Carro-Ladies-Car-Maintenance-Technique

สำหรับผู้หญิงบางคนนั้น เรื่องของการขับขี่รถยนต์บนพื้นท้องถนน อาจจะเป็นเรื่องยาก หรืออาจจะเป็นเรื่องท้าทายเกินความสามารถของเธอ แต่เมื่อถึงจุดใดจุดหนึ่งไม่ว่าจะด้วยเหตุจำเป็นใดๆ ที่มีเหตุทำให้ต้องขับรถยนต์ ผู้หญิงเหล่านั้นก็สามารถข้ามผ่านสิ่งที่ติดอยู่ในใจของตัวเองให้สามารถขับรถยนต์ได้อย่างเต็มที่

เทคนิคดูแลรถยนต์สำหรับผู้หญิง

แต่แน่นอนว่าจากการขับรถในทุกๆ วันแล้ว ผู้หญิงหลายคนมักจะไม่ทราบถึงวิธีการดูแลรถยนต์ของตัวเองมากสักเท่าไรนัก เพราะอาจจะมองเป็นเรื่องยาก บางครั้งเมื่ออุปกรณ์เครื่องรถยนต์เกิดชำรุดต่างๆ ก็มักจะโทรหาประกันทันที เพราะไม่สามารถจัดการกับปัญหาตรงหน้าได้ ดังนั้น masii จึงอยากจะนำเทคนิคการดูแลรถยนต์ง่ายๆ เบื้องต้นสำหรับผู้หญิงมาฝากกันจ้า

Ladies-Car-Maintenance-Technique

1. ควรหมั่นเช็กลมยาง

ลมยางนั้นสำคัญมากๆ และมีผลต่อการทรงตัวของรถยนต์ ถ้าหากยางรถยนต์ของสาวๆ มีระดับที่ไม่ได้มาตรฐานจะเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ง่าย และเป็นการลดอายุของยางให้สั้นในระยะเวลาภายหลัง ดังนั้นถ้าหากรู้สึกว่ายางรถยนต์ของเราอ่อนลง ให้รีบไปเติมลมได้ที่ด้วยเครื่องเติมลมอัตโนมัติตามปั๊มน้ำมันต่างๆ ได้เลย และถ้าหากเติมลมไประดับที่ได้มาตราฐานแล้วรถยนต์ของเรายังมีอาการผิดปกติ ให้นำรถไปเช็กสภาพที่ศูนย์เพื่อหาที่มาของปัญหา จะได้แก้ไขได้ทันท่วงทีค่ะ

Ladies-Car-Maintenance-Technique

2. ตรวจดูระบบระบายความร้อน

สาวๆ หลายคนมักไม่ค่อยได้ใส่ใจ ใส่รายละเอียดสำหรับการดูฝาหม้อระบายน้ำ ถ้าหากเพื่อนๆ พบว่า น้ำพร่อง หรือน้อยลงไป ทาง มาสิ แนะนำให้สาวๆ เติมน้ำสะอาดลงไปให้เต็ม แต่ข้อควรระวังนะคะ ห้ามเปิดทันทีในขณะที่เพิ่งใช้รถยนต์มาใหม่ๆ เพราะไอน้ำจะมีความร้อนที่สูงมาก อาจจะเกิดอันตรายแก่ตัวเองได้ ควรจอดแช่รถไว้สักพักก่อนจึงค่อยลงมือทำ

Ladies-Car-Maintenance-Technique

3. เช็กรอยหยดรั่วของน้ำมัน

เพิ่มความอุ่นใจในการขับรถยนต์เดินทางบนท้องถนนสำหรับสาวๆ เพื่อนๆ สามารถหมั่นตรวจเช็กดูที่ใต้ท้องรถของเราก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์ออกเดินทางหรือหลังดับเครื่องยนต์ก็ได้ ถ้าหากว่ามีรอยน้ำมันรั่ว​ ซึมออกมา ให้รีบนำรถยนต์ของเพื่อนๆ ไปซ่อมที่อู่รถยนต์ หรือศูนย์ซ่อมรถยนต์ทันที เพื่อเป็นการป้องกันการเกิดอันตราย และป้องกันการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน

เพียงเท่านี้สำหรับปัญหาเบื้องต้นที่ทาง มาสิ หยิบยกมาบอกต่อพร้อมวิธีเทคนิคการดูแลง่ายๆ ที่สาวๆ ทุกคนสามารถทำได้​โดยแทบไม่ต้องพึ่งคนอื่นเลย แต่สำหรับสาวๆ คนไหนที่อยากได้ความอุ่นใจทุกๆ การขับขี่รถยนต์ การทำประกันภัยรถยนต์ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี คลิกที่นี่ เพื่อเช็กเบี้ยได้ทันที หากมีข้อมูลสงสัย​โทรเข้ามาที่ 02 710 3100 เรามีทีมงานคอยให้คำตอบอยู่จ้า

ขอขอบคุณบทความดีๆ จาก www.masii.com

คล็ดลับ ดูแลรถยนต์ ช่วงหน้าร้อน

รถยนต์นี่ถือเป็นยานพาหนะที่สำคัญในชีวิตประจำวันมากๆกับทุกคน แต่ถึงอย่างนั้นแม้รถยนต์ของเราถูกออกแบบมาให้ทนทานมากแค่ไหน แต่รถยนต์อาจมีการเสื่อมสภาพและพังได้ตามเวลา อีกทั้งตอนนี้ประเทศไทยได้เข้าสู่หน้าร้อนอย่างเต็มที่ จึงส่งผลเสียต่อตัวรถยนต์หลายๆคัน ดังนั้นเราทุกคนต้องดูแลรถยนต์ให้มากกว่าเดิม วันนี้มีทริคดูแลรถยนต์ช่วงหน้าร้อน มีวิธีไหนบ้างจะแนะนำให้ครับ

 

1.ตรวจระบบปรับอากาศในเครื่องยนต์

ระบบปรับอากาศในรถนั้นจำเป็นมากในช่วงหน้าร้อนนี้ ดังนั้นเราต้องเช็คระบบปรับอากาศ และระดับของน้ำยาแอร์ซึ่งหากน้ำยาแอร์เหลือน้อย อาจส่งผลกับระบบทำความเย็นในเย็นรถยนต์ของเราได้

 

2.ตรวจสอบลมยางรถยนต์

สภาพอากาศร้อน มักส่งต่อสภาพของยางรถยนต์ของเราเป็นอย่างยิ่ง เพราะความดันภายในยางจะมีเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้พื้นสัมผัสระหว่างล้อรถและพื้นถนนมีน้อยลง เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้มากยิ่งขึ้น เราจึงควรเช็คสภาพยางรถยนต์อย่างน้อยๆเดือนละครั้ง

3.แบตเตอรี่รถยนต์

อุณหภูมิที่สูงมากในช่วงหน้าร้อนนั้น มักจะส่งผลต่อระบบไฟฟ้าทั้งหมดรวมถึงแบตเตอรี่รถยนต์ ดังนั้นจึงหมั่นตรวจสอบระบบทั้งหมดเดือนละครั้ง ไม่ว่าจะเป็นสายไฟและขั้วต่าง ๆ ให้อยู่ในสภาพดีอยู่เสมอ รวมถึงระดับของน้ำกลั่นในแบตเตอรี่ควรเติมให้เต็มอยู่ตลอด

 

4.ระบบหล่อเย็นเครื่องยนต์

ระบบหล่อเย็นของรถยนต์ควรตรวจเช็คให้สามารถทำงานได้อย่างปกติ และควรหมั่นตรวจสภาพของหม้อน้ำและระบบต่าง ๆ ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่มีรอยขาดหรือชำรุดเสียหาย เครื่องยนต์ทำงานจะเกิดความร้อนจากการเสียดสีและการจุดระเบิด นอกจากน้ำมันเครื่องที่ใช้สำหรับหล่อลื่นชิ้นส่วนต่างๆ ระบบหล่อเย็นก็ถือเป็นตัวช่วยระบายความร้อนชั้นดีได้อีกด้วย

