5 วิธี แก้ปัญหารถแอร์ไม่เย็น

น่าสังเกตกันไหมครับว่า ในช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมานี้ โลกเราพบกับสภาวะโลกร้อนอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทั้งในด้านการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่เกินเลย การกินอยู่และการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศต่างๆ ล้วนก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนทั้งสิ้น

ส่วนในประเทศไทยเองนั้น ก็ตั้งอยู่ในเขตเส้นศูนย์สูตร ซึ่งอากาศร้อนชื้นทุกฤดูอยู่แล้ว ไม่ใช่เพียงแค่หน้าร้อน หน้าฝน หรือหน้าหนาว เราก็รู้สึกได้ว่าแดดร้อนมากขึ้นกว่าเดิม ขนาดแอร์รถป้ายแดงยังเหนื่อย ถ้าเป็นรถมือสองอายุหลายปี ระบบแอร์ยิ่งไม่เย็นใหญ่!

CARRO มีเคล็ดลับมาบอกครับ ว่าแก้ปัญหาแอร์ไม่เย็นของรถยนต์คุณอย่างไร ให้เย็นฉ่ำชื่นอุราขึ้นอีกครั้ง …

Prepare-Car-Air-Condition-In-Hot-Season

1. เครื่องยนต์ต้องสมบูรณ์

ระบบเครื่องยนต์ต้องสมบูรณ์ เพราะเครื่องยนต์นั้นย่อมมีผลไปถึงระบบแอร์ด้วย ตรวจดูหม้อน้ำว่ามีรอยรั่วซึมหรือไม่ ดูท่อทางเดินน้ำจุดต่างๆ มีรอยแตกลายงา หรือแข็งแล้วหรือยัง เช็กซีล จุกยางจุดต่างๆ ดูสภาพเป็นไงบ้าง ตัวแหวนรัด ปั้มน้ำ และสายพาน ไปด้วยก็ดี อันไหนเสื่อมสภาพ ก็เปลี่ยนใหม่ซะ

Prepare-Car-Air-Condition-In-Hot-Season

2. ฟิล์มกรองแสง

ฟิล์มกรองแสงควรเลือกชนิดที่มีการสะท้อนความร้อนได้ดี ราคาอาจจะสูงหน่อย แต่ก็จะช่วยให้แอร์ในห้องโดยสารรถ เย็นขึ้นได้เช่นกัน

Prepare-Car-Air-Condition-In-Hot-Season

3. พัดลมไฟฟ้า

พัดลมระบายความร้อน ก็สำคัญ เพราะมีผลต่อระบบระบายความร้อนและแอร์ ในรถขับหลัง หรือรถกระบะส่วนมาก ใช้พัดลมจากการหมุนของเครื่องยนต์ ซึ่งมี Free Blade อยู่ มันจะตัดการทำงานของพัดลมเมื่อรอบเครื่องยนต์สูงๆ เพื่อไม่ให้กินกำลัง เพราะยังไงเครื่องยนต์รอบสูง ก็มีลมปะทะมาช่วยระบายความร้อนที่หม้อน้ำและแผงคอยล์ร้อนของแอร์ หากซิลิโคนใน Free Blade เสื่อมสภาพ ลมจากใบพัดก็จะหมุนได้ช้าลง และทำให้แอร์รถไม่เย็นตามไปด้วย

Prepare-Car-Air-Condition-In-Hot-Season

4. ไดเออร์

ไดเออร์ (Drier) เป็นตัวกรองความชื้นในระบบแอร์ จะมีกระจกเล็กๆ ใสๆ ที่เรียกว่า “ตาแมว” ติดอยู่ วิธีสังเกต ให้ติดเครื่องยนต์แล้วเปิดแอร์ จากนั้นดูปริมาณสารทำความเย็นที่ไหลผ่าน ดูฟองที่เกิดขึ้นว่าเป็นแบบไหน

ถ้าฟองที่ไหลผ่าน ไหลเป็นเส้นประเหมือนไข่ปลา มีปริมาณเล็กน้อย แสดงว่าสารทำความเย็นพอดี ถ้าเห็นฟองมาก แสดงว่าน้อยไป ถ้าไม่เห็นฟองเลย สารทำความเย็นอาจจะรั่วหมด หรือไม่ก็มากเกินไป วิธีแก้ไขคือเติมน้ำยาแอร์เข้าไปให้พอดี แต่ถ้าแอร์ไม่เย็นอีก ก็ต้องเปลี่ยนไดเออร์ใหม่

Prepare-Car-Air-Condition-In-Hot-Season

5. ล้างตู้แอร์

สำหรับรถที่ใช้งานมาหลายปี แต่ไม่เคยล้างตู้แอร์เลย ก็ลองล้างตู้แอร์หรือคอยล์เย็นบ้างสักครั้ง เพราะบ้านเราฝุ่นเยอะ ในห้องโดยสารก็มีฝุ่นแฝงเข้าไปตามจุดต่างๆ ตลอด เมื่อสะสมฝุ่นมากก็ทำให้ตู้แอร์ตัน มีกลิ่นเหม็นอับ ลมแอร์ไม่แรง รวมถึงการอุดตันที่ Expansion Valve (ตัวฉีดน้ำยาแอร์ให้กลายเป็นไอ) ในคอยล์เย็น ก็ทำให้แอร์ไม่เย็นเช่นกัน โดยวิธีล้างแอร์ ก็มีทั้งรื้อคอนโซลออกมาล้าง และแบบส่องกล้องล้าง

ไหนๆ จะล้างตู้แอร์แล้ว ก็ตรวจเช็กการรั่วซึม วัดกำลังอัดของระบบแอร์ด้วย ไม่งั้นล้างตู้แอร์มาแล้วแอร์ไม่เย็นอีก ก็เสียเงินฟรีเปล่าๆ …

Prepare-Car-Air-Condition-In-Hot-Season

แต่ถ้าทำทุกวิถีทางแล้ว แอร์ก็ยังไม่เย็น เพราะกำลังอัดของคอมเพรสเซอร์แอร์ตกไปตามอายุ มีเสียงดัง หรือมีน้ำมันคอมแอร์ฯ รั่ว หรือคอมเพรสเซอร์แอร์ใกล้หมดอายุแล้ว คุณอาจจะต้องลงทุนมากหน่อย เพื่อเปลี่ยนคอมเพรสเซอร์แอร์ลูกใหม่ รับรองเย็นฉ่ำอย่างแน่นอนครับ …

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม มาขายรถคันเดิมกับ CARRO Express สิ! Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

แต่ถ้าหากช่วงนี้ใครอยากเปลี่ยนรถคันใหม่ มาใช้แทนที่รถคันเดิม CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ พร้อมตอบโจทย์คุณด้วยคอนเซปต์ “click.buy.drive.” คุณสามารถจองรถออนไลน์ ได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น!

รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check มากกว่า 200 จุด และยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” ให้คุณเลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา พร้อมรับประกันคุณภาพรถนานถึง 2 ปี หรือ 20,000 กิโลเมตร! อีกทั้งยังการันตีความพึงพอใจ คืนเงินได้ภายใน 5 วันอีกด้วย! เรามีรถให้คุณเลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ CARRO Automall สิ!

หรือถ้าหากสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall Thailand โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall ครับ

frankxcarro

ก่อนตัดสินใจซื้อประกันรถออนไลน์ ต้องเช็กสิ่งเหล่านี้ก่อน!

กับการใช้ชีวิตยุคนี้สมัยนี้สมาร์ทโฟนและสื่อดิจิทัลเป็นสิ่งที่สำคัญกับชีวิตเลยล่ะ ด้วยวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เช่น การซื้อของออนไลน์ส่งถึงบ้าน และการซื้อประกันออนไลน์ที่อ่านกรมธรรม์ธรรม์ผ่านหน้าจอ และซื้อทันทีผ่านปลายนิ้วสัมผัส

โดยเฉพาะวันนี้ที่มีโบรกเกอร์ประกันภัยมากมายหลายแบรนด์ผุดเป็นดอกเห็ด การเลือกซื้อประกันดี ๆ สักกรมธรรม์ในยุค InsurTech ป็อปปูล่าเช่นนี้ เราควรพิจารณาเลือกซื้อประกันออนไลน์จากอะไรกันนะ ?

1. ดูจากความน่าเชื่อถือเป็นหลัก

เมื่อการซื้อประกันออนไลน์ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่ใกล้ตัวกว่าที่คิด ด้วยข้อดีเพราะไม่ยุ่งยากสะดวกสบาย ช่วยประหยัดเวลา สามารถซื้อได้ทันทีไม่ต้องออกจากบ้าน  หากคุณกำลังมองหาประกันรถยนต์ ประกันรถมอเตอร์ไซค์ ประกันการเดินทาง ประกันอุบัติเหตุ หรือการซื้อประกันชีวิต คุณควรมองหาประกันออนไลน์ที่มีความน่าเชื่อถือเป็นหลักครับ

แล้วจะรู้ได้ไงว่าเว็บไซต์นั้นน่าเชื่อถือ ?

