ต่อทะเบียนออนไลน์

การต่อทะเบียนรถยนต์ออนไลน์ง่ายๆ ผ่านอินเตอร์เน็ต

การต่อทะเบียนรถยนต์ เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้มีรถยนต์ต้องรับรู้และปฏิบัติตาม เพราะกฎหมายบังคับให้รถทุกคันต้องต่อทะเบียนทุกปี ซึ่งคุณสามารถต่อก่อนล่วงหน้าได้ แต่ไม่เกิน 3 เดือน โดยจัดเตรียมเอกสารให้พร้อม และไปต่อทะเบียนรถยนต์ที่สำนักงานขนส่งจังหวัด

แต่ถ้าหากคุณลืมหรือต่อทะเบียนล่าช้า ก็จะถูกปรับ 1% ต่อเดือนของค่าต่อทะเบียน และถ้าขาดต่อทะเบียนเกิน 3 ปี รถก็จะถูกระงับการใช้งาน (ดูวิธีต่อทะเบียน กรณีที่ขาดจ่ายเกิด 3 ปี คลิก) ต้องเสียค่าปรับย้อนหลังและทำเรื่องจดทะเบียนรถใหม่ ซึ่งไม่คุ้มค่าเงินและเวลาแน่นอน 

แต่ในปัจจุบัน การต่อทะเบียนรถยนต์เป็นเรื่องง่ายมากๆ แค่มีเน็ตก็ทำได้แล้ว  เพราะทางกรมการขนส่งทางบก ได้ให้บริการ “การต่อภาษีรถยนต์แบบออนไลน์” โดยการรับชำระภาษีรถประจำปีผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ให้คุณต่อทะเบียนได้ทุกที่ ทุกเวลา ทั้งง่ายและประหยัดแบบของจริง! โดยมีขั้นตอนปฏิบัติง่ายๆ ดังนี้

 

1. ตรวจสอบรถที่สามารถใช้บริการออนไลน์ได้

  • ต้องเป็นรถเก๋ง รถตู้ รถกระบะ และรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล
  • รถเก๋ง รถตู้ รถกระบะ จดทะเบียนไม่เกิน 7 ปี
  • รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล จดทะเบียนไม่เกิน 5 ปี

เป็นรถจดทะเบียนจังหวัดใดก็ได้ และรถที่ค้างชำระภาษีไม่เกิน 1 ปี สมัครเข้าใช้บริการออนไลน์ โดยเข้าไปที่เว็บไซต์ www.dlte-serv.in.th หรือ www.dlt.go.th เพื่อลงทะเบียนขอรับรหัสผ่าน

DLT-1

2. กรอกรายละเอียด

เมื่อได้รับรหัสผ่านแล้ว ให้ใส่รายละเอียดเกี่ยวกับรถ, หลักฐานการเอาประกัน ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535 (กรณียังไม่มี สามารถเลือกซื้อบนเว็บไซด์จากบริษัทประกันภัยที่เข้าร่วมโครงการได้) รวมถึงกรอกหลักฐานหนังสือรับรองการตรวจและทดสอบฯ กรณีเป็นรถใช้ก๊าซธรรมชาติอัด (CNG)

 

3. เลือกวิธีชำระเงิน

มีให้เลือกหลายช่องทาง เช่น หักบัญชีเงินฝาก โดยจะต้องมีบัญชีเงินฝากและเป็นสมาชิกใช้บริการโอนเงินผ่านระบบอินเทอร์เน็ตกับธนาคารที่เข้าร่วมโครงการ หรือชำระด้วยบัตรเครดิต/บัตรเดบิต ต้องเป็นผู้ถือบัตรเครดิต/บัตรเดบิต ที่มีสัญลักษณ์ VISA, MASTER พิมพ์ใบแจ้งชำระภาษีรถแล้วนำไปชำระ ณ เคาน์เตอร์หรือตู้ ATM ของธนาคารที่เข้าร่วมโครงการ (เช็กช่องทางการชำระเงิน คลิก)

 

4. ผู้ใช้บริการตรวจสอบธนาคาร หรือเคาเตอร์ที่เข้าร่วมโครงการได้ที่หน้าเว็บไซต์

โดยทางกรมการขนส่งทางบก จะบวกค่าบริการเป็นค่าจัดส่งเอกสาร รายการละ 40 บาท ค่าธรรมเนียมธนาคาร รายการละ 20 บาท ค่าธรรมเนียมการใช้บัตร (กรณีชำระด้วยบัตรเครดิต) ร้อยละ 2 รวม Vat 7% ของค่าธรรมเนียม

หลังจากนั้นก็รอแค่ทาง กรมการขนส่งทางบกส่งใบเสร็จรับเงิน, เครื่องหมายแสดงการเสียภาษี และกรมธรรม์ พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ มาให้ทางไปรษณีย์ จากนั้น ผู้ที่เป็นเจ้าของรถสามารถนำใบคู่มือจดทะเบียนรถไปบันทึก ณ หน่วยงานทะเบียนกรมการขนส่งทางบกได้ทั่วประเทศค่ะ

ต่อภาษีออนไลน์

พ.ร.บ. รถยนต์, ประกัน รถยนต์, ประกันภัย, ประกันรถยนต์ชั้น 1, ประกันรถยนต์ชั้น 2, ประกันรถยนต์ชั้น 3

ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ พ.ร.บ. และประกันรถยนต์

คงจะมีหลายๆคน ที่ยังไม่รู้ว่า พ.ร.บ. คืออะไร หรือย่อมาจากอะไร และก็ยังไม่รู้ด้วยว่าเรามีความจำเป็นต้องจ่ายเงินค่า พ.ร.บ. ร่วมกับประกันรถยนต์หรือไม่? หรือเราสามารถซื้อแค่ พ.ร.บ. หรือประกันชั้น 1 อย่างใดอย่างหนึ่งได้ไหม?

ในบทความนี้ Carro จะช่วยให้คุณทำความเข้าใจเกี่ยวกับ พ.ร.บ. และประกันรถยนต์ในรูปแบบต่างๆ กันอย่างมากขึ้นค่ะ

พ.ร.บ. ย่อมาจาก พระราชบัญญัติ ซึ่ง พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ หรือพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ

เป็นกฎหมายที่บังคับให้รถทุกคันที่จดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกจะ “ต้องทำ” และมีไว้เป็นหลักประกันให้กับคนในรถทุกคัน หรือผู้ที่ใช้รถใช้ถนนว่าจะได้รับสิทธิความคุ้มครองจากเงินกองกลางที่รถทุกคันได้ทำ พ.ร.บ. ว่า จะได้รับความคุ้มครอง/เงินค่ารักษาพยาบาลจากการเกิดอุบัติเหตุ หรือการประสบภัยจากรถในรูปแบบต่าง ๆ ได้อย่างทันท่วงที

พ.ร.บ.-รถยนต์,-ประกัน-รถยนต์

ในด้านวงเงินคุ้มครองที่ผู้ประสบภัยจะได้รับ มีการกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่าจะมีความคุ้มครองในรูปแบบใด ๆ บ้าง ซึ่งการฝ่าฝืนไม่ทำ พ.ร.บ. นี้ จะทำให้มีปัญหาในการต่อภาษีรถ และยังผิดกฎหมายอีกด้วย เพราะกฎหมายได้บังคับให้ทำ พ.ร.บ. ไว้เป็นขั้นพื้นฐาน เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีการคุ้มครองและให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ประสบภัยจากรถที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้อย่างทันท่วงที และเป็นหลักประกันให้กับโรงพยาบาลที่รับผู้ประสบภัยเข้าดูแล ว่าจะได้รับค่ารักษาพยาบาลด้วยเช่นกัน

ส่วนประกันชั้น 1, 2, 3, 2+ หรือ 3+ จะเรียกว่า “ประกันภาคสมัครใจ” เพราะเป็นการซื้อประกันเพิ่มเติมจากความคุ้มครองที่ได้รับจาก พ.ร.บ. ในกรณีที่เราเป็นต้นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สิน พ.ร.บ. จะช่วยคุ้มครองเท่าที่กฎหมายกำหนด แต่ถ้าความเสียหายมีมาก ผู้ที่ทำให้เกิดความเสียหายจะเป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งประกันภาคสมัครใจ จะเข้ามาช่วยรับผิดชอบในส่วนนี้นั่นเอง

 

ประกันภาคสมัครใจ แบ่งออกเป็น 5 ประเภท ดังนี้

พ.ร.บ.-รถยนต์,-ประกัน-รถยนต์

 

  • ประกันชั้น 1 จะให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมมากที่สุด คือ จะรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับบุคคลในรถ และบุคคลภายนอก รวมถึงความเสียภายที่เกิดขึ้นต่อรถยนต์ที่เอาประกันภัย รวมถึงกรณีเกิดไฟไหม้และการสูญหายด้วย
  • ประกันชั้น 2 จะรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับบุคคลในรถ และบุคคลภายนอก รวมถึงความเสียหายที่เกิดกับรถยนต์จากการเกิดไฟไหม้และการสูญหาย
  • ประกันชั้น 2+ จะรับผิดชอบต่อความเสียหายในกรณีเดียวกับประกันชั้น 2 แต่เพิ่มความรับผิดต่อในส่วนของความเสียหายต่อตัวรถยนต์คันเอาประกันภัย แต่เฉพาะกรณีที่ชนกับยานพาหนะทางบกเท่านั้น และจำเป็นต้องมีคู่กรณีด้วย
  • ประกันชั้น 3 จะรับผิดชอบต่อความเสียหายทีเกิดขึ้นกับบุคคลภายนอก และความเสียหายที่เกิดกับรถยนต์จากการเกิดไฟไหม้และการสูญหาย
  • ประกันชั้น 3+ จะรับผิดชอบต่อความเสียหายในกรณีเดียวกับประกันชั้น 3 แต่คุ้มครองรถยนต์คันเอาประกันภัยในวงเงินจำกัด และเฉพาะกรณีที่ชนกับยานพาหนะทางบกเท่านั้น

 

จะเห็นได้ว่า ประกันภาคสมัครใจมีหลายรูปแบบรวมทั้งค่าบริการที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับประเภทของความคุ้มครองว่าจะคุ้มครองความเสียหายมากน้อยแค่ไหนนั่นเอง  

ซึ่งไม่ว่าคุณจะเลือกทำประกันภัยรถยนต์จากบริษัทใดก็ตาม ทั้งการทำประกันภาคบังคับ ก็คือ พ.ร.บ. และการทำประกันภาคสมัครใจ สิ่งสำคัญก็คือ คุณต้องทำความเข้าใจเรื่อง “สิทธิประโยชน์และหน้าที่ของเรา” ตามสัญญาประกันภัยให้ละเอียด เพื่อจะได้ทราบเงื่อนไขและความคุ้มครองที่คุณจะได้รับว่าคุ้มค่าหรือไม่ และป้องกันปัญหายุ่งยากที่จะเกิดขึ้นในภายหลังค่ะ

