Exhaust-Wrap

“ผ้าพันท่อไอเสีย” มีประโยชน์ และช่วยอะไรกับรถยนต์ได้บ้าง ต้องอ่าน!

Dodge Charger ตำนานลุงดอมเกือบดับ

ตำนานลุงดอมเกือบดับ โชคดีมีคนช่วยทันเกือบปิดตำนาน Dodge Charger ของลุงดอมแล้ว ช่วยไว้ทัน รถไม่เป็นไรครับ แร็ครั่ว น้ำมันเพาเวอร์ลงผ้าพันท่อไอเสีย ไฟลุกแต่ลุงดอมไม่เป็นไรครับ เครื่องยนต์ติดปกติ มีเพียง สายไฟบางส่วนต้องเปลี่ยน สี ล้อ ยาง ไม่เป็นไร กำลังไล่ดูสายไฟ และข้อต่อน้ำมัน ขันให้แน่นครับฝากเตือนเพื่อนๆ ควรมีถังดับเพลิงไว้ในรถนะครับ และอย่าประมาท เช็คสายข้อต่อน้ำมันดีๆขอขอบคุณคลิปจาก ตระเวนข่าวเสนอโดย / Present By : Car4YouMag

Posted by Car4YouMag on Tuesday, May 15, 2018

ขอขอบคุณ Clip VDO จาก ตระเวนข่าว

จากกรณีที่รถยนต์ Dodge Charger (ดอดจ์ ชาร์จเจอร์) ของพันเองสมิง อินทราราม หรือที่รู้จักกันในรถของ “ลุงดอม” โดมินิค โทเรตโต (Dominic Toretto) ตัวละครในหนังเรื่อง Fast & Furious หลายๆ ภาค เกิดเครื่องยนต์ไฟลุกขึ้นมาแถว MRT แยกติวานนท์ เนื่องจากแร็ครั่ว น้ำมันเพาเวอร์ลงผ้าพันท่อ ทำให้เกิดไฟลุกขึ้นมา

จนหลายคนสงสัยว่า ผ้าพันท่อไอเสีย มีไว้เพื่อประโยชน์อันใด … Carro จะมาอธิบายให้ฟังครับ.

Muffler-Exhaust-Wrap

ผ้าพันท่อไอเสีย เป็นผ้าที่ใช้ป้องกันความร้อนแผ่กระจายจากท่อไอเสีย นิยมใช้กันทั้งในรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ (ประเภทบิ๊กไบค์ จะเห็นกันบ่อย) เพื่อให้ท่อไอเสียคายไอเสียได้เร็วขึ้น ป้องกันการหดตัวและขยายตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากอากาศที่ร้อนต่างกับอากาศเย็นมากเท่าไหร่ อากาศยิ่งวิ่งเร็วมากเท่านั้น นอกจากนี้ ยังไล่ไอเสียที่ตกค้างในกระบอกสูบ และเป็นฉนวน ช่วยลดความร้อนในห้องเครื่อง มีความร้อนสะสมน้อยลงอีกด้วย

Muffler-Exhaust-Wrap

ผ้าพันท่อไอเสีย มีทั้งข้อดีและข้อเสีย กล่าวคือ ในเมืองนอกที่อากาศหนาวจัดๆ มักนิยมใช้ผ้าพันท่อไอเสีย และใช้กับเฮดเดอร์ที่เป็นเหล็ก เพื่อป้องกันอากาศหนาวจัด เพราะผ้าพันท่อไอเสียจะทำการกักความร้อนไว้ที่ตัวมันเอง ป้องกันท่อเกิดการร้าวได้ และมีประโยชน์สำหรับคนขี่มอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ เนื่องจาก ผ้าที่พันเฮดเดอร์ จะช่วยป้องกันขา และความร้อนตีกลับเข้าเครื่องยนต์ เวลาขี่มอเตอร์ไซค์ได้

ส่วนข้อเสีย อาจทำให้เฮดเดอร์ร้าวได้ เนื่องจากผ้าจะเก็บความร้อนไว้จนสูงมาก หากใช้เฮดเดอร์ไม่มีคุณภาพ และอาจเกิดสนิมขึ้นบนท่อได้ เนื่องจากผ้า จะสะสมความชื้นเอาไว้ และหากมีน้ำมันอะไรก็ตาม หยดไปโดน โอกาสจะติดไฟขึ้นมาได้

Muffler-Exhaust-Wrap

ผ้าพันไอเสียส่วนใหญ่ จะผลิตจากไฟเบอร์กล๊าส ซึ่งทนความร้อนได้ถึง 400-500 องศาเซลเซียส แต่ท่อไอเสีย จะมีความร้อนตั้งแต่ 300- 600 องศาเซลเซียส ผ้าพันท่อไอเสียที่สามารถทนความร้อนได้ถึง 950 องศาเซลเซียส จะทำจากเส้นใยไทเทเนี่ยม 100% ซึ่งสีของผ้าจะเป็นสีเทาเหมือนโลหะ มักนิยมใช้ในรถแข่ง รองลงมาจะ เป็นผ้าที่ทำจากไฟเบอร์ผสมเส้นใยเซรามิก และเคลือบด้วยอ๊อปซิเดียน ซึ่งจะทนความร้อนได้ประมาณ 750 องศาเซลเซียส

Dodge-Charger

ขอขอบคุณภาพจาก Fanpage Volcano Custom Thailand

ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับท่านแล้วละครับ ว่าได้ทราบถึงคุณสมบัติ และข้อดีข้อเสีย ของผ้าพันท่อไอเสียไปแล้ว สามารถเลือกซื้อเลือกใช้ มาใส่ในรถของท่านได้ตามอัธยาศัยครับ

ต่อทะเบียนรถ ภาษีขาดเกิน 3 ปี

รถยนต์ทุกคันที่ใช้งาน จะต้องต่อภาษีรถยนต์ประจำปีทุกปีเป็นเรื่องปกติ ซึ่งถ้าหากเสียภาษีล่าช้า จะต้องจ่ายค่าปรับเพิ่มอีกร้อยละหนึ่งทุกเดือน แต่จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ที่ทำให้เจ้าของรถ ไม่ได้ไปชำระภาษีรถยนต์ประจำปีจนขาดเกิน 3 ปี ซึ่งส่งผลให้ทางกรมการขนส่งทางบก ระงับทะเบียนรถยนต์ทันที พร้อมทั้งส่งจดหมายแจ้งไปยังเจ้าของรถด้วย

ซึ่งเจ้าของรถต้องคืนแผ่นป้าย และนำสมุดคู่มือมาให้ทางราชการบันทึกการระงับทะเบียน ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่นายทะเบียนระงับการดำเนินการทางทะเบียน หากไม่ไปดำเนินการ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท

นั่นหมายความว่า รถยนต์คันนั้นได้ถูกระงับทะเบียนไปแล้ว หากคุณต้องการจะขายรถ ไม่สามารถทำการซื้อขายรถ ใช้รถวิ่งรับจ้าง โอนรถหรือย้ายทะเบียนรถได้ และยังเป็นภาระของคนซื้อรถ ซึ่งต้องชำระภาษีรถยนต์ที่ค้างอยู่ 3 ปีก่อน ถึงสามารถจดทะเบียนรถใหม่ ให้สามารถนำรถมาใช้งานบนท้องถนนได้อีกครั้ง ขั้นตอนวิธีการมีอะไรบ้าง อ่านด้านล่างเลยครับ …

ต่อทะเบียนรถ ภาษีขาดเกิน 3 ปี

ขั้นตอนที่ 1

นำเล่มทะเบียน มาให้ทางราชการบันทึกการระงับทะเบียน และชำระภาษีค้างชำระ ตามอัตราภาษีรถประจำปีของรถแต่ละประเภทและเสียภาษีเพิ่มร้อยละ 1 ต่อเดือนจนถึงวันชำระ ณ สำนักงานขนส่งเขตพื้นที่ที่รถจดทะเบียน

หมายเหตุ: รถที่ค้างชำระภาษีรถประจำปี หลังจากวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2547 โดยค้างเกิน 3 ปี จะเสียภาษีเพิ่มร้อยละ 1 ต่อเดือนจนถึงวันชำระ (หากเป็นรถยนต์ที่ไม่ได้เสียภาษีก่อนวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2547 จะต้องค่าปรับร้อยละ 20 ต่อปี ย้อนหลังไป 3 ปี เช่นกัน)

ขั้นตอนที่ 2

พร้อมทั้งแจ้งการขอใช้รถอีกครั้ง (คือ การจดทะเบียนรถยนต์ใหม่) พร้อมชำระอัตราค่าธรรมเนียมภาษีประจำปีของทะเบียนรถใหม่ (ซึ่งต้องมี พรบ. เตรียมมาด้วย)

