุ่น BMW iX xDrive50 Sport สร้างสุนทรียภาพการขับขี่แบบไร้มลพิษ พร้อมความคล่องตัวสไตล์สปอร์ต และดีไซน์สุดล้ำที่สื่อถึงความยั่งยืน ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังไฟฟ้าพร้อมเทคโนโลยี BMW eDrive และเทคโนโลยีเซลล์แบตเตอรี่รุ่นใหม่ล่าสุด สามารถขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าได้ไกลถึง 630 กิโลเมตร

ขณะที่ BMW iX3 M Sport เปิดตัวเป็นครั้งแรกในไทยด้วยความโดดเด่นจากตระกูล X3 ที่ผสานความปราดเปรียวโฉบเฉี่ยวเข้ากับสมรรถนะอันทรงพลังของ BMW eDrive เจเนอเรชั่นที่ 5

BMW Vision iNEXT 2018

BMW Vision iNEXT รถต้นแบบของรถตระกูล iX ที่ออกมาในปี 2018

สำหรับลูกค้าในไทย สามารถจองบีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive50 Sport ซึ่งมาในจำนวนจำกัดเพียง 20 คัน และบีเอ็มดับเบิลยู iX3 M Sport ที่มาให้ลูกค้าชาวไทยเป็นเจ้าของในจำนวนจำกัด ได้ตั้งแต่วันที่ 7 กรกฏาคม 2564 เวลา 14.00 น. เป็นต้นไป ผ่านช่องทางออนไลน์ทาง shop.bmw.co.th

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา รถยนต์ในตระกูล BMW i เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนนวัตกรรมล้ำยุคของ BMW Group ซึ่ง BMW i8 และ i3 ที่เราได้เปิดตัวในประเทศไทยไปแล้วนั้น เปรียบเสมือนจุดเริ่มต้นก้าวสำคัญเพื่อปูทางสู่นวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียม

BMW iX xDrive50 Sport

และในวันนี้ เราได้สร้างปรากฏการณ์ครั้งใหม่ด้วย BMW iX ยนตรกรรมที่ออกแบบมาเพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่พลังงานไฟฟ้าที่สมบูรณ์แบบ พร้อมเบิกทางสู่นวัตกรรมแห่งอนาคตและบริการดิจิทัลต่างๆ และสอดแทรกปรัชญาด้วยความยั่งยืนของเราไว้ในทุกขั้นตอน

นอกจากบีเอ็มดับเบิลยู iX แล้ว ยังเปิดตัว BMW iX3 M Sport เป็นครั้งแรก สมาชิกใหม่ในตระกูล X3 รุ่นนี้ จะเข้ามาเติมเต็มกลยุทธ์ Power of Choice ให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น โดยนับจากนี้ไป บีเอ็มดับเบิลยู X3 จะเป็นยนตรกรรมที่พร้อมนำเสนอระบบขับเคลื่อนทั้งแบบเครื่องยนต์สันดาปภายในปลั๊กอินไฮบริด และพลังงานไฟฟ้าล้วน พร้อมยังคงเอกลักษณ์ความคล่องตัวแบบ SAV ไว้ได้อย่างเต็มเปี่ยม

BMW iX3 M Sport

BMW iX3 M Sport ใหม่

ราคาจำหน่าย: 3,399,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม แพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard นาน 4 ปี และแท่นชาร์จ BMW i Wallbox จำนวนจำกัด)

BMW iX3 M Sport มาพร้อมเอกลักษณ์สุดล้ำ ประสานประสิทธิภาพของมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ากับความหนาแน่นและความจุพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นของแบตเตอรี่แรงดันสูง มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า แผงวงจรไฟฟ้า เทคโนโลยีการชาร์จ และแบตเตอรี่แรงดันสูงรุ่นล่าสุด ที่ได้รับการยกระดับในด้านสมรรถนะการทำงาน การใช้พลังงานไฟฟ้า และระยะทางในการขับขี่ อีกทั้งยังเพิ่มความหนาแน่นและศักยภาพของกำลังไฟฟ้าด้วยการรวมมอเตอร์ไฟฟ้า วงจรอิเล็กทรอนิกส์ และระบบเกียร์ไว้ภายใต้โครงสร้างเดียวกัน เช่นเดียวกับบีเอ็มดับเบิลยู iX

BMW iX3 M Sport

ระบบขับเคลื่อนรุ่นใหม่ใน BMW iX3 M Sport ส่งพละกำลังสูงสุด 286 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ซึ่งโดดเด่นว่ามอเตอร์ไฟฟ้าในรุ่นอื่นๆ ด้วยความสามารถในการคงแรงบิดได้แม้ระหว่างรอบสูง โลดแล่นจาก 0 ถึง 100 กม./ชม. ภายใน 6.8 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 180 กม./ชม.

ขับขี่สนุกอย่างอุ่นใจด้วยระบบป้องกันการลื่นไถลของล้อ (Near-Actuator Wheel Slip Limitation) ปริมาตรความจุแบตเตอรี่เพิ่มขึ้นกว่าเดิมอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกับพื้นที่การติดตั้งและน้ำหนัก ส่วนความจุพลังงานรวมอยู่ที่ 80kWh เพื่อขับเคลื่อนให้ BMW iX3 ขับขี่ได้ไกลถึง 460 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP และ 470 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC

BMW iX3 M Sport

เทคโนโลยีระบบชาร์จใหม่ล่าสุดเติมพลังงานสู่แบตเตอรี่ 400 โวลต์ และแหล่งจ่ายไฟ 12 โวลต์แก่อุปกรณ์ต่าง ๆ ในรถ หากใช้ไฟฟ้ากระแสสลับ สามารถชาร์จด้วยระบบไฟแบบ 1 เฟส และ 3 เฟส ได้สูงสุด 11 กิโลวัตต์ และเมื่อชาร์จแบบรวดเร็วด้วยไฟฟ้ากระแสตรง (DC) จะรับพลังงานได้สูงสุด 150 กิโลวัตต์ และสำหรับการชาร์จด้วยแรงดันนี้ BMW iX3 ยังรองรับการชาร์จจาก 0-80% ได้ภายใน 34 นาที เพิ่มระยะทางการวิ่งถึง 100 กิโลเมตรได้ภายใน 10 นาที (ตามมาตรฐาน WLTP)

BMW iX3 M Sport มาพร้อมระบบการนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่แบบแปรผัน (Adaptive recuperation) เพิ่มสมรรถนะและความสบายระหว่างการขับขี่ ระดับการดึงพลังงานจากระบบเบรกกลับมาใช้ใหม่จะแปรผันตามสภาวะถนน ซึ่งอ้างอิงจากข้อมูลในระบบนำทางและเซนเซอร์ในระบบช่วงเหลือผู้ขับขี่ นอกจากนี้ ผู้ขับขี่สามารถเลือกระดับการนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่ได้ตามต้องการ ระหว่างระดับสูง ปานกลาง และต่ำ เมื่อเข้าเกียร์ D และระบบ Recuperation จะทำงานอัตโนมัติในระดับสูงเมื่อเข้าเกียร์ B เพื่อสร้างประสบการณ์ในการขับขี่ยนตรกรรมไฟฟ้าอันเฉพาะตัวของบีเอ็มดับเบิลยู

แบตเตอรี่แรงดันสูงรุ่นล่าสุดนี้ติดตั้งอยู่ใต้ตัวรถ จึงช่วยลดจุดศูนย์ถ่วงลงประมาณ 7.5 ซม. เมื่อเทียบกับ X3 รุ่นอื่นๆ ระบบช่วงล่างแบบ Adaptive ปรับระดับด้วยไฟฟ้าตามสภาพถนนและสภาวะการขับขี่

BMW iX3 M Sport

รูปโฉมภายนอกของ BMW iX3 M Sport ยังคงสัดส่วนที่โฉบเฉี่ยวสไตล์ SAV มาพร้อมความแข็งแกร่งระดับพรีเมียมและความอเนกประสงค์ของตระกูล X โดดเด่นด้วยองค์ประกอบการดีไซน์เฉพาะรุ่นอย่างชิ้นส่วนแอโรไดนามิกส์ต่าง ๆ สอดแทรกด้วยดีไซน์ที่สื่อถึงความยั่งยืน กระโปรงหน้าและกระจังหน้าทรงไตคู่ขนาดใหญ่มาในดีไซน์ปิดทึบ ท้ายรถมาพร้อมการออกแบบเพื่อลดแรงต้านอากาศ

BMW iX3 M Sport

ไฮไลท์ของ BMW iX3 ยังอยู่ที่ความหลากหลายในการใช้งาน มาพร้อมพื้นที่กว้างขวางกว่า X3 รุ่นอื่น ๆ เบาะหลังพับได้แบบ 40 : 20 : 40 ซึ่งช่วยเพิ่มปริมาตรการบรรจุสัมภาระจาก 510 ถึง 1,560 ลิตร เสริมความเอ็กซ์คลูซีฟด้วยระบบเสียง BMW IconicSounds Electric ซึ่งมาเป็นมาตรฐาน สร้างทำนองเสียงไม่ซ้ำใครเมื่อสตาร์ทหรือดับเครื่องยนต์จากผลงานของ Hans Zimmer มาพร้อมล้อ M aerodynamic ขนาด 20 นิ้วแบบสลับสี ที่เสริมประสิทธิภาพด้านแอโรไดนามิกส์ยิ่งขึ้น ไฟหน้า Adaptive LED เสริมฉนวนกันเสียงที่ประตูหน้า

BMW iX3 M Sport

และยังมีอุปกรณ์มาตรฐานเพื่อเสริมความสะดวกสบายแบบพรีเมียมอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ระบบปลดล็อกประตู Comfort Access เบาะหนัง Vernasca ตอนหน้าดีไซน์แบบสปอร์ต จอ BMW Head-Up Display ระบบปรับการทำงานไฟสูงอัตโนมัติ และระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติรุ่น Plus พร้อมกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง ยกระดับความสะดวกสบายและความปลอดภัยแบบเอ็กซ์คลูซีฟยิ่งขึ้นด้วยระบบ BMW gesture control ระบบเสียงรอบทิศทาง Harman Kardon และ WiFi hotspot พร้อมด้วยระบบ BMW Live Cockpit Professional พร้อมระบบนำทางที่ดึงข้อมูลจากระบบคลาวด์ BMW Maps และ BMW Intelligent Personal Assistant

BMW iX3 M Sport มาให้เลือกใน 5 สี ได้แก่ Carbon Black, Mineral White, Phytonic Blue, Piemont Red และ Sophisto Grey

BMW iX xDrive50 Sport

BMW iX xDrive50 Sport ใหม่

ราคาจำหน่าย: 5,999,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม แพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard นาน 4 ปี และแท่นชาร์จ BMW i Wallbox สำหรับ 20 คันแรกเท่านั้น)

BMW iX มาพร้อมเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าใหม่ล่าสุด พร้อมความล้ำยุคด้านเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติและการเชื่อมต่ออีกมากมาย มาพร้อมเทคโนโลยี BMW eDrive และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบไฟฟ้า ซึ่งทำงานร่วมกันเพื่อสร้างสมรรถนะการขับขี่ในระยะยาวไกลยิ่งขึ้นและอัตราเร่งที่ทรงพลัง

BMW iX xDrive50 Sport ส่งพละกำลังรวมสูงสุด 385 กิโลวัตต์/523 แรงม้า ระบบ BMW eDrive เจเนอเรชั่นที่ห้านี้ยังทำงานพร้อมเทคโนโลยีเซลล์แบตเตอรี่ล่าสุด มอบระยะทางขับเคลื่อนตามมาตรฐาน WLTP สูงสุดถึง 630 กิโลเมตร สร้างแรงบิดรวมได้สูงสุดถึง 765 นิวตันเมตร ระบบป้องกันการลื่นไถลของล้อ (Near-Actuator Wheel Slip Limitation) ได้รับการติดตั้งควบคู่กับระบบ AWD เป็นครั้งแรก ช่วยป้องกันการลื่นไถลของล้อและเพิ่มความเสถียรภาพในการควบคุมรถยิ่งขึ้นอีกระดับ จึงโลดแล่นด้วยความเร็วจาก 0 ถึง 100 กม./ชม. ได้ภายใน 4.6 วินาที

แบตเตอรี่แรงดันสูงใน BMW iX xDrive50 Sport มีความจุพลังงานรวม 111.5 kWh หัวชาร์จแบบ Combined Charging Unit (CCU) ได้รับการออกแบบมาเพื่อมอบการชาร์จที่ยืดหยุ่น รองรับการชาร์จแบบ DC ได้สูงสุด 200 กิโลวัตต์ และสำหรับการชาร์จจากเครื่องชาร์จ 100 กิโลวัตต์นั้น จะใช้เวลาราว 56 นาที ในการชาร์จจาก 10% ถึง 80%

ระบบการนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่แบบแปรผัน (Adaptive recuperation) ช่วยเสริมประสิทธิภาพและระยะการขับขี่ของบีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive50 Sport ด้วยการดึงพลังงานจากระบบเบรกกลับมาใช้ใหม่ให้เหมาะสมกับสภาวะการขับขี่ โดยใช้ข้อมูลจากระบบนำทางและเซนเซอร์จากระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อรถเข้าใกล้ทางแยก ระดับการดึงพลังงานกลับมาใช้ใหม่จะเพิ่มสูงขึ้น เพื่อเติมพลังงานไฟฟ้ากลับเข้าสู่แบตเตอรี่แรงดันสูง ในขณะเดียวกันก็จะทำให้ความเร็วการขับขี่ลดลง และจะทำงานสลับกับฟังก์ชั่น Coasting ขณะขับขี่บนท้องถนน ซึ่งช่วยให้รถเคลื่อนที่ได้โดยไม่ต้องใช้พลังงานเมื่อผู้ขับขี่ยกเท้าออกจากแป้นคันเร่ง ผู้ขับขี่สามารถเลือกระดับการนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่ได้ตามต้องการ ระหว่างระดับสูง ปานกลาง และต่ำ โดยเมื่อเลือกขับขี่ด้วยเกียร์ B ระบบ Recuperation จะทำงานที่ระดับสูงสุดโดยอัตโนมัติเพื่อสร้างประสบการณ์ในการขับขี่แบบ One-Pedal Feeling