สังเกตง่าย ๆ เลยบนเว็บไซต์ประกันออนไลน์นั้น ๆ จะแสดงเลขที่ใบอนุญาตตัวแทนนายหน้าประกันวินาศภัยจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (ค.ป.ภ.) ตามพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ให้ชัดเจน (OIC license for non-life insurance registration number) เพราะเป็นเครื่องหมายการันตีให้ชัดเจนว่าน่าเชื่อถือ มีการการันตีจากหน่วยงานภาครัฐเป็นหลัก  ยกตัวอย่างเว็บไซต์ Frank.co.th ที่ระบุไว้อย่างชัดเจนบนหน้าเว็บไซต์

“OIC license for non-life insurance registration number : 00017/2559” ดังเช่นในภาพ

สิ่งที่ต้องมองหาก่อนซื้อประกันออนไลน์ผ่านโบรกเกอร์02

2. เว็บไซต์ต้องมีรายละเอียดครบครัน ไม่มีประวัติเสีย

ความครบเครื่อง ครบครัน !! เว็บไซต์ประกันออนไลน์นั้น ๆ จะต้องบอกเล่ารายละเอียด เงื่อนไขให้ครบถ้วน เข้าใจง่ายไม่มีหมกเม็ดและต้องเคลมง่ายด้วยครับ เช่น ประกันรถยนต์ Frank.co.th ที่บอกเล่าความคุ้มครองประกันชั้น 1 ประกันชั้น 2+ ประกันชั้น 2 และประกันชั้น 3 อย่างละเอียดถี่ถ้วน และอย่าลืมเช็กประวัติของเว็บไซต์บริการประกันออนไลน์นั้น ๆ ด้วยนะ สามารถเสิร์ซหาง่าย ๆ จาก Google เพื่อดูว่า บริษัทฯ นั้น ๆ ให้บริการเป็นอย่างไร ดูแลลูกค้าดีแค่ไหน มีประวัติเสียมาก่อนหน้านี้หรือไม่ การเช็กรีวิวจากลูกค้าด้วยกันจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้เป็นอย่างดีครับ

3. ใส่ใจบริการหลังการขาย

ซื้อประกันออนไลน์จะให้ดีจะต้องมีบริการหลังการขายที่ครบครัน จริง ๆ แล้วการซื้อประกันคือการซื้อความคุ้มครองในการใช้ชีวิตประจำวัน ดังนั้น ควรมีช่องทางการโทร หรือติดต่อง่ายดาย รวมทั้งบริการในช่องทางอื่น ๆ ที่ดูแลด้วยใจจริง เช่น เมื่อเราต้องการคำตอบ แชทเข้าไลน์แอด (Line@) ทางบริษัทฯ ประกันนั้น ๆ ก็ตอบได้อย่างรวดเร็วทันที ช่วยเหลือทันการตรงนี้เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณา

4. ต้องมีสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า

ความดีงามของการซื้อประกันออนไลน์ คุณจะได้รับราคาที่คุ้มค่า การคุ้มครองที่มาพร้อมกับสิทธิพิเศษที่ได้รับมาด้วย เป็นสิ่งที่คุณต้องพิจารณาด้วยเช่นกัน เช่น ส่วนลด ของแถม หรือบริการอื่น ๆ เพิ่มเติม ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัด ๆ จากบริการ Frank.co.th ที่มีสิทธิพิเศษ Penguin Privileges มอบดีลพิเศษให้เสมอ และทั้งหมดนี้ก็เป็นทริคการเลือกประกันออนไลน์แบบคร่าว ๆ ที่นำมาเล่าสู่กันฟัง เพื่อประกอบการตัดสินใจซื้อประกันให้ง่ายขึ้นนั้นเองล่ะ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก frank.co.th

 

Car-Breakdown-On-Expressway

รถเสียบนทางด่วน ไม่ต้องตกใจ! โทรแจ้ง 1543 แล้วรอให้เจ้าหน้าที่มาช่วย

บริการพิเศษ เพื่อคุณคนพิเศษ

บริการพิเศษ เพื่อคุณคนพิเศษ

Posted by การทางพิเศษแห่งประเทศไทย on Wednesday, October 2, 2013

เรื่องราวบนท้องถนนนั้น เป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะรถเก่า (หรือรถใหม่บางรุ่นก็ตาม) ซึ่งบางทีขับไปอยู่ๆ ก็เกิดเสีย ขัดข้องขึ้นมาได้ หรืออาจจะเกิดอุบัติเหตุ น้ำมันหมด ยางแตก ก็ตาม …

Car-Breakdown-On-Expressway

ภาพจาก Twitter pritcha

แต่ถ้าเกิดบนถนนธรรมดา ก็ไม่เท่าไหร่ แต่ดันไปเสีย ยางแตก หรือน้ำมันหมด บนทางด่วนนี่สิ! โชคร้ายเหมือนถูกหวย 90 ล้าน (แต่เป็นหวยปลอม) เลย เพราะจะต้องระวังกับเหตุที่จะเกิดขึ้นมาเพิ่มด้วย!

แต่ทุกปัญหาย่อมมีทางออก Carro ขอแนะนำหากรถเสียบนทางด่วน ต้องทำอย่างไร? เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อน ครับ.

Car-Breakdown-On-Expressway

  • เมื่อรู้ว่ารถเกิดปัญหาบนทางด่วน ไม่ว่าจะเหตุใดก็ตาม ตั้งสติให้ดี เเล้วนำรถเข้าชิดไหล่ทางด้านซ้ายของถนน เปิดไฟฉุกเฉินให้เรียบร้อย
  • โทรเเจ้ง 1543 EXAT Call Center สายด่วนการทางพิเศษแห่งประเทศไทย แจ้งเรื่อง เเจ้งพิกัดรถของคุณ สาเหตุอาการของรถ มีคนป่วยหรือบาดเจ็บในรถหรือไม่ หากต้องการรถลาก ควรเเจ้งเจ้าหน้าที่ให้พร้อม
  • หากโทรศัพท์มือถือแบตเตอรี่ดันหมด ให้เดินชิดไหล่ทางที่สุด หาโทรศัพท์ฉุกเฉินบนทางด่วน ที่ถูกติดตั้งไว้ทุกๆ 500 – 1,000 เมตร วิธีใช้ เพียงแค่กดปุ่ม ก็จะมีเจ้าหน้าที่รับสายที่ปลายทาง ให้แจ้งพิกัดหลัก กม. ของรถที่จอดเสียอยู่ โดยดูตัวเลขได้จากขอบทางฝั่งซ้ายเเละขวา แจ้งสาเหตุอาการของรถ และกลับไปนั่งรอในรถของท่าน เพื่อรอให้เจ้าหน้าที่ส่งทีมมาช่วยเหลือ
  • เปิดไฟสัญญาณฉุกเฉินไว้ตลอดเวลา

ขอบคุณข้อมูลจาก : การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม
– Pantip เมื่อผมยางแตกบนทางด่วน

Do-Not-Use-Left-Foot-In-Brake-Pedal

เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว รถยนต์เกียร์อัตโนมัติทุกคัน จะมีเฉพาะแป้นเบรกและแป้นคันเร่งเท่านั้น ไม่มีแป้นคลัตช์อยู่ด้านซ้ายสุดแบบรถเกียร์ธรรมดา แล้วทำไม เวลาขับ ถึงให้ใช้แค่เท้าขวาเพียงเท้าเดียว? MR.CARRO จะเล่าให้ฟัง

Do-Not-Use-Left-Foot-In-Brake-Pedal

ห้ามเหยียบเบรกด้วยเท้าซ้ายเด็ดขาด! เพราะอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้

การเหยียบเบรกด้วยเท้าซ้ายนั้น หรือการวางเท้าไว้ทั้งแป้นเบรค และคันเร่ง ถือว่าเป็นอันตราย และฝืนธรรมชาติ เพราะชุดแป้นเบรคและคันเร่งของรถยนต์ที่ใช้เกียร์อัตโนมัติทุกคันในโลกนี้ ล้วนออกแบบมาสำหรับใช้งานด้วยเท้าขวาเท่านั้น

Do-Not-Use-Left-Foot-In-Brake-Pedal

หากเกิดกรณีฉุกเฉินตอนขับรถ จังหวะตกใจ ความสามารถในการแยกแยะซ้าย-ขวา หายไป เกิดพลาดเหยียบทั้งเบรค และคันเร่งพร้อมกัน อาจเกิดอุบัติเหตุได้ และอาจทำให้เกิดความสับสนได้ แยกประสาทยาก

และยังเป็นการทำให้ผ้าเบรกแตะกับจานเบรก เสียดสีกันจนเกิดความร้อนสูง ผ้าเบรกหมดไวกว่าปกติ อีกทั้งการวางเท้าไว้ที่แป้นเบรก แม้จะแค่เบาๆ ยังทำให้รถคันที่ตามหลังมา เกิดการเข้าใจผิดได้ เนื่องจากไฟเบรกจะติดค้างไว้บ่อยๆ

Do-Not-Use-Left-Foot-In-Brake-Pedal

เท้าซัาย ไม่ต้องทำอะไร อยู่เฉยๆ เท่านั้น (หากเป็นรถเกียร์ธรรมดา เท้าซ้ายใช้เหยียบคลัตช์อย่างเดียว เท่านั้น!)