ต่อทะเบียนรถ ภาษีขาดเกิน 3 ปี

เอกสารและหลักฐานที่ต้องใช้

  • สมุดคู่มือจดทะเบียน ที่บันทึกการระงับทะเบียนแล้ว (ตัวจริงเท่านั้น พร้อมสำเนา)
  • บัตรประจำตัวประชาชนของเจ้าของรถ (ตัวจริงพร้อมสำเนา)
  • หลักฐานการประกันภัยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535
  • หลักฐานการได้มาของรถ เช่น หนังสือสัญญาซื้อขาย หรือหลักฐานการขายทอดตลาด (กรณีมิได้จดทะเบียนในชื่อเจ้าของเดิม)
  • หนังสือรับรองการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล (กรณีเป็นนิติบุคคล อายุการใช้งานไม่เกิน 6 เดือน)
  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มีอำนาจลงนาม กรณีเป็นนิติบุคคล
  • หนังสือมอบอำนาจ (กรณีที่เจ้าของรถไม่สะดวกไปดำเนินการ ติดอากรแสตมป์ 10 บาท) สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนผู้รับมอบอำนาจ

ต่อทะเบียนรถ ภาษีขาดเกิน 3 ปี

ค่าธรรมเนียม

  • ค่าจดทะเบียนรถใหม่ 315 บาท
  • ค่าสมุดคู่มือจดทะเบียนรถ 100 บาท
  • ค่าแผ่นป้ายทะเบียนรถ ป้ายละ 100 บาท
  • หลักฐานการประกันภัย ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535
  • อัตราภาษีของรถแต่ละประเภท
  • ค่าธรรมเนียมการตรวจสภาพ รถจักรยานยนต์ 10 บาท รถยนต์ 50 บาท

ต่อทะเบียนรถ ภาษีขาดเกิน 3 ปี

ขอขอบคุณภาพขวามือจาก Login ชลน่าน @ Pantip

ขั้นตอนที่ 3

สำหรับช่องทางชำระภาษีรถประจำปี มีช่องทางการชำระหลากหลาย อาทิเช่น

  • กรมการขนส่งทางบก มีบริการ Drive-Thru เตรียมเอกสารและเงินไว้ ขับรถเข้าไปจ่ายได้เลย ซึ่งจะช่วยลดเวลาดำเนินการลงได้อีก มีเวลาเปิดทำการตั้งแต่ 7.30-15.30 น.
  • ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งทุกสาขาในกรุงเทพมหานคร แต่มีข้อยกเว้น คือต้องเป็นรถยนต์ที่จดทะเบียนในกรุงเทพฯ เท่านั้น และต้องไม่เป็นการจ่ายภาษีแบบที่ค้างชำระ สามารถจ่ายล่วงหน้าได้ไม่เกิน 3 เดือน
  • สำนักงานเขตทุกเขตในกรุงเทพมหานคร แต่ต้องเป็นแบบไม่ค้างชำระและจ่ายล่วงหน้าไม่เกิน 3 เดือน
  • ที่ทำการไปรษณีย์ทุกแห่ง มีบริการรับชำระภาษีรถยนต์เช่นกัน และมีเงื่อนไขเช่นเดียวกับเบื้องต้น
  • ตามห้างสรรพสินค้า เช่น ห้างบิ๊กซี 13 สาขา ห้างในเครือเซนทรัล หรือพาราไดซ์พาร์ค (ศรีนครินทร์) เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว ในวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 09.00-18.00 น.
  • ต่อทางอินเตอร์เน็ต ที่เว็บไซต์ https://eservice.dlt.go.th/ เป็นอีกวิธีหนึ่งที่กรมการขนส่งทางบกอำนวยความสะดวก ให้กับผู้ประสงค์จะต่อภาษีรถยนต์ เตรียมเอกสารเหมือนกับการไปต่อที่กรมการขนส่งทางบก กรอกข้อมูล และเลือกวิธีการชำระเงินได้ 3 ช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นหักจากบัญชีธนาคาร ผ่านบัตรเครดิต หรือพิมพ์เอกสารออกมา แล้วไปจ่ายที่เคาน์เตอร์เซอร์วิส แต่การต่อภาษีทางอินเตอร์เน็ตไม่สามารถต่อได้ กรณีที่ภาษีค้างชำระเกิน 1 ปี และล่วงหน้าไม่เกิน 3 เดือน สำหรับรถที่ต้องใช้เอกสารการตรวจรถ ก็ไม่สามารถต่อทางอินเตอร์เน็ตได้เช่นกัน
  • ชำระภาษีรถผ่าน ตรอ., ผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส เซเว่น-อีเลฟเว่น กว่า 8,000 แห่งทั่วประเทศ และล่าสุด ชำระภาษีบนมือถือทุกเครือข่าย AIS, True Move และ DTAC

ซึ่งเจ้าของรถ สามารถชำระภาษีรถได้ล่วงหน้า 3 เดือน ก่อนอายุภาษีสิ้นสุดครับ

ต่อทะเบียนรถ ภาษีขาดเกิน 3 ปี

ถ้าคุณเบื่อต่อภาษีรถยนต์คันเดิมแล้ว หรือจ่ายไม่ไหว อยากตัดสินใจขายรถด่วนๆ เพื่อไปซื้อรถคันใหม่ หรือรับเงินก้อนไปใช้ มาขายรถคันเดิมของคุณกับทาง CARRO ได้ เราเสนอให้ราคาที่ดีที่สุด รับประกันความพึงพอใจ พร้อมปิดการขายภายใน 24 ชั่วโมง! กับ CARRO Express แค่คลิก -> https://th.carro.co/sell-car/express หรือจะ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

และอีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ ซื้อรถ คลิก -> https://th.carro.co/taladrod/allcar/carro 

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่หาไม่ได้ สามารถสั่งตามออเดอร์ได้ที่นี้ > https://th.carro.co/buy-car หรือโทร. 02-508-8690 อีกทั้งยัง Inbox เข้ามาสอบถามก็ได้เช่นกันได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง หรือทาง Line เชิญเลยครับที่ @carroautomall

อย่าทิ้งของมีค่า

อย่า! เก็บของมีค่าไว้ในรถ จอดที่ไหนก็เสี่ยง!

เชื่อว่าทุกคนมีความกังวลไม่มากก็น้อย ในเรื่องของ “รถหาย”!! จึงคอยระแวดระวังกัน เพราะทุกวันนี้มี “โจรชุม” เหมือนยุง แต่สิ่งหนึ่งที่ถือเป็นภัยใกล้ตัวของคนมีรถยนต์ นอกจากรถหายเพราะถูกโจรกรรมแล้ว ก็หนีไม่พ้น “โจรทุบกระจกฉกทรัพย์” ซึ่งไม่ใช่ภัยรูปแบบใหม่ แต่เป็นภัยที่เกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ มีทั้งโจรหน้าเก่า หน้าใหม่ สลับกันก่อเหตุ

กระจกห้องโดยสารของรถ ถือเป็นส่วนที่เปราะบางที่สุดของรถ สามารถถูกทำลายได้โดยง่าย ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที คนร้าย ก็สามารถเข้าไปรื้อค้นหาทรัพย์สินของมีค่า ที่เจ้าของเก็บไว้ภายในรถอย่างรวดเร็ว

ที่ผ่านมามีผู้เคราะห์ร้ายทุกสาขาอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นคนดัง ศิลปิน ดารา นักร้อง นักกีฬา นักธุรกิจ พ่อค้าแม่ขาย พนักงานออฟฟิศ หรือแม้แต่ตำรวจก็ไม่ได้รับการละเว้นจากบรรดาโจรทุบกระจกรถ บางรายสูญทรัพย์สินเป็นจำนวนหลักแสน หรือมากกว่า บางรายก็โชคร้ายถึงขั้นถูกขโมยรถยนต์ไปด้วย

ถึงแม้หลังเกิดเหตุลักษณะนี้ขึ้นตำรวจในแต่ละท้องที่ได้ “ล้อมคอก” เพิ่มการตรวจตราระมัดระวัง ส่งสายตรวจเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น แต่คนร้าย ก็ยังสามารถหาช่องโหว่ รอจังหวะสบโอกาสก่อเหตุอีกนับครั้งไม่ถ้วน เพราะคนร้ายก็พยายามคิดค้นหาวิธีหลบเลี่ยงการทำงานของตำรวจได้อยู่เสมอ

จากสถิติการเกิดคดีอาชญากรรม ที่ กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) เคยทำเอาไว้ พบว่า ถนน 4 เส้นทางในกรุงเทพมหานคร ได้แก่ ถ.เกษตร-นวมินทร์ ถ.วิภาวดีรังสิต ถ.พหลโยธิน และ ถ.รัชดาภิเษก โดยเฉพาะ แยกห้วยขวาง เกิดเหตุคนร้ายทุบกระจกรถยนต์ขโมยทรัพย์สินมากที่สุด อาจเป็นเพราะย่านนี้ มีร้านอาหารริมทางเปิดให้บริการอยู่จำนวนมาก ประชาชนจึงจอดรถไว้ริมทางโดยไม่ระวัง คนร้ายจึงฉวยโอกาสลงมือได้ง่าย

แถม “วิวัฒนาการโจร” ทุกวันนี้ ได้ลามเข้าไปก่อเหตุตามลานจอดรถห้างสรรพสินค้าต่างๆ ที่แม้จะมีระบบรักษาความปลอดภัย มีทั้ง รปภ.และกล้องวงจรปิดทุกซอกมุม ยังไม่รอด!