BMW iX xDrive50 Sport

โครงสร้างตัวถัง ปรัชญาการดีไซน์ และการออกแบบแชสซีของ BMW iX ได้รับการพัฒนาเพื่อหลอมรวมความสะดวกสบายเหนือระดับในการขับขี่และการควบคุมที่โฉบเฉี่ยวสไตล์สปอร์ต โครงสร้างของ BMW iX มาในวัสดุอลูมิเนียมแบบ spaceframe ส่วนหลังคามาในโครงสร้าง Carbon Cage ซึ่งประกอบด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์บริเวณด้านข้างและด้านหลัง ผสานการใช้วัสดุสองประเภทเข้าไว้ด้วยกันเพื่อเสริมทั้งความแข็งแกร่งและลดน้ำหนักให้เบาลงได้อย่างชาญฉลาด ส่วนค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ (Drag Coefficient) ที่ต่ำเพียง 0.25 จากองค์ประกอบด้านอากาศพลศาสตร์ต่าง ๆ ยังช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องยนต์และระยะการขับขี่ด้วยเช่นกัน แบตเตอรี่แรงดันสูงในบีเอ็มดับเบิลยู iX ที่ติดตั้งอยู่ใต้ท้องรถ ช่วยลดจุดศูนย์ถ่วงให้ต่ำลง เมื่อประสานเข้ากับการกระจายน้ำหนักอย่างสมดุลจึงทำให้ตอบสนองต่อการควบคุมได้ฉับไวยิ่งขึ้น นอกจากนี้ รูปแบบการขับขี่ที่มีความสมดุลของบีเอ็มดับเบิลยู iX ยังช่วยเพิ่มความมั่นคงและความสบายขณะขับขี่ ขณะที่ยังคงความคล่องตัวไว้ได้อย่างดีเยี่ยม

เทคโนโลยีแชสซีที่ใช้ในการพัฒนา BMW iX ประกอบด้วย เพลาหน้าแบบปีกนกคู่ เพลาหลังแบบ Five-Link ช่วงล่างแบบปรับระดับได้ และระบบพวงมาลัยไฟฟ้าที่ปรับน้ำหนักตามความเร็วรถขณะขับขี่ (Servotronic) แปรผันตามการหมุนและความเร็ว มาพร้อมระบบช่วงล่างแบบถุงลมที่ควบคุมด้วยไฟฟ้า ระบบปรับองศาของล้อหลังเพื่อการเข้าโค้งหรือเลี้ยว (Integral Active Steering) ล้อ Aerodynamic ขนาด 22 นิ้ว แบบสลับสี ขัดเงาสามมิติ เสริมด้วยยางล้อลดเสียงรบกวนที่มีชั้นโฟมบริเวณพื้นผิวด้านในเพื่อลดการเกิดเสียงได้รับการติดตั้งมาเป็นมาตรฐาน

BMW iX xDrive50 Sport

อีกหนึ่งเอกลักษณ์ใหม่ที่ไม่ซ้ำใครของ BMW iX คือดีไซน์ภายนอกที่มีเส้นสายในการออกแบบชัดเจนทรงพลัง แต่ยังมีความเรียบง่าย และคงความบึกบึนสไตล์ SAV รายละเอียดขององค์ประกอบต่าง ๆ สื่อถึงความประณีตและความหรูหราล้ำยุค โดดเด่นสะดุดตาด้วยกระจังหน้าทรงไตคู่ที่เกือบปิดทึบ สะท้อนถึงนวัตกรรมการผลิตที่ล้ำสมัย ส่วนกล้องและเรดาร์เซนเซอร์ฝังอยู่ภายใต้พื้นผิวของกระจังหน้า โดดเด่นด้วยไฟหน้าและไฟท้ายที่เรียวยาวที่สุดของบีเอ็มดับเบิลยู มือจับประตูที่เปิดด้วยการกดปุ่ม หน้าต่างไร้ขอบ และประตูท้ายสอดประสานกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวตั้งแต่หน้ารถจรดท้ายรถโดยไม่มีช่องว่าง

BMW iX xDrive50 Sport

การออกแบบภายในห้องโดยสารมุ่งนำเสนอแนวคิดของการใช้ชีวิตที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ มาพร้อมพื้นที่กว้างขวางและเบาะที่นั่งแบบใหม่พร้อมพนักพิงศีรษะเสริมความหรูหรายิ่งขึ้น มีพื้นที่วางขามากขึ้นเนื่องจากไม่ต้องมีท่อส่งน้ำมันกลางตัวรถ ซึ่งยังช่วยเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระ คอนโซลกลางมาในดีไซน์เฉียบไม่แพ้เฟอร์นิเจอร์หรู ปุ่มควบคุมระบบสัมผัสและระบบเปลี่ยนเกียร์แบบ Rocker Switch พร้อมเน้นย้ำถึงการออกแบบห้องโดยสารเพื่อผู้ขับขี่ด้วยจอ BMW Curved Display พวงมาลัยทรงหกเหลี่ยมและจอ Head-Up Display

ระบบปรับอากาศอัตโนมัติมาพร้อมฟิลเตอร์นาโนไฟเบอร์ที่สามารถกรองอากาศบริสุทธิ์ ควบคุมผ่านจอระบบสัมผัสแบบใหม่ ซึ่งใช้ควบคุมการหมุนเวียนของอากาศภายในห้องโดยสาร รวมถึงระบบทำความร้อนที่เบาะนั่งและพวงมาลัย มาพร้อมตัวเลือกอุปกรณ์เสริมคุณภาพเสียงทรงพลังยิ่งขึ้น อย่างระบบเสียงรอบทิศทางคุณภาพสูง Bowers & Wilkins Diamond Surround Sound System ที่ฝังอยู่ในพนักพิงศีรษะ และระบบเสียงแบบ 4D ที่มีฟังก์ชั่นสั่นตามเสียงเบสในเบาะหน้า

นอกจากระบบการจำลองเสียงเพื่อเตือนคนเดินถนน BMW iX ยังมาพร้อมเสียงประกอบการขับขี่ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ เติมเต็มความเร้าใจในการขับขี่ทุกครั้งที่เร่งความเร็ว ฟังก์ชั่นจำลองเสียงเครื่องยนต์ BMW IconicSounds Electric ที่ติดตั้งมาเป็นมาตรฐาน ยังมาพร้อมตัวเลือกเสียงใหม่ล่าสุดจากนักแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ชื่อดังระดับโลกอย่าง Hans Zimmer

BMW iX xDrive50 Sport

BMW iX xDrive50 Sport ยังมาพร้อมหน้าจอแสดงผลและระบบทำงาน iDrive เจเนอเรชั่นใหม่ ซึ่งเปิดตัวเป็นครั้งแรกในบีเอ็มดับเบิลยู iX ต่อยอดการสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์ให้เป็นธรรมชาติมากขึ้น ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 8 ที่ออกแบบสำหรับทำงานร่วมกับจอระบบสัมผัสแบบโค้ง BMW Curved Display รองรับการโต้ตอบด้วยเสียงกับ BMW Intelligent Personal Assistant ซึ่งได้รับการอัปเกรดจากรุ่นก่อนหน้า โดยจอ BMW Curved Display เป็นกลุ่มจอแสดงผลดิจิทัลซึ่งประกอบไปด้วย จอ Information Display ขนาด 12.3 นิ้วและจอ Control Display ขนาด 14.9 นิ้ว รวมเข้าด้วยกันภายใต้แผงกระจกชิ้นเดียวที่หันหน้าเข้าหาผู้ขับขี่ ส่วนระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ดิจิทัลมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่และแสดงกราฟฟิกดีไซน์ใหม่ขณะสื่อสารกับผู้ใช้งาน ระบบ My Modes ใหม่ ขยายการตั้งค่าต่างๆ ของรถยนต์ให้ครอบคลุมประสบการณ์ขับขี่ทุกรูปแบบ

BMW iX ยังมาพร้อมระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่และนวัตกรรมหลากหลายที่สุด เหนือกว่ารถยนต์ทุกรุ่นจากบีเอ็มดับเบิลยู มาพร้อมเซนเซอร์เจเนอเรชั่นใหม่ ซอฟต์แวร์ใหม่ และแพลตฟอร์มในการประมวลผลที่ทรงพลัง ใช้กล้อง 5 ตัว เรดาร์เซนเซอร์อีก 5 ตัว และอัลตร้าโซนิกเซนเซอร์ 12 ตัวในการตรวจจับสภาพแวดล้อมรอบคัน ระบบเตือนขณะเปลี่ยนเลน Steering and Lane Control Assistant ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติพร้อมฟังก์ชั่น Stop & Go รวมถึงระบบที่ติดตั้งมาเป็นมาตรฐานอย่างระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติ รุ่น Plus (Parking Assistant Plus) ซึ่งประกอบด้วยกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง (Surround View Camera) แสดงภาพพื้นที่โดยรอบของรถให้เห็นแบบสามมิติผ่านระบบ Remote 3D

BMW iX xDrive50 Sport

กระบวนการผลิต BMW iX ยังครอบคลุมถึงการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้อลูมิเนียมที่ผ่านกระบวนการหล่อและนำกลับมาใช้ใหม่ รวมถึงการนำพลาสติกกลับมาใช้ใหม่ในปริมาณมาก ภายในห้องโดยสารประกอบด้วยวัสดุไม้ที่รับรองจาก FSC หนังฟอกด้วยสารสกัดจากใบมะกอก และยังมีส่วนประกอบจากธรรมชาติอื่นๆ อีกมากมาย และยังใช้แหจับปลาที่ผ่านการรีไซเคิลเป็นหนึ่งในวัสดุสำหรับผลิตพรมปูพื้นรถอีกด้วย

ลูกค้าสามารถเลือกสีตัวถังได้ถึง 6 สไตล์ตามความต้องการ ได้แก่ Aventurin Red, Black Sapphire, Mineral White, Phytonic Blue, Sophisto Grey และ Storm Bay

โปรแกรมบำรุงรักษารถยนต์ BMW Services Inclusive (BSI) สำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าล้วน

รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% จากบีเอ็มดับเบิลยูทั้ง 2 รุ่นนี้ จะมาพร้อมโปรแกรมบำรุงรักษา BMW Service Inclusive (BSI) รูปแบบใหม่ ซึ่งออกแบบมาให้เหมาะสมต่อการดูแลบำรุงรักษาระบบต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าโดยเฉพาะ โดยมีแพ็คเกจมานำเสนอใน 2 ทางเลือก ให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด ดังนี้

แพ็คเกจ

การให้บริการ

ระยะการบำรุงรักษา การรับประกันแบตเตอรี่แรงดันไฟสูงและอุปกรณ์ร่วม ราคา
BSI Standard 4 ปี / ไม่จำกัดระยะทาง 8 ปี / 160,000 กิโลเมตร (แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน) สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู iX และ iX3

 

 

รวมอยู่ในราคาจำหน่าย
BSI Ultimate 6 ปี / ไม่จำกัดระยะทาง 110,000 บาท

(สามารถเลือกอัพเกรดได้ภายใน 90 วัน นับตั้งแต่วันที่เริ่มการรับประกันคุณภาพ)

การดูแลบำรุงรักษารถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วน จะมีกำหนดเข้ารับบริการทุก 24 เดือน โดยครอบคลุมรายการต่าง ๆ ดังนี้

  • บริการตรวจเช็ครถ
  • บริการเปลี่ยนไมโครฟิลเตอร์
  • บริการเปลี่ยนน้ำมันเบรก
  • บริการชาร์จแบตเตอรี่แรงดันสูงหลังการให้บริการ (ชาร์จสูงสุด 75%-80%)
  • บริการเปลี่ยนใบปัดน้ำฝน (ปีละหนึ่งครั้ง)
  • บริการเปลี่ยนชุดเบรคหน้าและหลัง 1 ชุด รวมผ้าเบรกและจานเบรก (กำหนดการเปลี่ยนไม่ขึ้นอยู่กับระยะทาง)

ลูกค้าที่สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.bmw.co.th หรือติดต่อผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการของบีเอ็มดับเบิลยูทั่วประเทศ

และสำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิมตอนนี้ หรือกำลังตัดสินใจจะซื้อรถป้ายแดงอยู่พอดี แต่งบไม่พอ!  มาขายรถกับ CARRO Express สิ! หรือจะ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

และอีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน อยากซื้อรถคุณภาพเยี่ยม มาซื้อกับ CARRO Automall สิ!

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่หาไม่ได้ สามารถสั่งตามออเดอร์ได้ที่นี้ > https://th.carro.co/buy-car หรือโทร. 02-508-8690 อีกทั้งยัง Inbox เข้ามาสอบถามก็ได้เช่นกันได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง หรือทาง Line เชิญเลยครับที่ @carroautomall

8-SUV-Crossover-Plug-In-Hybrid-Most-Electric-Range-2021
รถปลั๊กอินไฮบริด (Plug-In Hybrid Electric Vehicle มักจะเรียกแบบย่อว่า PHEV) หรือ รถพลังไฟฟ้า (ที่ยังคงมีเครื่องยนต์เป็นตัวขับเคลื่อน แต่สามารถชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่ เพื่อใช้เป็นพลังขับเคลื่อนได้) นับเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ได้รับความนิยมในช่วงสิบกว่าปีมานี้ สำหรับ “รถเสียบปลั๊ก” แบบ Plug-In Hybrid ที่หลายคนก็เรียกรวมอยู่ในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าด้วย

รถปลั๊กอินไฮบริด มีจุดเด่นตรงที่เหมาะสำหรับคนที่อาจจะยังไม่สะดวกในการใช้รถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ตรงที่ไม่จำเป็นต้องชาร์จไฟเป็นประจำ เนื่องจากเครื่องยนต์ยังคงเป็นกำลังหลัก และไม่ต้องหาที่แวะชาร์จในเวลาขับ ไปได้ทุกที่ ไม่ต้องกังวล อีกทั้งยังชาร์จไฟได้เต็มไวกว่า

สำหรับในบ้านเรา รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด มีผลิตและนำเข้ามาขายด้วยกันหลากหลายยี่ห้อ แต่จะมีรุ่นไหนที่น่าสนใจ และในระยะทางในการวิ่งได้มากที่สุดต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง MR.CARRO รวบรวมข้อมูล 8 รุ่นเด็ดๆ มาเล่าให้ฟัง

Mercedes-Benz-GLE-350-de-4MATIC-Exclusive-2021

1. Mercedes-Benz GLE 350 de 4MATIC Exclusive ราคา 4,699,000 บาท ระยะทาง 106 กิโลเมตร

Mercedes-Benz GLE 350 de 4MATIC Exclusive (เมอร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลอี 350 ดีอี) ผสานเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดและความแข็งแกร่งในแบบฉบับของเครื่องยนต์ดีเซลเข้าด้วยกันเป็นครั้งแรก

