ใบจองรถ, Check, รถใหม่, โปรโมชั่น, Motor Show

ความจริง 4 ข้อที่ควรรู้ก่อนเซ็น “ใบจองรถ” ป้องกันการเกิดสารพัดปัญหาในภายหลัง

ในช่วงปลายเดือนนี้ หลายๆคนอาจจะเห็นข่าวกิจกรรม พร้อมกับรูปรถสวยๆหลากหลายแบรนด์บน Facebook และ Instagram จากงาน Motor expo 2018 กันบ้าง

ซึ่งมีตั้งแต่รถแบรนด์ตลาดไปจนถึง Super Car ในงานนี้หลายๆ ค่ายรถก็แข่งกันเสนอโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถมให้กับลูกค้าในงานกันอย่างดุเดือด จนเหยื่อการตลาดหลายๆ คนโดนแรงดึงดูดจากข้อเสนอต่างๆ ไปจับไปดูไปทดลองสินค้าจนเกิดกิเลส และในที่สุดก็ตัดสินใจซื้อ เพราะแพ้ข้อเสนอที่แสนดึงดูดใจนั่นเอง (การซื้อของได้ถูกหรือได้ของแถมเยอะกว่าชาวบ้าน เป็นลาภอันประเสริฐ)

ซึ่งการซื้อรถยนต์คันหนึ่งนั้น หากเจอเซลส์ดีก็ถือว่าโชคดีไป แต่เซลส์บางคน ก็มักจะรับปากกับลูกค้าในสิ่งที่ไม่สามารถให้ได้ตั้งแต่แรก เพื่อหวังจะเพิ่มยอดขายให้บริษัท ซึ่งอาจก่อปัญหาให้ลูกค้าที่ซื้อรถไปในภายหลัง ในวันนี้

Carro จึงมานำเสนอความจริง 4 ข้อที่ควรทำ ก่อนที่คุณจะตัดสินใจเซ็นใบจองรถ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาภายหลังการได้รับสินค้าหรือรถคันใหม่ของคุณนั่นเอง

 

1.ใบจองรถต้องมีหัวกระดาษของโชว์รูม

ใบจองรถที่ถูกต้อง ต้องเป็นกระดาษฟอร์ม พร้อมหัวกระดาษของโชว์รูมที่คุณกำลังซื้อรถอยู่เท่านั้น เพราะสิ่งเหล่านี้มีผลทางกฎหมายหากเกิดเหตุขัดแย้งในภายหลัง และใบจองรถต้องเขียนข้อมูลราคา, เงินดาวน์, ค่างวด, รายการของแถม, ส่วนลดและรายละเอียดต่างๆ ให้ครบถ้วน

 

2.ต้องให้เซลส์เป็นผู้เขียนรายการทั้งหมดด้วยลายมือ

รายการของแถมและส่วนลดต่างๆ ควรเขียนด้วยลายมือของเซลส์เองทั้งหมด เพื่อป้องกันข้อโต้แย้งในกรณีได้รับของแถมไม่ครบ หรือไม่ได้ส่วนลดตามที่ได้ตกลงกันไว้ตั้งแต่แรก

 

3.ใบจองรถต้องระบุชื่อเซลส์ และลงวันที่


ใบจองรถควรระบุชื่อจริงของเซลส์เอาไว้ รวมถึงลงวันที่ทำสัญญา และวันกำหนดรับรถให้ชัดเจน เพราะจะสามารถใช้เป็นหลักฐาน ในกรณีที่ต้องรอรับรถเป็นระยะเวลานาน เผื่อกรณีไม่ได้รถตามเวลาที่ตกลงไว้แต่แรก กรณีนี้ ผู้ซื้อสามารถยกเลิกสัญญาแล้วเปลี่ยนไปหาโชว์รูมที่ผู้ซื้อรับรถเร็วกว่าได้

 

4.อุปกรณ์เสริมแท้, เทียบ หรือของนอก ต้องระบุให้ชัด

กรณีที่ได้รับของแถม หรือซื้ออุปกรณ์ตกแต่งเพิ่มเติม ต้องให้เซลล์ระบุให้ชัดเจนว่า อุปกรณ์ตกแต่งดังกล่าวเป็นของแท้จากผู้ผลิต หรือเป็นของเทียบจากอู่นอก ซึ่งของแท้มักมีคุณภาพสูงกว่า ติดตั้งได้พอดีกับตัวรถ แต่ก็ราคาสูงกว่าของเทียบ ซึ่งบางครั้งเซลส์อาจนำของเทียบมาใส่ให้ แล้วบอกว่าเป็นของแท้จากศูนย์ คุณจึงต้องคุยและตกลงกับเซลล์ให้ทุกอย่างเคลียร์ตั้งแต่แรก


ซึ่งการตรวจสอบใบจองรถโดยละเอียดก่อนตกลงทำสัญญานั้น หากถึงวันรับรถแล้วพบว่ามีรายการใดที่ขาดตกบกพร่องไปจากสัญญา ผู้ซื้อจะยังมีโอกาสปฏิเสธรับรถคันนั้นได้ ดังนั้น อย่าลืมปฏิบัติตามคำแนะนำที่กล่าวไปทั้งหมด 4 ข้อ เพื่อสิทธิประโยชน์ของผู้ซื้อทุกคนนะคะ

ดูแลรถหน้าร้อน

9 เคล็ดลับที่ช่วย Keep Cool
และดูแลรถยนต์ของคุณในหน้าร้อน ใช้ได้เสมอ

ช่วงนี้! ออเจ้าทุกคนคงสัมผัสได้ถึงอากาศที่ร้อนเป็นพิเศษ เพราะเราชาวสยามประเทศกำลังเข้าสู่เดือนที่ทั้งเดือดทั้งร้อนที่สุดของปี คือ เดือนเมษายน ที่ร้อนจนถึงขนาดว่า น้ำเย็นๆ ที่เพศตรงข้ามสาดใส่เราตอนสงกรานต์ก็หาได้ดับร้อนไม่ และไม่ใช่แค่เราที่รู้สึกร้อนไปตามสภาพอากาศ สิ่งมีชีวิตอื่นก็เช่นกัน ขนาดสิ่งไม่มีชีวิตอย่าง “รถ” ก็ยังร้อนตามไปด้วย

แม้รถยนต์จะถูกสร้างให้แข็งแรง หรือทนทานขนาดไหน แต่หากขาดการดูแลก็ยากที่จะใช้งานได้อย่างราบรื่น และความร้อนมักส่งผลร้ายต่อทุกส่วนของรถยนต์ คุณจึงจำเป็นต้องตรวจสอบดูแลรถมากขึ้นในหน้าร้อน แต่หากคุณอยากรู้ว่า ต้องตรวจสอบอะไร และอย่างไรบ้าง 

Carro ก็มี 9 เคล็ดลับการดูแลรถยนต์ในช่วงหน้าร้อนมาเสิร์ฟดูแลรถหน้าร้อน

1. ตรวจสอบลมยางรถยนต์

อากาศร้อนมีผลต่อสภาพของยางเสมอ โดยจะเพิ่มความดันภายในยาง ทำให้พื้นสัมผัสของยางต่อถนนน้อยลง หากเจอพื้นถนนเปียกลื­่นก็จะหยุดยากกว่าปกติ เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ คุณจึงควรตรวจสอบสภาพยาง ลมยาง และยางอะไหล่อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง

 

2. ตรวจระบบปรับอากาศ

ควรตรวจสอบระบบปรับอากาศ อย่างเช่น ระดับของน้ำยาแอร์ ซึ่งหากเห­ลือน้อยก็อาจก่อปัญหากับระบบทำความเย็นของรถได้ ควรตรวจสอบอย่างน้อย 1 ครั้งต่อปี เพราะคงไม่ดีแน่ถ้ารถมาแอร์เสียหรือน้ำยาแอร์หมด ในช่วงที่อากาศร้อนระอุที่สุดของปี แค่คิดก็เหนียวตัวไปหมด!