รวมทั้งเวลาไปขับเกียร์ธรรมดา จะได้ไม่ฝืนธรรมชาติด้วยครับ เนื่องจากเท้าซ้าย มีไว้สำหรับเหยียบคลัตช์เท่านั้น (หากเป็นรถเกียร์อัตโนมัติ ทุกคันจะมีแป้นพักเท้าเล็กๆ อยู่บริเวณด้านหน้า นั่นหมายความว่า เท้าซ้าย มีไว้ใช้ยันกับพื้นรถอย่างเดียวครับ)

Do-Not-Use-Left-Foot-In-Brake-Pedal

การวางเท้าที่ถูกต้อง สำหรับการขับขี่รถเกียร์อัตโนมัติ

อย่าลืมนะครับ ว่า จุดประสงค์ของเกียร์อัตโนมัติ คือ เพื่อความสะดวกสบาย ไม่ต้องใช้มือซ้าย เปลี่ยนเกียร์บ่อยๆ และไม่ต้องใช้เท้าซ้าย เหยียบคลัตช์บ่อยๆ … แล้วคุณจะใช้เท้าซ้ายด้วย ให้มันเมื่อยขึ้นอีกทำไม ถ้าคุณไม่ใช่นักแข่งรถในสนามแข่ง ที่เขาได้รับการฝึกให้ใช้ทั้งเท้าซ้ายเหยียบคลัตช์ และเหยียบเบรก เพื่อใช้เท้าขวาเลี้ยงความเร็วรถยนต์ไว้เป็นหลัก …

Do-Not-Use-Left-Foot-In-Brake-Pedal

วิธีการขับรถเกียร์อัตโนมัติ ที่มีเบรกมือแบบเท้าเหยียบ
A: เท้าขวาเหยียบเบรก  B: กดปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ C: เท้าซ้ายเหยียบเบรกมือแบบเท้าเหยียบ ให้เด้งขึ้นมา ก่อนจะใช้เท้าขวาเหยียบเบรกอีกครั้ง ค่อยๆ เปลี่ยนเกียร์ ปล่อยเบรกออกจากเท้า และค่อยๆ ออกตัวรถไป

โปรดจำไว้ครับว่า หากขับรถเกียร์อัตโนมัติ ใช้เพียงเท้าข้างขวาเหยียบเบรก และคันเร่ง เท่านั้นครับ!

หากช่วงนี้ใครต้องการซื้อรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพได้มาตรฐาน รับประกันพร้อมโอนทุกคัน หรือหารถมือสองรุ่นที่ต้องการ สามารถเข้ามาดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ CARRO Automall > https://th.carro.co/buy-car หรือโทร. 02-508-8690 หรือจะ Inbox มาสอบถามก็ได้เช่นกัน ที่ Facebook CARRO Automall – รถบ้านมือสอง ถ้าสะดวก Add Line ก็ที่ @carroautomall

ส่วนถ้าคุณอยากขายรถด่วน เพื่อไปซื้อรถคันใหม่ หรือรับเงินก้อนไปใช้สามารถขายรถคันเก่า หรือตีราคารถกับทาง CARRO ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ CARRO Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook CARRO Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothai หรือคลิกที่นี่ —> เพิ่มเพื่อน

ข้อสอบ ใบขับขี่, สถานการณ์อันตราย

ข้อสอบใบขับขี่ พร้อมเฉลย

วันนี้ คาร์โร มีแบบทดสอบที่สามารถเป็นแนวทางในการเตรียมความพร้อมก่อนไปสอบจริง ในหมวดการรับรู้สถานการณ์อันตราย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ที่กำลังจะไปสอบใบขับขี่มากยิ่งขึ้น และทั้งหมดมี 21 ข้อ พร้อมเฉลย (อยู่ด้านล่างของบทความ)

1. รถยนต์คันสีเหลือง และรถยนต์คันสีแดง วิ่งมาถึงทางแยกพร้อมกัน และเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวกัน ดังรูปข้อสอบ ใบขับขี่, สถานการณ์อันตราย

  1. รถยนต์คันสีเหลือง เป็นฝ่ายผิดเนื่องจากบริเวณทางแยกลักษณะนี้ ต้องให้รถที่อยู่ด้านขวาไปก่อน
  2. รถยนต์คันสีแดง เป็นฝ่ายผิด
  3. ทั้งรถยนต์คันสีเหลือง และรถยนต์คันสีแดง ผิดด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย
  4. ไม่มีรถยนต์ฝ่ายใดผิด

 

2. รถยนต์คันสีเหลือง , คันสีแดง และ คันสีขาว เลี้ยวซ้ายพร้อมกัน คันใดกระทำผิดกฎหมาย

ข้อสอบ ใบขับขี่, สถานการณ์อันตราย

  1. รถคันสีเหลือง และ สีแดง ผิด เพราะเลี้ยวซ้ายพร้อมกัน
  2. รถคันสีเหลือง และ สีขาว ผิด เพราะเลี้ยวซ้ายพร้อมกัน
  3. รถคันสีแดง และ สีขาว ผิด เพราะเลี้ยวซ้ายพร้อมกัน
  4. รถทุกคัน ผิด เพราะเลี้ยวซ้ายพร้อมกัน

 

3. จากรูป สมมติว่าท่านเป็นผู้ขับรถคันสีแดง และมีความประสงค์จะขับเข้าซอยซ้ายมือด้านหน้า รถโดยสารประจำทางที่กำลังจอดรับส่งผู้โดยสารที่ป้ายรถเมล์ ท่านต้องขับรถอย่างไรจึงจะปลอดภัย

ข้อสอบ ใบขับขี่, สถานการณ์อันตราย

  1. หยุดรถหลังรถโดยสารประจำทาง รถให้รถโดยสารประจำทางขับออกไปก่อนแล้วค่อยขับเลี้ยวเข้าซอย
  2. ขับแซงด้านซ้ายรถโดยสารประจำทางแล้วค่อยเลี้ยวซ้ายเข้าซอย
  3. ขับแซงด้านขวารถโดยสารประจำทางแล้วค่อยเลี้ยวซ้ายเข้าซอย
  4. ถูกทั้งข้อ ก, ข. และ ค.

 

4. สมมติว่าท่านขับรถคันสีแดง ออกจากห้างสรรพสินค้า ซึ่งมีป้ายรถเมล์อยู่หน้าห้างดังรูป ท่านจะต้องขับรถอย่างไรจึงจะปลอดภัย

ข้อสอบ ใบขับขี่, สถานการณ์อันตราย

  1. หยุดรถบริเวณทางออกดูรถด้านขวามือ ถ้าไม่มีรถวิ่งมาก็ขับรถเลี้ยวขวาแซงรถประจำทางออกไป
  2. หยุดรถบริเวณทางออก ดูรถด้านขวามือ ถ้าไม่มีรถวิ่งมาก็ดูรถด้านซ้ายมือว่ามีรถมาจอดต่อท้ายรถโดยสารประจำทางหรือ ไม่ ถ้าด้านซ้ายมือไม่มีรถก็ขับรถออกไป
  3. ไม่ต้องหยุดรอ ขับเลี้ยวซ้ายออกมาต่อท้ายรถโดยสารประจำทาง
  4. ถูกทุกข้อ

 

5. จากรูปเป็นการชนประสานงากันระหว่างรถคันสีแดง และ รถคันสีเหลือง ถามว่ารถคันสีแดง หรือ รถคันสีเหลือง เป็นฝ่ายผิด เพราะอะไร

ข้อสอบ ใบขับขี่, สถานการณ์อันตราย

  1. รถคันสีแดง ผิด เพราะแซงซ้ายบนทางโค้งส่วนรถคันสีเหลือง ถูก เพราะช่องที่ขับมาเป็นไหล่ทางไม่ใช่
  2. รถคันสีแดง ผิด เพราะขับรถย้อนศร ส่วนรถคันสีแดง ถูกเพราะเป็นไหล่ทางช่องรถวิ่งสามารถขับได้
  3. รถคันสีแดง เป็นฝ่ายถูก เพราะขับรถชิดขอบทางด้านซ้าย ส่วนรถคันสีเหลือง เป็นฝ่ายผิด เพราะขับรถชิดขอบทางด้านขวา
  4. รถคันสีแดง ผิด เพราะแซงด้านซ้าย ส่วนรถคันสีเหลือง ผิดเพราะขับรถย้อนศร

 

6. สมมติท่านขับรถคันสีเขียว ในระหว่างที่ขับรถอยู่นั้นรถในช่องทางด้านขวามือของท่านตั้งแต่รถคันสีชมพู ลงมา อยู่ ๆ ก็หยุดรถท่านเห็นรถในช่องขวามือของท่านหยุด ท่านจะทำอย่างไร