การออกแบบภายนอก ให้อารมณ์สปอร์ตในทุกมิติด้วยดีไซน์แบบ Exclusive Body Styling พร้อมอุปกรณ์มาตรฐานที่มีความโดดเด่นในทุกรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้าแบบ LED High-Performance ล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตขนาด 20 นิ้ว ตลอดจนความแข็งแกร่งของส่วนท้าย ที่บ่งบอกถึงความโดดเด่น

กับครั้งแรกของระบบมัลติมีเดีย MBUX (Mercedes-Benz User Experience) ที่เชื่อมโยงคุณเข้ากับเทคโนโลยีอันชาญฉลาดเสมือนมีผู้ช่วยส่วนตัว โดยพัฒนามาจากนวัตกรรม AI และยังมาพร้อมระบบความปลอดภัยที่ล้ำหน้าอย่างครบครัน

พร้อมเติมเต็มประสบการณ์ใหม่ให้กับชีวิต ด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร พร้อม Turbocharger และ Intercooler ผสานพลังมอเตอร์ไฟฟ้าด้วยเทคโนโลยี Plug-In Hybrid เจเนอเรชันที่ 3 พร้อมแรงม้าสูงสุดถึง 320 แรงม้า ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 6.8 วินาที ขับเคลื่อนผ่านระบบส่งกำลังแบบ 9G-TRONIC พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และสามารถวิ่งด้วยวิ่งด้วยไฟฟ้าได้ไกลสูงสุด 106 กิโลเมตร

BMW-X5-xDrive45e-M-Sport-2020

2. BMW X5 xDrive45e M Sport ราคา 4,999,000 บาท ระยะทาง 67-87 กิโลเมตร

BMW X5 xDrive45e M Sport (บีเอ็มดับเบิลยู X5) เจเนอเรชั่นที่ 2 ของ BMW X5 มาในรูปแบบปลั๊กอินไฮบริดผสานขุมพลังการขับเคลื่อนระบบไฟฟ้า เข้ากับความคล่องตัวในแบบฉบับรถยนต์ Sports Activity Vehicle (SAV) มาพร้อมชุดไฟหน้า Adaptive LED ฝาท้ายอัตโนมัติด้วยระบบไฟฟ้า ระบบปลดล็อคประตูอัจฉริยะ Comfort Access System หลังคากระจกแบบ Panorama เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า เป็นต้น พร้อมกุญแจรีโมทระบบสัมผัส BMW Display Key

ส่วนภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยวัสดุหนังแท้ และอะลูมิเนียมลาย Tetragon ที่มาพร้อมเบาะนั่งหุ้มด้วยหนัง Vernesca ปรับด้วยไฟฟ้า พร้อมระบบความจำฝั่งคนขับ ที่ปรับดันหลังไฟฟ้า เบาะนั่งคู่หน้า ส่วนเบาะนั่งด้านหลัง แบ่งพับแบบ 40 : 20 : 40 พวงมาลัย Multifunction หุ้มหนังแบบ M Sport มีระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ 4 Zones และระบบจัดเก็บสัมภาระท้ายรถ Luggage Compartment Package เป็นต้น

ซึ่ง BMW X5 xDrive45e M Sport ใหม่ มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ 43.5 กม./ลิตร ตาม ECO Sticker โดยเมื่อขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว จะสามารถทำความเร็วสูงสุดที่ 135 กม./ชม. จากเดิมสูงสุดที่ 120 กม./ชม. และวิ่งด้วยไฟฟ้าได้ไกลสูงสุด 67-87 กิโลเมตร ตามมาตรฐานการทดสอบ WLTP ของยุโรป

MG-HS-PHEV-2021

3. MG HS PHEV ราคา 1,359,000 บาท ระยะทาง 67 กิโลเมตร

MG HS PHEV (เอ็มจี เอชเอส พีเอชอีวี) รถยนต์ SUV แบบปลั๊กอินไฮบริดรุ่นล่าสุดจากค่าย MG ชูแนวคิด “Refinement” พร้อมขับเคลื่อนทุกคุณค่าของชีวิต โดยสะท้อนถึงความเหนือระดับ ทั้งความหรูหรา ความสะดวกสบายความปลอดภัย และการแนะนำเทคโนโลยี Plug-in Hybrid ผสานพลังสุดยอดแห่งระบบขับเคลื่อน 2 ระบบ เข้าด้วยกัน ทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า

ขับเคลื่อนด้วยระบบ Plug-in Hybrid มีพละกำลังสูงสุด 284 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 480 นิวตันเมตร จากขุมพลังของเครื่องยนต์เบนซิน Turbo ขนาด 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 162 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร และมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor ที่ให้กำลังสูงสุด 122 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 230 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ Lithium-Ion แบบ 6 โมดูล มีขนาดใหญ่ถึง 16.6 kWh

ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์แบบ EDU II – 10 Speeds ที่ใช้เวลาเปลี่ยนเกียร์เพียง 0.2 วินาที ตอบสนองได้อย่างทันใจ ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายในเวลา 7.5 วินาที สามารถขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% สูงสุดถึง 67 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง

Range-Rover-Sport-Plug-In-Hybrid-HSE-Plus

4. Range Rover Sport Plug-In Hybrid HSE Plus ราคา 5,699,000 บาท ระยะทาง 51 กิโลเมตร

Range Rover Sport Plug-In Hybrid HSE Plus (เรนจ์ โรเวอร์ สปอร์ต ปลั๊กอินไฮบริด เอชเอสอี พลัส) เพิ่มทางเลือกสำหรับลูกค้าที่ต้องการรถยนต์ SUV ขนาดใหญ่ กับสมรรถนะอันยอดเยี่ยม ทั้งการขับขี่บนถนนปกติ และในสภาพพื้นผิวถนนหลายรูปแบบ อันเป็นจุดขายของรถยนต์ เรนจ์ โรเวอร์ สปอร์ต

มาพร้อมอุปกรณ์มาตรฐาน อาทิ ไฟหน้าแบ Matrix LED ปรับการทำงานอัตโนมัติ, ล้อแม็กขนาด 21 นิ้ว, ระบบความปลอดภัยรอบคัน พร้อมกล้องแสดงผลรอบทิศทาง 360 องศา เป็นต้น

ห้องโดยสารภายในมาพร้อมเทคโนโลยี InControl Connect Pro แสดงผลผ่านหน้าจอสัมผัสขนาด 10 นิ้ว เครื่องเสียงชุดใหญ่แบบพรีเมียมของ Meridian ลำโพงถึง 19 พร้อม Sub-Woofer และมี WiFi Hotspot เชื่อมต่ออุปกรณ์ภายในรถได้

ขุมพลังปลั๊กอินไฮบริด ทำงารร่วมกับเครื่องยนต์เบนซินตระกูล Ingenium ขนาด 2.0 ลิตร แบบ 4 สูบ 300 แรงม้า คู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า 116 แรงม้า พ่วงด้วยแบตเตอรี่ความจุ 13 kWh ให้กำลังรวมทั้งระบบ 404 แรงม้า ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 6.7 วินาที อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 27.7 กม./ลิตร วิ่งด้วยไฟฟ้าได้ไกลสูงสุดประมาณ 51 กิโลเมตร

Mercedes-Benz-GLC-300-e-4MATIC-AMG-Dynamic

5. Mercedes-Benz GLC 300 e 4MATIC AMG Dynamic ราคา 3,699,000 บาท ระยะทาง 46-49 กิโลเมตร

Mercedes-Benz GLC 300 e 4MATIC AMG Dynamic (เมอร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลซี 300 อี) คือรถยนต์ SUV Plug-In Hybrid ขนาดกลาง ที่ยกระดับใหม่ในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี ภายใน และดีไซน์แบบ SUV ที่เป็นเอกลักษณ์

มาพร้อมระบบสั่งการด้วยเสียง “Hey Mercedes” ระบบสั่งงานด้วยเสียงซึ่งสามารถประมวลผลประโยคที่ใกล้เคียงกับคำสั่งทั่วไปได้ ทั้งจดจำและเรียนรู้การสั่งงานของคุณได้ ระบบปรับรูปแบบการขับขี่ (Dynamic Select) ที่เปลี่ยนจากการปรับโหมดขับขี่ผ่านพวงมาลัย มาเป็นการปรับโหมดการขับขี่ผ่านหน้าจอแสดงผล ที่ตอบสนองการขับขี่ได้ในแบบฉบับที่คุณโปรดปราน ไม่ว่าจะเป็นโหมด ECO, Comfort, Sport, Sport+, Individual โดยที่ระบบจะปรับการทำงานของเครื่องยนต์ในส่วนต่าง ๆ อาทิ ระบบส่งกำลัง ระบบบังคับเลี้ยวหรือโปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ เป็นต้น

ด้วยสมรรถนะของเทคโนโลยี Plug-in Hybrid ที่จะพาคุณก้าวสู่โลกสีเขียวแห่งอนาคต โดยผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 211 แรงม้า และจากมอเตอร์ไฟฟ้า 122 แรงม้า รวมเป็นกำลังสูงสุด 320 แรงม้า พร้อมด้วยแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ความจุ 13.5 kWh

ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด แบบ 9G-TRONIC ที่ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์มีความนุ่มนวลมากยิ่งขึ้น และประหยัดพลังงานได้มากถึง 6.5% มีอัตราการใช้พลังงาน 17.8-16.5 kWh/100 กม. ให้ระยะทางขับขี่ด้วยระบบไฟฟ้าล้วน 46-49 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NEDC)

BMW-X3-xDrive30e-M-Sport-2020

6. BMW X3 xDrive30e M Sport ราคา 3,659,000 บาท ระยะทาง 47 กิโลเมตร

BMW X3 xDrive30e M Sport (บีเอ็มดับบลิว เอ็กซ์3) ผสมผสานระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ xDrive และระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า eDrive ของบีเอ็มดับเบิลยูเข้ากันอย่างลงตัว เพื่อมอบความเพลิดเพลินในการขับขี่ควบคู่ความยั่งยืนอย่างสมบูรณ์ บีเอ็มดับเบิลยู X3 xDrive30e M Sport ใหม่

มาพร้อมกับระบบปลั๊กอินไฮบริด ที่ประกอบด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร มอบกำลังสูงสุดที่ 184 แรงม้า พร้อมเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo และมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด แบบ Sport Steptronic มอบกำลังขับจากระบบไฟฟ้าสูงสุดที่ 109 แรงม้า ส่งพลังลงสู่ล้อทั้งสี่อย่างเต็มพิกัด

เมื่อนับรวมกันแล้ว เครื่องยนต์ขุมพลังเบนซิน 4 สูบ และมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังรวมสูงสุดถึง 292 แรงม้า แรงบิดรวมสูงสุด 420 นิวตันเมตร และยังช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงให้ลงมาที่ 35.7 กม./ลิตร โดยอัตราการใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ประมาณ 17.92 kWh ต่อ 100 กิโลเมตร

ส่วนแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน มาพร้อมกับเทคโนโลยีเซลล์แบตเตอรี่ใหม่ล่าสุด ส่งกำลังให้สามารถขับขี่ในโหมดไฟฟ้าล้วนได้ในระยะทางสูงสุดถึง 47 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NEDC) เร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 6.1 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 210 กม./ชม.

มอเตอร์ไฟฟ้าของรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู X3 xDrive30e M Sport สามารถทำงานทั้งในรูปแบบการขับขี่พลังงานไฟฟ้าล้วน หรือเพื่อช่วยสนับสนุนการทำงานของเครื่องยนต์สันดาป โดยในโหมด MAX eDrive ซึ่งเปิดใช้งานได้ด้วยปุ่ม eDrive บริเวณคอนโซลหลัก บีเอ็มดับเบิลยู X3 xDrive30e M Sport ใหม่ จะสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 135 กม./ชม. ด้านโหมด Auto eDrive แบบมาตรฐาน สามารถทำความเร็วสูงสุดด้วยการขับขี่แบบไฟฟ้าล้วนได้ที่ 110 กม./ชม.

ในขณะเดียวกัน เครื่องยนต์สันดาป ยังสามารถสลับมาทำหน้าที่แทนเมื่อเร่งความเร็วสูงขึ้น หรือเมื่อมีจำเป็นต้องใช้พละกำลังจากเครื่องยนต์เพิ่มเติม

Porsche-Cayenne-e-Hybrid-2021

7. Porsche Cayenne e-Hybrid ราคา 6,300,000 บาท ระยะทาง 47 กิโลเมตร

Porsche Cayenne e-Hybrid (ปอร์เช่ คาเยนน์ อี-ไฮบริด) ปอร์เช่เสริมศักยภาพพิสัยการเดินทางด้วยพลังงานไฟฟ้า ให้แก่สายพันธุ์สปอร์ต SUV ปลั๊กอินไฮบริด กับ Cayenne โดยสมรรถนะของแบตเตอรี่ High-Voltage เพิ่มขึ้นเป็น 17.9 kWh จากเดิม 14.1 kWh ส่งผลต่อระยะทางที่สามารถวิ่งได้ด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว เพิ่มสูงขึ้นอีกถึงกว่า 30%

เมื่อทดสอบตามมาตรฐาน NEDC (ECE-R101) ปอร์เช่ คาเยนน์ อี ไฮบริด (Porsche Cayenne E-Hybrid) และ เทอร์โบ เอส อี ไฮบริด (Turbo S E-Hybrid) มีพิสัยการเดินทางโดยปราศจากมลพิษสูงสุดถึง 47 กิโลเมตร

ระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ใน Porsche Cayenne e-Hybrid ทุกคัน รวมทั้งรุ่นตัวถังคูเป้ (coupe) ที่ให้ภาพลักษณ์สปอร์ตเต็มตัว ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติอัจฉริยะ 8 สปีด Tiptronic S ให้พละกำลังสูงสุด 136 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ความเร็วสูงสุดเมื่อใช้พลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ทำได้ที่ 135 กม./ชม. ตอบสนองต่อการขับขี่ที่ต้องการกำลังเพิ่มขึ้น หรือในขณะที่เลือกใช้งาน Driving Modes ทั้งในโหมด Sport และ Sport Plus ด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายในที่แตกต่างกันในแต่ละรุ่น

