นอนในรถ

นอนในรถ อาจตายได้อันตรายจากก๊าซพิษ!
ควรดับเครื่องยนต์ก่อนนอน

สำหรับคนที่ขับรถอยู่ทุกวัน คงจะมีบางครั้งที่คุณรู้สึกง่วงจนต้องแวะเข้าปั้มเพื่อล้างหน้าล้างตาและหากาแฟดื่ม หรือบางคนที่ง่วงจริงๆ ก็ถึงขั้นนอนในรถกันเลยทีเดียว ซึ่งก็ไม่ผิดอะไรที่คุณจะนอนในรถ เพราะถ้าคุณง่วงมากๆ แล้วฝืนขับรถต่อไป ก็อาจจะ “หลับใน” จนเกิดอันตรายได้

นอนในรถเครดิตรูป : www.trthaber.com

แต่ “การนอนในรถ” ถ้านอนผิดวิธี ก็อันตรายไม่แพ้หลับในเช่นกัน! เนื่องจากการสตาร์ตเครื่องยนต์และเปิดแอร์ทิ้งไว้ เครื่องยนต์จะปล่อยก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ซึ่งเป็นก๊าซพิษออกมาในขณะที่รถยนต์จอดอยู่กับที่ และระบบแอร์ก็จะดูดอากาศจากด้านนอกเข้ามาในรถตอนเราหลับ เท่ากับว่าตอนนั้นเรากำลังสูดควันพิษจากก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์เข้าไป

แรกเริ่มจะทำให้มีอาการปวดศีรษะ อ่อนเพลีย อาเจียน เมื่อได้รับปริมาณมาก ก็จะไม่รู้สึกตัว ระบบหายใจล้มเหลว และเสียชีวิตในที่สุด เพราะร่างกายขาดออกซิเจนนั่นเอง เห็นหรือยังว่า “การนอนในรถ” ถ้านอนสุ่มสี่สุ่มห้ามันอันตรายกว่าที่คุณคิด

ด้วยความเป็นห่วงจาก Carro ในบทความนี้ เราจึงรวบรวมวิธี “การนอนในรถ” อย่างถูกต้อง เมื่อคุณจำเป็นต้องพักหรือนอนในรถจริงๆ เท่านั้น (รู้แล้วบอกต่อจะดีมาก)

 

1.เลือกทำเลที่จอด : เลือกที่จอดรถที่ปลอดภัย ไม่กีดขวางทางจราจร ไม่อันตราย มีพื้นที่จอดอย่างเหมาะสม ไม่ติดร่องน้ำหรือคูคลองมากเกินไป ตรงนั้นต้องไม่มีเครื่องจักรทำงาน โดยเฉพาะเวลากลางคืนที่จอดต้องไม่เปลี่ยว มีแสงสว่างเพียงพอ

 

2.ห้ามเปิดแอร์ : เพราะก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์จะเข้าไปแทนที่ก๊าซออกซิเจนในรถ ทำให้เราเสียชีวิตได้ แต่ถ้าเป็นตอนรถวิ่งเปิดแอร์ได้ปกติ เพราะมีอากาศหมุนเวียนตลอดเวลา

 

3.ลดกระจกลง : ลดกระจกลงเล็กน้อย ถ้าอยู่ในที่ไม่คุ้นเคย แต่ถ้าบริเวณนั้นปลอดภัยก็เปิดกระจกได้เต็มที่ หรือเปิดประตูให้ลมผ่านเข้าตลอดเลยก็ยังได้

 

4.ล็อครถให้ดี : สำหรับที่ที่ไม่ปลอดภัย หรือไม่คุ้นเคย ก่อนที่คุณจะนอน คุณจะต้องตรวจสอบความปลอดภัยว่าล็อกรถดีหรือยัง เพราะอาจถูกชิงทรัพย์หรือขโมยทรัพย์สินได้

5.เปิดพัดลม แต่ไม่ต้องเปิดแอร์ : พัดลมจากแอร์สามารถเปิดได้ แม้ไม่เปิดแอร์ แค่คุณบิดกุญแจเพื่อเปิดระบบไฟ เพื่อช่วยให้มีอากาศถ่ายเทในรถตลอดเวลา

 

ทั้งหมดนี้ ก็คือ 5 วิธีปฎิบัติง่ายๆ ที่คุณควรทำ “ก่อนจะนอนในรถ” เพื่อจะได้นอนพักอย่างปลอดภัย และขับขี่ต่อได้โดยไม่หลับใน และไม่เสี่ยงอันตรายกับก๊าซพิษค่ะ

รู้ไว้ไม่โดนจับ! “กฎหมายจราจร 10 ข้อ” ที่คนมีรถต้องรู้

กฏหมายเบื้องต้น 10 ข้อเกี่ยวกับรถยนต์ ที่คนมีรถไม่รู้ไม่ได้!

ประเทศไทยของเรา ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่มีคนเสียชีวิต ด้วยอุบัติเหตุบนท้องถนนมากที่สุดในโลก ซึ่งความจริงข้อนี้ สะท้อนให้เห็นว่า “คนไทย ไม่เคารพกฏจราจรเท่าที่ควร” จนทำให้เกิดการสูญเสียและอุบัติเหตุซ้ำแล้วซ้ำอีก

ในบทความนี้ Carro จึงรวบรวม “กฎหมายที่มีความสำคัญบนท้องถนน 10 ข้อ” มานำเสนอ เนื่องจากเป็นกฏหมายจราจรที่คนขับรถทุกคนต้องรู้ หากฝ่าฝืนจะถูกจับและปรับ แต่ถ้าเรารู้ทันกฎหมายก็จะปลอดภัยกว่า ทั้งทางชีวิตและทรัพย์สิน ของผู้ใช้รถทุกท่านค่ะ


1. แอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มก. เท่ากับ“เมา”

ผู้ขับขี่รถยนต์ ที่มีแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จะถือว่าเมาสุรา ตามมาตรา 43 (2) ผู้ขับขี่ต้องจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000 – 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และศาลจะพักใช้ใบอนุญาติขับขี่ของผู้นั้นไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรืออาจถูกเพิกถอนใบอนุญาติขับขี่

แอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มก. เท่ากับ“เมา”

2. ต้องรัดเข็มขัดแม้นั่งหลัง

ตามมาตรา 44 ฉบับที่ 14/2560 สั่งให้รถยนต์ส่วนบุคคลนั่งไม่เกิน 7 คน ยกเว้น รถ 2 แถว รถกระบะมีแค็บ และรถ 3 ล้อ ต้องมีสายเข็มขัดนิรภัย และต้องคาดเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่ง บทลงโทษคือ คนขับและผู้โดยสารรถเก๋ง รถแท็กซี่ และรถกระบะ ปรับไม่เกิน 500 บาท ส่วนรถตู้ รถทัวร์ รถบรรทุกสินค้า ปรับไม่เกิน 5,000 บาท

3. นั่งกระบะหลังไม่ได้

เนื่องจากรถกระบะที่มีแค็บเป็นรถที่จดทะเบียน เป็นรถกระบะบรรทุกส่วนบุคคลไม่เกิน 7 ที่นั่ง อีกทั้งบริเวณกระบะหลังไม่มีอุปกรณ์สำหรับความปลอดภัย เป็นที่สำหรับไว้บรรทุกของเท่านั้น จึงถือว่าเป็นการใช้รถผิดประเภท มีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท

4. ห้ามไฟหน้าหลายสี

จากมาตรา 11 ในเวลากลางคืน รถจะต้องเปิดไฟ คือไฟหน้ารถจะต้องมีสีขาวหรือสีเหลืองเท่านั้น และจะต้องมีกำลังไฟไม่เกิน 10 วัตต์ เพราะอาจทำให้ผู้ร่วมทางเกิดความรำคาญจนอาจเป็นเหตุให้เกิดความไม่ปลอดภัยได้ หากผู้ใดฝ่าฝืน จะต้องถูกปรับไม่เกิน 500 บาท