โจรทุบกระจกรถเหล่านี้ พฤติการณ์ส่วนใหญ่แล้ว สายตาจะคอยหารถยนต์เป้าหมายที่มีทรัพย์สินมีค่าอยู่ภายในรถ เช่น กระเป๋าเงิน เครื่องคอมพิวเตอร์ กล้องถ่ายรูป ฯลฯ

ดังนั้น การจอดรถในแต่ละครั้ง แต่ละสถานที่ ควรจัดเก็บสิ่งของต่างๆ ให้ลับตาคน อย่าเปิดเผย อย่าแต่งตัวล่อตาล่อใจแก่ผู้พบเห็น สำหรับสิ่งของ หากสามารถนำติดตัวไปด้วย ก็จะปลอดภัยเพิ่มขึ้น

 

วิธีป้องกันโจรขโมยของทุบกระจกรถ มีอยู่ 4 ข้อหลัก คือ

1. อย่าจอดรถในที่มืด ไม่ว่าจะจอดชั่วคราวหรือจอดทั้งคืน เนื่องจากการจอดรถ เปรียบเหมือนการฝากทรัพย์สินที่สำคัญ ควรจะจัดหาที่จอดรถที่เหมาะสม และถ้าเป็นไปได้ หาที่จอดรถที่มีแสงสว่าง และไม่ควรอยู่ห่างจากบ้านตัวเอง เพื่อที่จะได้รับรู้กรณีมีเหตุฉุกเฉิน

2.อย่าอยู่ในที่เปลี่ยว หรือลับตาคนเป็นอันขาด แต่ถ้าไม่สามารถเลี่ยงได้ ให้จอดรถโดยอย่าให้ด้านผู้โดยสารอยู่ด้านนอกถนน และจัดการล็อกรถให้ดี เป็นไปได้ควรออกมาตรวจสอบรถบ่อยเท่าที่จะทำได้

3.รถไม่ใช่บ้าน ไม่ใช่ตู้เซฟ ไม่ควรวางหรือเก็บของมีค่าเอาไว้ ซึ่งส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ทั้งหมด ต้องยอมรับว่าของมีค่าเป็นสิ่งล่อตาล่อใจโจร แม้หลายครั้งที่โจรทุบกระจกจะเป็นการเดาสุ่ม แต่ก็ต้องเป็นการเดาสุ่มแบบมีความเป็นไปได้ ส่วนหนึ่งอาจจะเกิดจากการเคยรู้เคยเห็น ดังนั้นจึงไม่ควรนำทรัพย์สินไว้ในรถ

4.สัญญาณกันขโมย เมื่อมีแล้วต้องใช้ให้เป็น ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะสามารถป้องกันโจรได้ หากอยู่ในพื้นที่เสี่ยงก็ควรปรับตั้งค่าให้มีความอ่อนไหวสูง แต่ไม่ต้องถึงขั้นหมาเห่าหรือรถวิ่งผ่านยังดัง ควรให้ช่างช่วยปรับตั้งในระดับที่เอามือแปะกระจกแรงๆ แล้วดังก็พอ แม้สัญญาณกันขโมยอาจไม่ช่วยกันแบบ 100% แต่ก็พอจะช่วยประวิงเวลาโจร หรืออย่างน้อยมันอาจจะตกใจ หนีไปก็ได้

แม้แนวป้องกันอาจจะเป็นเพียงวิธีพื้นฐาน แต่หลายคนยังละเลยที่จะปฏิบัติตาม โดยเฉพาะการวางของมีค่าไว้ในรถ ส่วนหนึ่งมาจากความมักง่าย ที่ไม่ชอบนำของมีค่าลงไปจากรถ แม้จะชั่วครู่ชั่วคราว จนทำให้เป็นที่หมายตาโจร ดังนั้น “กันไว้ดีกว่าแก้” น่าจะดีที่สุด..!!

 

Ref : komchadluek.net

รถติดแก๊ส LPG ถังครบ 10 ปี ไม่ต้องเปลี่ยนถังใหม่! ตรวจถังต่ออายุได้

เป็นธรรมดาของรถยนต์ที่ติดตั้งระบบแก๊ส LPG ที่คนใช้รถติดแก๊สต้องรู้ไว้ กับข้อกำหนดว่า นอกจากจะต้องตรวจสภาพระบบแก๊ส LPG ทุกๆ ปี แล้ว จะต้องตรวจสภาพของถังแก๊ส LPG เมื่ออายุถังครบ 10 ปี ก่อนจะต่อภาษีทะเบียนรถ มิฉะนั้นจะต่อภาษีรถยนต์ไม่ได้ หรือโอนรถไม่ได้

แต่บรรดาอู่ติดแก๊สรถยนต์ส่วนใหญ่ มักจะแนะนำให้เปลี่ยนถังแก๊ส LPG ใบใหม่ เพราะไม่มีเครื่องมือสำหรับการตรวจสอบถัง และไม่ได้รับการแต่งตั้งจากกรมการขนส่งทางบก ให้เป็นผู้ตรวจสอบถังแก๊ส LPG ซึ่งจะต้องใช้งบประมาณในการเปลี่ยนถังประมาณ 5 พัน ถึง 1 หมื่นบาทได้

เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่สูง ทำให้หลายคนต้องคิดมาก วันนี้ MR.CARRO จะมาอธิบายถึงเรื่องการตรวจรถติดแก๊ส LPG อายุถังครบ 10 ปี และยืดอายุการใช้งานไปได้อีก 5 ปีให้ฟังครับ.

LPG-Test-Station

ขอบคุณภาพจาก Gasthai.com

ทราบหรือไม่ว่า ถังแก๊ส LPG ที่มีอายุมากกว่า 10 ปี ยังคงใช้งานได้ต่อ หากมีอุปกรณ์ส่วนควบ วาล์ว และสภาพถังยังอยู่ในสภาพที่ดี โดยได้รับการรับรองจากวิศวกรที่ได้ทางกรมขนส่งทางบกกำหนดให้เป็นผู้ที่สามารถตรวจสอบ และทดสอบถัง LPG ได้

ซึ่งจะเสียค่าตรวจทดสอบประมาณ 1,000 – 1,500 บาท โดยจะใช้ถังแก๊ส LPG ใบนั้นได้ต่ออีก 5 ปี และต้องกลับไปตรวจใหม่ทุกๆ 5 ปี ไปเรื่อยๆ จนกว่าถังใบนั้น จะมีสภาพที่ไม่พร้อมใช้งานแล้ว ถึงค่อยเปลี่ยนถังแก๊ส LPG ใบใหม่

ตัวอย่างถังแก๊ส LPG และวาล์วที่ตรวจผ่าน

LPG-Tank-Test

ภาพจาก Gasthai.com

ตัวอย่างถังแก๊ส LPG และวาล์วที่ตรวจไม่ผ่าน ต้องแก้ไข หรือเปลี่ยนถังใหม่

LPG-Tank-Test

ภาพจาก Gasthai.com

ถังแก๊ส LPG ที่จะตรวจผ่าน ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน มอก.370, ECE R 67, AS/NZS 1425 และ UL 2227 โดยถังแก๊ส LPG ส่วนใหญ่จะผ่านมาตรฐาน มอก.370 อยู่แล้ว แต่จะตรวจผ่านหรือไม่ผ่าน หลักๆ อยู่ ที่วาล์วถัง คือ ต้องมีลิ้นเปิดปิดระยะไกล (วาล์วเปิด-ปิด ไฟฟ้า) วาล์วป้องกันการเติมเกิน 85% และวาล์วระบายความดันเกินเพื่อระบายแก๊ส เมื่อเกิดจากถังแก๊สมีความร้อนสะสมเกิน หรือไฟใหม้ เป็นต้น

