การแต่งรถเหล่านี้
อาจสร้างความรำคาญให้กับผู้ร่วมเดินทางได้

หลายคนอาจซื้อรถมาเพื่อขับใช้งานปกติ แต่สำหรับบางคนนอกจากจะนำมาใช้งานแล้ว ยังชื่นชอบการตกแต่งเพิ่มเติม เพื่อให้รถของตัวเองดูสวย ดูหล่อ แตกต่างจากคันอื่น หรือตกแต่งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน

ซึ่งหากตกแต่งแบบธรรมดาทั่วไป ไม่ผิดกฎหมาย ก็คงจะไม่น่าเป็นห่วง และไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ถ้าเป็นการแต่งรถที่สร้างปัญหาให้กับผู้อื่น แบบนี้ไม่น่ารักเลย เพราะบนถนนไม่ได้มีแค่รถของคุณวิ่งอยู่คันเดียว

วันนี้ คาร์โร จึงยกตัวอย่างการแต่งรถที่มักสร้างปัญหาให้กับผู้อื่น มีอยู่ 5 ข้อใหญ่ๆ ดังนี้

1. ท่อไอเสียเสียงดังเกินมาตรฐาน

สำหรับคนคิดอยากจะแต่งรถเป็นสิ่งแรกๆ เลยที่จะต้องเปลี่ยนท่อก่อน ไม่ว่าจะเปลี่ยนทั้งเส้น หรือเปลี่ยนแค่ปลายท่อ เพื่อให้ได้เสียงลั่นๆ สร้างความเร้าใจยิ่งขึ้น ซึ่งหากเปลี่ยนมาแล้วเสียงดังกำลังดี และไม่รบกวนเพื่อนร่วมทาง ก็ถือว่าโอเค แต่ถ้าเปลี่ยนมาแบบไม่สนใจใคร เสียงดังลั่นซอย แบบนี้ไม่ดีแน่ เพราะคนอื่นอาจไม่ชอบเหมือนเราก็ได้ แถมยังเป็นการรบกวนอีกด้วย

2. โหลดเตี้ย – ยกสูง

ข้อนี้ จริงๆ แล้วการโหลดเตี้ยลงมาจนติดพื้นมันไม่ได้สร้างปัญหาให้คนอื่นสักเท่าไหร่ ส่วนมากจะลำบากคนที่ขับรถโหลดเตี้ยมากกว่า เพราะเวลาเจอเนินสูงๆ หรือเจอหลังเต่าในซอย ก็จะต้องค่อยๆ ขับ ค่อยๆ ตะแคง หยอดลงไปเบาๆ เพื่อป้องกันชุดแต่งเสียหาย ซึ่งตรงนี้แหละที่จะทำให้รถที่ขับตามหลังต้องลำบาก เพราะต้องคอยจนกว่ารถโหลดเตี้ยจะผ่านไปได้ ส่วนรถยกสูงก็จะมีแค่เรื่องบดบังทัศนวิสัย เนื่องจากรถสูงๆ ใหญ่ๆ ที่วิ่งอยู่ด้านหน้า จะทำให้รถที่ขับตามมองไม่เห็นเส้นทางข้างหน้านั่นเอง
พ.ร.บ
3. ไฟหน้าซีนอนแยงตา

รถบางคันไม่มีมาให้แต่แรก จึงจัดการไปเปลี่ยนใหม่เป็นหลอดซีนอน เพื่อเพิ่มความสว่าง และสวยงาม แต่การเปลี่ยนเฉพาะหลอดจะทำให้แสงไฟฟุ้งกระจาย รถที่ขับสวนเลน หรือรถที่ขับอยู่ด้านหน้าก็จะได้รับผลกระทบไปเต็มๆ ทำให้ตาพร่า มองเห็นไม่ชัดเจน ฯลฯ ซึ่งถ้าหากอยากจะใส่จริงๆ ควรจะหาโคมโปรเจคเตอร์มาใส่ด้วย เพราะตัวโคมสามารถรวมแสงไม่ให้ฟุ้งกระจายไปรบกวนคนอื่นได้

4. ไฟหรี่ไอติม ทั้งด้านหน้า-หลัง

คนใส่อาจจะคิดว่าเท่ สวย ดูดี เงินตัวเองจะแต่งรถแบบไหนก็ได้ แต่จริงๆ แล้ว การดัดแปลงสัญญาณไฟรถที่ไม่ใช่จากผู้ผลิต เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย และก่อให้เกิดความรำคาญ รบกวนการขับรถ ทำให้สมรรถนะในการขับขี่ลดลง จนอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้

ไฟไอติม-ไฟซิ่ง

5. เปิดเพลงเสียงดัง

รถบางคันอาจไม่ได้แต่งภายนอก หรือเครื่องยนต์เลย แต่กลับจัดชุดเครื่องเสียงชุดใหญ่ลงไปแทน ซึ่งหลายๆ คนมักคิดว่าไหนๆ ทำมาแล้วก็เปิดโชว์ให้คนอื่นฟัง หรือหันมามองในความเท่นี้ด้วย แต่กลับกันคนส่วนใหญ่มักไม่ได้คิดแบบนั้น เพราะมันสร้างความเดือดร้อน และความรำคาญเสียมากกว่า

สุดท้าย อยากให้คนที่แต่งรถแบบที่ได้กล่าวมานั้น เห็นใจและเข้าใจผู้ร่วมทางคนอื่นๆที่เดือดร้อนกันบ้าง เพราะคงไม่มีใครพอใจหรอก หากมีคนมาทำเรื่องที่คุณไม่ชอบเหมือนกันต่อหน้า นอกจากนี้บางข้อที่กล่าวมา ยังผิดกฎหมาย หากคุณขับไปเจอด่านก็เตรียมเงินเสียค่าปรับได้เลย

 

ที่มา : auto.sanook.com/62009/

5 เรื่องที่มือใหม่หัดขับรถ ต้องรู้!

เป็นมือใหม่หัดขับรถ รู้ไว้ จะกลายเป็นมือโปรในระยะสั้นๆ

นับวันจำนวนรถเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ในขณะที่มีพื้นที่ถนนเท่าเดิม ทำให้สิ่งที่ตามมาคือปัญหาการจราจร ฉะนั้นเริ่มที่ตัวผู้ขับขี่เองจะดีกว่า และด้วยส่วนหนึ่งคือการมีมือใหม่ที่เยอะมากขึ้นบนถนน ทำให้คนที่ใช้รถใช้ถนนในปัจจุบัน ล้วนแต่เต็มไปด้วยคนที่ไม่ค่อยรู้ หรือขับเป็นแต่ไม่เข้าใจ

ส่วนเรื่องที่รู้อยู่แล้ว อย่างกฎจราจรต่างๆ ครั้งนี้จึงจะไม่พูดถึงกันให้มากมาย แต่ถ้าวันนี้คุณเพิ่งขับรถลองดูสิว่า เรื่องเหล่านี้จะช่วยให้คุณขับรถปลอดภัยขึ้นหรือไม่ในการขับขี่ปัจจุบัน

ขับรถ

1. เบรก ควรใช้เมื่อหยุดเท่านั้น

อาจจะเป็นเรื่องที่ยากจะบรรยายเกี่ยวกับการใช้เบรก แต่โดยปกติแล้วเบรกจะถูกใช้ 2 กรณี คือชะลอความเร็วและหยุดรถ แต่ด้วยความเข้าใจในเรื่องการชะลอความเร็วนี่เอง ทำให้มือใหม่หลายคนขับรถโดยแตะเบรกแทบตลอดเวลาทำให้เกิดความเข้าใจผิดแก่ผู้ขับขี่คนอื่น เนื่องจากเวลาเบรกไฟเบรกทางด้านหลังก็จะติดด้วย และจะทำให้ผ้าเบรกเกิดการสึกหรอมากกว่าที่ควรจะเป็น เพียงเพราะต้องการรักษาความเร็ว

ทางแก้ของปัญหานี้ คือ ต้องหัดการควบคุมคันเร่ง แต่หากวันนี้ใครเป็นคนที่ขับรถแล้ว ติดต้องใช้เบรก ลองเริ่มต้นด้วยการผ่อนคันเร่งก่อน แล้วกลับค่อยๆ เหยียบไปให้น้ำหนักตามความเร็วที่ต้องการดู น่าจะดีกว่า แม้อาจจะไม่ชินในช่วงแรกแต่ท้ายที่สุด เมื่อเข้าใจในการทำงานก็จะรู้ว่าเบรกไม่ใช่ทุกสิ่งที่สามารถชะลอความเร็วได้

2. ไฟเลี้ยว

ไฟเลี้ยวถือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และมันช่วยอำนวยความปลอดภัยในการบอกทิศทางที่จะไป เช่นเดียวกับที่ทำให้การจราจรคล่องตัวมากขึ้นด้วย ตามหลักแล้วควรเปิดไฟเลี้ยวก่อนทุกๆ 100 เมตร เช่นเดียวกับตอนที่จะเปลี่ยนเลน

 

3. ไฟฉุกเฉิน

ที่มาของไฟฉุกเฉินคือ การที่เราส่งสัญญาณแสดงไฟเลี้ยวทั้งสองข้างพร้อมกัน และคำว่าฉุกเฉินก็ย่อมหมายถึงว่ามีเรื่องที่ทำให้รถไม่สามารถขับเคลื่อนต่อได้ หรือเกิดอุบัติเหตุเท่านั้น หลายคนอาจจะเคยถูกสอนมาว่าให้เปิดไฟฉุกเฉินยามฝนตกด้วย หรือกระทั่งยามข้ามแยกไม่มีสัญญาณไฟ แต่ทั้งหมดล้วนเป็นแนวคิดที่ผิด เนื่องจากจะทำให้ผู้ขับขี่เกิดความสับสนและอาจจะนำไปสู่อุบัติเหตุได้ในที่สุด

ขับรถ

4. ขับเร็ววิ่งขวา ขับช้าวิ่งกลาง

ข้อนี้สำคัญทั้งมือใหม่ หรือมือเก่า ที่ขับช้าแล้วยังวิ่งเลนขวาสุด โดยเฉพาะมือใหม่มักจะพบเห็นบ่อย ที่ยังเห็นวิ่งเลนขวา แล้วทิ้งระยะห่างหลายกิโลฯ ทำให้คนที่รีบก็แซงไม่ได้ เมื่อโดนจี้มากๆ ก็จะเกิดอาการลน จึงอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ และยังเป็นสาเหตุทำให้เกิดปัญหารถติดตามมามากมาย

 