 

3. แบตเตอรี่รถยนต์

อากาศร้อนแบบเฉียดนรกของบ้านเรา ส่งผลต่อระบบไฟฟ้าทั้งหมดรวมถึงแบตเ­ตอรี่รถยนต์ด้วย คุณควรหมั่นตรวจสอบระบบทั้งหมดเดือนละครั้ง ทั้งสายไฟและขั้วต่างๆ ให้อยู่ในสภาพดีเสมอ รวมถึงระดับของน้ำกลั่นในแบตเตอรี่ก็ห้ามพร่อง เพราะยิ่งอากาศร้อนน้ำยิ่งระเหยง่ายมาก

 

4. ระบบเบรก

เบรคเป็นระบบความปลอดภัยที่คนใช้รถห้ามมองข้าม หากคุณสังเกตได้ว่าเกิดความผิดปกติขณะเบรก ไม่ว่าจะเป็นการสั่นมากกว่าปกติ มีเสียงดัง หรือมีระยะการหยุดยาวกว่าปกติ ก็ควรนำรถเข้าศูนย์เพื่อตรวจสอบความผิดปกติ อย่ารอ เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุตอนขับขี่ได้ดูแลรถหน้าร้อน

5. น้ำมันเครื่อง

อากาศร้อนอาจทำให้เครื่องยนต์ต้องทำงานหนักขึ้น ดังนั้นการเลือกน้ำมันเครื่องที่เหมาะสมจะช่วยบรรเทาภาระของเครื่องยนต­์ได้มาก นอกจากนี้ การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องอย่างสม่ำเสมอตามที่คู่มือแนะนำก็จำเป็นเช่นกัน ทั้งหมดนี้จะช่วยรักษาสภาพของเครื่องยนต์ให้ทำงานให้ใช้งานได้อ­ีกนาน

 

6.ระบบหล่อเย็นเครื่องยนต์

นอกจากน้ำมันเครื่องที่ดีแล้ว ระบบหล่อเย็นก็ควรทำงานได้อย่างปกติด้วย คุณควรหมั่นตรวจสภาพของหม้อน้ำและระบบต่าง ๆ ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่มีรอยขาดหรือชำรุด รวมถึงทำความสะอาดหม้อน้ำเมื่อพบสิ่งสกปรก

 

7. สายยาง และสายพานต่างๆ


สายยางและสายพานเป็นส่วนที่เชื่อมต่อระบบต่างๆ ของรถเข้าด้วยกัน ซึ่งแม้จะมีความทนทานสูง แต่หากมีรอยชำรุดเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้ระบบของรถเกิดความผิดป­กติได้ จึงควรตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในฤดูร้อนที่ระบบภายในต่างๆ อาจเสียหายได้ง่ายเป็นพิเศษ

 

8. จอดรถในที่ร่ม

หากจำเป็นต้องจอดรถนานๆ คุณควรเลี่ยงการจอดรถในที่กลางแจ้ง เพราะนอกจากแสงแดดจะทำให้ห้องโดยสารร้อนแล้ว ยังส่งผลต่อสีตัวถังที่ซีดและเสียคุณสมบัติการปกป้องไปในไม่ช้า­ แต่หากเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ก็ควรหาผ้าคลุมตัวถังเอาไว้เพื่อเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดดโดยตรง­

 

9. เปิดกระจกก่อนเร่งแอร์

การที่หลายๆ คนเร่งแอร์ท­ันทีเมื่อขึ้นรถ โดยไม่สนว่ารถจะร้อนแค่ไหนก็ตาม จะทำให้รถทำงานหนักกว่าปกติและเปลืองน้ำมันมากขึ้น ดังนั้น ก่อนเปิดแอร์ คุณควรเปิดกระจกและพัดลมแอร์ให้แรงสักหน่อยเพื่อไล่ความร้อนออกไป ทำแบบนี้เพียง 1-2 นาที รับรองว่าแอร์ในรถจะเย็นเร็วกว่าเดิมมาก แถมประหยัดน้ำมันได้มากขึ้น

ดูแลรถหน้าร้อน

จริงๆ แล้วเคล็ดลับ 9 ข้อที่ Carro นำมาเสิร์ฟก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นสิ่งที่คนใช้รถยนต์ทุกคนควรจะตรวจสอบเป็นปกติอยู่แล้ว ยิ่งในฤดูร้อนอาจต้องเพิ่มความรอบคอบเป็นพิเศษ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อป้องกันการเกิดเหตุสุดวิสัยบนถนน และยังช่วยรักษารถยนต์ให้อยู่กับออเจ้าไปนานๆ ตลอดภพนี้ชาตินี้เลยล่ะเจ้าค่ะ

วิธี,-รถ,-กำจัดขน,-tips

5 Tips ดีๆ ในการกำจัดขนสัตว์บนรถ
ด้วยวิธีง่ายๆและได้ผลแน่นอน

การมีสัตว์เลี้ยงเป็นเรื่องที่ดี ยิ่งมีสัตว์เลี้ยงคู่ใจเป็นเพื่อนร่วมเดินทางไปด้วยกันยิ่งเป็นประสบการณ์ที่แสนพิเศษ แต่อย่างไรก็ตาม สุนัขหรือสัตว์เลี้ยงตัวโปรดของคุณก็สามารถสร้างความหายนะภายในรถได้เช่นกัน เพราะพวกเขามักจะกัด,แทะเบาะ และทิ้งขนเอาไว้จนฟุ้งกระจายไปทั่วรถ

และถึงแม้ว่า คุณจะสามารถฝึกให้สัตว์เลี้ยงของคุณไม่ให้กัดเบาะหน้ารถ หรือสามารถฝึกให้พวกเขารู้จักอดทนอยู่บนรถจนกว่าจะเจอที่ขับถ่ายที่เหมาะสม แต่คุณก็ไม่สามารถฝึกหรือห้ามสัตว์เลี้ยงของคุณ ให้พวกเขาไม่ทิ้งขนไว้บนรถได้แน่ๆ แต่ปัญหาทั้งหมดที่กล่าวมาสามารถจัดการได้ เพียงแค่คุณทำตามคำแนะนำง่ายๆเหล่านี้ คุณก็สามารถจัดการ “ขน” ภายในรถได้อย่างง่ายดายและมีประสิทธิภาพ

 