ข้อสอบ ใบขับขี่, สถานการณ์อันตราย

  1. ขับรถต่อไป เพราะช่องเดินรถของท่านโล่งสามารถขับรถต่อไปได้
  2. เร่งเครื่องยนต์รีบขับขึ้นหน้ารถด้านขวามือ
  3. ชะลอความเร็ว เนื่องจากไม่แน่ใจว่ารถด้านขวาหยุดให้ผู้โดยสารลงรถหรือไม่
  4. หยุดรถ เพราะคาดว่าทางข้างหน้าอาจจะมีคนข้ามถนน


7. ท่านขับรถตามหลังรถโดยสารประจำทาง เมื่อถึงป้ายรถเมล์ รถโดยสารประจำทางจอดให้ผู้โดยสารขึ้นและลงรถ เมื่อท่านเห็นรถโดยสารประจำทางหยุด ท่านจะทำอย่างไร

ข้อสอบ ใบขับขี่, สถานการณ์อันตราย

  1. ขับแซงด้านขวาขึ้นหน้ารถโดยสารประจำทาง
  2. หยุดรถหลังรถโดยสารประจำทาง เพราะอาจจะมีคนโดยสารรถโดยสารประจำทางเดินตัดหน้ารถโดยสารประจำทาง
  3. ดูว่ามีรถด้านขวาหรือไม่ ถ้าไม่มีรถก็แซงด้านขวา
  4. ชะลอความเร็ว เตรียมแซงรถโดยสารประจำทางด้านซ้ายหรือด้านขวา

 

8. เมื่อท่านขับรถยนต์ไปในทางโค้งด้านขวา รถเสียหลักหลุดโค้งออกไปด้านซ้ายลงข้างทางไปชนเสาไฟฟ้า ถามว่าท่านกระทำผิดกฎหมายจราจรทางบกหรือไม่

  1. ไม่มีความผิด เพราะไม่มีคู่กรณี
  2. ไม่มีความผิด เพราะท่านทำให้เกิดอุบัติเหตุเอง
  3. มีความผิด เนื่องจากไม่ชะลอความเร็วของรถเมื่อขับรถในทางโค้ง
  4. มีความผิด เพราะขับรถไปชนเสาไฟฟ้า

 

9. เมื่อท่านขับรถที่มุ่งหน้าเข้าหาหน้าผาของภูเขาสูงแสดงว่า
ข้อสอบ ใบขับขี่, สถานการณ์อันตราย

  1. ถนนที่ท่านกำลังขับรถอยู่นั้นตัดผ่านภูเขา
  2. ถนนที่ท่านกำลังขับรถอยู่นั้นจะต้องเป็นทางโค้งขวาหรือโค้งซ้าย
  3. ถนนที่ท่านกำลังขับรถอยู่นั้นอาจเป็นทางตันไม่สามารถขับผ่านไปได้
  4. ถูกทั้งข้อ ก, ข. และ ค.

 

10. ท่านเห็นรถคันสีแดง ชนกับรถคันสีเหลือง อย่างแรงจนรถทั้ง 2 คันพังยับเยินผู้ขับรถทั้ง 2 คนเสียชีวิตในที่เกิดเหตุตรงบริเวณสามแยก โดยเห็นว่ารถคันสีเหลือง วิ่งออกจากซอย ชนกับรถคันสีแดง ที่วิ่งมาบนถนนสายหลัก ดังรูปถามว่ารถคันใดทำผิดกฎหมาย เพราะอะไร

ข้อสอบ ใบขับขี่, สถานการณ์อันตราย

  1. ผู้ขับรถคันสีแดง ผิด เพราะไม่ลดความเร็วเมื่อขับรถผ่านทางร่วมทางแยก
  2. ผู้ขับรถคันสีเหลือง ผิด เพราะไม่ให้รถที่มีสิทธิ์ผ่านไปก่อน
  3. ทั้งผู้ขับรถคันสีแดง และผู้ขับรถคันสีเหลือง ผิดด้วยกันทั้งคู่ ด้วยเหตุผลตามข้อ คันสีแดง และ คันสีเหลือง
  4. ผิดทั้งคู่ เพราะผู้ขับรถคันสีแดง ไม่ลดความเร็วเมื่อขับรถผ่านทางร่วมทางแยก และผู้ขับรถคันสีเหลือง ไม่ให้รถที่มีสิทธิ์ผ่านไปก่อน

 

11. เมื่อท่านจะขับรถออกจากปากซอย ดังรูป เหตุการณ์ใดต่อไปนี้ที่ท่านเป็นฝ่ายถูก

ข้อสอบ ใบขับขี่, สถานการณ์อันตราย

  1. ท่านเลี้ยวซ้ายทันที
  2. ท่านเลี้ยวขวาทันที
  3. ท่านขับตามช่องทางเดินรถไป 1 ช่องแล้วเลี้ยวขวา
  4. ท่านขับรถถึงปากซอยแล้วหยุดทันที

 

12. เมื่อท่านขับรถคันสีขาวถึงบริเวณสี่แยกที่ไม่มีไฟสัญญาณจราจร (ดังภาพ) กรณีใดที่ท่านไม่ใช่เป็นฝ่ายผู้กระทำผิด

ข้อสอบ ใบขับขี่, สถานการณ์อันตราย

  1. เลี้ยวซ้ายทันที
  2. เลี้ยวขวาทันที
  3. ขับตรงไปทันที
  4. หยุดทันทีเมื่อถึงทางแยก

 

13. ในขณะที่ท่านกำลังขับรถเลี้ยวขวา ดังรูป ท่านเห็นว่าเบรกไม่ทันรถของท่านจะชนรถคันหน้าจะหักพวงมาลัยรถไถลลงข้างทางไป ชนต้นไม้ ถามว่าการกระทำของท่านทำผิดกฎหมายจราจรทางบกหรือไม่

ข้อสอบ ใบขับขี่, สถานการณ์อันตราย

  1. ไม่ผิด เพราะไม่ได้ชนรถที่อยู่ข้างหน้า
  2. ผิด เพราะไม่ได้ขับในช่องทางเดินรถแต่ไปชนต้นไม้
  3. ผิด เพราะไม่ลดความเร็วของรถเมื่อขับผ่านทางร่วมทางแยก
  4. ไม่ผิด เพราะไม่มีผู้เสียหาย

 

14. ข้อใดที่แสดงว่า ท่านขับรถไม่เป็น

  1. ขณะที่กำลังขับรถอยู่ มีสุนัขวิ่งตัดหน้ารถ ท่านหักหลบสุนัขลงข้างทาง
  2. ขณะที่กำลังขับรถอยู่ ถูกรถที่ตามหลังมาชนท้ายอย่างแรงจนรถของท่านไปกระแทกรถคันข้างหน้า
  3. ขณะที่กำลังเลี้ยวซ้ายเข้าที่จอดรถ มีรถขับตัดหน้าแย่งเข้าจอดรถ ท่านจึงเหยียบเบรกอย่างแรงแต่รถก็ยังชนรถที่ตัดหน้า
  4. ขับรถไปซื้อของที่หน้าปากซอยท่านก็คาดเข็มขัดนิรภัย

 

15. ท่านขับรถคัน ก. เหตุการณ์ต่อไปนี้ ท่านเป็นฝ่ายกระทำผิดเพราะอะไร

ข้อสอบ ใบขับขี่, สถานการณ์อันตราย

  1. แซงอย่างผิดกฎหมาย
  2. ขับล้ำเข้าไปในช่องทางรถสวน
  3. ไม่ลดความเร็วของรถเมื่อขับผ่านทางโค้ง
  4. ขับรถย้อนศร

 

16. ท่านขับรถคันสีเหลือง จากรูปรถของท่านถูกรถของนาย ก. คันสีแดง ชนบริเวณสี่แยกที่ไม่มีสัญญาณไฟจราจร

ข้อสอบ ใบขับขี่, สถานการณ์อันตราย

  1. ท่านผิด เพราะไม่ลดความเร็วในรถขณะขับผ่านทางร่วมทางแยก
  2. นาย ก. เป็นฝ่ายผิด เพราะกลับรถในบริเวณทางร่วมทางแยก
  3. ท่านเป็นฝ่ายผิด เนื่องจากประมาท
  4. ทั้งท่านและนาย ก. ผิด เพราะขับรถโดยประมาท

 

17. รถของท่าน (คันสีเขียว) ชนกับรถของนาย ก. คันสีเหลือง ตรงบริเวณที่ท่านกำลังเลี้ยวขวาเข้าซอย ดังรูป

ข้อสอบ ใบขับขี่, สถานการณ์อันตราย

  1. ท่านเป็นฝ่ายผิด เพราะขับล้ำเข้าในช่องทางรถสวน
  2. ฝ่ายนาย ก. เป็นฝ่ายผิด เพราะไม่ยอมให้รถเลี้ยวเข้าซอยไปก่อน
  3. ท่านเป็นฝ่ายผิด เพราะไม่ได้ให้สัญญาณเลี้ยวขวา
  4. ฝ่ายนาย ก. เป็นฝ่ายผิด เพราะไม่ลดความเร็วของรถขณะขับผ่านทางร่วมทางแยก

