ขายรถ, ประกันภัย

Carro และ frank.co.th
ขอมอบสิทธิพิเศษให้สำหรับคุณลูกค้าคนพิเศษ

กรุงเทพฯ: (31 กรกฎาคม 2561) frank.co.th สานต่อบริการให้ครบเครื่องมากยิ่งขึ้น คุณฮัรเปรม ดูวา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง บริษัท แฟรงค์ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัด หรือเว็บไซต์  www.frank.co.th ผู้ให้บริการประกันออนไลน์แนวหน้าของประเทศไทย ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ประกันรถยนต์, ประกันเดินทาง, ประกันอุบัติเหตุ และมีบริการรับต่อ พ.ร.บ.รถยนต์ และ พ.ร.บ.จักรยานยนต์ออนไลน์

จับมือกับ คุณมานิต โกการ์ เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คาร์โร (ประเทศไทย) จำกัด หรือเว็บไซต์ th.carro.co ซึ่งเป็นผู้ให้บริการสำหรับการซื้อ-ขายรถยนต์มือสองผ่านเว็บไซต์ออนไลน์ที่มีคุณภาพสูง โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือ ต้องการเปลี่ยนให้การซื้อ-ขายรถเป็นเรื่องที่ง่ายสำหรับทุกคน จึงคิดค้นบริการขายด่วนอย่าง Carro express ที่ให้บริการสำหรับผู้ขายรถให้ได้รับความสะดวกสบายอย่างที่สุด รวมทั้งรวดเร็ว ทันใจ และพร้อมให้บริการโดยลูกค้าไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมใดๆ ทั้งสิ้น

ส่งต่อสิทธิพิเศษเพื่อลูกค้าคนพิเศษ โดยเฉพาะมีสิทธิพิเศษดังนี้ : ลูกค้า Frank ลงทะเบียนขายรถผ่าน QR Code ปิดการขายกับ Carro ได้รับเงิน 1,000 บาท ทันที!

ส่วนลูกค้า Carro รับส่วนลด 15% เมื่อซื้อประกันภัยทุกประเภท กับ frank ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2561 สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Penguin Privilege (www.frank.co.th/penguin-privilege)

 

ขายรถ, ประกันภัย

 

เกี่ยวกับ: บริษัท แฟรงค์ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัด (frank.co.th)

frank.co.th เป็นผู้นำแพลตฟอร์มให้บริการประกันออนไลน์ในเประเทศไทย ที่เน้นด้านการให้บริการลูกค้าเป็นอันดับหนึ่ง และยังมี ประกันออนไลน์ที่หลากหลายให้บริการ ได้แก่ ประกันรถยนต์ พ.ร.บ.รถยนต์, พ.ร.บ.รถจักรยานยนต์, ประกันการเดินทาง และประกันอุบัติเหตุ รวมถึงสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า Frank อย่าง Penguin Privileges ซึ่งมีสิทธิพิเศษส่วนลดและโปรโมชั่นมากมาย

ซื้อประกันภัยออนไลน์

ต่อประกันรถยนต์ออนไลน์ดีจริงหรือ ต้องพิจารณาปัจจัยใดบ้าง ?

ยุคออนไลน์ที่โซเชียลและอินเทอร์เน็ตเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน ผู้ขับขี่รถยนต์คงมีคำถามว่าเลือกต่อประกันรถยนต์ที่ไหนดี เพราะมีบริษัทฯ ประกันรถยนต์ออนไลน์หลายแบรนด์ให้เลือกมากมายเต็มไปหมด จนเลือกไม่ถูก แบบนี้จะต้องพิจารณาซื้อประกันรถยนต์จากอะไร

อย่าเพิ่งกังวลไปเพราะเรารวบรวมเทคนิคเลือกประกันรถยนต์ออนไลน์มาให้ชาว Carro แล้ว

 

1. พิจารณาจากความมั่นคง และความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ

เพราะการซื้อประกันรถยนต์สักกรมธรรม์ ไม่ว่าจะเป็น ประกันชั้น 1, ประกันชั้น 2/2+ หรือประกันชั้น 3/3+ แน่นอนว่าผู้ซื้อย่อมต้องการความคุ้มครองสูงสุด มีความคุ้มค่าดูแลชีวิตและทรัพย์สิน หากประสบกับเหตุไม่คาดฝัน นอกจากพิจารณาที่เบี้ยประกันราคาไม่แพง หรือมีราคาเหมาะสมแล้ว

การเลือกต่อประกันรถยนต์ที่ไหนดีคุณจะต้องพิจารณาจากความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ ประกันภัยออนไลน์ กล่าวคือ ต้องมองหาเลขที่ใบอนุญาตตัวแทนนายหน้าประกันวินาศภัยที่บริษัทประกันนั้น ๆ ได้รับจากคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (ค.ป.ภ.) ซึ่งต้องระบุอย่างชัดเจน เช่น (OIC license for non-life insurance registration number : XXXXX/XXXX) บนเว็บไซต์ประกันออนไลน์นั้น ๆ ลองสังเกตดูให้ดีก่อนซื้อหรือต่อประกันรถยนต์นะ

 

2. พิจารณาการดูแลของบริษัทฯ

เนื่องจากการต่อประกันรถยนต์ คือ การซื้อการดูแลเมื่อเกิดอุบัติเหตุ หรือเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เช่น รถชน, รถไฟไหม้, รถยนต์สูญหาย หรือภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วมจนรถเสียหายสตาร์ทไม่ติด เป็นต้น เพื่อให้ได้รับกรมธรรมคุ้มครองอุบัติเหตุเบื้องต้น

  • ดูแลค่ารักษาพยาบาลกรณีบาดเจ็บ มีความจำเป็นต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล รวมทั้งทุพพลภาพถาวรและชั่วคราวจากอุบัติเหตุ
  • ชดเชยกรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุส่วนบุคคล ตามเงื่อนไขประกันรถยนต์ที่ระบุไว้
  • คุ้มครองหากเกิดคดีฟ้องร้อง และผู้เอาประกันเป็นฝ่ายถูก ประกันรถยนต์มีหน้าที่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดีตามเงื่อนไขในกรมธรรม์

นอกจากพิจารณาเงื่อนไขกรมธรรม์เบื้องต้นที่เล่ามาแล้ว ก่อนต่อประกันรถยนต์ออนไลน์ เราจะต้องพิจารณาจากบริการอื่น ๆ ที่มีเพิ่มเติมนอกเหนือจากที่ระบุไว้ข้างต้น คือ มีบริการเสริมที่แตกต่างดูแลเราดีแค่ไหน เช่น บริการรถใช้ระหว่างซ่อมสำหรับประกันชั้น 1 จาก Frank หากประสบอุบัติเหตุ และมีความจำเป็นต้องส่งรถซ่อมในศูนย์หรือซ่อมอู่ ในเงื่อนไขที่รถยนต์คันนั้นไม่สามารถขับเคลื่อนได้  

ต่อประกันรถยนต์ออนไลน์ที่ไหนดี3. พิจารณาจากรีวิวลูกค้า

จะต่อประกันรถยนต์ออนไลน์ทั้งที ยุคมาร์เก็ตติ้ง 4.0 ที่สื่อโซเชียลมาแรงเช่นนี้ การรีวิวจากลูกค้าที่ใช้จริง หรือคะแนนความพึงพอใจเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ซื้อประกันต้องพิจารณาร่วมด้วย โดยพิจารณาจากการเสิร์ซหาข้อมูล เช่น “ประกันรถยนต์ที่ไหนดี” อ่านคอมเมนต์ตามเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ เว็บไซต์ และบล็อกพันทิป ฯลฯ เพื่อตัดสินใจซื้อประกันรถยนต์ออนไลน์หรือต่อประกันรถออนไลน์ ว่าประกันแบรนด์นั้น ๆ มีบริการเป็นอย่างไรดีแค่ไหน ก็จะช่วยให้การตัดสินใจต่อประกันรถยนต์ออนไลน์ง่ายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด  