 

5.ขอบยางประตูและที่ปัดน้ำฝน

ยิ่งโดนความร้อน ความเหนียวและความยืดหยุ่นในยางจะยิ่งลดลงเรื่อยๆ ซึ่งจะทำให้ที่ปัดน้ำฝนฟืดหากฝืนใช้ไปนานๆกระจกอาจเป็นรอยได้ และหากเป็นขอบยางประตูจะทำให้ปิดประตูไม่ค่อยสนิท ดังนั้นควรตรวจและเช็คสภาพสิ่งของที่เป็นประเภทยางให้ดี

 

6.ขอบยางประตูและที่ปัดน้ำฝน

ยิ่งโดนความร้อน ความเหนียวและความยืดหยุ่นในยางจะยิ่งลดลงเรื่อยๆ ซึ่งจะทำให้ที่ปัดน้ำฝนฟืดหากฝืนใช้ไปนานๆกระจกอาจเป็นรอยได้ และหากเป็นขอบยางประตูจะทำให้ปิดประตูไม่ค่อยสนิท ดังนั้นควรตรวจและเช็คสภาพสิ่งของที่เป็นประเภทยางให้ดี

 

7.น้ำมันเครื่อง

อากาศร้อนทำให้เครื่องยนต์ต้องทำงานหนักขึ้น การเลือกน้ำมันเครื่องที่เหมาะสมจะช่วยบรรเทาภาระของเครื่องยนต์ที่อาจเกิดขึ้นได้มากทีเดียว อีกทั้งควรมีการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยรักษาสภาพของเครื่องยนต์ให้ใช้งานนานขึ้น

 

ที่สำคัญคือควรหลีกเลี่ยงการจอดรถตากแดด และควรหาทางระบายความร้อน เช่น การเปิดฝากระโปรงรถเพื่อระบายอากาศ และ เช็คขั้วแบตเตอรี่เสมอไม่ให้แน่นจนเกินไป ยิ่งหน้าร้อนยิ่งควรดูแลรักษารถยนต์ให้ดี อย่าปล่อยให้อากาศร้อนมาเป็นตัวทำร้ายรถยนต์ของคุณ หากต้องการโปรโมชั่นรถถยนต์ใหม่ป้ายแดง นึกถึง SIAMCARDEAL.COM

ดูแลรถของคุณให้พร้อมเผชิญกับอากาศร้อน

ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ สภาพอากาศในประเทศไทยเรียกว่าร้อนมากๆ ร้อนขนาดที่ว่าต้องร้องขอชีวิต จนต้องหาวิธีดับร้อนให้กับตัวเองกันถ้วนหน้า เเต่นอกจากที่เราต้องทรมานกับอากาศที่ร้อนจัดแล้ว รถยนต์ของเราเองก็ต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่ร้อนแผดเผาแล้ว เครื่องยนต์ของรถเองก็มีส่วนทำให้รถของเรายิ่งทวีคูณความร้อนเข้าไปอีก

เพราะฉะนั้นวันนี้ Carro ได้ทาง rabbit finance มาบอกวิธีดูแลรถยนต์ที่เรารักในช่วงหน้าร้อนมาฝาก จะมีวิธีไหนบ้าง งานนี้ใครที่มีรถละก็ห้ามพลาดบทความนี้เด็ดขาด!