5. ห้ามเปิดไฟตัดหมอกโดยไม่มีเหตุ

ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก มาตรา 11 ไฟตัดหมอกจะใช้ได้แค่ 4 กรณีเท่านั้น  คือ 1. ช่วงฝนตกหนัก 2. เมื่อเจอหมอก 3. หลังฝนหยุดในเวลากลางคืน 4. ขับผ่านกลุ่มควัน เพราะหากใช้พร่ำเพรื่ออาจสร้างความรำคาญแก่ผู้ร่วมทางบนถนน จนเป็นเหตุให้เกิดความไม่ปลอดภัยได้ หากผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษสูงสุดปรับไม่เกิน 500 บาท

ห้ามเปิดไฟตัดหมอกโดยไม่มีเหตุ

6. ห้ามใส่หลังคาซันรูฟ หรือมูนรูฟ

เนื่องจากเข้าข่ายดัดแปลงสภาพรถในมาตรา 14 กับ 60 อาจเกิดความไม่ปลอดภัยได้ แต่ถ้าหากมีมาตั้งแต่โรงงานผลิตตามสเป็ค ไม่ได้ดัดแปลงเอง ถือว่าไม่ผิดกฎหมาย หากผู้ใดฝ่าฝืนนำมาดัดแปลงทีหลัง จะโดนโทษปรับ ไม่เกิน 2,000 บาท

7. ล้อยางเกินออกมานอกบังโคลนข้างละหลายนิ้ว

จากมาตรา 12 และ 60 ล้อรถด้านท้ายจะยื่นออกมาจากตัวถังรถได้ไม่เกิน 15 เซนติเมตร และขอบยางด้านนอกสุดห้ามยื่นออกมาเกินตัวถังรถ เว้นแต่จะมีอุปกรณ์ที่ช่วยให้ไม่เกิดอันตราย และความเสียหายเนื่องจากการหมุนของล้อ หากผู้ใดฝ่าฝืนจะต้องโทษปรับ ไม่เกิน 2,000 บาท

8. ไฟเบรคต้องสีแดงเท่านั้น

ตามมาตรา 12 และ 60 รถของผู้ขับขี่จะต้องมีไฟหยุด หรือไฟเบรคเป็นสีแดงเท่านั้น และห้ามดัดแปลงทำเป็นกระพริบ เพื่อไม่ให้สร้างความรำคาญแก่คนอื่น หรือทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิด จนเป็นเหตุให้เกิดความไม่ปลอดภัยได้ หากผู้ใดฝ่าฝืนจะต้องโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท

9. ห้ามติดไฟสปอตไลท์ และโคมไฟตัดหมอกแสงพุ่งไกล

ตามมาตรา 12 และ 60 กำหนดให้ไฟหน้าของรถต้องมีสีขาวหรือเหลืองอ่อนเท่านั้น สูงจากพื้นไม่น้อยกว่า 40 เซนติเมตร ไม่เกิน 135 เซนติเมตร ไม่สว่างจ้าเกินไป ไม่สะท้อนเข้ากระจกมองข้าง หรือกระจกมองหลังของผู้ขับขี่ที่ร่วมทาง เพราะทำให้สายตาผู้ร่วมทางพร่ามัว และจนอาจเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุได้จากแสงไฟที่แรงเกินค่ามาตรฐาน หากผู้ใดฝ่าฝืนติดตั้งจะต้องโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท

10. เปลี่ยนท่อไอเสียเสียงดัง

ตามมาตรา 5 (2) และ 58 การเปลี่ยนแปลงท่อไอเสียรถให้ผิดเพี้ยนไปจากทะเบียนที่จดไว้ แล้วทำให้มีเสียงดังกว่า 95 เดซิเบล ในรัศมี 3 เมตรจากท่อ เนื่องจากสร้างความรำคาญให้แก่ผู้อื่น หรืออาจทำให้ผู้อยู่ใกล้ๆ มีปัญหาทางการได้ยินได้ ผู้ใดฝ่าฝืนจะต้องโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท

เมื่อรู้ครบทั้ง 10 ข้อแล้ว อย่าลืมปฏิบัติตามกฏหมาย เพื่อตัวคุณเองและเพื่อนร่วมท้องถนน ขอให้เดินทางปลอดภัย ไม่โดนจับ (ผิด) แคล้วคลาดกันทุกคนนะคะ

8-Checklists-Trip-In-Songkran-Day

ในช่วงสงกรานต์นี้ CARRO มีคำแนะนำดีๆ ให้กับผู้ขับขี่รถทุกประเภท ไม่ว่าจะผู้ใช้รถใช้ถนนทั่วไป ผู้ที่ขับรถโดยสาร รวมถึงผู้ใช้บริการรถโดยสารด้วย เพื่อการเตรียมตัวและเตรียมรถยนต์ของคุณให้พร้อม สำหรับการเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ หรือทริปต่างๆ ในอนาคต เพื่อลดโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุบนถนน ถึงจุดหมายปลายทางอย่างรวดเร็วและปลอดภัยตลอดการเดินทาง

1. เตรียมร่างกายให้พร้อม

สำหรับคนขับรถทุกคน ควรพักผ่อนให้เพียงพอก่อนออกเดินทาง ถึงแม้จะขับรถหรือเดินทางตอนกลางวันก็ตาม เพราะคุณสามารถเกิดอาการง่วงในช่วงบ่ายหลังจากทานข้าวเสร็จ ฉะนั้น และแม้ว่าจะนอนหลับเพียงพอก็อย่ากินเยอะจนเกินไป เพราะจะทำให้ง่วงนอนจนอาจเกิดอาการหลับใน ซึ่งทำให้เกิดอุบัติเหตุได้

2. เช็กสภาพรถ

ก่อนการเดินทาง ควรตรวจเช็กสภาพรถให้พร้อม โดยเฉพาะระบบเบรค เครื่องยนต์ แบตเตอรี่ น้ำมันเครื่อง ไฟสัญญาณ ไฟหน้า ไฟท้าย ที่ปัดน้ำฝน ลมยาง ตรวจเช็กว่าทุกส่วนทำงานปกติหรือไม่ ถ้าเป็นรถที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน ควรตรวจสอบให้ละเอียด เนื่องจากอาจมีปัญหาหลายอย่างที่เราไม่เคยทราบ และควรเติมน้ำมันให้เต็มถัง จะได้เดินทางยาวๆ อย่างราบรื่น ไม่มีสะดุด

3. เช็กจำนวนผู้ร่วมเดินทาง

ถ้าหากคุณเดินทางไปกับเพื่อนเป็นหมู่คณะ หรือมีสมาชิกครอบครัวจำนวนเยอะๆ การเลือกใช้รถให้เหมาะสมกับจำนวนคนก็เป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะทุกคนจะได้มี Space ที่พอดี ไม่เบียดจนอึดอัด หรือไม่ใช้รถหลายคันเกินไป เพราะต้องขับรถรอต่อท้ายกัน ซึ่งสิ้นเปลืองน้ำมัน และทำให้การเดินทางล่าช้า

4. อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

ในยุคนี้ เกือบทุกคนก็คงอยากเก็บภาพความประทับใจในทุกๆทริป ไปอวดเพื่อนๆใน Social Media กันอย่างแน่นอน สิ่งที่คุณก็ต้องทำก็แค่เตรียมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ให้พร้อม! เช่น กล้องชนิดต่างๆ โทรศัพท์ โดรน แบตเตอรี่สำรองและเมมโมรี่การ์ด

ในยุคนี้สมัยนี้ ถ้าคุณยังไม่มี Gadgets เป็นของตัวเองก็สามารถเช่าได้! และทุกอย่างควรเตรียมให้เพียงพอกับความต้องการในการใช้งาน คุณจะได้ไม่หมดสนุกกลางคัน

5. ศึกษาเส้นทาง

ก่อนออกเดินทางทุกๆครั้ง คุณควรศึกษาเส้นทางหรือเลือกเส้นทางที่จะใช้ให้เรียบร้อยเสียก่อน เพราะในช่วงเทศกาลปริมาณผู้คนและรถบนท้องถนนจะเยอะสุดๆ หากหลงทางจะทำให้เสียเวลาและอารมณ์เสียได้

6. ขับความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม.