4. พิจารณาสิทธิพิเศษเพิ่มเติม

ไม่มีใครอยากโชคร้าย ดังนั้น การต่อประกันติดรถยนต์ไว้ ถือเป็นการป้องกันภัยเบื้องต้น ดั่งสุภาษิตไทยที่ว่า “กันไว้ดีกว่าแก้” หลาย ๆ คนอาจจะมีความคิดว่า “เราจะต่อประกันรถยนต์ไปทำไมในเมื่อก็ขับขี่ปลอดภัย และไม่ได้เบิกเคลมอยู่แล้ว” หากใครที่คิดเช่นนี้ เราอยากจะบอกว่า การที่เราไม่ได้เบิกเคลมประกันรถยนต์นั้นถือเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ

ฉะนั้น การต่อประกันรถยนต์สักกรมธรรม์เราควรมองหาสิทธิพิเศษเพิ่มเติมที่ให้มากกว่าการคุ้มครองดูแลคุ้มครองด้านอุบัติเหตุ เช่น ของแถม, การให้ส่วนลดต่าง ๆ, ดีลพิเศษ พร้อมกับโปรโมชันดี ๆ ที่ตรงใจสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตคุณ นี่ถือเป็นเรื่องโอเค ดีต่อใจ และคุ้มค่ากับกับการจ่ายเบี้ยประกันในแต่ละปีไงล่ะจ้ะ

หลังจากอ่านจบแล้ว หวังว่าชาว Carro คงจะมีไอเดียต่อประกันรถยนต์ออนไลน์ หรือซื้อประกันรถยนต์ออนไลน์กันแล้วนะครับ

 

ข้อมูลจาก Frank.co.th

5 วิธีอัพเกรดรถยนต์คู่ใจ ให้ขับขี่ปลอดภัยทุกเส้นทาง

ขับขี่ปลอดภัยมากขึ้น ด้วยวีธีอัพเกรดรถเหล่านี้

ในทุกวันนี้ สิ่งที่อาจดูเป็นอันตรายและมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยมากที่สุดในแต่ละวันของเรา ก็อาจเป็นเพียงแค่การขับรถไป ณ ที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งถ้าใครเป็นเจ้าของรถรุ่นใหม่ใหม่ก็ถือว่าโชคดีไป เพราะว่ามักจะมีฟังชั่นเจ๋งๆไว้เพิ่มความปลอดภัยให้รถ เช่น เทคโนโลยีการเปลี่ยนเลนอย่างปลอดภัย เทคโนโลยีช่วยถอยรถเข้าซอง และระบบอัจฉริยะที่ป้องกันการพุ่งชนสิ่งกีดขวางได้ทันท่วงทีเป็นต้น

แต่ถ้าหากเพื่อนๆยังคงรักรถเก่าคู่ใจของเรา และยังไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนรถใหม่ เพื่อนๆก็ยังสามารถอัพเกรดรถคู่ใจของเราให้สามารถขับขี่ปลอดภัยได้ โดยไม่ต้องซื้อรถใหม่ แถมยังอาจช่วยให้เราประหยัดค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษารถได้เพิ่มขึ้นด้วยค่ะไปดูกันเลยว่ามีวิธีใดบ้าง

1) อัพเกรดยางรถ

5 วิธีอัพเกรดรถยนต์คู่ใจให้ขับขี่ปลอดภัยทุกเส้นทาง

การที่เราจะขับขี่ปลอดภัยบนถนนได้นั้น ก็เริ่มจากการที่เราใส่ใจเรื่องยางรถยนต์เป็นอันดับแรก เพราะเป็นส่วนเดียวของรถที่สัมผัสกับท้องถนนโดยตรง ซึ่งถ้าหากรถคู่ใจของเพื่อนๆ ไม่มีระบบเบรคที่ทันสมัยแต่อยากขับขี่ปลอดภัย ก็ให้เริ่มต้นที่ยางค่ะ ถ้าหากยางดี ก็จะช่วยให้เราสามารถเบรคได้ดียิ่งขึ้น รวมไปถึงยางที่ดีจะทำให้ควบคุมศูนย์ถ่วงและควบคุมทิศทางได้ดียิ่งขึ้นด้วย

แม้ว่ายางที่ได้มาตอนซื้อรถจะถือว่าดีในระดับหนึ่งที่ทำให้เราขับขี่ปลอดภัย แต่การอัพเกรดยางให้ดียิ่งขึ้นจะทำให้เพื่อนๆสามารถขับขี่บนท้องถนนได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น โดยยางควรมีดอกยางที่ลึกเพื่อรับกับสภาพเปียกชื้นบนท้องถนน และเดี๋ยวนี้ผู้ผลิตยางหลายเจ้าก็มีเครื่องมือออนไลน์เอาไว้ให้เราเลือกยางที่เหมาะสมกับรถของเรา หรือจะเข้าไปที่อู่ซ่อมรถและอู่เปลี่ยนยางเพื่อปรึกษาดูก็ได้ค่ะ

2) จัดระเบียบอุปกรณ์ และสายระโยงระยาง

5 วิธีอัพเกรดรถยนต์คู่ใจให้ขับขี่ปลอดภัยทุกเส้นทาง

ถ้าเพื่อนๆใช้ระบบสเตริโอรถรุ่นเก่า การที่เราอยากจะฟังเพลง mp3 หรือเพลงจากมือถือของเรา ก็ต้องใช้วิธีโมระบบรถด้วยการต่อสายระโยงระยางต่างๆ พอเราแต่งเติมสิ่งของเหล่านี้มากๆเข้า ก็ยิ่งทำให้มีสายระโยงระยางมากขึ้น ทำให้อาจบดบังทัศนวิสัย รวมไปถึงรบกวนการขับรถของเราได้ ทางที่ดีถ้าอยากขับขี่ปลอดภัย ก็ให้อัพเกรดอุปกรณ์เป็นดังนี้ค่ะ

  • ที่เสียบ usb แบบ 2 หัว: เหตุผลที่ควรมี 2 หัว ก็เพื่อว่าเวลาเราต้องการเสียบ usb เข้ากับหลายๆอุปกรณ์จะได้ไม่ต้องมาคอยถอดสายอันนึงแล้วเสียบเข้าไปใหม่ระหว่างขับรถนั่นเองค่ะ
  • สาย usb แบบยืดหดได้: สาย usb เช่นนี้จะทำให้เพื่อนๆสามารถปรับความยาวของสายให้ไม่มาเกะกะเราตรงที่นั่งคนขับได้ค่ะ
  • ที่ตั้งโทรศัพท์มือถือ: ให้เพื่อนๆล็อคโทรศัพท์มือถือเอาไว้กับที่ตั้งตรงส่วนหน้าปัดรถ หรือตรงช่องแอร์ก็ได้ จะทำให้เพื่อนๆสามารถเปิดแผนที่ดูเส้นทางจากโทรศัพท์มือถือได้อย่างง่ายดายค่ะ

3) ติดตั้งกล้องมองหลัง

5 วิธีอัพเกรดรถยนต์คู่ใจให้ขับขี่ปลอดภัยทุกเส้นทาง

ในขณะที่ปัจจุบันรถรุ่นใหม่ก็มักจะมีระบบที่สามารถแสดงภาพจากด้านหลังของรถได้ แต่สำหรับรถเก่าของเรา ถ้าหากอยากขับขี่ปลอดภัย ก็ควรติดตั้งกล้องมองหลังเอาไว้ด้วยเช่นกันค่ะ เพราะถ้าหากเราพึ่งกระจกมองหลังแต่เพียงอย่างเดียว อาจจะไม่สามารถมองเห็นสิ่งกีดขวางต่างๆที่หลังรถได้อย่างทั่วถึงค่ะ

ด้วยกล้องมองหลังถือเป็นสิ่งจำเป็นเนื่องจากผู้ขับขี่บนท้องถนนกว่าครึ่ง เคยเจอประสบการณ์ที่เกือบถอยรถชนสิ่งกีดขวางหรือชนคน เราจึงควรขับขี่ปลอดภัยและป้องกันเอาไว้ก่อนค่ะ

 