1. ใช้มือเปียกๆลูบเบาะภายในรถ

ใช้มือเปียกๆลูบเบาะภายในรถ

ไม่สำคัญว่าสุนัขของคุณจะมีขนาดใหญ่หรือเล็ก เพราะสุนัขทุกตัวจะทิ้งขนไว้ภายในรถอยู่ดี และคุณจะต้องทำความสะอาดหลังจากนั้น วิธีทำความสะอาดหรือกำจัดขนสุนัขที่ง่ายที่สุดคือ การทำให้มือเปียกด้วยน้ำ แต่ไม่ควรเปียกจนชุ่ม เพียงแค่เปียกหมาดๆก็พอ แล้วใช้มือเช็ดเบาะที่นั่งจนขนสุนัขติดมือขึ้นมา ทำซ้ำๆจนกว่าคุณจะทำความสะอาดพื้นผิวที่ต้องการได้หมดจด หากคุณไม่ต้องการใช้มือคุณสามารถใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆแทนก็ได้ แต่ผลลัพธ์อาจได้ผลน้อยกว่าการใช้มือทำความสะอาด

 

2. ใช้เทปกาว

เทปกาว

วิธีที่นิยมในการทำความสะอาดขนสุนัขภายในรถของ คือ การใช้เทปหรือผลิตภัณฑ์ที่คล้ายคลึงกัน โดยใช้เทปที่มีส่วนเหนียวหรือหน้าที่เป็นกาวแตะรอบบริเวณภายในรถ จนขนสัตว์ติดหน้าเทปขึ้นมา วิธีนี้เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากและสามารถทำความสะอาดภายในรถได้ในเวลาอันรวดเร็ว

 

3. ใช้ไม้กวาดหรือแปรงปัดขน

แปรงปัดขน

มีผลิตภัณฑ์หลายอย่าง เช่น ไม้กวาดหรือแปรงปัดขนที่ผลิตออกมาขายในตลาด ซึ่งออกแบบมาเพื่อการกำจัดขนสัตว์โดยเฉพาะ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จึงเหมาะที่สุดที่จะใช้ทำความสะอาดภายในรถของคุณ และเมื่อใช้งานเสร็จ อย่าลืมทำความสะอาดแปรงหรือไม้กวาดด้วย เพราะขนสัตว์จะเกาะติดอยู่บนแปรงเช่นกัน

 

4. ใช้ไฟฟ้าสถิตย์

ไฟฟ้าสถิตย์

นี่เป็นวิธีที่น่าสนใจ ฉลาด และทันสมัยในการกำจัดขนสัตว์ภายในรถ โดยรวมระหว่างหลักฟิสิกส์และการใช้ถุงมือยางไว้ด้วยกัน ที่คุณต้องทำก็คือ ใช้ถุงมือยางธรรมดาถูกับพื้นผิวบนรถ ซึ่งจะทำให้มือของคุณเต็มไปด้วยไฟฟ้าสถิตย์ และขนสุนัขก็จะติดมาบนถุงมือ กระบวนการทำความสะอาดนี้เป็นเรื่องง่ายๆ เพียงคุณลูบ, เช็ดเบาะหรือพื้นที่ภายในรถด้วยถุงมือที่มีไฟฟ้าสถิตย์ เมื่อทำความสะอาดเสร็จก็แค่ถอดถุงมือออก วิธีนี้เป็นการกำจัดขนสัตว์ที่สมบูรณ์แบบ ง่ายและมีประสิทธิภาพ

 

5. เครื่องดูดฝุ่น

เครื่องดูดฝุ่น

คุณสามารถทำความสะอาดภายในรถด้วยเครื่องดูดฝุ่นได้เหมือนกับที่ทำภายในบ้าน วิธีนี้ไม่เพียงแค่จะกำจัดขนสุนัขออกไป แต่ยังขจัดสิ่งสกปรกอนุภาคเล็กอื่นๆ ได้อีกมากมาย

อย่างไรก็ตาม Carro ขอแนะนำให้ทำความสะอาดร่วมกับวิธีอื่นๆ ด้วย เพราะบางครั้งจะมีเส้นผมที่ร่วงบนรถ ติดอยู่ในซอกเบาะ หรือร่วงตกอยู่ตามพื้นรถ ดังนั้นการดูดฝุ่นอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอ แต่ถ้าคุณทำความสะอาดภายในรถด้วยเครื่องดูดฝุ่นร่วมกับวิธีทำความสะอาดอื่นๆ ก็จะทำให้ภายในรถของคุณสะอาดเหมือนกับรถคันใหม่เลยทีเดียว

ชนแล้วหนี

ปรับกฎใหม่ “ชนแล้วหนี” เพิ่มความผิดเป็น 2 คดี
ต้องโทษอาญา โดนทั้งจำทั้งปรับ

พูดถึงปัญหาที่สังคมไทยเจอมาอย่างยาวนานบนท้องถนน และยังแก้ปัญหาไม่ได้นั่นก็คือ ปัญหาการจราจรที่หนาแน่นในกรุงเทพฯ รวมถึงเขตปริมณฑลที่ทุกคนได้รับผลกระทบ แม้ทางภาครัฐหรือทางตำรวจจราจร ได้พยายามวางแผนเพื่อขจัดปัญหาเหล่านี้ แต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร และปัญหาที่มาคู่กัน กับการเป็นประเทศที่มีการจราจรหนาแน่นเป็นอันดับต้นๆของโลกก็คือ การเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ซึ่งประเทศไทยก็ไม่น้อยหน้า ยังคงอยู่ในลิสท์สถิติสูงสุดติดอันดับโลกเช่นกัน (ซึ่งก็ไม่ดีเท่าไหร่นัก)

ชนแล้วหนี พรบ. จราจร กฎหมาย พรบ.

วันนี้ เราจะมาพูดถึงอุบัติเหตุบนถนน (กรณียอดฮิต) ที่บางคนอาจเคยประสบพบเจอกับตัวเอง หรือเห็นในข่าวบ่อยๆ ซึ่งกรณีนี้มักก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วประเทศ เกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำทางสังคม เนื่องจากผู้ได้รับความเสียหายมักไม่ได้รับความเป็นธรรมที่มากพอ นั่นก็คือ กรณี “ชนแล้วหนี” จากหลายคดีดังที่ทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะมีจุดจบอย่างไร และคำถามนานัปการที่สังคมมีต่อกฎหมาย ทำให้ในปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนกฏหมายในกรณี “ชนแล้วหนี” ให้มีโทษหนักมากขึ้นตาม พรบ.จราจรทางมาตรา 78 ที่บัญญัติไว้ว่า

“ผู้ขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินจะต้องหยุดรถให้ความช่วยเหลือ พร้อมทั้งแสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ใกล้เคียงทันที ไม่ว่าจะเป็นความผิดของผู้ขับขี่หรือไม่ก็ตาม”

ชนแล้วหนี, พรบ. จราจร, กฎหมาย, พรบ.