เผยเทคนิคดูแลรถยนต์ ให้พร้อมเผชิญกับแดดประเทศไทย

หน้าร้อนประเทศไทย เรียกว่าร้อนแบบหาคำมาบรรยายไม่ได้ หลายคนบ่นกันอุบอิบ แต่รถที่แสนรักของเราไม่มีปาก ไม่มีเสียง บ่นไม่ได้ กว่าเราจะรู้ตัวอีกทีรถของเราก็โอเวอร์ฮีทเป็นที่เรียบร้อย ดังนั้นเราจำเป็นต้องมีเทคนิคในการดูแลรถสำหรับหน้าร้อนเอาไว้ ดังนี้

อากาศร้อนส่งผลเสียให้กับรถยนต์

1.ติดฟิล์มกรองแสง

ฟิล์มกรองเเสง ถือเป็นต้วยช่วยหนึ่งที่จะป้องกันแดดในขณะที่ขับรถ หรือแม้แต่ตอนจอดรถด้วยเช่นกัน เพราะฟิล์มติดรถจะช่วยลดความร้อนป้องกันแสงแดด และยังช่วยลดการทำงานของแอร์ได้อีกด้วย

ทั้งนี้เราควรเลือกฟิล์มกรองเเสง ที่มีคุณสมบัติสะท้อนแสง แต่ก็ไม่ควรสะท้อนแสงมากเกินไป เพราะแสงที่สะท้อนอาจส่งผลกระทบต่อผู้ใช้รถคนอื่นได้ หรือเราก็ไม่ควรเลือกฟิล์มที่มืดจนเกินไป เพราะอาจทำให้ทัศนวิสัยในการขับขี่แย่ลงได้

2.ระบบปรับอากาศ

ในช่วงที่อากาศร้อน สิ่งหนึ่งที่เราต้องดูแลเป็นพิเศษเลยก็คือ ระบบปรับอากาศหรือแอร์ ยิ่งในช่วงหน้าร้อนแบบนี้เราต้องหมั่นเช็กระบบปรับอากาศอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็น น้ำยาแอร์ ระบบการทำงานของแอร์มีความผิดปกติหรือไม่

เพราะหากระบบปรับอากาศของคุณมีปัญหาในขณะที่คุณต้องติดอยู่กลางสี่แยกร้อนๆ ละก็ ไม่ไหวแน่ๆ ค่ะ ดังนั้นอย่าลืมเช็กระบบปรับอากาศสม่ำเสมอ หากพบปัญหาหรือสิ่งผิดปกติ แนะนำให้รีบไปให้ช่างในอู่ดูโดยด่วนค่ะ

3.ระบบระบายความร้อนเครื่องยนต์

ส่วนใหญ่แล้วที่รถเกิดอาการโอเวอร์ฮีทขึ้นก็เพราะ สภาพอากาศที่ร้อนจัด และการทำงานของเครื่องยนต์ที่ทำงานหนักเกินไป จนทำให้เครื่องยนต์เกิดอาการโอเวอร์ฮีทได้ ดังนั้นเราจำเป็นต้องคอยสังเกตและตรวจสอบหม้อน้ำให้ดี เช็กระดับน้ำ

ส่วนเรื่องระบบระบายความร้อน รถยนต์จะต้องมีระบบระบายความร้อนอย่างเช่น พัดลม เพื่อระบายความร้อนให้กับเครื่องยนต์ หากคุณไม่มีพัดลม อาจทำให้ความร้อนในเครื่องยนต์ของเราเพิ่มสูงขึ้นได้

เพราะหากคุณไม่ดูแลรักษาระบบระบายความร้อนละก็ รถยนต์ของคุณอาจเกิดโอเวอร์ฮีทขึ้นได้ ซึ่งกว่าเราจะรอเครื่องให้หายเย็น ความร้อนลดลง ก็จะทำให้คุณทั้งเสียเวลา เสียอารมณ์ แถมยังทำให้การจราจรติดขัดได้อีกต่างหาก

 ดูแลรถที่เรารัก ให้เหมาะกับสภาพอากาศ

4.ยางรถยนต์

สำหรับหน้าร้อนแบบนี้ใครที่ใช้ยางอายุมากๆ และยังไม่ได้เปลี่ยนยางใหม่ มีความเสี่ยงที่ยางอาจจะเกิดระเบิดได้ ยิ่งใครที่ต้องขับรถเป็นระยะเวลานาน และมีอุณหภูมิที่สูง ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบยาง ลมยางตามเกณฑ์ที่เหมาะสมของยางรถยนต์นั่นเอง