ดูแลรถยนต์ช่วงหน้าฝน


ตอนนี้ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเต็มตัวแล้ว ซึ่งช่วงฝนตกนี้เป็นอะไรที่เซ็งสุดๆ เลย เพราะมันทั้งเฉอะแฉะ ทั้งเปียก ทำอะไรก็ลำบากไปหมด ไหนจะไม่สบายจากการตากฝนอีก ดังนั้น เพื่อนๆ ต้องดูแลสุขภาพของตัวเองกันด้วยนะคะ

แต่เอ๋… นอกเหนือจากการดูแลสุขภาพของตัวเองแล้ว การดูแลรถยนต์ก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะการที่รถตากฝนบ่อยๆ รถก็อาจจะไม่สบายได้ ฉะนั้น คุณจึงต้องดูแลรถให้มากขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งยังต้องทำความสะอาด และดูแลอย่างเป็นพิเศษอีกด้วย

วันนี้ คาร์โร จึงมีเทคนิค เคล็ด(ไม่)ลับ วิธีดูแลรถยนต์ในช่วงหน้าฝนอย่างง่ายๆ มาฝาก

ดูแลรถยนต์ช่วงหน้าฝน

5 เทคนิค เคล็ด(ไม่)ลับ ดูแลรถยนต์ ในช่วงหน้าฝน

  • ลุยฝนมา ให้รีบล้างรถ

หลังจากที่รถของคุณผ่านการตากฝนมาอย่างหนักหน่วง สิ่งที่คุณควรทำ ก็คือ ใช้น้ำเปล่าฉีดล้างให้คราบต่างๆ หลุดออกจากรถไปให้หมดก่อน แล้วจึงค่อยเช็ดด้วยผ้าสำหรับเช็ดรถ

เพราะการที่รถตากฝนมา แล้วคุณดันปล่อยรถทิ้งไว้โดยไม่ล้าง เพราะคิดว่าน้ำฝนได้ชะล้างสิ่งสกปรกไปหมดแล้ว ก็อาจทำให้เกิดคราบฝังแน่น และส่งผลต่อสีรถของคุณได้

 

  • ห้ามเช็ดรถ โดยไม่ได้ล้าง

กรณีนี้ก็เช่นกัน คนส่วนใหญ่มักคิดว่าการที่รถของคุณไปลุยฝนมา ก็เหมือนเป็นการล้างรถแล้ว ดั้งนั้น พอถึงบ้านปั๊บคุณก็เลยเช็ดรถปุ๊บ ซึ่งเราขอบอกเลยว่า ห้ามทำเด็ดขาด เพราะถ้าคุณเช็ดรถโดยไม่ได้ล้าง ก็อาจทำให้เกิดรอยขนแมวกับรถของคุณได้

 

  • ใต้ต้นไม้ ห้ามจอดรถ

ในช่วงหน้าฝนแบบนี้ ทางที่ดีคุณควรจอดรถให้ห่างต้นไม้ไว้จะดีกว่า เพราะในช่วงที่ฝนตกหนัก กิ่งไม้ ใบไม้ เกสรดอกไม้ ผลของต้นไม้ อาจจะปลิวหล่นมาโดนรถของคุณได้ หรืออย่างหนัก ต้นไม้ทั้งต้นก็อาจโค่นล้มลงมาทับรถของคุณจนพังเสียหายยับเยิน

 

  • เคลือบสีรถ ช่วยได้เยอะ

รู้หรือไม่ว่า ฝนที่ตกลงมานั้นมีสภาพเป็นกรดอ่อนๆ ซึ่งจะส่งผลต่อสีรถของคุณ ทำให้สีรถหมอง ดังนั้น หลังจากที่คุณทำความสะอาดรถเรียบร้อยแล้ว คุณควรนำรถไปเคลือบสีซะ

เพราะการเคลือบสี นอกจากจะทำให้รถของคุณสีสวยไม่ซีดแล้ว ยังช่วยให้น้ำไม่เกาะรถอีกด้วย แถมยังช่วยป้องกันคราบต่างๆ ได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญยังช่วยให้คุณล้างรถได้ง่ายขึ้นอีก

 

  • หมั่นเช็กสภาพรถ

ในช่วงหน้าฝนแบบนี้ การตรวจเช็กสภาพรถยนต์ถือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ของคุณ

 

ดูแลรถยนต์ช่วงหน้าฝน

ตรวจเช็กสภาพรถยนต์ ในช่วงหน้าฝน
เพื่อป้องกันอันตรายในการขับขี่

  • ใบปัดน้ำฝน

เรื่องทัศนวิสัยในการขับขี่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ยิ่งในช่วงฝนตกหนักยิ่งทำให้การมองทางของผู้ขับขี่แย่เข้าไปใหญ่ ดังนั้น การมีใบปัดน้ำฝนที่ยังคงทำงานได้ดีอยู่ จะช่วยให้คุณอุ่นใจในเรื่องการขับขี่มากขึ้นยังไงล่ะ

 

  • ยางรถยนต์

อย่างที่ทราบกันดีว่า ฝนตกถนนจะลื่นมาก และถ้าดอกยางของคุณไม่ดีล่ะก็ อุบัติเหตุถามหาแน่ๆ ดังนั้น คุณจึงควรหมั่นเช็กยางรถยนต์อยู่เสมอ ซึ่งการเช็กสภาพยางรถยนต์ก็ไม่ยากเลย คุณสามารถสังเกตได้จาก ถ้าดอกยางรถยนต์ของคุณมีความลึกต่ำกว่า 3 มิลลิเมตร ก็หมายความว่าถึงเวลาเปลี่ยนแล้วล่ะ

 

  • ระบบไฟส่องสว่าง

การตรวจเช็กระบบไฟส่องสว่าง จะช่วยลดอุบัติเหตุลงได้ ซึ่งคุณควรตรวจเช็กทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้า ไฟเบรกไฟท้าย ไฟเลี้ยว ไฟตัดหมอก หรือไฟส่องสว่างอื่นๆ เพราะการเช็กระบบไฟส่องสว่าง จะช่วยให้คุณมองเห็นทางได้ชัดเจนขึ้น

 

  • ระบบเบรก

เบรก คือ สิ่งที่สำคัญมากในการขับรถฝ่าฝนตก เพราะถ้าระบบเบรกทำงานได้ดี ก็จะช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุลงได้ แต่ถ้าคุณเบรกแล้วเริ่มมีเสียงดัง อันนี้ก็ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนผ้าเบรกได้แล้วล่ะค่ะ

 

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะหน้าฝน หน้าร้อน หน้าหนาว การตรวจเช็กสภาพรถยนต์ก็ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ควรทำอย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้ ก็เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเองทั้งสิ้น

ซื้อซากรถ ขายซากรถ

“ซากรถ” ถ้าจะว่ากันตามตรง ก็คือ รถที่หมดสภาพการใช้งานแล้ว นั่นเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น รถเกิดอุบัติเหตุมา ชนจนยับ แบบว่าโครงสร้างหลักๆ ตัวรถบิดงอไป ถ้าหากซ่อมแล้วคงไม่เหมือนเดิม ไม่คุ้มค่าใช้จ่าย หรือเป็นรถที่เก่ามากๆ อะไหล่หายากมากๆ เสียหรือจอดทิ้งไว้นานจนใช้การไม่ได้ หรือรถที่ถูกน้ำท่วมมา เป็นต้น

ซื้อซากรถ ขายซากรถ

ภาพจาก สตาร์ บอย

คนอยากขายซากรถ ก็เพราะรถใช้งานไม่ได้แล้ว เก็บไว้ก็รกสถานที่ กับการที่บริษัทประมูล บริษัทประกันภัย ได้ซากรถมาจากผู้เอาประกันภัยอีกที (กฎหมายมีว่า ถ้าทุนประกันเกินกว่า 80% ของราคารถ ซากรถจะเป็นของบริษัทประกันภัย) ส่วนคนซื้อ ก็ต้องการเศษชิ้นส่วนจากซากรถที่ยังพอใช้การได้ นำไปเป็นอะไหล่ใส่ให้รถของตัวเอง แกะชิ้นส่วนขาย หรือนำเศษเหล็กไปหลอมใหม่ ก็มีจะบรรดาอู่หรือป่าช้ารถต่างๆ ติดต่อขอซื้อไปทำอะไหล่กันในราคาถูกๆ

CARRO ขอแนะนำเกร็ดความรู้ต่างๆ สำหรับคนที่อยากซื้อ หรืออยากขายซากรถ ครับ.

ซื้อซากรถ ขายซากรถ

ภาพจาก Buddy Ratchasinghan

อยากซื้อซากรถ

ถ้าเป็นไปได้ หากต้องการซื้อซากรถไปปั้นใหม่ ให้กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง ควรเลือกซากรถที่ยังมีทะเบียนอยู่ แต่อาจจะหายากหน่อย (แต่บางกรณี ที่ผู้ขายก็อยากเก็บทะเบียนไว้ เพื่อป้องกันผู้ซื้อไปแล้วนำไปสวมใส่กับรถคันอื่น ในกรณีที่เป็นซากรถจากการเกิดอุบัติเหตุมา หรือป้องกันผู้ซื้อไปแล้ว ไม่ยอมไปโอนทะเบียนรถเป็นของตัวเอง และนำไปทะเบียนไปสวมรถคันอื่นใช้ก่อเรื่องก่อราว)

ที่สำคัญ แม้ว่าจะเป็นซากรถ ก็ต้องทำ “สัญญาซื้อขาย” เฉกเช่นเดียวกับการซื้อขายรถมือสอง ครับ

ถ้าหากอยากซื้อซากรถมาปั้นใหม่ ก็ต้องทำให้จบ ซ่อมแซมให้รถสภาพสมบูรณ์ วิ่งได้ เพราะถ้าสภาพเป็นซากรถ การตรวจสภาพตอนต่อภาษีประจำปี จดทะเบียนรถใหม่ แจ้งเปลี่ยนเครื่อง เปลี่ยนสี ไม่ผ่านแน่ๆ หรือการนำซากรถหัวตัด หรือท้ายตัด มาต่อกันใหม่ ก็ต้องมีวิศวกรระดับสามัญ เป็นผู้รับรองอีก ถึงจะสามารถนำรถไปตรวจสภาพ จดทะเบียนได้

ระวังซื้อรถแถมคดีมา ซากรถบางคันเป็นรถสวมทะเบียน รถขโมยมา หรือรถติดจำนำที่บ่อน ไม่มีเงินมาไถ่รถคืน รถไม่มีทะเบียน บางคัน ต่อทะเบียนได้แต่ไม่มีเล่ม สวมเล่มทะเบียน รถยำมา อาจจะโดนคดีทั้งคนซื้อเเละคนขาย