ซึ่งถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นแล้ว เราปฏิบัติตาม พ.ร.บ.จราจรทางมาตรา 78 ก็ไม่ต้องกลัวว่าเราจะต้องโทษ เพราะต้องมาพิจารณาหาสาเหตุของอุบัติเหตุอีกที เพื่อหาฝ่ายผิด หลังจากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย ที่จะมีประกันภัยรถยนต์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยในส่วนของการจ่ายค่าสินไหมทดแทน แต่ถ้าหากหลบหนีแล้วโดนจับได้ หรือเข้ามอบตัวเองในภายหลัง ก็จะมีบทลงโทษ ดังนี้

“พ.ร.บ.จราจรทางมาตรา 160 ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 78 ​ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับตั้งแต่ 2,000 บาทถึง 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าการไม่ปฏิบัติตามมาตรา 78 เป็นเหตุให้บุคคลอื่นได้รับอันตรายสาหัส หรือเสียชีวิต​ ผู้ไม่ปฏิบัติตามต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับตั้งแต่ 5,000 บาท ถึง 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”

โดยบทลงโทษนี้ จะแยกจากคดีที่เกิดอุบัติเหตุอีกคดีนึง หรืออธิบายง่าย​ๆ ว่าถ้าเราชนแล้วหนี เราจะมีคดีติดตัวเพิ่มมาอีก 1 คดีฟรีๆ! ซึ่งหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นจริงๆ สิ่งที่เราควรทำคือ “อย่าหนี” เพราะความผิดฐานขับรถประมาทนั้น ผู้ทำผิดไม่ใช่อาชญากร เราจึงควรอยู่รับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งดีกว่าการหลบหนีแน่นอน ยิ่งถ้าในอุบัติเหตุมีผู้เสียชีวิต เราก็จะต้องหลบหนีถึง 15 ปีเลยทีเดียว รวมถึงอาจจะเจอข้อหาอื่น​ๆ เพิ่มอีกด้วย แต่หากเราเลือกจะอยู่และให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ มอบตัวเพื่อสู้คดี ผลลัพธ์ที่ตามมาอาจจะไม่ร้ายแรงอย่างที่คิดเพราะบางคดีอาจยอมความกันได้ หรือ ศาลมีการลดโทษให้ตามความถูกต้องเหมาะสม

ชนแล้วหนี พรบ. จารจร

แต่จะดีที่สุดคือ การไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ “ชนแล้วหนี” ไม่ว่าในฐานะใดก็ตาม ซึ่งทุกนสามารถป้องกันได้ ด้วยการเตรียมร่างกายให้พร้อมขับขี่ มีสติอยู่ตลอดเวลา แต่หากผู้อ่านพบเจอเหตุการณ์หรืออุบัติเหตุเช่นนี้ Carro หวังว่าผู้อ่าน จะมีสติ รับมือ และจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้โดยสูญเสียน้อยที่สุด ขับขี่ปลอดภัยค่ะ

แบตเตอรี่รถยนต์

วิธีการเลือกและรักษา “แบตเตอรี่” รถยนต์
ที่ช่วย Save อายุแบตเตอรี่ และ Save เงินในกระเป๋า

เชื่อว่าคนมีรถทุกคน ต้องเคยประสบปัญหาตอนขับรถ แล้วอยู่ๆ “แบตเตอรี่” ดันหมดกลางทาง จนรถดับไปดื้อๆ ทำให้ชีวิตในวันนั้นทั้งวันต้องหยุดชะงักและวุ่นวายไปหมด ตามมาด้วยการเสียเงินที่มากกว่าปกติ จากค่าลากรถเข้าอู่ ต้องซื้อแบตฯ ก้อนใหม่กะทันหัน ค่าเปลี่ยนแบตฯ หรือซ่อมอย่างอื่นเพิ่มเติม blah blah blah ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อรถและอารมณ์ของเราเอาซะเลย แถมยังสั่นคลอนเงินในบัญชีไปอีก

แต่เราสามารถเลี่ยงปัญหาทั้งหมดนี้ได้ เพียงแค่เรามีความรู้เบื้องต้น 8 ข้อ เกี่ยวกับ “แบตเตอรี่” รถยนต์ ที่จะช่วยเพิ่มความเข้าใจในการเลือกแบตฯ ที่เหมาะสมกับรถ รู้จักการใช้งานและการรักษาแบตเตอรี่อย่างถูกต้อง แค่นี้ เราก็สามารถขับรถได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องกลัวรถดับกลางทาง ไม่ต้องเสียเงิน เสียเวลา หรืออารมณ์เสียโดยใช่เหตุ!

1.อย่ารอให้แบตเตอรี่เสื่อม จนสตาร์ทรถไม่ติด

คุณควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ตามระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งถ้าเป็นแบตเตอรี่แบบเปียก (มีช่องกลมๆ ไว้ให้เปิดเติมน้ำกลั่นและต้องดูแลสม่ำเสมอ) หรือแบบกึ่งแห้ง (ส่วนใหญ่จะถูกซีลปิดไว้ ไม่เห็นช่องเติมน้ำกลั่น และไม่ต้องดูแลมาก) มักมีอายุการใช้งานเฉลี่ยไม่เกิน 2-3 ปี

แต่ถ้าเป็นแบตเตอรี่แบบแห้งที่มีราคาสูงมาก จะมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าเท่าตัวหรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับการใช้งานและการดูแลรักษา โดยทุกครั้งเมื่อเราเปลี่ยนแบตเตอรี่ ร้านค้าหรืออู่ซ่อมรถจะทำสัญลักษณ์ไว้ที่แบตเตอรี่เพื่อระบุระยะเวลาเริ่มการรับประกัน ซึ่งเราก็สามารถเอาไว้เช็คได้ด้วยว่า แบตเตอรี่จะถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนเมื่อไร

 

2.ตรวจสภาพแบตเตอรี่เป็นประจำ

ถึงแม้ปัจจุบันแบตเตอรี่รถยนต์บางประเภทอาจไม่จำเป็นต้องได้รับการดูแลเลยตลอดอายุการใช้งาน (Maintenance Free) แต่คุณก็ควรตรวจเช็กสภาพแบตเตอรี่อย่างน้อยทุกๆ 2 ปี โดยเฉพาะเมืองไทยที่มีสภาพอากาศร้อนตลอดทั้งปี (เพราะความร้อนจะส่งผลให้แบตเตอรี่ทุกแบบเสื่อมเร็วขึ้น)

ทั้งนี้ หากรถเริ่มมีอาการสตาร์ทเอื่อย ๆ หรือระบบไฟทั้งหมดให้ความสว่างน้อยลง นั่นเป็นสัญญาณเตือนว่าแบตเตอรี่อาจมีกำลังไฟน้อย ควรตรวจสอบโดยเร็วว่ามาจากสาเหตุใด และแม้ว่ารถยนต์จะสามารถพ่วงแบตเตอรี่ได้ แต่มักจะมีผลเสียต่อรถยนต์เสมอ

 

3.เลือกแบตเตอรี่ที่มีขนาดพอดีกับรถ

ทุกครั้งที่เปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ โดยเฉพาะเมื่อร้านนำมาเปลี่ยนให้  ควรตรวจสอบหรือย้ำให้แน่ใจว่า แบตเตอรี่ใหม่นั้นมีขนาดที่ถูกต้องและสามารถวางได้พอดีกับฐานแบตเตอรี่รถของคุณ โดยดูได้จากคู่มือประจำรถหรือสอบถามจากร้านที่จำหน่ายได้โดยตรง หรือถ้ายังไม่แน่ใจให้ย้ำไปเลยว่านำมาใช้กับรถยี่ห้อ-รุ่นปีอะไร

 

4.เลือกความจุแบตเตอรี่ให้เหมาะสม

สำหรับการเลือกเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ เราสามารถยึดตามของเดิมได้เลย (ถ้าไม่แน่ใจว่าของเดิมคือรุ่นไหน ให้เช็คจากคู่มือประจำรถ) และไม่ควรลดขนาดความจุของแบตเตอรี่หรือแอมป์ลงโดยเด็ดขาด เพราะผู้ผลิตรถยนต์คำนวณแอมป์ที่เหมาะสมกับการใช้งานของรถยนต์รุ่นนั้น ๆ ไว้แล้ว และไม่ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ให้มีแอมป์สูงเกินกำหนดเช่นกัน หากไม่ได้ติดตั้งอุปกรณ์พิเศษเพิ่มเติม เช่น เครื่องเสียงหรืออุปกรณ์อำนวยความสะดวกอื่น ๆ