LPG-Tank-Test

ภาพจาก Gasthai.com

LPG-Tank-Test

ระบบการตรวจ ต้องออนไลน์เข้าระบบของกรมการขนส่งทางบก (ภาพจาก Gasthai.com)

ส่วนถังแก๊สที่จะตรวจผ่านแน่ๆ ตัวถังจะต้องไม่ผุกร่อน ไม่บิดเบี้ยว ไม่มีรอยบุบ หรือรอยสนิมที่เป็นหลุมลึก หรือตัวถังโดนน้ำบ่อยๆ จนเกิดเป็นสนิม หรือเป็นสนิมเพราะใช้รถใกล้ทะเล ฯลฯ โดยวิศวกร จะมีวิธีการทดสอบ ตามหลัก มอก.370-2552 เช่น การทดสอบ Hydrostatic Test การวัดความหนาของถัง ด้วย คลื่น อุลตร้าโซนิก ฯลฯ

LPG-Tank-Test

ถังทดสอบความดันไฮดรอลิก (ภาพจาก Gasthai.com)

เมื่อวิศวกรตรวจถังของคุณผ่าน คุณสามารถใช้ถังแก๊ส LPG ใบนี้ได้ต่อไปอีก 5 ปี กรณีนี้ ไม่ต้องนำรถเข้าตรวจและลงบันทึกใดๆ ที่ ขนส่ง เพราะว่าไม่มีการแก้ไขเลขถังแก๊ส LPG ในรายละเอียดของทะเบียนรถใดๆ เพียงเก็บใบวิศวกรตรวจถังแก๊สครบ 10 ปี เอาไว้

เวลาไปเสียภาษีรถยนต์ประจำปี ให้ถ่ายสำเนาใบตรวจถังแก๊สอายุครบ 10 ปี ไปพร้อมใบตรวจสภาพระบบแก๊ส LPG ของรถยนต์ (อันนี้ต้องตรวจทุกปี), ใบตรวจ ตรอ. (กรณีรถอายุเกิน 7 ปี) และ พรบ. เท่านั้นครับ ก็สามารถชำระภาษีได้เลยทุกๆ ปี (อย่าลืม! ใบตรวจสภาพระบบแก๊ส LPG ของรถยนต์ ต้องนำเอกสารชำระภาษีภายใน 30 วัน ก่อนเอกสารจะหมดอายุ)

LPG-Tank-Test

ถังแก๊ส LPG อายุเกิน 10 ปี ที่ตรวจสภาพผ่าน (ภาพจาก k.โรจน์ สมาชิก Pantip.com)

สามารถอ่านประกาศจากทางกรมการขนส่งทางบก เกี่ยวกับเรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และระยะเวลาการตรวจ ทดสอบถังแก๊ส อีกทั้งการออกหนังสือรับรองการตรวจและทดสอบส่วนควบ และเครื่องอุปกรณ์ของรถ ที่ใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลวเป็นเชื้อเพลิงตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ ที่นี่ >> https://docs.google.com/gview?url=https://www.dlt.go.th//web-upload/m_news/236/1780/file_download/89d6ff63445dc2ea426f93dfe164cd16.pdf

เพื่อความสะดวก อย่าลืม!

ดูรายชื่อร้าน ที่เป็นผู้ตรวจและทดสอบ ที่ผ่านการรับรองจากทางกรมขนส่งทางบก ก่อนนำรถติดตั้งแก๊ส LPG ถังอายุครบ 10 ปี ไปตรวจถัง ได้ตาม Link นี้ครับ >> https://drive.google.com/file/d/1Bn8m13RZPjaLmU2pJ4WCx93foGbOj8FP/view

(ข้อมูล ณ วันที่ 14 กันยายน 2564)

LPG-Gas-Tank-10-Years-Not-Replace

สำหรับข้อมูลข้างต้นนี้ ทาง CARRO เพียงนำเสนอข้อมูล และรายละเอียดต่างๆ ให้สำหรับผู้ที่ใช้รถติดแก๊ส LPG ได้เข้าใจ มิได้รับติดตั้งแก๊ส หรือรับตรวจถังแก๊สอายุครบ 10 ปี นะครับผม

สำหรับใครที่กำลังอยากขายรถคันเดิมเวลานี้ สามารถขายรถคันเดิมของคุณกับทาง CARRO ดูได้ โดยได้ราคาที่ดีที่สุด รับประกันความพึงพอใจ พร้อมปิดการขายภายใน 24 ชั่วโมง! กับ CARRO Express มาขายรถคันเดิมกับ CARRO Express สิ! Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

Carro Express ขายรถกับคาร์โร อยากขายรถ ขายรถด่วน

สำหรับใครที่อยากขายรถคันเดิม ไปซื้อรถยนต์คันใหม่ มาขายรถกับทาง CARRO Express ได้ที่  https://th.carro.co/sell-car/express วิธีการขายรถในแบบยุคใหม่ ง่าย สะดวก รวดเร็ว ได้ราคา อีกทั้งยังลงขายได้ “ฟรี!” พร้อมรับเงินสดกลับบ้านทันที ภายใน 24 ชั่วโมง!

Carro Automall / คาร์โร ออโต้มอลล์

แต่ถ้าหากช่วงนี้ใครอยากเปลี่ยนรถคันใหม่ มาใช้แทนที่รถคันเดิม CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยมผ่านระบบออนไลน์ พร้อมตอบโจทย์คุณด้วยคอนเซปต์ “click.buy.drive.” คุณสามารถจองรถออนไลน์ ได้ในเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น!

รถทุกคันผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check มากกว่า 160 จุด และยังมีเทคโนโลยี “360 View & Sound Engine Analysis” ให้คุณเลือกชมรถยนต์เสมือนจริงออนไลน์รายแรกในไทย ทั้งภาพและเสียงในรูปแบบ 360 องศา พร้อมรับประกันคุณภาพรถนานถึง 1 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร! อีกทั้งยังการันตีความพึงพอใจ คืนเงินได้ภายใน 5 วันอีกด้วย! เรามีรถให้คุณเลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน ซื้อรถคุณภาพเยี่ยม ต้องที่ CARRO Automall สิ!

หรือถ้าหากสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall Official โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall ครับ

เนื้อหาประกอบส่วนหนึ่งจาก:

นอนในรถ

นอนในรถ อาจตายได้อันตรายจากก๊าซพิษ!
ควรดับเครื่องยนต์ก่อนนอน

สำหรับคนที่ขับรถอยู่ทุกวัน คงจะมีบางครั้งที่คุณรู้สึกง่วงจนต้องแวะเข้าปั้มเพื่อล้างหน้าล้างตาและหากาแฟดื่ม หรือบางคนที่ง่วงจริงๆ ก็ถึงขั้นนอนในรถกันเลยทีเดียว ซึ่งก็ไม่ผิดอะไรที่คุณจะนอนในรถ เพราะถ้าคุณง่วงมากๆ แล้วฝืนขับรถต่อไป ก็อาจจะ “หลับใน” จนเกิดอันตรายได้

นอนในรถเครดิตรูป : www.trthaber.com

แต่ “การนอนในรถ” ถ้านอนผิดวิธี ก็อันตรายไม่แพ้หลับในเช่นกัน! เนื่องจากการสตาร์ตเครื่องยนต์และเปิดแอร์ทิ้งไว้ เครื่องยนต์จะปล่อยก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ซึ่งเป็นก๊าซพิษออกมาในขณะที่รถยนต์จอดอยู่กับที่ และระบบแอร์ก็จะดูดอากาศจากด้านนอกเข้ามาในรถตอนเราหลับ เท่ากับว่าตอนนั้นเรากำลังสูดควันพิษจากก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์เข้าไป

แรกเริ่มจะทำให้มีอาการปวดศีรษะ อ่อนเพลีย อาเจียน เมื่อได้รับปริมาณมาก ก็จะไม่รู้สึกตัว ระบบหายใจล้มเหลว และเสียชีวิตในที่สุด เพราะร่างกายขาดออกซิเจนนั่นเอง เห็นหรือยังว่า “การนอนในรถ” ถ้านอนสุ่มสี่สุ่มห้ามันอันตรายกว่าที่คุณคิด

ด้วยความเป็นห่วงจาก Carro ในบทความนี้ เราจึงรวบรวมวิธี “การนอนในรถ” อย่างถูกต้อง เมื่อคุณจำเป็นต้องพักหรือนอนในรถจริงๆ เท่านั้น (รู้แล้วบอกต่อจะดีมาก)

 