ซื้อซากรถ ขายซากรถ

ภาพจาก ช่างนนท์ เซอร์วิส บ้าพลัง

อยากขายซากรถ

การขายซากรถ (แบบเป็นรถที่จอดทิ้งจนพัง หรือซ่อมไม่คุ้ม) ควรขายพร้อมกับเล่มทะเบียนรถไปด้วย เพราะจะได้ราคาที่ดีกว่าซากรถที่ไม่มีเล่มทะเบียน เพราะหลังจากวันที่ 5 ม.ค. 2558 รถที่ยกเลิกการใช้รถในกรณีซากรถ ไม่สามารถจดทะเบียนใหม่ได้ครับ

ส่วนในกรณีที่จะขายซากรถ (แบบที่อุบัติเหตุมา ชนจนยับ ซ่อมไปก็ไม่เหมือนเดิม) ให้ระวังเรื่องทะเบียนรถอย่างเดียว หรือก่อนจะขาย (ถ้าภาษีประจำปียังไม่หมดอายุ) จะไปแจ้งยกเลิกใช้งานรถตลอดไปที่กรมการขนส่งทางบกเลยก็ได้ หรือไม่ก็ตัดเพลทเลขตัวถัง กับเก็บตัวเล่มทะเบียน ไว้ครับ กันพวกไม่หวังดี ซื้อซากไปแล้ว นำรถไปสวมทะเบียน แล้วไปต่อเรื่องก่อราว

ส่วนการขาย ก็เหมือนกับการขายรถมือสอง กรณีต้องการโอนลอย ก็เตรียมเล่มทะเบียนและหลักฐานให้พร้อม ก็สามารถขายได้แล้วครับ

ซื้อซากรถ ขายซากรถ

ภาพจาก ส.รัตกุล เอี่ยมสะอาด

สำหรับใครที่มีซากรถครอบครองอยู่ แต่ยังไม่รู้ว่าจะขายทิ้ง หรือเอาซากรถไปทำอะไรต่อดี เชิญมาขายได้ที่ CARRO ง่ายนิดเดียว เรารับซื้อซากรถ เพียงแค่กรอกรายละเอียดใน Link นี้ —> https://th.carro.co/sell-car/express/scrapcar หรือจะ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Thailand และ Add Line สอบถามรายละเอียดได้เช่นกัน ที่ @carrothai

อีกหนึ่งบริการใหม่! CARRO Automall แหล่งรวมรถมือสองคุณภาพเยี่ยม ผ่านการตรวจสภาพแบบ Double Check รับประกันพร้อมโอนทุกคัน ฟรี! ค่าจัดโอน มีให้เลือกชมเพียบ เปิดบริการทุกวัน อยากซื้อรถคุณภาพเยี่ยม มาซื้อกับ CARRO Automall สิ!

หรือสนใจรถรุ่นไหนอยู่ แต่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ เรายินดีหาให้! เพียงแค่กรอกเบอร์โทรศัพท์ ชื่อยี่ห้อ / รุ่นรถ ที่คุณต้องการก็ได้เช่นกันครับ อีกทั้งยังสามารถ Inbox เข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook -> CARRO Automall – รถบ้านมือสอง โทร. 02-508-8690 หรือทาง Line @carroautomall

รถมือสอง, รถมือสองราคาถูก, Prius, Subaru XV, Ford Focus, Mazda3, Chevrolet Cruze, MG6

รวมรถมือสอง 6 รุ่น ราคาถูกน่าซื้อ

หากคุณมีงบประมาณก้อนหนึ่งแล้วอยากได้รถสักคันที่ราคาคุ้มค่า โดยไม่เกี่ยงว่าจะต้องเป็นรถใหม่ “รถมือสอง” จะเป็นคำตอบสำหรับคุณ เพราะมีรถที่น่าใช้ให้คุณเลือกมากมายโดยที่ราคาก็ไม่เกินงบที่คุณตั้งไว้ แต่จะมีรถมือสองรุ่นไหนบ้างที่น่าซื้อ?

Carro จึงรวบรวมรถมือสองนอกกระแส 6 รุ่น ที่ราคาถูก รุ่นไม่เก่าจนเกินไป มาเป็นตัวเลือกให้คุณได้ชมกันค่ะ

1. Toyota Prius รุ่นปี 2013-2014

รวม 6 รุ่นรถมือสองนอกกระแส ราคาคุ้มค่า น่าซื้อ-01

ราคาโดยประมาณ 450,000 – 650,000 บาท

Toyota Prius รถไฮบริดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ออพชั่นแน่น เหนือกว่า C-Segment ทั่วไป มาพร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัยและมีประสิทธิภาพ ทั้งทางด้านเครื่องยนต์และระบบความปลอดภัย เช่น มีระบบ Solar Ventilation System หรือระบบระบายอากาศอัตโนมัติด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ ที่มีการทำงานโดยใช้แผงโซลาร์รับพลังงานแสงอาทิตย์ แล้วจึงทำการเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้า เพื่อนำไปใช้ในการทำงานของพัดลม ซึ่งจะทำให้การจอดรถกลางแดดจะไม่ร้อนจนเกินไปสำหรับตัวรถ และมีการออกแบบรูปลักษณ์ภายนอกตามหลักอากาศพลศาสตร์ ที่ช่วยในเรื่องการประหยัดน้ำมัน รวมถึงภายในห้องโดยสารที่มีขนาดกว้างขวาง รองรับการใช้งานทุกรูปแบบ แถมปัจจุบันรถส่วนใหญ่ยังอยู่ในระยะเวลารับประกันแบตเตอรี่อีกด้วย

 

2. Subaru XV รุ่นปี 2013-2015

รถมือสอง, รถมือสองราคาถูก, Prius, Subaru XV, Ford Focus, Mazda3, Chevrolet Cruze, MG6

ราคาโดยประมาณ 550,000 – 750,000 บาท

Subaru XV เป็นทางเลือกที่น่าสนสำหรับคนที่ต้องการเป็นเจ้าของรถ SUV เพราะ Subaru รุ่นนี้ ถือเป็นรถ Crossover  SUV ที่มีขนาดคล่องตัว ไม่เทอะทะเกินไป โดดเด่นในด้านสมรรถนะการขับขี่เพราะเครื่องยนต์มีความเสถียรมาก และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบสมมาตร (หรือ Symmetrical All-Wheel Drive) กระจายกำลังทุกล้อเท่าๆ กัน เป็นรถที่สมรรถนะดี เหมาะกับผู้ที่รักในการขับขี่มากกว่าความสะดวกสบายภายในห้องโดยสาร ซึ่งเมื่อเทียบราคากับสมรรถนะของตัวรถก็ถือว่าคุ้มค่าแน่นอน บวกกับชื่อเสียงในระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออันเลื่องชื่อของซูบารุ ก็น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

 

3. Ford Focus รุ่นปี 2013-2015

รถมือสอง, รถมือสองราคาถูก, Prius, Subaru XV, Ford Focus, Mazda3, Chevrolet Cruze, MG6

ราคาโดยประมาณ 320,000 – 430,000 บาท

Ford Focus รุ่นนี้ถูกดีไซน์ให้มีรูปทรงสปอร์ตด้วยโครงสร้าง Z shape เพื่อให้การขับขี่ที่เร้าใจยิ่งกว่า ล้ำหน้าด้วยเทคโนโลยีระบบช่วยจอดอัจฉริยะ Active Park Assist เพียงแค่กดปุ่มเดียว แถมตัวรถยังสร้างด้วยเหล็กกล้าโบรอน จึงมีโครงสร้างที่แข็งแกร่งมากกว่าเหล็กกล้ามาตรฐานถึง 4 เท่า สามารถปกป้องผู้โดยสารและผู้ขับขี่ได้อย่างดี แต่ในขณะเดียวกันก็มีน้ำหนักที่เบา จึงช่วยประหยัดน้ำมัน มาพร้อมระบบสั่งการด้วยเสียงเพิ่มความปลอดภัย หากคุณสนใจรถรุ่นนี้ แนะนำให้ซื้อรุ่นเครื่องยนต์เบนซินหัวฉีดตรง 2.0 GDi เพราะมีปัญหาจุกจิกน้อยกว่าเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร

 

4. Mazda3 รุ่นปี 2011-2013

รถมือสอง, รถมือสองราคาถูก, Prius, Subaru XV, Ford Focus, Mazda3, Chevrolet Cruze, MG6

ราคาโดยประมาณ 380,000 – 430,000 บาท

Mazda3 ได้รับการออกแบบภายใต้ DNA ของมาสด้าอย่างแท้จริง มีรูปลักษณ์ดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยวให้ความเป็นสปอร์ตแต่ขับสนุก รวมถึงเครื่องยนต์ 2000 ซีซี. และเครื่องยนต์ 1600 ซีซี. ที่ได้ปรับแต่งให้สมบูรณ์และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ให้กำลังแรงม้าสูงสุดถึง 147 แรงม้า มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด, ระบบ Sports Paddle Shift และระบบควบคุมเกียร์ AAS (Active Adaptive Shift) ที่สามารถควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ให้เหมาะโดยอัตโนมัติตามสไตล์ของผู้ขับขี่ (สำหรับเครื่องยนต์ 2.0L) Mazda3 รุ่นนี้มีดีในด้านรูปลักษณ์, ช่วงล่าง และสมรรถนะที่ไม่แพ้รถเจ้าตลาด รูปทรงสวยร่วมสมัย มีให้เลือกทั้งรุ่นซีดาน 4 ประตู และแฮทช์แบ็ค 5 ประตู

 

5. Chevrolet Cruze รุ่นปี 2011-2013

รถมือสอง, รถมือสองราคาถูก, Prius, Subaru XV, Ford Focus, Mazda3, Chevrolet Cruze, MG6

ราคาโดยประมาณ 270,000 – 420,000 บาท

สำหรับ Chevrolet Cruze 2013 รูปลักษณ์ภายนอกมีความสปอร์ตนิดๆ เสริมความเด่นด้วยล้ออัลลอย 5 ก้านที่ดูสปอร์ตกว่าเดิม ปุ่มสตาร์ทและดับเครื่องยนต์ถูกเปลี่ยนเป็นทรงกลม อำนวยความสะดวกให้ผู้ขับด้วยระบบ Passive Entry Passive Start เข้าและออกห้องโดยสารโดยไม่ต้องใช้กุญแจ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นสามารถควบคุมระบบ Cruise Control ในส่วนของระบบความปลอดภัย รุ่นนี้ได้เพิ่มระบบเบรก ABS ป้องกันล้อล็อก ระบบกระจายแรงเบรกอิเลคทรอนิก EDB ระบบ ESP รักษาเสภียรภาพการทรงตัว ระบบ Traction Control ป้องกันการลื่นไถล และระบบกุญแจนิรภัย Key Immobilizer หากสนใจรถรุ่นนี้ แนะนำให้ซื้อรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร ที่ให้พละกำลังดีกว่าเครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร ในขณะที่ราคาป้ายแดงเกือบ 1.25 ล้านบาท แต่ราคามือสองอยู่แค่ 4 แสนกว่าๆ ถูกกว่าตั้งเกือบ 3 เท่า!