4) ติดตั้งระบบเตือนในมุมอับ

5 วิธีอัพเกรดรถยนต์คู่ใจให้ขับขี่ปลอดภัยทุกเส้นทาง

รถทุกคันมักจะมีมุมอับ ซึ่งเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ที่เราไม่สามารถมองเห็นได้เมื่อเรากำลังขับรถและมองไปข้างหน้า หรือแม้แต่ตอนที่เรามองกระจกส่องทาง นั่นทำให้ผู้ขับรถส่วนใหญ่ต้องการมองในมุมอับก็จะต้องหันหัวไปที่มุมนั้นเพื่อระแวดระวังอันตรายที่อาจเกิดขึ้น และแม้ว่าเพื่อนๆจะหันไปเช็กเอง ก็อาจจะไม่ได้ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ เนื่องจากทัศนวิสัยอาจจะไม่ดีได้ค่ะ

ทางที่ดี การติดตั้งระบบเตือนในมุมอับจะช่วยให้เพื่อนๆสามารถเปลี่ยนเลนได้อย่างปลอดภัย ซึ่งระบบเตือนเหล่านี้จะใช้เซ็นเซอร์ที่จะคอยตรวจจับอย่างอัตโนมัติว่ามียานพาหนะอื่นๆ เข้ามาอยู่ในมุมอับของเราหรือไม่ และถ้ามีก็จะส่งสัญญาณบอกเราให้ทราบ จึงทำให้เราสามารถขับขี่ปลอดภัยและโฟกัสไปที่ถนนทั้งข้างหน้าได้อย่างหมดห่วงค่ะ

 

5) ถอดกันชนแบบ Bull Bar ออก

5 วิธีอัพเกรดรถยนต์คู่ใจให้ขับขี่ปลอดภัยทุกเส้นทาง

สิ่งนี้น่าจะเป็นเหมือนการอัพเกรดให้น้อยลงเพื่อการขับขี่ปลอดภัยมากกว่านะค่ะ โดยกันชนแบบ Bull Bar นี้สามารถพบเห็นได้ตามรถขนาดใหญ่เช่นรถกระบะ 4 ประตู ซึ่งจริงๆแล้วกันชนประเภทนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ขับขี่ในเส้นทางกันดารหรือในป่าเขาที่มีโอกาสขับชนสัตว์ป่าเอาได้ง่ายๆ และสร้างความเสียหายแก่ตัวรถยนต์

แต่อย่างไรก็ดี ถ้าหากเพื่อนๆขับรถในตัวเมืองหรือตามย่านที่อยู่อาศัย การมีกันชนแบบ Bull Bar ก็อาจสร้างความเสียหายและทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บได้ง่ายกว่าถ้าหากเราขับรถไปชนคนเข้าค่ะ เพราะฉะนั้น ถ้าหากอยากขับขี่ปลอดภัยทั้งต่อตัวเองและคนรอบข้าง ก็ควรเอากันชนเช่นนี้ออกค่ะ

 

เห็นไหมค่ะว่า ไม่ว่ารถของเพื่อนๆจะเก่าหรือใหม่ เราก็มีทางอัพเกรดรถยนต์ให้เราสามารถขับขี่ปลอดภัยได้เสมอ อุปกรณ์เหล่านี้ก็มีราคาไม่สูงมากค่ะ หรือถ้าเพื่อนๆมองว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนรถคันใหม่จริงๆ ด้วยปัจจัยหลายๆอย่าง สามารถนำรถคันเก่าของเพื่อนๆ มาขายได้ที่ คาร์โร นะคะ จะได้นำเงินไปดาวน์เพื่อซื้อรถคันใหม่ค่ะ (ขายรถ คลิกที่ลิงค์ > th.carro.co/sell-car/express )

นอกจากนี้ ถ้าหากเพื่อนๆอยากขับขี่ปลอดภัยและอุ่นใจตลอดทุกเส้นทาง ก็อย่าลืมทำประกันรถยนต์ติดไว้ด้วยค่ะ เพื่อจะได้นำมาแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ไม่คาดฝันกับรถของเราได้ค่ะ เพื่อนๆสามารถเข้ามาเปรียบเทียบประกันรถยนต์ได้ที่เว็บไซต์โกแบร์เลยนะค่ะ

รถกระบะ

รู้หรือไม่ว่า
ประเทศไทยเป็นประเทศที่ใช้รถกระบะมากที่สุดในโลก

เพราะไม่ว่าคุณจะหันไปทางไหน ก็เห็นแต่รถกระบะเต็มไปหมด คุณคงสงสัยล่ะสิ ว่าทำไมรถกระบะถึงได้รับความนิยมในไทยมากมายขนาดนั้น

วันนี้ Carro เลยขอรับอาสาออกไปตะลุยหาเหตุผลมาให้เพื่อนๆ ดูกันว่า ทำไมรถกระบะถึงมีคนใช้กันแพร่หลาย และมันเหมาะกับคนไทยยังไง มาฝากจ้าาาาา

รถกระบะ

5 เหตุผลทำไม “รถกระบะ” ถึงเหมาะกับคนไทย

  • มีตัวเลือกที่หลากหลาย

รถกระบะ มีให้คุณได้เลือกกันมากมายหลายยี่ห้อ อีกทั้งยังมีไลน์อัพสินค้ามากถึง 30 ไลน์อัพเลยทีเดียว ทั้งนี้ก็เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลายยังไงล่ะ แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ยังไม่รวมรุ่นเครื่องยนต์ขนาดเล็กใหญ่ และการตบแต่งพิเศษอีกด้วยนะ

 

  • รถกระบะมีราคาค่อนข้างถูก

เนื่องจากกฎข้อบังคับทางด้านการลงทุนของรัฐบาล และด้วยการสนับสนุนดังกล่าว ทำให้มีการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศบ้าง ซึ่งนี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้รถกระบะมีราคาค่อนข้างถูก เมื่อเทียบกับรถเก๋ง หรือรถอเนกประสงค์อื่นๆ ที่ไม่ได้มีการส่งเสริมการลงทุน หรือสนับสนุนในลักษณะนี้

 

  • ประหยัดน้ำมันมากกว่า

ข้อดีของรถกระบะในบ้านเรา คือ เป็นเครื่องยนต์ดีเซลทั้งหมดทุกรุ่น ซึ่งเครื่องยนต์ดีเซลเหล่านี้สมัยก่อนอาจจะเสียงดังน่ารำคาญ แต่ในปัจจุบันศักยภาพในการขับขี่ได้พัฒนาให้ดีขึ้น โดยเฉพาะการประหยัดน้ำมันที่ดีกว่า แถมราคาน้ำมันดีเซลก็ถูกว่าเบนซินอีกด้วย

รถกระบะ

 

  • ตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่หลากหลาย

รถกระบะเป็นรถที่แปลก คือ ไม่ว่าคุณจะขับรถอย่างไร หรือมีรูปแบบการใช้ชีวิตแบบไหน มันก็ลงตัวกับคุณได้อย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ว่าคุณจะขับรถทุกวัน เดินทางไกลเป็นประจำ ความประหยัดของเครื่องยนต์ดีเซล ก็จะช่วยให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้มาก หรือถึงคุณจะไม่ขับรถทุกวัน แต่ชอบเที่ยวในวันว่าง รถกระบะก็พร้อมพาคุณ และเพื่อนๆ เดินทางเปิดโลกกว้าง แถมยังมีความสามารถในการลุยมากกว่า รถเก๋ง หรืออเนกประสงค์บางรุ่นอีกด้วย

 

  • ปลอดภัยกว่า

เรื่องธรรมชาติของความปลอดภัย คือ เรื่องมวล และน้ำหนัก ซึ่งรถกระบะมีขนาดใหญ่กว่า มีการทรงตัวที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับรถเก๋ง รวมถึงหากเกิดอุบัติเหตุ เกิดการชนขึ้นมาจริงๆ รถใหญ่จะได้รับความเสียหายน้อยกว่า ตามหลักการพื้นฐานของฟิสิกส์ เรื่องมวลรถ ตลอดจนหากชนกับรถเก๋ง มันก็ยังปกป้องคุณได้มากกว่าอีกด้วยล่ะค่ะ

 