 

18. สมมติว่าในขณะที่ท่านรอข้ามถนนได้เห็นเหตุการณ์รถตู้ส่งของมีคนนั่ง 2 คนถูกรถเก๋งชนท้ายด้านขวา ทำให้รถตู้หมุน 3 รอบ คนขับรถตู้กระเด็นออกจากตัวรถ ศีรษะฟาดพื้นถนนเสียชิวิตถามว่า เพราะเหตุใดคนขับรถตู้จึงกระเด็นออกจากตัวรถ

  1. รถตู้ถูกชนอย่างแรงจนหมุนเหวี่ยงคนขับให้กระเด็นออกจากตัวรถ
  2. รถเก๋งชนท้ายรถตู้ในมุมเฉียง ๆ ด้านขวา จึงทำให้รถตู้หมุนอย่างแรง
  3. คนขับรถเก๋งคาดเข็มขัดนิรภัย ส่วนคนขับรถตู้ไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย
  4. คนขับรถเก๋งขับรถด้วยความเร็วสูง ส่วนรถตู้ขับช้า ๆ จึงถูกชนอย่างแรง

 

19. สมมติว่า นาย ก. มีโปรแกรมขับรถตู้พาครอบครัวจากกรุงเทพฯไปท่องเที่ยวจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยออกเดินทางในเวลา 02.00 น. คาดว่าจะไปถึงจังหวัดแม่ฮ่องสอนในเวลาประมาณ 20.00 น. เมื่อขับรถติดต่อกันเป็นเวลา 12 ชั่วโมง ปรากฏว่ารถเสียหลักแฉลบลงข้างทางชนต้นไม้ เป็นเหตุครอบครัวของนาย ก.ได้รับบาดเจ็บหลายคน ท่านพอจะสันนิษฐานได้หรือไม่ว่า อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเนื่องมาจากสาเหตุใด

  1. นาย ก. หลับในขณะขับรถ
  2. นาย ก. และคนในครอบครัวของนาย ก. หลับใน
  3. นาย ก. ไม่ชำนาญเส้นทาง
  4. ข้อ ก. และ ข้อ ค. ถูก

 

20. ข้อใดเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงที่สุดที่เกิดขึ้นกับรถที่ขับช่องขวาสุด

  1. ถูกรถในช่องทางขับข้ามเกาะกลางมาชนประสานงา
  2. ขับชนท้ายรถคันที่ขับอยู่ข้างหน้า
  3. ขับชนท้ายรถที่กำลังเลี้ยวกลับรถ
  4. หลบรถที่ขับตัดหน้าลงข้างทาง

 

21. เมื่อท่านจะขับรถผ่านบริเวณที่เป็นสี่แยกเล็ก ๆ ดังรูป ท่านคาดการณ์ว่าจะมีเหตุการณ์ใดบ้างที่เกิดขึ้นกับท่าน
ข้อสอบ ใบขับขี่, สถานการณ์อันตราย

  1. น่าจะมีรถพุ่งออกจากซอยซ้ายมือมาตัดหน้าท่าน
  2. น่าจะมีรถพุ่งออกจากซอยขวามือเลี้ยวขวาตัดหน้าท่าน
  3. น่าจะมีรถสวนฝั่งตรงข้ามท่านเลี้ยวขวาตัดหน้าท่าน
  4. เป็นไปได้ทุกข้อ

ขอบคุณข้อมูลจาก: Driving license Quiz

เฉลย
1. 1
2. 2
3. 1
4. 2
5. 4
6. 4
7. 2
8. 3
9. 2
10. 4
11. 4
12. 4
13. 3
14. 1
15. 1
16. 2
17. 1
18. 3
19. 4
20. 3
21. 4

จัดของในรถ

ไม่อยากให้รถสุดรักของคุณรก!
ควรเก็บและจัดระเบียบด้วยวิธีตามนี้

คนที่ขับรถหลายคนคงลืมดูแลรถของตัวเองไป ขึ้นรถปุ๊บก็โยนๆ และขับออกไปเลย พอว่างๆ หันมามองหลังรถเราถึงกับผง่ะ นี่รถหรือห้องเก็บของ ในหัวข้อนี้ Carro ได้ผู้ช่วยจาก rabbit finance จะมาช่วยบอกวิธีจัดของสำหรับคนรักรถกันค่ะ

จัดของในรถ

Credit: Orca

1. ตะกร้าเอกสาร

สำหรับคนที่ต้องพกเอกสารภายในรถ ตระกร้าเอกสารเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากค่ะ และยิ่งไม่ใช่ตะกร้าเดียวต้องแบ่งเป็นชั้นๆ เพื่อแยกประเภทเอกสารด้วยจะทำให้หาเอกสารได้สะดวกมากขึ้นค่ะ

 

2. การแบ่งของใส่กล่อง

สำหรับคนที่มีของในรถเยอะๆ เราขอแนะนำให้คุณหากล่องมาใส่สัมภาระค่ะ คุณอาจไปตามร้าน Daiso แล้วใบซื้อกล่องเล็กๆ หลายใบ และกล่องใหญ่ 1 ใบ เพื่อใส่สัมภาระ โดยแรกเริ่มคุณก็ใส่ของชิ้นเล็กลงในกล่องใบเล็กก่อน จากนั้นก็เอากล่องเล็กๆ หลายใบมาใส่ในกล่องใหญ่อีกทีหนึ่งค่ะ

 

3. ที่ใส่ขยะ

สำหรับคนที่ชอบกินอาหารหรือดื่มเครื่องดื่มบนรถ เป็นเรื่องจำเป็นมากที่คุณต้องมีถังขยะเอาไว้ ไม่อย่างนั้นเมื่อคุณมีอะไรก็โยนไว้หลังรถละก็ รถของคุณก็ไม่ต่างอะไรจากรถขยะนั่นแหละค่ะ

 

จัดของในรถ

4. เสบียงในรถ

ถ้าใครที่ขับรถในกรุงเทพ รถติดไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นกิจวัตร เรื่องความหิว ถึงเวลาคุณก็ต้องหิว แต่รถยังติดอยู่ เราจึงควรมีอาหารติดรถไว้ด้วย อาจเป็นแซนวิช หรือเป็นเครื่องดื่มที่ช่วยให้หายหิวได้  แต่ไม่ควรเป็นของที่มีกลิ่นแรง หรือของที่ถ้าหกเลอะเทอะจะทำความสะอาดยากค่ะ หรือถ้านำของมีกลิ่นขึ้นรถ สามารถอ่านวิธีการกำจักกลิ่นแบบธรรมชาติได้ที่นี้ คลิก

 

5. อุปกรณ์ทำความสะอาด

นอกจากจมีที่เก็บของ มีที่เก็บเอกสาร มีที่ทิ้งขยะแล้ว เราต้องมีอุปกรณ์ทำความสะอาด สำหรับเก็บกวาดสิ่งสิ่งปรกในรถด้วยค่ะ อาจจะเป็นเครื่องดูดฝุ่นขนาดเล็ก หรือผ้าเปียกฆ่าเชื้อโรคสำหรับเช็ดอาหารที่หก และน้ำยาทำความสะอาดเบาะหนังถ้ามีก็ดีค่ะ

 

6. เก็บของให้ดีๆ

ซึ่งถ้าคุณทำตามนี้ เชื่อเลยว่ารถของคุณจะสะอาดแน่นอน วิธีเหล่านี้ไม่ใช่วิธีที่ยาก แต่คุณต้องเริ่มทำทันที และคุณต้องเก็บของในกล่อง ใส่เอกสารในตะแกรงภายในรถให้เป็นนิสัย ถึงแม้คุณจะซื้อกล่องซื้อตะแกรงมาแล้ว แต่ถ้าคุณยังมีอะไรโยนไปหลังรถอยู่ คุณก็จะได้ผลลัพธ์แบบเดิมค่ะ

 

สุดท้าย ถ้าใครที่สนใจอยากซื้อประกันภัยรถยนต์ก็สามารถเข้าไปดูรายละเอียดที่ rabbit finance ได้ค่ะ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก tqm.co.th

5 วิธีอัพเกรดรถยนต์คู่ใจ ให้ขับขี่ปลอดภัยทุกเส้นทาง

ขับขี่ปลอดภัยมากขึ้น ด้วยวีธีอัพเกรดรถเหล่านี้

ในทุกวันนี้ สิ่งที่อาจดูเป็นอันตรายและมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยมากที่สุดในแต่ละวันของเรา ก็อาจเป็นเพียงแค่การขับรถไป ณ ที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งถ้าใครเป็นเจ้าของรถรุ่นใหม่ใหม่ก็ถือว่าโชคดีไป เพราะว่ามักจะมีฟังชั่นเจ๋งๆไว้เพิ่มความปลอดภัยให้รถ เช่น เทคโนโลยีการเปลี่ยนเลนอย่างปลอดภัย เทคโนโลยีช่วยถอยรถเข้าซอง และระบบอัจฉริยะที่ป้องกันการพุ่งชนสิ่งกีดขวางได้ทันท่วงทีเป็นต้น

