เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับระบบแก๊สรถยนต์

“แก๊สรถยนต์” เป็นสิ่งที่คุ้นเคยกันในวงการรถยนต์ไทยมานานตั้งแต่ 40 กว่าปีมาแล้ว นับตั้งแต่ช่วงวิกฤตการณ์น้ำมันในช่วงกลางยุค 70 ทำให้เหล่าแท็กซี่ที่สู้ค่าน้ำมันไม่ไหว ต่างต้องหันมาติดตั้งแก๊สรถยนต์ใช้กัน และก็เริ่มได้รับความนิยมในหมู่รถบ้าน มาจนถึงปัจจุบัน

เรื่องน่ารู้ เกี่ยวกับระบบแก๊สรถยนต์ สำหรับรถติดแก๊ส LPG

แก๊สติดรถยนต์ ในไทยนิยมใช้กันมาไม่ต่ำกว่า 40 ปีแล้ว ขนาดรถหรูอย่าง Volvo 264 GLE ก็ยังมีติดแก๊สออกมาจากโรงงาน

ประกอบกับราคาน้ำมันแพงมาก ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ทำให้อู่ติดแก๊สรถยนต์ ผุดขึ้นมาราวดอกเห็ด แต่ละร้านช่างงานล้นมือกว่าเดิมหลายเท่า อุปกรณ์ติดแก๊สขาดตลาด ส่วนเจ้าของร้านรวยเป็นอาเสี่ยกันเพียบ และนิตยสารรถยนต์บางฉบับ มีร้านรับติดแก๊สรถยนต์ขอลงโฆษณาเยอะมาก จนต้องทำหนังสือเกี่ยวกับรถติดแก๊สแยกออกมาโดยเฉพาะ ถึงขั้นต้องบอกเจ้าของร้านว่าไม่ต้องลงโฆษณาทุกเดือนได้ไหม ….. เหลือเชื่อเลย!

แต่หลังจากที่ราคาน้ำมันถูกลง ทั้งร้านทั้งอู่ติดแก๊สรถยนต์ก็ซบเซา หายไปเป็นจำนวนมากเช่นกัน เหลือแต่เจ้าใหญ่ๆ ทุนหนา สายป่านยาวอยู่เพียงไม่กี่เจ้า ก่อนจะกลับมาบูมอีกครั้งในปีนี้ ปีที่ราคาน้ำมันแพงมาก เบนซิน 2 ลิตร 100 ก็ได้เห็นกันแล้ว …

ใครที่สู้ราคาน้ำมันแพงสุดขีดไม่ไหว อยากเอารถไปติดแก๊ส LPG ต้องอ่าน

เรื่องน่ารู้ เกี่ยวกับระบบแก๊สรถยนต์ สำหรับรถติดแก๊ส LPG

ภาพจาก บิ๊กแก๊ส ก๊าซหุงต้ม LPG

แก๊สรถยนต์ มาจากไหน?

แก๊สรถยนต์ เป็นก๊าซปิโตรเลียมเหลว หรือก๊าซหุงต้ม มีชื่อว่า LPG (Liquefied Petroleum Gas) ที่ได้จากการแยกน้ำมันดิบ (Crude Oil) ในโรงกลั่นน้ำมัน ซึ่งให้ค่าความร้อนสูง ประกอบไปด้วย Propane (โพรเพน) และ Butane (บิวเทน) มีสูตรทางเคมี C3H8 + C4H10 และได้จากกระบวนการแยกก๊าซธรรมชาติ

LPG มีคุณสมบัติ สามารถแปรสภาพจากของเหลว โดยขยายตัวเป็นก๊าซได้ถึง 250 เท่า มีน้ำหนักเบากว่าน้ำ แต่หนักกว่าอากาศ เป็นเชื้อเพลิงติดไฟง่าย และเป็นพลังงานที่เผาไหม้ได้อย่างสมบูรณ์ ลดมลภาวะในอากาศ ไม่ส่งผลกระทบสิ่งแวดล้อม และให้ค่าออกเทนสูงถึงประมาณ 105

เมื่อผ่านการผลิตจากโรงงานเรียบร้อยแล้ว ก็จะขนแก๊สผ่านรถบรรทุกขนาดใหญ่ มาถ่ายแก๊สลงสู่สถานีบริการแก๊ส สำหรับไว้รอเติมรถยนต์

เรื่องน่ารู้ เกี่ยวกับระบบแก๊สรถยนต์ สำหรับรถติดแก๊ส LPG

ทำไมแก๊สรถยนต์ ถึงมีกลิ่น?

หลายครั้งที่คุณอาจได้กลิ่นแก๊สรถยนต์ ออกมาจากท่อไอเสีย (โดยเฉพาะรถที่ตัด Catalytic Converter ออก) หรือจากเตาแก๊สในบ้าน

ตามจริงแล้ว แก๊ส LPG ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น แต่เพื่อความปลอดภัย จึงเติมสาร Ethyl Mercaptan (เอทิลเมอแคบแทน) เพื่อให้สามารถทราบได้ กรณีเกิดแก๊สรั่ว

เรื่องน่ารู้ เกี่ยวกับระบบแก๊สรถยนต์ สำหรับรถติดแก๊ส LPG

ภาพจาก PS Pornsak พรศักดิ์แก๊สอ่อนนุช

อุปกรณ์ติดแก๊สรถยนต์ หลักๆ ในปัจจุบันมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ นั่นคือ

  • ระบบดูด (Fumigation System หรือ Fix Mixer) มักนิยมติดตั้งในรถที่ใช้ระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยคาร์บูเรเตอร์และหัวฉีด ซึ่งจะมีจะมีอุปกรณ์ผสมแก๊สกับอากาศ (Gas Mixer) ทำหน้าที่ดูดอากาศไปพร้อมกับแก๊สในอัตราส่วนที่เหมาะสมกับการเผาไหม้
    ซึ่งระบบกลไกจะจ่ายส่วนผสมนี้เข้าเครื่องยนต์ ตามรอบเครื่องยนต์ ซึ่งถ้ารอบเครื่องยนต์ต่ำ แรงดูดอากาศในเครื่องยนต์น้อย จะจ่ายเชื้อเพลิงน้อย ถ้ารอบเครื่องยนต์สูง แรงดูดอากาศในเครื่องยนต์มาก จะจ่ายเชื้อเพลิงมาก ซึ่งจะกินแก๊สมากกว่าในระบบหัวฉีด ส่วนการปรับจูนแก๊ส ต้องใช้การปรับด้วยมือ
  • ระบบหัวฉีด (Sequential Injection) ออกมาสำหรับใช้งานกับเครื่องยนต์ระบบหัวฉีด โดยมีจำนวนหัวฉีดตามจำนวนสูบของรถ ควบคุมการทำงานผ่านกล่อง ECU เหมือนรถน้ำมัน ให้สมรรถนะและอัตราเร่งใกล้เคียงระบบน้ำมัน รวมถึงประหยัดเชื้อเพลิงแก๊สกว่าแบบระบบดูด ส่วนการปรับจูนแก๊ส ต้องปรับจูนผ่านคอมพิวเตอร์

อ่อ ในยุคเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ยังมีระบบแก๊สอีกแบบหนึ่งที่นิยมติดตั้งในรถยนต์ด้วย นั่นคือแบบ Lamda Control หรือ Step Motor หรือแบบกึ่งหัวฉีด มีวาล์วเปิด-ปิด

โดยจะมีวาล์วหนึ่งตัวคอยสั่งการเมื่อรถวิ่งด้วยความเร็วสูง ต้องการปริมาณแก๊สที่มากขึ้น วาล์วก็จะเปิดให้แก๊สเข้ามามากขึ้น ในขณะที่เมื่อรถวิ่งด้วยความเร็วต่ำ ไม่ต้องการปริมาณแก๊สมาก วาล์วก็จะปล่อยก๊าซออกมาน้อย ซึ่งดีกว่าแบบใช้หม้อต้มนิดหน่อย

เรื่องน่ารู้ เกี่ยวกับระบบแก๊สรถยนต์ สำหรับรถติดแก๊ส LPG

อุปกรณ์ติดแก๊สรถยนต์ มีอะไรบ้าง และโดยมากมาจากประเทศไหน?

อุปกรณ์ติดแก๊สรถยนต์ส่วนใหญ่ มักจะมาจากอิตาลี (เช่น BSM, Tomasetto, Fagumit, Lovato, Versus, Valtek), ตุรกี (เช่น Atiker) หรือโปแลนด์ (เช่น AC Autogas) ซึ่งประเทศเหล่านี้ได้พัฒนาอุปกรณ์ติดแก๊สรถยนต์มายาวนานมากแล้ว และบางส่วนก็นำเข้ามาจากเกาหลีใต้ (เช่น Hana) หรือญี่ปุ่น (เช่น Nikki, Keihin) และที่ผลิตจากในไทยเอง เช่น ถังแก๊ส (Magnate), ท่อแก๊ส เป็นต้น

  • กล่อง ECU แก๊ส

สำหรับกล่อง ECU แก๊ส หรือสมองกล มักใช้ร่วมกับระบบแก๊สที่จ่ายแก๊สแบบหัวฉีด ซึ่งมีให้เลือกหลากหลายยี่ห้อ หลายราคา

  • Map Sensor

Map Sensor (แมพเซ็นเซอร์) มี่หน้าที่วัดแรงดันของแก๊ส ที่อยู่ในรางหัวฉีดและท่อไอดี เพื่อส่งสัญญาณให้กับกล่อง ECU แก๊สประมวลผล ในกรณีที่ท่อแก๊สขาด แรงดันที่หัวฉีดจะลด แมพเซ็นเซอร์จะส่งสัญญาณไปยังกล่อง ECU แก๊สเพื่อทำการสั่งหยุดการจ่ายแก๊สทันที

เรื่องน่ารู้ เกี่ยวกับระบบแก๊สรถยนต์ สำหรับรถติดแก๊ส LPG

  • หม้อต้มแก๊ส

– หม้อต้ม (Evaporator) หรือ อุปกรณ์ปรับความดันแก๊ส (Pressure Regulator) เป็นอุปกรณ์ลดความดันแก๊สในถังให้อยู่ในระดับที่เหมาะกับการใช้งานในเครื่องยนต์ เพราะเมื่อลดความดันแก๊ส แก๊สเย็นลงจนเป็นน้ำแข็งเกาะหม้อต้ม ปิดทางไหลของแก๊สได้ จึงต้องใช้น้ำที่ระบายความร้อนจากเครื่องยนต์มาช่วยละลายน้ำแข็ง เปิดทางไหลของแก๊สให้เป็นได้สะดวก จากลักษณะการทำงานจึงนิยมเรียกกันว่า หม้อต้ม

รถยนต์โดยมากจะใช้หม้อต้มแก๊สแบบรุ่นธรรมดา เหมาะกับรถที่มีกำลังไม่เกิน 140 แรงม้า และแบบ Super ที่จะรองรับรถติดแก๊สที่มีแรงม้าตั้งแต่ 200 แรงม้าขึ้นไป ที่สำคัญต้องได้มาตรฐาน ECR 67 ตามมาตรฐานยุโรป

  • กรองแก๊ส

เมื่อมีหม้อต้มแล้ว ก็ต้องมีกรองแก๊สตามมาด้วย ลักษณะก็คล้ายๆ กับกรองอากาศ หรือกรองแอร์นั่นล่ะครับ คือกรองสิ่งสกปรกที่ปนเปื้อนมากับแก๊สนั่นเอง ช่วยให้เครื่องยนต์สึกหรอน้อยลง ผลิตจากกระดาษ ไฟเบอร์ หรือโพลีเอสเตอร์

กรองแก๊สมีอายุการใช้งานประมาณ 20,000 – 30,000 กิโลเมตร ขึ้นอยู่กับวัสดุการผลิต และความละเอียดของตัวกรอง

เรื่องน่ารู้ เกี่ยวกับระบบแก๊สรถยนต์ สำหรับรถติดแก๊ส LPG

ภาพจาก PS Pornsak พรศักดิ์แก๊สอ่อนนุช

  • ถังแก๊ส LPG

ถังแก๊ส LPG ในรถยนต์ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ ถังแคปซูล และถังโดนัท ส่วนใหญ่จะผลิตจากเหล็กกล้า ซึ่งปลอดภัยและได้มาตรฐาน มอก. ตามกฎหมายที่กรมขนส่งการบกกำหนด เช่น “มอก.370-2525” หรือมาตรฐานยุโรป “EC 67 R01” ที่กฎหมายไทยให้การยอมรับ มีถังให้เลือกหลายขนาด ตั้งแต่ 25 – 96 ลิตร

ส่วนมาตรฐานอื่น ๆ ที่อนุญาตให้ใช้ได้ เช่น
– มาตรฐาน “ECE R” แต่ต้องเป็นถังแก๊สที่ติดตั้งมากับรถยนต์ที่นำเข้าจากต่างประเทศ
– กรณีร้านติดตั้งแก๊สที่มีนำเข้าถังจากต่างประเทศโดยตรง เช่น ถังโดนัท ต้องมีมาตรฐาน “ECR 67”

เรื่องน่ารู้ เกี่ยวกับระบบแก๊สรถยนต์ สำหรับรถติดแก๊ส LPG

ภาพจาก Sbp Petch

  • วาล์วแก๊ส

– อุปกรณ์สำคัญของถังแก๊ส LPG ทำหน้าที่จ่ายเชื้อเพลิงในถึงแก๊ส ปัจจุบันมักใช้วาล์วไฟฟ้า (Solenoid Valve) รูปทรงกลมๆ มีให้เลือกอยู่หลากหลายแบบ หลากหลายประเทศ มีทั้งของแท้และของปลอม (ต้องดูดีๆ) ซึ่งวาล์วแก๊สจะต้องมีวาล์วนิรภัยด้วยกัน 3 ชั้น ได้แก่

1.วาล์วระบายแรงดันเกิน (Pressure Relief Valve) ทำหน้าที่ระบายแก๊สในถังแก๊ส เมื่อในถังมีแรงดันสูงเกินกว่าที่กำหนดไว้ โดยจะปล่อยแก๊สออกเพื่อลดแรงดันในถังแก๊ส
2.วาล์วป้องกันการไหลเกิน (Excess Flow Valve) ทำหน้าที่ปิดการจ่ายแก๊ส เมื่อพบว่าแก๊สไหลมากผิดปกติ เช่น ท่อแก๊สหลุดหรือขาด
3.ฟิวส์ตะกั่ว (Thermal Fuse) จะหลอมละลายเมื่ออุณหภูมิบริเวณวาล์วสูงกว่า 110°C เช่นในกรณีรถถูกไฟไหม้ ทำให้ถังแก๊สรถยนต์ร้อนขึ้น เมื่อฟิวส์ตัวนี้ละลาย จะเปิดช่องให้แก๊สระบายออกจากถังได้ เพื่อป้องกันถังแก๊ส ระเบิด

มัลติวาล์วคุณภาพสูง ต้องผ่านมาตรฐานยุโรป E8 ECE 67R – 01 3018

  • นาฬิกาแก๊ส

– เป็นเข็มวัดระดับแก๊สในถัง อยู่ตรงบริเวณวาล์วของถังแก๊ส หลักการทำงานคือส่งสัญญาณไปที่กล่องสมองกลของแก๊ส เพื่อบอกระดับแก๊สให้สวิทช์แก๊สในรถยนต์

เรื่องน่ารู้ เกี่ยวกับระบบแก๊สรถยนต์ สำหรับรถติดแก๊ส LPG

ภาพจาก รถติดแก๊ส

  • แป๊บทองแดง

แป๊บทองแดง ก็คือท่อแก๊สนั่นเอง ในปัจจุบันจะมียางหุ้มทองแดงมาจากโรงงาน เพื่อกันน้ำ กันกระแทก รั่ว และแข็งแรงกว่าท่อทองแดงเปลือยๆ ที่กรมการขนส่งฯ ไม่อนุญาตให้ใช้ (รวมถึงท่อร้อยแป๊บเองด้วย) แล้ว ตามกฎหมายบังคับให้เป็นมาตรฐาน “ECR 67” เท่านั้น

  • ท่อยางแก๊ส

– ท่อยางแก๊ส เป็นท่อทางเดินแก๊สในห้องเครื่องยนต์จุดต่างๆ เช่น ต่อเข้า Map Sensor, ต่อเข้ารางหัวฉีด, ต่อเข้าน็อตไอดี และต่อเข้าหม้อต้มแก๊ส ซึ่งมีอยู่หลายแบบ ตั้งแต่ 4 – 16 มิลลิเมตร และหลายคุณภาพ สามารถดัดโค้งได้ง่าย รับแรงดันได้ดี ถ้าคุณภาพดหน่อยก็จะมีด้ายใยสงเคราะห์พิเศษถักด้วย

ทั่วไปจะเปลี่ยนทุกๆ 50,000 กิโลเมตร หรือ 1 ปี หรือทุกๆ 100,000 กิโลเมตร หรือ 3 ปี หรือถ้ามีรอยปริ แตกลายงาที่ท่อ ก็รีบเปลี่ยนได้เลย ไม่ต้องรอ!