สำหรับ Cayenne E-Hybrid ประจำการขุมพลังเครื่องยนต์เบนซินขนาดความจุ 3.0 ลิตร V6 Turbo 340 แรงม้า เมื่อผสานการทำงานทั้งสองระบบจะได้กำลังสูงสุดรวมกว่า 462 แรงม้า (340 กิโลวัตต์)

ในส่วนของ Cayenne Turbo S E-Hybrid ให้พละกำลังสูงสุดถึง 550 แรงม้า จากเครื่องยนต์เบนซิน 4.0 ลิตร V8 Twin Turbo นั่นหมายถึงพลังมหาศาลจะได้รับการปลดปล่อย เมื่อทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าถึงกว่า 680 แรงม้า

Mitsubishi-Outlander-PHEV-2020

8. Mitsubishi Outlander PHEV ราคา 1,749,000 บาท ระยะทาง 45 กิโลเมตร

Mitsubishi Outlander PHEV (มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี) เป็นรถ SUV ระดับพรีเมียมที่ประกอบในประเทศ ผสาน DNA และเทคโนโลยีรถยนต์ระดับตำนานของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส เข้าไว้ด้วยกัน เริ่มด้วย “Pajero” สุดยอดตำนานแห่งรถเอสยูวี “Mitsubishi Lancer Evolution” เจ้าแห่งสนาม “เวิลด์แรลลี่แชมเปี้ยนชิพ” (WRC) ที่มีเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ซูเปอร์-ออลวิลล์คอนโทรล (S-AWC) ที่เป็นหนึ่งในตำนานแห่งสมรรถนะ รวมทั้งยานยนต์พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตขึ้นเพื่อจำหน่ายจริงรุ่นแรกของโลกอย่าง “i-MiEV” (ไอ-มีฟ)

ดีไซน์ภายนอกที่โดดเด่น โฉบเฉี่ยว และหรูหราเหนือระดับ ดีไซน์ภายในประณีตทุกรายละเอียด ห้องโดยสารกว้างขวาง ทรงพลังด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ และเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.4 ลิตร แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ให้แรงม้าสูงสุด 305 แรงม้า สามารถวิ่งได้ด้วยไฟฟ้าล้วน ถึง 45 กิโลเมตร

ส่งกำลังผ่านโหมดการขับขี่ 3 รูปแบบ ได้แก่ โหมด EV (ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ) โหมด Hybrid (ขับเคลื่อนหลักด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า โดยมีเครื่องยนต์ทำหน้าที่ผลิตกระแสไฟฟ้าให้แก่มอเตอร์ไฟฟ้าคู่) และโหมด Parallel Hybrid (เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าทำหน้าที่ขับเคลื่อนตัวรถไปพร้อมกัน)

พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ซูเปอร์-ออลวิลล์คอนโทรล (S-AWC) ให้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเพียง 52.6 กม./ลิตร หรือ 1.9 ลิตรต่อ 100 กม. ตามมาตรฐาน NEDC

MR.CARRO หวังว่า 8 อันดับ รถยนต์ SUV และ Crossover แบบ Plug-In Hybrid ระยะทางวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนมากสุดในไทย ที่นำมาเสนอนั้น หากใครอยากได้ หรือกำลังตัดสินใจจะซื้ออยู่พอดี แต่งบไม่พอ! มาขายรถคันเดิมของคุณกับทาง CARRO สิ ได้ราคาดีที่สุด พร้อมปิดการขายภายใน 24 ชั่วโมง! กับ CARRO Express แค่คลิก -> https://th.carro.co/sell-car/express หรือจะ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

และอีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ ซื้อรถ คลิก -> https://th.carro.co/taladrod/allcar/carro 

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่หาไม่ได้ สามารถสั่งตามออเดอร์ได้ที่นี้ > https://th.carro.co/buy-car หรือโทร. 02-508-8690 อีกทั้งยัง Inbox เข้ามาสอบถามก็ได้เช่นกันได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง หรือทาง Line เชิญเลยครับที่ @carroautomall

หมายเหตุ : ข้อมูลสินค้า 8 อันดับข้างต้นนี้ เป็นข้อมูลสินค้าที่ Update ณ เดือนเมษายน 2564 เมื่อเวลาผ่านไปราคาและอันดับดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ โปรดสอบถามรายละเอียดหรือราคาล่าสุด ที่ตัวแทนจำหน่ายรถรุ่นนั้นๆ อีกครั้ง

10-Most-Valuable-Auto-Companies-In-The-World-2021

ในโลกของเรานี้มีบริษัทรถอยู่มากมาย บางยี่ห้อสามารถพาตัวเองขึ้นมาเป็นมูลค่าอันดับต้นๆ ของโลกได้ ต้องสั่งสมคุณภาพและมาตรฐาน เป็นที่น่าเชื่อถือของผู้ใช้รถได้ยาวนานนับหลายสิบปี หรือร้อยปี จนสามารถผลิตรถได้หลายล้านคันต่อปี และมีโรงงานผลิตกระจายอยู่ทั่วโลก ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่ธรรมดา ของบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ทั่วโลก

การที่บริษัทรถหลายแห่งได้รับความเชื่อใจจากลูกค้ามากมายทั่วโลก ก็ส่งผลให้มูลค่าของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์พุ่งขึ้นตาม นักลงทุนเชื่อว่าบริษัทฯ จะสามารถสร้างยอดขายและกำไรได้มาก นั่นก็หมายถึงเงินปันผลที่เขาจะได้รับก็มากไปด้วยเช่นกัน และในขณะเดียวกัน บริษัทรถที่มีปัญหาเกี่ยวกับตัวผลิตภัณฑ์ หรือลูกค้าเสียความเชื่อมั่น ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อผู้ถือหุ้น และฐานะทางการเงินของบริษัทโดยเลี่ยงไม่ได้

MR.CARRO ขอนำรายละเอียด 10 อันดับ บริษัทรถยนต์ มูลค่ามากที่สุดในโลก ประจำปี 2021 มาฝากทุกท่านครับ

Tesla-One-Million-Cars-Production

1. Tesla

Tesla มูลค่าบริษัท 582.93 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ

นับว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ก็ว่าได้ สำหรับ Tesla (เทสล่า) ที่ก่อตั้งบริษัทขึ้นมาเมื่อ 1 กรกฎาคม 2003 โดย Martin Eberhard และเพื่อนของเขา Marc Tarpenning ที่ต้องการสร้างรถยนต์ไฟฟ้าที่มาพร้อมกับความสปอร์ตและหรูหรา แล้วก็นำชื่อของ Nikola Tesla (นิโคลา เทสลา) ผู้ค้นพบวิธีการสื่อสารแบบไร้สาย ผู้ประดิษฐ์ขดลวดเทสลา ผู้ประดิษฐ์หลอดไฟแบบใช้ก๊าซให้แสงสว่าง เป็นต้น

ต่อมา Elon Musk (อีลอน มัสก์) เห็นว่าแนวคิดตรงกัน เลยเข้ามาลงทุนในบริษัทนี้ พร้อมกับผลิตรถยนต์ไฟฟ้าออกจำหน่าย โดยใช้เวลาเพียง 17 ปี ก็สามารถเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดของโลกได้

ทุกวันนี้ Tesla เปรียบได้กับตัวแทนของเทคโนโลยีรถยนต์แห่งอนาคต และ Elon Musk ยังเปรียบได้ว่าเป็น “ราชาแห่งรถยนต์ไฟฟ้า” ก็ว่าได้ เพราะไม่ว่าใครจะพูดถึงรถยนต์ไฟฟ้าในด้านไหนก็ตาม ผู้คนมักนึกถึงหน้าเขาเป็นอันดับต้นๆ อยู่ตลอดเวลา

Toyota-Century

2. Toyota

Toyota มูลค่าบริษัท 246.61 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ

จากบริษัทโรงงานทอผ้า Toyoda Automatic Loom Works ที่ก่อตั้งโดย Sakichi Toyoda ที่ได้ชื่อว่าเป็น “ราชานักประดิษฐ์” ของญี่ปุ่น ในปี 1929 ได้ขายสิทธิบัตรการผลิตเครื่องทอผ้าอัตโนมัติให้กับ Platt Brothers & Co ประเทศอังกฤษ พร้อมกับนำเงินทุนมาตั้งบริษัท Toyota Motor ลุยกับการผลิตรถยนต์อย่างเต็มตัว

โดย Kiichiro Toyoda (คิอิชิโร โทโยดะ) ทำหน้าที่รับช่วงต่อ เริ่มผลิตรถ Toyoda AA (โตโยด้า เอเอ) ออกจำหน่ายในปี 1936 จน Toyota (โตโยต้า) ก้าวขึ้นมาสู่อันดับ 1 ของโลกของยานยนต์ ที่ครองใจคนใช้รถไปทั่วโลก

แบรนด์รถในเครือ Toyota ได้แก่ Toyota, Lexus, Daihatsu, Hino และยังถือหุ้นใน Mazda กับ Subaru อีกด้วย

Bye-Bye-Volkswagen-Beetle

3. Volkswagen

Volkswagen มูลค่าบริษัท 173.46 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ

เป็นรถที่เกิดขึ้นในยุค Aldorf Hitler (อดอล์ฟ ฮิตเลอร์) หัวหน้าพรรคนาซี เป็นผู้นำประเทศ ในยุคเผด็จการฟาสซิสต์ขวาจัดตกขอบ ผู้สังหารหมู่ชาวยิวนับล้านคนและนำทัพเยอรมนีบุกไปหลายประเทศช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ในปี 1937 ได้มีแนวคิดสร้างรถยนต์สำหรับประชาชนขึ้น โดยตั้งชื่อว่า Volkswagen (โฟล์คสวาเกน) ตามภาษาเยอรมันที่คำว่า Volk แปลว่า ประชาชน ส่วน Wagen แปลว่า รถยนต์ รวมกันแล้วเป็น “รถยนต์ของประชาชน”

ปัจจุบัน แบรนด์รถในเครือ Volkswagen มีหลายยี่ห้อ ได้แก่ Volkswagen, Porsche, Audi, Bugatti, Bentley, Lamborghini, Skoda, Scania, MAN, Neoplan และ Ducati เป็นต้น

4. Daimler

Daimler มูลค่าบริษัท 102.65 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ

ชื่อ “Daimler” มาจากบริษัท Daimler Motoren Gesellschaft ของ Gottlieb Daimler (กอตต์ลีบ เดมเลอร์) ผู้ประดิษฐ์รถยนต์ 4 ล้อคันแรกของโลก ที่ถูก Wilhelm Maybach (วิลเฮลม์ มายบัค) เข้ามาสืบทอดกิจการต่อ

ในปี 1926 ได้รวมเข้ากับบริษัท Benz Cie & Co. จึงจับชื่อมาชนกัน แล้วขายรถในชื่อ Mercedes-Benz (เมอร์เซเดส-เบนซ์) ตั้งแต่ปี 1926 แต่ยังคงใช้ชื่อบริษัทว่า Daimler-Benz ก่อนจะเปลี่ยนเป็น Daimler-Chrysler เมื่อคราวรวมกิจการกับ Chrysler ในปี 1998 และกลับมาใช้ชื่อ Daimler AG อีกครั้งในปี 2007 หลังจากการแยกตัวของ Chrysler

แบรนด์รถในเครือ Mercedes-Benz ได้แก่ Mercedes-Benz, Smart, Maybach, AMG, Freightliner, Western Star, Bharat Benz, Setra, Fuso, Starliner

All-New-Chevrolet-Captiva-2019

5. GM

GM มูลค่าบริษัท 86.53 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ

GM (จีเอ็ม) หรือ General Motors เคยได้ชื่อว่าบริษัทรถที่ใหญ่ที่สุดในโลกมาก่อน จดทะเบียนครั้งแรกในวันที่ 16 กันยายน 1908 ในเมือง Flint รัฐ Michigan และบริหารงานโดย William C. Durant เจ้าของบริษัทผลิตรถม้า ดูแรนท์ ดอร์ท แคร์ริเอจ (Durant-Dort Carriage Company) ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ Buick (บูอิค) โดยมีผู้ร่วมก่อตั้งอย่าง Charles Stewart Mott เป็นผู้ริเริ่มนำบริษัทควบรวมกับ Buick และภายหลังเขาก็เป็นผู้ถือหุ้นเพียงคนเดียว ก่อนจะขยายกิจการด้วยการซื้อแบรนด์อื่นมารวมใน GM มากมาย

แบรนด์รถในเครือ GM ได้แก่ Chevrolet, Cadillac, Buick, GMC และ Holden

BYD-T3

6. BYD

BYD มูลค่าบริษัท 79.57 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ

BYD (บีวายดี) หรือ Build Your Dreams ก่อตั้งเมื่อปี 1995 โดย Wang Chuanfu เติบโตมาจากบริษัทผู้ผลิตแบตเตอรี่สำหรับมือถือ ต่อมาในปี 2002 BYD เข้าซื้อกิจการของบริษัท Tsinchuan Automobile หนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศจีน. ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น BYD Automobile Co.,Ltd.

ซึ่ง BYD นับตั้งแต่ปี 2008 เริ่มเน้นผลิตรถยนต์ไฟฟ้าออกมาจำหน่ายมากเป็นพิเศษ จนถึงขนาด Warren Buffet เข้ามาซื้อหุ้นของ BYD บริษัทแม่ถึง 10% (คิดเป็นเงิน ณ ตอนนั้นราว 230 ล้านเหรียญ) จัดได้ว่าเป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่เป็นอันดับ 1 ของโลก (ในแง่ความหลายหลายของผลิตภัณฑ์ มีทั้งรถยนต์ รถบัส รถบรรทุกไฟฟ้า และโรงงานผลิต เป็นต้น) ที่ในไทยก็มีตัวแทนจำหน่ายแล้ว

แบรนด์รถในเครือ BYD ได้แก่ BYD และ Denza เป็นต้น

BMW-Series-3-2019

7. BMW

BMW มูลค่าบริษัท 71.70 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ

BMW (บีเอ็มดับเบิลยู) ถือกำเนิดขึ้นในปี 1916 ที่เยอรมนี โดยวิศวกรเครื่องกลชาวบาวาเรีย 2 คน คือ Carl Rapp และ Max Friz ซึ่งเริ่มต้นผลิตเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบิน โดยใช้ชื่อว่า Bayerische Flugzkugwerke AG แต่ในปี 1918 ก็เปลี่ยนมาผลิตรถยนต์แทน และเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Bayerische Motoren Werke AG ซึ่งแปลว่า งานผลิตรถยนต์ ของคนบาวาเรีย ซึ่งมีชื่อเสียงไปทั่วโลก

แบรนด์รถในเครือ BMW ได้แก่ BMW, Mini และ Rolls-Royce

All-New-NIO-ET7

8. NIO

NIO มูลค่าบริษัท 67.44 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ

NIO (นิโอ) นับเป็น Startup ด้านรถยนต์ไฟฟ้าที่เป็นดาวรุ่งพุ่งแรงที่สุดของจีนในเวลานี้ มาในรูปแบบของรถหรูไฮเทคคันแรกของค่าย อย่าง NIO ET-7 มีจุดเด่นที่ด้านการออกแบบ นวัตกรรม เทคโนโลยี แถมยังได้ชื่อว่าเป็น Tesla (เทสล่า) แห่งประเทศจีนอีกด้วย!