เพราะการขับรถเร็ว จะเพิ่มโอกาสการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้เสมอ ด้วยความเร็วที่มากเกินไปจะทำให้คุณแก้ไขสถานการณ์ไม่ทัน ซึ่งอุบัติเหตุก็สามารถเกิดขึ้นกับเราได้ทุกเมื่อ การขับรถที่ 80 กม./ชม. ก็ถือว่ามีความเร็ว แต่คุณก็ยังสามารถเบรคเพื่อแก้ปัญหาหรือสถานการณ์ได้ทัน

ซึ่งถ้าคุณขับเร็วมากกว่านี้แล้วต้องหักหลบหรือเบรคกระทันหัน ก็จะทำให้ท้ายรถปัดจนเกิดอุบัติเหตุได้ เพราะฉะนั้น อย่าขับรถเร็วเกินความจำเป็นหรือขับรถช้าเกินไป เพราะจะสร้างความรำคาญให้รถคันอื่นๆได้เช่นกัน

7. หยุดพักเป็นระยะ

เพื่อเป็นการผ่อนคลายระหว่างการเดินทาง คุณอาจจะแวะปั้ม เข้าห้องน้ำ ล้างหน้าให้รู้สึกสดชื่น ยืดเส้นยืดสาย หรือซื้อกาแฟดื่มเพิ่มความกระฉับกระเฉงขณะขับรถ เพื่อไม่ให้เกิดอาการหลับใน แต่สำหรับคนที่ไม่ดื่มกาแฟ ทานแล้วง่วงหรือใจสั่น ก็เปลี่ยนไปทานน้ำผลไม้เพิ่มความสดชื่นแทนได้ค่ะ

8. เลือกเวลาในการเดินทาง

หากเป็นไปได้คุณควรเดินทางในช่วงกลางวัน ไม่ใช่ช่วงกลางคืน เพราะตอนกลางคืนทัศนวิสัยไม่ดี คนขับมีโอกาสผิดพลาดเยอะกว่า คุณจึงควรเลือกช่วงเวลาที่คนขับรถจะขับรถได้ดีที่สุด เพื่อความปลอดภัยของคุณเอง และควรเลี่ยงเวลาโพล้เพล้เพราะช่วงเวลาตี 4 ถึง 6 โมงเช้า และช่วง 5 โมงเย็น ถึง 1 ทุ่ม เป็นช่วงที่แสงกำลังเปลี่ยนแปลงมาก ทำให้คนขับรถอาจมองสิ่งต่างๆ ผิดพลาดได้

สำหรับผู้โดยสาร

คุณควรเลือกการเดินทางที่ปลอดภัยมากกว่าราคาถูก ยิ่งถ้าได้นั่งในรถที่มีเข็มขัดนิรภัยได้จะยิ่งดี เนื่องจากเวลารถเบรก เราจะไม่กระแทกกับเบาะด้านหน้าหรือกระจก ซึ่งช่วยไม่ให้เกิดการบาดเจ็บได้ส่วนหนึ่ง และควรเลือกรถโดยสารประจำทางหรือสายการบินที่คุณไว้ใจมากที่สุด เพราะจะลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุได้

การหาข้อมูลเปรียบเทียบข้อดี, ข้อเสียของรถแต่ละสาย หรือระหว่างสายการบิน จะเป็นตัวช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกได้ง่ายขึ้นมากค่ะ

รวมที่เที่ยวใกล้กรุงเทพ

รวบรวมที่เที่ยวใกล้กรุงเทพ ไปง่าย ไม่แพง ในวันหยุด

หากวันหยุดนี้ คุณยังไม่มีที่ไป น้ำก็ไม่อยากเล่น งบก็เหลือน้อย แต่ก็ไม่อยากนอนอยู่บ้านเฉยๆ! งั้นมาลองดู list “สถานที่เที่ยวใกล้ๆ กรุงเทพฯ” ที่ Carro มาเสนอสักหน่อยมั้ย เพราะไม่ไกลแถมยังไม่แพง เผื่อเป็นตัวเลือกช่วยตัดสินใจ ว่าคุณจะไปเก็บแต้ม (ที่เที่ยว) ที่ไหนดี

1. องค์พระปฐมฯ, ตลาดดอนหวาย จ.นครปฐม

ที่เที่ยวใกล้กรุงเทพเครดิตภาพ amazingthaitour.com

เป็นจังหวัดที่ไม่ไกลจากกรุงเทพเลย ขับรถแค่ชั่วโมงนิดๆก็ถึง เหมาะสำหรับ One day trip หรือการขับรถไปเช้าเย็นกลับ สถานที่น่าสนใจก็มี อาทิ วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร หรือองค์พระปฐมเจดีย์ พระสถูปเจดีย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ให้กราบไหว้

ในช่วงเย็นบริเวณวัดก็จะมีตลาดที่รวบรวมร้านค้า ร้านอาหารอร่อยๆ มากมายให้ลองชิม หรือจะไป ตลาดน้ำดอนหวาย ซึ่งตั้งอยู่ที่วัดดอนหวาย ริมแม่น้ำท่าจีน ที่นี่ยังเป็นศูนย์รวมผลิตภัณฑ์ทางเกษตร ขนมไทยโบราณ และอาหารคาว-หวานต่างๆ ตลาดจะเริ่มเปิดตั้งแต่เช้าไปจนถึงช่วงเย็น ซึ่งคุณสามารถไปทั้ง 2 ที่ได้ภายในวันเดียว

 

2. เกาะเกร็ด จ.นนทบุรี

ที่เที่ยว ใกล้กรุงเทพเครดิตภาพ banthip.com

เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุดเลยก็ว่าได้ มีระยะทางจากกรุงเทพไม่ถึง 30 กม. บนเกาะเกร็ดคุณสามารถชมความสวยงามของเจดีย์เอียง นมัสการพระพุทธไสยาสน์ เลือกซื้อเครื่องปั้นดินเผาจากชาวตำบลเกราะเกร็ด และชิมอาหารขึ้นชื่ออย่าง ดอกไม้ทอด, ทอดมันหน่อกะลา รวมถึงขนมไทยหลายชนิดที่สายกินจะต้องฟินสุดขีด ใครที่ขี้เกียจเดินก็มีจักรยานให้ปั่นชมวิวรอบทิวทัศน์เกาะ ยิ่งวันเสาร์-อาทิตย์ คนจะเยอะและคึกคักเป็นพิเศษ

 

3. ตลาดร่มหุบ, ตลาดน้ำอัมพวา จ.สมุทรสงคราม

ที่เที่ยว ใกล้กรุงเทพเครดิตภาพ aisfm.edu.com

จากภาพที่เคยเห็นตามสื่อต่างๆ จะเป็นภาพพ่อค้าแม่ค้ากำลังค้าขายในตลาด จนมีรถไฟวิ่งผ่านมา ร่มผ้าใบก็หุบลงและกางตัวออกเมื่อรถไฟผ่านไป ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของตลาดร่มหุบ ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศ คุณอาจจะใช้เวลาทั้งวันที่นี่ หรือแวะตลาดนี้เพื่อถ่ายภาพชิคๆ ก่อนจะไปตลาดน้ำอัมพวาก็ได้

ที่เที่ยว ใกล้กรุงเทพเครดิตภาพ govivigo.com

ตลาดน้ำอัมพวาเป็นตลาดที่มีชื่อเสียง ด้วยบรรยากาศย้อนยุค สบายๆ มีพ่อค้าแม่ค้าพายเรือขายอาหาร, เครื่องดื่ม, ซีฟู้ดราคาถูกในคลองอัมพวา บนบกก็มีร้านค้าเช่นกัน คุณจึงสามารถเดินชมตลาด ทานอาหารนานาชนิด หรือเช่าเรือไปไหว้พระทางน้ำ เที่ยวชมดูหิ่งห้อยในยามค่ำคืน มีโฮมสเตย์สวยๆ ริมน้ำมากมายให้เข้าพัก ส่วนการเดินทาง สามารถขับรถโดยใช้ถนนพระราม 2 (ทางหลวงหมายเลข 35) มุ่งหน้าสู่จังหวัดสมุทรสงคราม ก็จะมีป้ายบอกทางไปสู่ตลาดร่มหุบและตลาดน้ำอัมพวา

 

4. เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา

ที่เที่ยว ใกล้กรุงเทพเครดิตภาพ Pantip.com

อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ใช้เวลาขับรถจากกรุงเทพฯ เพียง 3 ชั่วโมง ค่าเข้าต่อคนเพียง 40 บาทสำหรับคนไทย การนำรถยนต์ส่วนตัวขึ้นไปบนอุทยานฯ ก็เพิ่มอีกแค่ 50 บาท ที่เขาใหญ่ มีกิจกรรมใกล้ชิดธรรมชาติมากมายให้คุณเลือกทำ ไม่ว่านอนชิลล์ดูดาวที่ลานกางเต็นท์ลำตะคอง, เที่ยวน้ำตก, ส่องสัตว์ตอนกลางคืนที่อุทยานฯ หรือ เดิน trail เส้นทางธรรมชาติกองแก้ว ฯลฯ เหมาะสำหรับแก๊งเพื่อนหรือครอบครัวที่รักธรรมชาติมากๆ เพราะมีกิจกรรมให้เลือกทำเยอะ ไม่น่าเบื่อ

 

5. เกาะขาม จ.ชลบุรี

ที่เที่ยว ใกล้กรุงเทพเครดิตภาพ makalius.co.th

เกาะขามเป็นเกาะขนาดเล็ก ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเกาะแสมสาร เกาะนี้มีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ มีชายหาดที่สวยงาม กิจกรรมท่องเที่ยวมีหลากหลาย เช่นการดำน้ำ การนั่งเรือท้องกระจกชมประการัง เล่นน้ำทะเลริมหาดทราย ชมหมู่เกาะและทัศนียภาพทางทะเล แต่เกาะขามไม่มีที่พัก เพราะบนเกาะไม่อนุญาตพักแรมคืน

เป็นทริปไปเช้าเย็นกลับ หรือถ้าอยากพักก็สามารถหาที่พักใกล้ๆ กับท่าเรือได้เช่นกัน เปิดให้เข้าเฉพาะวันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ การเดินทางไปเกาะขาม ใช้ถนนสุขุมวิท จากบางนา ขับรถตรงไประยอง ผ่านชลบุรี ผ่านสัตหีบ จากสามแยกสัตหีบไปกิโลเมตร 6 ใช้ถนนสาย 331 ไปจนถึงท่าเรือ

 

6. น้ำตกเอราวัณ จ.กาญจนบุรี

ที่เที่ยว ใกล้กรุงเทพเครดิตภาพ areenorasing.wordpress

ใครอยากเล่นน้ำแต่ไม่อยากไปทะเลเจอแดดให้แสบผิว วันหยุดยาวนี้ ยังมีน้ำตกที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยและความใสอีกที่นึง ก็คือ อุทยานแห่งชาติเอราวัณ จังหวัดกาญจนบุรี น้ำตกเอราวัณมีความสูงถึง 7 ชั้น ระยะทางรวมประมาณ 1,500 เมตร โดยภายในอุทยานมีทั้งห้องพักและเต็นท์ให้นักท่องเที่ยวเลือกเข้าพัก เพื่อสัมผัสกับธรรมชาติได้ตามความต้องการ

อีกทั้งความใสของน้ำตกที่ยิ่งสูงยิ่งใส การเดินทางไปน้ำตกเอราวัณ ใช้ถนนเพชรเกษมหรือไปตามถนนบรมราชชนนี ผ่านนครชัยศรี จนถึงตัวจังหวัดกาญฯ ไปตามทางหลวง หมายเลข 3199 แล้วข้ามสะพานไปยังตลาดเขื่อนศรีนครินทร์ แล้วเลยเข้าไปยังที่ทำการอุทยานแห่งชาติเอราวัณ

 

7. แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี

ที่เที่ยว ใกล้กรุงเทพเครดิตภาพ ja.wikipedia.org

เปลี่ยนบรรยากาศจากน้ำตก แต่ก็ยังโดดน้ำได้ที่ อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน คุณจะได้สัมผัสวิวสวยๆ ริมเขื่อน ที่สามารถกางเต็นท์หรือเช่าที่พักชมดวงอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกในหน้าร้อน! ที่เขาพะเนินทุ่ง แล้วจะลงมาเล่นน้ำกันต่อบริเวณสันเขื่อนด้านล่างก็ได้

ที่เที่ยว ใกล้กรุงเทพเครดิตภาพ travel.thaiza.com

หากมาในช่วงหน้าหนาวก็จะได้รับลมเย็นพร้อมบรรยากาศเขียวขจี หรือถ้ามาในช่วงเดือนเมษายน – มิถุนายน จะได้พบกับผีเสื้อนับพันที่บินมากินอาหารในช่วงฤดูร้อน การเดินทางไปแก่งกระจาน ใช้ถนนพระราม 2 ถึงสามแยกวังมะนาวให้เลี้ยวซ้าย เข้าสู่จังหวัดเพชรบุรี ขับไปอำเภอท่ายาง แล้วขับไปตามทางหลวง 3499 ก็จะถึงแก่งกระจาน

 

8. วัดมหาธาตุ จ.พระนครศรีอยุธยา

ที่เที่ยวใกล้กรุงเทพเครดิตภาพ central-region.blogspot.com

วัดมหาธาตุ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของวัดพระศรีสรรเพชญ์ สิ่งที่น่าสนใจในวัด คือ เศียรพระพุทธรูปหินทราย ซึ่งมีรากไม้ปกคลุม เนื่องจากเศียรพระพุทธรูปนี้หล่นลงมาอยู่ที่โคนต้นไม้ ในสมัยเสียกรุงศรีฯ จนรากไม้ขึ้นปกคลุมมีความงดงามแปลกตา นอกจากนี้ ในวัดมหาธาตุยังมีสิ่งที่น่าสนใจอื่นๆ อีก เช่น พระปรางค์ขนาดใหญ่ (ปัจจุบันทลายลงแล้ว), เจดีย์แปดเหลี่ยม, วิหารเล็กปกคลุมด้วยรากไม้, และตำหนักพระสังฆราชในสมัยนั้น

ที่เที่ยว ใกล้กรุงเทพเครดิตภาพ Woodychanel

การเดินทางไปวัดมหาธาตุ จากกรุงเทพฯ ขับรถเข้าตัวเมืองอยุธยาแล้วข้ามสะพานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ตรงไปจนถึงสี่แยกไฟแดงที่ 2 เลี้ยวขวาตรงไปไม่ไกล ผ่านบึงพระราม จะเห็นวัดมหาธาตุอยู่ทางซ้ายมือ เปิดให้เข้าชมทุกวันค่ะ

จอดรถ, รถยนต์, ดูแลรถยนต์, วิธี

“จอดรถทิ้งไว้” “รถไม่ค่อยได้ใช้งาน”
ต้องดูแลรถยนต์อย่างไรบ้าง?

สงกรานต์ใกล้เข้ามาทุกที ผู้อ่านหลายๆ คนก็คงจะมีแพลนเตรียมตัวกลับบ้านในวันหยุดยาวที่จะมาถึง ซึ่งหลายๆคนที่มีครอบครัวใหญ่หน่อยก็มักจะขับรถกลับบ้าน และแน่นอนว่าก่อนการเดินทางครั้งนี้ คุณจะต้องตรวจเช็คสภาพและความพร้อมของเครื่องยนต์ก่อนออกเดินทางอยู่แล้ว เพื่อการขับขี่ที่ราบรื่นของคุณเอง และการถึงที่หมายอย่างปลอดภัย

สำหรับรถยนต์ที่ใช้งานทุกวันก็คงไม่มีปัญหาอะไร เพราะคุณจะรู้เสมอหากรถมีปัญหา คุณจึงสามารถส่งรถไปซ่อมบำรุงได้ทัน ก่อนจะนำมาขับอีกครั้ง แต่สำหรับรถยนต์ที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน หากรถมีปัญหา หรือมีอะไรสักอย่างเสีย เราก็คงจะไม่ทราบว่ารถเป็นอะไร ตรงไหน เพราะแทบจะไม่ได้แตะรถ ฉะนั้น สิ่งที่เราจะต้องเช็คเสมอ สำหรับรถใช้งานน้อยๆ รถที่จอดทิ้งไว้ หรือแทบไม่ใช้งาน จะมีอยู่ 6 เรื่อง นั่นก็คือ

 