สำหรับตอนต่อไปของเรื่องราวรถติดแก๊สนั้น MR.CARRO จะขอพาท่านไปรู้ถึงข้อดี และข้อเสียของระบบแก๊สรถยนต์กันครับ …

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์คันใหม่ มาขายรถกับทาง CARRO Express ได้ที่  https://th.carro.co/sell-car/express วิธีการขายรถในแบบยุคใหม่ ง่าย สะดวก รวดเร็ว ได้ราคา อีกทั้งยังลงขายได้ “ฟรี!” พร้อมรับเงินสดกลับบ้านทันที ภายใน 24 ชั่วโมง!

Carro Automall / คาร์โร ออโต้มอลล์

แต่ถ้าหากช่วงนี้ใครอยากเปลี่ยนรถคันใหม่ มาใช้แทนที่รถคันเดิม CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ พร้อมตอบโจทย์คุณด้วยคอนเซปต์ “click.buy.drive.” คุณสามารถจองรถออนไลน์ ได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น!

รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check มากกว่า 160 จุด และยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” ให้คุณเลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา พร้อมรับประกันคุณภาพรถนานถึง 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร! อีกทั้งยังการันตีความพึงพอใจ คืนเงินได้ภายใน 5 วันอีกด้วย! เรามีรถให้คุณเลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ CARRO Automall สิ!

หรือถ้าหากสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall Official โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall ครับ

แหล่งที่มาบางส่วนจาก:

5 ฟีเจอร์เด่นใน "รถกระบะ" ยุคนี้ ที่ไม่ได้จำกัดแค่รถขนของอีกต่อไป!

รถกระบะ หรือ รถปิคอัพ หนึ่งในรูปแบบรถยอดนิยมที่ยังครองใจนักขับสายลุยอยู่เสมอมา ด้วยพื้นที่การบรรทุกของที่เหนือกว่าแต่ยังคงความแรงและความแข็งแกร่งได้อย่างเต็มที่เช่นเดียวกับรถ SUV แต่มีราคาที่ย่อมเยาลงกว่ามาก ทำให้หลายคนเลือกที่จะใช้งานรถกระบะสำหรับทุกงานด้านการขับขี่ การขนส่ง การเดินทางไกล หรือตะลุยไปในทุกเส้นทาง

รถกระบะ คือ ยานพาหนะที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความทนทาน แข็งแกร่ง บึกบึน สามารถนำคุณตะลุยได้ในทุกเส้นทางแห่งการขับขี่ เพื่อให้รถกระบะคันโปรดของคุณเต็มไปด้วยประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จึงมีการคิดค้นรูปแบบของฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพื่อนำมาเสริมประสิทธิภาพให้กับรถกระบะของคุณได้สามารถเค้นศักยภาพแฝงเพิ่มออกมาได้อย่างไม่รู้จบ มาดูกันว่าในปัจจุบันนี้ อะไรคือ 5 ฟีเจอร์สุดฮิตที่ใช้ในการตกแต่งรถกระบะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานกันบ้าง รับรองว่าจะยกระดับรถของคุณให้หล่อเฟี้ยวและเต็มประสิทธิภาพอย่างสูงสุดทั้งรถกระบะทั่วไปและรถกระบะไฟฟ้า

5 ฟีเจอร์เด่นใน "รถกระบะ" ยุคนี้ ที่ไม่ได้จำกัดแค่รถขนของอีกต่อไป!

1. ชุดล้อยาง

นับเป็นอุปกรณ์เสริมหล่อให้กับรถกระบะฮิตที่คิดถึงกันเป็นอันดับแรก เรียกว่าพอออกมาจากโชว์รูมได้ไม่ทันไร เจ้าของรถทุกคนต้องรีบวิ่งไปเปลี่ยนชุดยางกันก่อนเลยก็ว่าได้ เพราะยางรถที่ได้มากับการซื้อรถนั้นจะเป็นยางรถแบบมาตรฐานมีคุณภาพและประสิทธิภาพที่ดีอยู่ แต่ในเรื่องของการทำงานหรือการขับขี่เฉพาะทางยังไม่อาจตอบโจทย์ได้ ดังนั้น การมองหาชุดล้อที่เหมาะสมต่อการขับขี่จึงเป็นฟีเจอร์เด่นที่คอรถกระบะทุกคนต้องถามหาก่อนสิ่งอื่นใด

สำหรับชุดล้อรถกระบะนั้น มีทั้งแมกซ์รถกระบะที่ต้องดูว่าทำจากวัสดุชนิดไหน โดยต้องมีน้ำหนักเบา สวยงาม และเพิ่มการยึดเกาะระหว่างการขับขี่ได้เป็นอย่างดี และต้องมาพร้อมกับยางคุณภาพสูง โดยจะต้องมีการพิจารณาจากดอกยางที่ต้องมีความเหมาะสมกับสภาพท้องถนน ซึ่งทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับรัศมีวงยางที่เหมาะสมต่อขนาดตัวรถอีกด้วย เพื่อให้ทั้งการประหยัดน้ำมัน และการยึดเกาะถนนได้ดีที่สุด

2. ชุดกันชนโครเมียมรอบคัน

อีกหนึ่งฟีเจอร์เด่นที่ต้องบอกว่า บางคนมองหาเอาไว้ก่อนที่จะ ออกรถกระบะ เลยก็ว่าได้ นั่นคือชุดกัน

ชนรอบคันรถที่มีความโดดเด่นทั้งความสวยงามและความแข็งแรงแบบรอบด้าน นับตั้งแต่ ดันชนหน้า กันชนท้าย รวมไปถึง สเกิร์ต ด้านข้างที่มาทั้งรูปแบบของกันชน กันกระแทก หรือเป็นรูปแบบอุปกรณ์อเนกประสงค์ที่ทำออกมาเป็นบันไดสำหรับปีนขึ้นลงรถได้อีกด้วย นับได้ว่าเป็นฟีเจอร์เด็ดที่มีคุณสมบัติครบรอบด้าน ทั้งในเรื่องของความปลอดภัยจากการเฉี่ยวชนพร้อมทั้งการประดับตกแต่งยานยนต์ที่สร้างความสวยงามให้รถกระบะของคุณอีกด้วย

โดยชุดกันชนเหล่านี้ มันทำมาด้วยวัสดุโลหะผสมอัลลอยด์ ที่มีน้ำหนักเบา แต่เหนียวแน่นทนทาน ไม่เป็นสนิมง่าย โดยชุดโลหะที่นิยมนำมาทำเป็นชุดกันชนนั้นมีทั้งโลหะผสม อลูมิเนียมผสม รวมไปถึง แม็กนีเซียมผสมที่มีน้ำหนักเบาแต่มีความทนทานที่สูงมาก ขึ้นอยู่กับงบประมาณของคุณสำหรับการติดตั้ง แต่ถึงกระนั้น การมองหาชุดกันชนที่ออกแบบมาอย่างลงตัวย่อมหมายถึงความคุ้มค่า คุ้มราคา ที่คุณสามารถสัมผัสได้

5 ฟีเจอร์เด่นใน "รถกระบะ" ยุคนี้ ที่ไม่ได้จำกัดแค่รถขนของอีกต่อไป!

3. ชุดช่วงล่างและโช๊คอัพ

นับเป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์เด็ดที่น่าสนใจอย่างมาก เนื่องจากว่ารถกระบะที่ออกมาจากโชว์รูมใหม่ ๆ นั้น มันมีความแข็งของแหนบและโครงสร้างช่วงหลัง แม้ว่าการใช้วิ่งเดินทางไกลเพื่อการบรรทุกยังสามารถทำได้ดี แต่อาการกระเด้งกระดอนที่เกิดขึ้นขณะที่วิ่งรถเปล่าเป็นความแข็งกระด้างที่คอรถกระบะทุกคนรู้เป็นอย่างดีว่าทางแก้มีอยู่เพียงทางเดียวเท่านั้นคือการเปลี่ยนชุดช่วงล่างของรถเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ปลอดภัยและการยึดเกาะถนนได้อย่างดีเยี่ยม

5 ฟีเจอร์เด่นใน "รถกระบะ" ยุคนี้ ที่ไม่ได้จำกัดแค่รถขนของอีกต่อไป!

แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนยางใหม่ก็ตาม แต่ปัญหาที่ตามมาคือสมดุลของรถที่เปลี่ยนไป ดังนั้นการมองหาช่วงล่างที่เต็มไปด้วยประสิทธิภาพสูง สามารถเพิ่มมุมองศาการเข้าโค้งพร้อมกับรักษาการยึดเกาะถนนเอาไว้ได้จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง อุปกรณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในฟีเจอร์นี้ได้แก่ โช๊คอัพ แหนบปีกนก รวมไปถึงตัวปรับองศาการเอียง ก้อนยางเล็ก ๆ ที่เพิ่มประสิทธิภาพการยึดเกาะและการถ่ายเทน้ำหนักของรถให้เกิดความสมดุลระหว่างการขับขี่นั่นเอง

4. ชุดยกสำหรับการบรรทุก

ถือเป็นฟีเจอร์ใหม่ล่าสุดที่คอรถกระบะรุ่นใหม่หลายคนที่ต้องทำงานด้านการบรรทุกเลือกดัดแปลงพื้นที่การบรรทุกสินค้าเพื่อให้ได้ประโยชน์ในการขนส่งอย่างมากที่สุด สำหรับการปรับกระบะหลังเพื่อการบรรทุกที่สามารถพบเห็นได้บ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นชุดลิฟต์ยกขึ้นลงสำหรับการลำเลียงสินค้า ชุดดัมฟ์หลังกระบะสำหรับการขนสิ่งของที่ต้องอาศัยการเทขึ้นลงได้สะดวก แม้กระทั่งระบบเครนสำหรับการยกสินค้าก็ถือได้ว่าเป็นฟีเจอร์ที่คุณสามารถเลือกติดตั้งไปพร้อม ๆ กับการปรับแต่งโครงสร้างของรถเพื่อการทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

5 ฟีเจอร์เด่นใน "รถกระบะ" ยุคนี้ ที่ไม่ได้จำกัดแค่รถขนของอีกต่อไป!

แต่การปรับแต่งในรูปแบบนี้จำเป็นต้องหาช่างผู้ชำนาญงานมาช่วยออกแบบและทำการติดตั้งโดยไม่ทำให้โครงสร้างของรถผิดไปซึ่งจะส่งปัญหาต่อสมดุลของรถผิดไปจากปกติ แทนที่จะได้รถกระบะเครื่องแรง ประสิทธิภาพสูงเหมาะกับการทำงาน กลายเป็นต้องเสียรถที่ต้องใช้ในการทำงานเพราะสมดุลของรถเสียไปอย่างที่ไม่ควรจะเป็นนั่นเอง

5. ชุดวินซ์สำหรับการเดินทางไกล

สำหรับการทำงานในพื้นที่ที่ห่างไกลจากตัวเมืองออกไป ฟีเจอร์เด็ดที่คอรถกระบะ ต้องมีไว้ไม่ว่าจะเป็นรถกระบะน้ำมัน หรือรถกระบะไฟฟ้านั่นคือ ชุดวินซ์ นั่นเอง ชุดวินซ์ที่กล่าวถึงนี้คือ ชุดรอกไฟฟ้า สลิง และ ตัวล็อก ซึ่งถือเป็นอุปกรณ์ที่มีความจำเป็นอย่างมากสำหรับการขับขี่ในพื้นที่คับขัน เหมาะสำหรับนักขับขาลุยที่ชื่นชอบการผจญภัยในเส้นทางพิเศษไม่ว่าจะเป็นทางลาดชัน หรือเขาสูง การมีชุดวินซ์เหล่านี้ไว้ติดรถนอกจากจะใช้ในการชักลากรถของตัวเองแล้ว ยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้เพื่อการให้ความช่วยเหลือรถคันอื่นได้

หลักการพิจารณาชุดวินส์ที่ดีคือความแรงของระบบชักรอกไฟฟ้าที่ต้องมีพลังเพียงพอต่อการดึงรถออกมาจากพื้นที่คับขัน พร้อมทั้งสายสลิงและหูล็อกที่ต้องทนแรงเค้นได้มากพอ นับได้ว่าเป็นฟีเจอร์สุดสำคัญสำหรับการขับรถในพื้นที่พิเศษเช่นนี้

5 ฟีเจอร์เด่นใน "รถกระบะ" ยุคนี้ ที่ไม่ได้จำกัดแค่รถขนของอีกต่อไป!