อย่างไรก็ตาม หากคุณไม่ได้ติดที่รูปร่างลักษณะของรถยนต์ เราก็อยากให้คุณได้ลองขับรถกระบะดู แล้วคุณจะรู้ว่า รถกระบะนั้นตอบสนองต่อชีวิตประจำวันของคุณได้อย่างดีเยี่ยมเลยล่ะ (เลือกซื้อรถกระบะมือสอง คลิก> https://th.carro.co/taladrod/pickup )

ดูแลรถยนต์ช่วงหน้าฝน


ตอนนี้ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเต็มตัวแล้ว ซึ่งช่วงฝนตกนี้เป็นอะไรที่เซ็งสุดๆ เลย เพราะมันทั้งเฉอะแฉะ ทั้งเปียก ทำอะไรก็ลำบากไปหมด ไหนจะไม่สบายจากการตากฝนอีก ดังนั้น เพื่อนๆ ต้องดูแลสุขภาพของตัวเองกันด้วยนะคะ

แต่เอ๋… นอกเหนือจากการดูแลสุขภาพของตัวเองแล้ว การดูแลรถยนต์ก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะการที่รถตากฝนบ่อยๆ รถก็อาจจะไม่สบายได้ ฉะนั้น คุณจึงต้องดูแลรถให้มากขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งยังต้องทำความสะอาด และดูแลอย่างเป็นพิเศษอีกด้วย

วันนี้ คาร์โร จึงมีเทคนิค เคล็ด(ไม่)ลับ วิธีดูแลรถยนต์ในช่วงหน้าฝนอย่างง่ายๆ มาฝาก

ดูแลรถยนต์ช่วงหน้าฝน

5 เทคนิค เคล็ด(ไม่)ลับ ดูแลรถยนต์ ในช่วงหน้าฝน

  • ลุยฝนมา ให้รีบล้างรถ

หลังจากที่รถของคุณผ่านการตากฝนมาอย่างหนักหน่วง สิ่งที่คุณควรทำ ก็คือ ใช้น้ำเปล่าฉีดล้างให้คราบต่างๆ หลุดออกจากรถไปให้หมดก่อน แล้วจึงค่อยเช็ดด้วยผ้าสำหรับเช็ดรถ

เพราะการที่รถตากฝนมา แล้วคุณดันปล่อยรถทิ้งไว้โดยไม่ล้าง เพราะคิดว่าน้ำฝนได้ชะล้างสิ่งสกปรกไปหมดแล้ว ก็อาจทำให้เกิดคราบฝังแน่น และส่งผลต่อสีรถของคุณได้

 

  • ห้ามเช็ดรถ โดยไม่ได้ล้าง

กรณีนี้ก็เช่นกัน คนส่วนใหญ่มักคิดว่าการที่รถของคุณไปลุยฝนมา ก็เหมือนเป็นการล้างรถแล้ว ดั้งนั้น พอถึงบ้านปั๊บคุณก็เลยเช็ดรถปุ๊บ ซึ่งเราขอบอกเลยว่า ห้ามทำเด็ดขาด เพราะถ้าคุณเช็ดรถโดยไม่ได้ล้าง ก็อาจทำให้เกิดรอยขนแมวกับรถของคุณได้

 

  • ใต้ต้นไม้ ห้ามจอดรถ

ในช่วงหน้าฝนแบบนี้ ทางที่ดีคุณควรจอดรถให้ห่างต้นไม้ไว้จะดีกว่า เพราะในช่วงที่ฝนตกหนัก กิ่งไม้ ใบไม้ เกสรดอกไม้ ผลของต้นไม้ อาจจะปลิวหล่นมาโดนรถของคุณได้ หรืออย่างหนัก ต้นไม้ทั้งต้นก็อาจโค่นล้มลงมาทับรถของคุณจนพังเสียหายยับเยิน

 

  • เคลือบสีรถ ช่วยได้เยอะ

รู้หรือไม่ว่า ฝนที่ตกลงมานั้นมีสภาพเป็นกรดอ่อนๆ ซึ่งจะส่งผลต่อสีรถของคุณ ทำให้สีรถหมอง ดังนั้น หลังจากที่คุณทำความสะอาดรถเรียบร้อยแล้ว คุณควรนำรถไปเคลือบสีซะ

เพราะการเคลือบสี นอกจากจะทำให้รถของคุณสีสวยไม่ซีดแล้ว ยังช่วยให้น้ำไม่เกาะรถอีกด้วย แถมยังช่วยป้องกันคราบต่างๆ ได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญยังช่วยให้คุณล้างรถได้ง่ายขึ้นอีก

 

  • หมั่นเช็กสภาพรถ

ในช่วงหน้าฝนแบบนี้ การตรวจเช็กสภาพรถยนต์ถือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ของคุณ

 

ดูแลรถยนต์ช่วงหน้าฝน

ตรวจเช็กสภาพรถยนต์ ในช่วงหน้าฝน
เพื่อป้องกันอันตรายในการขับขี่

  • ใบปัดน้ำฝน

เรื่องทัศนวิสัยในการขับขี่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ยิ่งในช่วงฝนตกหนักยิ่งทำให้การมองทางของผู้ขับขี่แย่เข้าไปใหญ่ ดังนั้น การมีใบปัดน้ำฝนที่ยังคงทำงานได้ดีอยู่ จะช่วยให้คุณอุ่นใจในเรื่องการขับขี่มากขึ้นยังไงล่ะ

 

  • ยางรถยนต์

อย่างที่ทราบกันดีว่า ฝนตกถนนจะลื่นมาก และถ้าดอกยางของคุณไม่ดีล่ะก็ อุบัติเหตุถามหาแน่ๆ ดังนั้น คุณจึงควรหมั่นเช็กยางรถยนต์อยู่เสมอ ซึ่งการเช็กสภาพยางรถยนต์ก็ไม่ยากเลย คุณสามารถสังเกตได้จาก ถ้าดอกยางรถยนต์ของคุณมีความลึกต่ำกว่า 3 มิลลิเมตร ก็หมายความว่าถึงเวลาเปลี่ยนแล้วล่ะ

 

  • ระบบไฟส่องสว่าง

การตรวจเช็กระบบไฟส่องสว่าง จะช่วยลดอุบัติเหตุลงได้ ซึ่งคุณควรตรวจเช็กทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้า ไฟเบรกไฟท้าย ไฟเลี้ยว ไฟตัดหมอก หรือไฟส่องสว่างอื่นๆ เพราะการเช็กระบบไฟส่องสว่าง จะช่วยให้คุณมองเห็นทางได้ชัดเจนขึ้น

 

  • ระบบเบรก

เบรก คือ สิ่งที่สำคัญมากในการขับรถฝ่าฝนตก เพราะถ้าระบบเบรกทำงานได้ดี ก็จะช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุลงได้ แต่ถ้าคุณเบรกแล้วเริ่มมีเสียงดัง อันนี้ก็ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนผ้าเบรกได้แล้วล่ะค่ะ

 

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะหน้าฝน หน้าร้อน หน้าหนาว การตรวจเช็กสภาพรถยนต์ก็ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ควรทำอย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้ ก็เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเองทั้งสิ้น

เมาแล้วขับ-ติดคุก

เมาแล้วขับ เจอจับติดคุก!