แต่ถ้าหากเพื่อนๆยังคงรักรถเก่าคู่ใจของเรา และยังไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนรถใหม่ เพื่อนๆก็ยังสามารถอัพเกรดรถคู่ใจของเราให้สามารถขับขี่ปลอดภัยได้ โดยไม่ต้องซื้อรถใหม่ แถมยังอาจช่วยให้เราประหยัดค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษารถได้เพิ่มขึ้นด้วยค่ะไปดูกันเลยว่ามีวิธีใดบ้าง

1) อัพเกรดยางรถ

5 วิธีอัพเกรดรถยนต์คู่ใจให้ขับขี่ปลอดภัยทุกเส้นทาง

การที่เราจะขับขี่ปลอดภัยบนถนนได้นั้น ก็เริ่มจากการที่เราใส่ใจเรื่องยางรถยนต์เป็นอันดับแรก เพราะเป็นส่วนเดียวของรถที่สัมผัสกับท้องถนนโดยตรง ซึ่งถ้าหากรถคู่ใจของเพื่อนๆ ไม่มีระบบเบรคที่ทันสมัยแต่อยากขับขี่ปลอดภัย ก็ให้เริ่มต้นที่ยางค่ะ ถ้าหากยางดี ก็จะช่วยให้เราสามารถเบรคได้ดียิ่งขึ้น รวมไปถึงยางที่ดีจะทำให้ควบคุมศูนย์ถ่วงและควบคุมทิศทางได้ดียิ่งขึ้นด้วย

แม้ว่ายางที่ได้มาตอนซื้อรถจะถือว่าดีในระดับหนึ่งที่ทำให้เราขับขี่ปลอดภัย แต่การอัพเกรดยางให้ดียิ่งขึ้นจะทำให้เพื่อนๆสามารถขับขี่บนท้องถนนได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น โดยยางควรมีดอกยางที่ลึกเพื่อรับกับสภาพเปียกชื้นบนท้องถนน และเดี๋ยวนี้ผู้ผลิตยางหลายเจ้าก็มีเครื่องมือออนไลน์เอาไว้ให้เราเลือกยางที่เหมาะสมกับรถของเรา หรือจะเข้าไปที่อู่ซ่อมรถและอู่เปลี่ยนยางเพื่อปรึกษาดูก็ได้ค่ะ

2) จัดระเบียบอุปกรณ์ และสายระโยงระยาง

5 วิธีอัพเกรดรถยนต์คู่ใจให้ขับขี่ปลอดภัยทุกเส้นทาง

ถ้าเพื่อนๆใช้ระบบสเตริโอรถรุ่นเก่า การที่เราอยากจะฟังเพลง mp3 หรือเพลงจากมือถือของเรา ก็ต้องใช้วิธีโมระบบรถด้วยการต่อสายระโยงระยางต่างๆ พอเราแต่งเติมสิ่งของเหล่านี้มากๆเข้า ก็ยิ่งทำให้มีสายระโยงระยางมากขึ้น ทำให้อาจบดบังทัศนวิสัย รวมไปถึงรบกวนการขับรถของเราได้ ทางที่ดีถ้าอยากขับขี่ปลอดภัย ก็ให้อัพเกรดอุปกรณ์เป็นดังนี้ค่ะ

  • ที่เสียบ usb แบบ 2 หัว: เหตุผลที่ควรมี 2 หัว ก็เพื่อว่าเวลาเราต้องการเสียบ usb เข้ากับหลายๆอุปกรณ์จะได้ไม่ต้องมาคอยถอดสายอันนึงแล้วเสียบเข้าไปใหม่ระหว่างขับรถนั่นเองค่ะ
  • สาย usb แบบยืดหดได้: สาย usb เช่นนี้จะทำให้เพื่อนๆสามารถปรับความยาวของสายให้ไม่มาเกะกะเราตรงที่นั่งคนขับได้ค่ะ
  • ที่ตั้งโทรศัพท์มือถือ: ให้เพื่อนๆล็อคโทรศัพท์มือถือเอาไว้กับที่ตั้งตรงส่วนหน้าปัดรถ หรือตรงช่องแอร์ก็ได้ จะทำให้เพื่อนๆสามารถเปิดแผนที่ดูเส้นทางจากโทรศัพท์มือถือได้อย่างง่ายดายค่ะ

3) ติดตั้งกล้องมองหลัง

5 วิธีอัพเกรดรถยนต์คู่ใจให้ขับขี่ปลอดภัยทุกเส้นทาง

ในขณะที่ปัจจุบันรถรุ่นใหม่ก็มักจะมีระบบที่สามารถแสดงภาพจากด้านหลังของรถได้ แต่สำหรับรถเก่าของเรา ถ้าหากอยากขับขี่ปลอดภัย ก็ควรติดตั้งกล้องมองหลังเอาไว้ด้วยเช่นกันค่ะ เพราะถ้าหากเราพึ่งกระจกมองหลังแต่เพียงอย่างเดียว อาจจะไม่สามารถมองเห็นสิ่งกีดขวางต่างๆที่หลังรถได้อย่างทั่วถึงค่ะ

ด้วยกล้องมองหลังถือเป็นสิ่งจำเป็นเนื่องจากผู้ขับขี่บนท้องถนนกว่าครึ่ง เคยเจอประสบการณ์ที่เกือบถอยรถชนสิ่งกีดขวางหรือชนคน เราจึงควรขับขี่ปลอดภัยและป้องกันเอาไว้ก่อนค่ะ

 

4) ติดตั้งระบบเตือนในมุมอับ

5 วิธีอัพเกรดรถยนต์คู่ใจให้ขับขี่ปลอดภัยทุกเส้นทาง

รถทุกคันมักจะมีมุมอับ ซึ่งเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ที่เราไม่สามารถมองเห็นได้เมื่อเรากำลังขับรถและมองไปข้างหน้า หรือแม้แต่ตอนที่เรามองกระจกส่องทาง นั่นทำให้ผู้ขับรถส่วนใหญ่ต้องการมองในมุมอับก็จะต้องหันหัวไปที่มุมนั้นเพื่อระแวดระวังอันตรายที่อาจเกิดขึ้น และแม้ว่าเพื่อนๆจะหันไปเช็กเอง ก็อาจจะไม่ได้ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ เนื่องจากทัศนวิสัยอาจจะไม่ดีได้ค่ะ

ทางที่ดี การติดตั้งระบบเตือนในมุมอับจะช่วยให้เพื่อนๆสามารถเปลี่ยนเลนได้อย่างปลอดภัย ซึ่งระบบเตือนเหล่านี้จะใช้เซ็นเซอร์ที่จะคอยตรวจจับอย่างอัตโนมัติว่ามียานพาหนะอื่นๆ เข้ามาอยู่ในมุมอับของเราหรือไม่ และถ้ามีก็จะส่งสัญญาณบอกเราให้ทราบ จึงทำให้เราสามารถขับขี่ปลอดภัยและโฟกัสไปที่ถนนทั้งข้างหน้าได้อย่างหมดห่วงค่ะ

 

5) ถอดกันชนแบบ Bull Bar ออก

5 วิธีอัพเกรดรถยนต์คู่ใจให้ขับขี่ปลอดภัยทุกเส้นทาง

สิ่งนี้น่าจะเป็นเหมือนการอัพเกรดให้น้อยลงเพื่อการขับขี่ปลอดภัยมากกว่านะค่ะ โดยกันชนแบบ Bull Bar นี้สามารถพบเห็นได้ตามรถขนาดใหญ่เช่นรถกระบะ 4 ประตู ซึ่งจริงๆแล้วกันชนประเภทนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ขับขี่ในเส้นทางกันดารหรือในป่าเขาที่มีโอกาสขับชนสัตว์ป่าเอาได้ง่ายๆ และสร้างความเสียหายแก่ตัวรถยนต์

แต่อย่างไรก็ดี ถ้าหากเพื่อนๆขับรถในตัวเมืองหรือตามย่านที่อยู่อาศัย การมีกันชนแบบ Bull Bar ก็อาจสร้างความเสียหายและทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บได้ง่ายกว่าถ้าหากเราขับรถไปชนคนเข้าค่ะ เพราะฉะนั้น ถ้าหากอยากขับขี่ปลอดภัยทั้งต่อตัวเองและคนรอบข้าง ก็ควรเอากันชนเช่นนี้ออกค่ะ

 