ขับขี่ปลอดภัย มั่นใจได้มากขึ้นกับประกันภัยรถกระบะ

เพื่อให้การขับขี่รถกระบะของคุณเต็มไปด้วยประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมกับการขับขี่ปลอดภัยที่มากที่สุด การมองหา ประกันรถยนต์ ที่สามารถครอบคลุมการดูแลรถของคุณได้อย่างเต็มประสิทธิภาพคือทางเลือกที่ดีที่สุด ซึ่งหนึ่งในผู้ให้บริการที่มีรูปแบบการประกันภัยรถยนต์หลากหลายรูปแบบคือ รู้ใจ ผู้นำด้านประกันภัยออนไลน์ของประเทศไทย ที่ให้บริการด้านประกันภัยรถยนต์ รวมถึงประกันภัยรถกระบะด้วย ให้คุณได้เลือกปรับแผนความคุ้มครองได้หลากหลายตามต้องการ ในราคาเบี้ยที่ “รู้ใจกว่า ประหยัดกว่า”

ให้รถกระบะขับเคลื่อนไปด้วยพลังและประสิทธิภาพที่สูงที่สุดต้องมองหา 5 ฟีเจอร์เด็ดสำหรับรถกระบะที่แฟนรถกระบะพันธุ์แท้ต้องไม่พลาด การติดตั้งอุปกรณ์เหล่านี้อย่างครบถ้วนช่วยให้ประสิทธิภาพการใช้งานรถกระบะของคุณเต็มไปด้วยประสิทธิภาพ หมดยุคที่ว่าเป็นแค่รถสำหรับบรรทุกอีกต่อไป มีรถเท่ห์ ๆ ต้องไม่พลาดที่จะเลือกใช้กรมธรรม์ประกันรถยนต์สำหรับรถกระบะของคุณจากรู้ใจ ที่จะช่วยดูแลการเดินทางของคุณให้อบอุ่นและปลอดภัยไปในทุกเส้นทางการขับขี่

สามารถติดตามข่าวสารและโปรโมชั่นใหม่ๆ จากรู้ใจได้ทาง FB Fanpage: Roojai หรือ คลิก add Official Line ของเราไว้ได้เลย

ยางปีใหม่จะมาเมื่อไหร่ แล้วยางปีใหม่เก่าต่างกันอย่างไร?

สวัสดีครับ จอร์จไทร์บิด กลับมาอีกครั้งครับ ขึ้นปีใหม่แล้วก็ต้องกล่าว สวัสดีปีใหม่กับเพื่อนๆ ทุกๆ ท่านครับแล้วเราก็วกกลับมาให้ความรู้เรื่องยางรถยนต์กันต่อครับ กับคำว่า “ยางปีใหม่” จอร์จว่ามันเพียงเป็นสิ่งที่คนเลือกยางอยากได้ยางล็อตที่ใหม่ล่าสุดที่ผลิตจากโรงงานครับ ซึ่งถามว่าผิดไหมจอร์จว่าไม่ใช่เรื่องที่ผิดครับแต่จอร์จก็อยากมาขยายความมาอธิบายให้ลึกลงไปสักนิดว่าจริงๆแล้วเนี่ย ยางมันจำเป็นต้องใหม่ขนาดนั้นไหม หรือ ว่าเหตุผลอะไรที่เราต้องเข้าใจในการเลือกยาง

ยางปีใหม่จะมาเมื่อไหร่ แล้วยางปีใหม่เก่าต่างกันอย่างไร?

อย่างแรก จอร์จ อยากจะขออธิบายก่อนครับว่าจริงๆ แล้วยางปกติที่โรงงานผลิตออกมาเนี่ยอายุการใช้งานเป็นยังไงบ้าง อย่างแรกเลยนะครับยางรถใหม่ๆ เลยที่ยังไม่เคยใส่เลยนั้น กรณีที่เป็นแบรนด์ชั้นนำที่เรารู้จัก Michelin, Bridgestone, Yokohama, Dunlop, Goodyear, Continental, Maxxis, Dayton ฯลฯ แบรนด์พวกนี้ถือว่าเป็นแบรนด์ที่มีคุณภาพการผลิตที่ดีมากเพราะฉะนั้น จอร์จ จะขอยึดจากกลุ่มแบรนด์กลุ่มนี้นะครับ ยางใหม่ๆ เลยที่ไม่เคยติดตั้งและเก็บอยู่ในโกดังในที่ร่มอายุของยางจะอยู่ได้สูงสุด 7-10 ปี ครับ แต่กรณีที่ใส่ยางเข้าไปในท้องยางและใช้งานแล้ว ระยะปลอดภัยที่สูงสุดจะอยู่ที่จำนวน 5 ปีครับ โปรโมชั่นยางรถแตกต่างกันไปตามร้านยางในแต่ละพื้นที่ครับ

ยางปีใหม่จะมาเมื่อไหร่ แล้วยางปีใหม่เก่าต่างกันอย่างไร?

ซึ่งถ้าใช้ต่อสามารถใช้ได้ครับแต่ว่าต้องหมั่นเช็กลมยางและสภาพยางให้ถี่เพิ่มมากยิ่งขึ้นครับ เพราะว่ายางที่ถูกอัดลมแล้วนั้นโครงยางจะค่อยๆเสื่อมสภาพลง ซึ่งจะทำให้ความสามารถในการกักเก็บลมต่ำลงครับ ซึ่งอาจส่งผลให้ลมยางซึมไวขึ้น อีกทั้งยังมีโอกาสที่โครงยางจะเสื่อมสภาพลงด้วยครับทำให้เวลาถูกกระแทกอาจมีโอกาสที่จะทำให้ยางเสียหายได้ง่ายกว่าครับ เราก็พอจะเข้าใจกันแล้วใช่ไหมครับว่าจริงๆ แล้วยางใหม่ๆที่ขายๆ กันนั่น เราสามารถใช้งานได้ไม่ว่าจะปีเก่าไป 1 ปี 2 ปี หรือ 3 ปี ก็ใช้งานได้ไม่แตกต่างกัน (ปล.ถ้าเก่ากว่านี้ก็ตามเงื่อนไขที่ จอร์จแจ้งนะครับเพราะอาจเป็นยางค้างสต็อกมานาน)

เรากลับมาอธิบายต่อว่าแล้วทำไมเหตุผลอะไรถึงเราอยากได้ยางใหม่ๆ แน่นอนครับของใหม่ๆใครๆก็เฟ้นหาตามร้านยางกันอยู่แล้วเพราะเข้าใจว่ายิ่งใหม่นั่นก็ยิ่งดี ซึ่งก็เป็นสิ่งที่จอร์จพูดไปว่าไม่ใช่สิ่งที่ผิดครับ ยางปีใหม่ส่วนมากก็จะออกมาตั้งแต่เดือน มกราคม ยาวไปจนถึงกลางปี ซึ่งปัจจุบันหลายๆผู้ผลิตยางก็พยายามปรับตัวให้ตรงตามกับผู้บริโภค ให้ดียิ่งขึ้นครับซึ่งแบรนด์เล็กและแบรนด์ไทยมักจะทำได้ดีในส่วนนี้ครับ ซึ่งอาทิตย์ที่สองของปีก็มักจะออกยางปีใหม่ออกมาแล้วครับ ซึ่งสิ่งนี้ จอร์จ บอกเลยว่าเป็นข้อได้เปรียบของผู้บริโภคอย่างมากถ้ายางปีใหม่ออกมาปุบยางปีเก่าก็จะถูกลดราคาไปโดยปริยายครับ

ยางปีใหม่จะมาเมื่อไหร่ แล้วยางปีใหม่เก่าต่างกันอย่างไร?

ซึ่งปีเก่านั้นหมายถึงแค่ธันวาคมก็ถือว่าเป็นปีเก่าแล้วนะครับ ซึ่งจริงๆมันต่างกันแค่ สัปดาห์ หรือไม่เกิน 1-3 เดือนเองครับถือว่าได้ของใหม่ราคาถูกก็เป็นไปได้ครับ (อันนี้พูดถึงเฉพาะแบรนด์เล็กนะครับ) แต่แบรนด์ใหญ่ๆถึงจะมีการปรับตัว แต่การออกยางปีใหม่ก็จะค่อยๆทยอยออกมาเพราะเนื่องจากความหลากหลายรุ่น หลากหลายไซส์ และปริมาณความต้องการของตลาดที่มากกว่าแบรนด์เล็กๆครับ ซึ่งแบรนด์ใหญ่ๆก็จะค่อยๆทยอยผลิตเป็นไซส์ๆ เป็นลายดอกยางไปครับ จึงทำให้ยางปีใหม่จะออกช้ากว่าแบรนด์เล็กๆ ครับ

แต่อย่างที่จอร์จ บอกไปและครับจริงๆ แล้วถึงเราได้ยางปีเก่าย้อนหลังไปแค่ 6 เดือน เป็นเรื่องปกติมากๆ ในกรณีที่เราเลือกยางแบรนด์พรีเมียมหรือแบรนด์ใหญ่ๆนะครับ เพราะฉะนั้นเพื่อนๆ ที่ต้องการเปลี่ยนยางแล้ว ไม่ต้องกังวลในเรื่องปียางขนาดนั้นจนไปเลือกยางแบรนด์ราคาถูก เพราะว่าจะทำให้คุณเสียเงินสองต่อเมื่อใช้งานไปแล้ว เกิดความไม่พอใจในสินค้าต้องมาเปลี่ยนใหม่อีกรอบครับ ยางปีเก่า แบบ 5-8 เดือน ใช้งานไม่มีปัญหาแน่นอน 100% ครับ จอร์จ เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องยางนั่งยัน ยืนยัน รับรองการรับประกันจาก Tiresbid แน่นอนครับ

ยางปีใหม่จะมาเมื่อไหร่ แล้วยางปีใหม่เก่าต่างกันอย่างไร?

หากเพื่อนๆมีข้อสงสัยไม่รู้ว่าจะเลือกยางยี่ห้อไหนและช้อปเช็กยาง & นัดหมายออนไลน์ที่ https://tiresbid.com/home ได้เลยครับ เพราะเราเป็นเว็บจำหน่ายยางที่ดีที่สุดครับ มีแบรนด์สินค้าคุณภาพให้เลือกมากที่สุด และเพื่อนๆสามารถหาอ่านบทความรู้ยานยนต์และรีวิวยางรถยนต์ครอบคลุมการใช้งานมากที่สุดในประเทศ แถมไทร์บิดเรายังมีบริการผู้เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาอย่างเป็นกลาง ให้เพื่อนๆที่ต้องการสอบถามได้ยางที่เหมาะสมที่สุดผ่านทาง Line OA : @tiresbid (เติม@ด้วยนะครับ) เราเป็นตัวกลางยางมืออาชีพโปรโมชั่นยางรถพิเศษไทร์บิดมากมาย  ให้บริการครบทุกรูปแบบ จุดบริการ เปลี่ยนถึงบ้าน จัดส่ง Fast Service ทุกรูปแบบการรับบริการนัดหมายล่วงหน้า ใช้เวลาเพียง 1 ชม. ในการรับบริการติดตั้งเปลี่ยนยาง ให้เรื่องยางรถของคุณง่ายยิ่งขึ้น ซื้อยางรถมั่นใจทุกครั้งที่ไทร์บิด วันนี้ก็ขอขอบคุณมากครับเพื่อนๆที่ติดตาม หากมีข้อสงสัยเลือกยางไม่ถูกสอบถามมาที่ไทร์บิดของเราได้เลยครับ วันนี้ขอบคุณมากครับ

5 แบรนด์รถรัสเซียยอดฮิต ที่คนรัสเซียใช้

ถ้าจะให้พูดถึง “รถรัสเซีย” แล้ว หลายคนยังคงคิดถึงความโบราณ ล้าหลัง ดูเชยๆ ตามสไตล์รถยนต์ของประเทศสังคมนิยมตั้งแต่ในยุคสหภาพโซเวียต ที่ปัจจุบันดูเหมือนพัฒนาไปไม่มากจากเดิมนัก

ส่วนหนึ่งก็เพราะปัจจัยหลายๆ อย่างของรัสเซียเอง ที่ยังยึดติดกับความเป็น “สังคมนิยม” พอสมควร (แม้ว่าในปัจจุบัน จะเป็นทุนนิยม ในรูปแบบของประเทศสหพันธรัฐ ที่มีประธานาธิบดีแบบเผด็จการนิยมอยู่ก็ตาม) เรื่องการตลาดสู้ค่ายรถจากฝั่งยุโรปตะวันตกไม่ได้ รวมไปถึงยังเป็นประเทศใหญ่ที่สุดในโลก มีพื้นที่กว่า 10,000,000 ตร.กม. กับสภาพอากาศที่หนาวแบบทารุณแทบทั้งปี แถมมีฝนตกก็ไม่ใช่น้อย รถที่จะนำมาใช้ในประเทศนี้ต้องอึดจริงๆ ถึงจะอยู่ได้

นอกจากนั้นในยุคที่เป็นสหภาพโซเวียต คนส่วนใหญ่ของประเทศก็ยัง (จน) อย่างเท่าเทียมกัน อีกทั้งไม่ค่อยมีบริการหลังการขาย ซื้อแล้วต้องไปหาที่ซ่อมเอง รถที่จะขายให้ประชาชนได้ จึงต้องถูก ทน ไว้ก่อน เรื่องดีไซน์ไว้ทีหลัง

เรามาดูกันว่า รถยนต์จากรัสเซีย แดนหมีขาว มียี่ห้ออะไรที่น่าสนใจกันบ้าง…

รวม 5 แบรนด์รถรัสเซียยอดฮิต ที่คนรัสเซียนิยมใช้

1. Lada

Lada (ลาด้า) น่าจะเป็นแบรนด์รถยนต์ที่คุ้นเคยในบ้านเรามากที่สุดแล้ว ถือกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่ยุคสมัยสหภาพโซเวียต เป็นรถยนต์ที่ผลิตโดยบริษัทชื่อว่า AvtoVAZ (อัลโตวาส) นับตั้งแต่ปี 1966 จนต่อมาในปี 1973 ถึงได้ใช้ชื่อว่า Lada มีความหมายว่าเป็นเรือยาวของชาวไวกิ้ง สำหรับรถที่ส่งออกเท่านั้น หากเป็นรถที่จำหน่ายในประเทศจะเรียกว่า Zhiguli (ชิกูลี) แต่ต่อมารถทุกคันเปลี่ยนมาใช้ชื่อแบรนด์ว่า Lada หมด

Lada จัดว่ามีชื่อเสียงยุโรปพอสมควร โดยเฉพาะในยุคคอมมิวนิสต์ มันดังมากในกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออก รวมทั้งยังมีการส่งออกไปเกือบทั่วโลกอีกด้วย (ยกเว้นในสหรัฐอเมริกา) ซึ่งเจ้า Lada นี้ ยังมีการแลกเทคโนโลยีกับค่ายรถยนต์จากฝั่งยุโรปตะวันตก เช่น Fiat ทำให้รถหลายรุ่นที่ออกมา รูปทรงราวกับฝาแฝด

ลาด้าสร้างชื่อในยุค 70 – 80 จากการผลิตรถรุ่น VAZ-2101 ที่นำ Fiat 124 มาเป็นพื้นฐานในการผลิต และแตกรุ่นย่อยออกไปอีกสารพัดแบบ ถูกนำออกขายในฐานะรถราคาประหยัดกวาดยอดขายไปมากกว่า 17 ล้านคัน

Lada Niva Cossack

ภาพจาก sarachdt1 @ Thaiscooter.com

และ Lada Niva 4×4 ที่เป็นรถออฟโรดขนาดเล็กไซส์พอๆ กับ Suzuki Jimny ออกจำหน่ายครั้งแรกในรัสเซียเมื่อปี 1977 และยังมาขายแบบเดิมจนถึงปัจจุบัน ซึ่งในไทยเมื่อ 20 กว่าปีที่ผ่านมา บริษัท เบนซ์ศรีนครินทร์ (หรือ Niche Cars ในปัจจุบัน) ก็เคยสั่ง Lada Niva Cossack พวงมาลัยขวา นำเข้ามาขายครับ

รวม 5 แบรนด์รถรัสเซียยอดฮิต ที่คนรัสเซียนิยมใช้

2. GAZ

GAZ (กาซ) (หรือ Gorkovsky Avtomobilny Zavod และ Gorky Automobile Plant ในภาษาอังกฤษ) เป็นแบรนด์รถยนต์อันเก่าแก่ของรัสเซีย ที่ก่อตั้งในยุคสหภาพโซเวียตเมื่อปี 1929 โดยความร่วมมือทางเทคโนโลยีกับ Ford Motors Compacy ของสหรัฐอเมริกา ก่อนจะเริ่มผลิตรถอย่างเป็นทางการในปี 1932 มีรถแบรนด์ดังๆ ในยุคสหภาพโซเวียต อาทิ Pobeda, Volga หรือ Chaika เป็นต้น

ต่อมาในปี 2011 Volkswagen Group Rus และ GAZ Group ยังได้ลงนามในข้อตกลงทำสัญญาประกอบรถยนต์ Volkswagen และ Škoda ที่โรงงาน GAZ อีกด้วย

ปัจจุบัน GAZ เป็นผู้นำในตลาดรถขนส่งเพื่อการพาณิชย์ในรัสเซีย มีรถรุ่นเด่นๆ ได้แก่ GAZelle และ Sobol ซึ่งเป็นรถตู้ หรือรถบรรทุกขนาดเล็ก และ GAZon กับ Sadko ที่เป็นรถบรรทุกขนาดใหญ่ และรถเมล์ รถบัส

รวม 5 แบรนด์รถรัสเซียยอดฮิต ที่คนรัสเซียนิยมใช้

3. Kamaz

Kamaz (คามาซ) (Kamskiy Avtomobilny Zavod หรือ Kama Automobile Plant) เป็นบริษัทรถรัสเซียที่ผลิตรถยนต์บรรทุก, รถเมล์ และรถบัส ก่อตั้งในปี 1969 ตั้งแต่ยุคสหภาพโซเวียต ตามมติของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต ที่ต้องการใช้งานรถบรรทุกขนาดหนักเพื่อการก่อสร้างในภารกิจต่างๆ

ปัจจุบัน Kamaz เป็นผู้ผลิตรถบรรทุกรายใหญ่อันดับโลกของรัสเซีย และยังเป็นที่รู้จักกันในฐานะของรถบรรทุก ที่เข้าแข่งในรายการ Dakar Rally และครองแชมป์ได้เสมออีกด้วย

5 แบรนด์รถรัสเซียยอดฮิต ที่คนรัสเซียใช้

4. UAZ

UAZ (ยูซ) (Ulyanovsky Avtomobilny Zavod หรือ Ulyanovsk Automobile Plant) เป็นผู้ผลิตรถตู้, รถ 4X4, รถบรรทุก, รถบัส และรถจี๊ปที่มีชื่อเสียงของรัสเซีย ก่อตั้งเมื่อปี 1941 ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ Sollers Automotive Group นับตั้งแต่ปี 2000

สำหรับรถในตำนานของค่ายนี้ คงต้องยกให้กับ UAZ-469 ซึ่งเป็นรถออฟโรดที่ผลิตออกมาสำหรับใช้ในกองทัพโซเวียต และประเทศบริวารในกลุ่ม Warsaw Pact (กติกาสัญญาวอร์ซอ) หรือ WTO (Warsaw Treaty Organization) ช่วงสงครามเย็น ตั้งแต่ปี 1971 – ปัจจุบัน แถมยังมีส่งออกไปประมาณ 80 ประเทศทั่วโลกอีกด้วย

5 แบรนด์รถรัสเซียยอดฮิต ที่คนรัสเซียใช้

5. ZiL

สำหรับรถยนต์ “ZiL” (ซิล) (Zavod imeni Likhachyova หรือ Avtomobilnoe Moskovskoe Obshchestvo (AMO)) ในอดีตเคยได้รับการขนานนามว่าเป็น “Rolls-Royce แห่งสหภาพโซเวียต” บริษัทถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1916 จัดว่าเก่าแก่ที่สุดในบรรดารถยนต์รัสเซียทั้งปวง ส่วนชื่อ ZiL นั้น ใช้มาตั้งแต่ในปี 1956

ZiL ผลิตรถยนต์หลากหลายประเภท ทั้งรถยนต์นั่งแบบหรูหรา, รถบรรทุกหนัก, รถแบบ 4X4, รถโดยสาร หรือรถทหาร เป็นต้น

เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะของรถลิมูซีนสำหรับผู้นำประเทศที่ผลิตด้วยมือในช่วงยุค 70 – 80 จากที่เป็นรถประจำตำแหน่งของผู้นำประเทศ ตอนหลังจึงเน้นการผลิตเชิงพาณิชย์มากขึ้น ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ก็เน้นขายนักการเมืองรัสเซียนั่นเอง

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์คันใหม่ มาขายรถกับทาง CARRO Express ได้ที่  https://th.carro.co/sell-car/express วิธีการขายรถในแบบยุคใหม่ ง่าย สะดวก รวดเร็ว ได้ราคา อีกทั้งยังลงขายได้ “ฟรี!” พร้อมรับเงินสดกลับบ้านทันที ภายใน 24 ชั่วโมง!

Carro Automall / คาร์โร ออโต้มอลล์

แต่ถ้าหากช่วงนี้ใครอยากเปลี่ยนรถคันใหม่ มาใช้แทนที่รถคันเดิม CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ พร้อมตอบโจทย์คุณด้วยคอนเซปต์ “click.buy.drive.” คุณสามารถจองรถออนไลน์ ได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น!

รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check มากกว่า 200 จุด และยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” ให้คุณเลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา พร้อมรับประกันคุณภาพรถนานถึง 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร! อีกทั้งยังการันตีความพึงพอใจ คืนเงินได้ภายใน 5 วันอีกด้วย! เรามีรถให้คุณเลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ CARRO Automall สิ!

หรือถ้าหากสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall Official โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall ครับ

"ขี้นก" ศัตรูจากฟ้า ที่สร้างปัญหาให้กับรถคุณ!

ทุกวันนี้ ต้องยอมรับกันว่าสภาพอากาศของโลกที่เปลี่ยนไป บางวันแดดจ้า แลัวอยู่ดีๆ ก็ฝนตก หรือหนาวขึ้นมาซะงั้น ทำให้การออกหากินของนก ก็ต้องรีบออกหากิน ตั้งแต่ฝนยังไม่ตก ซึ่งอาจสร้างปัญหาน่ารำคาญได้อยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะ “ขี้นก” (หรือมูลนก ถ้าเรียกแบบสุภาพๆ) จากนกที่กินไปขี้ไป และมักจะชอบถ่ายตอนเกาะอยู่ที่สายไฟฟ้า หรือบนต้นไม้ ที่รถเราจอดอยู่ด้านล่างพอดี

และขี้นกนั้น ก็จะทำลายสีรถของเราให้เป็นรอยด่างได้ ยิ่งเจอน้ำฝนมาชะล้างด้วย ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะในขี้นกนั้นไม่ใช่อุจจาระทั้งหมด จะมีส่วนที่เป็นสีขาวที่เรียกว่ากรดยูเรต (เกลือจากกรดยูริก) ซึ่งเกิดจากในทางเดินปัสสาวะของนก นี่ล่ะที่จัดว่าเป็นตัวกัดกร่อน ทำลายสีรถของคุณถึงชั้นเนื้อสีได้เลย

MR.CARRO จะมาเล่าให้ฟังว่า เมื่อรถของคุณเจอขี้นกเล่นงานแล้ว จะต้องรีบทำความสะอาดอย่างไรกันบ้าง

"ขี้นก" ศัตรูจากฟ้า ที่สร้างปัญหาให้กับรถคุณ!

1. รีบเช็ดล้างออก

กรณีที่ขี้นก ตกลงมาอยู่บนรถของคุณแล้ว ให้ใช้กระดาษทิชชู่ชุบน้ำแล้วเช็ดออก หรือรีบล้างออกทันที ห้ามเช็ดใช้กระดาษทิชชู่ (แบบแห้ง) เช็ดหรือถูที่ขี้นก

เพราะการเช็ดหรือการถูขี้น อาจทำให้สีของรถคุณเป็นรอย และควรจัดการทันที เพราะหากปล่อยไว้นาน จะทำให้ชั้นสีรถเสียหาย เกิดเป็นรอยด่าง หรือหากเจอฝนตกมาที่รถ อาจไหลกระจายไปตามจุดอื่นได้

"ขี้นก" ศัตรูจากฟ้า ที่สร้างปัญหาให้กับรถคุณ!

2. เมื่อขี้นกแห้ง

กรณีที่คุณปล่อยรถ ตากแดดตากฝนจนขี้นกแห้ง ซึ่งอาจส่งผลให้แลกเกอร์ที่เคลือบสีรถเสียหายและ อาจจะเช็ดตามวิธีในข้อ 1 ไม่ออก

ให้ใช้ยาขัดสีรถ หรือน้ำยาทำความสะอาด หรือทิชชู่หยิบออก และใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์เช็ดซ้ำ เพื่อไม่ให้เกิดรอยด่างที่สีรถ แต่ถ้ายังไม่ออก ให้ใช้ดินน้ำมันสำหรับรถโดยเฉพาะ ถูบริเวณที่มีขี้นก ถูเป็นรูปก้นหอยจนกว่าขี้นกจะหายไป

"ขี้นก" ศัตรูจากฟ้า ที่สร้างปัญหาให้กับรถคุณ!

3. ล้างรถ

หากคุณจัดการทำความสะอาดขี้นกเสร็จ ขอแนะนำให้นำรถไปล้างรถต่อเลย เพราะการล้างรถจะช่วยทำความสะอาดรถทั้งคัน และช่วยชะล้างขี้นกที่อาจไหลหรือติดในส่วนที่คุณไม่ได้สังเกตเห็น

จากนั้นก็อย่าลืมเคลือบแว็กซ์รถยนต์ไปด้วย เพื่อคงสภาพสีรถยนต์ให้เงางาม ลดคราบฝังแน่น และทำความสะอาดได้ง่ายในครั้งต่อไป

"ขี้นก" ศัตรูจากฟ้า ที่สร้างปัญหาให้กับรถคุณ!

4. ล้างมือ

นี่คือสิ่งสำคัญที่สุด เมื่อคุณจัดการขี้นกบนรถเรียบร้อยทุกขั้นตอน เพราะขี้นกจัดว่ามีเชื้อโรคอยู่เพียบ ทั้งโรคไข้หวัดนก, โรคซิตาโคซิส หรือเชื้อราต่างๆ ควรรีบล้างมือด้วยน้ำสะอาดทันที พร้อมทั้งใช้เจลแอลกอฮอล์ด้วยยิ่งดี

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์คันใหม่ มาขายรถกับทาง CARRO Express ได้ที่  https://th.carro.co/sell-car/express วิธีการขายรถในแบบยุคใหม่ ง่าย สะดวก รวดเร็ว ได้ราคา อีกทั้งยังลงขายได้ “ฟรี!” พร้อมรับเงินสดกลับบ้านทันที ภายใน 24 ชั่วโมง!

Carro Automall / คาร์โร ออโต้มอลล์

แต่ถ้าหากช่วงนี้ใครอยากเปลี่ยนรถคันใหม่ มาใช้แทนที่รถคันเดิม CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ พร้อมตอบโจทย์คุณด้วยคอนเซปต์ “click.buy.drive.” คุณสามารถจองรถออนไลน์ ได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น!

รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check มากกว่า 200 จุด และยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” ให้คุณเลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา พร้อมรับประกันคุณภาพรถนานถึง 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร! อีกทั้งยังการันตีความพึงพอใจ คืนเงินได้ภายใน 5 วันอีกด้วย! เรามีรถให้คุณเลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ CARRO Automall สิ!

หรือถ้าหากสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall Official โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall ครับ

10 อันดับ รถ MPV ราคาดีในไทย ปี 2022

ถ้าจะให้พูดถึง “รถ MPV” (Multi-Purpose Vehicle) แล้ว นี่ล่ะ ถือเป็นขวัญใจของคนมีครอบครัวใหญ่ ญาติพี่น้องเยอะ หรือลูกหลายคนเลยทีเดียว สำหรับรถ MPV ส่วนใหญจะมีนั่งได้ตั้งแต่ 5 – 11 คน เหมาะสำหรับคุณแม่ที่มีครอบครัวใหญ่ๆ มีเด็กๆ เป็นได้ทั้งรถผู้สูงอายุ และรถคันที่สองของบ้าน ใช้งานได้หลากหลาย

สำหรับรถ MPV ในปัจจุบันแบ่งออกได้เป็น 3 แบบหลักๆ ได้แก่ รถ MPV ที่มีพื้นฐานแบบเดียวกับรถเก๋ง แต่ออกแบบรูปทรงใหม่ให้เป็นรถสไตล์มินิแวน, รถ MPV แนว Crossover ที่ดูลุยกว่า ส่วนมากมักจะเน้นซุ้มโป่งล้อสีดำรอบคัน หรือยกสูงขึ้นหน่อย

และอีกแบบนั่นคือแบบ Minivan อันนี้ส่วนใหญ่จะพัฒนาพื้นฐานของตัวรถขึ้นมาใหม่ มีตั้งแต่รถมินิแวนรุ่นเล็ก จนถึงมินิแวนขนาดใหญ่ ส่วนมากนิยมใช้ประตูสไลด์ไฟฟ้า เพื่อให้คนเข้า-ออก ง่าย

ปัจจุบันกระแสความนิยมรถ MPV ถือได้ว่ามากพอสมควร แม้ว่าหลายรุ่นจะเป็นรถนำเข้า มีราคาสูงถึงหลายล้านบาทก็ตาม ในส่วนของคนมีครอบครัว มีเด็กๆ รวมไปถึงบ้านที่มีผู้สูงอายุ เน้นความนั่งสบาย ขึ้น-ลงสะดวก

ด้วยเหตุนี้ CARRO จึงขอรวบรวมข้อมูล 10 อันดับ MPV ราคาถูกสุดในไทย ประจำปี 2022 มาให้ทุกท่านได้ทราบครับ.

Suzuki Ertiga / ซูซูกิ เออร์ติก้า

1. Suzuki Ertiga GL ราคา 659,000 บาท

Suzuki Ertiga (ซูซูกิ เออร์ติกา) เจเนอเรชั่นที่ 2 เปิดตัวในบ้านเราเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2562 เป็นรถอเนกประสงค์แบบ MPV 7 ที่นั่ง นำเข้ามาจากประเทศอินโดนีเซีย ที่ออกแบบตัวรถให้ดูโฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้น ห้องโดยสารภายในดูเรียบหรู ใช้วัสดุคุณภาพสูง คอนโซลลายไม้แบบเล่นระดับ และยังมีแอร์สำหรับผู้โดยสารแถวหลังอีกด้วย

มาพร้อมแพลตฟอร์มใหม่ HEARTECT ทนทานด้วยโครงสร้างตัวถัง TECT และระบบ NVH ให้การขับขี่นุ่มนวล ดูดซับแรงสั่นสะเทือน พร้อมลดเสียงรบกวนตลอดเส้นทาง สะดวกสบายยิ่งขึ้นด้วยระบบ Keyless Entry และ Keyless Push Start

ใช้เครื่องยนต์เบนซินใหม่ ตัวเดียวกับในรุ่น Swift รหัส K15B ขนาด 1.5 ลิตร 105 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด

Honda Mobilio / ฮอนด้า โมบิลิโอ้

2. Honda Mobilio S ราคา 659,000 บาท

Honda Mobilio (ฮอนด้า โมบิลิโอ) รถแบบ Sub-Compact SUV ที่พัฒนาจากพื้นฐานของ Brio ยืดระยะฐานล้อให้ยาวขึ้น จัดเป็นรถอเนกประสงค์ของ Honda รุ่นแรก ที่ผลิตในประเทศไทย โดยฮอนด้าเรียกรถรุ่นนี้ว่า Metro Utility Vehicle (MUV)

เปิดตัวตั้งแต่เดือนกันยายน 2557 และปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ในเดือนพฤษภาคม 2560 ชูจุดเด่นห้องโดยสารกว้างสะดวกสบาย กับเบาะนั่ง 3 แถว 7 ที่นั่ง ล้ำสมัยด้วยคอนโซลหน้าดีไซน์ใหม่ พร้อมฟังก์ชั่นต่างๆ อาทิ มาตรวัดเรืองแสงพร้อมหน้าจอ MID, ระบบแอร์อัตโนมัติ, ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ หรือระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 6.1 นิ้ว ที่เชื่อมต่อภาพและเสียงผ่าน HDMI ได้ เป็นต้น

มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร จากในรุ่น City และ Jazz 117 แรงม้า พ่วงด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT ใหม่ ให้สมรรถนะดี ประหยัดน้ำมัน และรองรับแก๊สโซฮอล์ E85

Toyota Sienta / โตโยต้า เซียนต้า

3. Toyota Sienta 1.5G ราคา 765,000 บาท

Toyota Sienta (โตโยต้า เซียนต้า) จัดเป็นรถในรูปแบบ MPV ราคาต่ำล้านเพียงรุ่นเดียวที่ใช้ประตูบานเลื่อนด้านข้างแบบไฟฟ้ามาให้ (ในรุ่นเริ่มต้น 1.5 G ราคา 765,000 บาท ประตูเลื่อนไฟฟ้าได้เฉพาะด้านซ้าย) เปิดตัวในไทยครั้งแรกเมื่อเดือนสิงหาคม 2559 ก่อนจะปรับโฉมในช่วงเดือนสิงหาคม 2562 และเป็นรถที่นำเข้าจากอินโดนีเซียเช่นเคย

การออกแบบภายนอก ได้แรงบันดาลใจมาจาก “Urban Trekking Shoes” หรือ “รองเท้าเดินป่าสมัยใหม่” เน้นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่รักการท่องเที่ยว ไลฟ์สไตล์หลากหลาย แต่เป็นรถที่ขับได้ทุกวัย และนั่งได้ถึง 7 ที่นั่ง พร้อมปรับรูปแบบการใช้งานได้อย่างอเนกประสงค์ ในรถมีระบบหน้าจอสัมผัสขนาด 6.8 นิ้ว เป็นมาตรฐาน รวมถึงระบบความปลอดภัยครบครัน

ขุมพลังใช้เครื่องยนต์เบนซินรหัส 2NR-FE ขนาด 1.5 ลิตร 108 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT พร้อมระบบ Sport Sequential Shift 7 สปีด อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันอยู่ที่ 16.1 กม./ลิตร

Honda-BR-V / ฮอนด้า บีอาร์วี

4. Honda BR-V V ราคา 765,000 บาท

Honda BR-V (ฮอนด้า บีอาร์วี) เป็นรถแนว Active Sport Crossover (หรือ Mini SUV) ที่ปรับโฉมล่าสุดไปเมื่อเดือนมิถุนายน 2562 มาพร้อมไฟหน้าโปรเจคเตอร์ พร้อมไฟหรี่และไฟ LED สำหรับวิ่งกลางวัน, ไฟตัดหมอกใหม่ เสาอากาศแบบครีบฉลาม (Shark Fin) ล้ออัลลอยลายใหม่ขนาด 16 นิ้ว แถมยังสีภายนอกเพิ่มสีใหม่ แดงมุก Passion Red

ชูจุดเด่นด้วยห้องโดยสารตกแต่งด้วยสีทูโทนดำ-แดงสไตล์สปอร์ต มีเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว เบาะนั่งแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง ซึ่งเบาะนั่งแถวที่ 2 สามารถพับแยกแบบ 60:40 หรือพับตลบจังหวะเดียว (One Motion) ปรับเลื่อนหน้า-หลัง เพื่อให้ผู้โดยสาร แถวที่ 3 เข้า-ออกได้สะดวกยิ่งขึ้น และพนักพิงปรับเอนได้ถึง 3 ระดับ

โดยเบาะนั่งแถวที่ 3 มีพื้นที่วางขาที่กว้างขวาง พนักพิงสามารถพับแยกแบบ 50:50 หรือพับตลบไปด้านหน้า 2 จังหวะ เพื่อเพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระด้านท้าย และแอร์สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง

มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 1.5 ลิตร แบบเดียวกับใน Honda City (รุ่นเก่า) ให้แรงม้าสูงสุด 117 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT โดยทั้งเครื่องยนต์และเกียร์ พัฒนาขึ้นภายใต้เทคโนโลยี Earth Dreams พร้อมรองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 และ E85

Suzuki XL7 / ซูซูกิ เอ็กซ์แอล7

5. Suzuki XL7 GLX ราคา 779,000 บาท

Suzuki XL7 (ซูซูกิ เอ็กซ์แอล7) Crossover MPV อีกรุ่นที่เปิดตัวในเดือนกรกฏาคม 2563 ด้วยรูปแบบ Multi-Dynamic Crossover ที่ชูแนวคิด THINK XL คิดได้เกินคาด ไปได้เกินใคร ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของชีวิต พัฒนามาจากรุ่น Ertiga และนำเข้ามาจากอินโดนีเซีย เอาใจชาวไทยที่ชอบรถแนวอเนกประสงค์ MPV ในรูปแบบ Crossover 7 ที่นั่ง ดีไซน์สปอร์ตเข้ม ดุดัน พร้อมลุย

ห้องโดยสารภายใน สไตล์สปอร์ตพรีเมียม ด้วยพวงมาลัย D-Shape แบบสปอร์ต มาพร้อมจอสัมผัสขนาด 10 นิ้ว พร้อม Apple CarPlay ระบบแอร์อัตโนมัติ พร้อมแอร์แถวหลัง, มี Keyless Push Start และชุดเบาะที่ปรับรูปแบบการใช้งานได้หลายอย่าง

มาพร้อมเครื่องยนต์รหัส K15B ขนาด 1.5 ลิตร 105 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด เป็นที่คุ้นเคยกันดีจากในรุ่น Ertiga

Mitsubishi Xpander / เอ็กซ์แพนเดอร์

6. Mitsubishi Xpander GLS-LTD. ราคา 789,000 บาท

Mitsubishi Xpander (มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์) จัดเป็นรถ Crossover MPV ที่ยอดนิยมมากในประเทศอินโดนีเซีย และประเทศฟิลิปปินส์ นำมาเปิดตัวในไทยครั้งแรกเมื่อเดือนสิงหาคม 2560 ด้วยคุณสมบัติที่ใหญ่กว่า สูงกว่า ในสไตล์รถ MPV ในระดับเดียวกัน และมีดีไซน์ตัวรถแบบ Advanced Dynamic Shield Design ที่ดูคล้ายกับรถ SUV มาก

กว้างขวางด้วยห้องโดยสาร 7 ที่นั่ง พร้อมพื้นที่เก็บสัมภาระขนาดใหญ่ ผู้โดยสารแถวที่ 3 สามารถเดินภายในได้อย่างสะดวกสบาย ขณะที่เบาะนั่งแถวที่สอง สามารถพับเบาะกลางลงเพื่อใช้เป็นที่วางแขนได้ มีช่องวางแก้วน้ำให้ถึง 16 จุดรอบคัน มีแอร์สำหรับผู้โดยสารหลัง

มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินรหัส 4A91 ขนาด 1.5 ลิตร 105 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด พร้อมปุ่ม Overdrive รองรับแก๊สโซฮอล์ E85 และยังมี Mitsubishi Xpander Cross ให้เลือก ในราคา 919,000 บาท

All-New Toyota Veloz 2022

7. Toyota Veloz 1.5 Smart ราคา 795,000 บาท

All-New Toyota Veloz (โตโยต้า เวลอซ) เป็นรถ MPV รุ่นใหม่ที่ทาง Toyota นำมาขายทดแทนรุ่น Avanza นั่นเอง ซึ่งเปิดตัวไปในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 ด้วยการชูจุดเด่น ดีไซน์ล้ำสมัย แบบฉบับ Premium Crossover ตามแนวคิดการออกแบบ “Proud Active” พื้นที่ภายในกว้างขวาง ปรับเบาะที่นั่งโดยสารได้ถึง 7 แบบ การขับขี่ที่มั่นคง อัตราเร่งดีเยี่ยม จาก Platform ขับเคลื่อนล้อหน้าใหม่ เจาะกลุ่มคนมีครอบครัว และกลุ่มธุรกิจ SME สมัยใหม่ ในราคาที่ง่ายต่อการเป็นเจ้าของ

ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร Dual VVT-i 106 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ CVT ใหม่ มอบอัตราประหยัดน้ำมันสูงถึง 17.9 กม./ ลิตร ให้อัตราเร่งทันใจ ตอบสนองนุ่มนวล เงียบกว่าในทุกช่วงความเร็ว หยุดรถมั่นใจด้วยดิสก์เบรก 4 ล้อ พร้อมเบรกมือไฟฟ้า

ระบบมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดด้วย Toyota Safety Sense หรือ TSS พร้อมฟังก์ชั่นเพิ่มเติม อาทิ ระบบป้องกันการเหยียบคันเร่งแบบผิดวิธี (Pedal Misoperation Control) ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนตัว (Front Departure Alert) ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลนพร้อมพวงมาลัยดึงกลับอัตโนมัติ (Lane Departure Alert (LDA) With Steering Assist) ในรุ่น Premium

MG V80 / เอ็มจี วี80

8. MG V80 2.5 ราคา 988,000 บาท

MG V80 (เอ็มจี วี80) ถ้าใครจำแบรนด์ Maxus (แม็คซัส) ได้ ที่ทาง จะต้องนึกถึงเจ้า Maxus V80 (แม็คซัส วี80) ที่เคยนำเข้าจากจีนมาขายในบ้านเราเมื่อเดือนสิงหาคม 2557 เพื่อหวังตีตลาดรถตู้แบบ MPV ให้กระจุยด้วยขนาดรถไซส์ยุโรปแบบฉบับอังกฤษ นั่งได้ตั้งแต่ 12 – 16 ที่นั่ง

กับการนำเสนอรถ Segment ใหม่อย่าง GPV (Grand Passenger Van) ขนาดกว้างใหญ่เหมือนมินิบัส บานประตูหลังขนาดใหญ่ แบบ Giant Swing แยก เปิด 2 บาน ด้านในตัวรถมีความสูงถึง 171 ซม. ทำให้ยืนได้สบาย แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ

แต่ทาง SAIC-CP ยังไม่ยอมแพ้ ในเดือนมีนาคม 2562 ได้เปิดตัว MG V80 สายพันธุ์ลูกครึ่งยุโรป-จีน ปรับที่นั่งใหม่เป็นขนาด 11 ที่นั่ง แถมลดราคาตัวรถลงมาอีก แต่ก็ยังไม่ค่อยได้รับความนิยมจากชาวรถตู้อยู่ดี

ใช้ขุมพลังเครื่องยนต์ Eco-D ดีเซลคอมมอนเรล ขนาด 2.5 ลิตร พร้อมระบบเทอโบชาร์จแปรผัน VNT Turbo (Variable Nozzle Vane Turbo) และ Intercooler 136 แรงม้า พร้อมชุดปั๊มแรงดันน้ำมันเชื้อเพลิงคอมมอนเรลของ Bosch ให้แรงดันสูงถึง 1,800 บาร์ มีให้เลือกทั้งแบบเกียร์อัตโนมัติ SeleMatic 6 สปีด และเกียร์ธรรมดา 6 สปีด

Toyota Innova Crysta / โตโยต้า อินโนว่า คริสต้า

9. Toyota Innova Crysta 2.0 Entry ราคา 1,199,000 บาท

Toyota Innova Crysta (โตโยต้า อินโนว่า คริสต้า) จัดเป็นรถ MPV ขนาดกลางยอดฮิตของคนมีครอบครัว คนขับรถโรงแรม หรือแท็กซี่ นับตั้งแต่เปิดตัวในเดือนกันยายน 2559 จนถึงช่วงปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2563 ดีไซน์รอบคัน ให้มีความโฉบเฉี่ยว ทันสมัย

ภายนอกมาพร้อมจุดเด่นใหม่ๆ ได้แก่ ไฟหน้าแบบ LED Projector และไฟตัดหมอกหน้าแบบ LED, ล้ออัลลอยลายใหม่ขนาด 16 นิ้ว และ 17 นิ้ว พร้อมระบบช่วยปิดประตูท้าย Door Easy Closer เป็นต้น

ส่วนภายในรถ มาพร้อมเบาะนั่งหุ้มหนัง พร้อมตกแต่งด้วยวัสดุลายไม้, หน้าจอสัมผัสขนาด 9 นิ้ว รองรับระบบเชื่อมต่อ Apple CarPlay มีระบบเปิดประตูอัจฉริยะ Smart Entry กับระบบสตาร์ทอัจฉริยะ Push Start และกล้องมองภาพรอบทิศทาง Panoramic View Monitor

สำหรับรุ่นเริ่มต้น ใช้เครื่องยนต์เบนซินรหัส 1TR-FE ขนาด 2.0 ลิตร 139 แรงม้า ขับเคลื่อนด้วยเกียร์ธรรมดา 5 สปีด รองรับแก๊สโซฮอล์ E20 และรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลรหัส 1GD-FTV (High) ขนาด 2.8 ลิตร 174 แรงม้า ขับเคลื่อนด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Sequential Shift

Hyundai H-1 / ฮุนได เอชวัน

10. Hyundai H-1 Touring ราคา 1,329,000 บาท

Hyundai H-1 (ฮุนได เอชวัน) จัดเป็นรถอเนกประสงค์ขนาดใหญ่ที่ขายในบ้านเรามาอย่างยาวนานมาก นับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2550 สำหรับค่ายรถยนต์จากแดนเกาหลี Hyundai (ฮุนได) ซึ่งครองตลาดรถกลุ่มนี้ เรียกได้ว่าแทบจะผูกขาดเลยทีเดียว

ด้วยตัวรถขนาดใหญ่ แต่นำเข้าจากอินโดนีเซีย ทำให้ราคาย่อมเยาว์กว่ารถประเภทเดียวกันแบรนด์อื่นๆ มาก และไม่ว่าจะให้ผู้บริหารนั่ง หรือให้คนในครอบครัวนั่ง … ได้หมด!

ด้วยสมรรถนะจากเครื่องยนต์ดีเซลรหัส D4CB Turbo คอมมอนเรล CRDi ขนาด 2.5 ลิตร ให้พลังขับเคลื่อนถึง 175 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด นุ่มนวล เกาะถนน และทรงตัวดี ด้วยช่วงล่างด้านหน้าแบบแมคเฟอร์สันสตรัท ส่วนด้านหลังเป็นแบบคอยล์สปริง พร้อมจุดยึด 5 จุด

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

ถ้าใครอยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถคันใหม่ มาขายรถกับทาง CARRO Express ได้ที่  https://th.carro.co/sell-car/express หรือถ้าหากต้องการซื้อรถคุณภาพเยี่ยม CARRO เราก็มีพร้อมให้คุณเลือกอย่างมากมายด้วยเช่นกัน พร้อมรับประกันสูงสุดถึง 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร กับ CARRO Automall ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://th.carro.co/taladrod/

Carro Automall / คาร์โร ออโต้มอลล์

แต่ถ้าหากช่วงนี้ใครอยากเปลี่ยนรถคันใหม่ มาใช้แทนที่รถคันเดิม CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ พร้อมตอบโจทย์คุณด้วยคอนเซปต์ “click.buy.drive.” คุณสามารถจองรถออนไลน์ ได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น!

ซึ่งรถของ CARRO Automall เรามีให้คุณเลือกมากมาย รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพอย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 200 จุด รวมไปถึงการการปรับสภาพ (Car Reconditioning) ด้วยทีมช่างมืออาชีพ ที่ผ่านการผึกอบรมตามมาตรฐานคาร์โรกว่า 40 คน พร้อมให้บริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว กว่า 20 คัน/วัน

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” เลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา รวมถึงมีเทคโนโลยีสนับสนุนฝ่ายขาย ทั้ง Digital Device ที่เชื่อมต่อกับ Digital Screen นำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และจัดการเรื่องเอกสารให้กับลูกค้าให้ตั้งแต่ต้นจนจบ บวกกับ Online Viewing Service ที่ลูกค้าสามารถวิดีโอคอล ตรวจสภาพรถยนต์คันที่สนใจได้แบบเรียลไทม์

เรารับประกันคุณภาพรถ 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร! (CARRO Quality Assurance) อีกทั้งยังการันตีความพึงพอใจ คืนเงินได้ภายใน 5 วันอีกด้วย! ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม กับ CARRO Automall สิ!

หรือถ้าหากสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall Thailand โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall ครับ

หมายเหตุ : *ข้อมูลสินค้า 10 อันดับข้างต้นนี้ เป็นข้อมูลสินค้าที่ Update ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2565 เมื่อเวลาผ่านไปราคาและอันดับดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ โปรดสอบถามรายละเอียดหรือราคาล่าสุด ที่ตัวแทนจำหน่ายรถรุ่นนั้นๆ อีกครั้ง

**การจัดอันดับ หากเป็นรถ MPV รุ่นที่มีราคาเท่ากันในหลายยี่ห้อนั้น ทางเราจะจัดอันดับเรียงตามการเปิดตัวโฉมใหม่ล่าสุด หรือการปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ล่าสุด ขึ้นเป็นอันดับแรก

8 ยี่ห้อ & รุ่นรถยนต์ที่มาจาก "เสือ"

เสือ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในวงศ์ Felidae ซึ่งเป็นวงศ์เดียวกับแมว โดยชนิดที่เรียกว่าเสือ มักมีขนาดลำตัวค่อนข้างใหญ่ และอาศัยอยู่ภายในป่า ขนาดของลำตัวประมาณ 168 – 227 ซม. และหนักประมาณ 180 – 245 กิโลกรัม รูม่านตากลม เป็นสัตว์กินเนื้อ มีลักษณะและรูปร่างรวมทั้งพฤติกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ แตกต่างจากสัตว์ในกลุ่มอื่น หากินเวลากลางคืน มีถิ่นกำเนิดในป่า

เสือเป็นหนึ่งในสัตว์ที่อยู่ในระดับเหนือสุดของห่วงโซ่อาหาร และมีความสามารถในการว่ายน้ำ ปีนป่ายต้นไม้ เสือทุกชนิด มีกรามที่สั้นและแข็งแรง มีเขี้ยว 2 คู่ สำหรับกัดเหยื่อ ทั่วโลก มีสัตว์ที่อยู่ในวงศ์เสือและแมวประมาณ 37 ชนิด ซึ่งรวมทั้งแมวบ้านด้วย

เสือจัดเป็นสัตว์นักล่าที่มีความสง่างามในตัวเอง มีทั้งพละกำลังและความว่องไว ฉลาด จึงได้ชื่อเป็นราชาแห่งสัตว์ป่า และเป็นจ้าวแห่งนักล่า ซึ่งในอดีต “เสือ” ได้มีส่วนร่วมในหลายอย่าง เช่น ตราแผ่นดิน หรือสัญลักษณ์ทางการค้า เป็นต้น รวมไปถึงบริษัทรถยนต์หลายราย ที่นิยมนำชื่อของ “เสือ” ในวงศ์ต่างๆ มาตั้งเป็นชื่อยี่ห้อและรุ่นรถ หลากหลายรุ่น

CARRO ขอนำเสนอ 8 ชื่อยี่ห้อรุ่นรถยนต์ ที่นำมาจากชื่อ “เสือ” ครับ.

8 ชื่อยี่ห้อรุ่นรถยนต์ ที่นำมาจากชื่อ "เสือ"

Jaguar

ชื่อเสือจากัวร์ “Jaguar” ที่กลายมาเป็นแบรนด์รถยนต์ชื่อดังระดับโลกจากอังกฤษอย่าง “Jaguar” ที่เลือกโลโก้เป็นรูปเสือ Jaguar ซึ่งเป็นสัตว์ป่า ที่มีความว่องไว และทรงพลัง ก่อตั้งเมื่อปี 1922 โดย William Lyons ชาวอังกฤษ ได้ร่วมหุ้นกับ William Walmsley ก่อตั้งบริษัท Swallow Sidecar Company ขึ้นในอังกฤษ

ในปี 1948 William Lyons จึงตัดสินใจเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Jaguar Cars Limited โดยพิจารณาเลือกชื่อจากสัตว์ชนิดต่างๆ กว่า 500 ชนิด ปัจจุบันถูกควบรวมกิจการกับ TATA Motors

8 ชื่อยี่ห้อรุ่นรถยนต์ ที่นำมาจากชื่อ "เสือ"

Leopard

ชื่อของเสือดาว “Leopard” ได้ถูก Nissan นำมาตั้งเป็นชื่อรถยนต์ขนาด Mid-Size Nissan Leopard (นิสสัน เลียวพาร์ด) เป็นรถแบบสปอร์ตหรูหรา รูปทรงสไตล์ Hardtop 4 ประตู ที่ผลิตขายกันตั้งแต่ปี 1980 – 1999

8 ชื่อยี่ห้อรุ่นรถยนต์ ที่นำมาจากชื่อ "เสือ"

Tiger

ชื่อของเสือโคร่ง “Tiger” อันนี้เป็นที่รู้จักกันดีในบ้านเรา เพราะเป็นชื่อยอดนิยมของสินค้าต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่ยี่ห้อยาหม่อง หรือยาดองเหล้า

แต่ชื่อของเสือในรถยนต์ที่บ้านเรารู้จักกันดี คงต้องยกให้ Toyota (โตโยต้า) ที่นำชื่อ “Tiger” มาต่อท้ายรถกระบะยอดฮิตตัวเองนั่นคือ Toyota Hilux Tiger (โตโยต้า ไฮลักซ์ ไทเกอร์) ที่ออกจำหน่ายตั้งแต่ในปี 2541 – 2547

8 ชื่อยี่ห้อรุ่นรถยนต์ ที่นำมาจากชื่อ "เสือ"

และ Sunbeam Tiger (ซันบีม ไทเกอร์) รถสปอร์ตจากฝั่งอังกฤษ ที่ผลิตขายตั้งแต่ปี 1964 – 1967

8 ชื่อยี่ห้อรุ่นรถยนต์ ที่นำมาจากชื่อ "เสือ"

Cougar

เสือคูการ์ “Cougar” หรือสัตว์ในตระกูลเดียวกับเสือดาว เสือพูม่า ที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกา ก็ได้ถูกนำมาตั้งเป็นชื่อรุ่นรถของ Mercury (เมอร์คิวรี่) ในชื่อ Mercury Cougar (เมอร์คิวรี่ คูการ์) ซึ่งเป็นรถสปอร์ต 2 ประตู ขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นแบรนด์ในเครือของ Ford (ฟอร์ด) ที่ผลิตออกขายตั้งแต่ปี 1967 – 1997 และย่อส่วนลงมาเหลือเป็นรถสปอร์ตแบบ Compact ผลิตขายช่วงปี 1999 – 2002

8 ชื่อยี่ห้อรุ่นรถยนต์ ที่นำมาจากชื่อ "เสือ"

Panther (Pantera)

Panther (หรือ Pantera ในภาษาอิตาลี) มีความหมายว่า “เสือดำ” ได้ถูกนำมาตั้งแต่เป็นชื่อรุ่นของรถสปอร์ตชื่อดังในอดีตอย่าง DeTomaso Pantera (เดอโทมาโซ่ แพนเทร่า) ที่ผลิตออกขายตั้งแต่ปี 1971 – 1992

8 ชื่อยี่ห้อรุ่นรถยนต์ ที่นำมาจากชื่อ "เสือ"

Puma

เสือพูม่า “Puma” หรือสัตว์ในตระกูลเดียวกับเสือคูการ์ เสือพูม่า ที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกา นอกจากจะเป็นชื่อแบรนด์รองเท้าชื่อดังแล้ว ก็ได้ถูกนำมาตั้งเป็นชื่อรุ่นรถของ Ford ในชื่อ Ford Puma (ฟอร์ด พูม่า) ซึ่งเป็นรถสปอร์ต 2 ประตู แบบ Compact ที่ผลิตออกขายตั้งแต่ปี 1997 – 2002

8 ชื่อยี่ห้อรุ่นรถยนต์ ที่นำมาจากชื่อ "เสือ"

Cheetah

เสือชีตาห์ “Cheetah” เป็นสัตว์ที่วิ่งได้เร็วมากวิ่งได้เร็วประมาณ 110–120 กม./ชม. จัดเป็นสัตว์บกที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก ก็ได้ถูกนำมาตั้งแต่ชื่อรถเช่นกัน โดย “ไทยรุ่งยูเนี่ยนคาร์” ได้นำชื่อของ Cheetah มาตั้งเป็นชื่อของ “Cheetah” รถบรรทุก และรถมินิบัสของไทยรุ่ง เมื่อกาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว …

ไทยรุ่งฯ นำเอาแชสซีส์ที่ใช้แล้ว + เครื่องยนต์เก่าจากญี่ปุ่นมาทำใหม่หมดทั้งคัน ทำให้คุณภาพใกล้เคียงประมาณ 80% ของรถใหม่

โครงการนี้ของไทยรุ่งฯ เริ่มจาก เปลี่ยนรถสองแถวเป็นมินิบัส ตามนโยบายของ ขสมก. จำนวน 300 คัน ต่อมารัฐบาลไม่ดำเนินโครงการนี้ และความต้องการของตลาดในส่วนของโรงเรียนอนุบาล หรือตลาดอื่นน้อยลง ไทยรุ่งฯ จึงยกเลิกโครงการซีต้ามินิบัสไป

8 ชื่อยี่ห้อรุ่นรถยนต์ ที่นำมาจากชื่อ "เสือ"

Lion (Leon)

สิงโต หรือ “Lion” (Leon ในภาษาสเปน และ Leone ในภาษาอิตาลี) จัดเป็นสัตว์ในวงศ์ Felidae ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ด้วยบุคลิกอันดุดันและน่าเกรงขาม ทำให้รถยนต์หลายยี่ห้อนำมาตั้งชื่อเป็นรุ่นรถในแบรนด์ตัวเอง อาทิเช่น Seat Leon (เซียท ลีออง) หรือ Subaru Leone (ซูบารุ เลโอเน่) เป็นต้น

สำหรับท่านใดที่สงสัยในชื่อรุ่นรถมานาน ว่ารถของเรา มาจากเสือชนิดไหน คงกระจ่างกันแล้วนะครับ …

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์คันใหม่ มาขายรถกับทาง CARRO Express ได้ที่  https://th.carro.co/sell-car/express หรือถ้าหากต้องการซื้อรถคุณภาพเยี่ยม CARRO เราก็มีพร้อมให้คุณเลือกอย่างมากมายด้วยเช่นกัน พร้อมรับประกันสูงสุดถึง 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร กับ CARRO Automall ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://th.carro.co/taladrod/

Carro Automall / คาร์โร ออโต้มอลล์

หากใครอยากซื้อรถมือสองสภาพเยี่ยม ราคาสบายๆ และมั่นใจได้ในเรื่องคุณภาพทุกคัน CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ ตอบโจทย์คุณด้วยคอนเซปต์ “click.buy.drive.” คุณสามารถจองรถออนไลน์ ได้ในเวลา 1 นาที!

ซึ่งรถของ CARRO Automall เรามีให้คุณเลือกมากมาย รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพอย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 200 จุด รวมไปถึงการการปรับสภาพ (Car Reconditioning) ด้วยทีมช่างมืออาชีพ ที่ผ่านการผึกอบรมตามมาตรฐานคาร์โรกว่า 40 คน พร้อมให้บริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว กว่า 20 คัน/วัน

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” เลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา รวมถึงมีเทคโนโลยีสนับสนุนฝ่ายขาย ทั้ง Digital Device ที่เชื่อมต่อกับ Digital Screen นำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และจัดการเรื่องเอกสารให้กับลูกค้าให้ตั้งแต่ต้นจนจบ บวกกับ Online Viewing Service ที่ลูกค้าสามารถวิดีโอคอล ตรวจสภาพรถยนต์คันที่สนใจได้แบบเรียลไทม์

เรารับประกันคุณภาพรถ 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร! (CARRO Quality Assurance) อีกทั้งยังการันตีความพึงพอใจ คืนเงินได้ภายใน 5 วันอีกด้วย! ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม กับ CARRO Automall สิ!

หรือถ้าหากสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall Thailand โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall ครับ

แตกต่างอย่างไร ยางเราเสียหายจากการผลิตหรือเกิดจากการใช้งาน?

สวัสดีครับวันนี้ไทร์บิด กลับมาอีกครั้งมาพูดคุยกันเรื่องของการรับประกันยางกันครับ ไทร์บิดอยากจะอธิบายเพื่อนๆ ครับ ว่าการรับประกันยางนั้นมันครอบคลุมยังไงบ้างครับ เพราะหลายคนสงสัยว่าเคสไหนถึงอยู่ในการรับประกัน เพราะเนื่องมาจากลักษณะความเสียหายของยางเมื่อคนทั่วไปทราบก็คือ เมื่อยางเสียหายแล้วไม่ว่าจะทั้งเกิดจากการแตกระเบิดหรือบวมจนปูดเป็นลูกมะนาวแล้ว ซึ่งเพื่อนๆ ก็คงจะแยกไม่ออกว่าเกิดจากการใช้งานหรือว่าเกิดจากการผลิตใช่ไหมหล่ะครับ วันนี้ไทร์บิดเลยอยากมาอธิบายเบื้องต้นเพื่อแยกประเภทความเสียหายของยางที่อยู่ในการรับประกัน และ นอกการรับประกัน

แตกต่างอย่างไร ยางเราเสียหายจากการผลิตหรือเกิดจากการใช้งาน?

อย่างแรกเลย การรับประกันของยางในแต่ละยี่ห้อจะมีระยะเวลาที่แตกต่างกันครับตั้งแต่ 2 ปี จนถึง 6 ปีเลยทีเดียวซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละยี่ห้อไป แต่แบรนด์พรีเมียมๆ ก็จะอยู่ราวๆ 4-6 ปี ครับ

เพราะฉะนั้นเพื่อนๆ ที่ใช้งานรถยนต์กันทุกวันผมก็เชื่อว่า 4 ปี ยางก็น่าจะใช้ไปประมาณ 60,000-70,000 กิโลเมตรได้อยู่แล้วครับ และก็จะใกล้เคียงกับการใช้งานสูงสุดของยางเมื่อยางติดรถอยู่ที่ 5 ปีครับผม ซึ่งก็จะถึงเวลาเปลี่ยนพอดี แปลว่า การรับประกัน กับ การใช้งานจริงก็แทบจะครอบคลุมตลอดอายุการใช้งานครับผม เพื่อนๆ ที่ใช้แบรนด์พรีเมียมก็สบายใจได้ว่าแทบจะตลอดอายุการใช้งานของยางกลุ่มแบรนด์พรีเมียมนั้นมีการรับประกันการผลิตตลอดอายุการใช้งาน

แตกต่างอย่างไร ยางเราเสียหายจากการผลิตหรือเกิดจากการใช้งาน?

อย่างที่สอง การรับประกันทุกกรณี ปัจจุบันเป็นที่ค่อนข้างนิยมอย่างมากในการทำการตลาดในประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นการรับประกันจากบริษัทผู้ผลิตเอง หรือการรับประกันจากศูนย์บริการต่างๆ เอง อย่างที่ไทร์บิดของเราก็จะมีการรับประกันทุกกรณี 90 วัน เพราะทุกคนเข้าใจดีว่ายางแต่ละเส้นนั้นมีราคาที่ค่อนข้างสูง หากยางใช้งานได้ไม่นานแล้วแตกเสียหายหรือเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาก็ต้องเปลี่ยนยางใหม่ ซึ่งก็ถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่เยอะเกินความจำเป็นซึ่งการรับประกันทุกกรณีจึงเป็นทางออกทางหนึ่งที่ช่วยเพื่อนๆลดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ได้ครับ

แต่เพื่อนๆ ก็ต้องอ่านเงื่อนไขของแต่ละยี่ห้อให้ชัดเจนครับเพราะบางยี่ห้อ จะรับประกันทุกกรณีก็จริงแต่อาจจะแจ้งว่าเมื่อใช้ยางไปไม่เกินกี่ % กรณีต่ำกว่า % ที่แจ้งก็อาจจะเป็นการเคลมคืนตามสัดส่วนดอกยางที่เหลืออยู่ครับ แต่ไทร์บิดก็ยังเห็นว่าก็ยังคุ้มอยู่ดีละครับอย่างน้อยก็ยังเคลมเป็นมูลค่าออกมาได้ ซึ่งเพื่อนๆ น่าจะต้องเข้าใจว่าที่ผ่านมาเราก็ใช้ยางมาได้สักระยะแล้วเหมือนกันครับ

ต่อมาเรามาแยกประเภทกันครับ ว่าแบบไหนที่เป็นเคสที่เกิดจากการใช้งาน หรือ เคสที่เกิดจากการผลิตครับเพื่อนๆ จะได้เข้าใจเพิ่มมากยิ่งขึ้น

แตกต่างอย่างไร ยางเราเสียหายจากการผลิตหรือเกิดจากการใช้งาน?

เรามาเริ่มที่เคสที่เกิดจากการใช้งานก่อนครับ แน่นอนครับการใช้งานเพื่อนๆ ต้องรู้และทราบอยู่ในกรณีเบื้องต้นว่ากรณีที่ยางรถของเราตกหลุม กระแทก เบียดฟุตบาท หรือ ลมอ่อนวิ่งบด เคสนี้จะเกิดจากการใช้งานแน่นอนซึ่งเราไม่สามารถใช้เป็นเคสของการรับประกันทุกกรณีแน่นอนสำหรับกรณีที่อยู่ในประกัน แต่ กรณีที่ว่าอยู่ดีดียางบวม หรือ แตกเสียหายโดยไม่ทราบสาเหตุอยากให้เพื่อนๆสังเกตนิดนึงครับ ว่าบริเวณที่แตกเสียหายนั่น มีลักษณะของยางที่โดนเบียดโดนถูมารึเปล่า เพราะส่วนมากแล้วในบางครั้งเมื่อเราเบียดมาโครงยางด้านในอาจจะหักแต่ไม่ถึงแตกครับ ซึ่งอาการต่อมายางจะค่อยๆ บวมจนถึงแตกครับซึ่งเราก็จะคิดว่าเฮ้ยเราใช้งานปกติทำไมยางมันบวมแตกเสียหาย ซึ่งยางบางครั้งจะเกิดจากอาการที่เสียหายจากการสะสมและใช้งานอย่างต่อเนื่องครับ หรือ ไม่ว่าจะมีตะปูตำมาคาอยู่ก็อาจจะทำให้ยางแตกเสียหายได้เมื่อใช้งานไปสักระยะเพื่อนๆ ต้องเข้าใจก่อนครับว่ากรณีตะปูตำมาแล้วทำไมยังใช้ได้อยู่ บางครั้งสิ่งแปลกปลอมที่ตำนั่นมีขนาดเล็กมากทำให้ลมซึมออกช้า ประกอบกับยางปัจจุบันเป็นยางเรเดียลซึ่งการสูญเสียลมจากการรั่วนั้นจะค่อยๆ ซึมออกเพราะฉะนั้นบางครั้งเราจะไม่รู้เลยว่ายางเราโดนจะปูตำอยู่แล้วเป็นสาเหตุที่ทำให้ยางแตกเสียหายครับ

แตกต่างอย่างไร ยางเราเสียหายจากการผลิตหรือเกิดจากการใช้งาน?

และกรณีสุดท้ายที่เจอก็จะเป็นเกี่ยวกับเรื่องลมยางครับ ทำไมถึงให้เช็กลมยางกันเป็นประจำเพราะลมยางจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ยางเสียหายได้ครับ เช่น ยางปริบริเวณไหล่เพราะหากเรามีลมที่น้อยเป็นเวลานานๆนั้นจะทำให้ภาระการรับน้ำหนักตกไปอยู่ที่บริเวณไหล่ยางจนปริได้ ซึ่งเพื่อนๆ ก็จะเข้าใจว่ายางไม่ได้ปริง่ายแตกง่ายครับ

ส่วนที่สองการเช็กลมบ่อยๆ เป็นการเช็กจุ๊บลมไปในตัวด้วยเพราะต้องบอกว่า จุ๊บลมมีโอกาสเสียหายได้เพราะทำจากยาง และเมื่อโดนความร้อนทำให้เกิดการเสื่อมและกักเก็บลมไม่ได้ 100% ครับ ก็อาจจะทำให้ลมยางเราอ่อนและเกิดปัญหายางเสียหายได้ ซึ่งอาการแบบนี้จะเป็นอาการที่เกิดจากการใช้งานทั้งหมดและเจอบ่อยๆ ครับ

ส่วนกรณีที่เกิดจากการผลิต เอาตรงๆอยากจะบอกว่าเจอไม่ค่อยเยอะมากกับแบรนด์คุณภาพที่เรารู้จักกัน ส่วนมากอาการที่เจอก็จะเป็นอาการยางบวมครับ กรณีที่เกิดปัญหาจากการผลิตส่วนมากก็คือการประกอบยางซึ่งเมื่อก่อนเราประกอบด้วยกำลังคนอยู่ในบางขั้นตอนทำให้ยางนั้นมีโอกาสตกคุณภาพได้ ซึ่งอาจจะทำให้มีช่องว่างในชั้นยางและเกิดอาการบวมได้ครับ แต่เดี๋ยวนี้ใช้เครื่องผลิตหมดแล้วโอกาสเจอเลยยิ่งต่ำลงครับ ซึ่งถ้าเพื่อนไม่เจออาการจากข้างต้นแล้ว อยู่ดีดียางบวมแตกเสียหายนั้นสามารถส่งเคลมได้เลยครับเพื่อให้เกิดความมั่นใจในคำตอบว่ายางที่เราใช้มีปัญหาอย่างไร แต่ต้องบอกว่าทุกแบรนด์ใช้เวลาในการตรวจสอบนานครับเป็นหลักเดือนครับขอให้เพื่อนๆทำใจไว้

หากเพื่อนๆมีข้อสงสัยไม่รู้ว่าจะเลือกยางยี่ห้อไหนและช้อปเช็กยาง & นัดหมายออนไลน์ที่ https://tiresbid.com/homeได้เลยครับ เพราะเราเป็นเว็บจำหน่ายยางที่ดีที่สุดครับ มีแบรนด์สินค้าคุณภาพให้เลือกมากที่สุด และเพื่อนๆสามารถหาอ่านบทความรู้ยานยนต์และรีวิวยางรถยนต์ครอบคลุมการใช้งานมากที่สุดในประเทศ แถมไทร์บิดเรายังมีบริการผู้เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาอย่างเป็นกลาง ให้เพื่อนๆที่ต้องการสอบถามได้ยางที่เหมาะสมที่สุดผ่านทาง Line OA : @tiresbid (เติม@ด้วยนะครับ) เราเป็นตัวกลางยางมืออาชีพโปรโมชั่นพิเศษไทร์บิดมากมาย  ให้บริการครบทุกรูปแบบ จุดบริการ เปลี่ยนถึงบ้าน จัดส่ง Fast service ทุกรูปแบบการรับบริการนัดหมายล่วงหน้า ใช้เวลาเพียง 1 ชม.ในการรับบริการติดตั้งเปลี่ยนยาง ให้เรื่องยางรถของคุณง่ายยิ่งขึ้น ซื้อยางรถมั่นใจทุกครั้งที่ไทร์บิด วันนี้ก็ขอขอบคุณมากครับเพื่อนๆ ที่ติดตาม หากมีข้อสงสัยเลือกยางไม่ถูกสอบถามมาที่ไทร์บิดของเราได้เลยครับ วันนี้ขอบคุณมากครับ

ที่มา “ทางม้าลาย” สู่สัญลักษณ์บนถนนทั่วโลก

ทุกวันนี้ ตั้งแต่กระแสสังคมมีเรื่องของ “ทางม้าลาย” สัญลักษณ์สำหรับให้คนเดินข้ามถนน เป็นที่พูดถึงกันอย่างมหาศาลในโซเชียลมีเดียอีกครั้ง จนหลายคนก็เริ่มสงสัยกันว่า ทางม้าลาย นี่เราได้ต้นแบบมาจากสีขาว-ดำ จากผิวของม้าลายจริงๆ หรือ?

ที่มา "ทางม้าลาย" สู่สัญลักษณ์บนถนนทั่วโลก

สำหรับต้นกำเนิดของทางม้าลายนี้ ประวัติจะเป็นอย่างไร CARRO ค้นหาประวัติและรายละเอียด มาให้ได้ศึกษากันเป็นความรู้ครับ

ที่มา "ทางม้าลาย" สู่สัญลักษณ์บนถนนทั่วโลก

ทางม้าลายยุค 30 ในประเทศอังกฤษ

สำหรับทางม้าลาย (Zebra Crossing ในภาษาอังกฤษแบบอังกฤษ หรือ Marked Crosswalk ในภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน) มีต้นกำเนิดครั้งแรกจากการแนะนำในกฎหมายข้อ 18 ของ Road Traffic Act ปี 1934 ในสหราชอาณาจักร ที่รถทุกประเภทต้องหยุดให้คนเดินข้ามถนน พร้อมกำหนดให้จุดข้ามถนนของผู้คน ต้องมีลักษณะเป็นเส้นตรงสลับช่องในแนวขวางของถนน

ซึ่งมีการทดลองใช้สีทางม้าลายมาหลายครั้ง ด้วยความกว้าง 40 – 60 เซนติเมตร ทั้งสีเหลือง-น้ำเงิน, สีขาว-แดง และสีขาว-ดำ ก่อนจะถูกเริ่มใช้ครั้งแรกในประเทศอังกฤษเมื่อปี 1949 เป็นสีเหลือง-น้ำเงิน โดยทดลองใช้อยู่ประมาณ 1,000 แห่งทั่วประเทศ

ที่มา "ทางม้าลาย" สู่สัญลักษณ์บนถนนทั่วโลก

Leslie Hore-Belisha รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมอังกฤษ และทางม้าลายแห่งแรกที่ใช้สีขาว-ดำ ในปี 1951

2 ปีต่อมา ในปี 1951 ก็มีข้อสรุปว่าจะใช้สีขาว-ดำ เป็นสัญลักษณ์ในเมืองผู้ดี เนื่องจากสีขาวกับสีดำ ตัดกับสีถนนได้ดี และมองเห็นชัดทั้งคนขับรถและคนข้ามถนน พร้อมกับเริ่มใช้ครั้งแรกบนถนนในเมือง Slough เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 1951

และจะอยู่คู่กับเสาไฟสัญญาณ Belisha Beacon (เบลิชชา บีคอน) ที่เป็นไอเดียของรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมอังกฤษ Leslie Hore-Belisha (เลสลี ฮอร์ เบลิสชา) เพื่อใช้เป็นจุดรอสัญญาณข้ามถนน เมื่อใดที่โคมไฟสีส้มบนเสาสว่างขึ้น รถบนถนนก็จะหยุดให้คนข้าม ไม่ต่างจากทางม้าลายในปัจจุบัน

ที่มา "ทางม้าลาย" สู่สัญลักษณ์บนถนนทั่วโลก

เสาไฟ Belisha Beacon ที่อดีตอาณานิคมของอังกฤษหลายประเทศในโลก ยังใช้ถึงทุกวันนี้

ส่วนที่มาของคำว่า “ทางม้าลาย” (Zebra Crossing) นั้นมาจาก James Callaghan อดีตนายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร (1976 – 1979) ที่มองเห็นทางม้าลายแล้วบอกว่า “เห็นสีขาว-ดำสลับกันบนถนนแล้ว นึกถึงม้าลายเลยล่ะ”

ที่มา "ทางม้าลาย" สู่สัญลักษณ์บนถนนทั่วโลก

มาเลเซีย ยังคงใช้ระบบทางม้าลาย พร้อมตีเส้นซิกแซกตามแบบอังกฤษ

ต่อมา ทางม้าลายก็ได้แพร่หลายไปทั่วโลก ในยุคที่อังกฤษยังมีปกครองอาณานิคมอยู่หลายพื้นที่ในโลก ก็ได้นำเอาแนวคิดการขับรถและรูปแบบถนนของอังกฤษไปใช้ในอาณานิคมตัวเองทั่วโลก ทำให้ทางม้าลายจึงแพร่หลาย กลายเป็นสัญลักษณ์จราจรแบบสากลมาจนถึงปัจจุบันนั่นเอง

ทั้งนี้ในประเทศอังกฤษ มีการตีเส้นถนนแบบซิกแซกก่อนถึงทางม้าลายเอาไว้ด้วย เพื่อเป็นการเตือนผู้ขับขี่ว่าข้างหน้าจะเป็นทางข้าม ให้ชะลอความเร็ว เตรียมหยุดรถ และห้ามขับแซง เนื่องจากเส้นซิกแซกจะช่วยให้สะดุดตา

ที่มา "ทางม้าลาย" สู่สัญลักษณ์บนถนนทั่วโลก

ส่วนทางม้าลายที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในโลก ก็คงต้องยกให้ทางม้าลายบนถนน Abbey Road ในเขต Camden กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เพราะถูกนำไปเป็นภาพปกอัลบั้ม Abbey Road ผลงานสตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 11 ขณะสมาชิกวง The Beatles (เดอะ บีเทิลส์) เดินเรียงแถว ก้าวขาข้ามทางม้าลายไปยัง Abbey Road Studios ตั้งอยู่

ทำให้ถนนอันเงียบสงัดสายนี้ ได้กลายเป็นสถานที่สำคัญของชาติ และในปี 2010 คณะกรรมการมรดกทางวัฒนธรรมของอังกฤษ ได้ยกย่องให้ถนนเส้นนี้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติชั้นที่ 2 เลยทีเดียว!

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

แต่ถ้าใครอยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์ไฟฟ้าคันใหม่ มาขายรถกับทาง CARRO Express ได้ที่  https://th.carro.co/sell-car/express หรือถ้าหากต้องการซื้อรถคุณภาพเยี่ยม CARRO เราก็มีพร้อมให้คุณเลือกอย่างมากมายด้วยเช่นกัน พร้อมรับประกันสูงสุดถึง 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร กับ CARRO Automall ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://th.carro.co/taladrod/

Carro Automall / คาร์โร ออโต้มอลล์

หากใครอยากซื้อรถมือสองสภาพเยี่ยม ราคาสบายๆ และมั่นใจได้ในเรื่องของความสะอาดทุกคัน CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ ตอบโจทย์คุณด้วยคอนเซปต์ “click.buy.drive.” คุณสามารถจองรถออนไลน์ ได้ในเวลา 1 นาที!

ซึ่งรถของ CARRO Automall เรามีให้คุณเลือกมากมาย รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพอย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 200 จุด รวมไปถึงการการปรับสภาพ (Car Reconditioning) ด้วยทีมช่างมืออาชีพ ที่ผ่านการผึกอบรมตามมาตรฐานคาร์โรกว่า 40 คน พร้อมให้บริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว กว่า 20 คัน/วัน

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” เลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา รวมถึงมีเทคโนโลยีสนับสนุนฝ่ายขาย ทั้ง Digital Device ที่เชื่อมต่อกับ Digital Screen นำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และจัดการเรื่องเอกสารให้กับลูกค้าให้ตั้งแต่ต้นจนจบ บวกกับ Online Viewing Service ที่ลูกค้าสามารถวิดีโอคอล ตรวจสภาพรถยนต์คันที่สนใจได้แบบเรียลไทม์

เรารับประกันคุณภาพรถ 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร! (CARRO Quality Assurance) อีกทั้งยังการันตีความพึงพอใจ คืนเงินได้ภายใน 5 วันอีกด้วย! ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม กับ CARRO Automall สิ!

หรือถ้าหากสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall Thailand โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall ครับ

แหล่งที่มาบางส่วนจาก:

รวม 7 ปัญหาบนท้องถนนแบบ “ไทยสไตล์”

ประเทศไทย เป็นประเทศที่มีสถิติการเกิดอุบัติเหตุบนถนนสูงสุดระดับโลก สาเหตุก็มาจากหลายๆ ปัญหาของผู้ใช้รถใช้ถนน ทั้งการไม่เคารพกฎหมาย ความประมาท ความใจร้อนจนเกิดการทะเลาะวิวาท, อุบัติเหตุ ฯลฯ ซึ่งปัญหาพวกนี้แก้ไขได้ หากคุณมีสติในการขับรถ เคารพกฎจราจร มีน้ำใจแก่ผู้ร่วมทาง

ในบทความนี้ CARRO จึงรวมสาเหตุหลักๆ ที่เป็นปัญหาบนท้องถนนบ้านเรามาให้ผู้อ่านทราบ เพื่อที่จะได้รับรู้และรับมือกับปัญหาเหล่านี้ได้อย่างถูกต้องค่ะ

รวมปัญหาบนท้องถนนแบบ “ไทยสไตล์”

ภาพจาก lavanont

1. ไม่เคารพกฎจราจร

นี่เป็นสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้รถติดหรือเกิดอุบัติเหตุทั้งหมดบนท้องถนน อย่างเช่น การขับรถฝ่าไฟแดงที่พบเห็นกันอยู่บ่อยๆ และการละเลยป้ายเตือนข้างทาง รวมถึงคนที่ขับรถโดยไม่รู้กฎจราจรอีกด้วย

ซึ่งตามหลักกฎหมาย คุณจะไม่สามารถอ้างได้ว่าไม่รู้กฎหมาย ดังนั้น หากไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เศร้าสลด หรือต้องเสียค่าปรับ ก็ควรศึกษาเกี่ยวกับกฎจราจรให้ดี และขับขี่รถอย่างถูกกฎ

รวมปัญหาบนท้องถนนแบบ “ไทยสไตล์”

ภาพจาก FM91 Trafficpro

2. ขับรถเร็วและชอบแซง

คนไทยชอบใจร้อนตามอากาศ และมีนิสัยชอบขับรถเร็วและขับแซงรถคันอื่นๆ จึงทำให้เกิดเหตุการณ์รถชนหรือแหกโค้งพลิกคว่ำบนถนนบ่อยๆ ซึ่งในแต่ละปีนั้น มีการสูญเสียที่เกิดจากการขับรถด้วยความใจร้อนและประมาทแบบนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว และถ้าคุณไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ก็ควรขับรถด้วยความใจเย็น มีสติ หรือไม่ขับแซงรถคันอื่นๆ เป็นอันขาด

รวมปัญหาบนท้องถนนแบบ “ไทยสไตล์”

ภาพจาก โปรแกรมเมอร์ @watcharate

3. จอดล้ำเส้นทางม้าลาย / ไม่จอดให้คนข้ามทางม้าลาย

เป็นปัญหาที่พบเห็นได้ทุกวัน นั่นก็คือ รถจักรยานยนต์จอดล้ำและกีดขวางทางม้าลาย เกิดจากการขับรถมาจอดเป็นคันแรก เพื่อให้สามารถออกตัวก่อน ซึ่งทำให้ล้ำเส้นหยุด แต่ขณะเดียวกันรถยนต์ก็ไปจอดช่องรถจักรยานยนต์ ทำให้รถจักรยานยนต์ต้องจอดเลยเส้น นี่ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดรถติดและปัญหาอื่นตามมา ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวเป็นพฤติกรรมที่เป็นอันตราย และอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ด้วยค่ะ

รวมปัญหาบนท้องถนนแบบ “ไทยสไตล์”

ภาพจาก นู๋ปู กู้ภัยชาละวันพิจิตร

4. ไม่หลีกทางให้รถกู้ภัย

อีกปัญหาของสังคมไทยที่เป็นประเด็นข่าวอยู่บ่อยๆ นั่นคือ การขวางหรือไม่หลีกทางให้กับรถกู้ชีพ, กู้ภัยของมูลนิธิและรถฉุกเฉินโรงพยาบาล ส่วนสาเหตุไม่หลีกทางให้นั้น อาจมองกว้างๆ ได้ 2 ประเด็น คือ

  • บางคนอาจขับรถโดยเหม่อลอย ขับไปเรื่อยๆ ไม่ตั้งใจขับ หรืออาจเล่นโทรศัพท์ จนไม่ได้ยินเสียงสัญญาณไฟ
  • บางคนมีปมกับรถฉุกเฉิน เพราะเมืองไทยมีรถฉุกเฉินเยอะเกินไป ทำให้ความศักดิ์สิทธิ์ของสัญญาณไฟหายไป คนไม่เชื่อว่ารถจะไปกู้ภัยจริงๆ จึงไม่หลีกทางให้ ซึ่งหลายๆ ครั้งก็ทำให้เกิดการสูญเสียแบบที่ไม่น่าเกิด

รวมปัญหาบนท้องถนนแบบ “ไทยสไตล์”

5. คุยโทรศัพท์ในขณะขับรถ

แม้จะมีกฎหมายห้ามออกมา แต่ก็ยังมีคนที่ฝืนกฎและคุยโทรศัพท์ในขณะขับรถอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหารถติดและอุบัติเหตุบ่อยครั้ง เนื่องจากคุยโทรศัพท์จนเสียสมาธิในการขับรถ ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกัน ทุกครั้งที่ขับรถคุณต้องไม่คุยโทรศัพท์อย่างเด็ดขาด หากจำเป็นก็แนะนำให้จอดรถข้างทาง คุยธุระให้เสร็จแล้วค่อยขับรถต่อไป

รวมปัญหาบนท้องถนนแบบ “ไทยสไตล์”

ภาพจาก FM91 Trafficpro

6. เมาแล้วขับ

เป็นปัญหาโลกแตกที่หาทางแก้ไขกันมานาน แม้จะมีการรณรงค์ห้ามคนเมาแล้วขับอยู่เสมอ แต่ทุกวันนี้ ก็ยังมีคนที่เมาแล้วขับอยู่จำนวนมาก และปัญหาที่ตามมาก็คือ การเกิดอุบัติเหตุอย่างไม่คาดคิดจนทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บในแต่ละปีเป็นจำนวนมากเช่นกัน

เพราะฉะนั้นคุณควรพึงระลึกไว้เสมอว่า ไม่ควรขับขี่ในขณะที่กำลังเมาเป็นอันขาด ไม่ว่าจะเป็นรถจักรยานยนต์หรือรถยนต์ก็ตาม อย่างน้อยก็เซฟเรื่องความปลอดภัยของตัวเอง และจะได้ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นบนท้องถนนค่ะ

รวมปัญหาบนท้องถนนแบบ “ไทยสไตล์”

ภาพจาก JS100 Radio

7. ขับขี่รถย้อนศร

พฤติกรรมการขับขี่รถย้อนศรอาจพบเห็นไม่บ่อยนักสำหรับคนขับรถยนต์ แต่คนขี่รถมอเตอร์ไซค์มักมีพฤติกรรมที่มักง่ายเช่นนี้ และพบเห็นได้ค่อนข้างบ่อย ในถนนเส้นใหญ่ที่มีทางกลับรถในระยะไกล จึงเป็นสาเหตุที่ไม่อยากไปกลับรถและเลือกที่จะขี่รถย้อนศร ทำให้ในบางครั้งคนที่ใช้ท้องถนนในเลนที่ถูกต้องกลับต้องหักหลบ หรือมองไม่เห็นรถที่ย้อนศรมา ซึ่งอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

แต่ถ้าใครอยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์ไฟฟ้าคันใหม่ มาขายรถกับทาง CARRO Express ได้ที่  https://th.carro.co/sell-car/express หรือถ้าหากต้องการซื้อรถคุณภาพเยี่ยม CARRO เราก็มีพร้อมให้คุณเลือกอย่างมากมายด้วยเช่นกัน พร้อมรับประกันสูงสุดถึง 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร กับ CARRO Automall ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://th.carro.co/taladrod/

Carro Automall / คาร์โร ออโต้มอลล์

หากใครอยากซื้อรถมือสองสภาพเยี่ยม ราคาสบายๆ และมั่นใจได้ในเรื่องของความสะอาดทุกคัน CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ ตอบโจทย์คุณด้วยคอนเซปต์ “click.buy.drive.” คุณสามารถจองรถออนไลน์ ได้ในเวลา 1 นาที!

ซึ่งรถของ CARRO Automall เรามีให้คุณเลือกมากมาย รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพอย่างละเอียดแบบ Double Check มากกว่า 200 จุด รวมไปถึงการการปรับสภาพ (Car Reconditioning) ด้วยทีมช่างมืออาชีพ ที่ผ่านการผึกอบรมตามมาตรฐานคาร์โรกว่า 40 คน พร้อมให้บริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว กว่า 20 คัน/วัน

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” เลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา รวมถึงมีเทคโนโลยีสนับสนุนฝ่ายขาย ทั้ง Digital Device ที่เชื่อมต่อกับ Digital Screen นำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และจัดการเรื่องเอกสารให้กับลูกค้าให้ตั้งแต่ต้นจนจบ บวกกับ Online Viewing Service ที่ลูกค้าสามารถวิดีโอคอล ตรวจสภาพรถยนต์คันที่สนใจได้แบบเรียลไทม์

เรารับประกันคุณภาพรถ 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร! (CARRO Quality Assurance) อีกทั้งยังการันตีความพึงพอใจ คืนเงินได้ภายใน 5 วันอีกด้วย! ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม กับ CARRO Automall สิ!

หรือถ้าหากสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall Thailand โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall ครับ