 

6. MG6 รุ่นปี 2015-2016

รถมือสอง, รถมือสองราคาถูก, Prius, Subaru XV, Ford Focus, Mazda3, Chevrolet Cruze, MG6

ราคาโดยประมาณ 390,000 – 510,000 บาท

รถรุ่นสุดท้ายที่เราจะแนะนำ ก็คือ MG6 รถจากค่ายสัญชาติอังกฤษที่มาเปิดตลาดในไทย MG6 รุ่นนี้ ประกอบเครื่องยนต์เทอร์โบ ขนาด 1.8 ลิตร ให้พละกำลัง 161 แรงม้ารองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 พร้อมกับเกียร์อัตโนมัติแบบ 6 สปีด DCT (Dual Clutch Transmission) ทรงตัวดีเยี่ยมด้วยระบบกันสะเทือนด้านหน้าแบบแมคเฟอร์สันและด้านหลังแบบ Z-type มัลติลิ้งค์ ข้อดีของรถรุ่นนี้เน้นไปที่สมรรถนะช่วงล่าง ที่หนึบไม่แพ้รถยุโรปเลยทีเดียว และรุ่นนี้เกือบจะกลายเป็นแรร์ไอเท่ม! ด้วยราคาเปิดตัวที่สูงมาก ส่งผลให้ยอดจำหน่ายน้อยมากเพราะราคาแรง แต่สมรรถนะของรถก็ถือว่าค่อนข้างดี ไม่ได้ตกเหมือนราคาแน่นอน

การตัดสินใจซื้อรถยนต์คือเรื่องใหญ่ มีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องคิด อย่างแรกก็คือเรื่องการเงิน หากคุณมีงบจำกัด คุณก็ไม่ควรซื้ออะไรที่แพงเกินไป หรือรถที่มีค่าใช้จ่ายตามมาเยอะๆ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญก็คือเรื่องของความปลอดภัย ซึ่งหากซื้อรถราคาถูกมากๆ เก่ามากๆ แต่ไม่ปลอดภัยเลยก็ไม่ดี อันตรายแน่นอน

และสิ่งสำคัญที่หลายๆ คนควรทำแต่มองข้ามไป ก็คือ ศึกษารถยนต์แต่ละรุ่นให้ดีก่อนซื้อ อย่างเช่น ศึกษาเกี่ยวกับปัญหาเฉพาะตัวของรถรุ่นนั้นๆ เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาหรือการซ่อมอย่างไม่รู้จบในภายหลัง ถ้ารู้ไว้ก่อนและเลี่ยงได้จะดีกว่า เพื่อความสบายใจและสบายกระเป๋าเงินของคุณเองค่ะ สามารถเลือกดูรถมือสองได้ที่ลิงค์นี้ > https://th.carro.co/taladrod

รถมือสอง, รถมือสองราคาถูก, Prius, Subaru XV, Ford Focus, Mazda3, Chevrolet Cruze, MG6

สุดท้าย ถ้าคุณต้องการซื้อรถใหม่ อย่าลืม! นำรถคันเดิมของคุณมาลงขายที่คาร์โร ได้ที่ลิงค์นี้เลย > https://th.carro.co/sell-car/express หรือต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Fanpage : Carro Thailand ให้ Carro เป็นผู้ช่วยมืออาชีพของคุณ

ฟิล์มกรองแสง,-ผ้าคลุมรถ,-ขัดเคลือบสี,-เคลือบแก้ว,-น้ำยากันน้ำ

การดูแลรักษาสีรถยนต์อย่างถูกต้อง

พูดถึงเรื่องการดูแลรักษารถยนต์ คนส่วนมากก็คงจะเน้นไปที่การดูแลเครื่องยนต์ส่วนต่างๆ หรือชิ้นส่วนจำพวกอะไหล่ ที่อยู่ภายในรถซะมากกว่า แต่จริงๆ แล้ว การดูแลรักษาสีรถยนต์ ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน

การดูแลรักษาสีรถยนต์ ไม่ใช่แค่การล้างทำความสะอาด ลงแว็กซ์ หรือเคลือบเงาเท่านั้น แต่การดูแลรักษาสีรถยนต์ มีกรรมวิธีมากกว่าที่คุณคิด วันนี้ Carro จึงมีข้อมูลมาอัพเดทให้คุณได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ การดูแลรักษาสีรถยนต์ได้อย่างถูกต้อง เพื่อการดูแลสีรถของคุณให้ดูใหม่ สะอาด สดใส ไปอีกนานค่ะ

 

การจอดรถกลางแจ้ง

จะทำให้แสง UV ทำลายสีรถโดยตรง กรณีที่คุณไม่มีโรงรถหรือหลังคาที่กันน้ำกันแดดได้ ควรติดกันสาดที่ขอบกระจกทุกบาน เพราะจะช่วยกันฝนเข้าไปในห้องโดยสารตอนคุณแง้มกระจกไว้ การแง้มกระจกไว้สักหนึ่งนิ้วจะช่วยระบายไอร้อนในรถ ลดอุณหภูมิในห้องโดยสารได้ เมื่อในห้องโดยสารระบายความร้อนได้ดี ก็จะช่วยให้หลังคารถอุณหภูมิไม่สะสมสูงนัก สีหลังคาก็จะไม่โดนทำร้าย

กรณีต้องจอดรถได้ต้นไม้ สามารถเอาผ้าคลุมรถมาใช้เพื่อป้องกันยางไม้และขี้แมลงได้ แต่ถ้ามีที่จอดประจำแต่ไม่มีหลังคา ก็มีหลังคาโรงรถแบบพับได้หรือเต็นท์ราคา 3,000-4,000 บาท ซึ่งช่วยได้ กรณีที่ไม่สามารถทำอะไรเพื่อให้ร่มเงาได้ การเคลือบแก้วหรือการเคลือบสีเป็นประจำสามารถช่วยให้สีทนต่อแดดได้มากขึ้น

ฟิล์มกรองแสง, ผ้าคลุมรถ, ขัดเคลือบสี, เคลือบแก้ว, น้ำยากันน้ำ

ผ้าคลุมรถ

ไม่ว่าผ้าคลุมจะคุณภาพดีแค่ไหน คุณก็ไม่ควรคลุมแล้วจอดกลางแจ้ง เพราะไอร้อนที่เกิดขึ้นใต้ผ้าคลุมรถนั้นสะสมสูงมาก สูงจนอาจจะทำให้ผ้าหรือสารเคมีที่เคลือบอยู่  ละลายติดกับสีรถได้เลย การใช้ผ้าคลุมรถที่ดีควรใช้ในที่ร่มเท่านั้น และควรเลือกผ้าคลุมที่มีคุณภาพระบายความร้อนและความชื้นได้ดี

 

ขัดเคลือบสี

หลายคนจะเห็นคำนี้บ่อย ๆ ตาม Car wash หรือคาร์แคร์ และมักจะเข้าใจว่า “การขัด” กับ “การเคลือบสี” เป็นขั้นตอนเดียวกัน แต่ความจริงแล้วมันแยกเป็น 2 ขั้นตอน เหตุผลที่ต้อง “ขัด” ก่อนเคลือบสีรถ เนื่องจากรถที่ใช้งานมานาน จะมีรอยขนแมวเกิดขึ้นจากการล้างและเช็ดที่ไม่สะอาด ดังนั้นจึงต้องขัดสีเพื่อลบรอยขนแมวออกก่อน

“การขัดสี” ก็คือ การขัดผิวหน้าของสีหรือแล็กเกอร์ออกไป เพื่อให้สีเรียบเนียนและเงางาม และทำให้ชั้นสีที่เคลือบอยู่บางลง เมื่อขัดสีเสร็จ ก็ต่อด้วยขั้นตอน “เคลือบสี” เพื่อให้ผิวรถมีความเงางาม และเป็นตัวเคลือบเพื่อปกป้องชั้นสีที่ถูกขัดออกไปให้ทนทานต่อรอยขีดข่วน เมื่อขัดและเคลือบสีแล้ว ควรจะไปเคลือบสีซ้ำตามระยะเวลาของผู้ผลิตน้ำยาเคลือบกำหนด เพื่อให้ผิวรถที่ขัดแล้วมีอายุการใช้งานยาวนานมากขึ้น

 

ขัดหยาบ ขัดละเอียด

การขัดสีนั้นจะแบ่งเป็น 2 แบบขึ้นอยู่กับสารเคมีหรือน้ำยาขัด โดยปกติจะมีน้ำยาแบบ “ขัดหยาบ” และ “ขัดละเอียด” กรณีที่ผิวของแล็กเกอร์เป็นรอยลึก ต้องใช้น้ำยาแบบขัดหยาบก่อนเพื่อให้ผิวของแล็กเกอร์บางลง จากนั้นตามด้วยน้ำยาขัดละเอียดเพื่อที่จะให้ผิวที่ถูกขัดชั้นแรกเรียบเนียน จากนั้นจึงตามด้วยน้ำยาเคลือบและชักเงา

โปรแกรมการเคลือบดูแลรักษาสีรถยนต์ปัจจุบันมีมากมายหลายยี่ห้อ แต่ถ้าเป็นแพ็คเกจก็มีราคาตั้งแต่ 3,000 – 4,000 บาทขึ้นไป จนถึงหลักหมื่นเลยทีเดียว

ฟิล์มกรองแสง, ผ้าคลุมรถ, ขัดเคลือบสี, เคลือบแก้ว, น้ำยากันน้ำ

GLASS COATING

หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า การเคลือบแก้ว ซึ่งการทำแต่ละครั้งนั้นมีราคาสูง แต่ก็จะช่วยให้รถเงางามและผิวรถจะดูฉ่ำขึ้น สีสดขึ้น แถมยังช่วยลดเวลาในการเข้าไปใช้บริการได้มจาก

ข้อดีอีกอย่างคือ การเคลือบจะทำให้ผิวของสีมีความแข็งขึ้น ทนต่อรอยการขีดข่วนและคราบสกปรกอื่น ๆ เกาะติดได้ยาก การทำความสะอาดก็ง่าย แต่ราคาค่อนข้างสูง ส่วนสาเหตุที่ทำให้สีรถหมอง ไม่เงางาม นั่นก็คือ แสง UV ดังนั้นสารเคมีที่ผสมลงไปในน้ำยาเคลือบ จะต้องมีคุณสมบัติป้องกันและสะท้อนแสง UV ได้ด้วย เพราะเป็นตัวการหนึ่งที่ทำให้สีเสื่อมสภาพ

 

เคลือบภายในห้องโดยสาร

สำหรับรถที่เป็นเบาะผ้า เมื่อออกรถมาใหม่ควรเข้าไปพ่นน้ำยากันน้ำและปกป้องเนื้อผ้า น้ำยาเคมีที่ฉีดพ่นลงไปนั้น จะช่วยให้เบาะผ้าไม่เป็นรอยด่าง เพราะน้ำจะซึมเข้าเนื้อผ้าได้ยากขึ้น และช่วยป้องกันไม่ให้เบาะนั่งดำหรือเป็นคราบไคลติดแน่น ส่วนเบาะหนัง ถ้าเป็นโทนสีอ่อนก็ต้องเคลือบน้ำยาเช่นกัน เพราะเบาะนั่งสีอ่อนนั้นแค่ช่วงเวลาไม่กี่เดือน ก็จะเป็นคราบดำด่าง น้ำยาที่เคลือบจะช่วยไม่ให้เบาะหนังเสื่อมสภาพเร็ว และป้องกันไม่ให้เลอะง่าย

การดูแลภายในห้องโดย อีกทางหนึ่งนอกเหนือจากการทำความสะอาด ก็คือ การเลือกฟิล์มกรองแสง ที่มีคุณภาพสามารถสะท้อนแสง UV และสะท้อนความร้อนได้ดี เพราะจะช่วยยืดอายุชิ้นส่วนภายในห้องโดยสารด้วย

ทั้งหมดนี้ ก็คือการดูแลรักษาสีรถยนต์ที่ Carro นำมาฝาก ซึ่งจะดีต่อรถยนต์ของคุณอย่างแน่นอน ถ้าคุณปฏิบัติตาม เพราะเป็นการดูแลรักษาสีรถยนต์ที่ถูกต้อง และจะทำให้รถยนต์ของคุณดูสดใส ดูใหม่อยู่เสมอ

หรือถ้าในอนาคตคุณอยากจะขายรถ รถก็จะราคาดี ราคาไม่ตก เพราะยังมีสภาพดีอยู่ และจะดียิ่งกว่าถ้าคุณมาขายรถกับเรา เพราะทาง Carro ให้ราคาดี มีบริการที่รวดเร็วทันใจ ไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง แถมยังรับเงินสดหลังจบการขายได้ทันทีเลยละค่ะ คลิกที่ Link นี้เลย > https://th.carro.co/sell-car/express หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook > Carro Thailand จ้า

10-Secondhand-Cars-For-Salary-15K

“รถยนต์” ปัจจุบันถือเป็นปัจจัยที่ 5 แล้ว ซึ่งถ้าคุณอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ การไม่มีรถขับนั้น ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องที่ลำบากนัก เพราะยังมีระบบขนส่งมวลชนรองรับอยู่ แต่ก็ไม่ค่อยมีคุณภาพเท่าไหร่ ตามที่ทราบกันดี รวมไปถึงการเดินทางที่เสียเวลาหลายต่อ ต้องมารอรถเมล์ที่กะเวลาไม่ได้ บางทีจำเป็นต้องเข้าตรอกซอยไกลๆ จะพึ่งแท็กซี่หรือวินมอเตอร์ไซค์ตลอดไปนั้น คงเหนื่อยหน่อย …

ไม่ว่าจะเป็นคนที่ทำงานมาหลายปีแล้ว หรือจะเป็นเด็กจบใหม่ ที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน แน่นอนล่ะ เห็นรถที่ออกใหม่ สวยๆ ต่างก็อยากได้ทั้งนั้น ซึ่งรถยนต์หนึ่งคัน ตามมาด้วยค่าใช้จ่ายอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ค่าน้ำมัน ค่าแก๊ส ค่าทางด่วน ค่าพรบ.รถยนต์ ค่าประกันภัยรถยนต์ ค่าซ่อมบำรุง และค่าใช้จ่ายในส่วนอื่นๆ อีกมากมาย

ฐานเงินเดือนที่เด็กจบใหม่ ส่วนใหญ่ก็อาจจะเริ่มต้นกันที่ 15,000 บาท หรือบางอาชีพที่ฐานเงินเดือนไม่สูงนัก ได้เงินเดือนประมาณนี้ก็มี ถ้าหากจะไปซื้อรถป้ายแดงเลย ก็ไหวอยู่ แต่ต้องคุมค่าใช้จ่ายดีๆ เลยล่ะ แต่ถ้าจะมองรถมือสอง ก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่า และเหมาะสมกับสภาวะทางการเงินของคุณ ที่จะทำให้ค่าใช้จ่ายไม่รัดตัวจนเกินไปนัก

เงินเดือน 15,000 บาท เป็นเจ้าของรถคันไหนได้บ้าง … ไม่ต้องแปลกใจที่มีแต่รถมือสอง อายุ 10-20 ปี ที่เป็นแบรนด์รถตลาด เพราะรุ่นไหนที่มีคนนิยมใช้มากๆ มันจะช่วยให้คุณไม่ลำบากเวลาต้องซ่อม หรือหาอะไหล่

Carro คัดเลือกรถมือสองยอดนิยม ในปีรถที่ไม่เก่ามากนัก มาให้พิจารณากันครับ.

1.Toyota Corolla (EE100/EE101/AE101) “สามห่วง” รุ่นปี 1992-1996

Toyota-Corolla-สามห่วง

Toyota Corolla (โตโยต้า โคโรลล่า) รุ่นนี้ ถือเป็นรุ่นแรกที่มีการใช้ Logo “Toyota” โดย Toyota สามห่วง เปิดตัวในไทยเมื่อ 13 มีนาคม 2535 มีเครื่องยนต์ขนาด 1.3 ลิตร รหัส 2E (และ 4E-FE ในรุ่นไมเนอร์เชนจ์ ปี 2537) และเครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร รหัส 4A-FE ให้เลือก

เป็นรถที่เหมาะสำหรับมนุษย์เงินเดือน 15,000 บาท มาก (หรือคนเงินเดือนมากกว่าจะซื้อใช้ก็ได้เช่นกัน!) เพราะอะไหล่หาง่าย ของแท้ ของเทียบ ของมือสอง มีให้เลือกเพียบ เครื่องยนต์ทนทาน ติดแก๊ส LPG ก็ทน ระบบต่างๆ ไม่ซับซ้อน วิ่งได้นับล้านกิโลเมตร ช่างที่ไหนก็ซ่อมได้หมด นี่คือข้อดีของรุ่นนี้

2.Toyota Corolla (AE110/AE111/AE112) “ตองหนึ่ง”, “ตูดเป็ด” และ “HI-TORQ”

Toyota-Corolla-AE111

Toyota Corolla (โตโยต้า โคโรลล่า) โฉมนี้ เปิดตัวในประเทศไทยในเดือนกุมภาพันธ์ 2539 โดย Toyota ตองหนึ่ง ยกเลิกเครื่องยนต์ขนาด 1.3 ลิตร แล้วหันมาใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร รหัส 5A-FE และเครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร รหัส 4A-FE ยอดฮิตเหมือนเดิม ต่อมาในช่วงปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ในปี 2541 จึงเพิ่มรุ่นเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร พร้อมคำต่อท้ายว่า “Altis” (อัลติส) และชูจุดเด่นด้วยเครื่องยนต์ใหม่ “Hi-Torq” (ไฮทอร์ค) ขนาด 1.8 ลิตร รหัส 7A-FE

เป็นรถที่ได้รับความนิยมสูงมากในขณะนั้น ซึ่งการที่รถรุ่นนี้เคยถูกนำไปเป็นแท็กซี่ อะไหล่หาง่าย ของแท้ ของเทียบ ของมือสอง มีให้เลือกเพียบ เครื่องยนต์ทนทาน ระบบต่างๆ ไม่ซับซ้อน วิ่งได้นับล้านกิโลเมตร ช่างที่ไหนก็ซ่อมได้หมด อาจจะเลือกรุ่นที่เกรดสูงหน่อย เช่น 1.6 GXi, 1.6 SE.G หรือ 1.8 SE.G เป็นต้น เพราะจะได้ออพชั่นมากกว่า

3.Toyota Corolla Altis (ZZE121/ZZE122) “หน้าหมู”

Toyota-Corolla-Altis

Toyota Corolla Altis (โตโยต้า โคโรลล่า อัลติส) โฉม “Altis หน้าหมู” นี้ เป็นรถที่ได้รับความนิยมมากมายจากแท็กซี่ หรือมวลชน เพราะขึ้นชื่อถึงเรื่องความทนทาน อะไหล่หาง่าย ช่างที่ไหนก็ซ่อมได้

เปิดตัวในเดือนพฤษภาคม 2544 ภายใต้แนวคิด “Break Into Style” ที่พัฒนาใหม่หมดทั้งแนวคิด การออกแบบ และเทคโนโลยี พร้อมใช้พรีเซนเตอร์คนดังอย่าง “แบรด์ พิตต์” มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร รหัส 3ZZ-FE 110 แรงม้า และเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร รหัส 1ZZ-FE 136 แรงม้า มีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด

อีกทั้งยังมีรุ่นพิเศษต่างๆ ออกมาสร้างสีสันในตลาดตามมาตลอดของอายุรถรุ่นนี้ ที่ขายมาจนถึงต้นปี 2551 สามารถสร้างยอดขายรวมได้มากถึง 143,301 คัน ขอแนะนำสำหรับมนุษย์เงินเดือนที่มีเงินเก็บไว้อยู่มากหน่อย เนื่องจากราคาตัวรถมือสอง อยู่ที่ตั้งแต่ไม่กี่หมื่นบาท (กรณีเป็นรถแท็กซี่เก่า) ไปจนถึงหนึ่งแสนปลายๆ ถึงเกือบๆ สองแสนบาท (สำหรับรถบ้าน) แต่แลกกับตัวรถที่สดกว่า ปีใหม่กว่า

4.Toyota Soluna (AL50)

Toyota-Soluna-AL50

Toyota Soluna (โตโยต้า โซลูน่า) เป็นรถยนต์รุ่นเล็กสุดของค่ายโตโยต้าในสมัยนั้น ที่ก็ยังถือว่า เปิดตัวในเดือนมกราคม 2540 และสร้างยอดขายที่ถล่มทลายได้ในเพียงเวลาสั้นๆ ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร รหัส 5A-FE ที่ยกมาจากใน Corolla

ในเดือนพฤษภาคม 2541 Soluna ออกรุ่นพิเศษ “Soluna Special Version” (โซลูน่า สเปเชี่ยล เวอร์ชั่น) มีชื่อเป็นภาษาไทยและเลขไทย ติดที่ฝากระโปรงหลัง เป็นรุ่นแรกในโลกของรถโตโยต้า ที่ติดชื่อรุ่นรถและตัวเลขเครื่องยนต์เป็นภาษาท้องถิ่น หลายคนน่าจะยังจำกันได้

หลังจากปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ในปี 2542 ปรับหน้าตาใหม่ กันชนใหม่ ไฟท้ายใหม่ หรือที่บรรดาเต็นท์รถมือสองเรียกกันว่า “ไฟท้ายหยดน้ำ” เป็นรถที่ได้เหมาะมากสำหรับมนุษย์เงินเดือน ด้วยราคามือสองเริ่มต้นที่ไม่กี่หมื่นบาทก็ซื้อได้แล้ว อะไหล่หาง่าย ของแท้ ของเทียบ ของมือสอง มีให้เลือกเพียบ เครื่องยนต์ทนทาน ระบบต่างๆ ไม่ซับซ้อน ช่างที่ไหนก็ซ่อมได้หมด แต่ควรเลือกรุ่นที่เกรดสูงหน่อย เช่น 1.5 GLi หรือ 1.5E และ 1,5G ในโฉมไฟท้ายหยดน้ำ เพราะจะได้ออพชั่นเยอะกว่ารุ่นล่างๆ

5.Toyota Soluna Vios (NCP42)

Toyota-Soluna-Vios

“Toyota Soluna Vios” (โตโยต้า โซลูน่า วีออส) รถรุ่นยอดนิยมที่สุดอีกรุ่นหนึ่งของโตโยต้า ถ้าเป็นรถในขนาด Sub-Compact โดยชื่อรุ่น “VIOS” (วีออส) มาจากภาษาลาติน “VIO” แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า “Moving Forward” หรือ เคลื่อนที่ไปข้างหน้า ในภาษาไทย

เปิดตัวครั้งแรกในไทยอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2545 ใช้ขุมพลังใหม่ ขนาด 1.5 ลิตร รหัส 1NZ-FE แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว VVT-i ให้แรงม้าสูงสุด 109 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 14.5 กก.-ม. (142 นิวตัน-เมตร) ที่ 4,200 รอบ/นาที

อีกทั้งยังมีรุ่นเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร Turbo 143 แรงม้า ให้เลือกอีกด้วย … เป็นรถมือสองอีกหนึ่งตัวเลือก ของคนเงินเดือนน้อย ไม่ควรพลาด! เนื่องด้วยเครื่องยนต์ที่แรงอย่างทันใจ ประหยัดน้ำมันเป็นเยี่ยม อะไหล่มือหนึ่งมือสอง ของแท้ของเทียม หาง่าย ตามสไตล์ Toyota

6.Toyota Avanza (F600)

Toyota-Avanza

 

Toyota Avanza (โตโยต้า อแวนซ่า) เป็นรถยนต์นั่งอเนกประสงค์ 5 ประตู 7 ที่นั่ง นำเข้าจากอินโดนีเซีย ชื่อรุ่นมาจากคำว่า “Avanzato” ในภาษาอิตาลี หรือ “Advance” ในภาษาอังกฤษ … เปิดตัวในเดือนกรกฎาคม 2547 ในรูปแบบรถยนต์นั่งแนวใหม่ “Compact Multi – Purpose Vehicle” ขนาดห้องโดยสารใช้แนวคิดการออกแบบ “Tall Boy” หลังคาทรงสูง นั่งได้ 7 คน วางตำแหน่งเบาะนั่งแบบ Flex And Fold ปรับได้อิสระ คล่องตัว ประหยัดน้ำมัน ทนทาน ค่าดูแลรักษาต่ำ

Toyota Avanza เจเนอเรชั่นแรก มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.3 ลิตร รหัส K3-VE แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว VVT-i ให้แรงม้าสูงสุด 88 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 12.3 กก.-ม. (120 นิวตัน-เมตร) ที่ 3,200 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และอัตโนมัติ 4 สปีด

ในรุ่นไมเนอร์เชนจ์ เปิดตัวเมื่อเดือนตุลาคม 2551 เปลี่ยนเครื่องยนต์เป็นขนาด 1.5 ลิตร รหัส 3SZ-VE แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว VVT-i ให้แรงม้าสูงสุด 109 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 14.4 กก.-ม. (141 นิวตัน-เมตร) ที่ 4,400 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และอัตโนมัติ 4 สปีด …

โดย Avanza (F600) ถือเป็นรถมือสองที่คนมีฐานเงินเดือนไม่สูงนัก หรือทำงานอาชีพอิสระ แต่มีครอบครัวแล้ว ไว้ใช้ขนของในวันทำงาน หรือใช้เป็นรถพาลูกๆ ไปเที่ยวในวันหยุด ก็ลงตัวครับ …

7.Nissan Sunny NEO (N16)

Nissan-Sunny-NEO

Nissan Sunny NEO (นิสสัน ซันนี่ นีโอ) จัดว่าเป็นรถยอดนิยมจากค่ายนิสสันอีกหนึ่งรุ่น ในประเภทรถ Compact ที่เปิดตัวครั้งแรกในเดือนสิงหาคม 2543 และขายกันต่อเนื่อยาวนานหลายปี มีอยู่ 3 โฉมหลักๆ ให้เลือกในบ้านเรา (โดยปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ครั้งสุดท้าย ในเดือนมีนาคม 2548) เป็นรถที่ได้รับความนิยมอยู่พอสมควร อะไหล่หาง่าย ช่างทั่วไปซ่อมได้ ถือเป็นรถที่เหมาะกับมนุษย์เงินเดือน 15K อีกหนึ่งรุ่น เพราะถ้าคุณมีเงินเก็บแค่ 7 หมื่นบาท ก็พอหารุ่นนี้ได้แล้ว (แต่สภาพของตัวรถ ก็อีกเรื่องนึง) …

มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร รหัส QG16DE ให้แรงม้าสูงสุด 118 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 14.6 กก.-ม. ที่ 4,400 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และอัตโนมัติ 4 สปีด

และในรุ่นเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร (ที่เริ่มแรกใช้ในชื่อ Sunny Almera – ซันนี่ อัลเมร่า) รหัส QG18DE ให้แรงม้าสูงสุด 128 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 14.6 กก.-ม. ที่ 4,400 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด

8.Honda Civic (EK)

Honda-Civic-EK

อันนี้เหมาะสำหรับมนุษย์เงินเดือนชอบแต่งรถหน่อย สำหรับ Honda Civic (EK) (ฮอนด้า ซีวิค) ที่เปิดตัวในบ้านเราเมื่อเดือนตุลาคม 2538 ตามมาติดด้วยรุ่น 1.8 Si อีกทั้งยังมีรุ่น 2 ประตู คูเป้ ให้เลือกอีกด้วย เรียกได้ว่าถูกใจวัยรุ่นที่เพิ่งเริ่มต้นทำงานสุดๆ แต่งบประมาณก็อาจจะต้องมีมากหน่อย (ส่วนรุ่น 4 ประตู มีเงินเก็บเพียง 5 หมื่นบาท ก็หาซื้อได้แล้ว) และในรุ่นไมเนอร์เชนจ์ ยังมีเพิ่มเทคโนโลยีลดมลพิษอย่าง “LEV” อีกด้วยครับ

มีเครื่องยนต์ให้เลือกกันถึง 3 แบบ … เริ่มต้นด้วยเครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร แบบ 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว ให้แรงม้าสูงสุด 120 แรงม้า ที่ 6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 14.7 กก.-ม. ที่ 5,000 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และอัตโนมัติ 4 สปีด

ถ้าอยากได้แบบแรงสั่งได้ และออพชั่นที่มากกว่า ต้องเลือกเครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร แบบ 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว VTEC ให้แรงม้าสูงสุด 127 แรงม้า ที่ 6,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 14.7 กก.-ม. ที่ 5,500 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และอัตโนมัติ 4 สปีด

และในรุ่นเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร รหัส B18B แบบ 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว VTEC ให้แรงม้าสูงสุด 145 แรงม้า ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 16.7 กก.-ม. ที่ 4,400 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ข้างในเป็นเบาะหนังแท้โทนสีเทาดำ รุ่นนี้จะหายากหน่อยครับ

9.Honda Civic (ES)

Honda-Civic-ES

ส่วนอันนี้ เหมาะสำหรับมนุษย์เงินเดือนชอบรถเรียบๆ สไตล์คนมีครอบครัวแล้ว หรือจะแต่งซิ่งก็ได้เช่นกัน กับ Honda Civic (ES) (ฮอนด้า ซีวิค) โฉม “Dimension” ชูจุดเด่นด้วยเครื่องยนต์ขนาด 1.7 ลิตร เป็นรถที่ดูดี สวยหรู อะไหล่หาได้ง่าย ทนทาน และ Civic โฉมนี้ เป็นโฉมแรก ที่ฮอนด้าได้ทำรุ่น Hybrid นำเข้ามาขายในไทยด้วย เปิดตัวในไทยเมื่อ 27 ตุลาคม 2543 ซึ่งตามหลังประเทศญี่ปุ่นเพียง 7 สัปดาห์เท่านั้น

มาพร้อมเครื่องยนต์ใหม่ 1.7 ลิตร ที่ให้พลังแรงเทียบเท่าเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร แต่ประหยัดน้ำมันเหมือนกับเครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร โดยเครื่องยนต์ขนาด 1.7 ลิตร ยังแบ่งได้อีก 2 แบบ นั่นคือแบบ SOHC 120 แรงม้า และแบบ VTEC 130 แรงม้า มีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และอัตโนมัติ 4 สปีด

และในเดือนมกราคม 2547 ได้ปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ เพิ่มเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร i-VTEC รหัส K20A 155 แรงม้า มาคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด ซึ่งในโฉมไมเนอร์เชนจ์นี้จะแต่งสวยหน่อย

10.Mitsubishi Lancer Cedia

Mitsubishi-Lancer-Cedia

Mitsubishi Lancer Cedia (มิตซูบิชิ แลนเซอร์ ซีเดีย) เปิดตัวในบ้านเราเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2544 พร้อมชื่อต่อท้ายคำว่า “Cedia” ที่เป็นการนำคำว่า Century + Diamond มารวมกัน นับเป็น Lancer อีกหนึ่งรุ่น ที่ขายยาวนานในตลาดบ้านเรา และมีชุดแต่งให้เล่นเยอะ (เพราะเหมือน Lancer Evolution)

มาพร้อมเครื่องยนต์รหัส 4G18 ขนาด 1.6 ลิตร 108 แรงม้า และรหัส 4G93 ขนาด 1.8 ลิตร 124 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT 6 สปีด Invecs III

หลังจากนั้นในต้นปี 2547 Mitsubishi ทำการปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ ด้วยกระจังหน้าทรงปิระมิด พร้อมยกเลิกเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร และนำเครื่องยนต์รหัส 4G63 ขนาด 2.0 ลิตร 135 แรงม้า มาแทน …

และในเดือนมีนาคม 2551 เพิ่มอีกทางเลือกคือ New Lancer E20 รองรับแก๊สโซฮอล์ E20 และ Lancer CNG ติดตั้งระบบจ่ายเชื้อเพลิงสำหรับการใช้ก๊าซธรรมชาติอัด CNG (Compressed Natural Gas) สำหรับลูกค้าที่ต้องการรถยนต์นั่งที่คุ้มค่าคุ้มราคาและประหยัดรายจ่ายค่าเชื้อเพลิง ก่อนจะขายไปเรื่อยๆ แม้ว่าจะมี Lancer EX ออกมาจำหน่ายแล้วก็ตาม รถรุ่นนี้ ถือว่ายังเหมาะสมกับมนุษย์เงินเดือน ที่เพิ่งเริ่มต้นทำงานครับ

Mr.Carro หวังว่า 10 รถมือสอง ที่คนเงินเดือนเริ่มต้น 15,000 บาท น่าซื้อ! ที่นำมาเสนอนั้น หากใครสนใจ ก็ลอง Inbox สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Fanpage Carro Thailand ได้นะครับ

ถ้าคุณอยากขายรถคันเดิม เพื่อไปซื้อรถคันใหม่ หรือรับเงินก้อนไปใช้ สามารถขายรถคันเก่ากับ Carro ได้ ง่ายๆ ได้เงินไว! กับ Carro Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook Carro Thailand

หรือจะ Add Line สอบถามรายละเอียดได้ที่ @Carrothailand หรือคลิกที่นี่ครับ —> เพิ่มเพื่อน

ตรวจสภาพรถ, ยางรถยนต์, ผ้าเบรค, พรบ รถยนต์

เทคนิคในการขับขี่อย่างปลอดภัย ทุกสภาวะถนน

ประเทศไทยของเรานั้น ประกอบไปด้วย 3 ฤดู คือ หน้าร้อน หน้าฝน และหน้าหนาว แต่ในปัจจุบัน สภาพอากาศเริ่มแปรปรวนมากขึ้นจนไม่สามารถคาดเดาได้ เพราะในบางวัน ก็ทั้งอากาศร้อนและฝนตกในวันเดียวกัน! ด้วยเหตุนี้ Carro จึงขอแนะนำ เคล็ด(ไม่)ลับในการขับขี่อย่างปลอดภัย ในทุกสภาพอากาศมาฝากผู้อ่านกันค่ะ

1.ตรวจเช็คสภาพรถเสมอ

คุณควรตรวจเช็คทุกๆ ส่วน โดยเฉพาะดอกยางรถ ยางใบปัดน้ำฝน ระดับน้ำหม้อพักฉีดกระจก ไฟหน้า ไฟตัดหมอก ไฟเลี้ยว และผ้าเบรก ว่าสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพหรือไม่ เพื่อเตรียมรถให้พร้อมใช้งานแม้ในวันที่ฝนตก และทุกสภาวะถนน

2.ลดความเร็วในการขับขี่

โดยปกติเราไม่ควรขับรถเกินความเร็วมาตรฐานอยู่แล้ว และควรลดความเร็วลงอีกในขณะที่ฝนตก เนื่องจากจะช่วยให้ระยะในการเบรกยาวขึ้น เพราะพื้นถนนที่เปียกจะทำให้ลื่นและอันตราย ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการเหินน้ำได้อีกด้วย

3.หลีกเลี่ยงเส้นทางที่น้ำท่วม

การที่ฝนตกหนักหรือตกเป็นเวลานาน อาจทำให้น้ำท่วมถนนได้ และเมื่อน้ำท่วมถนน คุณก็จะคาดเดาไม่ได้ว่าน้ำท่วมสูงแค่ไหน ซึ่งอันตรายต่อรถ เพราะเราไม่ทราบว่าสภาพพื้นถนนที่เรากำลังขับขี่อยู่เป็นอย่างไร และหากน้ำเข้าท่อไอเสียและเครื่องยนต์ ก็จะทำให้รถยนต์ของคุณดับกลางคันด้วย

4.ขับช้าๆ แม้ฝนหยุดตกแล้ว

หลังจากฝนตก จะมีคราบน้ำมันที่ตกค้างบนพื้นถนนก่อตัวขึ้นมาใหม่ ทำให้พื้นถนนลื่นยิ่งขึ้น ซึ่งคราบน้ำมันจากรถยนต์จะมีมากบริเวณสี่แยกหรือไฟจราจร เพราะฉะนั้น คุณยังคงต้องขับรถอย่างระมัดระวังแม้ฝนหยุดตกแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายจากการลื่นไถลบนพื้นถนนนั่นเอง

5.อย่าลืมเปิดไฟหน้ารถ

เมื่อต้องขับรถในช่วงกลางคืน การเปิดไฟหน้ารถคือสิ่งสำคัญที่สุด เพื่อให้คุณมองเห็นได้ชัดเจน และรถคันอื่นๆ จะได้มองเห็นรถคุณด้วย และหากต้องขับขี่บนถนนลูกรังหรือเส้นทางเปลี่ยว อย่าลืมเปิดไฟสูงขณะขับขี่และลดไฟต่ำลงเมื่อมีรถขับสวนมา

6.ไม่ขับขี่เมื่อมีอาการง่วงหรือมึนเมา

หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้การขับขี่ในช่วงกลางคืนอันตรายกว่ากลางวัน คือ ผู้ขับขี่มีอาการง่วงหรือมึนเมา ซึ่งผู้ขับขี่เหล่านี้มักจะละเมิดกฏจราจร บางครั้งถึงขั้นเปลี่ยนเลนโดยไม่เปิดสัญญาณไฟ! ซึ่งสิ่งที่จะช่วยให้คุณปลอดภัยจากอุบัติเหตุในช่วงกลางคืนได้ ก็คือ หากเห็นรถยนต์คันอื่นมีท่าทีการขับขี่ที่อันตราย คุณควรเว้นระยะห่างจากรถยนต์คันดังกล่าวและขับให้ช้าลง

และที่สำคัญก็คือ คุณไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ในขณะขับขี่ซะเอง ถ้าหากมีอาการง่วงหรืองัวเงีย ก็ควรจอดแวะพักที่ปั๊ม ล้างหน้าล้างตาหรือนอนพักสักหน่อย แล้วตั้งสติก่อนสตาร์ท หากปฏิบัติตามคำแนะนำนี้ ก็จะปลอดภัยทั้งคนทั้งรถอย่างแน่นอนค่ะ

เด็กในรถ-Feature

การเดินทางที่แสนพิเศษ คือ การได้ร่วมทางไปกับคนที่เรารัก

ทั้งปู่ย่า ตายาย ลุงป้า น้าอา พ่อแม่ พี่น้อง และที่สำคัญที่ขาดไม่ได้เลย ก็คือ ลูกน้อยที่แสนน่ารักน่าทะนุถนอมของคุณ

ซึ่งแน่นอนว่าการขับขี่ที่มีเด็กมาด้วยนั้น คุณต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างสูง เพราะเด็กจะมีความซุกซนในแบบฉบับของเด็กน้อย จนอาจซุกซนจนเกินเหตุ ทำให้เกิดอุบัติเหตุ หรืออันตรายขึ้นมาได้ ฉะนั้น วันนี้ คาร์โร จึงมีสิ่งที่ควรทำ และสิ่งที่ไม่ควรทำ หากมีเด็กอยู่ในรถมาฝากกันค่ะ

เด็กในรถ

4 สิ่งที่ไม่ควรทำ หากมีเด็กอยู่ในรถ

  • ห้ามเอาเด็กมานั่งตักในช่วงเวลาที่คุณกำลังขับรถ

ด้วยความรัก ความห่วงใย อยากอยู่ใกล้ลูกตลอดเวลา จึงทำให้พ่อแม่บางคนมักจะชอบเอาลูกมานั่งหลังพวงมาลัยในขณะที่ตัวเองขับรถอยู่เสมอ

แต่คุณรู้หรือไม่ว่า การกระทำเช่นนี้เป็นเรื่องที่ผิดมหันต์ และเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะแน่นอนว่า เด็กน้อยแสนซนนั้นจะไม่มีทางอยู่นิ่งเป็นแน่ โดยเด็กมักจะชอบใช้มือคว้าโน่น จับนี่ไปเรื่อย ทำให้คุณขาดสมาธิในการขับรถ และขาดความระมัดระวังจนทำให้เกิดอุบัติเหตุได้

 

  • ห้ามทิ้งเด็กไว้ในรถโดยลำพัง

ด้วยความซุกซนของเด็กที่เกินการควบคุม จึงเป็นเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นมาได้

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการที่เด็กไปกดล็อคประตูเล่น ดังที่เราเห็นได้จากข่าวหน้าหนึ่ง หรือตามจอทีวีบ่อยๆ จนต้องมีการเรียกกู้ภัยมาช่วยกันเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต

หรือซ้ำร้าย บางทีพ่อแม่ประมาทติดเครื่องยนต์ทิ้งไว้ แล้วเด็กดันเผลอไปโยกคันเกียร์ จนทำให้รถเคลื่อนที่ออกไปทำความเสียหายให้รถคันรอบข้าง หรืออาคารบ้านเรือนในละแวกนั้นได้

 

  • ห้ามทิ้งเด็กให้หลับอยู่ในรถ

หากคุณพ่อคุณแม่จะลงไปเข้าห้องน้ำ ไปเซเว่นหาขนมนมเนยให้ลูกกิน และให้ลูกนอนอยู่บนรถ เราขอบอกเลยว่าอย่าทำเช่นนั้นเป็นอันขาด ต้องปลุกแล้วอุ้มลูกลงไปด้วย

เพราะพัดลมแอร์จะดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่รถปล่อยออกไป กลับเข้ามาในรถอีก ซึ่งเป็นเหตุทำให้เด็กที่หลับอยู่บนรถนั้นมีออกซิเจนไม่เพียงพอต่อการหายใจ และทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ในที่สุด

 

  • อย่าใช้ความเร็วสูง

เมื่อมีเด็กโดยสารไปในรถยนต์ด้วย พ่อแม่ควรใช้ความเร็วของการขับขี่ที่ต่ำกว่าปกติ และควรเว้นระยะห่างจากคันหน้าในระยะที่มากขึ้น

เพื่อลดการเบรกอย่างรุนแรง รวมถึงการเข้าโค้ง หรือเลี้ยวที่จะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพื่อลดการเหวี่ยง ซึ่งอาจทำให้เด็กที่ไม่ทันระวังได้รับบาดเจ็บจากการกระแทกได้

เด็กในรถ

สิ่งที่ควรทำ หากมีเด็กอยู่ในรถ

สิ่งที่ควรทำหากมีเด็กอยู่ในรถ ก็คือ ถ้าในรถมีเด็กที่อายุต่ำกว่า 12 ปี ให้จับนั่ง Car Seat (เบาะนั่งสำหรับเด็ก) ทุกครั้ง ไม่ว่าจะไปไหนใกล้ไกลก็ตาม เพราะคุณสมบัติของ Car Seat จะช่วย Safety และลดอาการบาดเจ็บในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุได้