1. แบตเตอรี่

จอดรถ, รถยนต์, ดูแลรถยนต์, วิธี

หลายคนเจอปัญหารถไม่ค่อยได้ใช้ แต่แบตหมด, แบตเสื่อม ทำไมถึงเสื่อม?เหตุผลก็คือ ถึงแม้ว่าจะไม่มีการเปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าไว้ แต่แบตเตอรี่ก็ยังคงมีการจ่ายกระแสไฟฟ้าไปเลี้ยงระบบในรถยนต์อยู่ เช่น ระบบกันขโมย ซึ่งหากจอดไว้โดยไม่มีการติดเครื่องยนต์เป็นเวลานาน ก็ทำให้แบตเตอรี่หมดประจุได้ ซึ่งวิธีแก้ไขก็คือ ควรสตาร์ทเครื่องยนต์ไว้ 10 นาทีหรือมากกว่านั้น อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง หรือทำทุกวันก็ได้ค่ะ

2. ของเหลวในรถยนต์จอดรถ, รถยนต์, ดูแลรถยนต์, วิธี

หากรถไม่ค่อยได้ใช้ เมื่อกลับมาใช้งานอีกครั้ง ควรเช็คของเหลวต่างๆ ในรถว่าพร้อมใช้งานแค่ไหน เช่น น้ำมันเครื่อง น้ำในหม้อน้ำ เพื่อหล่อเลี้ยงชิ้นส่วนต่างๆ ไม่ให้เกิดสนิม สำหรับน้ำมันเครื่อง ควรเปลี่ยนทุกๆ 6 เดือน หรือตามที่คู่มือรถกำหนด เพราะน้ำมันเครื่องมีวันหมดอายุ และเสื่อมสภาพ

3. ลมยาง, ยางรถยนต์จอดรถ, รถยนต์, ดูแลรถยนต์, วิธี

หากเราจะต้องจอดรถเอาไว้เป็นระยะเวลานานๆ แนะนำให้เติมลมยางมากกว่าปกติประมาณ 5 – 10 ปอนด์/ตารางนิ้ว หรือ นำรถไปขับเพื่อให้ยางได้หมุนบ้าง เพราะการจอดรถอยู่กับที่นานๆ จะทำให้เกิดอาการยางไม่คืนตัว โดยเกิดการยุบตัวของโครงยางส่วนหน้าที่สัมผัสกับพื้นได้ ทำให้โครงยางเสียรูป ไม่กลม วิธีที่ดีที่สุด หากต้องต้องจอดรถทิ้งไว้นานเกินกว่า 3 เดือนขึ้นไป คือ ให้ยกรถตั้งบนแท่นวางทั้ง 4 ล้อ ซึ่งทำให้น้ำหนักรถไม่กดทับลงบนยาง ซึ่งเป็นการรักษารูปร่างของยางได้ดีที่สุด

4. สตาร์ทเครื่องยนต์จอดรถ, รถยนต์, ดูแลรถยนต์, วิธี

แม้จะไม่ค่อยใช้รถ แต่คุณก็ควรนำรถออกไปขับบ้าง เป็นระยะทางสั้นไก็ได้ เพราะการสตาร์ทเครื่องยนต์ จะทำให้เครื่องยนต์ทำงานและชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่ และในรถยนต์นั้นมีชิ้นส่วนและอุปกรณ์ที่เป็นจุดหมุน เช่น ระบบช่วงล่าง ลูกหมากต่างๆ ซึ่งหากปล่อยให้อยู่กับที่นานๆ อาจทำให้เกิดการสึกหรอได้ง่าย

5. การทำความสะอาดจอดรถ, รถยนต์, ดูแลรถยนต์, วิธี

เพื่อไม่ให้ฝุ่นและสิ่งสกปรกเกาะอยู่ที่สีรถนานเกินไป จนยากที่จะล้างออก ควรมีการทำความสะอาดหรือล้างรถก่อน จึงค่อยใช้ผ้าคลุมรถ เพื่อป้องกันฝุ่น และรักษาสีของรถยนต์ ให้ดูเหมือนใหม่อยู่เสมอ

6. สถานที่จอดรถ

ควรจอดในที่ร่ม หลีกเลี่ยงการจอดรถใต้ต้นไม้ สถานที่เปียกชื้น ใกล้ถังขยะ เพราะอาจมีโอกาสที่หนูเข้ามาอาศัยหรือทำรังใต้กระโปรงรถได้ หากจอดรถใต้ต้นไม้จะต้องระวัง หากไม่ได้มีการคลุมรถ เนื่องจากต้นไม้จะมียางของต้นไม้ที่หล่นลงมา ทำให้สีรถด่างได้ รวมถึงกิ่งไม้ที่ตกลงมาตามแรงลม หรืออื่นๆ ซึ่งอาจทำให้รถของเราเกิดรอยขีดข่วนได้

สุดท้ายถ้าคุณมีรถที่ไม่ได้ใช้งาน หรือนานๆครั้งจะขับ อาจด้วยเพราะชีวิตประจำวันของคุณไม่ได้จำเป็นจะต้องใช้รถบ่อยๆ แนะนำให้นำรถมาขายด่วนกับคาร์โร (คลิก) จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาตรวจเช็คหรือคอยดูแล อีกทั้งถ้าคุณปล่อยรถเอาไว้นานๆ มีแต่ผลเสีย คือราคาตกลงเรื่อยๆทุกปี นอกจากนี้ถ้าคุณมาขายกับเรา คุณจะได้รับเงินสด ทันที! คุณจะยังได้เงินกลับไปทำประโยชน์อื่นๆได้อีกด้วยค่ะ

ใบจองรถ, Check, รถใหม่, โปรโมชั่น, Motor Show

ความจริง 4 ข้อที่ควรรู้ก่อนเซ็น “ใบจองรถ” ป้องกันการเกิดสารพัดปัญหาในภายหลัง

ในช่วงปลายเดือนนี้ หลายๆคนอาจจะเห็นข่าวกิจกรรม พร้อมกับรูปรถสวยๆหลากหลายแบรนด์บน Facebook และ Instagram จากงาน Motor expo 2018 กันบ้าง

ซึ่งมีตั้งแต่รถแบรนด์ตลาดไปจนถึง Super Car ในงานนี้หลายๆ ค่ายรถก็แข่งกันเสนอโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถมให้กับลูกค้าในงานกันอย่างดุเดือด จนเหยื่อการตลาดหลายๆ คนโดนแรงดึงดูดจากข้อเสนอต่างๆ ไปจับไปดูไปทดลองสินค้าจนเกิดกิเลส และในที่สุดก็ตัดสินใจซื้อ เพราะแพ้ข้อเสนอที่แสนดึงดูดใจนั่นเอง (การซื้อของได้ถูกหรือได้ของแถมเยอะกว่าชาวบ้าน เป็นลาภอันประเสริฐ)

ซึ่งการซื้อรถยนต์คันหนึ่งนั้น หากเจอเซลส์ดีก็ถือว่าโชคดีไป แต่เซลส์บางคน ก็มักจะรับปากกับลูกค้าในสิ่งที่ไม่สามารถให้ได้ตั้งแต่แรก เพื่อหวังจะเพิ่มยอดขายให้บริษัท ซึ่งอาจก่อปัญหาให้ลูกค้าที่ซื้อรถไปในภายหลัง ในวันนี้

Carro จึงมานำเสนอความจริง 4 ข้อที่ควรทำ ก่อนที่คุณจะตัดสินใจเซ็นใบจองรถ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาภายหลังการได้รับสินค้าหรือรถคันใหม่ของคุณนั่นเอง

 

1.ใบจองรถต้องมีหัวกระดาษของโชว์รูม

ใบจองรถที่ถูกต้อง ต้องเป็นกระดาษฟอร์ม พร้อมหัวกระดาษของโชว์รูมที่คุณกำลังซื้อรถอยู่เท่านั้น เพราะสิ่งเหล่านี้มีผลทางกฎหมายหากเกิดเหตุขัดแย้งในภายหลัง และใบจองรถต้องเขียนข้อมูลราคา, เงินดาวน์, ค่างวด, รายการของแถม, ส่วนลดและรายละเอียดต่างๆ ให้ครบถ้วน

 

2.ต้องให้เซลส์เป็นผู้เขียนรายการทั้งหมดด้วยลายมือ

รายการของแถมและส่วนลดต่างๆ ควรเขียนด้วยลายมือของเซลส์เองทั้งหมด เพื่อป้องกันข้อโต้แย้งในกรณีได้รับของแถมไม่ครบ หรือไม่ได้ส่วนลดตามที่ได้ตกลงกันไว้ตั้งแต่แรก