1.เลือกทำเลที่จอด : เลือกที่จอดรถที่ปลอดภัย ไม่กีดขวางทางจราจร ไม่อันตราย มีพื้นที่จอดอย่างเหมาะสม ไม่ติดร่องน้ำหรือคูคลองมากเกินไป ตรงนั้นต้องไม่มีเครื่องจักรทำงาน โดยเฉพาะเวลากลางคืนที่จอดต้องไม่เปลี่ยว มีแสงสว่างเพียงพอ

 

2.ห้ามเปิดแอร์ : เพราะก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์จะเข้าไปแทนที่ก๊าซออกซิเจนในรถ ทำให้เราเสียชีวิตได้ แต่ถ้าเป็นตอนรถวิ่งเปิดแอร์ได้ปกติ เพราะมีอากาศหมุนเวียนตลอดเวลา

 

3.ลดกระจกลง : ลดกระจกลงเล็กน้อย ถ้าอยู่ในที่ไม่คุ้นเคย แต่ถ้าบริเวณนั้นปลอดภัยก็เปิดกระจกได้เต็มที่ หรือเปิดประตูให้ลมผ่านเข้าตลอดเลยก็ยังได้

 

4.ล็อครถให้ดี : สำหรับที่ที่ไม่ปลอดภัย หรือไม่คุ้นเคย ก่อนที่คุณจะนอน คุณจะต้องตรวจสอบความปลอดภัยว่าล็อกรถดีหรือยัง เพราะอาจถูกชิงทรัพย์หรือขโมยทรัพย์สินได้

5.เปิดพัดลม แต่ไม่ต้องเปิดแอร์ : พัดลมจากแอร์สามารถเปิดได้ แม้ไม่เปิดแอร์ แค่คุณบิดกุญแจเพื่อเปิดระบบไฟ เพื่อช่วยให้มีอากาศถ่ายเทในรถตลอดเวลา

 

ทั้งหมดนี้ ก็คือ 5 วิธีปฎิบัติง่ายๆ ที่คุณควรทำ “ก่อนจะนอนในรถ” เพื่อจะได้นอนพักอย่างปลอดภัย และขับขี่ต่อได้โดยไม่หลับใน และไม่เสี่ยงอันตรายกับก๊าซพิษค่ะ

รู้ไว้ไม่โดนจับ! “กฎหมายจราจร 10 ข้อ” ที่คนมีรถต้องรู้

กฏหมายเบื้องต้น 10 ข้อเกี่ยวกับรถยนต์ ที่คนมีรถไม่รู้ไม่ได้!

ประเทศไทยของเรา ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่มีคนเสียชีวิต ด้วยอุบัติเหตุบนท้องถนนมากที่สุดในโลก ซึ่งความจริงข้อนี้ สะท้อนให้เห็นว่า “คนไทย ไม่เคารพกฏจราจรเท่าที่ควร” จนทำให้เกิดการสูญเสียและอุบัติเหตุซ้ำแล้วซ้ำอีก

ในบทความนี้ Carro จึงรวบรวม “กฎหมายที่มีความสำคัญบนท้องถนน 10 ข้อ” มานำเสนอ เนื่องจากเป็นกฏหมายจราจรที่คนขับรถทุกคนต้องรู้ หากฝ่าฝืนจะถูกจับและปรับ แต่ถ้าเรารู้ทันกฎหมายก็จะปลอดภัยกว่า ทั้งทางชีวิตและทรัพย์สิน ของผู้ใช้รถทุกท่านค่ะ


1. แอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มก. เท่ากับ“เมา”

ผู้ขับขี่รถยนต์ ที่มีแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จะถือว่าเมาสุรา ตามมาตรา 43 (2) ผู้ขับขี่ต้องจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000 – 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และศาลจะพักใช้ใบอนุญาติขับขี่ของผู้นั้นไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรืออาจถูกเพิกถอนใบอนุญาติขับขี่

แอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มก. เท่ากับ“เมา”

2. ต้องรัดเข็มขัดแม้นั่งหลัง

ตามมาตรา 44 ฉบับที่ 14/2560 สั่งให้รถยนต์ส่วนบุคคลนั่งไม่เกิน 7 คน ยกเว้น รถ 2 แถว รถกระบะมีแค็บ และรถ 3 ล้อ ต้องมีสายเข็มขัดนิรภัย และต้องคาดเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่ง บทลงโทษคือ คนขับและผู้โดยสารรถเก๋ง รถแท็กซี่ และรถกระบะ ปรับไม่เกิน 500 บาท ส่วนรถตู้ รถทัวร์ รถบรรทุกสินค้า ปรับไม่เกิน 5,000 บาท

3. นั่งกระบะหลังไม่ได้

เนื่องจากรถกระบะที่มีแค็บเป็นรถที่จดทะเบียน เป็นรถกระบะบรรทุกส่วนบุคคลไม่เกิน 7 ที่นั่ง อีกทั้งบริเวณกระบะหลังไม่มีอุปกรณ์สำหรับความปลอดภัย เป็นที่สำหรับไว้บรรทุกของเท่านั้น จึงถือว่าเป็นการใช้รถผิดประเภท มีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท

4. ห้ามไฟหน้าหลายสี

จากมาตรา 11 ในเวลากลางคืน รถจะต้องเปิดไฟ คือไฟหน้ารถจะต้องมีสีขาวหรือสีเหลืองเท่านั้น และจะต้องมีกำลังไฟไม่เกิน 10 วัตต์ เพราะอาจทำให้ผู้ร่วมทางเกิดความรำคาญจนอาจเป็นเหตุให้เกิดความไม่ปลอดภัยได้ หากผู้ใดฝ่าฝืน จะต้องถูกปรับไม่เกิน 500 บาท

5. ห้ามเปิดไฟตัดหมอกโดยไม่มีเหตุ

ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก มาตรา 11 ไฟตัดหมอกจะใช้ได้แค่ 4 กรณีเท่านั้น  คือ 1. ช่วงฝนตกหนัก 2. เมื่อเจอหมอก 3. หลังฝนหยุดในเวลากลางคืน 4. ขับผ่านกลุ่มควัน เพราะหากใช้พร่ำเพรื่ออาจสร้างความรำคาญแก่ผู้ร่วมทางบนถนน จนเป็นเหตุให้เกิดความไม่ปลอดภัยได้ หากผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษสูงสุดปรับไม่เกิน 500 บาท

ห้ามเปิดไฟตัดหมอกโดยไม่มีเหตุ

6. ห้ามใส่หลังคาซันรูฟ หรือมูนรูฟ

เนื่องจากเข้าข่ายดัดแปลงสภาพรถในมาตรา 14 กับ 60 อาจเกิดความไม่ปลอดภัยได้ แต่ถ้าหากมีมาตั้งแต่โรงงานผลิตตามสเป็ค ไม่ได้ดัดแปลงเอง ถือว่าไม่ผิดกฎหมาย หากผู้ใดฝ่าฝืนนำมาดัดแปลงทีหลัง จะโดนโทษปรับ ไม่เกิน 2,000 บาท

7. ล้อยางเกินออกมานอกบังโคลนข้างละหลายนิ้ว

จากมาตรา 12 และ 60 ล้อรถด้านท้ายจะยื่นออกมาจากตัวถังรถได้ไม่เกิน 15 เซนติเมตร และขอบยางด้านนอกสุดห้ามยื่นออกมาเกินตัวถังรถ เว้นแต่จะมีอุปกรณ์ที่ช่วยให้ไม่เกิดอันตราย และความเสียหายเนื่องจากการหมุนของล้อ หากผู้ใดฝ่าฝืนจะต้องโทษปรับ ไม่เกิน 2,000 บาท

8. ไฟเบรคต้องสีแดงเท่านั้น

ตามมาตรา 12 และ 60 รถของผู้ขับขี่จะต้องมีไฟหยุด หรือไฟเบรคเป็นสีแดงเท่านั้น และห้ามดัดแปลงทำเป็นกระพริบ เพื่อไม่ให้สร้างความรำคาญแก่คนอื่น หรือทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิด จนเป็นเหตุให้เกิดความไม่ปลอดภัยได้ หากผู้ใดฝ่าฝืนจะต้องโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท

9. ห้ามติดไฟสปอตไลท์ และโคมไฟตัดหมอกแสงพุ่งไกล

ตามมาตรา 12 และ 60 กำหนดให้ไฟหน้าของรถต้องมีสีขาวหรือเหลืองอ่อนเท่านั้น สูงจากพื้นไม่น้อยกว่า 40 เซนติเมตร ไม่เกิน 135 เซนติเมตร ไม่สว่างจ้าเกินไป ไม่สะท้อนเข้ากระจกมองข้าง หรือกระจกมองหลังของผู้ขับขี่ที่ร่วมทาง เพราะทำให้สายตาผู้ร่วมทางพร่ามัว และจนอาจเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุได้จากแสงไฟที่แรงเกินค่ามาตรฐาน หากผู้ใดฝ่าฝืนติดตั้งจะต้องโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท

10. เปลี่ยนท่อไอเสียเสียงดัง

ตามมาตรา 5 (2) และ 58 การเปลี่ยนแปลงท่อไอเสียรถให้ผิดเพี้ยนไปจากทะเบียนที่จดไว้ แล้วทำให้มีเสียงดังกว่า 95 เดซิเบล ในรัศมี 3 เมตรจากท่อ เนื่องจากสร้างความรำคาญให้แก่ผู้อื่น หรืออาจทำให้ผู้อยู่ใกล้ๆ มีปัญหาทางการได้ยินได้ ผู้ใดฝ่าฝืนจะต้องโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท

เมื่อรู้ครบทั้ง 10 ข้อแล้ว อย่าลืมปฏิบัติตามกฏหมาย เพื่อตัวคุณเองและเพื่อนร่วมท้องถนน ขอให้เดินทางปลอดภัย ไม่โดนจับ (ผิด) แคล้วคลาดกันทุกคนนะคะ

Take-Care-Car-Later-Songkran-Festival

หลังจากสนุกสนานกับเทศกาลสงกรานต์ ก็อย่าลืมดูแลรถยนต์คันเก่งของคุณด้วยครับ

Take-Care-Car-Later-Songkran-Festival

หลังจากที่เทศกาลสงกรานต์ได้ผ่านพ้นกันไปแล้ว หลายคนได้ขับรถเที่ยวต่างจังหวัด กลับไปเยี่ยมญาติพี่น้องที่ต่างจังหวัด ขับรถเล่นสาดน้ำ หรือขับรถเที่ยวในกรุงเทพฯ ก็ตาม ในตอนนี้ก็ถึงเวลาที่คุณควรดูแลรถยนต์หลังจากใช้งาน เพื่อให้รถยนต์นั้นพร้อมใช้ และไม่เกิดปัญหาต่างๆ ที่ตามมาในภายหลัง

Take-Care-Car-Later-Songkran-Festival

ขั้นตอนแรก คือ “ล้างรถ” ล้างคราบสกปรก ทั้งฝุ่น แป้ง ดินสอพอง และคราบขึ้ดินขึ้โคลนจากการลุยน้ำในจุดต่างๆ ที่มีคนเล่นน้ำสงกรานต์กัน เนื่องจากน้ำที่ใช้เล่นสงกรานต์บางทีอาจจะไม่สะอาด อีกทั้ง “แป้ง” หรือ “ดินสอพอง” สามารถกัดชั้นแล็กเกอร์เคลือบสีรถได้ ทิ้งไว้นานๆ อาจทำให้สีด้านไม่เงาวาว หรือสีด่างได้ โดยฉีดน้ำล้างให้ทั่วคันก่อน แล้วจึงผ้าชุบน้ำเช็ดคราบที่เป็นรอยก่อน แล้วนำผ้าชุบน้ำบิดน้ำให้หมาดๆ ผืนใหม่ ไล่เช็ดตัวถังไปเรื่อยๆ ดูว่าตรงไหนมีรอบขูดขีดมาบ้างหรือเปล่า

พร้อมใช้ยาขัดสีรถ ป้องกันคราบ และทำความสะอาดผิวแลคเกอร์ เพื่อให้รถดูเงางามสะอาดขึ้น หรือจะเข้าคาร์แคร์ล้างรถ ขัด-เคลือบสี ไปเลยก็ได้ หากคุณไม่มีเวลา ค่าใช้จ่ายก็จะเริ่มตั้งแต่หลักร้อย ถึงหลายพันบาท

Take-Care-Car-Later-Songkran-Festival

ส่วนต่อมา คือ ภายในห้องโดยสาร ซึ่งถือว่าเป็นส่วนที่สำคัญมาก เพราะเป็นจุดที่เราใช้งานในรถ บางทีหากตัวเปียก หรือรองเท้าเปียก บรรดาเบาะที่เป็นผ้า หรือพรมปูพื้น มีโอกาสที่จะดูดซับความชื้นไว้ ซึ่งความชื้นจากน้ำทำให้ อาจจะก่อให้เกิดเชื้อราได้หากปล่อยไว้นาน โดยเฉพาะกับพรม และอาจทำให้เกิดสนิมที่พื้นรถได้ เมื่อรถเริ่มมีอายุมาก

อีกส่วนที่ควรให้ความสำคัญ นั่นคือ ส่วนประกอบภายในเครื่องยนต์ อาจจะต้องใช้ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการดูแลรถยนต์สักหน่อย หลังจากที่ได้เดินทางไกล ควรตรวจเช็คและสังเกตอาการผิดปกติของรถ ไม่ว่าจะเป็นระบบเครื่องยนนต์ ระบบเบรก ระบบเกียร์ คลัทช์ สำหรับรถที่ค่อนข้างจะมีอายุการใช้งานนานสักหน่อย ก็ตรวจเช็คให้ดี เพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน

Take-Care-Car-Later-Songkran-Festival

การดูแลรถหลังสงกรานต์นั้น ถือได้ว่ามีความสำคัญสำหรับรถของคุณแน่นอน และจะช่วยให้คุณขับรถได้อย่างสบายใจด้วยครับ

4-วิธีเอาตัวรอดจากอุบัติเหตุ-“รถตกเขา

ขับรถบนเขาให้ปลอดภัยได้ด้วยวีธีเหล่านี้

หากย้อนกลับไปเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว เราจะนึกถึงข่าวที่ 2 นักศึกษาไทยขับรถตกเขาที่สหรัฐอเมริกาจนเสียชีวิต ซึ่งแน่นอนว่าข่าวนี้ได้สร้างความสะเทือนใจเป็นอย่างมาก แต่ก็นั่นแหละค่ะ ถ้ามองในแง่ความเป็นจริงแล้วก็รอดยาก หรือหากมีผู้รอดชีวิตจริง ก็คงจะมีแค่ 1 ใน 10 เท่านั้น

วันนี้ คาร์โร จึงอยากมาให้ความรู้เรื่องการเอาตัวรอด เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถตกเขาเพื่อให้เป็นข้อมูลที่คุณสามารถนำไปใช้ได้ในยามฉุกเฉินค่ะ

4 วิธีเอาตัวรอดจากอุบัติเหตุ “รถตกเขา”

อะไรที่เป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ“รถตกเขา”

เมื่อพบเจอ หรือเกิดอุบัติเหตุ คนส่วนใหญ่ก็มักจะถามหาสาเหตุว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ซึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุรถตกเขา มีทั้งหมด 4 ประการด้วยกัน คือ สภาพรถยนต์ ความเร็ว เส้นทางที่ไม่คุ้นเคย และทัศนวิสัย

  • สภาพรถยนต์

โดยเฉพาะรถใหญ่อย่างรถบรรทุก หรือรถโดยสารประจำทางที่ต้องตรวจสภาพเบรกให้พร้อมเสมอ เพราะน้ำหนักที่บรรทุกมาจะเกิดความหน่วงเวลาที่เบรก หรือเลี้ยวโค้งได้

  • ความเร็ว

ความเร็วที่ใช้ในการขับขี่เป็นสิ่งสำคัญที่ห้ามละเลย เพราะยิ่งเราขับเร็วขึ้นเท่าไหร่ เราก็จะมีเวลาในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าน้อยลงเท่านั้น

  • เส้นทางที่ไม่คุ้นเคย

การขับรถไปในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคยก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รถเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ เพราะบางที Google map ก็ไม่ได้พาเราไปถึงจุดหมาย แต่พาเราไปไหนต่อไหนก็ไม่รู้

  • ทัศนวิสัย

อาทิ การขับรถตอนฝนตกหนัก ถนนลื่น หรือทางข้างหน้ามีการซ่อมแซมพื้นผิวถนนโดยที่คุณไม่รู้มาก่อน เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ นับเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุได้ทั้งสิ้น

อุบัติเหตุไม่เลือกสถานที่ ไม่เลือกเวลา ไม่เลือกบุคคล และไม่บอกกล่าวก่อนล่วงหน้า เราจึงไม่มีทางรู้ได้เลยว่าอุบัติเหตุจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่  ฉะนั้น 4 สิ่งที่คุณควรตระหนัก และทำตามอย่างเคร่งครัด เพื่อให้คุณปลอดภัย และรอดชีวิตจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้
4 วิธีเอาตัวรอดจากอุบัติเหตุ “รถตกเขา”

  • คาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้งก่อนขับรถ

อย่าชะล่าใจ คิดว่ามีถุงลมนิรภัยแล้วจะทำอะไรก็ได้ เพราะถุงลมนิรภัยจะมีเฉพาะบริเวณด้านหน้าเท่านั้น อีกทั้งถุงลมนิรภัยยังถูกออกแบบมาเพื่อลดแรงกระแทก แล้วยุบตัวลงทันที เพื่อกันไม่ให้เราถูกอัดจนหายใจไม่ออก

ดังนั้น การคาดเข็มขัดนิรภัยจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรทำ เพราะมันจะช่วยดึงรั้งตัวเราไม่ไห้ไปกระแทกกับกระจกหน้ารถ

  • สำรวจการบาดเจ็บเมื่อรถหยุด หรือนิ่งแล้ว

เมื่อรถหยุด หรือนิ่งแล้ว หากคุณยังพอมีสติ และเคลื่อนไหวได้ คุณควรสำรวจตัวเอง และคนที่นั่งไปด้วยว่าได้รับบาดเจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า หรือมีช่องทางที่เราจะออกจากรถได้หรือไม่ แล้วค่อยออกมาขอความช่วยเหลือ

  • ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ

หากคุณเกิดเคลื่อนไหวไม่ได้ หรือออกจากรถไม่ได้ ก็ให้คุณตะโกนขอความช่วยเหลือ หรือหาวัสดุมาเคาะให้เกิดเสียงดัง เป็นไปได้ให้พยายามเคาะตลอดเวลา เพราะเราไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่า จะมีคนมาได้ยินคุณเคาะเวลาไหน

  • ติดต่อบริษัทประกันภัย เพื่อช่วยดูแลค่ารักษา และค่าซ่อมรถ

เมื่อคุณได้รับการช่วยเหลือแล้ว ก็ให้คุณติดต่อทั้งบริษัทประกันภัยรถยนต์ และบริษัทประกันชีวิต เพื่อให้ทั้ง 2 บริษัทช่วยดูแลคุณในเรื่องค่ารักษาพยาบาล และค่าซ่อมแซมรถยนต์

ทั้งนี้ สิ่งที่คุณควรทำมากที่สุดไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แต่เป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เพราะเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาแล้ว ก็นับว่าเป็นความสูญเสียทั้งสิ้น

อาจไม่ได้สูญเสียบุคคลที่เรารัก แต่เป็นการสูญเสียทรัพย์สินเงินทองที่คุณต้องหมดไปกับค่ารักษาพยาบาล และค่าซ่อมแซมรถยนต์ ดังนั้น คุณจึงควรดูแลสภาพร่างกาย สภาพจิตใจ และสภาพรถยนต์ให้พร้อมก่อนเดินทางนะคะ

 

8-Checklists-Trip-In-Songkran-Day

ในช่วงสงกรานต์นี้ CARRO มีคำแนะนำดีๆ ให้กับผู้ขับขี่รถทุกประเภท ไม่ว่าจะผู้ใช้รถใช้ถนนทั่วไป ผู้ที่ขับรถโดยสาร รวมถึงผู้ใช้บริการรถโดยสารด้วย เพื่อการเตรียมตัวและเตรียมรถยนต์ของคุณให้พร้อม สำหรับการเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ หรือทริปต่างๆ ในอนาคต เพื่อลดโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุบนถนน ถึงจุดหมายปลายทางอย่างรวดเร็วและปลอดภัยตลอดการเดินทาง

1. เตรียมร่างกายให้พร้อม

สำหรับคนขับรถทุกคน ควรพักผ่อนให้เพียงพอก่อนออกเดินทาง ถึงแม้จะขับรถหรือเดินทางตอนกลางวันก็ตาม เพราะคุณสามารถเกิดอาการง่วงในช่วงบ่ายหลังจากทานข้าวเสร็จ ฉะนั้น และแม้ว่าจะนอนหลับเพียงพอก็อย่ากินเยอะจนเกินไป เพราะจะทำให้ง่วงนอนจนอาจเกิดอาการหลับใน ซึ่งทำให้เกิดอุบัติเหตุได้

2. เช็กสภาพรถ

ก่อนการเดินทาง ควรตรวจเช็กสภาพรถให้พร้อม โดยเฉพาะระบบเบรค เครื่องยนต์ แบตเตอรี่ น้ำมันเครื่อง ไฟสัญญาณ ไฟหน้า ไฟท้าย ที่ปัดน้ำฝน ลมยาง ตรวจเช็กว่าทุกส่วนทำงานปกติหรือไม่ ถ้าเป็นรถที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน ควรตรวจสอบให้ละเอียด เนื่องจากอาจมีปัญหาหลายอย่างที่เราไม่เคยทราบ และควรเติมน้ำมันให้เต็มถัง จะได้เดินทางยาวๆ อย่างราบรื่น ไม่มีสะดุด

3. เช็กจำนวนผู้ร่วมเดินทาง

ถ้าหากคุณเดินทางไปกับเพื่อนเป็นหมู่คณะ หรือมีสมาชิกครอบครัวจำนวนเยอะๆ การเลือกใช้รถให้เหมาะสมกับจำนวนคนก็เป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะทุกคนจะได้มี Space ที่พอดี ไม่เบียดจนอึดอัด หรือไม่ใช้รถหลายคันเกินไป เพราะต้องขับรถรอต่อท้ายกัน ซึ่งสิ้นเปลืองน้ำมัน และทำให้การเดินทางล่าช้า

4. อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

ในยุคนี้ เกือบทุกคนก็คงอยากเก็บภาพความประทับใจในทุกๆทริป ไปอวดเพื่อนๆใน Social Media กันอย่างแน่นอน สิ่งที่คุณก็ต้องทำก็แค่เตรียมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ให้พร้อม! เช่น กล้องชนิดต่างๆ โทรศัพท์ โดรน แบตเตอรี่สำรองและเมมโมรี่การ์ด

ในยุคนี้สมัยนี้ ถ้าคุณยังไม่มี Gadgets เป็นของตัวเองก็สามารถเช่าได้! และทุกอย่างควรเตรียมให้เพียงพอกับความต้องการในการใช้งาน คุณจะได้ไม่หมดสนุกกลางคัน

5. ศึกษาเส้นทาง

ก่อนออกเดินทางทุกๆครั้ง คุณควรศึกษาเส้นทางหรือเลือกเส้นทางที่จะใช้ให้เรียบร้อยเสียก่อน เพราะในช่วงเทศกาลปริมาณผู้คนและรถบนท้องถนนจะเยอะสุดๆ หากหลงทางจะทำให้เสียเวลาและอารมณ์เสียได้

6. ขับความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม.

เพราะการขับรถเร็ว จะเพิ่มโอกาสการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้เสมอ ด้วยความเร็วที่มากเกินไปจะทำให้คุณแก้ไขสถานการณ์ไม่ทัน ซึ่งอุบัติเหตุก็สามารถเกิดขึ้นกับเราได้ทุกเมื่อ การขับรถที่ 80 กม./ชม. ก็ถือว่ามีความเร็ว แต่คุณก็ยังสามารถเบรคเพื่อแก้ปัญหาหรือสถานการณ์ได้ทัน

ซึ่งถ้าคุณขับเร็วมากกว่านี้แล้วต้องหักหลบหรือเบรคกระทันหัน ก็จะทำให้ท้ายรถปัดจนเกิดอุบัติเหตุได้ เพราะฉะนั้น อย่าขับรถเร็วเกินความจำเป็นหรือขับรถช้าเกินไป เพราะจะสร้างความรำคาญให้รถคันอื่นๆได้เช่นกัน

7. หยุดพักเป็นระยะ

เพื่อเป็นการผ่อนคลายระหว่างการเดินทาง คุณอาจจะแวะปั้ม เข้าห้องน้ำ ล้างหน้าให้รู้สึกสดชื่น ยืดเส้นยืดสาย หรือซื้อกาแฟดื่มเพิ่มความกระฉับกระเฉงขณะขับรถ เพื่อไม่ให้เกิดอาการหลับใน แต่สำหรับคนที่ไม่ดื่มกาแฟ ทานแล้วง่วงหรือใจสั่น ก็เปลี่ยนไปทานน้ำผลไม้เพิ่มความสดชื่นแทนได้ค่ะ

8. เลือกเวลาในการเดินทาง

หากเป็นไปได้คุณควรเดินทางในช่วงกลางวัน ไม่ใช่ช่วงกลางคืน เพราะตอนกลางคืนทัศนวิสัยไม่ดี คนขับมีโอกาสผิดพลาดเยอะกว่า คุณจึงควรเลือกช่วงเวลาที่คนขับรถจะขับรถได้ดีที่สุด เพื่อความปลอดภัยของคุณเอง และควรเลี่ยงเวลาโพล้เพล้เพราะช่วงเวลาตี 4 ถึง 6 โมงเช้า และช่วง 5 โมงเย็น ถึง 1 ทุ่ม เป็นช่วงที่แสงกำลังเปลี่ยนแปลงมาก ทำให้คนขับรถอาจมองสิ่งต่างๆ ผิดพลาดได้

สำหรับผู้โดยสาร

คุณควรเลือกการเดินทางที่ปลอดภัยมากกว่าราคาถูก ยิ่งถ้าได้นั่งในรถที่มีเข็มขัดนิรภัยได้จะยิ่งดี เนื่องจากเวลารถเบรก เราจะไม่กระแทกกับเบาะด้านหน้าหรือกระจก ซึ่งช่วยไม่ให้เกิดการบาดเจ็บได้ส่วนหนึ่ง และควรเลือกรถโดยสารประจำทางหรือสายการบินที่คุณไว้ใจมากที่สุด เพราะจะลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุได้

การหาข้อมูลเปรียบเทียบข้อดี, ข้อเสียของรถแต่ละสาย หรือระหว่างสายการบิน จะเป็นตัวช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกได้ง่ายขึ้นมากค่ะ

จอดรถ, รถยนต์, ดูแลรถยนต์, วิธี

“จอดรถทิ้งไว้” “รถไม่ค่อยได้ใช้งาน”
ต้องดูแลรถยนต์อย่างไรบ้าง?

สงกรานต์ใกล้เข้ามาทุกที ผู้อ่านหลายๆ คนก็คงจะมีแพลนเตรียมตัวกลับบ้านในวันหยุดยาวที่จะมาถึง ซึ่งหลายๆคนที่มีครอบครัวใหญ่หน่อยก็มักจะขับรถกลับบ้าน และแน่นอนว่าก่อนการเดินทางครั้งนี้ คุณจะต้องตรวจเช็คสภาพและความพร้อมของเครื่องยนต์ก่อนออกเดินทางอยู่แล้ว เพื่อการขับขี่ที่ราบรื่นของคุณเอง และการถึงที่หมายอย่างปลอดภัย

สำหรับรถยนต์ที่ใช้งานทุกวันก็คงไม่มีปัญหาอะไร เพราะคุณจะรู้เสมอหากรถมีปัญหา คุณจึงสามารถส่งรถไปซ่อมบำรุงได้ทัน ก่อนจะนำมาขับอีกครั้ง แต่สำหรับรถยนต์ที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน หากรถมีปัญหา หรือมีอะไรสักอย่างเสีย เราก็คงจะไม่ทราบว่ารถเป็นอะไร ตรงไหน เพราะแทบจะไม่ได้แตะรถ ฉะนั้น สิ่งที่เราจะต้องเช็คเสมอ สำหรับรถใช้งานน้อยๆ รถที่จอดทิ้งไว้ หรือแทบไม่ใช้งาน จะมีอยู่ 6 เรื่อง นั่นก็คือ

 

1. แบตเตอรี่

จอดรถ, รถยนต์, ดูแลรถยนต์, วิธี

หลายคนเจอปัญหารถไม่ค่อยได้ใช้ แต่แบตหมด, แบตเสื่อม ทำไมถึงเสื่อม?เหตุผลก็คือ ถึงแม้ว่าจะไม่มีการเปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าไว้ แต่แบตเตอรี่ก็ยังคงมีการจ่ายกระแสไฟฟ้าไปเลี้ยงระบบในรถยนต์อยู่ เช่น ระบบกันขโมย ซึ่งหากจอดไว้โดยไม่มีการติดเครื่องยนต์เป็นเวลานาน ก็ทำให้แบตเตอรี่หมดประจุได้ ซึ่งวิธีแก้ไขก็คือ ควรสตาร์ทเครื่องยนต์ไว้ 10 นาทีหรือมากกว่านั้น อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง หรือทำทุกวันก็ได้ค่ะ

2. ของเหลวในรถยนต์จอดรถ, รถยนต์, ดูแลรถยนต์, วิธี

หากรถไม่ค่อยได้ใช้ เมื่อกลับมาใช้งานอีกครั้ง ควรเช็คของเหลวต่างๆ ในรถว่าพร้อมใช้งานแค่ไหน เช่น น้ำมันเครื่อง น้ำในหม้อน้ำ เพื่อหล่อเลี้ยงชิ้นส่วนต่างๆ ไม่ให้เกิดสนิม สำหรับน้ำมันเครื่อง ควรเปลี่ยนทุกๆ 6 เดือน หรือตามที่คู่มือรถกำหนด เพราะน้ำมันเครื่องมีวันหมดอายุ และเสื่อมสภาพ

3. ลมยาง, ยางรถยนต์จอดรถ, รถยนต์, ดูแลรถยนต์, วิธี

หากเราจะต้องจอดรถเอาไว้เป็นระยะเวลานานๆ แนะนำให้เติมลมยางมากกว่าปกติประมาณ 5 – 10 ปอนด์/ตารางนิ้ว หรือ นำรถไปขับเพื่อให้ยางได้หมุนบ้าง เพราะการจอดรถอยู่กับที่นานๆ จะทำให้เกิดอาการยางไม่คืนตัว โดยเกิดการยุบตัวของโครงยางส่วนหน้าที่สัมผัสกับพื้นได้ ทำให้โครงยางเสียรูป ไม่กลม วิธีที่ดีที่สุด หากต้องต้องจอดรถทิ้งไว้นานเกินกว่า 3 เดือนขึ้นไป คือ ให้ยกรถตั้งบนแท่นวางทั้ง 4 ล้อ ซึ่งทำให้น้ำหนักรถไม่กดทับลงบนยาง ซึ่งเป็นการรักษารูปร่างของยางได้ดีที่สุด

4. สตาร์ทเครื่องยนต์จอดรถ, รถยนต์, ดูแลรถยนต์, วิธี

แม้จะไม่ค่อยใช้รถ แต่คุณก็ควรนำรถออกไปขับบ้าง เป็นระยะทางสั้นไก็ได้ เพราะการสตาร์ทเครื่องยนต์ จะทำให้เครื่องยนต์ทำงานและชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่ และในรถยนต์นั้นมีชิ้นส่วนและอุปกรณ์ที่เป็นจุดหมุน เช่น ระบบช่วงล่าง ลูกหมากต่างๆ ซึ่งหากปล่อยให้อยู่กับที่นานๆ อาจทำให้เกิดการสึกหรอได้ง่าย

5. การทำความสะอาดจอดรถ, รถยนต์, ดูแลรถยนต์, วิธี

เพื่อไม่ให้ฝุ่นและสิ่งสกปรกเกาะอยู่ที่สีรถนานเกินไป จนยากที่จะล้างออก ควรมีการทำความสะอาดหรือล้างรถก่อน จึงค่อยใช้ผ้าคลุมรถ เพื่อป้องกันฝุ่น และรักษาสีของรถยนต์ ให้ดูเหมือนใหม่อยู่เสมอ

6. สถานที่จอดรถ

ควรจอดในที่ร่ม หลีกเลี่ยงการจอดรถใต้ต้นไม้ สถานที่เปียกชื้น ใกล้ถังขยะ เพราะอาจมีโอกาสที่หนูเข้ามาอาศัยหรือทำรังใต้กระโปรงรถได้ หากจอดรถใต้ต้นไม้จะต้องระวัง หากไม่ได้มีการคลุมรถ เนื่องจากต้นไม้จะมียางของต้นไม้ที่หล่นลงมา ทำให้สีรถด่างได้ รวมถึงกิ่งไม้ที่ตกลงมาตามแรงลม หรืออื่นๆ ซึ่งอาจทำให้รถของเราเกิดรอยขีดข่วนได้

สุดท้ายถ้าคุณมีรถที่ไม่ได้ใช้งาน หรือนานๆครั้งจะขับ อาจด้วยเพราะชีวิตประจำวันของคุณไม่ได้จำเป็นจะต้องใช้รถบ่อยๆ แนะนำให้นำรถมาขายด่วนกับคาร์โร (คลิก) จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาตรวจเช็คหรือคอยดูแล อีกทั้งถ้าคุณปล่อยรถเอาไว้นานๆ มีแต่ผลเสีย คือราคาตกลงเรื่อยๆทุกปี นอกจากนี้ถ้าคุณมาขายกับเรา คุณจะได้รับเงินสด ทันที! คุณจะยังได้เงินกลับไปทำประโยชน์อื่นๆได้อีกด้วยค่ะ