ซึ่งการติดตั้งที่ถูกต้องก็คือ ควรติดตั้งอยู่ตรงกลางของเบาะหลัง อย่ารัดให้แน่นมากเกินไป เพราะอาจทำให้เด็กอึดอัด และหายใจไม่ออกได้ค่ะ

ความรู้เพิ่มเติม เรื่องของเบาะนั่งสำหรับเด็ก (Car Seat) เบาะนั่งสำหรับเด็ก มีหลากหลายประเภทด้วยกัน ดังนี้

  • แบบ Rear Facing แบบ Rear Facing นั้นจะเป็นเบาะนั่งสำหรับเด็กที่มีลักษณะคล้ายๆ รถเข็นเด็กทารก ซึ่งจะเหมาะกับเด็กแรกเกิดจนถึงเด็กอายุ 1 ขวบ
  • แบบ Front Facing แบบ Front Facing จะเป็นเบาะนั่งสำหรับเด็กเล็ก ซึ่งให้เด็กนั่งตั้งหน้าตัวตรง ใช้สำหรับเด็กอายุ 1-4 ปีขึ้นไป
  • แบบ Booster แบบ Booster จะเป็นเบาะนั่งสำหรับเสริมความสูง ใช้สำหรับเด็กอายุ 4 – 10 ปี
  • แบบ ผสม แบบ ผสม คือการนำเบาะทั้ง 3 แบบด้านบน มารวมอยู่ในอันเดียว

ทั้งนี้ คนที่เป็นพ่อเป็นแม่ควรมีความระมัดระวังตลอดเวลา และห้ามประมาทแม้แต่วินาทีเดียว เพราะแม้เสี้ยววินาทีเดียว ลูกน้อยของคุณอาจจากคุณไปตลอดกาล

9-ทริค-ง่ายๆ-ช่วยยืดอายุรถกระบะ

วิธีดูแลรักษาไม่ให้การใช้งานของรถกระบะสุดรัก
สั้นกว่าที่ควรจะเป็น


ระยะเวลาตลอดเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา รถขวัญใจชาวไทยก็ยังคงเป็นรถกระบะ อาจเพราะหลายๆปัจจัยทั้งเรื่องของราคาเอย ความประหยัดเอย และที่สำคัญคือความทนทาน ซึ่งถึงแม้ว่ารถกระบะนั้นจะอึด จะทน สักแค่ไหน ก็ต้องดูแลรักษาไม่ให้การใช้งานของรถกระบะนั้นสั้นกว่าที่ควรจะเป็น

วันนี้ คาร์โร จึงจะมาบอกทริคง่ายๆในการดูแลรถกระบะ ให้คงสภาพเหมือนซื้อใหม่มาฝากถึงเพื่อนๆกันค่ะ

1.อย่าลืม! ที่จะเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามระยะที่กำหนด

รถกระบะ, วิธี, การดูแลรักษา, กระบะ, รถปิคอัพ, pickup

เชื่อว่าเพื่อนๆหลายคนอาจจะไม่ลืม แต่กลับละเลยแทน เรื่องนี้เป็นเรื่องพื้นฐานสำคัญเลยนะคะ ที่จะช่วยยืดอายุการใช้งานของรถให้อยู่กับเพื่อนๆไปได้นานๆ ซึ่งโดยปกติแล้วการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและกรองน้ำมันเครื่องจะอยู่ที่ทุก ๆ 10,000 กิโลเมตร หรือ 6 เดือน (ขึ้นอยู่กับว่าอย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) หรือดูกำหนดการเปลี่ยนจากคู่มือที่ติดมากับรถก็ได้ค่ะ



2.สลับยางตามระยะ

รถกระบะ, วิธี, การดูแลรักษา, กระบะ, รถปิคอัพ, pickup

โดยทั่วไปล้อหน้าจะมีการสึกหรอที่มากกว่า (ซึ่งก็อาจขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานและการขับขี่ของเพื่อนๆด้วย) ทำให้ต้องมั่นสลับยางตามที่คู่มือประจำรถกำหนด เพื่อนๆจะได้มีการขับขี่ที่ราบเรียบ และยังช่วยลดภาระการทำงานของระบบกันสะเทือนที่เกิดจากการสั่นของยางอีกด้วยนะคะ



3.รักษาโครงสร้างยาง

รถกระบะ, วิธี, การดูแลรักษา, กระบะ, รถปิคอัพ, pickup

ในขณะที่ล้อรถหมุนเราควรที่จะรักษาความสมดุล เพื่อให้ระบบกันสะเทือนมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้นค่ะ ส่วนสภาพเส้นทางที่เป็นหลุมและบ่อ หรือการใช้งานแบบออฟโรดก็จะยิ่งทำให้ยางรถยนต์ขาดความสมดุลยิ่งขึ้น จะทำให้เพื่อนๆต้องเสียเงินกับค่าเปลี่ยนยางใหม่เร็วขึ้นนะคะ



4.การตั้งศูนย์ถ่วงล้อ

รถกระบะ, วิธี, การดูแลรักษา, กระบะ, รถปิคอัพ, pickup

ก็ต้องยอมรับว่าหลุมบ่อบนถนนหนทางในบ้านเรานั้นเยอะแยะเสียเหลือเกิน ถ้าเพื่อนๆ ขับรถด้วยความเร็วจะทำให้หลบหลุมบ่อพวกนี้ไม่ทันจนต้องตกหลุมอยู่บ่อยๆ ซึ่งนี้แหละค่ะ เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ศูนย์ล้อผิดเพี้ยนไปจากเดิม จึงทำให้ยางเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังมีผลเสียที่ตามมาอย่างรถกินน้ำมันเพิ่มขึ้น และมีการบังคับควบคุมที่แย่ลงด้วยค่ะ

 

5.ตรวจสอบระบบไฟ

รถกระบะ, วิธี, การดูแลรักษา, กระบะ, รถปิคอัพ, pickup

อย่างน้อยในเดือนละครั้ง เพื่อนๆ ต้องหาเวลาเพื่อตรวจเช็กระบบไฟทั้งภายนอกและภายใน หากพบความผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อยก็ควรจะรีบดำเนินการทำการแก้ไขก่อนที่ปัญหาจะลุกลามมากกว่าเดิมค่ะ

Tip : เพื่อนๆ ควรจะพกฟิวส์ไว้เป็นอะไหล่สำรองในยามฉุกเฉินด้วยนะคะ

 

6.ตรวจสอบของเหลวให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

รถกระบะ, วิธี, การดูแลรักษา, กระบะ, รถปิคอัพ, pickup

เริ่มแรกเพื่อนๆ ควรเช็กระดับน้ำมันเครื่อง วัดตอนเครื่องยนต์ดับ (อุณหภูมิเครื่องยนต์ปกติ) 1-5 นาที (หรือตามที่คู่มือประจำรถระบุนะคะ) ต่อมาเช็กระดับน้ำหล่อเย็นสำหรับเครื่องยนต์เพื่อป้องกันการโอเวอร์ฮีทของเครื่องยนต์ค่ะ โดยดูระดับน้ำว่าลดลงมากจนผิดปกติหรือไม่ อาจเกิดจากการรั่วซึม หากจำเป็นต้องมีการเติมน้ำยาหล่อเย็นหรือคูลแลนท์ (Coolant) ซึ่งควรใช้ให้ตรงตามที่ผู้ผลิตกำหนดไว้ในคู่มือประจำรถด้วยนะคะ และสุดท้ายระดับน้ำล้างกระจกควรอยู่ในระดับที่เหมาะสมเช่นกัน

 

7.ถึงเวลาเปลี่ยนไส้กรองอากาศก็ต้องเปลี่ยน

รถกระบะ, วิธี, การดูแลรักษา, กระบะ, รถปิคอัพ, pickup

ไส้กรองอากาศจะกรองฝุ่นละอองไม่ให้เข้าไปสู่ห้องเผาไหม้ในเครื่องยนต์ ฉะนั้นถ้ายิ่งสะอาดจะยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ อีกทั้งมีผลต่ออัตราเร่งและอัตราสิ้นเปลืองที่ดีอีกด้วย ซึ่งนานๆไปอาจเกิดการอุดตันได้ แต่เพื่อนๆก็ควรเปลี่ยนไส้กรองอากาศตามอายุการใช้งานที่ผู้ผลิตได้กำหนดไว้ หรือ 20,000-40,000 กิโลเมตร


8.บำรุงรักษาตามลักษณะการใช้งาน

รถกระบะ, วิธี, การดูแลรักษา, กระบะ, รถปิคอัพ, pickup

การดูแลรักษารถกระบะแสนรักของเพื่อนๆให้อยู่ไปด้วยกันอีกนานแสนนาน คือ เมื่อถึงเวลาที่ต้องเข้ารับการตรวจเช็กตามกำหนด ก็ต้องไป และเมื่อเข้าอู่เพื่อนๆต้องบอกให้ช่างทราบว่ามีลักษณะการใช้งานเป็นประจำอย่างไร ตัวอย่างเช่น บรรทุกของหนักอยู่ตลอดเวลา, วิ่งบนเส้นทางทุรกันดารเป็นประจำ, ใช้งานในเมือง หรือแม้แต่รถที่จอดทิ้งไว้ไม่ค่อยได้ใช้ก็ตาม

 

9.คู่มือประจำรถ ต้องห้ามหาย! และต้องอ่าน!

รถกระบะ, วิธี, การดูแลรักษา, กระบะ, รถปิคอัพ, pickup

หลายคนกลับมองข้ามคู่มือประจำรถ ทำให้ดูแลรักษากันผิดวิธีจนรถกระบะของเพื่อนๆโทรมเร็วกว่าที่ควรจะเป็น เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับการดูแลรักษารถกระบะคู่ใจ นั้นได้ถูกแนะนำไว้ในคู่มือประจำรถตั้งแต่ออกมาจากโรงงานแล้ว ตั้งแต่การทำความสะอาด มาตรฐานน้ำมันเครื่อง น้ำมันเบรก น้ำมันพาวเวอร์ และของเหลวอื่น ๆ ที่เหมาะสม รวมถึงระยะเวลาการบำรุงรักษา


สุดท้าย เพื่อนๆต้องอย่าละเลยการดูแลรถกระบะ ถึงแม้ว่ารถกระบะจะทนทานแค่ไหน แต่ก็มีวันที่รถกระบะนั้นพังได้ และพอวันที่อยากจะขายรถกระบะ ก็ทำให้ขายไม่ได้ราคาดี แม้จะเป็นที่ต้องการของตลาดรถก็ตาม ฉะนั้นการดูแลรักษารถกระบะคู่ใจไม่ใช่เรื่องยากเลยนะคะ หากเพื่อนๆให้ความใส่ใจ ทำตามที่แนะนำ และอ่านคู่มือประจำรถ เท่านั้นเองค่ะ