5. แตร

ส่วนใหญ่ที่เจอคือไม่ค่อยบีบแตรกัน ซึ่งการใช้รถในภาคสากล แตรคือสัญญาณเตือน ไม่ใช่การยกไฟสูงใส่ ซึ่งด้วยนิสัยของคนไทยเป็นคนขี้เกรงใจ ทำให้น้อยคนที่ใช้แตรเป็นสัญญาณ ทั้งที่จริงมีเพียงไม่กี่ที่ ที่ห้ามใช้ได้แก่ สถานศึกษา วัด โรงพยาบาล และเขตพระราชฐาน ส่วนที่อื่นไม่ได้ห้ามอย่างชัดเจน  ดังนั้นหากพบปัญหาที่อาจจะนำมาซึ่งอุบัติเหตุสิ่งที่ควรทำคือการบีบแตร เพื่อเตือนเพื่อนร่วมทาง0

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้อาจจะเรียกว่าเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการขับขี่อย่างปลอดภัยบนท้องถนน แม้ถนนกับมือใหม่หัดขับอาจจะเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นชิน แต่ด้วยประสบการณ์ในการขับขี่ ก็จะสอนให้รู้ว่าการขับรถที่ถูกต้องอาจจะไม่ใช่เหมือนที่โรงเรียนสอนขับรถแนะนำเสมอไป

ขับรถ

ด้วยหลักการขับรถอย่างปลอดภัยมีข้อปฏิบัติอยู่ 3 ประการ คือ

1. ไม่ขับไปชนเขา

2.ไม่ให้เขามาชนเรา และ

3. ไม่เป็นสาเหตุให้เขาชนกัน

ดูเหมือนง่ายแต่ผู้ขับขี่ก็ต้องศึกษา และใช้ประสบการณ์บนท้องถนนให้เป็นประโยชน์ โอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุ ก็จะลดน้อยลงนะคะ

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์คันใหม่ มาขายรถกับทาง Carro Express สิ! คลิกเลยที่ https://th.carro.co/sell-car/express รับรองได้เงินเร็ว ไว ทันใจแน่นอน!

Carro Automall ตลาดรถ

ส่วนใครสนใจจะซื้อรถมือสอง Carro แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ คุณสามารถจองรถได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น! พร้อมคำนวณสินเชื่อและค่างวด ได้ภายในเว็บไซต์ทันที!

ซึ่ง Carro เรามีรถให้คุณเลือกมากมาย รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพโดย Carro Certified อย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 160 จุด, การันตีคืนเงินภายใน 5 วัน, รับประกันเครื่องยนต์และเกียร์ 1 ปี, รับประกันไม่กรอไมล์ และไม่ประสบอุบัติเหตุหนัก ไฟไหม้ หรือน้ำท่วม พร้อมรับประกันคุณภาพรถ 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร!

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” เลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา รวมถึงมีเทคโนโลยีสนับสนุนฝ่ายขาย ทั้ง Digital Device ที่เชื่อมต่อกับ Digital Screen นำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และจัดการเรื่องเอกสารให้กับลูกค้าให้ตั้งแต่ต้นจนจบ บวกกับ Online Viewing Service ที่ลูกค้าสามารถวิดีโอคอล ตรวจสภาพรถยนต์คันที่สนใจได้แบบเรียลไทม์ ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ Carro สิ!

หรือถ้าหากคุณสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงกรอกชื่อ-เบอร์โทรศัพท์ และรถที่คุณสนใจ ไว้ที่ “รับการแจ้งเตือน” เมื่อมีรถที่คุณต้องการ Carro จะรีบติดต่อไปยังคุณทันที สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> Carro Thailand โทร. 02-460-9380 หรือทาง Line @carrothai

แหล่งที่มาจาก:

  • auto.sanook.com
ทะเบียนรถยนต์-เลขสวย

อย่าหลงเชื่อ หรือเสียเงินให้ใคร!!
จองหมายเลขทะเบียนรถยนต์ออนไลน์ง่ายๆ ด้วยตัวเอง

กรมการขนส่งทางบก​ออกมาแจ้งเตือนเรื่อง การจองหมายเลขทะเบียนรถยนต์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ไม่จำเป็นต้องเสียใช้จ่ายในการจองใด ๆ หากพบเจอเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เรียกเก็บเงิน สามารถแจ้งเบาะแสเพื่อดำเนินการทางวินัยและอาญาเด็ดขาดทันที! โทรแจ้ง 1584

โดยปัจจุบันสามารถจองหมายเลขทะเบียนรถยนต์ของกรุงเทพมหานครผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ได้ในวันและเวลาราชการ (วันจันทร์-ศุกร์) ตั้งแต่ 10.00-16.00 น.

ขั้นตอนการจองหมายเลขทะเบียนรถยนต์ ดังนี้

  1. เข้าเว็บไซต์ ‭tabienrod.com‬ สามารถเข้าผ่านได้ทั้งคอมพิวเตอร์ หรือมือถือสมาร์ทโฟน
  2. เลือกเมนู จองเลขทะเบียนรถ หลังจากนั้นกดยอมรับหลักเกณฑ์
  3. หากยังไม่รู้ว่า เลขทะเบียนที่เปิดให้จองถึงไหนแล้ว ให้เข้าไปเช็กดูตรงคำว่า “ตารางจองเลข”
  4. กรอกข้อมูล ชื่อ-นามสกุล เลขบัตรประจำตัวประชาชน หรือเลขทะเบียนการค้าของเจ้าของรถ หรือเลขหนังสือเดินทาง เลข​แชสซีรถ
  5. จากนั้นกรอกข้อมูลเลขทะเบียนรถที่ต้องการ บันทึกหน้านี้ไว้เป็นหลักฐาน

จองเลขทะเบียน

ซึ่งหมายเลขบัตรประชาชน 1 คน สามารถจองได้เพียง 1 หมายเลข และคอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง (1 IP Address) สามารถจองได้เลขเดียวในวันนั้น ๆ

เมื่อจองเลขทะเบียนที่ต้องการได้แล้วต้องดำเนินการจดทะเบียนรถให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยหมายเลขทะเบียนที่จองได้จะไม่สามารถยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงเป็นชื่อผู้อื่นได้

ทั้งนี้การจองหมายเลขทะเบียนรถทางระบบอินเทอร์เน็ตมีความโปร่งใส เปิดให้จองเป็นแบบวันต่อวัน โดยให้สิทธิ์แก่ผู้ที่เข้าระบบและกรอกข้อมูลสำเร็จก่อน (First come first serve) ทำให้มีโอกาสจองหมายเลขทะเบียนรถที่ตนต้องการได้อย่างเท่าเทียมกัน

อีกทั้งยังสามารถทราบผลการจองได้ทันที ช่วยลดขั้นตอนไม่ต้องเดินทางมาติดต่อที่กรมการขนส่งทางบก ซึ่งทุกคนสามารถทำได้ด้วยตนเองไม่กี่ขั้นตอน จึงไม่จำเป็นต้องติดต่อผ่านบุคคลภายนอก ซึ่งอาจตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพที่แอบอ้างอาสารับดำเนินการแทนมีโอกาสสูญเสียเอกสารและทรัพย์สิน สามารถตรวจผลการจองเลขได้ที่หน้าผลการจองดังกล่าวได้ทันที และต้องจดทะเบียนก่อนวันที่กรมกำหนด หากพ้นระยะเวลาดังกล่าวสิทธิ์ในหมายเลขนั้นจะตกไป

แต่กรณีที่จองได้แล้ว เปลี่ยนใจไม่นำรถไปจดทะเบียนภายในเวลาที่กำหนด ต้องรอให้พ้นระยะเวลาหลังจากจองครั้งแรกไปแล้ว 3 เดือน จึงจะสามารถจองเลขทะเบียนใหม่ได้

ส่วนกรณีรถใหม่ต้องได้รับรถยนต์มาแล้วจึงจะจองเลขทะเบียนได้ ส่วนรถที่มีป้ายทะเบียนอยู่แล้วสามารถจองได้ทันที สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมการขนส่งทางบก อาคาร 2 ชั้น 5 โทรศัพท์ ‭0-2271-8704-7‬ หรือ Call Center 1584

สุดท้ายขอเตือนเพิ่มเติมว่า มีเว็บที่พยายามทำ url ให้คล้ายเว็บกรมขนส่งทางบก โปรดตรวจสอบให้ดีอีกครั้งหนึ่งว่าใช่เว็บไซต์หลักของกรมขนส่งหรือไม่

ภาพจาก car.kapook.com

 

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : car.kapook.com

เช็ครถ ก่อนเดินทาง

เช็กสภาพรถยนต์ของคุณ เพื่อความอุ่นใจ
ก่อนออกเดินทางไกล เที่ยวในวันหยุดยาว

ใกล้ถึงเทศกาลปีใหม่ 2562 แล้ว ปีนี้หยุดยาวได้ถึง 4 วันเต็มๆ หลายคนคงกำลังเก็บกระเป๋า เตรียมตัวเดินทางออกต่างจังหวัด แต่ก่อนออกเดินทางเราควรต้องตรวจเช็คสภาพรถกันเสียก่อน เพราะหากเกิดเหตุอะไรขึ้นมาระหว่าง การไปเที่ยวครั้งนี้คงต้องอดสนุกแน่ ๆ เลย

ฉะนั้นวันนี้ คาร์โร อยากจะแนะนำทริคการตรวจเช็กรถยนต์เบื้องต้น ก่อนออกไปเที่ยววันหยุดยาวกัน

1. เช็กสภาพรถยนต์ขั้นพื้นฐาน
ก่อนออกทริปไปเที่ยวสิ่งแรกที่ควรทำ คือ การตรวจสอบรถยนต์ขั้นพื้นฐานด้วยตัวเอง อย่างเช่น เช็กที่ปัดน้ำฝน ไฟหน้ารถ เช็คระดับน้ำ น้ำมันเครื่อง โช้คอัพ ฯลฯ หรือหากคุณไม่สันทัดในการตรวจเช็กเอง หรือไม่แน่ใจว่าตัวเองทำถูกไหม คุณก็สามารถเอารถไปเข้าศูนย์ที่ใกล้บ้านเพื่อตรวจเช็กระบบต่างๆ

2. การเช็กแบตเตอรี่รถยนต์

การตรวจสอบแบตเตอรี่รถยนต์นั้น ให้ตรวจดูว่าแบตเตอรี่อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานหรือไม่ ? ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่แล้วหรือยัง ? มีรอยแตกร้าวหรือเปล่า ? เพราะหากมีรอยแตกร้าว อาจทำให้แบตเตอรี่ไม่เก็บประจุไฟฟ้า