สำหรับ NIO ได้ถูกก่อตั้งขึ้นโดย William Li (วิลเลียม หลี่) หรือ หลี่ปิน มหาเศรษฐีที่ได้ชื่อว่าเป็น Elon Musk (อีลอน มัสก์) แห่งประเทศจีน! ก่อตั้งบริษัทสตาร์ทอัพด้านไอทีของตัวเองขึ้นมาตอนอายุ 21 จนถึงในปัจจุบัน ได้ลงทุนในอุตสาหกรรมไอที และรถยนต์ไปแล้วกว่า 40 บริษัท รวมทั้ง NIO รถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์นี้ ในเดือนพฤศจิกายน 2014

Peugeot-3008

9. Stellantis

Stellantis มูลค่าบริษัท 62.61 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ

หลายคนอาจงงว่า Stellantis (สเตแลนทิส) คือกลุ่มของบริษัทอะไร? MR.CARRO จะเล่าย้อนไปในช่วงที่ผ่านมา ได้มีการร่วมมือกันของ 2 ผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ คือ Groupe PSA (กรุ๊ป พีเอสเอ) และ FCA (เฟียต ไครสเลอร์ ออโตโมบิล) ควบรวมธุรกิจในสัดส่วน 50:50 เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2019 ภายใต้ชื่อใหม่ Stellantis (มาจากภาษาลาติน แปลว่า ดวงดาวอันเจิดจรัส สื่อถึงแรงบันดาลใจ) ส่งผลให้กลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก มีพนักงานทั้งหมดประมาณ 400,000 ชีวิต ในกว่า 130 ประเทศ

แบรนด์รถในเครือ Stellantis ได้แก่ Abarth, Alfa Romeo, Lancia, Maserati, Fiat, Citroen, DS, Peugeot, Chrysler, Jeep, Dodge, RAM, Opel และ Vauxhall

Ford-Mustang-Mach-E-2021

10. Ford

Ford มูลค่าบริษัท 59.52 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ

Ford (ฟอร์ด) บริษัท Ford Motor Company ถือกำเนิดขึ้นโดย Henry Ford ในปี 1903 ผู้ให้กำเนิดระบบสายพานการผลิต เข้ากับการผลิตยานยนต์ในจำนวนมากๆ และมีต้นทุนที่ถูกลงมา นับเป็นการปฏิวัติการผลิตเชิงอุตสาหกรรมของโลก ที่รถยนต์ทุกค่ายต้องหันมาทำตามหมด และยังมีอิทธิพลอย่างมากกับวัฒนธรรมสมัยใหม่ โดยนักทฤษฎีสังคมหลายคน ถึงกับเรียกประวัติศาสตร์เศรษฐกิจและสังคมช่วงนี้ว่า “แบบฟอร์ด” (Fordism) ซึ่งมีส่วนก่อให้เกิด “ชนชั้นกลาง” ขึ้นมาในสังคมอเมริกัน

แบรนด์รถในเครือ Ford ได้แก่ Ford และ Lincoln

Honda-Civic-Hatchback

11. Honda

Honda มูลค่าบริษัท 55.07 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ

Honda (ฮอนด้า) ก่อตั้งเมื่อปี 1948 โดย Soichiro Honda (โซอิชิโร ฮอนดา) ลูกช่างตีเหล็กแห่งเมืองฮารามัตสุ ผู้หลงไหลในยานยนต์ตั้งแต่อายุ 8 ขวบ และไม่เคยเรียนมหาวิทยาลัย ที่ได้ฉายาว่าเป็น Henry Ford ของญี่ปุ่น เริ่มต้นจากการตั้งสถาบันเทคโนโลยีฮอนด้า เริ่มผลิตรถจักรยานติดเครื่องยนต์ รถจักรยานยนต์ ก่อนที่จะก้าวมาสู่การผลิตรถยนต์ รวมไปถึงเครื่องตัดหญ้า เครื่องปั่นไฟ เครื่องยนต์เรือ เครื่องบินเจ็ท และขยายกิจการไปทั่วโลก

แบรนด์รถในเครือ Honda ได้แก่ Honda และ Acura

สำหรับใครที่กำลังอยากขายรถคันเดิมเวลานี้ สามารถขายรถคันเดิมของคุณกับทาง CARRO ดูได้ โดยได้ราคาที่ดีที่สุด รับประกันความพึงพอใจ พร้อมปิดการขายภายใน 24 ชั่วโมง! กับ CARRO Express แค่คลิก -> https://th.carro.co/sell-car/express หรือจะ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

และอีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ ซื้อรถ คลิก -> https://th.carro.co/taladrod/allcar/carro 

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่หาไม่ได้ สามารถสั่งตามออเดอร์ได้ที่นี้ > https://th.carro.co/buy-car หรือโทร. 02-508-8690 อีกทั้งยัง Inbox เข้ามาสอบถามก็ได้เช่นกันได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง หรือทาง Line เชิญเลยครับที่ @carroautomall

แหล่งที่มาจาก:

5-Secondhand-Diesel-Sedan-Cars

ถ้าจะให้พูดถึงรถมือสองในบ้านเรา ถ้าเป็นรถที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล หลายคนมักนึกถึงแต่รถกระบะ, รถ SUV หรือรถ MPV เท่านั้น แม้ว่าตลาดรถยนต์ในบ้านเรา จะมีรถยนต์ประเภทอื่นที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลด้วย เช่น รถเก๋ง เป็นต้น

Daihatsu-Charade-G11

สำหรับรถยนต์นั่งที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลเป็นเจ้าแรกๆ ในไทย ที่ยังอยู่ในความทรงจำของคนวัยเก๋า คงต้องยกให้ Volkswagen Golf Diesel (โฟล์คสวาเกน กอล์ฟ ดีเซล) และ Daihatsu Charade (ไดฮัทสุ ชาเรด) รหัส G11 ที่ทำตลาดด้วยเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 1.0 ลิตร แบบ 3 สูบ Turbo ในยุค 80 แต่ก็ไม่ได้เป็นที่นิยมมากนัก สุดท้ายก็หายไปจากตลาด

ก่อนที่ในช่วงประมาณกลางยุค 2000 รถเก๋งดีเซลจะกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง เริ่มด้วย Ford ที่ตัดสินใจนำ Focus เครื่องดีเซลมาขาย ก่อนที่อีกหลายๆ ค่าย ขอทำตามบ้าง

สำหรับจุดเด่นของเครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งให้พลังงานสูงกว่าน้ำมันเบนซิน เมื่อเปรียบเทียบกันหน่วยต่อหน่วย โดยน้ำมันเบนซิน 1 แกลลอน ให้พลังงาน 125,000 BTU แต่น้ำมันดีเซลให้พลังงาน 147,000 BTU ยิ่งเครื่องยนต์ดีเซลยุคใหม่ จ่ายน้ำมันด้วยระบบหัวฉีดแบบคอมมอนเรล จึงประหยัดเชื้อเพลิงมากกว่า 30% ให้แรงบิดมากกว่า 50% จึงเป็นที่นิยมอย่างมากในรถที่ขายแถบยุโรป

แม้ว่าเครื่องยนต์ดีเซล จะมีข้อดีในเรื่องของความประหยัด ทนทาน ให้แรงบิดสูง แต่ข้อด้อยก็เป็นในเรื่องความเสียงดังของเครื่องยนต์ หรือควันดำ แล้วก็โดนกระแสรถยนต์ Hybrid กลบจนหายไปอีก …

แต่ในตลาดรถมือสอง รถเก๋งดีเซล ยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง MR.CARRO จะมานำเสนอ 5 รถเก๋งดีเซลมือสองน่าใช้ ในราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ประจำปี 2020 – 2021 จะมีรุ่นไหนกันบ้าง ….

Ford-Focus-Diesel

1. Ford Focus TDCi

การนำ Ford Focus (ฟอร์ด โฟกัส) เครื่องยนต์ดีเซลออกมาขายหลังจากที่รถเก๋งดีเซลหายจากตลาดไทยไปนาน ก็สร้างเสียงฮือฮาได้ยกใหญ่ สำหรับ Focus Diesel รุ่นนี้ มี 2 รุ่นย่อยให้เลือก ได้แก่ Ghia แบบ 4 ประตูซีดาน และ Sport ในโฉม 5 ประตู

ใช้เครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.0 ลิตร แบบ Duratorq Turbo Diesel Commonrail ให้แรงม้าสูงสุด 136 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร ซึ่งตัวนี้มี Variable Nozzle Turbo (VNT) เพื่อเพิ่มพลัง พร้อมตอบสนองทันใจทุกความเร็ว

ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 6 สปีด (มีน้อย หายากหน่อย) และเกียร์อัตโนมัติ PowerShift 6 สปีด แบบดูอัลคลัตช์ (คลัตช์คู่) ที่ได้รับการพัฒนาโดย Getrag Ford Transmissions GmbH มีชื่อเสียงอันกระฉ่อน! เรื่องเกียร์กระตุก เกียร์พัง

ในส่วนของ Ford Focus Diesel ถือว่าเป็นรถมือสองที่เหมาะกับคนงบจำกัด เพราะมีราคามือสองอยู่ที่ 170,000 – 230,000 บาท แถมขับสนุก และประหยัดน้ำมันได้พอสมควร ทำได้ถึง 6-12 กม./ลิตร และยังเติมน้ำมันดีเซล B10 – B20 ได้ด้วย แค่เปลี่ยนกรองดีเซลบ่อยกว่าปกติ

ถ้าตรวจเปลี่ยนอะไหล่ตามระยะ ก็ใช้งานกันได้ยาวๆ อ่อ ต้องทดลองขับ ดูสภาพของเกียร์คลัทช์คู่รถรุ่นนี้ด้วยนะครับ อันนี้สำคัญ

Chevrolet-Cruze

2. Chevrolet Cruze

ด้าน GM เห็นคู่แข่งร่วมชาติอย่าง Ford ขายรถเก๋งเครื่องดีเซลแล้ว ก็มิอาจอยู่นิ่งเฉยได้ ต้องรีบส่ง Chevrolet Cruze (เชฟโรเลต ครูซ) เครื่องดีเซล ที่พัฒนาร่วมกับทาง Daewoo ให้เป็นรถ Global Compact Car หรือ รถคอมแพกต์ซีดานระดับโลก ที่ผ่านการพัฒนาบนถนนทุกสภาวะในโลกมาแล้วกว่า 6 ล้านกิโลเมตร มาเปิดตัวในไทยครั้งแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2553

ตัวรถภายนอกเน้นเส้นสายเฉียบคม แบบสปอร์ต ห้องโดยสารออกแบบในสไตล์ Dual Cockpit ซึ่งได้แรงบันดาลใจจาก Chevrolet Corvette และคล้ายกับค็อกพิทของห้องนักบิน สีดำสลับสีน้ำตาลส้ม ตำแหน่งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกบนแผงคอนโซลกลาง ใช้วัสดุหุ้มหนังตัดกับอลูมิเนียมทั้งคอนโซลกลาง และแผงข้างประตู พร้อมกับมีหน้าจอแสดงข้อมูลสำหรับผู้ขับขี่

และเทคโนโลยีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่อัดแน่นเต็มคัน ทั้งปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ พร้อมระบบ Keyless Entry) ระบบ Cruise Control ที่ติดตั้งอยู่บนพวงมาลัยแบบ 3 ก้าน พร้อมสวิทช์ควบคุมเครื่องเสียงวิทยุ และเครื่องเล่น CD โดยผู้ขับขี่ยังสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริมทั้ง AUX และ USB อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อผ่านระบบไร้สายแบบ Bluetooth ได้อีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ พร้อมไฟนำทางขณะเมื่อดับเครื่องยนต์

Chevrolet Cruze แบ่งเครื่องยนต์ออกได้เป็น 2 แบบ นั่นคือ …

  • รุ่นปี 2011 ขนาด 2.0 ลิตร แบบ 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว ให้แรงม้าสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิด 320 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ Driver Shift Control (DSC) พร้อมโหมด +/-
  • ส่วนในรุ่นปี 2012 ปรับใหม่ ขนาด 2.0 ลิตร แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ใช้แรงดันในการส่งเชื้อเพลิง 1,800 บาร์ แต่งพอร์ตไอดีใหม่ ปรับเพลาถ่วงสมดุลเพื่อลดเสียงและความสั่นสะเทือน ให้แรงม้าสูงสุด 163 แรงม้า ที่ 3,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 360 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ Driver Shift Control (DSC) พร้อมโหมด +/-

ในส่วนของ Cruze นั้น การขับขี่ก็ถือว่าดีในระดับหนึ่ง อัตราเร่งดีตั้งแต่รอบต่ำๆ เหมาะสำหรับใช้ขับออกทางไกล ประหยัดน้ำมันเฉลี่ย 8-16 กม./ลิตร ช่วงล่างดี เกาะถนนหนึบ แบบ Euro Ride เลย เสียงเครื่องอาจจะดังบ้างในรอบความเร็วต่ำ แต่ห้องโดยสารภายในก็ถือว่าเก็บเสียงได้ดี แต่วัสดุภายในรถ หลายจุดถ้าตากแดดบ่อยๆ มีพลาสติกละลายได้

หากใครจะเล่นรุ่นนี้ แม้ว่ารุ่นเครื่องยนต์ดีเซล ปัญหาจะน้อย แต่ก็ต้องเลือกรถคันที่สภาพเกียร์ดีหน่อย เพราะหลายปีก่อนหน้า ทำเอาคนใช้รุ่นนี้ บ่นกันเป็นแถว ว่าเป็นขวัญใจรถยก กับราคามือสองตอนนี้อยู่ประมาณ 160,000 – 220,000 บาท