ประเทศไทยเป็นหนึ่งประเทศที่เกิดอุบัติเหตุจากการเมาแล้วขับติดอันดับต้นๆของโลก จึงทำให้ทางรัฐบาลต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ และถึงแม้ว่ากฎหมายเมาแล้วขับรถจะประกาศออกมาเพื่อลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้งเพียงใด แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยได้ผลสักเท่าไหร่ เนื่องจากว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ

ซึ่งถ้าวัดจากสถิติเมาแล้วขับจะพบว่ายังมีอัตราสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผู้บังคับกฎหมายเล็งเห็นว่าควรจะปรับกฎหมายโดยให้เพิ่มโทษ ทำให้ผู้ขับขี่ที่กำลังคิดจะเมาแล้วขับ เล็งเห็นถึงอัตราโทษที่สูงขึ้น ซึ่งอัตราบทลงโทษใหม่ กฏหมายเมาแล้วขับ แบ่งออกเป็น 4 กรณี ดังนี้

1. ความผิดฐานขับรถขณะเมาสุรา

มีโทษ จำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับขั้นต่ำ 10,000 ถึง 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยศาลจะมีอำนาจในการสั่ง พักใช้ใบอนุญาตขับขี่ ไม่น้อยกว่า 6 เดือนหรือสามารถสั่ง เพิกถอนใบอนุญาต และอาจมีการเพิ่มมาตรการยึดรถในชั้นศาล ไม่เกิน 7 วัน

2. ความผิดฐานเมาแล้วขับ ส่งผลให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่ร่างกาย หรือ จิตใจ

มีโทษ จำคุก 1 – 5 ปี ปรับ 20,000 – 100,000 บาท โดยศาลจะสั่งพักใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือ เพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

3. เมาแล้วขับรถ เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส

มีโทษ จำคุก 2 – 6 ปี ปรับ 40,000 – 120,000 บาท ศาลสั่งพักใบอนุญาตขับขี่รถไม่น้อยกว่า 2 ปี หรือ เพิกถอนใบอนุญาตขับขี่รบ

4. เมาแล้วขับรถยนต์ เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

มีโทษจำคุก 3 – 10 ปี ปรับ 60,000 – 200,000 บาท ศาลสั่งให้เพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ทันที

อย่างไรก็ตาม ถึงจะมีการปรับแก้กฎหมายเมาแล้วขับ แต่ถ้าคนขับไม่มีสติที่จะเตือนตัวเองว่าเมาแล้วไม่ควรขับรถ อุบัติเหตุก็สามารถเกิดขึ้นได้เสมอ และยังไม่นับความเสียหายที่ตามมาอีกนับไม่ถ้วน

อีกทั้งไม่เพียงแค่ตัวเองเดือดร้อน อาจจะมีรวมถึงบุคคลอื่นที่โดนลูกหลงนี้ไปด้วย ฉะนั้น ถ้าคิดจะออกไปดื่มไม่ควรนำรถไป หรือพาคนที่บ้าน หรือเพื่อนที่ไม่ดื่มเป็นคนขับกลับแทน

เด็กในรถ-Feature

การเดินทางที่แสนพิเศษ คือ การได้ร่วมทางไปกับคนที่เรารัก

ทั้งปู่ย่า ตายาย ลุงป้า น้าอา พ่อแม่ พี่น้อง และที่สำคัญที่ขาดไม่ได้เลย ก็คือ ลูกน้อยที่แสนน่ารักน่าทะนุถนอมของคุณ

ซึ่งแน่นอนว่าการขับขี่ที่มีเด็กมาด้วยนั้น คุณต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างสูง เพราะเด็กจะมีความซุกซนในแบบฉบับของเด็กน้อย จนอาจซุกซนจนเกินเหตุ ทำให้เกิดอุบัติเหตุ หรืออันตรายขึ้นมาได้ ฉะนั้น วันนี้ คาร์โร จึงมีสิ่งที่ควรทำ และสิ่งที่ไม่ควรทำ หากมีเด็กอยู่ในรถมาฝากกันค่ะ

เด็กในรถ

4 สิ่งที่ไม่ควรทำ หากมีเด็กอยู่ในรถ

  • ห้ามเอาเด็กมานั่งตักในช่วงเวลาที่คุณกำลังขับรถ

ด้วยความรัก ความห่วงใย อยากอยู่ใกล้ลูกตลอดเวลา จึงทำให้พ่อแม่บางคนมักจะชอบเอาลูกมานั่งหลังพวงมาลัยในขณะที่ตัวเองขับรถอยู่เสมอ

แต่คุณรู้หรือไม่ว่า การกระทำเช่นนี้เป็นเรื่องที่ผิดมหันต์ และเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะแน่นอนว่า เด็กน้อยแสนซนนั้นจะไม่มีทางอยู่นิ่งเป็นแน่ โดยเด็กมักจะชอบใช้มือคว้าโน่น จับนี่ไปเรื่อย ทำให้คุณขาดสมาธิในการขับรถ และขาดความระมัดระวังจนทำให้เกิดอุบัติเหตุได้

 

  • ห้ามทิ้งเด็กไว้ในรถโดยลำพัง

ด้วยความซุกซนของเด็กที่เกินการควบคุม จึงเป็นเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นมาได้

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการที่เด็กไปกดล็อคประตูเล่น ดังที่เราเห็นได้จากข่าวหน้าหนึ่ง หรือตามจอทีวีบ่อยๆ จนต้องมีการเรียกกู้ภัยมาช่วยกันเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต

หรือซ้ำร้าย บางทีพ่อแม่ประมาทติดเครื่องยนต์ทิ้งไว้ แล้วเด็กดันเผลอไปโยกคันเกียร์ จนทำให้รถเคลื่อนที่ออกไปทำความเสียหายให้รถคันรอบข้าง หรืออาคารบ้านเรือนในละแวกนั้นได้

 

  • ห้ามทิ้งเด็กให้หลับอยู่ในรถ

หากคุณพ่อคุณแม่จะลงไปเข้าห้องน้ำ ไปเซเว่นหาขนมนมเนยให้ลูกกิน และให้ลูกนอนอยู่บนรถ เราขอบอกเลยว่าอย่าทำเช่นนั้นเป็นอันขาด ต้องปลุกแล้วอุ้มลูกลงไปด้วย

เพราะพัดลมแอร์จะดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่รถปล่อยออกไป กลับเข้ามาในรถอีก ซึ่งเป็นเหตุทำให้เด็กที่หลับอยู่บนรถนั้นมีออกซิเจนไม่เพียงพอต่อการหายใจ และทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ในที่สุด

 

  • อย่าใช้ความเร็วสูง

เมื่อมีเด็กโดยสารไปในรถยนต์ด้วย พ่อแม่ควรใช้ความเร็วของการขับขี่ที่ต่ำกว่าปกติ และควรเว้นระยะห่างจากคันหน้าในระยะที่มากขึ้น

เพื่อลดการเบรกอย่างรุนแรง รวมถึงการเข้าโค้ง หรือเลี้ยวที่จะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพื่อลดการเหวี่ยง ซึ่งอาจทำให้เด็กที่ไม่ทันระวังได้รับบาดเจ็บจากการกระแทกได้

เด็กในรถ

สิ่งที่ควรทำ หากมีเด็กอยู่ในรถ

สิ่งที่ควรทำหากมีเด็กอยู่ในรถ ก็คือ ถ้าในรถมีเด็กที่อายุต่ำกว่า 12 ปี ให้จับนั่ง Car Seat (เบาะนั่งสำหรับเด็ก) ทุกครั้ง ไม่ว่าจะไปไหนใกล้ไกลก็ตาม เพราะคุณสมบัติของ Car Seat จะช่วย Safety และลดอาการบาดเจ็บในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุได้

ซึ่งการติดตั้งที่ถูกต้องก็คือ ควรติดตั้งอยู่ตรงกลางของเบาะหลัง อย่ารัดให้แน่นมากเกินไป เพราะอาจทำให้เด็กอึดอัด และหายใจไม่ออกได้ค่ะ

ความรู้เพิ่มเติม เรื่องของเบาะนั่งสำหรับเด็ก (Car Seat) เบาะนั่งสำหรับเด็ก มีหลากหลายประเภทด้วยกัน ดังนี้

  • แบบ Rear Facing แบบ Rear Facing นั้นจะเป็นเบาะนั่งสำหรับเด็กที่มีลักษณะคล้ายๆ รถเข็นเด็กทารก ซึ่งจะเหมาะกับเด็กแรกเกิดจนถึงเด็กอายุ 1 ขวบ
  • แบบ Front Facing แบบ Front Facing จะเป็นเบาะนั่งสำหรับเด็กเล็ก ซึ่งให้เด็กนั่งตั้งหน้าตัวตรง ใช้สำหรับเด็กอายุ 1-4 ปีขึ้นไป
  • แบบ Booster แบบ Booster จะเป็นเบาะนั่งสำหรับเสริมความสูง ใช้สำหรับเด็กอายุ 4 – 10 ปี
  • แบบ ผสม แบบ ผสม คือการนำเบาะทั้ง 3 แบบด้านบน มารวมอยู่ในอันเดียว