3. ตรวจสอบยางรถยนต์

การตรวจสอบยางรถยนต์นั้นไม่ยาก แค่เช็คดูว่ายางรถพร้อมใช้งานหรือไม่ ? มีดอกยางลึกพอหรือเปล่า ? หากดอกยางตื้นมากแล้ว ควรเปลี่ยนใหม่ก่อนออกทริป ไม่เช่นนั้น หากฝนตก หรือขับลงเขาอาจทำให้เกิดไถลลื่นได้ จนเกิดอุบัติเหตุได้ และควรตรวจเช็คความดันลมยางด้วยนะ

 

เช็ครถ ก่อนเดินทาง

4. ตรวจสอบผ้าเบรก

การตรวจเช็คผ้าเบรกนสามารถทำได้ง่ายๆ โดยการดูความหนาของผ้าเบรกด้วยตาเปล่า ผ้าเบรกที่ดีนั้น ควรมีความหนาไม่น้อยกว่า 4 มิลลิเมตร หรือหากขับรถไปแล้ว มีเสียงดังที่บริเวณจานเบรกของล้อ ก็อาจเป็นสัญญาณว่าผ้าเบรกหมดนั่นเอง

5. เตรียมอุปกรณ์ต่างๆ

กรเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ ก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้การดูแลรถเลย ส่วนที่ควรเตรียมคือ ไฟฉาย ชุดปฐมพยาบาลเบื้องต้น ผ้าห่ม เครื่องมือซ่อมรถพื้นฐานให้พร้อม เพราะถ้าเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นมา อุปกรณ์เหล่านี้สามารถช่วยให้คุณผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้

6. เมมเบอร์โทรศัพท์ฉุกเฉิน

เผื่อเหตุการณ์ไม่คาดฝัน อย่างน้อยคุณควรจะมีเบอร์ของตำรวจทางหลวง (1193) ศูนย์อุบัติเหตุบนทางด่วน (1543) สถานีวิทยุ จส. 100 (1137) สถานีวิทยุสวพ. 91 (1644) แจ้งเหตุด่วนเหตุร้าย (191) ดูเบอร์ทั้งหมดต่อได้ที่ คลิกดูเลย

เช็ครถ ก่อนเดินทาง

สุดท้ายสิ่งที่อยากจะฝากคือ ไม่ควรประมาณ และคุณควรเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการขับรถ เพราะถ้าคนไม่พร้อมอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุ ดังนั้น หากตรวจเช็ครถยนต์แล้ว ก็อย่าลืมพักผ่อนให้เพียงพอก่อนการเดินทางด้วยนะคะ
สัญลักษณ์บนแก้มยาง-บอกอะไร-

สัญลักษณ์ต่างๆ บนแก้มยางคืออะไร? ควรรู้ไว้

ตัวอักษร และตัวเลขบนยางรถยนต์ สามารถบอกอะไรเราได้หลายอย่าง หากสังเกตดูสักนิด จะพบว่าสัญลักษณ์เหล่านี้ มีความสำคัญกับเราพอสมควร รู้เอาไว้ดีกว่าไม่รู้ เพราะเวลาเปลี่ยนยางใหม่จะได้คุ้มค่ากับเงินที่จะต้องเสียไป

ซึ่งในบทความนี้ เราจะขอยกตัวอย่างแบบง่ายๆ ที่เห็นได้ตามรถยนต์ทั่วไป ว่าตัวเลข ตัวอักษรต่างๆ มีความหมายอะไรบ้าง เช่น 205/65R15 95H ที่เราเคยเห็นกันข้างแก้มยาง สามารถแยกออกมาได้ดังนี้

  • 205 = ความกว้างของหน้ายาง มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร
  • 65 = อัตราส่วนความกว้างของหน้ายาง (แก้มยาง)
  • R = ชนิดของยาง ส่วนมากจะเป็นยางเรเดียลเกือบหมดแล้ว
  • 15 = ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของล้อ มีหน่วยเป็นนิ้ว
  • *94 = ดัชนีน้ำหนักบรรทุกสูงสุด ตัวเลข 94 ในที่นี้สามารถบรรทุกน้ำหนักได้ไม่เกิน 670 กิโลกรัม
  • **H = หน่วยวัดความเร็วสูงสุด ตัวอักษร H ในที่นี้สามารถใช้ได้เต็มที่ 210 กม./ชม.

Toyota-Vios-Laos

สำหรับยางรถยนต์อีกประเภท จะมีสัญลักษณ์แตกต่างจากด้านบน ซึ่งส่วนมากจะเป็นพวกรถออฟโรด เช่น

  • 31×10.5R16 ซึ่งสามารถแยกออกมาได้ดังนี้
  • 31 = เส้นผ่าศูนย์กลางยาง มีหน่วยเป็นนิ้ว
  • 10.5 = ความกว้างยาง มีหน่วยเป็นนิ้ว
  • R = โครงสร้างยางแบบเรเดียล
  • 16 = เส้นผ่าศูนย์กลางกระทะล้อ มีหน่วยเป็นนิ้ว

*ตารางแสดงดัชนีน้ำหนักบรรทุกสูงสุด

ส่วนการดูวันเดือนปีที่ผลิตนั้น ให้สังเกตตัวเลข 4 หลัก ที่อยู่ในวงรีเล็กๆ ใกล้ๆ ตัวย่อ DOT ยกตัวอย่างเช่น 1015 ในที่นี้ เลข 2 ตัวแรก 10 จะบอกถึงสัปดาห์ที่ผลิตยางขึ้นมา ถ้าให้ประมาณก็ราวๆ เดือนมีนาคม ส่วนตัวเลขอีก 2 ตัวที่เหลือ 15 จะบอกถึงปี ค.ศ. ที่ผลิต ซึ่งถ้าให้ดูโดยรวมแล้ว ยางวงนี้ผลิตขึ้นเมื่อ เดือนมีนาคม 2015 ซึ่งหากอยากได้ยางใหม่ๆ ให้สังเกตดูที่ตรงนี้นั่นเอง

จำเอาไว้ว่า ขนาดยางเองก็มีความสำคัญเหมือนกัน จะเลือกใช้แบบไหนก็คิดให้ดี เพราะบางคนเน้นใช้งานหนัก บางคนใช้ขับสบายๆ และบางคนแต่งสวยงาม ดังนั้นเลือกใช้ให้ถูกประเภทดีกว่า อย่าเลือกเพราะสวย แต่ใช้งานไม่คุ้มค่า ไม่งั้นได้เสียเงินเปลี่ยนบ่อยๆ แน่

ขอบคุณข้อมูลจาก: Silkspan

วิธีดูรถมือสอง กับ 7 อุปกรณ์พื้นฐานที่ผู้ซื้อควรรู้

เมื่อผู้ซื้อไปดูรถจริงแล้วต้องมีจุดที่ต้องพิจารณาเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจรถ บทความนี้ทาง CARRO จะนำเสนอในส่วนของอุปกรณ์พื้นฐานสำคัญ

ในการใช้งานรถ ซึ่งถ้าจะซื้อมือสองดีๆ มาใช้สัก 1 คัน อุปกรณ์พื้นฐานเหล่านี้ต้องใช้งานได้ดี เพื่อให้ผู้ที่ซื้อนำรถไปใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างราบรื่น ไม่ต้องไปเสียเวลาเก็บงานภายหลัง หรือไปเสียกลางทางซะก่อนครับ

วิธีดูรถมือสอง กับ 7 อุปกรณ์พื้นฐานที่ผู้ซื้อควรรู้

1. ไฟส่องสว่างและไฟสัญญาณต้องติดครบ

ไฟหน้า ไฟเลี้ยว ไฟเบรค และไฟแจ้งเตือนต่างๆ ภายในรถ เป็นสิ่งสำคัญในเวลาขับขี่รถยนต์ ซึ่งไฟหน้า ไฟเลี้ยว และไฟเบรค จำเป็นมาก สำหรับการขับขี่ส่วนไฟแจ้งเตือนต่างๆ ภายในรถ เป็นการแจ้งเตือนเพื่อบอกผู้ขับขี่ถึงสถานะของตัวรถ ว่ามีอะไรที่ผิดปกติในส่วนของเครื่องยนต์ หรือตัวรถหรือไม่

Tips :: ไฟเตือนต่างๆ โดยเฉพาะเตือนความร้อนเครื่องยนต์สำคัญมาก (โดยเฉพาะรถรุ่นใหม่ๆ ที่ไม่มีมาตรวัดความร้อน) ถ้าใช้งานไม่ได้ อาจส่งผลรุนแรงต่อเครื่องยนต์ อาจทำให้เจ้าของรถต้องเสียเงินค่าถึงขั้นยกเครื่องใหม่ได้

2. ยางรถยนต์ต้องอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งาน

ลักษณะยางรถยนต์ ที่ควรอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งาน ดอกยางต้องลึก หน้ายางต้องไม่มีรอยบาดบวมแตกตำ ดูปีผลิตไม่ให้เก่าเกินอายุการใช้งาน โดยอายุการใช้งานของยาง ดีที่สุดไม่ควรเกิน 2 ปี เพราะฉะนั้น ก่อนตัดสินใจเปลี่ยนยางใหม่ ควรดูสภาพยางเดิมก่อนนำรถไปใช้งาน

Tips :: ยางรถยนต์ เป็นสิ่งที่ควรอยู่ในลำดับต้นๆ ของรายการสิ่งที่ควรจะเปลี่ยน หลังจากซื้อรถมาแล้ว กรณีที่หน้ายางเริ่มบางมาก จนถึงจุดวัดสามเหลี่ยม หรือเริ่มมีเนื้อยางล่อน มีอาการยางบวมให้เห็น ก็ควรรีบไปเปลี่ยนยางใหม่ดีกว่า เพราะถ้าเจอพื้นถนนลื่นๆ อาจต้องใช้ท้ายรถคันหน้าเป็นที่หยุดรถแทน

วิธีดูรถมือสอง กับ 7 อุปกรณ์พื้นฐานที่ผู้ซื้อควรรู้

3. แอร์ต้องเย็น!!