Mazda2-Diesel-SkyActiv-D

3. Mazda2

นี่ก็สร้างความฮือฮาไปได้อีกรุ่น นับตั้งแต่ครั้งแรกของการเปิดตัวเลย สำหรับ Mazda2 (มาสด้า2) ที่จัดเต็มรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลเป็นครั้งแรกในไทย กับกลุ่มของรถ Sub-Compact เปิดตัวครั้งแรกในเดือนมกราคม 2558 ก็สร้างยอดขายได้อย่างน่าพอใจ

รุ่นนี้ชูจุดเด่นหลายอย่าง อาทิ ระบบ i-ELOOP เปลี่ยนพลังงานจากการลดความเร็วเป็นพลังงานไฟฟ้า ทำงานร่วมกับไดชาร์จแบบ 12-25 โวลต์ แบ่งไฟฟ้าที่ได้จากการเบรกและลดความเร็ว ไปเก็บในแบตเตอรี่ และบางส่วนส่งไปใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในรถ ทำงานร่วมกับระบบ i-Stop ดับเครื่องยนต์เมื่อจอดนิ่ง เมื่อทั้ง 2 ระบบทำงานร่วมกัน จะช่วยประหยัดน้ำมันได้ 10% เป็นต้น

สำหรับเครื่องยนต์เป็นแบบ SKYACTIV-D Clean Diesel ขนาด 1.5 ลิตร Variable Turbo Intercooler จ่ายน้ำมันด้วยหัวฉีดโซลินอยด์ ให้แรงม้าสูงสุด 105 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร ที่ 1,500-2,500 รอบ/นาที ให้อัตราสิ้นเปลืองดีสุด 26.3 กม./ลิตร พร้อมส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติ SKYACTIV-Drive 6 สปีด

มาระบบ Diesel Particulate Filter (DPF) หรือไส้กรองอนุภาคไอเสีย, Exhaust Gas Recirculation-EGR การนำไอเสียบางส่วนหมุนวนกลับเข้าสู่ห้องเผาไหม้ และ Selective Catalyst Reduction-SCR ใช้ของเหลวร่วมกับเครื่องแปรสภาพไอเสีย เปลี่ยนก๊าซในไอเสียให้ไม่เป็นอันตรายก่อนจะปล่อยออกสู่อากาศ เพื่อให้ Mazda2 เป็น Clean Diesel อย่างแท้จริง

ข้อดีของ Mazda2 Diesel นั่นก็คือความประหยัด ที่สุดๆ สามารถทำได้มากถึง 18-24 กม./ลิตร และแรงสะใจนั่นเอง เหมาะสำหรับคนที่เคยขับรถซีซีสูงๆ มาก่อน และต้องขับรถทางไกลเป็นประจำ

แต่ข้อด้อยหลายคนก็บอกว่า ถ้าจะใช้งานในเมืองอาจไม่เหมาะ เนื่องจากไส้กรองอนุภาคไอเสีย DPF จะมีเขม่าตันเร็ว หากคุณขับรถด้วยความเร็วรอบเครื่องต่ำเป็นประจำ จะทำให้เครื่องยนต์มีอาการสั่นได้ กับราคามือสองตอนนี้อยู่ประมาณ 340,000 – 450,000 บาท

BMW-320d-F30

4. BMW Series-3

ขึ้นชื่อว่ารถค่ายใบพัดฟ้าขาว ที่ขับแล้วรู้สึกกระฉับกระเฉง เหมือนวัยรุ่นรักความสปอร์ตแบบนี้ … รุ่นที่เราจะมาแนะนำ จะเป็น BMW Series-3 (บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 3) ในรหัส F30 รุ่นเครื่องยนต์ดีเซล ที่เปิดตัวขายกันตั้งแต่ปี 2012 – 2019 ที่มีราคาในตลาดรถมือสองประมาณ 850,000 – 1,000,000 บาท

เป็นรถที่เปิดตัวในบ้านเราตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ให้เลือก ถึง 3 สไตล์ ทั้งแบบ Modern, Luxury และ Sport โดยรถยนต์ Lot แรก นำเข้ามาจากเยอรมัน ต่อมาจึงผลิตที่โรงงาน BMW ใน จ.ระยอง และนำเข้ารุ่น 320d Touring มาเสริมคนชอบรถแนวแวกอนในช่วงปลายปี 2555

และในปี 2556 เปิดตัว 320d GT ในตัวถัง Fastback เป็นครั้งแรก โดยช่วงแรกนำเข้าจากเยอรมนี ต่อมาจึงประกอบในไทย มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย คือ Luxury และ Sport

ใช้ขุมพลังดีเซลรหัส N47D20 ขนาด 2.0 ลิตร คอมมอนเรล Turbo Intercooler แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 184 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 380 นิวตัน-เมตร ที่ 1,750-2,750 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ให้อัตราเร่งดี ขับสนุก เกาะถนนดี ทำความเร็วได้สูงสุด 230 กม./ชม.

Mercedes-Benz-C250-CDI-2011

5. Mercedes-Benz C-Class

ขึ้นชื่อว่ารถค่ายดาวสามแฉกแล้ว ขับแล้วสาวๆ กรี้ดแน่นอน … รุ่นที่เราจะมาแนะนำ จะเป็น Mercedes-Benz C-Class (เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซี-คลาส) ในรหัส W204 รุ่นเครื่องยนต์ดีเซล ที่เปิดตัวขายกันตั้งแต่ปี 2007 – 2014

โดยชูแนวคิดประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมมาตรฐานความปลอดภัยครบครัน ในรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล ที่น่าสนใจจะมีทั้งในตัวก่อน และตัวไมเนอร์เชนจ์ ที่มีราคาในตลาดรถมือสองประมาณ 600.000 – 800,000 บาท

สำหรับในรุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์ เราขอแนะนำ C 220 CDI ที่มีจุดเด่นอยู่ที่เครื่องยนต์ดีเซล ขนาด 2.2 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว Turbo Intercooler ซึ่งพัฒนามาจากรุ่นเดิม ให้กำลังสูงสุด 170 แรงม้า (เดิม 150 แรงม้า) ที่ 3,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ที่ 2,000 รอบ/นาที ซึ่งมากกว่ารุ่นเดิม 18%

เร้าใจด้วยอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 8.4 วินาที ขณะที่ความเร็วสูงสุดทำได้ 227 กม./ชม. ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์แบบวันทัช (On-touch Shift) สามารถเลือกจังหวะเปลี่ยนเกียร์ได้ด้วยตัวเอง ด้านอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันโดยเฉลี่ย 15 กม./ ลิตร

ส่วนในรุ่นไมเนอร์เชนจ์ เราขอแนะนำ C 250 CDI BlueEFFICIENCY AVANTGARDE ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซลแบบ 4 สูบแถวเรียง ขนาด 2.2 ลิตร Twin Turbo Intercooler ผลิตกำลังสูงสุดถึง 204 แรงม้า พร้อมแรงบิดถึง 500 นิวตันเมตร ที่ 1,600 – 1,800 รอบ/นาที ให้อัตราเร่งจาก 0 – 100 กม./ชม.โดยใช้เวลาเพียง 7.0 วินาที อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเพียง 15.62-17.24 กม./ลิตร มาพร้อมกับระบบเกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 7 สปีด (7G-TRONIC PLUS)

ส่วนใครที่อยากขายรถ เพื่ออยากลองใช้รถเก๋งดีเซลคันใหม่ดูบ้าง CARRO เรารับซื้อรถของคุณ สามารถเข้าไปเช็คราคา ตีราคาขายรถก่อนได้ โดยใส่ข้อมูลรถของคุณที่นี่เลย กับ CARRO Express > https://th.carro.co/sell-car/express หรือโทร. 02-508-8425

หรือใครจะ Inbox มาสอบถามก็ได้เช่นกัน ที่ Facebook CARRO Thailand หรือสะดวก Add Line ก็ที่ @carrothai หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

ถ้าจะให้พูดถึงตลาดรถมือสองในบ้านเรานั้น ด้วยเงื่อนไขราคาและสภาพของรถ ถือว่ามีตัวเลือกเยอะมาก เริ่มต้นกันตั้งแต่ราคาระดับหลักหมื่น ไปจนถึงหลักล้านบาท ซึ่งงบประมาณที่ว่ามานี้ ไม่เกิน 1 ล้านบาท สามารถซื้อรถญี่ปุ่นในระดับ Compact Car ป้ายแดงได้เลยทีเดียว

แต่งบก้อนเดียวกันนี้ หลายคนบอก “ไปเล่นรถยุโรปมือสองดีกว่า” ก็สามารถลงมาเล่นรถยุโรปมือสองที่ปีไม่เก่ามาก ได้อีกเหมือนกัน! อีกทั้งยังเป็นเครื่องบ่งบอกถึงฐานะทางสังคมได้อีกด้วย จากแบรนด์รถยนต์ระดับพรีเมี่ยมแบรนด์อันหลากหลาย ดูแพงดูมีราคา

สำหรับงบไม่เกิน 1 ล้านบาท หากคุณเป็นเจ้าของกิจการ ก็ซื้อเงินสดได้เลย หรือจะเป็นมนุษย์เงินเดือน ก็สามารถผ่อนดาวน์ได้ไม่ยาก อาจจะซื้อเป็นรถคันแรก หรือรถคันที่สองก็ย่อมได้ และก็อาจจะเป็นรถที่คนวัย 30+ ขึ้นไป เริ่มมองหารถยนต์ที่ดูเหมาะกับหน้าที่การงานอันมั่นคง หรือมีครอบครัวแล้ว แต่ได้รถแบรนด์ดี ขับแล้วดูดีราคา ขับใช้งานได้ทุกวัน

โดยปกติแล้ว รถแบรนด์ยุโรป คุณภาพการประกอบถือว่าดีกว่ารถญี่ปุ่น แต่ก็มีข้อด้อยอย่างเรื่องระบบอิเลกทรอนิกส์ ที่อาจจะต่างจากรถญี่ปุ่นโดยบางอย่างอาจใช้เฉพาะในสเปครถเมืองหนาว การ Service ต้องระวัง หลายอย่างถ้าแตกหักขึ้นมามีราคาแพงทีเดียว

ส่วนในเรื่องของค่าบำรุงรักษานั้น จะบอกว่าแพงกว่ารถญี่ปุ่นแน่นอน แต่ก็ไม่มากกว่ากันเท่าไหร่ อะไหล่บางชิ้นที่ถูกกว่าก็มี ถ้าคุณดูแลรถเป็น มีอู่นอกที่ไว้ใจได้ โอกาสที่ซ่อมแล้วไม่บานปลายก็มาก

MR.CARRO จะเล่าให้ฟังกัน ว่ามีงบ 1 ล้านบาท ซื้อรถยุโรปมือสองรุ่นไหน ถึงเหมาะกับการใช้งาน!

BMW-Series-3-F30

1. BMW Series 3 (F30)

BMW Series-3 (บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 3) ในรหัส F30 นับได้ว่าเป็นรถ Compact Car ยอดนิยมของคนไทยจริงๆ อีกทั้งยังถือว่าเป็นเจเนอเรชั่นที่ 6 นับตั้งแต่มีการเปิดตัวมาตั้งแต่ปี 1975 ที่ยังคงได้รับความนิยมจากตลาดรถยนต์ในไทยทุกยุคทุกสมัย

สำหรับ BMW Series-3 รุ่นนี้ เปิดตัวในเยอรมนีครั้งแรกเมื่อ 14 ตุลาคม 2011 และเปิดตัวในไทยเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2555 โดยรุ่นแรกมีเฉพาะตัวรุ่นย่อย 320d Sport / Modern / Luxury ที่นำเข้าจากเยอรมนี ก่อนจะประกอบในประเทศ CKD ต่อมา

และในช่วงเดือนพฤศจิกายนปี 2555 จึงได้เพิ่มรุ่นย่อยใหม่ 320i Sport / Modern / Luxury และ 328i Sport

ในโฉมที่มีราคามือสองเริ่มต้นไม่เกิน 1 ล้านบาท โดยส่วนมากแล้ว จะเป็นรถประมาณปี 2011 – 2013

สำหรับ BMW Series-3 โฉมนี้ มีมิติตัวรถใหญ่ขึ้นกว่าเดิมทุกมิติ อีกทั้งยังลดน้ำหนักลงในจุดต่างๆ ทำให้รถรุ่นนี้กลับมีน้ำหนักเบากว่ารุ่นก่อนถึง 40 กิโลกรัม (ขึ้นอยู่กับแต่ละรุ่น)

และยังมาพร้อมเครื่องยนต์เทอร์โบ TwinPower โดยใน 3 รุ่นหลักๆ ทั้ง 320i, 328i และ 320d มีทั้งเครื่องยนต์เบนซิน และรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล รายละเอียดตามนี้

ในรุ่น 320i ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร มาพร้อมกับ BMW TwinPower Turbo 4 สูบแถวเรียง ให้แรงม้าสูงสุด 184 แรงม้า ที่ 5,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 270 นิวตัน-เมตร ที่ 1,250-4,500 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 7.3 วินาที ประหยัดน้ำมันเฉลี่ย 16.9 กม./ลิตร

ในรุ่น 328i ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร มาพร้อมกับ BMW TwinPower Turbo 4 สูบแถวเรียง ให้แรงม้าสูงสุด 218 แรงม้า ที่ 4,700 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร ที่ 1,250-4,250 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 6.4 วินาที ประหยัดน้ำมันเฉลี่ย 15.9 กม./ลิตร

ส่วน 320d ใช้เครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.0 ลิตร มาพร้อมกับ BMW TwinPower Turbo 4 สูบแถวเรียง ขนาด 2.0 ลิตร ให้แรงม้าสูงสุด 184 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 380 นิวตัน-เมตรที่ 1,750-2,750 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 7.6 วินาที ประหยัดน้ำมันเฉลี่ย 21.7 กม./ลิตร

เอาเป็นว่าไลฟ์สไตล์ใครชอบแบบไหน ชอบแรง ชอบประหยัด เชิญเลือกซื้อได้ตามอัธยาศัย …

BMW-Series-5-F10

2. BMW Series 5 (F10)

BMW Series-5 (บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 5) ในรหัส F10 เหมาะสำหรับคนชอบรถใหญ่ขึ้นมาหน่อย ออกแนวผู้บริหารนั่ง ซึ่งยังคงความเป็นเอกลัษณ์ของ BMW กับกระจังหน้าไตคู่ หลังคาลาดแบบสปอร์ต และเส้นขอบหน้าต่างบานหลังหักมุมในแบบ “Hofmeister Kink” แต่ก็มีราคาเริ่มต้นที่ไม่เกิน 1 ล้านบาทแล้วเช่นกัน แม้ว่าตอนเปิดตัวใหม่ จะมีราคาสูงมากถึงหลายล้านบาทเลยทีเดียว!