เห็นไหมค่ะว่า ไม่ว่ารถของเพื่อนๆจะเก่าหรือใหม่ เราก็มีทางอัพเกรดรถยนต์ให้เราสามารถขับขี่ปลอดภัยได้เสมอ อุปกรณ์เหล่านี้ก็มีราคาไม่สูงมากค่ะ หรือถ้าเพื่อนๆมองว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนรถคันใหม่จริงๆ ด้วยปัจจัยหลายๆอย่าง สามารถนำรถคันเก่าของเพื่อนๆ มาขายได้ที่ คาร์โร นะคะ จะได้นำเงินไปดาวน์เพื่อซื้อรถคันใหม่ค่ะ (ขายรถ คลิกที่ลิงค์ > th.carro.co/sell-car/express )

นอกจากนี้ ถ้าหากเพื่อนๆอยากขับขี่ปลอดภัยและอุ่นใจตลอดทุกเส้นทาง ก็อย่าลืมทำประกันรถยนต์ติดไว้ด้วยค่ะ เพื่อจะได้นำมาแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ไม่คาดฝันกับรถของเราได้ค่ะ เพื่อนๆสามารถเข้ามาเปรียบเทียบประกันรถยนต์ได้ที่เว็บไซต์โกแบร์เลยนะค่ะ

ดูแลรถยนต์ช่วงหน้าฝน


ตอนนี้ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเต็มตัวแล้ว ซึ่งช่วงฝนตกนี้เป็นอะไรที่เซ็งสุดๆ เลย เพราะมันทั้งเฉอะแฉะ ทั้งเปียก ทำอะไรก็ลำบากไปหมด ไหนจะไม่สบายจากการตากฝนอีก ดังนั้น เพื่อนๆ ต้องดูแลสุขภาพของตัวเองกันด้วยนะคะ

แต่เอ๋… นอกเหนือจากการดูแลสุขภาพของตัวเองแล้ว การดูแลรถยนต์ก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะการที่รถตากฝนบ่อยๆ รถก็อาจจะไม่สบายได้ ฉะนั้น คุณจึงต้องดูแลรถให้มากขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งยังต้องทำความสะอาด และดูแลอย่างเป็นพิเศษอีกด้วย

วันนี้ คาร์โร จึงมีเทคนิค เคล็ด(ไม่)ลับ วิธีดูแลรถยนต์ในช่วงหน้าฝนอย่างง่ายๆ มาฝาก

ดูแลรถยนต์ช่วงหน้าฝน

5 เทคนิค เคล็ด(ไม่)ลับ ดูแลรถยนต์ ในช่วงหน้าฝน

  • ลุยฝนมา ให้รีบล้างรถ

หลังจากที่รถของคุณผ่านการตากฝนมาอย่างหนักหน่วง สิ่งที่คุณควรทำ ก็คือ ใช้น้ำเปล่าฉีดล้างให้คราบต่างๆ หลุดออกจากรถไปให้หมดก่อน แล้วจึงค่อยเช็ดด้วยผ้าสำหรับเช็ดรถ

เพราะการที่รถตากฝนมา แล้วคุณดันปล่อยรถทิ้งไว้โดยไม่ล้าง เพราะคิดว่าน้ำฝนได้ชะล้างสิ่งสกปรกไปหมดแล้ว ก็อาจทำให้เกิดคราบฝังแน่น และส่งผลต่อสีรถของคุณได้

 

  • ห้ามเช็ดรถ โดยไม่ได้ล้าง

กรณีนี้ก็เช่นกัน คนส่วนใหญ่มักคิดว่าการที่รถของคุณไปลุยฝนมา ก็เหมือนเป็นการล้างรถแล้ว ดั้งนั้น พอถึงบ้านปั๊บคุณก็เลยเช็ดรถปุ๊บ ซึ่งเราขอบอกเลยว่า ห้ามทำเด็ดขาด เพราะถ้าคุณเช็ดรถโดยไม่ได้ล้าง ก็อาจทำให้เกิดรอยขนแมวกับรถของคุณได้

 

  • ใต้ต้นไม้ ห้ามจอดรถ

ในช่วงหน้าฝนแบบนี้ ทางที่ดีคุณควรจอดรถให้ห่างต้นไม้ไว้จะดีกว่า เพราะในช่วงที่ฝนตกหนัก กิ่งไม้ ใบไม้ เกสรดอกไม้ ผลของต้นไม้ อาจจะปลิวหล่นมาโดนรถของคุณได้ หรืออย่างหนัก ต้นไม้ทั้งต้นก็อาจโค่นล้มลงมาทับรถของคุณจนพังเสียหายยับเยิน

 

  • เคลือบสีรถ ช่วยได้เยอะ

รู้หรือไม่ว่า ฝนที่ตกลงมานั้นมีสภาพเป็นกรดอ่อนๆ ซึ่งจะส่งผลต่อสีรถของคุณ ทำให้สีรถหมอง ดังนั้น หลังจากที่คุณทำความสะอาดรถเรียบร้อยแล้ว คุณควรนำรถไปเคลือบสีซะ

เพราะการเคลือบสี นอกจากจะทำให้รถของคุณสีสวยไม่ซีดแล้ว ยังช่วยให้น้ำไม่เกาะรถอีกด้วย แถมยังช่วยป้องกันคราบต่างๆ ได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญยังช่วยให้คุณล้างรถได้ง่ายขึ้นอีก

 

  • หมั่นเช็กสภาพรถ

ในช่วงหน้าฝนแบบนี้ การตรวจเช็กสภาพรถยนต์ถือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ของคุณ

 

ดูแลรถยนต์ช่วงหน้าฝน

ตรวจเช็กสภาพรถยนต์ ในช่วงหน้าฝน
เพื่อป้องกันอันตรายในการขับขี่

  • ใบปัดน้ำฝน

เรื่องทัศนวิสัยในการขับขี่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ยิ่งในช่วงฝนตกหนักยิ่งทำให้การมองทางของผู้ขับขี่แย่เข้าไปใหญ่ ดังนั้น การมีใบปัดน้ำฝนที่ยังคงทำงานได้ดีอยู่ จะช่วยให้คุณอุ่นใจในเรื่องการขับขี่มากขึ้นยังไงล่ะ

 

  • ยางรถยนต์

อย่างที่ทราบกันดีว่า ฝนตกถนนจะลื่นมาก และถ้าดอกยางของคุณไม่ดีล่ะก็ อุบัติเหตุถามหาแน่ๆ ดังนั้น คุณจึงควรหมั่นเช็กยางรถยนต์อยู่เสมอ ซึ่งการเช็กสภาพยางรถยนต์ก็ไม่ยากเลย คุณสามารถสังเกตได้จาก ถ้าดอกยางรถยนต์ของคุณมีความลึกต่ำกว่า 3 มิลลิเมตร ก็หมายความว่าถึงเวลาเปลี่ยนแล้วล่ะ

 

  • ระบบไฟส่องสว่าง

การตรวจเช็กระบบไฟส่องสว่าง จะช่วยลดอุบัติเหตุลงได้ ซึ่งคุณควรตรวจเช็กทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้า ไฟเบรกไฟท้าย ไฟเลี้ยว ไฟตัดหมอก หรือไฟส่องสว่างอื่นๆ เพราะการเช็กระบบไฟส่องสว่าง จะช่วยให้คุณมองเห็นทางได้ชัดเจนขึ้น

 

  • ระบบเบรก

เบรก คือ สิ่งที่สำคัญมากในการขับรถฝ่าฝนตก เพราะถ้าระบบเบรกทำงานได้ดี ก็จะช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุลงได้ แต่ถ้าคุณเบรกแล้วเริ่มมีเสียงดัง อันนี้ก็ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนผ้าเบรกได้แล้วล่ะค่ะ

 

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะหน้าฝน หน้าร้อน หน้าหนาว การตรวจเช็กสภาพรถยนต์ก็ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ควรทำอย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้ ก็เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเองทั้งสิ้น

4-วิธีเอาตัวรอดจากอุบัติเหตุ-“รถตกเขา

ขับรถบนเขาให้ปลอดภัยได้ด้วยวีธีเหล่านี้

หากย้อนกลับไปเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว เราจะนึกถึงข่าวที่ 2 นักศึกษาไทยขับรถตกเขาที่สหรัฐอเมริกาจนเสียชีวิต ซึ่งแน่นอนว่าข่าวนี้ได้สร้างความสะเทือนใจเป็นอย่างมาก แต่ก็นั่นแหละค่ะ ถ้ามองในแง่ความเป็นจริงแล้วก็รอดยาก หรือหากมีผู้รอดชีวิตจริง ก็คงจะมีแค่ 1 ใน 10 เท่านั้น

วันนี้ คาร์โร จึงอยากมาให้ความรู้เรื่องการเอาตัวรอด เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถตกเขาเพื่อให้เป็นข้อมูลที่คุณสามารถนำไปใช้ได้ในยามฉุกเฉินค่ะ

4 วิธีเอาตัวรอดจากอุบัติเหตุ “รถตกเขา”

อะไรที่เป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ“รถตกเขา”