ทั้งนี้ คนที่เป็นพ่อเป็นแม่ควรมีความระมัดระวังตลอดเวลา และห้ามประมาทแม้แต่วินาทีเดียว เพราะแม้เสี้ยววินาทีเดียว ลูกน้อยของคุณอาจจากคุณไปตลอดกาล

9-ทริค-ง่ายๆ-ช่วยยืดอายุรถกระบะ

วิธีดูแลรักษาไม่ให้การใช้งานของรถกระบะสุดรัก
สั้นกว่าที่ควรจะเป็น


ระยะเวลาตลอดเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา รถขวัญใจชาวไทยก็ยังคงเป็นรถกระบะ อาจเพราะหลายๆปัจจัยทั้งเรื่องของราคาเอย ความประหยัดเอย และที่สำคัญคือความทนทาน ซึ่งถึงแม้ว่ารถกระบะนั้นจะอึด จะทน สักแค่ไหน ก็ต้องดูแลรักษาไม่ให้การใช้งานของรถกระบะนั้นสั้นกว่าที่ควรจะเป็น

วันนี้ คาร์โร จึงจะมาบอกทริคง่ายๆในการดูแลรถกระบะ ให้คงสภาพเหมือนซื้อใหม่มาฝากถึงเพื่อนๆกันค่ะ

1.อย่าลืม! ที่จะเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามระยะที่กำหนด

รถกระบะ, วิธี, การดูแลรักษา, กระบะ, รถปิคอัพ, pickup

เชื่อว่าเพื่อนๆหลายคนอาจจะไม่ลืม แต่กลับละเลยแทน เรื่องนี้เป็นเรื่องพื้นฐานสำคัญเลยนะคะ ที่จะช่วยยืดอายุการใช้งานของรถให้อยู่กับเพื่อนๆไปได้นานๆ ซึ่งโดยปกติแล้วการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและกรองน้ำมันเครื่องจะอยู่ที่ทุก ๆ 10,000 กิโลเมตร หรือ 6 เดือน (ขึ้นอยู่กับว่าอย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) หรือดูกำหนดการเปลี่ยนจากคู่มือที่ติดมากับรถก็ได้ค่ะ



2.สลับยางตามระยะ

รถกระบะ, วิธี, การดูแลรักษา, กระบะ, รถปิคอัพ, pickup

โดยทั่วไปล้อหน้าจะมีการสึกหรอที่มากกว่า (ซึ่งก็อาจขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานและการขับขี่ของเพื่อนๆด้วย) ทำให้ต้องมั่นสลับยางตามที่คู่มือประจำรถกำหนด เพื่อนๆจะได้มีการขับขี่ที่ราบเรียบ และยังช่วยลดภาระการทำงานของระบบกันสะเทือนที่เกิดจากการสั่นของยางอีกด้วยนะคะ



3.รักษาโครงสร้างยาง

รถกระบะ, วิธี, การดูแลรักษา, กระบะ, รถปิคอัพ, pickup

ในขณะที่ล้อรถหมุนเราควรที่จะรักษาความสมดุล เพื่อให้ระบบกันสะเทือนมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้นค่ะ ส่วนสภาพเส้นทางที่เป็นหลุมและบ่อ หรือการใช้งานแบบออฟโรดก็จะยิ่งทำให้ยางรถยนต์ขาดความสมดุลยิ่งขึ้น จะทำให้เพื่อนๆต้องเสียเงินกับค่าเปลี่ยนยางใหม่เร็วขึ้นนะคะ



4.การตั้งศูนย์ถ่วงล้อ

รถกระบะ, วิธี, การดูแลรักษา, กระบะ, รถปิคอัพ, pickup

ก็ต้องยอมรับว่าหลุมบ่อบนถนนหนทางในบ้านเรานั้นเยอะแยะเสียเหลือเกิน ถ้าเพื่อนๆ ขับรถด้วยความเร็วจะทำให้หลบหลุมบ่อพวกนี้ไม่ทันจนต้องตกหลุมอยู่บ่อยๆ ซึ่งนี้แหละค่ะ เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ศูนย์ล้อผิดเพี้ยนไปจากเดิม จึงทำให้ยางเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังมีผลเสียที่ตามมาอย่างรถกินน้ำมันเพิ่มขึ้น และมีการบังคับควบคุมที่แย่ลงด้วยค่ะ

 

5.ตรวจสอบระบบไฟ

รถกระบะ, วิธี, การดูแลรักษา, กระบะ, รถปิคอัพ, pickup

อย่างน้อยในเดือนละครั้ง เพื่อนๆ ต้องหาเวลาเพื่อตรวจเช็กระบบไฟทั้งภายนอกและภายใน หากพบความผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อยก็ควรจะรีบดำเนินการทำการแก้ไขก่อนที่ปัญหาจะลุกลามมากกว่าเดิมค่ะ

Tip : เพื่อนๆ ควรจะพกฟิวส์ไว้เป็นอะไหล่สำรองในยามฉุกเฉินด้วยนะคะ

 

6.ตรวจสอบของเหลวให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

รถกระบะ, วิธี, การดูแลรักษา, กระบะ, รถปิคอัพ, pickup

เริ่มแรกเพื่อนๆ ควรเช็กระดับน้ำมันเครื่อง วัดตอนเครื่องยนต์ดับ (อุณหภูมิเครื่องยนต์ปกติ) 1-5 นาที (หรือตามที่คู่มือประจำรถระบุนะคะ) ต่อมาเช็กระดับน้ำหล่อเย็นสำหรับเครื่องยนต์เพื่อป้องกันการโอเวอร์ฮีทของเครื่องยนต์ค่ะ โดยดูระดับน้ำว่าลดลงมากจนผิดปกติหรือไม่ อาจเกิดจากการรั่วซึม หากจำเป็นต้องมีการเติมน้ำยาหล่อเย็นหรือคูลแลนท์ (Coolant) ซึ่งควรใช้ให้ตรงตามที่ผู้ผลิตกำหนดไว้ในคู่มือประจำรถด้วยนะคะ และสุดท้ายระดับน้ำล้างกระจกควรอยู่ในระดับที่เหมาะสมเช่นกัน

 

7.ถึงเวลาเปลี่ยนไส้กรองอากาศก็ต้องเปลี่ยน

รถกระบะ, วิธี, การดูแลรักษา, กระบะ, รถปิคอัพ, pickup

ไส้กรองอากาศจะกรองฝุ่นละอองไม่ให้เข้าไปสู่ห้องเผาไหม้ในเครื่องยนต์ ฉะนั้นถ้ายิ่งสะอาดจะยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ อีกทั้งมีผลต่ออัตราเร่งและอัตราสิ้นเปลืองที่ดีอีกด้วย ซึ่งนานๆไปอาจเกิดการอุดตันได้ แต่เพื่อนๆก็ควรเปลี่ยนไส้กรองอากาศตามอายุการใช้งานที่ผู้ผลิตได้กำหนดไว้ หรือ 20,000-40,000 กิโลเมตร


8.บำรุงรักษาตามลักษณะการใช้งาน

รถกระบะ, วิธี, การดูแลรักษา, กระบะ, รถปิคอัพ, pickup

การดูแลรักษารถกระบะแสนรักของเพื่อนๆให้อยู่ไปด้วยกันอีกนานแสนนาน คือ เมื่อถึงเวลาที่ต้องเข้ารับการตรวจเช็กตามกำหนด ก็ต้องไป และเมื่อเข้าอู่เพื่อนๆต้องบอกให้ช่างทราบว่ามีลักษณะการใช้งานเป็นประจำอย่างไร ตัวอย่างเช่น บรรทุกของหนักอยู่ตลอดเวลา, วิ่งบนเส้นทางทุรกันดารเป็นประจำ, ใช้งานในเมือง หรือแม้แต่รถที่จอดทิ้งไว้ไม่ค่อยได้ใช้ก็ตาม

 

9.คู่มือประจำรถ ต้องห้ามหาย! และต้องอ่าน!

รถกระบะ, วิธี, การดูแลรักษา, กระบะ, รถปิคอัพ, pickup

หลายคนกลับมองข้ามคู่มือประจำรถ ทำให้ดูแลรักษากันผิดวิธีจนรถกระบะของเพื่อนๆโทรมเร็วกว่าที่ควรจะเป็น เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับการดูแลรักษารถกระบะคู่ใจ นั้นได้ถูกแนะนำไว้ในคู่มือประจำรถตั้งแต่ออกมาจากโรงงานแล้ว ตั้งแต่การทำความสะอาด มาตรฐานน้ำมันเครื่อง น้ำมันเบรก น้ำมันพาวเวอร์ และของเหลวอื่น ๆ ที่เหมาะสม รวมถึงระยะเวลาการบำรุงรักษา


สุดท้าย เพื่อนๆต้องอย่าละเลยการดูแลรถกระบะ ถึงแม้ว่ารถกระบะจะทนทานแค่ไหน แต่ก็มีวันที่รถกระบะนั้นพังได้ และพอวันที่อยากจะขายรถกระบะ ก็ทำให้ขายไม่ได้ราคาดี แม้จะเป็นที่ต้องการของตลาดรถก็ตาม ฉะนั้นการดูแลรักษารถกระบะคู่ใจไม่ใช่เรื่องยากเลยนะคะ หากเพื่อนๆให้ความใส่ใจ ทำตามที่แนะนำ และอ่านคู่มือประจำรถ เท่านั้นเองค่ะ

ขับรถ, เที่ยว, เตรียมความพร้อม

เตรียมสิ่งเหล่านี้! ให้พร้อมก่อนเที่ยว
จะได้ปลอดภัยทั้งคนทั้งรถขณะเดินทาง

สวัสดีค่ะ เพื่อนๆ การขับรถเที่ยว ก็เป็นอีกกิจกรรมที่เวลาเราไปกับเพื่อนฝูง หรือครอบครัวทีไร ก็มันส์สุดๆ ทุกทีว่ามั้ยเอ๋ย? แต่ถ้าหากรถของเพื่อนๆไปเสียเอากลางทางระหว่างขับรถเที่ยว ก็คงน่าปวดหัวแย่ รวมไปถึงเพื่อนร่วมทางและรถคันอื่นที่เดินทางต่อมาอยู่ด้านหลัง ก็คงเซ็งไม่น้อยที่รถของเราไปทำรถติด ทำให้คนอื่นๆไม่สามารถเดินทางไปได้

เพราะฉะนั้น การเตรียมความพร้อมให้รถของเพื่อนๆก่อนขับรถเที่ยว ถือเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่จะลดความเสี่ยงต่อการเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินเหล่านี้ไปได้ค่ะ


นำรถไปตรวจเช็กสภาพล่วงหน้า

เพื่อนๆ อย่าลืม! ว่าถ้าเราเอารถเข้าอู่เพื่อตรวจเช็กสภาพนาทีสุดท้าย เช่น 1 หรือ 2 วันก่อนขับรถเที่ยว ก็อาจจะกระชั้นชิดไป แนะนำให้นำรถไปตรวจเช็กล่วงหน้าซักประมาณ 3 อาทิตย์กำลังดีค่ะ

โดยทางช่างก็จะทำการตรวจเช็กน้ำมันเครื่องและของเหลวต่างๆ เช่นน้ำมันเบรคน้ำยาแอร์ น้ำหน้าปัดรถ เป็นต้น รวมไปถึงเช็กแบตเตอรี่รถยนต์ว่ามีการสึกหรอหรือไม่ เช็กไฟรถ เช็กลมยาง เช็กสายไฟต่างๆ เช็กระบบเบรค เช็กที่กรองอากาศและที่กรองน้ำมัน เป็นต้น

 


การเตรียมตัวเบื้องต้น ก่อนขับรถเที่ยว

  1. ติดตั้งระบบ GPS: การติดตั้งระบบ GPS จะช่วยให้เพื่อนๆสามารถขับรถเที่ยวได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้นโดยที่เพื่อนๆไม่ต้องมาคอยพะวงหาสถานที่บนแผนที่ แต่อย่างไรก็ตาม GPS ก็ไม่ได้เป็นทุกอย่างให้เพื่อนๆหรอกนะคะ เราควรมีแผนที่กระดาษติดรถเอาไปด้วยในกรณีที่อุปกรณ์แบตหมด จะได้มีแผนที่สำรองเอาไว้ดูระหว่างขับรถเที่ยว
  2. ทำความสะอาดรถทั้งภายในและภายนอก: ก่อนที่เพื่อนๆจะออกไปขับรถเที่ยว อย่าลืมทำความสะอาดรถให้เรียบร้อย พร้อมรับกับแป้งดินสอพองและน้ำเย็นๆที่จะสาดเข้ามาที่ตัวรถ รวมถึงขัดป้ายทะเบียนให้สามารถมองเห็นเลขได้ชัดก็จะดีมากค่ะ นอกจากนี้ ให้เก็บเศษเงินหรือของมีค่าในรถให้พ้นสายตาไปให้หมด เพื่อกันมิให้มิจฉาชีพทำการทุบรถเพื่อเอาของมีค่าเหล่านั้นระหว่างที่เพื่อนๆไม่อยู่ที่รถค่ะ
  3. เช็กลมยาง: ก่อนเพื่อนๆไปขับรถเที่ยว ก็อย่าลืมเช็กลมยางและสภาพยางว่ายังอยู่ในสภาพดีหรือไม่ด้วยนะคะ

 


นำอุปกรณ์ฉุกเฉินติดรถไปด้วย

อย่าลืม! นำเอาอุปกรณ์ฉุกเฉิน เช่น คู่มือรถยนต์ ไฟฉายพร้อมถ่านไฟสำรอง โทรศัพท์มือถือ แผนที่ อุปกรณ์ปฐมพยาบาล ขวดแกลลอนเปล่าๆ ถุงมือ สายจั๊มแบต น้ำกลั่น อุปกรณ์ช่าง ที่เช็กลมยาง ยางสำรอง เป็นต้น ติดรถไปด้วยนะคะ เพื่อที่ในกรณีที่รถของเพื่อนๆเสีย ระหว่างที่เรารอเจ้าหน้าที่ประกันหรือช่างซ่อมมาถึง เพื่อนๆจะได้มีอุปกรณ์เหล่านี้เอาไว้คอยตรวจสอบและแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อนค่ะ

 


จัดของใส่รถไปยังไงดี

หลายคนอาจจะไม่คุ้นเคยกับการจัดของใส่รถก่อนขับรถเที่ยว หลักการของการจัดของใส่รถก็คือ ให้เพื่อนๆเอาเพียงของที่จำเป็นไปเท่านั้น ไม่เตรียมของไปเยอะจนเกินไป เพื่อที่ว่าผู้ร่วมทางกับเพื่อนๆจะได้มีที่นั่งสะดวกสบาย ของไม่รกจนเกินไปจนหาอะไรไม่เจอ แถมจะได้ไม่ต้องเสียเวลาแพ็คของลงจากรถหลังจบทริปค่ะ ทำทุกอย่างให้ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย เพื่อเพื่อนๆจะได้จำได้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน

นอกจากนี้ยิ่งเพื่อนๆแพ็คของเยอะเกิน รถของเพื่อนๆก็ยิ่งจะต้องรับน้ำหนักที่มากเกินกว่าความจำเป็น ทำให้ไม่ปลอดภัยในการขับขี่ได้ค่ะ โดยอาจทำให้รถทรงตัวอยู่บนถนนได้ยาก ระบบเบรคทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพ ยางบวม จะหักเลี้ยวก็ยาก รถกินน้ำมันเพิ่มขึ้น ศูนย์ถ่วงรถไม่ดี

อีกทั้งถ้าหากเพื่อนๆแพ็คของหนักเกินไป ประกันก็อาจจะไม่จ่ายค่าคุ้มครองให้กับรถของเพื่อนๆในกรณีเกิดอุบัติเหตุได้นะคะ

เพราะฉะนั้นแล้ว ก่อนที่เพื่อนๆจะแพ็คของใส่รถ ก็ให้ลองตรวจสอบในคู่มือรถยนต์ดูก่อนว่า รถของเพื่อนๆนั้นมีความสามารถแบกรับน้ำหนักได้กี่กิโลกรัมค่ะ

 

สุดท้ายแล้วใครที่กำลังวางแผนขับรถเที่ยว ก็อย่าลืมดูแลรถยนต์ให้ดี เราจะได้พร้อมตลอดเวลาหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินนั่นเองค่ะ นอกจากนี้ เพื่อนๆอย่าลืมทำประกันรถยนต์ติดไว้จะได้ช่วยคุ้มครองในกรณีอุบัติเหตุต่างๆบนท้องถนนได้ด้วยนะคะ เพื่อนๆสามารถเปรียบเทียบประกันการเดินทางได้ที่เว็บไซต์โกแบร์เลยค่ะ

อย่าทิ้งของมีค่า

อย่า! เก็บของมีค่าไว้ในรถ จอดที่ไหนก็เสี่ยง!