สำหรับ BMW Series-5 รุ่นนี้ เปิดตัวในไทยเมื่อกลางเดือนกรกฎาคม 2553 โดยรุ่นแรกมีเฉพาะตัวรุ่นย่อย 530d และ 535i ที่นำเข้าจากเยอรมนี ต่อมาจึงเปิดตัว BMW 523i รุ่นประกอบในประเทศ โดยมี 2 รุ่นย่อย ประกอบด้วย BMW 523i และ BMW 523i Highline

ในช่วงเดือนพฤศจิกายนปี 2553 จึงได้เพิ่มรุ่นย่อยใหม่ 520d และ 525d ซึ่งเข้ามาแทนที่ 530d รุ่นนำเข้า โดยทั้ง 2 รุ่นเป็นรุ่นประกอบในประเทศ

ต่อมาในปี 2555 เปิดตัวรุ่นย่อยใหม่ในรุ่นเครื่องเบนซินอย่าง 520i, 528i, และ 528i Sport โดยทั้ง 3 รุ่น เข้ามาจำหน่ายแทน 523i

ในโฉมที่มีราคามือสองเริ่มต้นไม่เกิน 1 ล้านบาท จะเป็นรถประมาณปี 2010 – 2012 รุ่นที่น่าสนใจ ก็จะมีประมาณนี้ ในงบไม่เกิน 1 ล้านบาท …

BMW 520d มาพร้อมกับเครื่องยนต์ Advanced Diesel แบบ 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร ให้แรงม้าสูงสุด 184 แรงม้า (เพิ่มขึ้น 7 แรงม้า หรือ 4% จากรุ่นก่อนหน้า) แรงบิดสูงสุด 380 นิวตันเมตร ที่ 1,900-2,750 รอบ/นาที (เพิ่มขึ้น 30 นิวตัน-เมตร หรือ 9% จากรุ่นก่อนหน้า)ส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติ 8HP 8 สปีด มีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายในเวลา 8.1 วินาที ประหยัดน้ำมันเฉลี่ย 19.2 กม./ลิตร (ดีขึ้น 8%)

สำหรับ BMW 525d มาพร้อมกับเครื่องยนต์ Advanced Diesel แบบ 6 สูบ ขนาด 3.0 ลิตร ให้แรงม้าสูงสุด 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,500 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 8HP Sports Automatic 8 สปีด มีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายในเวลา 7.2 วินาที อัตราประหยัดน้ำมันเฉลี่ย 16.4 กม./ลิตร

มาพร้อมกับเทคโนโลยี EfficientDynamics ที่เหนือชั้นของบีเอ็มดับเบิลยู เช่น ระบบ Brake Energy Re-Generation และระบบ Active Aerodynamics

และ BMW 523i ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบแถวเรียง ขนาด 2.5 ลิตร ให้แรงม้าสูงสุด 204 แรงม้า พร้อมระบบวาล์วแปรผันอัจฉริยะ Valvetronic ส่งกำลังสู่ล้อหลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ 8.5 วินาที (เร็วขึ้น 7%) อัตราประหยัดน้ำมันเฉลี่ย 12.5 กม./ลิตร

Mercedes-Benz-C-Class-W204

3. Mercedes-Benz C-Class (W204)

Mercedes-Benz C-Class (เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซี-คลาส) รหัสรุ่น W204 จัดว่ามีราคามือสองในปี 2563 ที่จับต้องได้เลย เริ่มต้นประมาณ 5 แสนบาทก็พร้อมเป็นเจ้าของได้แล้ว อีกทั้งยังเป็นรถที่ปีไม่เก่ามาก และช่างเบนซ์หลายอู่สามารถซ่อมได้ง่าย ซ่อมไม่ยาก

โฉมนี้เปิดตัวครั้งแรกในไทยเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2550 โดยนำเข้ารุ่น C 200 Kompressor และ C 230 Kompressor ในรุ่น C 200 Kompressor ให้แรงม้าที่เพิ่มขึ้นจากเดิม 163 แรงม้า เป็น 184 แรงม้า ซึ่งมากขึ้นถึง 13% และการเพิ่มขึ้นของแรงบิดกว่า 18%

ต่อมาในเดือนมกราคม 2551 เปิดตัว C 200 Kompressor Elegance และ C 200 Kompressor Avantgarde พร้อมชูประเด็นเรื่องระบบความปลอดภัย PRE-SAFE ที่ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน และความปราดเปรียวในการขับขี่ Agillity Control

และในปี 2553 เปิดตัว C 200 CGI BlueEFFICIENCY และ C 250 CDI BlueEFFICIENCY Avantgarde กับเครื่องยนต์ใหม่ล่าสุด

สำหรับ C200 มาพร้อมกับขุมพลังเบนซินขนาด 1.8 ลิตร แบบ 4 สูบแถวเรียง 16 วาล์ว ให้แรงม้าสูงสุด 184 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที ให้แรงบิดสูงสุดถึง 250 นิวตันเมตร ที่ 2,800-5,000 รอบ/นาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 8.8 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ 230 กม./ชม. สั่งงานด้วยระบบส่งกำลังเกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 5 สปีด พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์แบบ One-touch Shift

ในส่วนของ C250 มาพร้อมกับขุมพลังดีเซลคอมมอนเรลเจเนเรชั่นที่ 4 ขนาด 2.1 ลิตร แบบ 4 สูบแถวเรียง Turbo ให้แรงม้าสูงสุด 204 แรงม้า ที่ 4,200 รอบ/นาที ให้แรงบิดสูงสุดถึง 500 นิวตันเมตร ที่ 1,600-1,800 รอบ/นาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 7 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ 240 กม./ชม.

ต่อมาในเดือนกรกฎาคมปี 2554 เปิดตัวไมเนอร์เชนจ์ ประเดิมด้วย C 200 BlueEFFICIENCY 184 แรงม้า และ C 250 CDI BlueEFFICIENCY 204 แรงม้า และยังมีรุ่นย่อยที่แรงสุดอย่าง C300 4Matic ใช้ขุมพลังแบบ V6 ขนาด 3.0 ลิตร มีแรงม้าสูงสุด 228 แรงม้า ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด 7G-TRONIC PLUS ให้เลือกอีกด้วย …

Mercedes-Benz-E-Class-W212

4. Mercedes-Benz E-Class (W212)

Mercedes-Benz C-Class (เมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาส) รหัสรุ่น W212 จัดได้ว่าเป็นเบนซ์รุ่นยอดนิยมมากอีกหนึ่งรุ่น รูปลักษณ์ได้รับอิทธิพลมาจากรถต้นแบบที่ชื่อ Concept Fascination ที่เปิดตัวใน Paris Motorshow 2008 และยังคงรูปลักษณ์ของไฟหน้าแบบดวงคู่ฝั่งละ 2 ดวง เพียงแต่เปลี่ยนจากทรงกลมรี มาเป็นแบบสี่เหลี่ยมไม่เท่ากัน ที่เรียกว่า Rhomboid Headlamps แทน

นับว่าเป็นรถมือสองที่เหมาะสำหรับคนชอบรถใหญ่ รถหรู แนวผู้บริหารมากๆ ราคามือสองในปี 2563 ประมาณ 6 แสนบาทกลางๆ ก็หามาเป็นเจ้าของกันได้แล้ว

ในเดือนสิงหาคม 2552 เปิดตัว E 500 เครื่องยนต์ขนาด 5.5 ลิตร 388 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด อัตราเร่ง 0 – 100 กม./ชม. ที่ 5.2 วินาที ให้ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม.

วันที่ 13 พฤศจิกายน 2552 เปิดตัว E 250 CGI BlueEFFICIENCY Avantgarde เพิ่ม โดยเป็นการนำเข้าทั้งคันก่อน

เดือนมกราคม 2553 เปิดตัว E-Class รุ่นประกอบในประเทศ เป็นรุ่น E300 Avantgarde มีรูปทรงที่ให้ค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.27 ทำให้เป็นยนตรกรรมหรูที่ลู่ลมมากที่สุด ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ 7 สปีด 7G-Tronic พร้อมกับ Direct Select สามารถเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ได้ที่พวงมาลัยอีกด้วย

ในปี 2555 เพิ่มระบบเกียร์ใหม่ ที่เหมาะทุกการขับขี่ ระบบส่งกำลังเป็นเยี่ยม 7G-Tronic Plus

สำหรับ E250 มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.8 ลิตร ให้แรงม้าสูงสุด 204 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที ให้แรงบิดสูงสุด 310 นิวตันเมตร ที่ 2,000 – 4,300 รอบ/นาที พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่ 7.8 วินาที ให้ความเร็วสูงสุด 238 กม./ชม.

โดยในรุ่น E300 ที่เราแนะนำนั้น มาพร้อมกับเครื่องยนต์แบบ V6 ขนาด 3.0 ลิตร ให้แรงม้าสูงสุด 219 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที ให้แรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตร ที่ 2,500 – 5,000 รอบ/นาที พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่ 7.4 วินาที ให้ความเร็วสูงสุด 247 กม./ชม.

Mini One Hatch

5. MINI One / MINI Cooper / MINI Clubman / MINI Countryman

MINI (มินิ) รถเล็กในตำนานยอดนิยมตลอดกาล ที่มีแฟนๆ ทั้งในไทยและทั่วโลก เป็นรถที่ขับสนุก เกาะถนนดี เหมือนขับรถโกคาร์ท อีกทั้งยังมีให้เลือกกันมากมายหลายแบบ ด้วยดีไซน์คลาสสิกเป็นเอกลักษณ์หลักของมินิ ตามปรัชญาการดีไซน์ “From Original To Original” กับพัฒนาการทางเทคโนโลยีใหม่ๆ ด้วยกำลังเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังที่เหนือกว่าเดิม

นับตั้งแต่เปิดตัว MINI ครั้งแรกในไทยเมื่อ 2545 จวบจนปัจจุบัน MINI มือสอง ราคาไม่เกินล้าน มีให้เลือกด้วยกันหลายรุ่น เช่น

  • MINI One รหัส R50 เครื่องยนต์ขนาด 1.4 ลิตร Tritec รหัส W10 90 แรงม้า
  • MINI Cooper รหัส R50 เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร Tritec รหัส W10 115 แรงม้า
  • MINI Cooper S รหัส R53 เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร Supercharged รหัส W10 163 แรงม้า/ 170 แรงม้า (รุ่น LCi เปิดตัวมีนาคม 2548)
  • MINI One รหัส R5ุ6 เครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร Prince รหัส N14 95 แรงม้า (เปิดตัวเดือนมิถุนายน 2550)
  • MINI Cooper / S รหัส R56 เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร รหัส N14 120 แรงม้า / 175 แรงม้า (เปิดตัวเดือนมีนาคม 2550)
  • MINI Clubman / S /D รหัส R55 เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร รหัส N14 120 แรงม้า / 175 แรงม้า / ดีเซล 110 แรงม้า
  • MINI Cooper / S รหัส R56 เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร รหัส N16 122 แรงม้า / 184 แรงม้า (รุ่น LCi เปิดตัวเดือนพฤศจิกายน 2553)
  • MINI Cooper D / SD รหัส R56 เครื่องยนต์ดีเซล 1.6 ลิตร รหัส N47 112 แรงม้า / ดีเซล 143 แรงม้า (เปิดตัวเดือนมีนาคม 2555)
  • MINI Countryman / S / SD รหัส R60 เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร รหัส N16 122 แรงม้า / 184 แรงม้า (เปิดตัวเดือนพฤศจิกายน 2553) และดีเซล 143 แรงม้า

MR.CARRO ยกตัวอย่างมาให้ดูกัน 5 รุ่น 5 สไตล์ หวังว่าคงถูกใจกันไม่มากก็น้อย ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับงบประมาณของคุณด้วยล่ะครับ ที่ถึงแม้ว่าซื้อรถราคาคันละเกือบ 1 ล้านบาท ก็ยังต้องตั้งงบไว้สำหรับซ่อมบำรุง ตรวจเปลี่ยนอะไหล่ต่างๆ ด้วยนะครับ

ส่วนถ้าใครเป็นคนชอบรถ Option เยอะๆ ก็ต้องรู้ตัวว่าตัวเองว่า Option ที่รถมีอยู่นั้น ตัวเองมีโอกาสได้ใช้มากน้อยแค่ไหน? ถ้าใช้เยอะก็เลือกได้ แต่ถ้าไม่ค่อยได้ใช้ ก็เลือกรุ่นถูกลงมาหน่อยก็ได้ เพราะ Option เหล่านี้ มักจะเป็นระบบไฟฟ้าซะส่วนมาก ซึ่งเวลามันรวนแล้ว ค่าใช้จ่ายในการซ่อมหรือเปลี่ยนนี่ บานเลยล่ะคุณ …

Carro Automall / คาร์โร ออโต้มอลล์

CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน อยากซื้อรถคุณภาพเยี่ยม มาซื้อกับ CARRO Automall สิ! เราพร้อมตอบโจทย์คุณด้วยคอนเซปต์ “click.buy.drive.” คุณสามารถจองรถได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น! พร้อมคำนวณสินเชื่อและค่างวด ได้ภายในเว็บไซต์ทันที!

ซึ่งรถทุกคันผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check มากกว่า 200 จุด และยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” ฟีเจอร์ใหม่ล่าสุดในการดูรถเสมือนจริง เป็นรายแรกของธุรกิจรถมือสองในประเทศไทย คุณสามารถดูรูปรถ Mazda2 ทั้งภายนอก ภายใน กันได้แบบ 360 องศา รวมถึงยังสามารถฟังเสียงเครื่องยนต์จากรถคันที่คุณสนใจได้อีกด้วย!

เพราะเรามั่นใจในคุณของรถยนต์ทุกคัน เราจึงกล้ารับประกันคุณภาพรถนานถึง 2 ปี หรือ 20,000 กิโลเมตร! อีกทั้งยังการันตีความพึงพอใจ คืนเงินได้ภายใน 5 วันอีกด้วย! ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ CARRO Automall สิ!