เมื่อพบเจอ หรือเกิดอุบัติเหตุ คนส่วนใหญ่ก็มักจะถามหาสาเหตุว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ซึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุรถตกเขา มีทั้งหมด 4 ประการด้วยกัน คือ สภาพรถยนต์ ความเร็ว เส้นทางที่ไม่คุ้นเคย และทัศนวิสัย

  • สภาพรถยนต์

โดยเฉพาะรถใหญ่อย่างรถบรรทุก หรือรถโดยสารประจำทางที่ต้องตรวจสภาพเบรกให้พร้อมเสมอ เพราะน้ำหนักที่บรรทุกมาจะเกิดความหน่วงเวลาที่เบรก หรือเลี้ยวโค้งได้

  • ความเร็ว

ความเร็วที่ใช้ในการขับขี่เป็นสิ่งสำคัญที่ห้ามละเลย เพราะยิ่งเราขับเร็วขึ้นเท่าไหร่ เราก็จะมีเวลาในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าน้อยลงเท่านั้น

  • เส้นทางที่ไม่คุ้นเคย

การขับรถไปในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคยก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รถเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ เพราะบางที Google map ก็ไม่ได้พาเราไปถึงจุดหมาย แต่พาเราไปไหนต่อไหนก็ไม่รู้

  • ทัศนวิสัย

อาทิ การขับรถตอนฝนตกหนัก ถนนลื่น หรือทางข้างหน้ามีการซ่อมแซมพื้นผิวถนนโดยที่คุณไม่รู้มาก่อน เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ นับเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุได้ทั้งสิ้น

อุบัติเหตุไม่เลือกสถานที่ ไม่เลือกเวลา ไม่เลือกบุคคล และไม่บอกกล่าวก่อนล่วงหน้า เราจึงไม่มีทางรู้ได้เลยว่าอุบัติเหตุจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่  ฉะนั้น 4 สิ่งที่คุณควรตระหนัก และทำตามอย่างเคร่งครัด เพื่อให้คุณปลอดภัย และรอดชีวิตจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้
4 วิธีเอาตัวรอดจากอุบัติเหตุ “รถตกเขา”

  • คาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้งก่อนขับรถ

อย่าชะล่าใจ คิดว่ามีถุงลมนิรภัยแล้วจะทำอะไรก็ได้ เพราะถุงลมนิรภัยจะมีเฉพาะบริเวณด้านหน้าเท่านั้น อีกทั้งถุงลมนิรภัยยังถูกออกแบบมาเพื่อลดแรงกระแทก แล้วยุบตัวลงทันที เพื่อกันไม่ให้เราถูกอัดจนหายใจไม่ออก

ดังนั้น การคาดเข็มขัดนิรภัยจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรทำ เพราะมันจะช่วยดึงรั้งตัวเราไม่ไห้ไปกระแทกกับกระจกหน้ารถ

  • สำรวจการบาดเจ็บเมื่อรถหยุด หรือนิ่งแล้ว

เมื่อรถหยุด หรือนิ่งแล้ว หากคุณยังพอมีสติ และเคลื่อนไหวได้ คุณควรสำรวจตัวเอง และคนที่นั่งไปด้วยว่าได้รับบาดเจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า หรือมีช่องทางที่เราจะออกจากรถได้หรือไม่ แล้วค่อยออกมาขอความช่วยเหลือ

  • ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ

หากคุณเกิดเคลื่อนไหวไม่ได้ หรือออกจากรถไม่ได้ ก็ให้คุณตะโกนขอความช่วยเหลือ หรือหาวัสดุมาเคาะให้เกิดเสียงดัง เป็นไปได้ให้พยายามเคาะตลอดเวลา เพราะเราไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่า จะมีคนมาได้ยินคุณเคาะเวลาไหน

  • ติดต่อบริษัทประกันภัย เพื่อช่วยดูแลค่ารักษา และค่าซ่อมรถ

เมื่อคุณได้รับการช่วยเหลือแล้ว ก็ให้คุณติดต่อทั้งบริษัทประกันภัยรถยนต์ และบริษัทประกันชีวิต เพื่อให้ทั้ง 2 บริษัทช่วยดูแลคุณในเรื่องค่ารักษาพยาบาล และค่าซ่อมแซมรถยนต์

ทั้งนี้ สิ่งที่คุณควรทำมากที่สุดไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แต่เป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เพราะเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาแล้ว ก็นับว่าเป็นความสูญเสียทั้งสิ้น

อาจไม่ได้สูญเสียบุคคลที่เรารัก แต่เป็นการสูญเสียทรัพย์สินเงินทองที่คุณต้องหมดไปกับค่ารักษาพยาบาล และค่าซ่อมแซมรถยนต์ ดังนั้น คุณจึงควรดูแลสภาพร่างกาย สภาพจิตใจ และสภาพรถยนต์ให้พร้อมก่อนเดินทางนะคะ

 

รถมือสอง, วิธี, เช็กรถ, คุณภาพดี

ดูอย่างไรให้ได้ “รถมือสอง” คุณภาพดี!

อันดับแรกของคนส่วนใหญ่จะเลือกซื้อรถมือสอง ก็เริ่มหาจากแหล่งที่ลงประกาศขายรถมือสองก่อน ซึ่งจะจำแนกได้เป็น 2 แบบสำหรับผู้ประกาศขาย คือ รถเต็นท์ และ รถบ้าน ซึ่งถ้าหลายคนคุ้นเคยกับการเลือกซื้อรถยนต์ผ่านอินเตอร์เน็ตคงรู้จัก ‘ตลาดรถ’ อีกทั้งในปัจจุบันก็ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะสะดวก รวดเร็ว

แต่ถ้าหากคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่ชอบซื้อรถบ้าน Carro ก็ได้ทำการรวบรวมรถบ้านมือสองเอาไว้หลากหลายรุ่น ตั้งแต่ Toyota, Nissan, BMW ไปจนถึง Mercedes-benz เลยก็มี

เลือกซื้อรถมือสอง

และในวันนี้ Carro ก็มีบทความเกี่ยวกับการเลือกซื้อรถมาฝากสำหรับมือใหม่ หรือใครที่กำลังจะซื้อรถบ้าน ที่จะช่วยเพิ่มความมั่นใจของคุณได้อีกระดับหนึ่ง งั้นไปดูกันเลยดีกว่า ว่าคุณจะต้องเลือกซื้ออย่างไรบ้าง

    1. ตรวจสอบสีรถคันที่คุณต้องการซื้อว่าได้ถูกทำสีมาหรือไม่ โดยสังเกตุด้วยลองใช้มือเคาะดู เพราะถ้าหากรถได้ผ่านการทำสีมาทั้งคัน อาจเป็นเพราะรถเคยถูกชนหนักมาก่อน ซึ่งถ้าหากคุณไม่แน่ใจ ก็สามารถเลือกซื้อรถที่ผ่านการตรวจสภาพ จาก Carro เพื่อความสบายใจ
    2. อีกอย่างที่ต้องให้ความสำคัญ คือ เลขไมล์ จริงอยู่ว่าเลขไมล์สามารถปรับเปลี่ยนได้ แต่ถ้ายึดตามหลักความเป็นจริงแล้ว รถคันหนึ่งจะมีเลขไมล์ที่เพิ่มขึ้นโดยประมาณ 25,000 – 35,000 ต่อหนึ่งปี ซึ่งคุณต้องคำนวนอายุของรถควบคู่กับเลขไมล์ดูว่ามันสมเหตุสมผลกันหรือไม่
    3. ตรวจสอบเครื่องยนต์ หรืออุปกรณ์ต่างๆ ของรถ เริ่มจากยกฝากระโปรงขึ้นมาดู ว่าเครื่องยนต์นั้นมีความเสียหายหรือไหม หรือว่ามีสนิมจับหรือเปล่า นอกจากนั้น อย่าลืม ตรวจสอบตัวถัง และเลขเครื่อง เพราะถ้าหากเครื่องยนต์เสียหาย นั้นอาจแปลได้ว่ารถเคยเกิดอุบัติเหตุการชนหนักมา
    4. ควรตรวจสอบเครื่องยนต์ภายใต้ท้องรถด้วย เพราะจะได้มั่นใจได้ว่าเครื่องยนต์ไม่ผิดปกติ หรือว่ามีส่วนใดที่เสียหาย เพราะถ้าหากมีส่วนใดที่เสียหาย ก็จะได้ซ่อมได้อย่างทันทวงที หรืออาจหมายถึงว่ารถยนต์คันนั้นเคยถูกน้ำท่วมมา
    5. สุดท้ายที่ห้ามลืมเด็ดขาดสำหรับคนที่ซื้อรถบ้าน ก็คือ การตรวจเอกสารนั่นเอง เพราะว่าคุณจะต้องขอเอกสารทุกอย่างให้ครบถ้วนสำหรับการไปดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ ซึ่งควรที่จะขอดูสมุดเล่มทะเบียนรถว่าชื่อของผู้ขาย นั้นได้ตรงกับชื่อผู้มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันนั้นเป็นคนสุดท้ายหรือเปล่า