 

3.ใบจองรถต้องระบุชื่อเซลส์ และลงวันที่


ใบจองรถควรระบุชื่อจริงของเซลส์เอาไว้ รวมถึงลงวันที่ทำสัญญา และวันกำหนดรับรถให้ชัดเจน เพราะจะสามารถใช้เป็นหลักฐาน ในกรณีที่ต้องรอรับรถเป็นระยะเวลานาน เผื่อกรณีไม่ได้รถตามเวลาที่ตกลงไว้แต่แรก กรณีนี้ ผู้ซื้อสามารถยกเลิกสัญญาแล้วเปลี่ยนไปหาโชว์รูมที่ผู้ซื้อรับรถเร็วกว่าได้

 

4.อุปกรณ์เสริมแท้, เทียบ หรือของนอก ต้องระบุให้ชัด

กรณีที่ได้รับของแถม หรือซื้ออุปกรณ์ตกแต่งเพิ่มเติม ต้องให้เซลล์ระบุให้ชัดเจนว่า อุปกรณ์ตกแต่งดังกล่าวเป็นของแท้จากผู้ผลิต หรือเป็นของเทียบจากอู่นอก ซึ่งของแท้มักมีคุณภาพสูงกว่า ติดตั้งได้พอดีกับตัวรถ แต่ก็ราคาสูงกว่าของเทียบ ซึ่งบางครั้งเซลส์อาจนำของเทียบมาใส่ให้ แล้วบอกว่าเป็นของแท้จากศูนย์ คุณจึงต้องคุยและตกลงกับเซลล์ให้ทุกอย่างเคลียร์ตั้งแต่แรก


ซึ่งการตรวจสอบใบจองรถโดยละเอียดก่อนตกลงทำสัญญานั้น หากถึงวันรับรถแล้วพบว่ามีรายการใดที่ขาดตกบกพร่องไปจากสัญญา ผู้ซื้อจะยังมีโอกาสปฏิเสธรับรถคันนั้นได้ ดังนั้น อย่าลืมปฏิบัติตามคำแนะนำที่กล่าวไปทั้งหมด 4 ข้อ เพื่อสิทธิประโยชน์ของผู้ซื้อทุกคนนะคะ

ดูแลรถหน้าร้อน

9 เคล็ดลับที่ช่วย Keep Cool
และดูแลรถยนต์ของคุณในหน้าร้อน ใช้ได้เสมอ

ช่วงนี้! ออเจ้าทุกคนคงสัมผัสได้ถึงอากาศที่ร้อนเป็นพิเศษ เพราะเราชาวสยามประเทศกำลังเข้าสู่เดือนที่ทั้งเดือดทั้งร้อนที่สุดของปี คือ เดือนเมษายน ที่ร้อนจนถึงขนาดว่า น้ำเย็นๆ ที่เพศตรงข้ามสาดใส่เราตอนสงกรานต์ก็หาได้ดับร้อนไม่ และไม่ใช่แค่เราที่รู้สึกร้อนไปตามสภาพอากาศ สิ่งมีชีวิตอื่นก็เช่นกัน ขนาดสิ่งไม่มีชีวิตอย่าง “รถ” ก็ยังร้อนตามไปด้วย

แม้รถยนต์จะถูกสร้างให้แข็งแรง หรือทนทานขนาดไหน แต่หากขาดการดูแลก็ยากที่จะใช้งานได้อย่างราบรื่น และความร้อนมักส่งผลร้ายต่อทุกส่วนของรถยนต์ คุณจึงจำเป็นต้องตรวจสอบดูแลรถมากขึ้นในหน้าร้อน แต่หากคุณอยากรู้ว่า ต้องตรวจสอบอะไร และอย่างไรบ้าง 

Carro ก็มี 9 เคล็ดลับการดูแลรถยนต์ในช่วงหน้าร้อนมาเสิร์ฟดูแลรถหน้าร้อน

1. ตรวจสอบลมยางรถยนต์

อากาศร้อนมีผลต่อสภาพของยางเสมอ โดยจะเพิ่มความดันภายในยาง ทำให้พื้นสัมผัสของยางต่อถนนน้อยลง หากเจอพื้นถนนเปียกลื­่นก็จะหยุดยากกว่าปกติ เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ คุณจึงควรตรวจสอบสภาพยาง ลมยาง และยางอะไหล่อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง

 

2. ตรวจระบบปรับอากาศ

ควรตรวจสอบระบบปรับอากาศ อย่างเช่น ระดับของน้ำยาแอร์ ซึ่งหากเห­ลือน้อยก็อาจก่อปัญหากับระบบทำความเย็นของรถได้ ควรตรวจสอบอย่างน้อย 1 ครั้งต่อปี เพราะคงไม่ดีแน่ถ้ารถมาแอร์เสียหรือน้ำยาแอร์หมด ในช่วงที่อากาศร้อนระอุที่สุดของปี แค่คิดก็เหนียวตัวไปหมด!

 

3. แบตเตอรี่รถยนต์

อากาศร้อนแบบเฉียดนรกของบ้านเรา ส่งผลต่อระบบไฟฟ้าทั้งหมดรวมถึงแบตเ­ตอรี่รถยนต์ด้วย คุณควรหมั่นตรวจสอบระบบทั้งหมดเดือนละครั้ง ทั้งสายไฟและขั้วต่างๆ ให้อยู่ในสภาพดีเสมอ รวมถึงระดับของน้ำกลั่นในแบตเตอรี่ก็ห้ามพร่อง เพราะยิ่งอากาศร้อนน้ำยิ่งระเหยง่ายมาก

 

4. ระบบเบรก

เบรคเป็นระบบความปลอดภัยที่คนใช้รถห้ามมองข้าม หากคุณสังเกตได้ว่าเกิดความผิดปกติขณะเบรก ไม่ว่าจะเป็นการสั่นมากกว่าปกติ มีเสียงดัง หรือมีระยะการหยุดยาวกว่าปกติ ก็ควรนำรถเข้าศูนย์เพื่อตรวจสอบความผิดปกติ อย่ารอ เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุตอนขับขี่ได้ดูแลรถหน้าร้อน

5. น้ำมันเครื่อง

อากาศร้อนอาจทำให้เครื่องยนต์ต้องทำงานหนักขึ้น ดังนั้นการเลือกน้ำมันเครื่องที่เหมาะสมจะช่วยบรรเทาภาระของเครื่องยนต­์ได้มาก นอกจากนี้ การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องอย่างสม่ำเสมอตามที่คู่มือแนะนำก็จำเป็นเช่นกัน ทั้งหมดนี้จะช่วยรักษาสภาพของเครื่องยนต์ให้ทำงานให้ใช้งานได้อ­ีกนาน

 

6.ระบบหล่อเย็นเครื่องยนต์

นอกจากน้ำมันเครื่องที่ดีแล้ว ระบบหล่อเย็นก็ควรทำงานได้อย่างปกติด้วย คุณควรหมั่นตรวจสภาพของหม้อน้ำและระบบต่าง ๆ ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่มีรอยขาดหรือชำรุด รวมถึงทำความสะอาดหม้อน้ำเมื่อพบสิ่งสกปรก

 

7. สายยาง และสายพานต่างๆ


สายยางและสายพานเป็นส่วนที่เชื่อมต่อระบบต่างๆ ของรถเข้าด้วยกัน ซึ่งแม้จะมีความทนทานสูง แต่หากมีรอยชำรุดเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้ระบบของรถเกิดความผิดป­กติได้ จึงควรตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในฤดูร้อนที่ระบบภายในต่างๆ อาจเสียหายได้ง่ายเป็นพิเศษ

 

8. จอดรถในที่ร่ม

หากจำเป็นต้องจอดรถนานๆ คุณควรเลี่ยงการจอดรถในที่กลางแจ้ง เพราะนอกจากแสงแดดจะทำให้ห้องโดยสารร้อนแล้ว ยังส่งผลต่อสีตัวถังที่ซีดและเสียคุณสมบัติการปกป้องไปในไม่ช้า­ แต่หากเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ก็ควรหาผ้าคลุมตัวถังเอาไว้เพื่อเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดดโดยตรง­

 