แบตเตอรี่หมด

5.เลือกแบตเตอรี่ที่ให้กำลังสตาร์ทเพียงพอ

กำลังสตาร์ทที่ว่า จะถูกระบุด้วยค่า CCA (Cold-Cranking Amps) ที่เป็นคนละค่ากับขนาดความจุของแบตเตอรี่ (Ah หรือแอมแปร์-ชั่วโมง) ซึ่งค่า CCA เป็นค่าสำหรับบอกว่า แบตเตอรี่ลูกนั้นมีความสามารถในการจ่ายไฟ เพื่อให้มอเตอร์สตาร์ทดึงไฟไปใช้ในการสตาร์ทเครื่องยนต์ได้แค่ไหน

ซึ่งเครื่องยนต์แต่ละขนาดต้องการค่า CCA ไม่เท่ากัน ยิ่งเครื่องยนต์ที่มีขนาดความจุมากก็ต้องการค่า CCA มากตาม อย่างไรก็ตาม ค่า CCA ของแบตเตอรี่แต่ละยี่ห้ออาจใช้มาตรฐานในการวัดต่างกัน ซึ่งมีทั้ง SAE, EA, IEC และ DIN ขึ้นอยู่กับผู้ผลิต เพราะฉะนั้นจะดูค่า CCA เฉพาะตัวเลขอย่างเดียวอาจผิดพลาดได้ ควรจะต้องดูทั้งหมดว่าตัวเลขที่ระบุนั้นใช้มาตรฐานใดวัด และไม่ควรต่ำกว่าที่ผู้ผลิตรถยนต์กำหนดไว้

 

6.เลือกแบตเตอรี่ที่ผลิตใหม่เสมอ

แบตเตอรี่ใหม่ที่ยังไม่ถูกจำหน่ายและใช้งาน ก็สามารถเสื่อมคุณภาพลงได้ ดังนั้น เพื่อให้ได้แบตเตอรี่ใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดควรเลือกแบตเตอรี่ที่ผลิตไว้ไม่เกิน 6 เดือน โดยจะมีรหัสเฉพาะระบุไว้ อาจใช้ตัวเลขและตัวอักษรแทน วัน/เดือน/ปี ที่ผลิต อาจแตกต่างกันไปตามยี่ห้อ เช่น อักษรแทนเดือน ตัวเลขแทนปี เป็นต้น เพราะยิ่งแบตเตอรี่ถูกเก็บไว้นานจะยิ่งมีความชื้นในตะกั่วเยอะ ชาร์จไฟยาก และบางร้านที่จำหน่ายก็ไม่ได้ชาร์จไฟแบตเตอรี่จนเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ก่อนนำมาขาย ซึ่งทำให้อายุของแบตฯ ลูกนั้นสั้นลงโดยที่เราไม่รู้ตัว

 

7.ควรรีไซเคิลแบตเตอรี่เก่า

แบตเตอรี่เก่ามีค่าและนำไปรีไซเคิลได้ เพราะร้านที่จำหน่ายแบตเตอรี่มักจะรับเทิร์นแบตเตอรี่เก่าอยู่แล้ว โดยส่วนใหญ่จะนำไปลดราคาแบตเตอรี่ลูกใหม่ให้ ดังนั้นอย่าลืมสอบถามว่าแบตเตอรี่ลูกใหม่ราคาเท่าไร และราคาดังกล่าวหักค่าเทิร์นแบตเตอรี่เก่าแล้วหรือยัง หากไม่แน่ใจลองสอบถามเปรียบเทียบราคาจากร้านอื่น ๆ ก่อนตัดสินใจซื้อ

 

8.เปรียบเทียบการรับประกัน

เป็นสิ่งที่สำคัญมากและไม่ควรมองข้าม สำหรับการเลือกแบตเตอรี่ใหม่ คุณควรตรวจสอบการรับประกันแบตเตอรี่ของทางร้านค้าที่ซื้อทุกครั้ง เพราะอาจระบุระยะเวลารับประกันต่างกัน ซึ่งโดยปกติแบตเตอรี่รถยนต์จะมีระยะเวลารับประกันตั้งแต่ 1-2 ปี แล้วแต่ยี่ห้อของแบตเตอรี่

นอกจากระยะเวลารับประกัน ควรสอบถามรายละเอียดหรือเงื่อนไขการรับประกันด้วยว่าครอบคลุมหรือไม่ครอบคลุมอะไรบ้าง เพราะจะได้ไม่เกิดปัญหาในภายหลัง แต่หลักๆแล้วเงื่อนไขการรับประกันของแต่ละยี่ห้อนั้นก็ไม่ต่างกันมากนัก

รถคลาสสิค-สิงคโปร์

 

อะไรคือเหตุผลที่ทำให้คนส่วนหนึ่ง หันหลังให้รถยนต์ที่ทันสมัยในยุคปัจจุบัน แต่เลือกที่จะมาขับรถคลาสสิคมือ 2 แทน? เหตุผลของแต่ละคนก็คงจะแตกต่างกันไป บางคนอาจแค่ต้องการรถที่มีความโดดเด่น ไม่ซ้ำใคร บางคนอาจจะชอบในความเก่า แต่มีเรื่องราวแฝงอยู่ในตัวรถ หรือไม่ พวกเขาก็มี Passion และความหลงใหลในสไตล์สุดคลาสสิค ที่ไร้กาลเวลานั่นเอง

สิงคโปร์ เป็นประเทศที่พวกเรารู้จักกันดีในความเป็นผู้นำ ด้านกฏระเบียบและกฏหมายที่รัดกุม เรื่องรถก็เช่นกัน ในประเทศสิงคโปร์มีโครงการรถคลาสสิคหรือ “The Classic Vehicle Scheme” ซึ่งอนุญาตให้รถคลาสสิคที่มีสภาพดี (รถที่มีอายุอย่างต่ำ 35 ปี นับตั้งแต่วันที่รถจดทะเบียนเดิมครั้งแรก) ขับเคลื่อนบนถนนได้เป็นเวลาไม่เกิน 45 วัน ต่อปี

ถึงแม้ว่าในประเทศสิงคโปร์ จะมีคนจำนวนไม่มาก ที่มีอภิสิทธิ์ได้เป็นเจ้าของรถคลาสสิค (อาจเพราะกฏเกณฑ์ทางกฏหมายในประเทศ หรือราคารถที่สูงเกินจะเอื้อมถึง) แต่ก็ยังมีคนหลายกลุ่มที่ยอมอุทิศตนให้กับรถรุ่นเก๋าเหล่านี้ อย่างเช่นหน่วยงานที่มีชื่อว่า The Heritage Car Club (Singapore) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่คอยจัดงานกิจกรรมต่างๆ เพื่อกลุ่มคนที่ชื่นชอบรถคลาสสิคโดยเฉพาะ ซึ่งทุกคนสามารถเข้าร่วมกิจกรรมที่หน่วยงานนี้จัดขึ้นได้ แม้ว่าจะไม่ได้ขับรถคลาสสิคก็ตาม

และนี่ก็คือ 5 รถคลาสสิค ที่คุณก็เป็นเจ้าของได้ใน “สิงคโปร์”

1.FORD MUSTANGFord-Mustang

www.mustangandfords.com news mump-0504-rebuilt-vintage-ford-mustang-best-build

ฟอร์ด มัสแตงเป็นสิ่งที่อธิบายตัวตนของ American muscle cars ได้ดีที่สุด รถยนต์ฟอร์ด รุ่นนี้มีราคาที่ค่อนข้างถูกในประเทศสหรัฐอเมริกา ดังนั้น การนำเข้ารถรุ่นนี้เข้ามา คุณจะได้ราคาที่น่าพอใจกว่ามาก นอกจากนี้ฟอร์ด มัสแตงยังมีเครื่องยนต์ที่ทรงประสิทธิภาพจากเครื่องยนต์ V8 อีกด้วย

 

2.FERRARI 250 GTE

Ferrari-250-GTE

www.classicdriver.com en car ferrari 250-gte-22 1961 316006

เพราะรถยนต์เฟอร์รารีคลาสสิคทุกคัน จะมาพร้อมกับการตกแต่งภายในรถด้วยสีดำและด้านนอกสีแดงอันเป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะรุ่น Ferrari 250 GTE ยิ่งเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะมีเครื่องยนต์ 128 E และมีตัวถังแบบ E 508 ซึ่งถือว่าเป็นรุ่นหนึ่งที่ควรอยู่ใน Collection ของนักสะสม และสำหรับทุกคนที่ต้องการขับรถคลาสสิคที่ดีที่สุดสักคัน

 

3.THE BENTLEY S2

The-Bentley-S2

www.classicandperformancecar.com bentley s2

Bentley S2 หรือเบนท์ลีย์ เอส2 เป็นรถโบราณที่ผลิตจากปี พ.ศ.2502 ถึงปี พ.ศ.2505 บวกกับเครื่องยนต์ V8 ดีไซน์หรู ด้วยระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ที่มาพร้อมกับมาตรฐานคลาสสิค ที่ทำให้รถโบราณรุ่นนี้มีระดับมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ Bentley S2 ยังเป็นรถที่มีความ extremely rare เพราะผลิตมาแค่ 1,920 คันบนโลกเท่านั้น แถมยังสะดวกสำหรับการเดินทางระยะไกลแม้จะบรรทุกผู้โดยสารถึง 4 คน และใช้ความเร็วสูงก็ตาม

 

4.VOLKSWAGEN BEETLE

VOLKSWAGEN BEETLE

www.youtube.com watch v=0fRK7WbBVJ4

โฟล์คสวาเก้น บีทเทิล คือรถโบราณที่กำหนดนิยามความเป็น “รถคลาสสิค”

ประกอบด้วยเครื่องยนต์ประหยัดพลังงานแบบ 2 ประตู แต่มีกำลังผลิตเพียงพอสำหรับผู้โดยสาร 4 คน เริ่มผลิตครั้งแรกในปี พ.ศ.2481 โดยรถยนต์ โฟล์คสวาเก้นนับแสนคันถูกขายไปทั่วโลก หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงที่ โฟล์คสวาเก้นประสบความสำเร็จมากที่สุด ทำให้รถรุ่นนี้ กลายเป็น item อันเลอค่าสำหรับนักสะสมรถคลาสสิคตัวยงไปเรียบร้อย

 

5.BMW 327

BMW-327

en.wikipedia.org wiki BMW_327

บีเอ็มดับบลิว เริ่มผลิตรถเก๋ง 2 ประตู รุ่น bmw 327 ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2480 ต่อมาในปี พ.ศ.2488 ได้มีการออกแบบรถรุ่นนี้มาเพิ่มอีก 1 สไตล์ คือ bmw 327 รุ่นเดิม ที่มีเพิ่มเติมคือเปิดประทุนได้!  เครื่องยนต์ที่ใช้ ได้แก่ M78 I6 และ M328 I6 ที่จะทำให้คุณได้เพลิดเพลินไปกับรถคลาสสิคด้วยระบบเกียร์ 4 สปีด สมกับสไตล์คลาสซี่ จนทำให้รถยนต์ในยุคปัจจุบัน ให้ความรู้สึกเหมือนกับรถที่อยู่ในโลกวีดีโอเกมส์กันไปเลย

อ่านมาถึงตรงนี้ คุณเริ่มสนใจเป็นเจ้าของ “รถคลาสสิค” สักคันบ้างหรือยัง?

ขอไฟแนนซ์รถมือสอง

ขอไฟแนนซ์รถมือสองไม่ยาก ดำเนินการเพียงไม่กี่ขั้นตอน

“ไฟแนนซ์รถมือสอง” คือ ธนาคารหรือสถาบันทางการเงินที่ให้กู้เงินเพื่อซื้อรถมือสอง โดยเงื่อนไขรายละเอียดของการขอไฟแนนซ์จะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับการกำหนดเงื่อนไขของแต่ละสถาบัน ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดของการกู้คือ ‘ดอกเบี้ย’

ขอไฟแนนซ์รถมือสอง

ปีรถยิ่งเก่าเป็นหนึ่งปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ดอกเบี้ยสูงขึ้น

 

ดังนั้น ถ้าคุณคิดจะซื้อรถมือสองสักคัน แต่งบประมาณมีไม่เพียงพอที่จะซื้อด้วยเงินสด การจัดไฟแนนซ์รถมือสองสามารถช่วยคุณได้ ซึ่งการขอสินเชื่อรถมือสองจะมาจากไฟแนนซ์ 2 ประเภท

1. ไฟแนนซ์ที่มีให้บริการจากเต็นท์รถ

ถ้ารถที่ซื้อเป็นรถที่ซื้อจากเต็นท์รถ หรือผู้ประกอบการรถยนต์ใช้แล้ว แต่ละเต็นท์จะมีไฟแนนซ์ หรือสถาบันทางการเงินที่ทางเต็นท์ใช้บริการเป็นประจำ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้ซื้อทางเต็นท์ก็จะช่วยดำเนินการประสานงานให้กับคุณ ไม่ว่าจะเรื่องเอกสารไปจนถึงการช่วยคุยให้กับไฟแนนซ์เพื่อให้การขอสินเชื่อของคุณได้อนุมัติ

2. ไฟแนนซ์รถบ้าน เจ้าของขายเอง

คือ การซื้อรถโดยตรงจากเจ้าของรถ หรือซื้อรถต่อจากคนรู้จัก ในกรณีนี้ถ้าหากผู้ซื้อจะทำการขอกู้ไฟแนนซ์ก็จะต้องติดต่อไฟแนนซ์ด้วยตัวเอง

 

การดำเนินการขอไฟแนนซ์มี 5 ขั้นตอนการขอไฟแนนซ์ ดังนี้

  1. ติดต่อไฟแนนซ์ : ผู้ซื้อต้องติดต่อไฟแนนซ์เพื่อทำการขอสินเชื่อ
  2. เก็บข้อมูลและเอกสาร : ทำการนัดเจ้าหน้าที่ไฟแนนซ์เพื่อส่งมอบเอกสาร + ข้อมูลรถที่จะนำไปประเมินสินเชื่อ
  3. พิจารณาสินเชื่อ : ไฟแนนซ์ทำการประเมินสินเชื่อถึงความเป็นไปได้ในการอนุมัติสินเชื่อว่า ผ่าน – ไม่ผ่าน
  4. นัดโอน : ถ้าสินเชื่ออนุมัติผ่าน ทางไฟแนนซ์จะนัดผู้ขาย และผู้ซื้อให้นำเอกสารไปทำเรื่องเล่มทะเบียน
  5. ผู้ขายได้รับเงิน : ผู้ขายจะได้รับเงินหลังจาก การนัดโอนเล่ม เรียบร้อยแล้วเท่านั้น

ขอไฟแนนซ์รถมือสอง

เรื่องของการเตรียมเอกสาร ได้แก่

1. สำเนาบัตรประชาชน
2. สำเนาทะเบียนบ้าน
3. ใบคู่มือจดทะเบียน
4. เอกสารประวัติทางการเงิน เช่น สลิปเงินเดือน เป็นต้น
5. สัญญาชื้อ-ขาย สามารถดาวน์โหลดได้ที่นี้ สัญญาซื้อ-ขาย

Parked-Car-Disorderly

จอดรถเกะกะ นอกจากจะโดนคนด่าแล้ว ยังโดนทุบรถอีกด้วย

Parked-Car-Disorderly

จากคลิปข่าว กรณี มีป้า 2 คน ใช้ขวานและพลั่วทุบทำลายรถยนต์คันหนึ่ง เพราะความไม่พอใจที่รถยนต์คันดังกล่าว มาจอดขวางทางเข้า-ออก หน้าบ้านของตน

เจ้าของบ้านเปิดใจ กรณีทุบรถคนจอดขวางทางเข้า-ออก

สด!! เจ้าของบ้านเปิดใจ กรณีทุบรถคนจอดขวางทางเข้า-ออก http://pptv36.news/nNFชมคลิปอื่นเพิ่มเติม : www.facebook.com/PPTVHD36/videos/2112578685426566/#PPTVHD36 #จอดรถขวางทางเข้าออก #จอดรถกีดขวาง #ทำลายทรัพย์สิน #ป้าทุบรถ

Posted by PPTV HD 36 on Monday, February 19, 2018

การที่รถยนต์คันดังกล่าว มาจอดขวางทางเข้าออก รบกวนการใช้ประโยชน์ในทางเพื่อเข้าออกบ้าน แม้ถนนนั้นจะเป็นทางสาธารณะ ซึ่งใครก็มีสิทธิจอดหรือใช้ประโยชน์ได้ก็ตาม แต่การใช้สิทธิ์ทุกอย่าง ต้องบนพื้นฐานของกฎหมาย และไม่รบกวนสิทธิของคนอื่นเช่นเดียวกัน

Parked-Car-Disorderly

ภาพจาก Drama-addict

การจอดรถขวางประตูบ้านของผู้อื่น หรือแม้แต่การจอดขวางทางคนอื่นในลานจอดรถของห้างสรรพสินค้า ซึ่งถือว่า เป็นที่สาธารณะสถาน ถือว่า เป็นการกระทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนรำคาญ เพราะไม่สามารถนำรถเข้าหรือออกจากบ้าน หรือออกจากลานจอดไม่ได้

ข้ออ้างว่าถนนหน้าบ้านเป็นที่สาธารณะ.หรือ เจ้าของบ้านไม่ควรใช้รถเมื่อเขาจอดรถบนถนนหน้าบ้าน ใช้อ้างไม่ได้และไร้สาระ เนื่องจากเจ้าของรถใช้สิทธิไปก่อความเดือดร้อนของผู้อื่นทั้งที่รู้แก่ใจถึงความเสียหายนั้นเยี่ยงวิญญูชนพึงรู้กัน จึงถือว่า กระทำความผิดฐานก่อความเดือดร้อนรำคาญใจตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 397

Parked-Car-Disorderly

ศาลฎีกาเคยพิพากษาในประเด็นดังกล่าวไว้ว่า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1908/2518 จำเลยจอดรถขวางกั้นไม่ให้โจทก์ถอยรถออกไปจากซอยที่เกิดเหตุ เป็นเพียงขัดขวางไม่ให้โจทก์นำรถออกไปได้เท่านั้น ส่วนตัวโจทก์มีอิสระที่จะออกไปจากซอยได้ การกระทำของจำเลยยังไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310

Parked-Car-Disorderly

(ภาพจาก New TV)

แต่เป็นการรังแกข่มเหงทำให้โจทก์ได้รับความเดือดร้อนรำคาญ แม้ซอยนั้นจะอยู่ในที่ดินของผู้มีชื่อซึ่งแบ่งให้ผู้อื่นเช่าปลูกบ้าน แต่ประชาชนก็ชอบที่จะเข้าออกไปติดต่อกับผู้ที่อยู่ในซอยนั้นได้ ถือได้ว่าจำเลยได้กระทำในที่สาธารณสถาน จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 397

Parked-Car-Disorderly

(ภาพจาก New TV)

แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าของบ้านก็ไม่มีสิทธิใช้กำลังทำลายทรัพย์สินของบุคคลอื่นโดยพลการ และหากกระทำก็ย่อมมีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ตามกฎหมายอาญา เช่นกัน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Facebook ทนายเกิดผล แก้วเกิด

รถมือสอง, วิธี, เช็กรถ, คุณภาพดี

ดูอย่างไรให้ได้ “รถมือสอง” คุณภาพดี!

อันดับแรกของคนส่วนใหญ่จะเลือกซื้อรถมือสอง ก็เริ่มหาจากแหล่งที่ลงประกาศขายรถมือสองก่อน ซึ่งจะจำแนกได้เป็น 2 แบบสำหรับผู้ประกาศขาย คือ รถเต็นท์ และ รถบ้าน ซึ่งถ้าหลายคนคุ้นเคยกับการเลือกซื้อรถยนต์ผ่านอินเตอร์เน็ตคงรู้จัก ‘ตลาดรถ’ อีกทั้งในปัจจุบันก็ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะสะดวก รวดเร็ว

แต่ถ้าหากคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่ชอบซื้อรถบ้าน Carro ก็ได้ทำการรวบรวมรถบ้านมือสองเอาไว้หลากหลายรุ่น ตั้งแต่ Toyota, Nissan, BMW ไปจนถึง Mercedes-benz เลยก็มี

เลือกซื้อรถมือสอง

และในวันนี้ Carro ก็มีบทความเกี่ยวกับการเลือกซื้อรถมาฝากสำหรับมือใหม่ หรือใครที่กำลังจะซื้อรถบ้าน ที่จะช่วยเพิ่มความมั่นใจของคุณได้อีกระดับหนึ่ง งั้นไปดูกันเลยดีกว่า ว่าคุณจะต้องเลือกซื้ออย่างไรบ้าง