ส่วนใครที่ฝันอยากจะเป็นเจ้าของรถเบนซ์มือสอง หรือบีเอ็มมือสอง รุ่นใดรุ่นหนึ่ง แต่งบไม่พอ! มาขายรถกับ CARRO Express สิ! Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

Covid-19-Motivate-Electric-Car-Growth-Up-In-Thailand

เมื่อวันที่ 17 มิถุนายนที่ผ่านมา สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย ร่วมกับ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ฯ จัดเสวนาออนไลน์เรื่อง “แนวโน้มและการปรับตัวอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าไทย หลังวิกฤต โควิด-19” เพื่อนำเสนอมุมมองของผู้ผลิต จากผู้บริหารค่ายรถชั้นนำ ซึ่งต่างนำเสนอเป็นเสียงเดียวกันว่า ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าไทย หลังจากหมดโควิด-19 จะได้รับความสนใจจากผู้บริโภคมากขึ้น จึงต้องการให้รัฐบาลหันมาสนับสนุน

ในการสัมมนา มี ดร.ยศพงษ์ ลออนวล นายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทยและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ, กฤษฎา อุตตโมทย์ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารกิจการองค์กร บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย, สมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) และสรรเพชญ ตั้งเสาวภาคย์ รองประธานสายงานวางแผนองค์กรและกลยุทธ์การตลาดและขาย บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นวิทยากร

ภายในการสัมมนาออนไลน์ครั้งนี้ ทาง ดร.ยศพงษ์ ลออนวล นายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทยและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ เผยว่า ไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้น มีสิ่งที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน นั่นคือ ปัญหาฝุ่น PM2.5 หายไป ส่วนหนึ่งมารถที่หายจากท้องถนนไปเยอะ

ซึ่งทำให้เห็นชัดเจนว่า รถยนต์ไฟฟ้ามีความสำคัญ ที่จะมาแก้ปัญหามลพิษบนท้องถนนของประเทศไทยในอย่างถาวร โดยอยากให้ประชาชนร่วมมือสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้าให้มากขึ้น เพื่อรักษามลภาวะสิ่งแวดล้อม

MINE-SPA1-2019

ด้าน สมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA เผยว่า หากภาครัฐมีการส่งเสริมการลงทุนที่ชัดเจน จะทำให้ค่ายรถยนต์ต่างๆ ลงทุนกับรถยนต์ไฟฟ้าในไทยมากขึ้น ซึ่งภาพรวมเศรษฐกิจตอนนี้ยังไม่ดีนัก ค่ายรถยนต์จึงจำเป็นต้องปรับการผลิต ซึ่งการลงทุนดังกล่าวจะช้าหรือเร็วคงต้องรอดูต่อไป

อีกทั้งสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับลดลงอย่างมากในช่วง COVID-19 หรือฝุ่น PM2.5 ลดลง ปัจจัยเหล่านี้เป็นมุมที่สะท้อนให้คนเร่งหันไปใช้พลังงานสะอาด หรือพลังงานไฟฟ้าในระยะยาวมากขึ้น

BMW-i8

ด้าน กฤษฎา อุตตโมทย์ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารกิจการองค์กร บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ชี้ให้เห็นว่า เมื่อผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 ไปแล้ว จะช่วยเร่งการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้ามากยิ่งขึ้น เนื่องจากค่ายรถยนต์ต่างมีเทคโนโลยี มีกลยุทธ์ใหม่ๆ ประกอบกับระบบสาธารณูปโภคในไทยที่เริ่มรองรับรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น

โดยสิ่งที่จะกระตุ้นตลาดในไทยก็คือความต้องการซื้อ ภาครัฐต้องสร้างแรงจูงใจ เช่น การส่งเสริมการลดภาษีฯ การเพิ่มที่ชาร์จไฟฟ้าสาธารณะให้มากขึ้น จากปัจจุบันที่มีสถานีชาร์จประมาณ 500 สถานี 700 หัวจ่าย พร้อมทั้งขยายโมเดลรถยนต์ไฟฟ้า ไปยังระบบขนส่งสาธารณะ เช่น รถเมล์ เพื่อช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมทั้งหมด

Nissan-Leaf-2019

ขณะที่ สรรเพชญ ตั้งเสาวภาคย์ รองประธานสายงานวางแผนองค์กรและกลยุทธ์การตลาดและขาย บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เผยว่า ขณะนี้ Nissam (นิสสัน) ในประเทศญี่ปุ่นเองก็ยังไม่มีนโยบายชัดเจนว่า ญี่ปุ่นจะปรับตัวมีรถยนต์ไฟฟ้า 100 % เมื่อไร แต่ทาง Nissan มีเทคโนโลยี และมีรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) ต้นแบบมานานแล้ว

อ่านเพิ่มเติม : Nissan Hypermini : รถ EV ของเล่นคนรวยรักษ์โลก ในยุค 2000

ซึ่งในประเทศไทย Nissan ขอนำเสนอระบบ e-Power ไปก่อน จนกว่ารัฐจะมีความชัดเจนในการสนับสนุนให้เกิดรถ BEV

ส่วนใครที่ฝันอยากจะเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าสักคัน ก็ลองขายรถคันเดิมแล้วเอาเงินไปซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้ดู เพียงลงขายรถคันเดิมง่ายๆ ได้ที่ Link นี้เลย https://th.carro.co/sell-car/express ให้ราคาดี รับเงินไว ปิดการขายได้ใน 24 ชั่วโมง หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook Carro Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand คลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

BMW-218i-Gran-Coupe-M-Sport

BMW Group ประเทศไทย ได้ฝ่าฟันกับอุปสรรคทางเศรษฐกิจทั้งในประเทศและในระดับโลก สู่ภาพรวมของผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ด้วยสถิติส่งมอบรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูและมินิจำนวน 12,954 คัน ลดลงเล็กน้อยจากปีก่อนหน้าที่ 1% แต่นับว่าเป็นอัตราที่ดีกว่าตลาดโดยรวมในช่วงเวลาเดียวกัน

BMW ปิดฉากปี 2562 ด้วยอดการส่งมอบรถยนต์รวม 11,750 คัน ทำผลงานอยู่ในระดับเดียวกับเซกเมนต์รถยนต์พรีเมียม ปี 2562 ยังเป็นปีที่ BMW สร้างผลงานล้ำหน้าในเซกเมนต์รถหรูด้วยยอดขายจาก BMW ซีรีส์ 7, BMW ซีรีส์ 8, BMW X7 และ BMW i8 ที่เติบโตโดยรวมที่ 39% เมื่อเทียบปีต่อปี และสำหรับรถยนต์ที่ผ่านการใช้งานแล้วตามโปรแกรม BMW Premium Selection มีอัตราการเติบโตที่ 16% เมื่อเทียบปีต่อปี

ในขณะเดียวกัน มินิ ยังสร้างปีแห่งปรากฏการณ์ด้วยยอดส่งมอบรถยนต์ 1,204 คัน โตขึ้นถึง 15% จากปีก่อนหน้า นับเป็นยอดการเติบโตที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับตลาดมินิทั่วโลก

BMW-218i-Gran-Coupe-M-Sport

ผลการดำเนินธุรกิจในระดับโลกของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ยังคงสร้างสถิติความสำเร็จสูงสุดอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 ติดต่อกันในปี 2562 ที่ผ่านมา ด้วยยอดการส่งมอบรถยนต์ บีเอ็มดับเบิลยู มินิ และโรลส์-รอยซ์ รวมทั้งหมด 2,520,307 คัน เพิ่มขึ้นกว่าปีก่อนหน้า 1.2% ถือเป็นอีกหนึ่งปีที่ BMW และ BMW Motorrad ทำยอดขายทั่วโลกสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ส่วนกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าก็เติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยได้ส่งมอบรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และรถยนต์พลังงานไฟฟ้า จากทั้ง BMW และ Mini ไปแล้วถึง 500,000 คัน

BMW-218i-Gran-Coupe-M-Sport

รถยนต์ในกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปัจจุบันมีสมาชิกในไลน์อัพรวมทั้งหมด 12 รุ่น ซึ่งยอดขายจากทั้งบีเอ็มดับเบิลยู และมินิได้เติบโตขึ้น 2.2% จากยอดการส่งมอบ 145,815 คันในปีที่ผ่านมา และได้ตั้งเป้าขยายทัพรถยนต์ในกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าให้ครบ 25 รุ่นภายในปี 2566 โดยกว่าครึ่งของจำนวนนี้จะเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าล้วน 100%

และ BMW ยังได้เปิดตัว BMW 218i Gran Coupe M Sport ใหม่ ในราคา 2,399,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และโปรแกรมบำรุงรักษา BSI Standard)

BMW-218i-Gran-Coupe-M-Sport

BMW 218i Gran Coupe M Sport รุ่นแรกในประวัติศาสตร์ มาพร้อมกับ Concept Coupe 4 ประตู ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในรุ่นรถที่สูงกว่า พร้อมให้ได้ยลโฉมเป็นครั้งแรกใน Segmant รถยนต์ Premium Compact มอบอีกหนึ่งทางเลือกที่โก้หรูยิ่งขึ้นให้กับรถยนต์ซีดานรุ่นคลาสสิคนี้ แบบเดียวกับในรถยนต์ BMW ซีรี่ส์ 6, ซีรี่ส์ 4, และ ซีรี่ส์ 8 กับรายละเอียดเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร

บีเอ็มดับเบิลยู 218i Gran Coupe M Sport ดีไซน์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากรถยนต์คูเป้รุ่นคลาสสิค เช่น กระจกประตูข้างแบบไร้กรอบทั้ง 4 ประตู ด้านรูปลักษณ์สปอร์ตโหลดเตี้ยทรงกว้าง พร้อมช่วงหน้าอันปราดเปรียว ดูแปลกตาน่าค้นหากว่าเคย ส่วนไฟหน้าสี่ตาอันเป็นเอกลักษณ์ทำมุมเล็กน้อย เสริมความโดดเด่นให้กับกระจังหน้ารูปไตที่มาพร้อมกับซี่กระจังซึ่งให้ความรู้สึกมีมิติยิ่งกว่า มาพร้อมอุปกรณ์มาตรฐานไฟหน้า LED

BMW-218i-Gran-Coupe-M-Sport

เส้นสายอันเฉียบคมด้านข้างตัวรถของ BMW 218i Gran Coupe M Sport เน้นย้ำสัดส่วนอันปราดเปรียวและความเรียบหรูอันเป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู คูเป้ รุ่นหลัง เส้นโค้งของหลังคาที่ทอดตัวอย่างสง่างาม พร้อมทรงหน้าต่างและเส้นข้างตัวรถที่ยาวขึ้น ส่งให้ตัวรถดูโฉบเฉี่ยวเปรียวยาว ในขณะที่ตัวรถด้านข้างบริเวณเสา C โดดเด่นชัดเจน พร้อมเส้นโค้งอันทรงพลังของล้อหลัง และไฟท้ายเพรียวบางที่ลาดออกในแนวนอน ควบคู่ชิ้นส่วนสีดำ High-gloss Black ที่เชื่อมต่อไฟท้ายทั้งสองส่วนสู่ตราสัญลักษณ์บีเอ็มดับเบิลยูตรงกลาง

BMW-218i-Gran-Coupe-M-Sport

แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะดูสปอร์ตปราดเปรียว ผู้โดยสารยังคงเพลิดเพลินไปกับพื้นที่ใช้สอยอันยืดหยุ่น ด้วยที่เก็บของท้ายรถซึ่งรองรับปริมาตรการบรรจุได้ถึง 430 ลิตร สามารถปรับขยายได้หลากหลายรูปแบบ และยังมาพร้อมกับล้ออัลลอยน้ำหนักเบาขนาด 18 นิ้ว และหลังคาพาโนรามิคขนาดใหญ่ ที่สามารถเปิดออกด้านนอกได้ไม่จำกัดระดับ พร้อมโหมดระบายอากาศไฟฟ้า

BMW-218i-Gran-Coupe-M-Sport

ภายในห้องโดยสารของบีเอ็มดับเบิลยู 218i Gran Coupe M Sport ผสมผสานความหรูหราด้วยวัสดุชั้นเยี่ยมและพื้นที่ใช้สอยที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองทั้งไลฟ์สไตล์ครอบครัวและการเดินทางระยะยาว ส่วนภายในห้องโดยสารฝั่งคนขับ ส่งมอบข้อมูลสำคัญในการขับขี่ให้ผู้ขับได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่จำเป็นต้องละสายตาจากถนนด้วยหน้าจอ และแผงหน้าปัด Instrument Cluster ขนาด 5.1 นิ้ว รวมไปถึงจอสัมผัส Control Display ขนาด 8.8 นิ้ว ที่ตั้งอยู่กลางคอนโซลทำมุมเข้าหาคนขับเล็กน้อยตามแบบฉบับของบีเอ็มดับเบิลยู

BMW-218i-Gran-Coupe-M-Sport

การออกแบบที่เน้นผู้ขับยังถูกเสริมด้วยแถบสีที่พาดผ่านตรงเข้าสู่ที่นั่งคนขับ และรายละเอียด graining effects แบบต่างๆ รวมไปถึงพื้นผิวที่หลากหลายของแผงหน้าปัดและบริเวณหลังพวงมาลัย โดยแถบสีบริเวณแผงหน้าปัดและกรอบประตูมาในลาย ‘Illuminated Boston’ ด้านพวงมาลัย M Sport และเบาะที่นั่งตอนหน้าดีไซน์สปอร์ตหุ้มหนังแท้ Dakota พร้อมรูระบายอากาศ ดูสปอร์ตโฉบเฉี่ยวขึ้นอีกขั้น

BMW-218i-Gran-Coupe-M-Sport

BMW 218i Gran Coupe M Sport ใช้ขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ให้กำลังสูงสุด 140 แรงม้า มอบแรงบิดสูงสุด 220 นิวตันเมตร ที่ 1,480-4,200 รอบ/นาที ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 8.7 วินาที และความเร็วสูงสุดที่ 215 กม./ชม. ทำงานควบคู่เกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด Steptronic แบบคลัทช์คู่

ถ้าคุณอยากขายรถคันเดิม เอารถมาขายกับทาง CARRO สิ ลงประกาศขายรถฟรี เรารับซื้อรถมือสอง โดยได้ราคาที่คุณพอใจ พร้อมปิดการขายภายใน 24 ชั่วโมง! กับ CARRO Express แค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือจะ Inbox สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน