4-วิธีเอาตัวรอดจากอุบัติเหตุ-“รถตกเขา

ขับรถบนเขาให้ปลอดภัยได้ด้วยวีธีเหล่านี้

หากย้อนกลับไปเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว เราจะนึกถึงข่าวที่ 2 นักศึกษาไทยขับรถตกเขาที่สหรัฐอเมริกาจนเสียชีวิต ซึ่งแน่นอนว่าข่าวนี้ได้สร้างความสะเทือนใจเป็นอย่างมาก แต่ก็นั่นแหละค่ะ ถ้ามองในแง่ความเป็นจริงแล้วก็รอดยาก หรือหากมีผู้รอดชีวิตจริง ก็คงจะมีแค่ 1 ใน 10 เท่านั้น

วันนี้ คาร์โร จึงอยากมาให้ความรู้เรื่องการเอาตัวรอด เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถตกเขาเพื่อให้เป็นข้อมูลที่คุณสามารถนำไปใช้ได้ในยามฉุกเฉินค่ะ

4 วิธีเอาตัวรอดจากอุบัติเหตุ “รถตกเขา”

อะไรที่เป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ“รถตกเขา”

เมื่อพบเจอ หรือเกิดอุบัติเหตุ คนส่วนใหญ่ก็มักจะถามหาสาเหตุว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ซึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุรถตกเขา มีทั้งหมด 4 ประการด้วยกัน คือ สภาพรถยนต์ ความเร็ว เส้นทางที่ไม่คุ้นเคย และทัศนวิสัย

  • สภาพรถยนต์

โดยเฉพาะรถใหญ่อย่างรถบรรทุก หรือรถโดยสารประจำทางที่ต้องตรวจสภาพเบรกให้พร้อมเสมอ เพราะน้ำหนักที่บรรทุกมาจะเกิดความหน่วงเวลาที่เบรก หรือเลี้ยวโค้งได้

  • ความเร็ว

ความเร็วที่ใช้ในการขับขี่เป็นสิ่งสำคัญที่ห้ามละเลย เพราะยิ่งเราขับเร็วขึ้นเท่าไหร่ เราก็จะมีเวลาในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าน้อยลงเท่านั้น

  • เส้นทางที่ไม่คุ้นเคย

การขับรถไปในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคยก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รถเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ เพราะบางที Google map ก็ไม่ได้พาเราไปถึงจุดหมาย แต่พาเราไปไหนต่อไหนก็ไม่รู้

  • ทัศนวิสัย

อาทิ การขับรถตอนฝนตกหนัก ถนนลื่น หรือทางข้างหน้ามีการซ่อมแซมพื้นผิวถนนโดยที่คุณไม่รู้มาก่อน เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ นับเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุได้ทั้งสิ้น

อุบัติเหตุไม่เลือกสถานที่ ไม่เลือกเวลา ไม่เลือกบุคคล และไม่บอกกล่าวก่อนล่วงหน้า เราจึงไม่มีทางรู้ได้เลยว่าอุบัติเหตุจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่  ฉะนั้น 4 สิ่งที่คุณควรตระหนัก และทำตามอย่างเคร่งครัด เพื่อให้คุณปลอดภัย และรอดชีวิตจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้
4 วิธีเอาตัวรอดจากอุบัติเหตุ “รถตกเขา”

  • คาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้งก่อนขับรถ

อย่าชะล่าใจ คิดว่ามีถุงลมนิรภัยแล้วจะทำอะไรก็ได้ เพราะถุงลมนิรภัยจะมีเฉพาะบริเวณด้านหน้าเท่านั้น อีกทั้งถุงลมนิรภัยยังถูกออกแบบมาเพื่อลดแรงกระแทก แล้วยุบตัวลงทันที เพื่อกันไม่ให้เราถูกอัดจนหายใจไม่ออก

ดังนั้น การคาดเข็มขัดนิรภัยจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรทำ เพราะมันจะช่วยดึงรั้งตัวเราไม่ไห้ไปกระแทกกับกระจกหน้ารถ

  • สำรวจการบาดเจ็บเมื่อรถหยุด หรือนิ่งแล้ว

เมื่อรถหยุด หรือนิ่งแล้ว หากคุณยังพอมีสติ และเคลื่อนไหวได้ คุณควรสำรวจตัวเอง และคนที่นั่งไปด้วยว่าได้รับบาดเจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า หรือมีช่องทางที่เราจะออกจากรถได้หรือไม่ แล้วค่อยออกมาขอความช่วยเหลือ

  • ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ

หากคุณเกิดเคลื่อนไหวไม่ได้ หรือออกจากรถไม่ได้ ก็ให้คุณตะโกนขอความช่วยเหลือ หรือหาวัสดุมาเคาะให้เกิดเสียงดัง เป็นไปได้ให้พยายามเคาะตลอดเวลา เพราะเราไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่า จะมีคนมาได้ยินคุณเคาะเวลาไหน

  • ติดต่อบริษัทประกันภัย เพื่อช่วยดูแลค่ารักษา และค่าซ่อมรถ

เมื่อคุณได้รับการช่วยเหลือแล้ว ก็ให้คุณติดต่อทั้งบริษัทประกันภัยรถยนต์ และบริษัทประกันชีวิต เพื่อให้ทั้ง 2 บริษัทช่วยดูแลคุณในเรื่องค่ารักษาพยาบาล และค่าซ่อมแซมรถยนต์

ทั้งนี้ สิ่งที่คุณควรทำมากที่สุดไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แต่เป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เพราะเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาแล้ว ก็นับว่าเป็นความสูญเสียทั้งสิ้น

อาจไม่ได้สูญเสียบุคคลที่เรารัก แต่เป็นการสูญเสียทรัพย์สินเงินทองที่คุณต้องหมดไปกับค่ารักษาพยาบาล และค่าซ่อมแซมรถยนต์ ดังนั้น คุณจึงควรดูแลสภาพร่างกาย สภาพจิตใจ และสภาพรถยนต์ให้พร้อมก่อนเดินทางนะคะ

 

แบตเตอรี่รถยนต์

วิธีการเลือกและรักษา “แบตเตอรี่” รถยนต์
ที่ช่วย Save อายุแบตเตอรี่ และ Save เงินในกระเป๋า

เชื่อว่าคนมีรถทุกคน ต้องเคยประสบปัญหาตอนขับรถ แล้วอยู่ๆ “แบตเตอรี่” ดันหมดกลางทาง จนรถดับไปดื้อๆ ทำให้ชีวิตในวันนั้นทั้งวันต้องหยุดชะงักและวุ่นวายไปหมด ตามมาด้วยการเสียเงินที่มากกว่าปกติ จากค่าลากรถเข้าอู่ ต้องซื้อแบตฯ ก้อนใหม่กะทันหัน ค่าเปลี่ยนแบตฯ หรือซ่อมอย่างอื่นเพิ่มเติม blah blah blah ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อรถและอารมณ์ของเราเอาซะเลย แถมยังสั่นคลอนเงินในบัญชีไปอีก

แต่เราสามารถเลี่ยงปัญหาทั้งหมดนี้ได้ เพียงแค่เรามีความรู้เบื้องต้น 8 ข้อ เกี่ยวกับ “แบตเตอรี่” รถยนต์ ที่จะช่วยเพิ่มความเข้าใจในการเลือกแบตฯ ที่เหมาะสมกับรถ รู้จักการใช้งานและการรักษาแบตเตอรี่อย่างถูกต้อง แค่นี้ เราก็สามารถขับรถได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องกลัวรถดับกลางทาง ไม่ต้องเสียเงิน เสียเวลา หรืออารมณ์เสียโดยใช่เหตุ!

1.อย่ารอให้แบตเตอรี่เสื่อม จนสตาร์ทรถไม่ติด

คุณควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ตามระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งถ้าเป็นแบตเตอรี่แบบเปียก (มีช่องกลมๆ ไว้ให้เปิดเติมน้ำกลั่นและต้องดูแลสม่ำเสมอ) หรือแบบกึ่งแห้ง (ส่วนใหญ่จะถูกซีลปิดไว้ ไม่เห็นช่องเติมน้ำกลั่น และไม่ต้องดูแลมาก) มักมีอายุการใช้งานเฉลี่ยไม่เกิน 2-3 ปี

แต่ถ้าเป็นแบตเตอรี่แบบแห้งที่มีราคาสูงมาก จะมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าเท่าตัวหรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับการใช้งานและการดูแลรักษา โดยทุกครั้งเมื่อเราเปลี่ยนแบตเตอรี่ ร้านค้าหรืออู่ซ่อมรถจะทำสัญลักษณ์ไว้ที่แบตเตอรี่เพื่อระบุระยะเวลาเริ่มการรับประกัน ซึ่งเราก็สามารถเอาไว้เช็คได้ด้วยว่า แบตเตอรี่จะถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนเมื่อไร

 

2.ตรวจสภาพแบตเตอรี่เป็นประจำ

ถึงแม้ปัจจุบันแบตเตอรี่รถยนต์บางประเภทอาจไม่จำเป็นต้องได้รับการดูแลเลยตลอดอายุการใช้งาน (Maintenance Free) แต่คุณก็ควรตรวจเช็กสภาพแบตเตอรี่อย่างน้อยทุกๆ 2 ปี โดยเฉพาะเมืองไทยที่มีสภาพอากาศร้อนตลอดทั้งปี (เพราะความร้อนจะส่งผลให้แบตเตอรี่ทุกแบบเสื่อมเร็วขึ้น)

ทั้งนี้ หากรถเริ่มมีอาการสตาร์ทเอื่อย ๆ หรือระบบไฟทั้งหมดให้ความสว่างน้อยลง นั่นเป็นสัญญาณเตือนว่าแบตเตอรี่อาจมีกำลังไฟน้อย ควรตรวจสอบโดยเร็วว่ามาจากสาเหตุใด และแม้ว่ารถยนต์จะสามารถพ่วงแบตเตอรี่ได้ แต่มักจะมีผลเสียต่อรถยนต์เสมอ

 

3.เลือกแบตเตอรี่ที่มีขนาดพอดีกับรถ

ทุกครั้งที่เปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ โดยเฉพาะเมื่อร้านนำมาเปลี่ยนให้  ควรตรวจสอบหรือย้ำให้แน่ใจว่า แบตเตอรี่ใหม่นั้นมีขนาดที่ถูกต้องและสามารถวางได้พอดีกับฐานแบตเตอรี่รถของคุณ โดยดูได้จากคู่มือประจำรถหรือสอบถามจากร้านที่จำหน่ายได้โดยตรง หรือถ้ายังไม่แน่ใจให้ย้ำไปเลยว่านำมาใช้กับรถยี่ห้อ-รุ่นปีอะไร

 

4.เลือกความจุแบตเตอรี่ให้เหมาะสม

สำหรับการเลือกเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ เราสามารถยึดตามของเดิมได้เลย (ถ้าไม่แน่ใจว่าของเดิมคือรุ่นไหน ให้เช็คจากคู่มือประจำรถ) และไม่ควรลดขนาดความจุของแบตเตอรี่หรือแอมป์ลงโดยเด็ดขาด เพราะผู้ผลิตรถยนต์คำนวณแอมป์ที่เหมาะสมกับการใช้งานของรถยนต์รุ่นนั้น ๆ ไว้แล้ว และไม่ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ให้มีแอมป์สูงเกินกำหนดเช่นกัน หากไม่ได้ติดตั้งอุปกรณ์พิเศษเพิ่มเติม เช่น เครื่องเสียงหรืออุปกรณ์อำนวยความสะดวกอื่น ๆ

แบตเตอรี่หมด

5.เลือกแบตเตอรี่ที่ให้กำลังสตาร์ทเพียงพอ

กำลังสตาร์ทที่ว่า จะถูกระบุด้วยค่า CCA (Cold-Cranking Amps) ที่เป็นคนละค่ากับขนาดความจุของแบตเตอรี่ (Ah หรือแอมแปร์-ชั่วโมง) ซึ่งค่า CCA เป็นค่าสำหรับบอกว่า แบตเตอรี่ลูกนั้นมีความสามารถในการจ่ายไฟ เพื่อให้มอเตอร์สตาร์ทดึงไฟไปใช้ในการสตาร์ทเครื่องยนต์ได้แค่ไหน

ซึ่งเครื่องยนต์แต่ละขนาดต้องการค่า CCA ไม่เท่ากัน ยิ่งเครื่องยนต์ที่มีขนาดความจุมากก็ต้องการค่า CCA มากตาม อย่างไรก็ตาม ค่า CCA ของแบตเตอรี่แต่ละยี่ห้ออาจใช้มาตรฐานในการวัดต่างกัน ซึ่งมีทั้ง SAE, EA, IEC และ DIN ขึ้นอยู่กับผู้ผลิต เพราะฉะนั้นจะดูค่า CCA เฉพาะตัวเลขอย่างเดียวอาจผิดพลาดได้ ควรจะต้องดูทั้งหมดว่าตัวเลขที่ระบุนั้นใช้มาตรฐานใดวัด และไม่ควรต่ำกว่าที่ผู้ผลิตรถยนต์กำหนดไว้

 

6.เลือกแบตเตอรี่ที่ผลิตใหม่เสมอ

แบตเตอรี่ใหม่ที่ยังไม่ถูกจำหน่ายและใช้งาน ก็สามารถเสื่อมคุณภาพลงได้ ดังนั้น เพื่อให้ได้แบตเตอรี่ใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดควรเลือกแบตเตอรี่ที่ผลิตไว้ไม่เกิน 6 เดือน โดยจะมีรหัสเฉพาะระบุไว้ อาจใช้ตัวเลขและตัวอักษรแทน วัน/เดือน/ปี ที่ผลิต อาจแตกต่างกันไปตามยี่ห้อ เช่น อักษรแทนเดือน ตัวเลขแทนปี เป็นต้น เพราะยิ่งแบตเตอรี่ถูกเก็บไว้นานจะยิ่งมีความชื้นในตะกั่วเยอะ ชาร์จไฟยาก และบางร้านที่จำหน่ายก็ไม่ได้ชาร์จไฟแบตเตอรี่จนเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ก่อนนำมาขาย ซึ่งทำให้อายุของแบตฯ ลูกนั้นสั้นลงโดยที่เราไม่รู้ตัว

 

7.ควรรีไซเคิลแบตเตอรี่เก่า

แบตเตอรี่เก่ามีค่าและนำไปรีไซเคิลได้ เพราะร้านที่จำหน่ายแบตเตอรี่มักจะรับเทิร์นแบตเตอรี่เก่าอยู่แล้ว โดยส่วนใหญ่จะนำไปลดราคาแบตเตอรี่ลูกใหม่ให้ ดังนั้นอย่าลืมสอบถามว่าแบตเตอรี่ลูกใหม่ราคาเท่าไร และราคาดังกล่าวหักค่าเทิร์นแบตเตอรี่เก่าแล้วหรือยัง หากไม่แน่ใจลองสอบถามเปรียบเทียบราคาจากร้านอื่น ๆ ก่อนตัดสินใจซื้อ

 

8.เปรียบเทียบการรับประกัน

เป็นสิ่งที่สำคัญมากและไม่ควรมองข้าม สำหรับการเลือกแบตเตอรี่ใหม่ คุณควรตรวจสอบการรับประกันแบตเตอรี่ของทางร้านค้าที่ซื้อทุกครั้ง เพราะอาจระบุระยะเวลารับประกันต่างกัน ซึ่งโดยปกติแบตเตอรี่รถยนต์จะมีระยะเวลารับประกันตั้งแต่ 1-2 ปี แล้วแต่ยี่ห้อของแบตเตอรี่

นอกจากระยะเวลารับประกัน ควรสอบถามรายละเอียดหรือเงื่อนไขการรับประกันด้วยว่าครอบคลุมหรือไม่ครอบคลุมอะไรบ้าง เพราะจะได้ไม่เกิดปัญหาในภายหลัง แต่หลักๆแล้วเงื่อนไขการรับประกันของแต่ละยี่ห้อนั้นก็ไม่ต่างกันมากนัก

จะโดน “ปาดหน้า” กี่ที ก็ไม่มีปัญหา
รวมข้อคิดดีๆ ที่ทำให้ใจไม่ร้อน ตามสภาพอากาศ

การโดน “ขับรถปาดหน้า” ถือเป็นปัญหาโลกแตกพอๆกับคำว่า วันนี้จะกินอะไรดี แต่ที่แย่กว่านั้นก็คือ การขับรถปาดหน้ามักเป็นต้นเหตุให้เกิดการปะทะ ทะเลาะวิวาท หรือถึงขั้นเกิดอุบัติเหตุเลยก็ได้ เป็นการเสียเงิน เสียเวลาโดยใช่เหตุ บางครั้งก็ถึงขั้นเสียชีวิต!

ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มาจากชั่วโมงเร่งรีบบนท้องถนน จนคนบางคนลืมกฏจราจรไป ยิ่งการขับรถในกรุงเทพฯ ยิ่งเจอเหตุการณ์ “โดนปาดหน้า” ได้บ่อยกว่าชาวบ้าน เพราะคนกรุงเทพฯ มีวิถีชีวิตที่ต้องรวดเร็วในทุกๆอย่าง รวมไปถึง “การขับรถ” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ขับรถ, หัวร้อน, คิดบวก, เทคนิค

แต่ถึงแม้ว่า เราจะแก้ไขปัญหา “การขับรถปาดหน้า” หรือหลีกเลี่ยงมันไม่ได้ แต่เราสามารถจัดการอารมณ์ของตนเองได้ หากตกอยู่ในสถานการณ์เหล่านี้ ซึ่งมีวิธีคิดบวกเบื้องต้น จากกรมสุขภาพจิต ที่จะช่วยลดความหงุดหงิด หรืออาการ “หัวร้อน” จากการโดนปาดหน้า เพื่อลดการทะเลาะวิวาท และการเกิดอุบัติเหตุ ที่สำคัญที่สุดคือ เพื่อรักษาสุขภาพจิตที่ดี วิธีการคิดบวกเบื้องต้น 5 ข้อ ก็ทำได้ง่ายๆ คือ

  1. คิดว่าเขาเป็นคนในครอบครัว เป็นญาติ เป็นครูบาอาจารย์ที่เราเคารพ
  2. คิดว่าเขารีบ เพราะมีเรื่องจำเป็นเร่งด่วนในชีวิตของลูก คนในบ้านหรือญาติๆ
  3. ร้องเพลง, เปิดเพลงที่ชอบ เพื่อระงับหรือเปลี่ยนอารมณ์ของตนเอง ไปในทางที่ดีขึ้น
  4. ฝึกการหายใจทางหน้าท้อง สูดลมหายใจเข้าและออกยาวๆ เพื่อบรรเทาความเครียด
  5. ขอบคุณคนที่ขับปาดหน้ารถ ที่ช่วยฝึกความอดทนให้กับเรา

การฝึกคิดแง่บวกในสถานการณ์แย่ๆเป็นเรื่องที่ดี ทั้งในเวลาที่เกิดเหตุการณ์และในระยะยาว เพราะจะฝึกให้เราเป็นคนใจเย็น มีสติมากขึ้น และการคิดบวกก็ไม่มีผลเสียตามมา ให้เราต้องรับผิดชอบในภายหลัง

ขับรถ-หัวร้อน-คิดบวก-เทคนิค

หวังว่าคุณผู้อ่านจะนำข้อคิดดีๆ 5 ข้อนี้ ไปปรับใช้ในการเดินทางในชีวิตประจำวัน หรือในช่วงสงกรานต์ที่กำลังจะมาถึง เพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัย ไม่หัวร้อน ไร้อุบัติเหตุ แถม save เงินค่าซ่อมรถไปได้อีกเยอะ!

 

ส่องปิคอัพรุ่นล่าสุด Honda Ridgeline 2019 เริ่มต้น 9 แสนบาท!

Honda Ridgeline 2019 เริ่มจำหน่ายแล้วในอเมริกา
กับคุณภาพที่เกินราคา

ออกจำหน่ายแล้ววันนี้ สำหรับรถยนต์ปิคอัพจาก Honda Ridgeline 2019 ที่ตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศสหรัฐอเมริกา เริ่มเปิดขายตั้งแต่วันที่ 6 มีนาคม 2018 สำหรับรุ่นเริ่มต้น คือ รุ่น 2WD RT ในราคา 29,990 เหรียญ หรือประมาณ 930,000 บาท ราคานี้คือ รวมค่าจัดส่งให้ถึงที่บ้านเรียบร้อยแล้ว

2019-honda-ridgeline

ปิคอัพ Honda Ridgeline 2019 รถกระบะคันล่าสุดของค่ายฮอนด้า เหมาะสำหรับการเดินทางไปทำกิจกรรม Outdoor ต่างๆ เช่น ไปปิกนิก ไปเล่นกีฬา หรือบรรทุกผู้โดยสาร ทั้งนี้ ด้านหลังกระบะยังมีฟีเจอร์เด่น ๆ อย่างที่เก็บสัมภาระมีฝาปิด-เปิดจากใต้ท้องกระบะ และเต้าเสียบไฟ AC 115V คอยอำนวยความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้รถ

2019-honda-ridgeline

ส่วนภายในรถ ก็มีอุปกรณ์ที่ให้มาตามมาตรฐานมากมาย และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้นมา หากจ่ายส่วนต่างเพิ่ม อย่างเช่น จอ 8 นิ้ว Audio แบบสัมผัส มาพร้อมกับ Android Auto และ Apple CarPlay ระบบปรับอากาศ 3 โซน และมีที่นั่งคนขับแบบไฟฟ้า ปรับได้ถึง 8 ทิศทาง ภายในยังมีไฟรอบห้องโดยสาร เพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัย

2019-honda-ridgeline

สำหรับรุ่น 2019, RT, Sport และ RTL จะมี USB Port 2 จุด (เหมือนรุ่นท็อป) ในขณะที่ RTL และ RTL-T มาพร้อมกับกระจกหลังไฟฟ้า และ Moonroof ทั้งนี้ฮอนด้ายังมี อุปกรณ์ตกแต่งที่เป็นทางการออกมามากมาย ให้เลือกแต่งกันได้ตามใจชอบ

2019-honda-ridgeline

ระบบการขับเคลื่อนของ Ridgeline 2019 ใช้เครื่องยนต์ 3.5 ลิตร  i-VTEC V6 เกียร์ออโต้ 6 สปีด 280 แรงม้า แรงบิด 265 ฟุต-ปอนด์ (355 นิวตันเมตร) ในส่วนของลูกค้าที่เลือกซื้อรุ่น AWD ก็จะได้ใช้เทคโนโลยี Intelligent Variable Torque Management (i-VTM4) ของฮอนด้า ที่รองรับทุกสภาพอากาศเหมาะกับประเทศไทย ที่มีความแปรปรวนของอุณหภูมิที่คาดเดาไม่ค่อยได้

2019-honda-ridgeline

ซึ่งตอนนี้ Honda Ridgeline 2019 ยังไม่มีแพลนมาวางจำหน่ายในไทย แต่ถ้าหากมีความเคลื่อนไหว หรือข่าวสารเกี่ยวกับ Honda Ridgeline 2019 มาเมื่อไหร่ คาร์โร จะมาอัพเดตข้อมูลให้อย่างเร็วที่สุด และถ้าคุณกำลังมองหารถกระบะมือสอง (คลิก) หรือต้องการขายรถคันเก่าแบบด่วนๆ (คลิก)

2019-honda-ridgeline

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์คันใหม่ มาขายรถกับทาง Carro Express สิ! คลิกเลยที่ https://th.carro.co/sell-car/express รับรองได้เงินเร็ว ไว ทันใจแน่นอน!

Carro Automall ตลาดรถ

ส่วนใครสนใจจะซื้อรถมือสอง Carro แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ คุณสามารถจองรถได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น! พร้อมคำนวณสินเชื่อและค่างวด ได้ภายในเว็บไซต์ทันที!

ซึ่ง Carro เรามีรถให้คุณเลือกมากมาย รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพโดย Carro Certified อย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 160 จุด, การันตีคืนเงินภายใน 5 วัน, รับประกันเครื่องยนต์และเกียร์ 1 ปี, รับประกันไม่กรอไมล์ และไม่ประสบอุบัติเหตุหนัก ไฟไหม้ หรือน้ำท่วม พร้อมรับประกันคุณภาพรถ 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร!

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” เลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา รวมถึงมีเทคโนโลยีสนับสนุนฝ่ายขาย ทั้ง Digital Device ที่เชื่อมต่อกับ Digital Screen นำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และจัดการเรื่องเอกสารให้กับลูกค้าให้ตั้งแต่ต้นจนจบ บวกกับ Online Viewing Service ที่ลูกค้าสามารถวิดีโอคอล ตรวจสภาพรถยนต์คันที่สนใจได้แบบเรียลไทม์ ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ Carro สิ!

หรือถ้าหากคุณสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงกรอกชื่อ-เบอร์โทรศัพท์ และรถที่คุณสนใจ ไว้ที่ “รับการแจ้งเตือน” เมื่อมีรถที่คุณต้องการ Carro จะรีบติดต่อไปยังคุณทันที สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> Carro Thailand โทร. 02-460-9380 หรือทาง Line @carrothai

แหล่งที่มาจาก:

  • Carscoops.com
โสด,-ซื้อรถ,-ประหยัด

โสด โทรศัพท์มีกล้อง! อยากมีรถขับเก๋ๆ เลือกซื้อเองได้ไม่ยาก

ภาระไม่มี และพี่เปย์ไว อาจเป็นคำนิยามใหม่ของ #คนโสด2018 หลายๆคน แต่ถึงแม้ว่าจะไม่มีภาระอย่างคนอื่นที่มีคู่หรือมีครอบครัว เราก็ต้องเตรียมตัวและ Plan เรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้เป๊ะ! ยิ่งเรื่องรถยิ่งสำคัญ เพราะการใช้ชีวิตคนเดียวนั้นไม่มีใครคอยรับคอยส่ง ไม่มีใครคอยแชร์ค่างวด ค่าน้ำมัน ค่าอะไหล่ ไหนจะต้องสำรองค่าดูแลรักษารถตามอายุการใช้งาน ถ้าพลาดมาก็หนักกว่าชาวบ้าน เพราะต้องรับผิดชอบคนเดียวล้วนๆ

ฉะนั้น เรามาเตรียมตัวให้พร้อม จะได้เป็นโสดให้สนุก ไม่ทุกข์ เพราะการมีรถจะไม่เป็นภาระ วันนี้ Carro จึงขอเสนอทริคดีๆ บวกรถเก๋ๆ ที่จะทำให้ชีวิตโสดของคุณปัง ไม่มีพัง!

1.ราคาไม่แพงเกินไป

นี่คือปัจจัยสำคัญอันดับ 1 ในการเลือกซื้อรถของคนโสด บางคนอาจแย้งว่า เห้ย! สไตล์เราคือ Luxury นะยู แต่เดี๋ยวก่อน! เราเข้าใจเรื่อง Style ว่าเป็นของใครของมัน แต่อยากให้ลองคำนวนว่ารายรับเรามีเท่าไหร่ มีรายจ่ายอะไรบ้าง เพราะการบริหารรายจ่ายที่ดี ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับรถไม่ควรเกิน 25 – 30% ของรายรับ ต่อเดือน เพราะชีวิตยังมีค่าใช้จ่ายด้านอื่นอีก เช่น ค่าบ้าน ค่าน้ำค่าไฟ ค่าประกันชีวิต ฯลฯ คุณจึงไม่ควรถวายเงินเดือนมากกว่าครึ่งไปกับค่างวดรถและค่าน้ำมัน เพราะอาจจะชักหน้าไม่ถึงหลัง และที่น่ากลัวกว่าการโดนยึดรถคือ การเป็นหนี้!

รถที่ขึ้นชื่อเรื่องความประหยัดและยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เราขอแนะนำ

Nissan March

Nissan March

Suzuki Celerio

suzuki-celerio

Nissan Almera

Nissan Almera

Mitsubishi Mirage

Mitsubishi Mirage

2.เลือกรุ่นที่ประหยัดน้ำมัน

เนื่องจากราคาน้ำมันในประเทศไทยมีการขึ้นและลงตลอดเวลา ไม่ค่อยเสถียร และเราต้องใช้รถทุกวันอย่างเลี่ยงไม่ได้ วิธีที่เซฟที่สุดคือ เลือกซื้อรถยนต์รุ่นที่ประหยัดน้ำมัน ได้แก่

Mitsubishi Attrage

Mitsubishi Attrage

Mazda2

Mazda 2

Toyota Yaris

toyota-Yaris

Suzuki Celerio

Suzuki Celerio

 

3.สามารถเติมน้ำมัน E85 หรือ E20 ได้

รุ่นที่จะแนะนำในข้อนี้เหมาะกับคนโสดตัวคนเดียวมากที่สุด เพราะขนาดเล็ก ปราดเปรียว ขับและดูแลง่าย เหมาะกับสภาพถนนในกรุงเทพฯ และยังเหมาะกับสภาพการเงินในกระเป๋าคนโสดอีกด้วย เพราะเติมน้ำมันที่มีราคาถูกได้ คือ E85 หรือ E20 รถที่แนะนำ ได้แก่

Honda Jazz

honda jazz

Honda City

Honda City

4.ค่าบำรุงรักษาไม่แพง

ข้อนี้เป็นข้อที่ควรคำนึงถึงเป็นอันดับต้นๆ แต่มักจะโดนมองข้าม เพราะรถ 1 คัน ก็เหมือนกับคนในครอบครัว 1 คน รับมาในชีวิตแล้วก็ต้องดูแลกันจนวันสุดท้าย การดูแลก็ทำได้ไม่ยาก เช่น ใช้งานอย่างถนอม หมั่นตรวจเช็คสภาพเครื่องยนต์ เช็คระยะ เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ฯลฯ จะเห็นได้ว่า การบำรุงรักษามีค่าใช้จ่ายหลายอย่าง แม้ยังไม่รวมประกัน พ.ร.บ. แต่ถ้าหากใครคิดว่ามีรายรับสูงงงงงมากพอ สภาพการเงินคล่องมือ ไม่มีความเดือดร้อนทางการเงินใดๆ ทั้งโสด รวย และพร้อมเป เราก็ขอแสดงความยินดีด้วย เพราะคุณสามารถเลือกซื้อรถได้ทุกรุ่นตามใจอยาก

แต่ถ้าหากคุณยังเป็นโสด ตัวคนเดียว ไม่มีรายรับที่มากพอบวกกับยังมีค่าใช้จ่ายด้านอื่นๆ เราขอแนะนำให้เลือกซื้อรถตลาดอย่าง Toyota หรือ Honda เพราะราคาสามารถเอื้อมถึง อะไหล่หาง่าย ค่าบำรุงรักษาถูก ซ่อมไม่ยุ่งยาก หรือเลือกซื้อรถบ้านมือสอง ก็คุ้มค่าเช่นกัน แค่นี้ เราก็จะโสดแบบ Cool Cool เก๋ๆ เงินเหลือพร้อมเปย์ มีรถพร้อมขับ และไร้ปัญหากวนใจภายหลัง!

รถคลาสสิค-สิงคโปร์

 

อะไรคือเหตุผลที่ทำให้คนส่วนหนึ่ง หันหลังให้รถยนต์ที่ทันสมัยในยุคปัจจุบัน แต่เลือกที่จะมาขับรถคลาสสิคมือ 2 แทน? เหตุผลของแต่ละคนก็คงจะแตกต่างกันไป บางคนอาจแค่ต้องการรถที่มีความโดดเด่น ไม่ซ้ำใคร บางคนอาจจะชอบในความเก่า แต่มีเรื่องราวแฝงอยู่ในตัวรถ หรือไม่ พวกเขาก็มี Passion และความหลงใหลในสไตล์สุดคลาสสิค ที่ไร้กาลเวลานั่นเอง

สิงคโปร์ เป็นประเทศที่พวกเรารู้จักกันดีในความเป็นผู้นำ ด้านกฏระเบียบและกฏหมายที่รัดกุม เรื่องรถก็เช่นกัน ในประเทศสิงคโปร์มีโครงการรถคลาสสิคหรือ “The Classic Vehicle Scheme” ซึ่งอนุญาตให้รถคลาสสิคที่มีสภาพดี (รถที่มีอายุอย่างต่ำ 35 ปี นับตั้งแต่วันที่รถจดทะเบียนเดิมครั้งแรก) ขับเคลื่อนบนถนนได้เป็นเวลาไม่เกิน 45 วัน ต่อปี

ถึงแม้ว่าในประเทศสิงคโปร์ จะมีคนจำนวนไม่มาก ที่มีอภิสิทธิ์ได้เป็นเจ้าของรถคลาสสิค (อาจเพราะกฏเกณฑ์ทางกฏหมายในประเทศ หรือราคารถที่สูงเกินจะเอื้อมถึง) แต่ก็ยังมีคนหลายกลุ่มที่ยอมอุทิศตนให้กับรถรุ่นเก๋าเหล่านี้ อย่างเช่นหน่วยงานที่มีชื่อว่า The Heritage Car Club (Singapore) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่คอยจัดงานกิจกรรมต่างๆ เพื่อกลุ่มคนที่ชื่นชอบรถคลาสสิคโดยเฉพาะ ซึ่งทุกคนสามารถเข้าร่วมกิจกรรมที่หน่วยงานนี้จัดขึ้นได้ แม้ว่าจะไม่ได้ขับรถคลาสสิคก็ตาม

และนี่ก็คือ 5 รถคลาสสิค ที่คุณก็เป็นเจ้าของได้ใน “สิงคโปร์”

1.FORD MUSTANGFord-Mustang

www.mustangandfords.com news mump-0504-rebuilt-vintage-ford-mustang-best-build

ฟอร์ด มัสแตงเป็นสิ่งที่อธิบายตัวตนของ American muscle cars ได้ดีที่สุด รถยนต์ฟอร์ด รุ่นนี้มีราคาที่ค่อนข้างถูกในประเทศสหรัฐอเมริกา ดังนั้น การนำเข้ารถรุ่นนี้เข้ามา คุณจะได้ราคาที่น่าพอใจกว่ามาก นอกจากนี้ฟอร์ด มัสแตงยังมีเครื่องยนต์ที่ทรงประสิทธิภาพจากเครื่องยนต์ V8 อีกด้วย

 

2.FERRARI 250 GTE

Ferrari-250-GTE

www.classicdriver.com en car ferrari 250-gte-22 1961 316006

เพราะรถยนต์เฟอร์รารีคลาสสิคทุกคัน จะมาพร้อมกับการตกแต่งภายในรถด้วยสีดำและด้านนอกสีแดงอันเป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะรุ่น Ferrari 250 GTE ยิ่งเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะมีเครื่องยนต์ 128 E และมีตัวถังแบบ E 508 ซึ่งถือว่าเป็นรุ่นหนึ่งที่ควรอยู่ใน Collection ของนักสะสม และสำหรับทุกคนที่ต้องการขับรถคลาสสิคที่ดีที่สุดสักคัน

 

3.THE BENTLEY S2

The-Bentley-S2

www.classicandperformancecar.com bentley s2

Bentley S2 หรือเบนท์ลีย์ เอส2 เป็นรถโบราณที่ผลิตจากปี พ.ศ.2502 ถึงปี พ.ศ.2505 บวกกับเครื่องยนต์ V8 ดีไซน์หรู ด้วยระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ที่มาพร้อมกับมาตรฐานคลาสสิค ที่ทำให้รถโบราณรุ่นนี้มีระดับมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ Bentley S2 ยังเป็นรถที่มีความ extremely rare เพราะผลิตมาแค่ 1,920 คันบนโลกเท่านั้น แถมยังสะดวกสำหรับการเดินทางระยะไกลแม้จะบรรทุกผู้โดยสารถึง 4 คน และใช้ความเร็วสูงก็ตาม

 

4.VOLKSWAGEN BEETLE

VOLKSWAGEN BEETLE

www.youtube.com watch v=0fRK7WbBVJ4

โฟล์คสวาเก้น บีทเทิล คือรถโบราณที่กำหนดนิยามความเป็น “รถคลาสสิค”

ประกอบด้วยเครื่องยนต์ประหยัดพลังงานแบบ 2 ประตู แต่มีกำลังผลิตเพียงพอสำหรับผู้โดยสาร 4 คน เริ่มผลิตครั้งแรกในปี พ.ศ.2481 โดยรถยนต์ โฟล์คสวาเก้นนับแสนคันถูกขายไปทั่วโลก หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงที่ โฟล์คสวาเก้นประสบความสำเร็จมากที่สุด ทำให้รถรุ่นนี้ กลายเป็น item อันเลอค่าสำหรับนักสะสมรถคลาสสิคตัวยงไปเรียบร้อย

 

5.BMW 327

BMW-327

en.wikipedia.org wiki BMW_327

บีเอ็มดับบลิว เริ่มผลิตรถเก๋ง 2 ประตู รุ่น bmw 327 ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2480 ต่อมาในปี พ.ศ.2488 ได้มีการออกแบบรถรุ่นนี้มาเพิ่มอีก 1 สไตล์ คือ bmw 327 รุ่นเดิม ที่มีเพิ่มเติมคือเปิดประทุนได้!  เครื่องยนต์ที่ใช้ ได้แก่ M78 I6 และ M328 I6 ที่จะทำให้คุณได้เพลิดเพลินไปกับรถคลาสสิคด้วยระบบเกียร์ 4 สปีด สมกับสไตล์คลาสซี่ จนทำให้รถยนต์ในยุคปัจจุบัน ให้ความรู้สึกเหมือนกับรถที่อยู่ในโลกวีดีโอเกมส์กันไปเลย

อ่านมาถึงตรงนี้ คุณเริ่มสนใจเป็นเจ้าของ “รถคลาสสิค” สักคันบ้างหรือยัง?

Supercar

ส่อง 10 อันดับแบรนด์รถหรู ที่สามารถจอดในชั้น Supercar ได้ ขนมาครบ จัดเต็มทุกแบรนด์ !!

ในปัจจุบัน การหาที่จอดรถในห้างสรรพสินค้า ก็ไม่ต่างกับการงมเข็มในมหาสมุทร! ยิ่งในวันหยุด หรือวันนักขัตฤกษ์ บางคนถึงกับต้องขับรถวนหาที่จอด ไม่ต่ำกว่า 2 รอบเลยทีเดียว แต่ปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้นกับคุณเด็ดขาด ถ้าคุณขับ Supercar!

Supercar คืออะไร? แปลง่ายๆก็คือ รถยนต์ระดับ luxury brand มีราคาสูง(มากกกก) เพราะมีสมรรถนะทางเครื่องยนต์ที่เป็นเลิศ รูปทรงมีการออกแบบโดยเฉพาะและมีภาพลักษณ์ที่ชัดเจน supercar แต่ละรุ่นต้องมีเทคโนโลยียนตร์กรรมเป็นของตนเอง และได้รับการยอมรับจากมาตรฐานสากลโลก

ซึ่งในประเทศไทย ห้างสรรพสินค้าในเครือ Central และห้างสรรพสินค้าชั้นนำ เช่น Siam Paragon ก็จะเตรียมที่จอดรถไว้สำหรับ Supercar โดยเฉพาะ เพราะถือเป็นการอำนวยความสะดวกสบาย แก่ลูกค้าที่มีกำลังซื้อเยอะเป็นพิเศษ ส่วนรถยนต์ที่เข้าข่าย Supercar จะมีแบรนด์ไหน รุ่นอะไรบ้าง มาเช็คกัน!

10 brands list of Supercar

1. BMW

อ่านว่า บีเอ็มดับเบิลยู (BMW ย่อจาก ภาษาเยอรมัน: Bayerische Motoren Werke; อังกฤษ: Bavarian Motor Works) เป็นบริษัทผลิตรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ของเยอรมนี ตั้งอยู่ที่เมืองมิวนิก ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2459 (ค.ศ. 1916) และเป็นบริษัทแม่ของมินิ ซึ่งบีเอ็มดับเบิลยูซื้อมาจากโรเวอร์ 

ส่วนรุ่นที่สามารถจอดในชั้น Supercar ของห้างได้ คือ รุ่น M2-M6, X5M, X6M, i8, X5M, X6M ซึ่งราคาเริ่มต้น 3.3 – 12.5 ล้านบาท

BMWBMW

 

2.MASERATI 

เป็นบริษัทผลิตรถยนต์ซุปเปอร์คาร์ของอิตาลี มีต้นกำเนิดที่เมืองโบโลญญา ปัจจุบันตั้งอยู่ที่เมืองโมเดนา

ส่วนรุ่นที่สามารถจอดในชั้น Supercar ของห้างได้ คือ รุ่น Maserati Ghibli, Quattroporte, Grand Turismo ซึ่งราคาเริ่มต้น 6.9 – 11.3 ล้านบาท

MASERATI

MASERATI

 

3.MERCEDES BENZ

เป็นบริษัทยานยนต์เยอรมนีในเครือเดมเลอร์ ผลิตทั้งรถยนต์ รถบัส รถบรรทุก ก่อตั้งโดยก็อตต์ลีบ เดมเลอร์ และคาร์ล เบนซ์ ในปีพ.ศ. 2469 มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองชตุทท์การ์ท

ส่วนรุ่นที่สามารถจอดในชั้น Supercar ของห้างได้ คือ รุ่น SL, SLR, SLS, S63/65, CL, CLS, E63, C63, GT S, Maybach และสนนราคาเริ่มต้นที่ 2.4 – 17.4 ล้านบาท

MERCEDES BENZ

MERCEDES BENZ

4.ASTON MARTIN

อ่านว่า แอสตันมาร์ติน (ชื่อเต็มของบริษัทคือ Aston Martin Lagonda Limited) เป็นชื่อบริษัทผลิตรถยนต์สปอร์ตหรูของสหราชอาณาจักร มีฐานการผลิตที่เมืองเกย์ดอน (Gaydon) ในอังกฤษ

ชื่อยี่ห้อแอสตันมาร์ตินนี้ ตั้งชื่อตามนามสกุลของลีโอเนล มาร์ติน (Lionel Martin) ผู้ก่อตั้งบริษัท และตามชื่อสถานที่ เนินแอสตัน (Aston Hill) ใกล้กับหมู่บ้านแอสตันคลินตัน (Aston Clinton) ในเมืองบักกิงแฮมเชอร์ (Buckinghamshire) นอกจากนี้ แอสตันมาร์ติน ยังเป็นที่รู้จักในฐานะรถยนต์ของเจมส์ บอนด์ ในภาพยนตร์เจมส์ บอนด์ หลายๆ เรื่อง

และรุ่นที่สามารถจอดในชั้น Supercar ของห้างได้ คือรุ่น DB7, DB8, DBS, Vantage, Vanquish มีราคาเริ่มต้นที่ 5.2 – 25.9 ล้านบาท

ASTON MARTIN ASTON MARTIN

 

5.FERRARI (อิตาลี : Ferrari)

เป็นบริษัทผลิตรถสปอร์ตจากเมืองมาราเนลโล ประเทศอิตาลี ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1929 มีเอ็นโซ เฟอร์รารี่ เป็นผู้ก่อตั้ง โดยจุดเริ่มต้นจากการเป็นทีมแข่งรถของอัลฟาโรเมโอ โดยใช้ชื่อว่า “สคูเดอเรีย เฟอร์รารี่” (Scuderia Ferrari) ซึ่งในตอนที่ทำงานอยู่กับอัลฟาโรเมโอนั้น เอ็นโซเองก็เป็นทั้งวิศวกรและนักแข่งรถด้วย

จนมาในปี ค.ศ. 1947 รถยนต์ในนามของเฟอร์รารี่รุ่นแรกจึงถือกำเนิดขึ้น คือรุ่น 125 เอส เฟอร์รารี่ได้เป็นหนึ่งในบริษัทผู้ผลิตรถสปอร์ตชื่อดังที่ประสบความสำเร็จ และมีการจำหน่ายไปทั่วโลก มีสีที่เป็นเอกลักษณ์ คือสีแดง (Rosso Corsa) ซึ่งเป็นของรถแข่งอิตาลี เฟอร์รารี่ ถือเป็นค่ายรถที่ประสบความสำเร็จในกีฬาฟอร์มูล่าวันมากที่สุด

ในปัจจุบัน เฟอร์รารี่เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของความเร็ว ความหรูหรา และความรวย รถเฟอร์รารี่มีฉายาที่คนไทยรู้จักกันดีอีกชื่อหนึ่งว่า “ม้าลำพอง” ดังนั้น ทุกรุ่นของรถแบรนด์นี้สามารถจอดในชั้น Supercar ของห้างได้ และราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 23.3 – 35 ล้านบาท

FERRARI FERRARI

 

6.ROLLS-ROYCE

อ่านว่า โรลส์-รอยซ์ เป็นรถยนต์สุดหรูจากประเทศอังกฤษ บริษัทก่อตั้งโดย เฟดริก เฮนรี่ รอยซ์ และ ชาร์ล โรลส์ รถยนต์ของโรลส์-รอยซ์มีลักษณะเป็นรถยนต์หรูหราขนาดใหญ่ นอกจากนี้รถยนต์แล้ว ยังได้ผลิตเครื่องยนต์สำหรับอากาศยาน ให้แก่เรือเหาะ (Zeppelin) ปัจจุบันบีเอ็มดับเบิลยูเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าของโรลส์รอยซ์

ด้วยความแพง และความหรูหรานี้ทำให้รถทุกรุ่นของ Rolls-Royce สามารถจอดในชั้น Supercar ของห้างได้ และราคาเริ่มต้นที่ 29.9 – 59 ล้านบาท

ROLLS-ROYCE ROLLS-ROYCE

 

7.LAMBORGHINI

(ในภาษาอังกฤษบางครั้งเรียก แลมบอร์กินี) บริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอิตาลีอย่าง Automobili Lamborghini S.p.A ได้ก่อตั้งโดย Ferruccio Lamborghini ในปี ค.ศ. 1963 เน้นเจาะตลาดตลาดไปที่การผลิตรถสปอร์ต มีคู่แข่งทางตลาดที่สำคัญ คือ เฟอร์รารี ซึ่งเป็นรถสัญชาติเดียวกัน ต่อมา ลัมโบร์กีนี อยู่ในการครอบครองของเอาดี้ เอจี ในเครือโฟล์กสวาเกนกรุ๊ป

ลัมโบร์กีนี นั้นเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งสำหรับ ความเร็ว และความหรู เช่นเดียวกับ เฟอร์รารี ส่วนการออกแบบตราสัญลักษณ์ของลัมโบร์กินีนั้นได้รับแรงบัลดาลใจมาจากการแข่งขันสู้วัวกระทิงในประเทศสเปน

ปัจจุบัน Lamborghini ได้ตั้งทีมแข่งรถที่ชื่อว่า Squadra Corse ในการแข่งขัน Super Trofeo, GT3 และเพื่อจัดโปรแกรมการทดสอบรถสำหรับลูกค้า

ซึ่งทุกรุ่นของลัมโบร์กินีเป็นรถที่สามารถจอดในชั้น Supercar ของห้างได้ ส่วนราคาเริ่มต้น 22.8 – 40.5 ล้านบาท

LAMBORGHINI LAMBORGHINI

 

8.PORSCHE (เยอรมัน: Porsche พอร์เชอ)

เป็นยี่ห้อรถยนต์ของเยอรมนี ผลิตโดยบริษัท Dr. Ing. h.c. F. Porsche AG ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1931 โดย ดร. แฟร์ดีนันด์ พอร์เชอ (Ferdinand Porsche) วิศวกรชาวออสเตรีย ก่อตั้งบริษัท DR.ING.H.V. PORSCHE AG และผลิตรถยนต์จำหน่ายเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1948 และใช้ตราประจำเมืองชตุทท์การ์ท (Stuttgart) อันเป็นที่ตั้งโรงงานเป็นสัญลักษณ์

ปัจจุบันได้ผลิตรถยนต์ เช่น ปอร์เช่ 911 (991), ปอร์เช่ บ็อกซเตอร์, ปอร์เช่ คาเยนน์, ปอร์เช่ เคย์แมน ล่าสุดคือ ปอร์เช่ เคย์แมน จีที4 ที่เปิดตัวไปเมื่อค.ศ. 2015

ด้วยเป็นรถแบรนด์สุดหรูทำให้ทุกรุ่นของปอร์เช่สามารถจอดได้ในชั้น Supercar ของห้าง และมีราคาเริ่มต้น 6.3 – 21.9 ล้านบาท

PORSCHE

 

9.AUDI

(เยอรมัน: เอาดี้ ;บางครั้งเรียก ออดี้ ในภาษาอังกฤษ) เป็นชื่อบริษัทผลิตรถยนต์ของประเทศเยอรมนี มีสำนักงานอยู่ที่เมืองอิงโกล์ชตัดช์ ใกล้เมืองมิวนิก ในแคว้นบาวาเรีย ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1899

จัดว่าเป็นรถที่มีคุณภาพทัดเทียมกับเมอร์เซเดส-เบนซ์ และ บีเอ็มดับเบิลยู ปัจจุบันอยู่ในเครือโฟล์กสวาเกน บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ในเยอรมนี ซึ่งเอาดี้ก็มีบริษัทในเครือคือลัมโบร์กีนี รถยนต์สปอร์ตจากประเทศอิตาลี

รถรุ่น Audi ที่สามารถจอดในชั้น Supercar ของห้าง ได้แก่ รุ่น R8, RS4, RS5, RS6, RS7 และราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 3.1 – 7.9 ล้านบาท

AUDI AUDI

 

10.LEXUS 

เป็นชื่อบริษัทผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่นอยู่ในเครือโตโยต้า ผลิตรถประเภทพรีเมี่ยม ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2532 รถยนต์รุ่นแรก คือ แอลเอส 400 และ อีเอส 250 

เล็กซัส เริ่มทำการตลาดครั้งแรกที่สหรัฐอเมริกาเป็นที่แรก และขายดีที่สุดเป็นอันดับ 4 ในสหรัฐอเมริกา ต่อมาก็ได้ทำการตลาดที่อังกฤษ แคนาดา ออสเตรเลีย และประเทศอื่นๆ รวมถึงประเทศไทย

ฮันเตอร์คอมมิวนิเคชัน ผู้ออกแบบสัญลักษณ์ของเล็กซัสได้อธิบายถึงโลโก้ของเล็กซัสว่า เป็นรูปตัวอักษร L ตัวเอียง อยู่ในกรอบวงกลม โดยคำว่า เล็กซัส (Lexus) ย่อมาจาก “Luxury Edition for the United States”

ด้วยความที่เป็นระดับพรีเมี่ยม เล็กซัสจึงถูกจัดให้ในระดับเดียวกับ ออดี้ บีเอ็มดับเบิลยู เมอร์ซิเดส-เบนซ์ และอื่นๆ

ส่วนรถรุ่น Lexus สามารถจอดได้ในชั้น Supercar ของห้าง คือ รุ่น LFA ซึ่งมีราคา 24.5 ล้านบาทเลยทีเดียว

LEXUS LEXUS

ขอไฟแนนซ์รถมือสอง

ขอไฟแนนซ์รถมือสองไม่ยาก ดำเนินการเพียงไม่กี่ขั้นตอน

“ไฟแนนซ์รถมือสอง” คือ ธนาคารหรือสถาบันทางการเงินที่ให้กู้เงินเพื่อซื้อรถมือสอง โดยเงื่อนไขรายละเอียดของการขอไฟแนนซ์จะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับการกำหนดเงื่อนไขของแต่ละสถาบัน ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดของการกู้คือ ‘ดอกเบี้ย’

ขอไฟแนนซ์รถมือสอง

ปีรถยิ่งเก่าเป็นหนึ่งปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ดอกเบี้ยสูงขึ้น

 

ดังนั้น ถ้าคุณคิดจะซื้อรถมือสองสักคัน แต่งบประมาณมีไม่เพียงพอที่จะซื้อด้วยเงินสด การจัดไฟแนนซ์รถมือสองสามารถช่วยคุณได้ ซึ่งการขอสินเชื่อรถมือสองจะมาจากไฟแนนซ์ 2 ประเภท

1. ไฟแนนซ์ที่มีให้บริการจากเต็นท์รถ

ถ้ารถที่ซื้อเป็นรถที่ซื้อจากเต็นท์รถ หรือผู้ประกอบการรถยนต์ใช้แล้ว แต่ละเต็นท์จะมีไฟแนนซ์ หรือสถาบันทางการเงินที่ทางเต็นท์ใช้บริการเป็นประจำ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้ซื้อทางเต็นท์ก็จะช่วยดำเนินการประสานงานให้กับคุณ ไม่ว่าจะเรื่องเอกสารไปจนถึงการช่วยคุยให้กับไฟแนนซ์เพื่อให้การขอสินเชื่อของคุณได้อนุมัติ

2. ไฟแนนซ์รถบ้าน เจ้าของขายเอง

คือ การซื้อรถโดยตรงจากเจ้าของรถ หรือซื้อรถต่อจากคนรู้จัก ในกรณีนี้ถ้าหากผู้ซื้อจะทำการขอกู้ไฟแนนซ์ก็จะต้องติดต่อไฟแนนซ์ด้วยตัวเอง

 

การดำเนินการขอไฟแนนซ์มี 5 ขั้นตอนการขอไฟแนนซ์ ดังนี้

  1. ติดต่อไฟแนนซ์ : ผู้ซื้อต้องติดต่อไฟแนนซ์เพื่อทำการขอสินเชื่อ
  2. เก็บข้อมูลและเอกสาร : ทำการนัดเจ้าหน้าที่ไฟแนนซ์เพื่อส่งมอบเอกสาร + ข้อมูลรถที่จะนำไปประเมินสินเชื่อ
  3. พิจารณาสินเชื่อ : ไฟแนนซ์ทำการประเมินสินเชื่อถึงความเป็นไปได้ในการอนุมัติสินเชื่อว่า ผ่าน – ไม่ผ่าน
  4. นัดโอน : ถ้าสินเชื่ออนุมัติผ่าน ทางไฟแนนซ์จะนัดผู้ขาย และผู้ซื้อให้นำเอกสารไปทำเรื่องเล่มทะเบียน
  5. ผู้ขายได้รับเงิน : ผู้ขายจะได้รับเงินหลังจาก การนัดโอนเล่ม เรียบร้อยแล้วเท่านั้น

ขอไฟแนนซ์รถมือสอง

เรื่องของการเตรียมเอกสาร ได้แก่

1. สำเนาบัตรประชาชน
2. สำเนาทะเบียนบ้าน
3. ใบคู่มือจดทะเบียน
4. เอกสารประวัติทางการเงิน เช่น สลิปเงินเดือน เป็นต้น
5. สัญญาชื้อ-ขาย สามารถดาวน์โหลดได้ที่นี้ สัญญาซื้อ-ขาย

รถมือสอง, วิธี, เช็กรถ, คุณภาพดี

ดูอย่างไรให้ได้ “รถมือสอง” คุณภาพดี!

อันดับแรกของคนส่วนใหญ่จะเลือกซื้อรถมือสอง ก็เริ่มหาจากแหล่งที่ลงประกาศขายรถมือสองก่อน ซึ่งจะจำแนกได้เป็น 2 แบบสำหรับผู้ประกาศขาย คือ รถเต็นท์ และ รถบ้าน ซึ่งถ้าหลายคนคุ้นเคยกับการเลือกซื้อรถยนต์ผ่านอินเตอร์เน็ตคงรู้จัก ‘ตลาดรถ’ อีกทั้งในปัจจุบันก็ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะสะดวก รวดเร็ว

แต่ถ้าหากคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่ชอบซื้อรถบ้าน Carro ก็ได้ทำการรวบรวมรถบ้านมือสองเอาไว้หลากหลายรุ่น ตั้งแต่ Toyota, Nissan, BMW ไปจนถึง Mercedes-benz เลยก็มี

เลือกซื้อรถมือสอง

และในวันนี้ Carro ก็มีบทความเกี่ยวกับการเลือกซื้อรถมาฝากสำหรับมือใหม่ หรือใครที่กำลังจะซื้อรถบ้าน ที่จะช่วยเพิ่มความมั่นใจของคุณได้อีกระดับหนึ่ง งั้นไปดูกันเลยดีกว่า ว่าคุณจะต้องเลือกซื้ออย่างไรบ้าง

    1. ตรวจสอบสีรถคันที่คุณต้องการซื้อว่าได้ถูกทำสีมาหรือไม่ โดยสังเกตุด้วยลองใช้มือเคาะดู เพราะถ้าหากรถได้ผ่านการทำสีมาทั้งคัน อาจเป็นเพราะรถเคยถูกชนหนักมาก่อน ซึ่งถ้าหากคุณไม่แน่ใจ ก็สามารถเลือกซื้อรถที่ผ่านการตรวจสภาพ จาก Carro เพื่อความสบายใจ
    2. อีกอย่างที่ต้องให้ความสำคัญ คือ เลขไมล์ จริงอยู่ว่าเลขไมล์สามารถปรับเปลี่ยนได้ แต่ถ้ายึดตามหลักความเป็นจริงแล้ว รถคันหนึ่งจะมีเลขไมล์ที่เพิ่มขึ้นโดยประมาณ 25,000 – 35,000 ต่อหนึ่งปี ซึ่งคุณต้องคำนวนอายุของรถควบคู่กับเลขไมล์ดูว่ามันสมเหตุสมผลกันหรือไม่
    3. ตรวจสอบเครื่องยนต์ หรืออุปกรณ์ต่างๆ ของรถ เริ่มจากยกฝากระโปรงขึ้นมาดู ว่าเครื่องยนต์นั้นมีความเสียหายหรือไหม หรือว่ามีสนิมจับหรือเปล่า นอกจากนั้น อย่าลืม ตรวจสอบตัวถัง และเลขเครื่อง เพราะถ้าหากเครื่องยนต์เสียหาย นั้นอาจแปลได้ว่ารถเคยเกิดอุบัติเหตุการชนหนักมา
    4. ควรตรวจสอบเครื่องยนต์ภายใต้ท้องรถด้วย เพราะจะได้มั่นใจได้ว่าเครื่องยนต์ไม่ผิดปกติ หรือว่ามีส่วนใดที่เสียหาย เพราะถ้าหากมีส่วนใดที่เสียหาย ก็จะได้ซ่อมได้อย่างทันทวงที หรืออาจหมายถึงว่ารถยนต์คันนั้นเคยถูกน้ำท่วมมา
    5. สุดท้ายที่ห้ามลืมเด็ดขาดสำหรับคนที่ซื้อรถบ้าน ก็คือ การตรวจเอกสารนั่นเอง เพราะว่าคุณจะต้องขอเอกสารทุกอย่างให้ครบถ้วนสำหรับการไปดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ ซึ่งควรที่จะขอดูสมุดเล่มทะเบียนรถว่าชื่อของผู้ขาย นั้นได้ตรงกับชื่อผู้มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันนั้นเป็นคนสุดท้ายหรือเปล่า

 

เช็กรถ

มั่นตรวจสภาพรถ เพื่อความปลอดภัย และยืดอายุการใช้งาน

หลายคนทำงานจนอาจไม่มีเวลาเช็กสภาพรถที่ใช้งานอยู่ทุกวัน หรือบางคนอาจละเลยจนมองข้ามไป ทำให้วันนี้ คาร์โร เลยอยากขอแนะนำ 7 สิ่งที่คนมีรถ ควรเช็กให้เป็นนิสัย ซึ่งนอกจากจะยืดอายุการใช้งานแล้ว ยังช่วยให้คุณประหยัดเงินค่าบำรุงรักษา และเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนนได้อีกด้วย

1. ก่อนออกรถเช็กสัญญาณเตือนหน้าปัด

สังเกตไหมว่า ทุกครั้งที่เราสตาร์ทรถจะมีเครื่องหมายสัญลักษณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบเครื่องยนต์ เข็มขัดนิรภัย น้ำมันเครื่อง ระดับความร้อน และระดับน้ำมัน ซึ่งแต่ละสัญลักษณ์ก็มีสีที่แตกต่าง คือ สีเขียวแปลว่าใช้งานได้ปกติ, สีเหลืองเป็นการเตือนแต่ยังสามารถใช้ได้อยู่ สีแดงบอกถึงอันตรายให้หยุดใช้รถและรีบตรวจสอบความผิดปกติ

ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องพื้นฐานก็จริง แต่ก็เป็นเรื่องพื้นฐานที่บางคนมองข้าม และรู้ตัวเอาอีกทีก็ตอนที่เกิดความเสียหายแล้ว

เช็กรถ

2. ตรวจสอบของเหลวภายในรถ

เช่นน้ำมันเชื้อเพลิง น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรค น้ำกลั่น น้ำหล่อเย็น เป็นต้น เราต้องหมั่นตรวจเช็คของเหลวเหล่านี้ให้เป็นนิสัย เพราะทุกสิ่งที่กล่าวมามีความสำคัญ และส่งผลถึงทุกการทำงานของรถที่คุณรัก เสียเวลาเช็กเล็กน้อย ดีกว่าต้องมาเสียเงินซ่อมรถที่หลังนะคะ

3. เปิดไฟทุกครั้ง

ทุกครั้งเวลาขับรถควรเช็กว่าสัญญาณไฟต่างๆ เช่นไฟหน้า ไฟหลัง ไฟเลี้ยว ไฟเบรก เปิดหรือไม่ เพราะบางครั้งมักละเลยว่าไฟเหล่านี้ยังอยู่ในสภาพใช้งานได้ อาจเป็นจุดกำเนิดของอุบัติเหตุบนท้องถนน และอุบัติเหตุก็เป็นตัวการที่ทำให้อายุการใช้งานของรถสั้นกว่าที่ควรจะเป็นด้วย

4. ตรวจเช็กลมยางให้เป็นประจำ

ควรตรวจเช็คลมยางสัปดาห์ละครั้งก็ยังดี ซึ่งนอกจากนี้ควรเช็คดอกยางด้วยว่าหายไปเยอะแค่ไหน และยางมีสิ่งผิดปกติติดอยู่บางหรือไม่ หรือกำหนดไปเลยก็ได้ว่าถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงจริงๆ ควรต้องเปลี่ยนทุกๆ 2 ปี เพื่อความปลอดภัย

เช็กลมยางรถ

5. แอร์เย็นเป็นปกติหรือเปล่า

ด้วยสภาพอากาศในบ้านเราที่แสงแดดแผดเผากันทุกฤดูขนาดนี้ ถ้าวันใดเกิดแอร์ของรถเสียขึ้นมาคงบันเทิงแน่ๆ เพราะฉะนั้นระวังอย่าให้น้ำยาแอร์หมด เพราะนอกจากคุณต้องทนอากาศร้อนแล้ว ยังส่งผลให้คอมเพรสเซอร์ทำงานหนักขึ้น และสุดท้ายก็อาจพังก่อนเวลาอันควร

6. ดูเลขไมล์

นอกจากจะนับว่าซื้อรถมาปีไหนแล้ว ยังต้องดูที่อายุการใช้งานของรถด้วยว่าเราใช้ไปกี่กิโลเมตร เพื่อที่เราจะนำรถไปตรวจสภาพได้ถูกต้อง ตรงตามกำหนด เป็นการยืดอายุการใช้งานของรถ และลดภาระรายจ่ายค่าซ่อมรถได้อีกทางหนึ่ง ที่สำคัญ ถ้าคุณมีแผนจะขายรถต่อ อย่าลืมว่าราคาของรถมือสองส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับอายุการใช้งานนี่ล่ะ ซึ่งถ้าคุณสนใจอยากขายรถ คลิก

7. ราคาน้ำมัน

ราคาน้ำมันมีผลต่อชีวิตประจำอย่างมาก เพราะค่าใช้จ่ายของใช้รถหลัก ๆ ก็เป็นคงค่าน้ำมัน และนอกจากดูเรื่องราคาแล้ว ก็อย่าลืมเช็กให้แน่ใจว่าประเภทของน้ำมันที่ใช้อยู่นั้นเหมาะสมกับรถของเราด้วย ซึ่งคุณสามารถติดตามราคาน้ำมันได้ ที่นี้