เชื่อว่าทุกคนมีความกังวลไม่มากก็น้อย ในเรื่องของ “รถหาย”!! จึงคอยระแวดระวังกัน เพราะทุกวันนี้มี “โจรชุม” เหมือนยุง แต่สิ่งหนึ่งที่ถือเป็นภัยใกล้ตัวของคนมีรถยนต์ นอกจากรถหายเพราะถูกโจรกรรมแล้ว ก็หนีไม่พ้น “โจรทุบกระจกฉกทรัพย์” ซึ่งไม่ใช่ภัยรูปแบบใหม่ แต่เป็นภัยที่เกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ มีทั้งโจรหน้าเก่า หน้าใหม่ สลับกันก่อเหตุ

กระจกห้องโดยสารของรถ ถือเป็นส่วนที่เปราะบางที่สุดของรถ สามารถถูกทำลายได้โดยง่าย ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที คนร้าย ก็สามารถเข้าไปรื้อค้นหาทรัพย์สินของมีค่า ที่เจ้าของเก็บไว้ภายในรถอย่างรวดเร็ว

ที่ผ่านมามีผู้เคราะห์ร้ายทุกสาขาอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นคนดัง ศิลปิน ดารา นักร้อง นักกีฬา นักธุรกิจ พ่อค้าแม่ขาย พนักงานออฟฟิศ หรือแม้แต่ตำรวจก็ไม่ได้รับการละเว้นจากบรรดาโจรทุบกระจกรถ บางรายสูญทรัพย์สินเป็นจำนวนหลักแสน หรือมากกว่า บางรายก็โชคร้ายถึงขั้นถูกขโมยรถยนต์ไปด้วย

ถึงแม้หลังเกิดเหตุลักษณะนี้ขึ้นตำรวจในแต่ละท้องที่ได้ “ล้อมคอก” เพิ่มการตรวจตราระมัดระวัง ส่งสายตรวจเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น แต่คนร้าย ก็ยังสามารถหาช่องโหว่ รอจังหวะสบโอกาสก่อเหตุอีกนับครั้งไม่ถ้วน เพราะคนร้ายก็พยายามคิดค้นหาวิธีหลบเลี่ยงการทำงานของตำรวจได้อยู่เสมอ

จากสถิติการเกิดคดีอาชญากรรม ที่ กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) เคยทำเอาไว้ พบว่า ถนน 4 เส้นทางในกรุงเทพมหานคร ได้แก่ ถ.เกษตร-นวมินทร์ ถ.วิภาวดีรังสิต ถ.พหลโยธิน และ ถ.รัชดาภิเษก โดยเฉพาะ แยกห้วยขวาง เกิดเหตุคนร้ายทุบกระจกรถยนต์ขโมยทรัพย์สินมากที่สุด อาจเป็นเพราะย่านนี้ มีร้านอาหารริมทางเปิดให้บริการอยู่จำนวนมาก ประชาชนจึงจอดรถไว้ริมทางโดยไม่ระวัง คนร้ายจึงฉวยโอกาสลงมือได้ง่าย

แถม “วิวัฒนาการโจร” ทุกวันนี้ ได้ลามเข้าไปก่อเหตุตามลานจอดรถห้างสรรพสินค้าต่างๆ ที่แม้จะมีระบบรักษาความปลอดภัย มีทั้ง รปภ.และกล้องวงจรปิดทุกซอกมุม ยังไม่รอด!

โจรทุบกระจกรถเหล่านี้ พฤติการณ์ส่วนใหญ่แล้ว สายตาจะคอยหารถยนต์เป้าหมายที่มีทรัพย์สินมีค่าอยู่ภายในรถ เช่น กระเป๋าเงิน เครื่องคอมพิวเตอร์ กล้องถ่ายรูป ฯลฯ

ดังนั้น การจอดรถในแต่ละครั้ง แต่ละสถานที่ ควรจัดเก็บสิ่งของต่างๆ ให้ลับตาคน อย่าเปิดเผย อย่าแต่งตัวล่อตาล่อใจแก่ผู้พบเห็น สำหรับสิ่งของ หากสามารถนำติดตัวไปด้วย ก็จะปลอดภัยเพิ่มขึ้น

 

วิธีป้องกันโจรขโมยของทุบกระจกรถ มีอยู่ 4 ข้อหลัก คือ

1. อย่าจอดรถในที่มืด ไม่ว่าจะจอดชั่วคราวหรือจอดทั้งคืน เนื่องจากการจอดรถ เปรียบเหมือนการฝากทรัพย์สินที่สำคัญ ควรจะจัดหาที่จอดรถที่เหมาะสม และถ้าเป็นไปได้ หาที่จอดรถที่มีแสงสว่าง และไม่ควรอยู่ห่างจากบ้านตัวเอง เพื่อที่จะได้รับรู้กรณีมีเหตุฉุกเฉิน

2.อย่าอยู่ในที่เปลี่ยว หรือลับตาคนเป็นอันขาด แต่ถ้าไม่สามารถเลี่ยงได้ ให้จอดรถโดยอย่าให้ด้านผู้โดยสารอยู่ด้านนอกถนน และจัดการล็อกรถให้ดี เป็นไปได้ควรออกมาตรวจสอบรถบ่อยเท่าที่จะทำได้

3.รถไม่ใช่บ้าน ไม่ใช่ตู้เซฟ ไม่ควรวางหรือเก็บของมีค่าเอาไว้ ซึ่งส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ทั้งหมด ต้องยอมรับว่าของมีค่าเป็นสิ่งล่อตาล่อใจโจร แม้หลายครั้งที่โจรทุบกระจกจะเป็นการเดาสุ่ม แต่ก็ต้องเป็นการเดาสุ่มแบบมีความเป็นไปได้ ส่วนหนึ่งอาจจะเกิดจากการเคยรู้เคยเห็น ดังนั้นจึงไม่ควรนำทรัพย์สินไว้ในรถ

4.สัญญาณกันขโมย เมื่อมีแล้วต้องใช้ให้เป็น ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะสามารถป้องกันโจรได้ หากอยู่ในพื้นที่เสี่ยงก็ควรปรับตั้งค่าให้มีความอ่อนไหวสูง แต่ไม่ต้องถึงขั้นหมาเห่าหรือรถวิ่งผ่านยังดัง ควรให้ช่างช่วยปรับตั้งในระดับที่เอามือแปะกระจกแรงๆ แล้วดังก็พอ แม้สัญญาณกันขโมยอาจไม่ช่วยกันแบบ 100% แต่ก็พอจะช่วยประวิงเวลาโจร หรืออย่างน้อยมันอาจจะตกใจ หนีไปก็ได้

แม้แนวป้องกันอาจจะเป็นเพียงวิธีพื้นฐาน แต่หลายคนยังละเลยที่จะปฏิบัติตาม โดยเฉพาะการวางของมีค่าไว้ในรถ ส่วนหนึ่งมาจากความมักง่าย ที่ไม่ชอบนำของมีค่าลงไปจากรถ แม้จะชั่วครู่ชั่วคราว จนทำให้เป็นที่หมายตาโจร ดังนั้น “กันไว้ดีกว่าแก้” น่าจะดีที่สุด..!!

 

Ref : komchadluek.net