9. เปิดกระจกก่อนเร่งแอร์

การที่หลายๆ คนเร่งแอร์ท­ันทีเมื่อขึ้นรถ โดยไม่สนว่ารถจะร้อนแค่ไหนก็ตาม จะทำให้รถทำงานหนักกว่าปกติและเปลืองน้ำมันมากขึ้น ดังนั้น ก่อนเปิดแอร์ คุณควรเปิดกระจกและพัดลมแอร์ให้แรงสักหน่อยเพื่อไล่ความร้อนออกไป ทำแบบนี้เพียง 1-2 นาที รับรองว่าแอร์ในรถจะเย็นเร็วกว่าเดิมมาก แถมประหยัดน้ำมันได้มากขึ้น

ดูแลรถหน้าร้อน

จริงๆ แล้วเคล็ดลับ 9 ข้อที่ Carro นำมาเสิร์ฟก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นสิ่งที่คนใช้รถยนต์ทุกคนควรจะตรวจสอบเป็นปกติอยู่แล้ว ยิ่งในฤดูร้อนอาจต้องเพิ่มความรอบคอบเป็นพิเศษ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อป้องกันการเกิดเหตุสุดวิสัยบนถนน และยังช่วยรักษารถยนต์ให้อยู่กับออเจ้าไปนานๆ ตลอดภพนี้ชาตินี้เลยล่ะเจ้าค่ะ

mercedes-benz-top-5

ที่สุดของ Benz! สุดยอดรถ 5 รุ่น
ที่ดีที่สุดจาก Mercedes-Benz

“เมอร์เซเดส-เบนซ์” เป็นแบรนด์รถยนต์ที่มียอดขายที่น่าประทับใจมาโดยตลอด ซึ่งครอบคลุมตลาดและช่องทางการตลาดเกือบทุกประเภทตั้งแต่รถ SUV ไปจนถึงรถสปอร์ต ตั้งแต่รถหรู ไปถึงรถปิคอัพรุ่นแรกที่เบนซ์เคยผลิตมาเลยทีเดียว

mercedes-benz Top 5

ซึ่งรุ่นที่ดีที่สุดของเบนซ์ก็มีจำนวนไม่น้อยกว่า 6 รุ่น ซึ่งแต่ละคันก็เป็นตัวท็อปของรุ่น มีทั้งเวอร์ชั่น C-, E-, S-Class, SLC, SL Roadster ก็ยังมี และ AMG GT Roadster ก็เป็นหนึ่งในรุ่นที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน

mercedes-benz Top 4

ถึงแม้ว่าเบนซ์จะมีรถดีๆหลายรุ่นอยู่แล้ว  แต่เบนซ์ก็ไม่เคยหยุดพัฒนา เพราะเบนซ์เป็นบริษัทที่มักจะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยเบนซ์ชอบที่จะสร้างเซอร์ไพรส์โดยการผลิตอะไรใหม่ๆ ออกมาเสมอ

เช่น ในอนาคตอันใกล้นี้ พวกเราอาจจะได้พบกับ Mercedes-AMG GT Roadster อีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ เบนซ์รุ่น AMG GT Roadster จะมีแรงบิดถึง 547 แรงม้า หรือแรงบิด 501 ปอนด์-ฟุต (680 นิวตัน-เมตร) ที่ใช้เวลาเพียง 3.7 วินาทีถึง 62 ไมล์ต่อชั่วโมง (100 กม./ชม.) และมีความเร็วสูงสุด 196 ไมล์ต่อชั่วโมง ในรูปแบบที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

mercedes-benz Top 3

mercedes-benz top 2อย่างไรก็ตาม AMG GT C Roadster อาจจะยังไม่ใช่รุ่นที่ดีที่สุดแม้ว่าจะอยู่ในรายชื่อ Top 5 เช่นเดียวกันกับรุ่นที่หรูหราอย่าง S-Class Cabriolet และรุ่น Mercedes-Maybach Vision 6mercedes-benz top 1

โดย YouTube ได้ปล่อยวิดีโอที่จัดทำขึ้นโดยผู้ผลิตรถยนต์ชาวเยอรมัน ที่กล่าวถึงรถคลาสสิกรุ่น 280 SE 3.5 Cabriolet โดยให้ข้อมูลว่า รุ่นนี้ตัวรถและแผงหน้ารถทำจากไม้วีเนียร์ กระจกใช้ระบบไฟฟ้า ซึ่งรุ่นนี้ได้สมญานามว่าเป็นรถหรูไร้กาลเวลาของเบนซ์ ตามข้อมูลของบริษัท

และสำหรับคำว่าอันดับหนึ่ง ก็ต้องถูกสงวนไว้ให้กับรถที่พิเศษและดีที่สุด ซึ่งก็ตกเป็นของ Mercedes-Benz ที่สามารถตอบสนองผู้ที่ต้องการขับขี่ “ยนตรกรรมที่ดีที่สุด” ได้เสมอ ซึ่งแฟนตัวจริงของ “Benz” จะรู้ดีว่าอะไรคือ “The Best” และหากคุณกำลังมองหารถ Benz มือสอง (คลิก) หรือต้องการขายรถ Benz คันเก่าแบบได้เงินสดที่รวดเร็วทันใจ (คลิก)

 

ที่มา : carscoops.com

วิธี,-รถ,-กำจัดขน,-tips

5 Tips ดีๆ ในการกำจัดขนสัตว์บนรถ
ด้วยวิธีง่ายๆและได้ผลแน่นอน

การมีสัตว์เลี้ยงเป็นเรื่องที่ดี ยิ่งมีสัตว์เลี้ยงคู่ใจเป็นเพื่อนร่วมเดินทางไปด้วยกันยิ่งเป็นประสบการณ์ที่แสนพิเศษ แต่อย่างไรก็ตาม สุนัขหรือสัตว์เลี้ยงตัวโปรดของคุณก็สามารถสร้างความหายนะภายในรถได้เช่นกัน เพราะพวกเขามักจะกัด,แทะเบาะ และทิ้งขนเอาไว้จนฟุ้งกระจายไปทั่วรถ

และถึงแม้ว่า คุณจะสามารถฝึกให้สัตว์เลี้ยงของคุณไม่ให้กัดเบาะหน้ารถ หรือสามารถฝึกให้พวกเขารู้จักอดทนอยู่บนรถจนกว่าจะเจอที่ขับถ่ายที่เหมาะสม แต่คุณก็ไม่สามารถฝึกหรือห้ามสัตว์เลี้ยงของคุณ ให้พวกเขาไม่ทิ้งขนไว้บนรถได้แน่ๆ แต่ปัญหาทั้งหมดที่กล่าวมาสามารถจัดการได้ เพียงแค่คุณทำตามคำแนะนำง่ายๆเหล่านี้ คุณก็สามารถจัดการ “ขน” ภายในรถได้อย่างง่ายดายและมีประสิทธิภาพ

 

1. ใช้มือเปียกๆลูบเบาะภายในรถ

ใช้มือเปียกๆลูบเบาะภายในรถ

ไม่สำคัญว่าสุนัขของคุณจะมีขนาดใหญ่หรือเล็ก เพราะสุนัขทุกตัวจะทิ้งขนไว้ภายในรถอยู่ดี และคุณจะต้องทำความสะอาดหลังจากนั้น วิธีทำความสะอาดหรือกำจัดขนสุนัขที่ง่ายที่สุดคือ การทำให้มือเปียกด้วยน้ำ แต่ไม่ควรเปียกจนชุ่ม เพียงแค่เปียกหมาดๆก็พอ แล้วใช้มือเช็ดเบาะที่นั่งจนขนสุนัขติดมือขึ้นมา ทำซ้ำๆจนกว่าคุณจะทำความสะอาดพื้นผิวที่ต้องการได้หมดจด หากคุณไม่ต้องการใช้มือคุณสามารถใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆแทนก็ได้ แต่ผลลัพธ์อาจได้ผลน้อยกว่าการใช้มือทำความสะอาด

 

2. ใช้เทปกาว

เทปกาว

วิธีที่นิยมในการทำความสะอาดขนสุนัขภายในรถของ คือ การใช้เทปหรือผลิตภัณฑ์ที่คล้ายคลึงกัน โดยใช้เทปที่มีส่วนเหนียวหรือหน้าที่เป็นกาวแตะรอบบริเวณภายในรถ จนขนสัตว์ติดหน้าเทปขึ้นมา วิธีนี้เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากและสามารถทำความสะอาดภายในรถได้ในเวลาอันรวดเร็ว

 

3. ใช้ไม้กวาดหรือแปรงปัดขน

แปรงปัดขน

มีผลิตภัณฑ์หลายอย่าง เช่น ไม้กวาดหรือแปรงปัดขนที่ผลิตออกมาขายในตลาด ซึ่งออกแบบมาเพื่อการกำจัดขนสัตว์โดยเฉพาะ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จึงเหมาะที่สุดที่จะใช้ทำความสะอาดภายในรถของคุณ และเมื่อใช้งานเสร็จ อย่าลืมทำความสะอาดแปรงหรือไม้กวาดด้วย เพราะขนสัตว์จะเกาะติดอยู่บนแปรงเช่นกัน

 

4. ใช้ไฟฟ้าสถิตย์

ไฟฟ้าสถิตย์

นี่เป็นวิธีที่น่าสนใจ ฉลาด และทันสมัยในการกำจัดขนสัตว์ภายในรถ โดยรวมระหว่างหลักฟิสิกส์และการใช้ถุงมือยางไว้ด้วยกัน ที่คุณต้องทำก็คือ ใช้ถุงมือยางธรรมดาถูกับพื้นผิวบนรถ ซึ่งจะทำให้มือของคุณเต็มไปด้วยไฟฟ้าสถิตย์ และขนสุนัขก็จะติดมาบนถุงมือ กระบวนการทำความสะอาดนี้เป็นเรื่องง่ายๆ เพียงคุณลูบ, เช็ดเบาะหรือพื้นที่ภายในรถด้วยถุงมือที่มีไฟฟ้าสถิตย์ เมื่อทำความสะอาดเสร็จก็แค่ถอดถุงมือออก วิธีนี้เป็นการกำจัดขนสัตว์ที่สมบูรณ์แบบ ง่ายและมีประสิทธิภาพ

 

5. เครื่องดูดฝุ่น

เครื่องดูดฝุ่น

คุณสามารถทำความสะอาดภายในรถด้วยเครื่องดูดฝุ่นได้เหมือนกับที่ทำภายในบ้าน วิธีนี้ไม่เพียงแค่จะกำจัดขนสุนัขออกไป แต่ยังขจัดสิ่งสกปรกอนุภาคเล็กอื่นๆ ได้อีกมากมาย

อย่างไรก็ตาม Carro ขอแนะนำให้ทำความสะอาดร่วมกับวิธีอื่นๆ ด้วย เพราะบางครั้งจะมีเส้นผมที่ร่วงบนรถ ติดอยู่ในซอกเบาะ หรือร่วงตกอยู่ตามพื้นรถ ดังนั้นการดูดฝุ่นอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอ แต่ถ้าคุณทำความสะอาดภายในรถด้วยเครื่องดูดฝุ่นร่วมกับวิธีทำความสะอาดอื่นๆ ก็จะทำให้ภายในรถของคุณสะอาดเหมือนกับรถคันใหม่เลยทีเดียว

ชนแล้วหนี

ปรับกฎใหม่ “ชนแล้วหนี” เพิ่มความผิดเป็น 2 คดี
ต้องโทษอาญา โดนทั้งจำทั้งปรับ

พูดถึงปัญหาที่สังคมไทยเจอมาอย่างยาวนานบนท้องถนน และยังแก้ปัญหาไม่ได้นั่นก็คือ ปัญหาการจราจรที่หนาแน่นในกรุงเทพฯ รวมถึงเขตปริมณฑลที่ทุกคนได้รับผลกระทบ แม้ทางภาครัฐหรือทางตำรวจจราจร ได้พยายามวางแผนเพื่อขจัดปัญหาเหล่านี้ แต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร และปัญหาที่มาคู่กัน กับการเป็นประเทศที่มีการจราจรหนาแน่นเป็นอันดับต้นๆของโลกก็คือ การเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ซึ่งประเทศไทยก็ไม่น้อยหน้า ยังคงอยู่ในลิสท์สถิติสูงสุดติดอันดับโลกเช่นกัน (ซึ่งก็ไม่ดีเท่าไหร่นัก)

ชนแล้วหนี พรบ. จราจร กฎหมาย พรบ.

วันนี้ เราจะมาพูดถึงอุบัติเหตุบนถนน (กรณียอดฮิต) ที่บางคนอาจเคยประสบพบเจอกับตัวเอง หรือเห็นในข่าวบ่อยๆ ซึ่งกรณีนี้มักก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วประเทศ เกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำทางสังคม เนื่องจากผู้ได้รับความเสียหายมักไม่ได้รับความเป็นธรรมที่มากพอ นั่นก็คือ กรณี “ชนแล้วหนี” จากหลายคดีดังที่ทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะมีจุดจบอย่างไร และคำถามนานัปการที่สังคมมีต่อกฎหมาย ทำให้ในปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนกฏหมายในกรณี “ชนแล้วหนี” ให้มีโทษหนักมากขึ้นตาม พรบ.จราจรทางมาตรา 78 ที่บัญญัติไว้ว่า

“ผู้ขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินจะต้องหยุดรถให้ความช่วยเหลือ พร้อมทั้งแสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ใกล้เคียงทันที ไม่ว่าจะเป็นความผิดของผู้ขับขี่หรือไม่ก็ตาม”

ชนแล้วหนี, พรบ. จราจร, กฎหมาย, พรบ.

ซึ่งถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นแล้ว เราปฏิบัติตาม พ.ร.บ.จราจรทางมาตรา 78 ก็ไม่ต้องกลัวว่าเราจะต้องโทษ เพราะต้องมาพิจารณาหาสาเหตุของอุบัติเหตุอีกที เพื่อหาฝ่ายผิด หลังจากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย ที่จะมีประกันภัยรถยนต์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยในส่วนของการจ่ายค่าสินไหมทดแทน แต่ถ้าหากหลบหนีแล้วโดนจับได้ หรือเข้ามอบตัวเองในภายหลัง ก็จะมีบทลงโทษ ดังนี้

“พ.ร.บ.จราจรทางมาตรา 160 ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 78 ​ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับตั้งแต่ 2,000 บาทถึง 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าการไม่ปฏิบัติตามมาตรา 78 เป็นเหตุให้บุคคลอื่นได้รับอันตรายสาหัส หรือเสียชีวิต​ ผู้ไม่ปฏิบัติตามต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับตั้งแต่ 5,000 บาท ถึง 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”

โดยบทลงโทษนี้ จะแยกจากคดีที่เกิดอุบัติเหตุอีกคดีนึง หรืออธิบายง่าย​ๆ ว่าถ้าเราชนแล้วหนี เราจะมีคดีติดตัวเพิ่มมาอีก 1 คดีฟรีๆ! ซึ่งหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นจริงๆ สิ่งที่เราควรทำคือ “อย่าหนี” เพราะความผิดฐานขับรถประมาทนั้น ผู้ทำผิดไม่ใช่อาชญากร เราจึงควรอยู่รับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งดีกว่าการหลบหนีแน่นอน ยิ่งถ้าในอุบัติเหตุมีผู้เสียชีวิต เราก็จะต้องหลบหนีถึง 15 ปีเลยทีเดียว รวมถึงอาจจะเจอข้อหาอื่น​ๆ เพิ่มอีกด้วย แต่หากเราเลือกจะอยู่และให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ มอบตัวเพื่อสู้คดี ผลลัพธ์ที่ตามมาอาจจะไม่ร้ายแรงอย่างที่คิดเพราะบางคดีอาจยอมความกันได้ หรือ ศาลมีการลดโทษให้ตามความถูกต้องเหมาะสม

ชนแล้วหนี พรบ. จารจร

แต่จะดีที่สุดคือ การไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ “ชนแล้วหนี” ไม่ว่าในฐานะใดก็ตาม ซึ่งทุกนสามารถป้องกันได้ ด้วยการเตรียมร่างกายให้พร้อมขับขี่ มีสติอยู่ตลอดเวลา แต่หากผู้อ่านพบเจอเหตุการณ์หรืออุบัติเหตุเช่นนี้ Carro หวังว่าผู้อ่าน จะมีสติ รับมือ และจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้โดยสูญเสียน้อยที่สุด ขับขี่ปลอดภัยค่ะ