รถสตาร์ทไม่ติด

รถสตาร์ทไม่ติด พยายามบิดกุญแจยังไงก็สตาร์ทไม่ได้

หลาย ๆ คนที่มีรถอาจเคยประสบเหตุการณ์เช่นนี้หลายต่อหลายครั้ง และถ้าหากเป็นเวลาเร่งรีบด้วยแล้ว ยิ่งทำให้หงุดหงิดใจแน่นอน สำหรับปัญหาหลักของอาการสตาร์ทไม่ติด ส่วนมากจะมาจาก 4 สาเหตุ นั่นก็คือ

1. รถสตาร์ทไม่ติด เพราะแบตเตอรี่เสื่อม

อาการแบตเตอรี่เสื่อมเพราะตัวแบตไม่สามารถเก็บประจุไฟฟ้าไว้ได้นาน มีการรั่วไหลของแบตจนหมดในระยะเวลาอันสั้น อาการเสื่อมก็มีหลายระดับไม่เท่ากัน เสื่อมน้อยก็อาจจอดทิ้งเกิน 8 ชม. ขึ้นไปเริ่มสตาร์ทยาก ถ้าแบตเสื่อมมากเพียงแค่ 2-3 ชม. ก็อาจสตาร์ทรถไม่ติดเลย สัญญาณเตือนอาการแบตเสื่อมเบื้องต้นคือ รถเริ่มสตาร์ทยาก มีเสียงแชะ ๆ ลากยาวกว่าจะสตาร์ทติด หลังการจอดรถทิ้งไว้ แก้ปัญหาเบื้องต้นคือขอพ่วงแบตกับคันอื่น

2. รถสตาร์ทไม่ติด เพราะไดชาร์จเสื่อม

หากไดชาร์จเสื่อมไม่มาก เมื่อจอดทิ้งเอาไว้แล้วสตาร์ทรถไม่ติดเช่นกัน แก้ปัญหาเบื้องต้นด้วยการพ่วงแบต แต่เราเช็กไดชาร์จเสื่อมได้ง่าย ๆ โดยให้รถสตาร์ททิ้งไว้สักครู่ แล้วถอดขั้วแบตออกสักหนึ่งข้าง หากรถดับทันทีหรือมีอาการไฟตก รถกระตุก ชัดเจนว่าสาเหตุจากไดชาร์จเสื่อม เพราะหน้าที่ของไดชาร์จคือปั่นกระแสไฟเลี้ยงรถยนต์และชาร์จเก็บเข้าแบตเตอรี่ หากถอดขั้วแบตออกไฟจากไดชาร์จก็ยังเลี้ยงระบบไฟรถได้คือยังปรกตินั่นเอง

รถสตาร์ทไม่ติด
3. รถสตาร์ทไม่ติด เพราะมอเตอร์สตาร์ทเสื่อม

หากสตาร์ทรถไม่ติดเลย ลองพ่วงแบต หรือนำแบตเตอรี่ลูกใหม่มาเปลี่ยนก็ไม่หาย แต่เข้าไปดูที่แผงหน้าปัดก็มีไฟติด สตาร์ทแล้วยังมีเสียงแชะ ๆ (หรือเงียบสนิทก็ได้) ให้พุ่งเป้าไปที่มอเตอร์สตาร์ทมีปัญหา เตรียมควักเงินในกระเป๋ามากกว่าปรกติแน่นอน เพราะต้องพึ่งรถลาก หรือบริการซ่อมนอกสถานที่

4. รถสตาร์ทไม่ติด เพราะระบบไฟฟ้ารถมีปัญหา

ความจริงแล้วระบบไฟฟ้ารถมีปัญหานั้นเกิดยากสักหน่อย แต่ก็เป็นไปได้ อาการก็ดูง่าย ๆ ว่าบิดกุญแจแล้วไฟที่แผงหน้าปัดไม่มีอะไรขึ้นเลย หากก่อนหน้านี้จอดทิ้งรถไว้นาน ๆ มีกรณีหนูเข้ามากัดสายไฟมาแล้ว
เมื่อเกิดปัญหารถสตาร์ทไม่ติดก็อย่าลืมตรวจเช็คปัญหาของรถยนต์ให้ครบถ้วนนะคะ และทางที่ดีอย่าลืมดูแลรักษารถยนต์ให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ ถ้าหากว่าคุณไม่ต้องการเป็นกังวลในเรื่องของรถยนต์สตาร์ทไม่ติด สามารถใช้บริการเช่ารถยนต์กับ Drivemate ได้ทันทีเพราะเรามีรถยนต์คุณภาพไว้คอยให้บริการ

อ้างอิงข้อมูลจาก : car.kapook.com,

ล้างอัดฉีด....หรือ....ล้างรถแบบธรรมดา-อันไหนดี

“ล้างอัดฉีด” ต่างหรือดีกว่ากันอย่างไร กับการล้างรถปกติ

วันนี้มีบทความดีๆ ที่จะมาพูดถึงเกี่ยวกับการล้างรถมาฝากทุกคนกันค่ะ เพราะการล้างรถเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมสุดโปรดของใครหลายคน แต่กลับกันอีกหลายคนก็อาจถอนใจ.. เฮือกใหญ่ๆ ก็ได้ การออกไปล้างรถหลายคนอาจเคยผ่านตากับร้าน “ล้างอัดฉีด” อาจคงสงสัยว่ามันต่างกัน หรือดีกว่ากันอย่างไร กับการล้างรถแบบปกติ

เมื่อรถสกปรกคนส่วนมากก็จะล้างรถแบบปกติ ตามร้านล้างรถทั่วไปที่เราเห็น โดยที่จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับห้องเครื่องยนต์ เพราะอาจเกิดปัญหากับระบบไฟของตัวรถได้ ทำให้หลายคนสงสัยว่า แล้วการล้างอัดฉีดจะเกิดผลเสียต่อเครื่องยนต์หรือไม่

ล้างอัดฉีด ล้างรถปกติ

ซึ่งจริงๆ แล้วเราก็ไม่ควรฉีดน้ำแบบแรงๆ หรือฉีดน้ำล้างห้องเครื่องโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้ระบบไฟฟ้าพัง และได้รับความเสียหายจากเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงเข้าไปทำให้ระบบไฟฟ้าอาจจะรวนหรือเสียหาย ซึ่งทางที่ดีที่สุด คือ ล้างสีดูดฝุ่นก็เพียงพอแล้ว

นอกจากนี้การเลือกร้านล้างรถที่ได้มาตรฐานก็จะเป็นการถนอมรถยนต์สุดรักของคุณอีกด้วย โดยปกติ ร้านล้างรถ ที่มีคุณภาพจะไม่ล้างห้องเครื่องโดยใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง แต่จะใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อขจัดคราบในห้องเครื่องแทน ทิ้งไว้สักครู่ แล้วใช้แปรงขัดถูเพื่อทำความสะอาด จากนั้นใช้น้ำจากสายยางแรงดันธรรมดาล้างออกให้สะอาด

แต่สำหรับคนที่เพิ่งนำรถไปลุยโคลนลุยฝุ่นมา แล้วต้องการอยากจะ ล้างอัดฉีด เพียงแค่ อัดล้างฉีดที่ใต้ท้องรถ ซุ้มล้อ ฯลฯ อย่างเดียวก็เพียงพอแล้ว ห้ามฉีดน้ำล้างห้องเครื่องโดยเด็ดขาด และข้อควรระวังคือ ไม่ควรล้างห้องเครื่องในขณะที่เครื่องยนต์ร้อนอยู่ ถือว่าอันตรายเป็นอย่างมาก ฉะนั้น ควรปล่อยให้เครื่องยนต์เย็นลงสักพักก่อนแล้วค่อยล้างห้องเครื่อง

ข้อมูลจาก Drivemate

Drivemate คือทุกจุดหมายเรื่องรถของคุณ หากคุณต้องการเช่ารถยนต์ไม่ว่าจะเพื่อการท่องเที่ยว การใช้รถเพื่อทำธุระสำคัญหรือต้องการใช้รถเพื่อโอกาสสำคัญอื่นๆ สามารถใช้บริการเช่ารถยนต์ผ่านทางแอปพลิเคชันหรือเว็ปไซต์ของ Drivemate

ยางรถยนต์

หากรถยนต์ของคุณถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนยางรถใหม่
แต่..หากต้องเปลี่ยนพร้อมกัน 4 เส้น อาจเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องคิดกันหนักทีเดียว

วันนี้ คาร์โร มีเคล็ดลับให้ประหยัดเรื่องการเปลี่ยนยางซึ่งการเปลี่ยนยางที่เหมาะสมจำเป็นต้องเปลี่ยนอย่างน้อย 2 เส้น หรือทีละคู่ และแน่นอนคำถามต่อมาของหลายๆ คน คือ ยางรถยนต์ใหม่ที่ซื้อมาเราควรต้องใส่ไว้ด้านหน้าหรือด้านหลังดี

ซึ่งหลายคนก็ยังมีความเชื่อว่าควรต้องนำยางเส้นใหม่มาไว้ที่ด้านหน้าเสมอ เพราะเหตุผลที่ว่าเวลาเบรกจะไม่ลื่นไถล แต่เมื่อเราวิเคราะห์ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว ยางรถยนต์ใหม่ต้องใส่ไว้ที่ล้อคู่หลังเสมอ

เพราะว่าเวลาที่เราเหยียบเบรก น้ำหนักจะถ่ายเทไปด้านหน้า ทำให้ล้อคู่หน้ามีแรงกดเพิ่มขึ้น และช่วยให้ยางยึดเกาะถนนมากขึ้น เพราะน้ำหนักที่มากขึ้นจะทำให้ยางเสียดสีและบดไปกับพื้นถนน

ยางรถยนต์ ล้อหลัง

ส่วนล้อหลัง แรงที่ถ่ายเทไปข้างหน้าจะทำให้ท้ายรถยกตัวขึ้น ล้อหลังจะลอยขึ้นจากพื้น ทำให้การยึดเกาะถนนน้อยลง เมื่อเวลาที่เราเหยียบเบรกแรงๆ ก็จะเกิดอาการหน้าทิ่มท้ายยก จึงทำให้ประสิทธิภาพการยืดเกาะถนนลดลง

ดังนั้น ล้อหลังจึงจำเป็น และต้องการการยึดเกาะถนนมากกว่า เพราะไม่มีน้ำหนักของเครื่องยนต์มาช่วยกดทับให้หน้ายางสัมผัสกับพื้นผิวถนน

ฉะนั้น แล้วเราควรใส่ยางรถยนต์ใหม่ไว้ที่ล้อคู่หลังดีที่สุด ซึ่งยางรถยนต์ใหม่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนได้ดีกว่า ช่วยลดปัญหาเรื่องอาการท้ายปัด หรือล้อหลังล็อคไว้ดีเป็นอย่างดี รวมไปถึงกรณีในการเข้าโค้งแรงๆ ยางรถยนต์ใหม่ก็จะช่วยให้ล้อหลังมีการยึดเกาะที่ดีขึ้นอีกด้วย และสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนได้ดีและช่วยลดอุบัติเหตุ

ยางรถยนต์

หลังจากเมื่อเราเปลี่ยนยางรถยนต์ใหม่แล้ว เราก็ควรตรวจเช็กสภาพของยาง แรงดันลมยาง ( อยากรู้เรื่องลมยางรถยนต์ อ่านต่อ คลิก > https://th.carro.co/blog/tire-pressure/) และเช็กความผิดปกติของยาง และแก้มยาง (อยากรู้สัญลักษณ์ต่างๆ บนแก้มยางคืออะไร? อ่านต่อ คลิก > https://th.carro.co/blog/symbol-in-tire/) ไม่ว่าจะเป็นยางแบน หรือยางมีรอยรั่ว เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง และเพื่อนร่วมทางอีกด้วยค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก : Drivermate