    1. ตรวจสอบสีรถคันที่คุณต้องการซื้อว่าได้ถูกทำสีมาหรือไม่ โดยสังเกตุด้วยลองใช้มือเคาะดู เพราะถ้าหากรถได้ผ่านการทำสีมาทั้งคัน อาจเป็นเพราะรถเคยถูกชนหนักมาก่อน ซึ่งถ้าหากคุณไม่แน่ใจ ก็สามารถเลือกซื้อรถที่ผ่านการตรวจสภาพ จาก Carro เพื่อความสบายใจ
    2. อีกอย่างที่ต้องให้ความสำคัญ คือ เลขไมล์ จริงอยู่ว่าเลขไมล์สามารถปรับเปลี่ยนได้ แต่ถ้ายึดตามหลักความเป็นจริงแล้ว รถคันหนึ่งจะมีเลขไมล์ที่เพิ่มขึ้นโดยประมาณ 25,000 – 35,000 ต่อหนึ่งปี ซึ่งคุณต้องคำนวนอายุของรถควบคู่กับเลขไมล์ดูว่ามันสมเหตุสมผลกันหรือไม่
    3. ตรวจสอบเครื่องยนต์ หรืออุปกรณ์ต่างๆ ของรถ เริ่มจากยกฝากระโปรงขึ้นมาดู ว่าเครื่องยนต์นั้นมีความเสียหายหรือไหม หรือว่ามีสนิมจับหรือเปล่า นอกจากนั้น อย่าลืม ตรวจสอบตัวถัง และเลขเครื่อง เพราะถ้าหากเครื่องยนต์เสียหาย นั้นอาจแปลได้ว่ารถเคยเกิดอุบัติเหตุการชนหนักมา
    4. ควรตรวจสอบเครื่องยนต์ภายใต้ท้องรถด้วย เพราะจะได้มั่นใจได้ว่าเครื่องยนต์ไม่ผิดปกติ หรือว่ามีส่วนใดที่เสียหาย เพราะถ้าหากมีส่วนใดที่เสียหาย ก็จะได้ซ่อมได้อย่างทันทวงที หรืออาจหมายถึงว่ารถยนต์คันนั้นเคยถูกน้ำท่วมมา
    5. สุดท้ายที่ห้ามลืมเด็ดขาดสำหรับคนที่ซื้อรถบ้าน ก็คือ การตรวจเอกสารนั่นเอง เพราะว่าคุณจะต้องขอเอกสารทุกอย่างให้ครบถ้วนสำหรับการไปดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ ซึ่งควรที่จะขอดูสมุดเล่มทะเบียนรถว่าชื่อของผู้ขาย นั้นได้ตรงกับชื่อผู้มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันนั้นเป็นคนสุดท้ายหรือเปล่า

 

เช็กรถ

มั่นตรวจสภาพรถ เพื่อความปลอดภัย และยืดอายุการใช้งาน

หลายคนทำงานจนอาจไม่มีเวลาเช็กสภาพรถที่ใช้งานอยู่ทุกวัน หรือบางคนอาจละเลยจนมองข้ามไป ทำให้วันนี้ คาร์โร เลยอยากขอแนะนำ 7 สิ่งที่คนมีรถ ควรเช็กให้เป็นนิสัย ซึ่งนอกจากจะยืดอายุการใช้งานแล้ว ยังช่วยให้คุณประหยัดเงินค่าบำรุงรักษา และเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนนได้อีกด้วย

1. ก่อนออกรถเช็กสัญญาณเตือนหน้าปัด

สังเกตไหมว่า ทุกครั้งที่เราสตาร์ทรถจะมีเครื่องหมายสัญลักษณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบเครื่องยนต์ เข็มขัดนิรภัย น้ำมันเครื่อง ระดับความร้อน และระดับน้ำมัน ซึ่งแต่ละสัญลักษณ์ก็มีสีที่แตกต่าง คือ สีเขียวแปลว่าใช้งานได้ปกติ, สีเหลืองเป็นการเตือนแต่ยังสามารถใช้ได้อยู่ สีแดงบอกถึงอันตรายให้หยุดใช้รถและรีบตรวจสอบความผิดปกติ

ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องพื้นฐานก็จริง แต่ก็เป็นเรื่องพื้นฐานที่บางคนมองข้าม และรู้ตัวเอาอีกทีก็ตอนที่เกิดความเสียหายแล้ว

เช็กรถ

2. ตรวจสอบของเหลวภายในรถ

เช่นน้ำมันเชื้อเพลิง น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรค น้ำกลั่น น้ำหล่อเย็น เป็นต้น เราต้องหมั่นตรวจเช็คของเหลวเหล่านี้ให้เป็นนิสัย เพราะทุกสิ่งที่กล่าวมามีความสำคัญ และส่งผลถึงทุกการทำงานของรถที่คุณรัก เสียเวลาเช็กเล็กน้อย ดีกว่าต้องมาเสียเงินซ่อมรถที่หลังนะคะ

3. เปิดไฟทุกครั้ง

ทุกครั้งเวลาขับรถควรเช็กว่าสัญญาณไฟต่างๆ เช่นไฟหน้า ไฟหลัง ไฟเลี้ยว ไฟเบรก เปิดหรือไม่ เพราะบางครั้งมักละเลยว่าไฟเหล่านี้ยังอยู่ในสภาพใช้งานได้ อาจเป็นจุดกำเนิดของอุบัติเหตุบนท้องถนน และอุบัติเหตุก็เป็นตัวการที่ทำให้อายุการใช้งานของรถสั้นกว่าที่ควรจะเป็นด้วย

4. ตรวจเช็กลมยางให้เป็นประจำ

ควรตรวจเช็คลมยางสัปดาห์ละครั้งก็ยังดี ซึ่งนอกจากนี้ควรเช็คดอกยางด้วยว่าหายไปเยอะแค่ไหน และยางมีสิ่งผิดปกติติดอยู่บางหรือไม่ หรือกำหนดไปเลยก็ได้ว่าถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงจริงๆ ควรต้องเปลี่ยนทุกๆ 2 ปี เพื่อความปลอดภัย

เช็กลมยางรถ

5. แอร์เย็นเป็นปกติหรือเปล่า

ด้วยสภาพอากาศในบ้านเราที่แสงแดดแผดเผากันทุกฤดูขนาดนี้ ถ้าวันใดเกิดแอร์ของรถเสียขึ้นมาคงบันเทิงแน่ๆ เพราะฉะนั้นระวังอย่าให้น้ำยาแอร์หมด เพราะนอกจากคุณต้องทนอากาศร้อนแล้ว ยังส่งผลให้คอมเพรสเซอร์ทำงานหนักขึ้น และสุดท้ายก็อาจพังก่อนเวลาอันควร

6. ดูเลขไมล์

นอกจากจะนับว่าซื้อรถมาปีไหนแล้ว ยังต้องดูที่อายุการใช้งานของรถด้วยว่าเราใช้ไปกี่กิโลเมตร เพื่อที่เราจะนำรถไปตรวจสภาพได้ถูกต้อง ตรงตามกำหนด เป็นการยืดอายุการใช้งานของรถ และลดภาระรายจ่ายค่าซ่อมรถได้อีกทางหนึ่ง ที่สำคัญ ถ้าคุณมีแผนจะขายรถต่อ อย่าลืมว่าราคาของรถมือสองส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับอายุการใช้งานนี่ล่ะ ซึ่งถ้าคุณสนใจอยากขายรถ คลิก

7. ราคาน้ำมัน

ราคาน้ำมันมีผลต่อชีวิตประจำอย่างมาก เพราะค่าใช้จ่ายของใช้รถหลัก ๆ ก็เป็นคงค่าน้ำมัน และนอกจากดูเรื่องราคาแล้ว ก็อย่าลืมเช็กให้แน่ใจว่าประเภทของน้ำมันที่ใช้อยู่นั้นเหมาะสมกับรถของเราด้วย ซึ่งคุณสามารถติดตามราคาน้ำมันได้ ที่นี้