ใช้รถในเมืองไทย เครื่องปรับอากาศ หรือแอร์ติดรถยนต์ เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ลองทดสอบเปิดแอร์ และดูว่า “เย็นฉ่ำ” หรือไม่ย้ำว่าต้อง “เย็นฉ่ำ” และแรงลมต้องแรง ใช้งานได้ทุกระดับ เป็นไปด้วยควรเช็คไปถึงระบบแอร์ เช่น ตู้แอร์ คอมเพรสเซอร์แอร์ คอยล์ร้อน ท่อทางเดินน้ำยาแอร์ พัดลมแอร์ ฯลฯ สภาพต้องพร้อมใช้งาน ไม่มีรั่ว ซึม หรือกำลังอัดตก

Tip :: เมื่อดูรถมือสอง ลองสตาร์ทรถและเปิดแอร์ เปิดที่ระดับแรงสุด ของแอร์เพื่อดูการทำงาน เอามืออังที่ช่องลม ว่ามีลมแอร์ออกปกติหรือไม่ หรือมีกลิ่นหรือเปล่า ยิ่งถ้าซื้อรถมือสองอายุมากๆ หรือรถมือสองสภาพแย่ๆ หน่อย ส่วนมากระบบแอร์มักจะมีปัญหา

4. พวงมาลัยจะช่วยบอกทุกอย่าง

พวงมาลัย เป็นอุปกรณ์ที่เป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างคนขับและช่วงล่างของรถ เมื่อได้ทดลองขับไม่ต้องขับเร็ว ให้ค่อยๆ ขับ เพื่อให้สามารถสังเกตุพฤติกรรมของรถได้ หามีเสียง ก๊อกแก๊กจากช่วงล่างนั้นแสดงว่าช่วงล่างอาจหลวม ทำให้สะท้านมาถึงพวงมาลัยได้ หรือเลี้ยงซ้าย-ขวาสุด แล้วมีเสียงดังแต๊กๆ นั่นก็อาจมีอาการที่เพลาขับรั่วซึม หรือยางหุ้มเพลาขับขาดได้เช่นกัน

Tips :: เวลาลองรถ อย่าลองโดยการขับเร็ว เพราะไม่รู้เลยว่ารถที่ลองขับนั้น อยู่ในสภาพสมบูรณ์มากแค่ไหน อาจเป็นอันตรายได้

วิธีดูรถมือสอง กับ 7 อุปกรณ์พื้นฐานที่ผู้ซื้อควรรู้

5. ลองเข้าเกียร์

สำหรับรถเกียร์ธรรมดา ลองเข้าเกียร์และสังเกตให้ดีจังหวะที่รถเริ่มเคลื่อนที่ ว่ารถมีอาการสั่น กระตุกหรือไม่ หรือว่าเวลาเปลี่ยนเกียร์ นั้นเข้าเกียร์ยากนั้น แสดงว่าเกียร์เริ่มจะมีปัญหาแล้ว

ถ้าเป็นเกียร์ออโต้ วิธีสังเกตง่ายๆ คือ อาการของรถเมื่อเหยียบเบรกและเข้าเกียร์ D ไว้ถ้ารถมีอาการกระตุกเหมือนจะดับ หรือสั่นๆ หรือต้องรอสักพักถึงจะออกตัวได้ นั้นแสดงว่าเกียร์เริ่มจะมีปัญหาแล้วแหละ

Tips :: ส่วนของเกียร์เป็นส่วนสำคัญและแพง!! ถ้าได้รถที่มีปัญหาเรื่องเกียร์มา อาจต้องเตรียมเงินไว้ซ่อมที่แพงกว่าอะไหล่ส่วนอื่นๆ เพราะฉะนั้น ทดสอบเรื่องเกียร์ให้ดีก่อนตัดสินใจซื้อ

6. ทดสอบระบบเบรก

อุปกรณ์ที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของรถยนต์ คือระบบเบรกของรถ ที่จะซื้อควรมีการทดสอบการทำงานของเบรกว่าใช้งานได้ปกติหรือไม่ โดยการทดลองขับ ช้าๆ และลองย้ำเบรกเบาๆ ถ้าเบรกอยู่ หยุดสนิทก็แสดงว่าเบรกยังอยู่ในสภาพดี แต่ถ้าเยรกแล้วมีเสียงดังเอี้ยดอ๊าด นั่นหมายถึงจานเบรกเริ่มสึกเป็นรอยมาก หรือผ้าเบรกเริ่มหมด จนเหมือนกับเหล็กสีกัน ถ้ามีก็ต้องเตรียมงบไว้เจียรจานเบรก เปลี่ยนจานเบรก หรือเปลี่ยนผ้าเบรกใหม่

นอกจากนี้ควรจะก้มดูที่ระบบเบรกที่ล้อทั้งสี่ล้อด้วย ว่าความหนาของผ้าเบรกเหลือเท่าไหร่ (ในกรณีของดรัมเบรกล้อหลัง เช็คยากหน่อย เพราะต้องถอดล้อแกะดุมออกมาดู) มีรอยรั่วซึมของน้ำมันเบรกตามท่ออ่อนหรือไม่ เพราะถ้ามีก็แสดงว่าเบรกมีปัญหา

Tips :: ราคาเบรกรถยนต์ ราคาอะไหล่ อาจจะไม่สูงเท่าราคาอุปกรณ์อื่นๆ แต่การเลือกรถที่มีระบบเบรกที่สมบูรณ์มากที่สุดด้วยวิธีการตรวจสอบง่ายๆ จะเป็นวิธีที่ดีที่สุด

วิธีดูรถมือสอง กับ 7 อุปกรณ์พื้นฐานที่ผู้ซื้อควรรู้

7. สตาร์ทติดง่ายๆ และเครื่องยนต์ต้องนิ่งเงียบ

การสตาร์ทเครื่องเพื่อดูสิ่งผิดปกติต่างๆ ของอุปกรณ์ ในรถแต่ละกัน แค่บิดกุญแจสตาร์ททีเดียว แล้วเครื่องยนต์สามารถติดได้ทันที น้้นแสดงว่าระบบไฟที่ถูกจ่ายมาจากแบตเตอรี่ มายังไดสตาร์ทเพื่อสตาร์ท ยังอยู่ในสภาพที่ดีใช้งานได้

ไม่ต้องบิดกุญแจลากยาวๆ กว่าจะติด เมื่อเครื่องยนต์ติดแล้วก็ให้ไปดูที่เครื่องยนต์ขณะทำงานอยู่ ว่าเครื่องยนต์เดินเรียบนิ่งหรือไม่ มีอาการสะดุด มีรอบเครื่องไม่นิ่ง ตอนติดเครื่องไว้หรือเปล่า

Tips :: เครื่องยนต์อาจมีบางอย่างผิดปกติ อาจต้องมีการซ่อมแก้ไขภายหลังจากซื้อไปแล้ว เพราะฉะนั้นเลือกรถที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ เครื่องยนต์เดินเรียบ นิ่ง ดีที่สุด อย่าเสี่ยงที่จะซื้อรถแล้วไปซ่อมดีกว่า เว้นเสียแต่ว่าคุณเป็นสายนักปั้นรถเก่า ฮ่า ฮ่า

ทั้งหมดนี้เป็นแค่เพียงส่วนหนึ่งของ วิธีการเลือกซื้อรถมือสอง เพื่อให้ได้รถมือสองคุณภาพ อุปกรณ์พื้นฐานในการขับขี่ เพื่อการใช้งานอย่างปลอดภัย และไม่ต้องซ่อมนู่นนี่กันอยู่เรื่อย เมื่อตัดสินใจซื้อรถมาแล้ว

แต่ส่วนสำคัญของการซื้อรถมือสองอีกอย่างคือการ ตรวจสภาพรถ ที่โครงสร้างว่าเคยมีการชนหนักมาหรือไม่ ตรงส่วนนี้อาจจำเป็นต้องพึ่งผู้เชี่ยวชาญที่มีให้บริการ ตรวจสภาพรถยนต์ เพราะช่างผู้เชี่ยวชาญ จะทราบว่า ตรวจสภาพรถ ตรวจอะไรบ้าง ที่สำคัญและจะช่วยให้ท่านได้รถมือสองคุณภาพดี

แต่ทุกปัญหาเหล่านี้ ถ้าคุณไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญรถยนต์ แต่อยากซื่้อรถมือสองสักคัน ไม่ต้องห่วงเลย เพราะ “CARRO Automall” แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ พร้อมตอบโจทย์คุณด้วยคอนเซปต์ “click.buy.drive.” คุณสามารถจองรถออนไลน์ ได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น!

รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check และยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” ให้คุณเลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา พร้อมรับประกันคุณภาพรถนานถึง 2 ปี หรือ 20,000 กิโลเมตร! อีกทั้งยังการันตีความพึงพอใจ คืนเงินได้ภายใน 5 วันอีกด้วย! เรามีรถให้คุณเลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ CARRO Automall สิ!

หรือถ้าหากสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall Official โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall ครับ

ส่วนใครที่อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถคันใหม่ มาขายรถคันเดิมกับ CARRO Express สิ! Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

รถพัง

ถ้าไม่อยากให้รถพังเร็ว อย่าทำ 5 พฤติกรรมเหล่านี้

สำหรับใครที่ซื้อรถยนต์ส่วนตัวแล้ว ก็คงอยากดูแลมันเป็นอย่างดี บางคนถึงขั้นตั้งชื่อรถของตัวเอง ประคบประหงมกันอย่างเต็มที่ ไม่ให้ฝุ่นเกาะไรจับ ยิ่งรถที่ซื้อมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเรายิ่งต้องดูแลคูณสอง

แต่ถ้าคุณมีพฤติกรรมแย่ๆบางอย่าง อาจส่งผลต่อตัวรถ และอะไหล่รถของคุณได้ เราจึงคัดพฤติกรรมทั้ง 5 ที่คิดว่าเป็นพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อรถของคุณกัน ไปดูกันเลย

 

รถพัง

1. ออกตัวแรงขณะเครื่องเย็น

การดับรถจะทำให้เครื่องยนต์เริ่มปรับอุณภูมิจากร้อนเป็นเย็น แต่ถ้าคุณสตาร์ทรถขณะที่เครื่องยนต์ยังเย็น แล้วคุณรีบออกตัวด้วยความเร็ว เป็นพฤติกรรมที่ผิด เพราะมันส่งผลเสียให้กับรถของคุณ โดยเฉพาะระบบหล่อลื่น จะไม่สามารถไปหล่อเลี้ยงชิ้นส่วนอื่นๆภายในเครื่องยนต์ได้ทัน

ดังนั้น คุณควรสตาร์ทเครื่อง แล้วปล่อยทิ้งไว้เพื่อเป็นการวอร์มเครื่องยนต์เล็กน้อย หรือค่อยๆออกตัวไปแบบช้าๆ ไม่ต้องรีบร้อน จนระบบเริ่มเข้าที่เข้าทาง หรือประมาณ 5-10 นาที จึงค่อยเพิ่มความเร็วขึ้นจะดีกว่า

 

รถพัง

2. ไม่ชะลอความเร็วขณะข้ามเนิน ลูกระนาด หรือหลุม

หากคุณขับรถอเจอเนิน ลูกระนาด หรือ หลุม แล้วคุณไม่ได้แตะเบรก หรือลดความเร็ว บอกลาช่วงล่างรถคุณได้เลย ยิ่งถ้าเป็นรถเก๋ง หรือรถที่โหลดต่ำ ช่วงล่างคุณพวกโช้คอัพ ปีกนก บูชยาง ไหนจะเพลาขับอีก มันต้องมีหลวมมีสึกกันบ้าง หรือหนักๆเลยก็หลุดออกมา

แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ช่วงล่างรถเราหลวม เราสึก เรามี วิธีตรวจเช็่คช่วงล่างได้ด้วยตัวเอง ดังนี้

  • ขั้นแรกเราต้องสังเกตด้วยตาของเราเสียก่อน ว่ามีส่วนไหนสึก ส่วนไหนหลวม
  • ขั้นที่สองเวลาเราขับรถยิ่งถ้าเป็นทางขุรขระ เราลองฟังเสียงรถ ถ้าได้ยินเสียง กุกกักๆ แสดงว่าช่วงล่างเราอาจมีปัญหา
  • ขั้นที่สามเช็คช่วงล่างรถเอง ด้วย วิธีการโยกล้อ ซึ่งคุณต้องมีอุปกรณ์อย่างแม่แรงเสียก่อน เพื่อเช็คลูกหมากปีกนกบนและล่าง เช็คลูกหมากปลายแร็ค เป็นต้น

รถพัง

3. เหยียบคันเร่งจนมิด

หลายคนที่มือหนักเท้าหน้าชอบเร่งเครื่อง เหยียบจนมิด พฤติกรรมเหล่านี้จะส่งผลไม่ดีกับสภาพรถยนต์ และอะไหล่รถยนต์อย่างแน่นอน เพราะการเร่งเครื่องมากๆ ถ้ามีกลิ่นไหม้แสดงว่า ผ้าคลัตช์ของคุณเริ่มมีความร้อนสูง ถึงแม้ผ้าคลัตช์จะสามารถรับความร้อนได้สูง แต่ถ้าถึงจุดที่ร้อนจัดๆ คุณคงอาจต้องเตรียมเงินซื้อคลัตช์ใหม่เลย

นอกเหนือจากผ้าคลัตช์แล้ว ยังทำให้อะไหล่ส่วนอื่นของรถเกิดการสึกหรอ อาจต้องเสียเงินเข้าอู่ ไปตรวจสภาพรถอีกด้วย

ผ้าคลัตช์จะทำหน้าที่ ตัดการส่งกำลังจากเครื่องยนต์สู่ชุดเกียร์ เมื่อคุณเหยียบคลัตช์ เพื่อให้ผู้ขับรถยนต์ทำการเปลี่ยนเกียร์ และจะเชื่อมต่อการส่งกำลังจากเครื่องยนต์สู่เกียร์นั่นเอง

 

รถพัง

4. น้ำท่วมแค่ไหน เราก็ลุย

ด้วยสภาพอากาศของเมืองไทยที่หาความแน่นอนไม่ได้ ยิ่งช่วงนี้มีข่าวน้ำท่วมในกรุงเทพฯ หรือตามต่างจังหวัดมากมาย ทำให้คุณต้องขับรถ แต่หากทางขน้ำท่วมสูงถึง 30 เซนติเมตร หรือมากกว่านั้น คุณไม่ควรเสี่ยงลุยน้ำ เลี่ยงได้ควรเลี่ยง  เพราะเครื่องยนต์ของคุณ จะดูดเอาน้ำที่ท่วมไปยังห้องเครื่อง น้ำเหล่านั้นจะสร้างความเสียหายให้กับรถได้

แต่ถ้ามีความจำเป็นและดูระดับน้ำแล้วน่าจะไหว คุณควรปิดแอร์ เพราะระบบแอร์จะเป็นตัวดูดน้ำเหล่านั้นเข้าเครื่องของคุณ และทำให้ระบบไฟฟ้าลัดวงจร  อีกทั้งควรรักษาความเร็ว ไม่ควรเร่งความเร็วเพราะน้ำจะทะลักเข้าเครื่องยนต์ได้ และถึงแม้ว่าคุณได้ขับผ่านพื้นที่น้ำท่วมไปแล้ว แต่คุณอย่าเพิ่งชะล่าใจ ควรตรวจเช็คสภาพรถของคุณในภายหลังด้วยรถพัง

5. ไฟสัญญาณขึ้นเตือนที่หน้าปัด แต่คุณนิ่งเฉย

ขับๆรถอยู่ ไฟที่หน้าปัดดันขึ้นแจ้งเตือน แต่หากคุณไม่สนใจยังฝืนขับต่อไปเรื่อยๆ ส่งผลไม่ดีอย่างแน่นอน เพราะสัญญาณหน้าปัดเป็นเหมือนการแจ้งเตือนแรกของความผิดปกติ ทั้งระบบเครื่องยนต์ ระบบความปลอดภัย

ฉะนั้น คุณควรชะลอรถ และจอดรถเพื่อเช็คระบบรถยนต์เสียก่อน ว่ามีส่วนไหนชำรุดหรือไม่ ต่อจากนั้นซ่อมขั้นพื้นฐานถ้าคุณทำได้ แต่ถ้าไฟสัญญาณหน้ารถคุณแจ้งเตือนสัญลักษณ์เป็นรูปเครื่องยนต์ คุณก็ควรนำรถคุณเข้าอู่เพื่อเช็คสภาพรถ อะไหล่รถ จะดีกว่า

ซึ่ง 5 พฤติกรรมดังกล่าว เป็นจุดเสี่ยงทำให้รถของคุณอาจพังได้ ดังนั้นคุณรีบปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ก่อนที่รถของคุณจะเสื่อมสภาพก่อนเวลาอันควร

 

ขอบคุณข้อมูล : finance.rabbit.co.th

 

Prepare-Car-In-Winter-Season

ในช่วงเดือนพฤศจิกายนแบบนี้ ประเทศไทยเราก็เริ่มเข้าสู่หน้าหนาวกันแล้วนะครับ (แม้ว่าบางจังหวัดทางภาคใต้ ตอนนี้ยังอยู่ในฤดูมรสุม ต้องเจอกับฝนตกหนัก แต่อากาศก็ยังเย็นจนสัมผัสได้เช่นกัน)

แต่ก็เชื่อได้ว่า หลายๆ ท่านตอนนี้ เริ่มได้สัมผัสอากาศเย็นๆ ทั้งในช่วงกลางคืน และในช่วงเช้ามืด จนรู้สึกอยากออกไปขับรถเที่ยว ขึ้นภู ขึ้นดอย สัมผัสไอหมอก ไอหนาว หรือแม่คนิ้งกันแล้ว …

CARRO ขอแนะนำวิธีการดูแลรักษารถยนต์ เพื่อเตรียมพร้อมไว้ใช้งานในฤดูหนาวครับ.

นอกเหนือจากการดูแลรักษารถยนต์ส่วนต่างๆ ระดับของเหลวจุดต่างๆ โดยทั่วไปแล้ว สิ่งที่สำคัญและควรปฏิบัติในหน้าหนาว มีอาทิเช่น …

Prepare-Car-In-Winter-Season

1. เมื่อหมอกลง

ช่วงฤดูหนาว จะมีหมอกปกคลุมมากกว่าปกติ และพื้นถนนอาจลื่นได้ ควรขับรถด้วยความระวัง เปิดไฟใหญ่ หรือไฟต่ำทุกครั้ง เพื่อให้สามารถมองเห็นสภาพเส้นทางได้ชัดเจนขึ้น แต่ไม่ควรใช้ไฟสูง เพราะไฟสูงจะยิ่งทำให้มองไม่เห็นทางข้างหน้า เพราะแสงไฟจะสะท้อนกับหมอกจนเกิดการฟุ้ง และทำให้ทัศนวิสัยในการขับขี่ลดน้อยลง …

แต่ถ้าหมอกหนามากจริงๆ แนะนำให้หาที่จอดพักริมทางในที่ปลอดภัย ไม่จอดข้างทางหรือบนไหล่ทาง ที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ดีกว่าครับ

หรือในกรณีที่หมอกลงจัดมาก ควรขับขี่ที่ความเร็ว 40-50 กม./ชม. เพื่อกะระยะรอบด้านและเบรกได้ทัน เมื่อเห็นสิ่งกีดขวางในระยะใกล้อยู่ตรงหน้า

Prepare-Car-In-Winter-Season

2. ไฟตัดหมอก หน้า-หลัง

การใช้ไฟตัดหมอกอย่างปลอดภัย คือ ช่วงที่มีฝนตกปรอยๆ หรือฝนตกหนัก หรือหมอกลงมาก เพื่อให้รถที่ขับสวนมามองเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น นอกจากนี้ การขับรถขึ้นภูเขาสูงในช่วงฤดูหนาว ที่มีหมอกหนามากกว่าปกติ ไฟตัดหมอกจะช่วยให้ทัศนวิสัยในการขับขี่ดีขึ้น

รถบางรุ่น (โดยเฉพาะรถยุโรป) มีติดไฟตัดหมอกหลังมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานด้วย ซึ่งออกแบบไว้ใช้เฉพาะในยามหมอกลงจัดเท่านั้น แต่หลายคนก็ใช้งานแบบไม่ต้องถูกต้อง เปิดไฟตัดหมอกหลังอย่างพร่ำเพรื่อยามถนนแห้ง ทำให้แยงตาผู้ที่ขับขี่ที่ตามหลัง เพิ่มความเสี่ยง ในการเกิดอุบัติเหตุได้

Prepare-Car-In-Winter-Season

3. ระบบไล่ฝ้า

การขับรถในช่วงฤดูหนาว อุณหภูมิที่ไม่สมดุลระหว่างด้านในและด้านนอกรถ ทำให้ไอน้ำจับตัวเป็นละอองฝ้าเกาะกระจกรถ ส่งผลต่อทัศนวิสัยในการมองเห็นเส้นทาง กรณีเกิดฝ้าที่กระจกข้างและกระจกหน้าด้านในรถ ให้เพิ่มความเย็นเครื่องปรับอากาศ โดยเลื่อนหรือกดสวิตซ์ระบบปรับอากาศไปที่สัญลักษณ์ไล่ฝ้าที่กระจกหน้า หรือลดกระจกรถลงเล็กน้อย เพื่อปรับอุณหภูมิในและนอกห้องโดยสารรถให้สมดุลกัน จะช่วยให้ละอองฝ้าจางหายได้

กรณีเกิดฝ้าที่กระจกด้านหน้าภายนอกรถ ให้เปิดใช้อุปกรณ์ที่ปัดน้ำฝน และฉีดน้ำเช็ดกระจกควบคู่ไปด้วย จะช่วยไล่ละอองฝ้าและขจัดคราบสกปรกบนกระจก กรณีเกิดฝ้าที่กระจกหลังรถ ให้เปิดปุ่มไล่ฝ้า เพื่อให้ขดลวดความร้อนบริเวณกระจกหลังรถทำงาน พอเมื่อละอองฝ้าจางหายไป ให้ปิดปุ่มไล่ฝ้า เพราะความร้อนจะทำให้กระจกรถ และฟิล์มกรองแสงเสื่อมสภาพเร็วขึ้น

Prepare-Car-In-Winter-Season

4. ปิดแอร์ขับรถ

การปิดแอร์ขับรถนั้นก็ถือเป็นสิ่งที่ดี (เฉพาะในหน้าหนาว) โดยหากคุณขับรถบนถนนที่ออกนอกเมือง รถไม่ติด ตอนเช้าๆ อากาศเย็นๆ คุณก็ปิดระบบปรับอากาศ ลดกระจกด้านข้างลง เพื่อรับลมและความเย็นสบายจากธรรมชาติ ที่ช่วยให้เครื่องยนต์ไม่ต้องหมุน “คอมเพรสเซอร์” และช่วยให้ประหยัดน้ำมันได้มากขึ้นถึง 5-10% เลยทีเดียว

การปิดแอร์ขับรถในหนาว ควรทำในนอกเมือง เพราะในเมืองมีแต่ควันพิษ ถ้าหากคุณไม่ชอบลมปะทะหน้า อาจจะปิด A/C (Air Compressor) ของระบบแอร์ เพื่อตัดการทำงานของชุดคอมเพรสเซอร์แอร์ แล้วเปิดแต่พัดลมแอร์ พร้อมกันนี้ปรับสวิทช์การหมุนเวียนอากาศภายในห้องโดยสาร สลับเป็นรับอากาศจากภายนอกเข้าสู่ห้องโดยสาร ที่สามารถรับลมจากภายนอก และช่วยให้กลิ่นไม่พึงประสงค์ในห้องโดยสาร ลดลงตามไปด้วยก็ได้

หวังว่าเคล็ดลับดีๆ ที่ทาง CARRO นำมาฝาก เหมาะสำหรับเอาไว้เตรียมตัว และปฏิบัติตอนขับรถในหน้าหนาวนะครับ

ส่วนใครที่อยากขายรถ เพื่อไปซื้อรถคันใหม่มาใช้เร็วๆ นี้ CARRO เรารับซื้อรถของคุณ สามารถเข้าไปเช็คราคา ตีราคาขายรถก่อนได้ โดยใส่ข้อมูลรถของคุณที่นี่เลย กับ CARRO Express > https://th.carro.co/sell-car/express หรือโทร. 02-508-8425

หรือใครจะ Inbox มาสอบถามก็ได้เช่นกัน ที่ Facebook CARRO Thailand หรือสะดวก Add Line ก็ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

4 จุดสำคัญของรถมือสอง ประเมินไว้อุ่นใจแน่นอน

เพราะจำนวนรถยนต์ใช้แล้วที่หมุนเวียนอยู่ในตลาดมือสองก็มีมากมายซะเหลือเกิน รวมถึงหลายคนก็อาจจะไม่มีประสบการณ์ในการเลือกซื้อรถ ซึ่งเหตุผลนี้ก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้หลายคนเกิดความกังวลใจ จนไม่กล้าเปิดใจซื้อรถมือสองดูสักที เนื่องจากแต่เดิมคนไทยส่วนมากก็มักจะฝังใจว่ารถยนต์ใช้แล้ว มักจะเป็นรถที่สภาพไม่ดีที่นำมาย้อมแมวขายต่อ ทำให้ภาพลักษณ์ของรถยนต์ใช้แล้วดูไม่น่าเชื่อถือ แต่ในความเป็นจริงแล้ว รถมือสองที่มีสภาพดีก็ยังมีอยู่จริง

ซึ่งการที่จะตามหาซื้อรถยนต์ใช้แล้วที่มีสภาพดีนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เพราะในปัจจุบันนี้ก็มีบริษัทที่รับตรวจสภาพ หรือเช็คสภาพรถให้เลือกอยู่ไม่น้อย แต่ที่สะดวกมากสุดเห็นทีต้องยกให้กับเว็บไซต์สื่อกลางในการซื้อ-ขายรถมือสองอย่าง Carro (คาร์โร)

ซึ่งแต่เดิมทีแล้วเว็บไซต์นี้ได้มีบริการตรวจสภาพรถที่ตรวจจากโครงสร้างรถ และค่าความหนาบางของสี โดยการตรวจนี้จะบอกได้ว่ารถคันไหนบ้างที่โครงสร้างรถยังสมบูรณ์ มีความปลอดภัยในการขับขี่ และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจให้ครอบคลุม และตอบโจทย์ผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น ด้วยการปรับการตรวจสภาพ เป็นการประเมินสมรรถนะของรถว่ามีประสิทธิภาพในการขับขี่ออกถนนมากน้อยเพียงใด โดยทางเว็บไซต์จะทำการรายงานผลตามความเป็นจริง และมีใบเซอร์ให้สำหรับรถคันที่ได้รับการตรวจแล้ว โดยการประเมินสมรรถนะการขับขี่ของรถมือสองจะแบ่งออกเป็นการตรวจ 4 จุดหลักๆ คือ

เช็กรถมือสองอย่างไร

1. ตรวจภายนอก

นับว่าเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในการตรวจสอบ และเป็นการตรวจสอบที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งถ้าหากใครที่พอมีความรู้เรื่องการเช็คสภาพอยู่แล้ว ก็คงพอจะตรวจสอบได้ด้วยตนเอง แต่สำหรับคนที่ไม่ประสบการณ์ หรือไม่เชี่ยวชาญ ทางคาร์โรก็จะช่วยดูให้ตั้งแต่ ล้อรถ สปอยเลอร์ กระจกมองข้างซ้าย-ขวา ไปจนถึงการดูระยะช่องไฟระหว่างชิ้นส่วนต่าง ๆ

เช็กรถมือสองอย่างไร

2. ตรวจภายในห้องโดยสาร

เมื่อมีการตรวจภายนอก ก็ย่อมต้องมีการตรวจภายในห้องโดยสารควบคู่กันไปด้วย ซึ่งการตรวจสอบภายในห้องโดยสารนี้ ไม่ได้ตรวจแค่สภาพของวัสดุ หรืออุปกรณ์ (เช่น พรม ช่องเก็บของ ช่องวางแก้ว แผงหลังคา) เพียงเท่านั้น แต่จะตรวจสอบไปจนถึงระบบไฟฟ้าภายในรถด้วย อย่างเช่น ไฟแผงคอนโซล ไฟแผงหน้าปัทม์ เครื่องเสียง และอื่นๆ อีกมากมาย

เช็กรถมือสองอย่างไร

3. เครื่องยนต์

มาถึงการตรวจสอบที่สำคัญที่สุด และเป็นส่วนที่ผู้คนให้ความสนใจเป็นลำดับต้นๆ นั้นก็คือการตรวจสอบเครื่องยนต์ เนื่องจากเครื่องยนต์นั้นถือเป็นหัวใจหลักที่จะทำให้รถขับเคลื่อน ดังนั้นถ้าหากเครื่องยนต์มีสภาพที่ไม่พร้อม หรือบกพร่อง นั้นก็อาจจะทำให้การขับขี่ของคุณไม่ปลอดภัย โดยการเช็คเครื่องยนต์นั้นจะประกอบไปด้วย เช็คการรั่วซึมของเหลว เช็คระดับและสีของเหลวต่าง ๆ ตรวจสายพานเครื่อง แบตเตอรี่ สภาพสายไฟและท่อน้ำต่างๆ ไปจนถึงสายพานเครื่อง

เช็กรถมือสองอย่างไร-2

4. ทดลองขับ

หลังจากที่ตรวจเช็คองค์ประกอบภายใน และภายนอกเรียบร้อยแล้ว ก็มาถึงคิวของการทดลองขับจริงกันบ้าง โดยทางคาร์โรจะทำการทดลองขับจริง และเช็คสิ่งผิดปกติ หรือตรวจดูจุดบกพร่องระหว่างที่ทำการทดลองนี้ ซึ่งจะมีการเช็คตั้งแต่การสตาร์ทรถว่ามีเสียงดังผิดปกติหรือไม่ รอบของเครื่องยนต์ทำงานปกติหรือเปล่า ไปจนถึงการตรวจเช็คระบบเบรค ระบบคลัทช์ เกียร์ และดูว่าเมื่อมีการหมุนพวงมาลัยนั้นรถจะมีอาการผิดปกติหรือไม่

นอกจากการประเมินสมรรถนะทั้ง 4 จุดนี้ ทางคาร์โรยังมีบริการตรวจสอบเอกสาร โดยดูจากเลขตัวถัง เลขเครื่องยนต์ และเลขทะเบียน ว่าข้อมูลทั้งหมดนั้นสอดคล้องกันหรือไม่ รวมถึงตรวจประวัติว่ารถมือสองคันนั้นมีประวัติการโจรกรรมหรือไม่ ทำให้นอกจากคุณจะได้รับรู้ถึงประสิทธิภาพของการขับขี่แล้ว ยังสามารถทราบถึงประวัติของการโจรกรรมรถอีกด้วย หากใครกำลังมองหารถมือสองสภาพดี ลองให้คาร์โรช่วยคุณเลือกด้วยการประเมินสมรรถนะรถทั้ง 4 จุดนี้ เพราะคุณจะได้มั่นใจได้ว่ารถที่คุณซื้อไปนั้นคุ้มค่ากับราคาที่คุณต้องจ่าย สนใจ คลิก

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์คันใหม่ มาขายรถกับทาง Carro Express สิ! คลิกเลยที่ https://th.carro.co/sell-car/express รับรองได้เงินเร็ว ไว ทันใจแน่นอน!

Carro Automall ตลาดรถ

ส่วนใครสนใจจะซื้อรถมือสอง Carro แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ คุณสามารถจองรถได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น! พร้อมคำนวณสินเชื่อและค่างวด ได้ภายในเว็บไซต์ทันที!

ซึ่ง Carro เรามีรถให้คุณเลือกมากมาย รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพโดย Carro Certified อย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 160 จุด, การันตีคืนเงินภายใน 5 วัน, รับประกันเครื่องยนต์และเกียร์ 1 ปี, รับประกันไม่กรอไมล์ และไม่ประสบอุบัติเหตุหนัก ไฟไหม้ หรือน้ำท่วม พร้อมรับประกันคุณภาพรถ 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร!

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” เลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา รวมถึงมีเทคโนโลยีสนับสนุนฝ่ายขาย ทั้ง Digital Device ที่เชื่อมต่อกับ Digital Screen นำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และจัดการเรื่องเอกสารให้กับลูกค้าให้ตั้งแต่ต้นจนจบ บวกกับ Online Viewing Service ที่ลูกค้าสามารถวิดีโอคอล ตรวจสภาพรถยนต์คันที่สนใจได้แบบเรียลไทม์ ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ Carro สิ!

หรือถ้าหากคุณสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงกรอกชื่อ-เบอร์โทรศัพท์ และรถที่คุณสนใจ ไว้ที่ “รับการแจ้งเตือน” เมื่อมีรถที่คุณต้องการ Carro จะรีบติดต่อไปยังคุณทันที สอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> Carro Thailand โทร. 02-460-9380 หรือทาง Line @carrothai

3 สิ่ง ที่ผู้ซื้อห้ามพลาด เมื่อจะไปซื้อรถมือสอง รู้ไว้! จะได้ไม่โดนหลอก

เชื่อว่าทุกคนที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงรถยนต์มือสองต้องเคยได้ยินปัญหาประเภท “รถสวมทะเบียน” “รถย้อมแมว” “รถตัดต่อ” หรือกรณีเลวร้ายสุดๆ อย่าง “รถขโมยมาขาย” มาก่อนแน่นอน ซึ่งใครที่ต้องประสบเหตุการณ์ทำนองนี้เข้ากับตัวเองก็คงเจ็บปวดใจไปตามๆ กัน เสียทั้งทรัพย์ ทั้งความรู้สึก แถมดีไม่ดียังต้องเสียเวลาไปขึ้นโรงขึ้นศาลอีกด้วย เพราะเหตุนี้เอง ภาพลักษณ์ของวงการรถมือสองจึงยังคงติดลบในสายตาของคนไทยจำนวนมาก ทั้งที่ผู้ประกอบการดีๆ ก็มีอยู่มากมาย

แต่เดี๋ยวนี้ช่องทางในการซื้อรถยนต์มือสองมีเพิ่มขึ้นมามากมาย แต่วิธีการดั้งเดิมที่ใช้กันมาตลอดก็คือ การซื้อจากคนขายโดยตรง หรือเลือกซื้อจากเต็นท์รถมือสองทั่วไป

ทางทีมงาน CARRO Thailand ได้ให้ความเห็นว่า “ในปัจจุบันนี้ผู้บริโภคจำนวนมากกว่า 80% เลือกหาข้อมูลรถมือสองผ่านช่องทางออนไลน์ โดยผ่านเว็บไซต์รถมือสองทั่วๆ ไป ซึ่งแต่ละเจ้าก็มีจุดเด่นที่ไม่เหมือนกัน แต่ทาง CARRO และ CARRO Automall ได้ให้ความสำคัญกับบริการที่แตกต่างจากเว็บไซต์รถยนต์ทั่วไป เพื่อให้ผู้ที่สนใจซื้อรถมือสอง ได้มีโอกาสได้ตรวจสอบความมั่นใจในด้านต่างๆ ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกหารถแต่ละคัน ซึ่งถือว่าเป็นจุดเด่นที่เหนือกว่าเว็บไซต์รถมือสองเจ้าอื่นๆ”

ดังนั้น CARRO ขอแนะนำให้ตรวจสอบเบื้องต้น 3 อย่างใหญ่ๆ คือ คนขาย, เล่มทะเบียน, สภาพรถยนต์ ที่หลายคนอาจมองข้ามไปก่อนการซื้อรถมือสองซักคัน ดังนี้

3-Trick-Before-Buy-Secondhand-Car

1. เช็คคนขาย

การเช็คคนขายแบบง่ายๆ เลยก็คือ ผู้ขายรถมือสองให้กับคุณอย่างน้อยต้องมีคุณสมบัติ 2 ข้อนี้

1.1 มีตัวตนจริง และเป็นเจ้าของรถตัวจริง
ซึ่งในจุดนี้ต้องมีหลักฐานยืนยัน ได้แก่ บัตรประจำตัวประชาชน (หรือสำเนาบัตรประชาชน ที่มีการเซ็นรับรองอย่างถูกต้อง กำกับว่าใช้ในกิจธุระใด) และสมุดเล่มทะเบียนรถ ซึ่งชื่อที่ปรากฎอยู่บนเล่มทะเบียนว่าเป็นผู้ครอบครองกรรมสิทธิ์รถเป็นคนล่าสุด จะต้องมีชื่อตรงกับในบัตรประชาชน

1.2 มีช่องทางที่สามารถติดต่อกับผู้ขายได้อย่างสะดวก
การติดต่อกับผู้ขายนั้นต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นระหว่างการตกลงซื้อขาย หรือแม้แต่เสร็จสิ้นกระบวนการซื้อและโอนไปแล้วก็ตาม จงตระหนักว่าคุณไม่มีทางรู้เลยว่าหลังจากซื้อรถยนต์ใช้แล้วมาขับขี่จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปบ้าง ฉะนั้นจึงไม่ควรนิ่งนอนใจกับข้อมูลส่วนนี้

ด้วยเหตุนี้ ทาง CARRO Automall จึงพร้อมมอบความมั่นใจให้คุณด้วยการรับประกันคุณภาพรถถึง 2 ปี หรือ 20,000 กิโลเมตร ทันที! พร้อมการันตีความพึงพอใจ คืนรถได้ภายใน 5 วันอีกด้วย!

ต่อทะเบียนรถ ภาษีขาดเกิน 3 ปี

2. เช็คเล่มทะเบียนรถ

ก่อนจะเช็คเล่มทะเบียน อยากให้เข้าใจตรงกันก่อนว่า เล่มทะเบียนรถให้ข้อมูลอะไรกับคุณได้บ้าง ข้อมูลบนเล่มทะเบียนแบ่งเป็น 3 ส่วนหลักๆ ได้แก่ 

1. รายการจดทะเบียน ทำให้ทราบว่ารถจดทะเบียนตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่ไหน ให้ข้อมูลพื้นฐานของรถ (ยี่ห้อ/รุ่น/รุ่นย่อย/ปี/สี/เครื่องยนต์/เชื้อเพลิง ฯลฯ) รวมถึงข้อมูลเฉพาะอย่างเลขเครื่อง และเลขตัวถังด้วย 

2. เจ้าของรถ จะบอกได้ว่าใครเคยถือกรรมสิทธิ์รถคันนี้บ้างตามลำดับ 

3. รายการบันทึกของเจ้าหน้าที่ (มักจะอยู่ที่หน้า 18 ของเล่มทะเบียน) เป็นส่วนที่ทำให้รู้ว่ารถมีที่มาที่ไปอย่างไร และผ่านอะไรมาบ้าง เช่น จดทะเบียนที่จังหวัดไหน เป็นรถจดประกอบหรือไม่ เคยเปลี่ยนชนิดเชื้อเพลิง เปลี่ยนสี ติดแก๊ส ฯลฯ หรือไม่ เป็นต้น

ส่วนการตรวจสอบเล่มทะเบียนอย่างละเอียดด้วยตัวเอง มีขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้

2.1 เช็คข้อมูลในรายการบันทึกของเจ้าหน้าที่ก่อน ว่าตรงกับสิ่งที่คนขายบอกคุณหรือไม่ ถ้าไม่ตรง ขอเตือนไว้เลยว่า “อันตราย” แล้ว โดยเฉพาะเรื่องใหญ่ๆ อย่างการเปลี่ยนเครื่อง เปลี่ยนสี

2.2 หากรถคันนั้นมีประวัติการแจ้งจอด หรือเล่มเก่าชำรุด/สูญหาย ขอให้ขีดเส้นใต้ไว้ในใจเลยว่ามีความไม่ชอบมาพากล (แต่ไม่ได้แปลว่าคุณจะถูกหลอกเสมอไปหรอกนะ) โดยเฉพาะรถที่เคยแจ้งจอด ไม่ว่าจะชั่วคราวหรือถาวรก็ตาม มีความเป็นไปได้สูงว่ารถอาจมีปัญหาจนเจ้าของเดิมซ่อมไม่ไหว รวมถึงรถอาจไม่ได้รับการดูแล และการซ่อมบำรุง เพราะไม่ได้ถูกใช้งาน

ส่วนกรณีที่ผู้ขายเคยขอเล่มทะเบียนใหม่ เพราะเล่มเก่าชำรุด/สูญหายนั้น แม้จะมีโอกาสเกิดขึ้นได้จริง แต่ผู้ซื้อรถยนต์มือสองทุกคนควรรอบคอบไว้ก่อน หากชอบรถคันนั้นมากก็ควรไปโอนที่กรมขนส่งให้ถูกต้อง ทางที่ดีอย่าเพิ่งโอนเงินให้คนขายจนกว่ากระบวนการโอนรถจะสิ้นสุด

2.3 เช็คในหน้าเจ้าของรถ ส่วนนี้จะบอกลำดับผู้ถือกรรมสิทธิ์เรียงจากเก่าไปใหม่ตามวันที่ครอบครองรถ ทำให้ได้รู้ว่ารถผ่านมาอย่างน้อยกี่มือแล้ว และเคยเป็นกรรมสิทธิ์ของธนาคารหรือไม่ นอกจากนี้บางคนอาจจะมีเงื่อนไขของตัวเอง เช่น ไม่ชอบรถที่วัยรุ่นขับเพราะไม่ค่อยถนอมรถ เป็นต้น ซึ่งคุณสามารถตรวจสอบตรงส่วนนี้ได้

2.4 ตรวจสอบในหน้ารายการจดทะเบียน ควรเริ่มจากการเช็ควันจดทะเบียน (วัน/เดือน/พ.ศ.) ว่าจดในปีเดียวกันกับรุ่นปีของรถ (ค.ศ.) หรือไม่

ตัวอย่าง คุณสนใจโตโยต้าคัมรี่มือสองคันหนึ่ง รุ่นปีของรถคือปี 2010 (พ.ศ. 2553) แต่รถจดทะเบียนในปี 2554 (มักเกิดจากการที่เจ้าของเดิมใช้ป้ายแดงนานข้ามปี ลากจด) เท่ากับว่าปัจจุบันรถมีอายุการใช้งานมา 6 ปีแล้ว ไม่ใช่ 5 ปีตามวันจดทะเบียน ฉะนั้นก็บวกลบดูดีๆ ว่าค่าเสื่อมสภาพของรถจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าไหร่

2.5 ตรวจเลขตัวถังรถว่ามีหมายเลขตรงกับในเล่มทะเบียนหรือไม่ เลขตัวถังรถจะระบุตำแหน่งอยู่ในเล่มทะเบียน เช่น ด้านในห้องเครื่องยนต์ บริเวณแผงคอนโซล บริเวณเสากลางตัวรถด้านคนนั่ง หรือคนขับ หรือบริเวณคานหน้า ฯลฯ เมื่อเจอเลขแล้วตรวจสอบให้ดีว่าตรงกับในเล่มหรือไม่

นอกจากนี้ควรสังเกตุด้วยว่าเวลาลูบแล้วขรุขระผิดปกติ และมีความคมผิดปกติ หรือมีร่องรอยการตัดแปะ หรือตอกตัวเลขมาใหม่หรือไม่ พึงระลึกไว้ว่ารถยนต์มือสองที่ใช้งานมาอย่างปกตินั้นจะไม่มีปัญหาในส่วนนี้เด็ดขาด (อย่างมากก็แค่ฝุ่นจับหรือเปรอะเปื้อนบ้างเท่านั้น)

2.6 ขั้นตอนปราบเซียนคือเช็คเลขเครื่องยนต์ เลขเครื่องยนต์จะอยู่ไม่ด้านซ้ายก็ขวาเครื่องยนต์ แต่ตัวเลขดูค่อนข้างยากสักหน่อย มักเป็นรอยขีดบาง ๆ อีกทั้งมักจะเปรอะด้วยคราบฝุ่นหนาหรือไม่ก็คราบน้ำมันเครื่อง ฉะนั้นควรเพ่งหาให้ดี ๆ จากนั้นก็เช็คว่าตรงกับเลขบนเล่มทะเบียนหรือเปล่า

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้จะไม่เป็นปัญหาเลย หากคุณซื้อรถด้วยเงินสดแบบตกลงกันปุ๊บ ไปโอนที่กรมขนส่งฯ ปั๊บ เพื่อหลีกเลี่ยงการโอนลอยที่อาจมีปัญหาตามมาได้ ซึ่งในส่วนนี้ พนักงานกรมขนส่งฯ ก็จะตรวจสอบเลขเครื่องยนต์และเลขตัวรถให้อย่างละเอียด และมักไม่ค่อยมีปัญหาอะไรหลุดรอดไปได้

ในเรื่องรายละเอียดของเล่มทะเบียนและการจดทะเบียนรถนั้น คุณสามารถเข้าไปหาข้อมูลเพิ่มเติมหรือติดต่อสอบถามได้ที่ เว็บไซต์ของกรมขนส่งทางบก

3-Trick-Before-Buy-Secondhand-Car

3. เช็คสภาพรถ

หากคุณไม่ใช่คนที่เชี่ยวชาญด้านรถจริงๆ ในส่วนนี้คงต้องพึ่งช่างหรือผู้เชี่ยวชาญจะดีกว่า แต่หากไม่สะดวกให้ช่างมาเช็คให้ หรือเกรงใจคนขาย ไม่สะดวกจะออกปากขอนำรถไปตรวจ (หรือขอแล้วยึกยัก ไม่ยอม) จุดที่ควรเช็คอย่างละเอียดมีดังนี้

เช็คจุดที่รับแรงกระแทกเมื่อถูกชน (ชนคันอื่น + คันอื่นมาชน)

1. ตำแหน่งแรกคือฝากระโปรงหน้า ลองเปิดกระโปรงดูเครื่องภายในว่าหน้าตายังดูดีอยู่หรือไม่ ข้างในไม่ควรมีตำหนิประเภท รอยแตก รอยบิ่น รอยคดงอ หรือมีสีสันวาววับกว่าปกติ โดยส่วนมากรถยนต์มือสองทั่วไปที่อายุการใช้งานยังไม่มากนัก มักจะมีสติ๊กเกอร์ และตราปั๊มต่างๆ จากศูนย์อยู่ครบถ้วน ถ้าไม่มีร่องรอยอะไรทำนองนี้เหลืออยู่เลย ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าอาจถูกเปลี่ยนยกชุด

2. จุดที่ง่ายต่อการสังเกตคือคานหน้า เพราะรถที่ชนหนักๆ มานั้นคานต้องมีการบิดงอผิดรูปแน่ๆ ซึ่งในจุดนี้คนขายก็อาจจะไปให้อู่ทำมาให้อย่างสวยงาม หรือเปลี่ยนชุดคานหน้าใหม่ แต่อย่าลืมว่าของที่เสียหายไปแล้ว ซ่อมอย่างไรก็ไม่มีวันเหมือนเดิมได้ จุดสังเกตก็มีอยู่เช่น สีของคานไม่เสมอกัน สีเงาเป็นมัน (ปกติสีของคานมักจะเป็นสีด้านกว่าสีตัวถัง) สีมีรอยแตก โค้งไม่เท่ากันหรือโค้งไม่เป็นธรรมชาติ ฝั่งซ้ายกับฝั่งขวาหน้าตาไม่เหมือนกัน บิดงอเกินไปหรือเรียบเกินไป หรือสติ๊กเกอร์คำเตือนต่างๆ ที่ติดไว้ หรือตัวเลขที่ตอกไว้ ไม่มี เป็นต้น

3. ตำแหน่งถัดไปคือฝากระโปรงหลัง เปิดขึ้นมาเช็คขอบกระโปรงว่ามีร่องรอยหรือไม่ หากเคยชนหนักมา แม้จะผ่านการซ่อมมาแล้วก็มักจะมีรอยแตกรอยบิ่นอยู่ตามขอบกระโปรง ซึ่งพื้นของส่วนเก็บสัมภาระท้ายรถควรจะเรียบเสมอกัน ไม่มีรอยบุบ รอยนูนใดๆ (ควรเช็คใต้พรมด้วย แต่ทางที่ดีก็ควรขออนุญาตเจ้าของรถก่อน)

4. ตำแหน่งสุดท้ายคือขอบประตู และเสากลางตัวรถ หากรถที่ชนหนักมา ขอบประตูมักมีรอยเชื่อม ซึ่งการดูร่องรอยพวกนี้ได้ต้องดึงขอบยางออกก่อน (ซึ่งต้องขอคนขายก่อนตามมารยาทที่ดี) ตรงนี้จะเห็นได้ชัดเจนเลยว่าทำมาหรือไม่ เพราะขอบประตูปกติจะเรียบกริบ ไม่มีร่องรอยใดๆ แต่ถ้าผ่านมืออู่มาแล้วจะเห็นรอยเชื่อมเป็นจุด ๆ อย่างชัดเจน

ในส่วนของส่วนเสากลางประตูตัวรถนั้น ปกติถ้าเป็นรถมาจากโรงงาน หลายรุ่นมักจะใช้เป็นสีดำด้าน เพราะเป็นส่วนสัมผัสที่มักเผชิญกับรอยขูดขีดบ่อย จึงมักจะไม่ทำสีจุดนี้ (แต่รถหลายรุ่นก็ทำเป็นสีเดียวกับตัวรถ) แต่ถ้าคันใดทำสีเดียวกับตัวรถทับสีดำของเดิม ก็อาจจะเคยโดนชนมาได้ ต้องสังเกตดีๆ ว่ารถคันอื่นๆ ในรุ่นเดียวกัน สีผิดแผกไปจากรถที่เราดูหรือเปล่า

3-Trick-Before-Buy-Secondhand-Car

3 + 1. เช็คสี

การเช็คสี เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากที่จะสังเกตด้วยตาเปล่า เพราะอู่บางแห่งก็เก็บงานได้เนียนกริ๊บ จนแทบไม่เหลือให้ผิดสังเกต แต่แบบที่เราสามารถมองเห็นแล้วบอกได้ว่า ชนหนักชัวร์ ก็คือรถที่สีแตกเป็นริ้วเป็นรอย (แบบที่เรียกว่าแตกลายงา) ซึ่งกรณีนี้แปลว่าทำมาไม่ดี อู่ฝีมือแย่

นอกจากนี้ก็คือการพิจารณาว่าสีมีความมันวาว และความหนาบางเสมอกันหรือไม่ หรืออาจจะลองเทียบกับรถรุ่นเดียวกัน แต่เป็นรถป้ายแดงก็จะง่ายขึ้นมาก ถ้าตรงไหนที่สีควรด้านแต่กลับเป็นเงามัน แปลว่าทำมาแน่นอน (ซึ่งอาจไม่ได้ชนหนักก็ได้ ควรพิจารณาหลายส่วนประกอบกันด้วย)

สุดท้ายใครไม่อยากพลาด หรือเสียเวลามาเช็คหรือตรวจสอบเอง แนะนำให้มาปรึกษา CARRO ตามช่องทางการติดต่อด้านล่างนี้ เพราะเราเชี่ยวชาญด้านรถยนต์มือสองเป็นอย่างดี เพียงแค่ไว้ใจให้เราบริการ คุณจะไม่มีวันผิดหวังอย่างแน่นอน

Carro Automall / คาร์โร ออโต้มอลล์

ส่วนใครที่กำลังมองหารถคันใหม่ ที่สภาพพร้อมต่อการใช้งานในตอนนี้ CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ พร้อมตอบโจทย์คุณด้วยคอนเซปต์ “click.buy.drive.” สามารถจองรถได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น! พร้อมคำนวณสินเชื่อและค่างวด ได้ภายในเว็บไซต์ทันที!

ซึ่งรถทุกคันของ CARRO Automall คุณไม่ต้องกังวลเลยในเรื่องของรถจมน้ำ รถน้ำท่วม หรือรถจมบาดาล เพราะเราไม่นำรถที่ถูกน้ำท่วมมาขายโดยเด็ดขาด และรถทุกคันยังผ่านการตรวจสภาพอย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 200 จุด อีกด้วย

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” ฟีเจอร์ใหม่ล่าสุดในการดูรถเสมือนจริงผ่านระบบออนไลน์ เป็นรายแรกของธุรกิจรถมือสองในประเทศไทย คุณสามารถดูรูปรถทั้งภายนอก ภายใน กันได้แบบ 360 องศา รวมถึงยังสามารถฟังเสียงเครื่องยนต์จากรถคันที่คุณสนใจได้อีกด้วย!

เพราะเรามั่นใจในคุณของรถยนต์ทุกคัน เราจึงกล้ารับประกันคุณภาพรถนานถึง 2 ปี หรือ 20,000 กิโลเมตร! อีกทั้งยังการันตีความพึงพอใจ คืนเงินได้ภายใน 5 วันอีกด้วย! ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ CARRO Automall สิ!

หรือถ้าหากสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall Thailand โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall ครับ