5.เทคนิคอื่นๆ

นอกเหนือจากสิ่งที่เรากล่าวไป ยังมีบางอย่างที่เราต้องดูแลรถเป็นพิเศษในช่วงหน้าร้อน อย่างเช่น การวางพาวเวอร์แบงค์ไว้ในรถ โอกาสที่พาวเวอร์แบงค์จะเกิดระเบิดขึ้นก็มีความเป็นไปได้ ยิ่งในช่วงหน้าร้อนเปอร์เซ็นต์ที่พาวเวอร์แบงค์ระเบิดก็มีมากกว่า เพราะในพาวเวอร์แบงค์(รุ่นเก่าบางรุ่น) มีลิเธียมไอออน ที่มีโอกาสเกิดการลัดวงจร ระเบิด หรือติดไฟจนลุกไหม้ขึ้นได้ หากได้รับความร้อนที่สูงมาก

นอกจากนี้เวลาจอดรถ ถ้าเราได้จอดรถในที่ร่มก็ไม่มีปัญหาใช่ไหมคะ แต่ถ้าต้องจอดรถในที่แจ้ง แนะนำว่าให้หาที่ร่มเท่าที่จะทำได้ ร่มไม้ก็ยังดีค่ะ อย่างน้อยรถของเราจะได้ไม่รับแดดแบบเต็มๆ หรือถ้าเลี่ยงแดดไม่ได้จริงๆ ผ้าคลุมรถก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่น่าสนใจค่ะ

ในเมื่อเราไม่สามารถเอาตัวไปบังพระอาทิตย์ไม่ให้ส่องมาโดนรถของเรา หรือวิธีทำให้ประเทศไทยอากาศเย็นขึ้นเพื่อเป็นผลดีต่อรถยนต์ของเรา ทางที่ดีที่สุดคือการดูแลรถยนต์ของตัวเองในช่วงหน้าร้อนให้ถูกหลักนั่นเอง หรือใครที่คิดว่าเราคนเดียวดูแลรถไม่ไหวละก็ ให้ประกันรถจาก rabbit finance ช่วยดูแลได้เช่นกันค่ะ หากใครสนใจอยากมีประกันรถยนต์สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่นี่ https://rabbitfinance.com/car-insurance

 

ดูแลรถยนต์, Carro

วิธีดูแลรถแสนง่าย สาวๆก็ทำได้

เชื่อว่าผู้หญิงหลายๆคน นอกจากเรื่องเครื่องสำอาง เสื้อผ้า ก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องอื่นๆเป็นพิเศษ ยิ่งถ้าเป็นเรื่องรถยนต์ กลายเป็นเรื่องไกลตัวที่ไม่ถนัดเลยจริงๆ และถ้าคุณเป็นสาวโสด หรือไม่มีญาติผู้ชาย ทำให้ขาดคนช่วยให้คำปรึกษา จะให้พึ่งแต่ช่างยนต์ หรือไปเข้าศูนย์บ่อยๆ ก็เสียเวลาและเงินโดยใช่เหตุ

มาๆ ในบทความนี้ Carro จะช่วยอธิบายขั้นตอนการดูแลรักษารถยนต์แบบง่ายๆ ที่สาวๆ สมัยใหม่อย่างคุณ สามารถทำตามได้แน่นอน! แถมยังช่วยยืดอายุการใช้งานให้รถยนต์อีกด้วยนะจ๊ะ

น้ำมันเครื่อง-carro

1. น้ำมันเครื่อง

ก่อนอ่านถึงขั้นตอนการดูแล สาวๆจำเป็นต้องรู้ก่อนว่า น้ำเครื่องมีส่วนสำคัญอย่างไรต่อตัวรถ น้ำมันเครื่อง เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยหล่อลื่นให้เครื่องยนต์นั้น สามารถทำงานได้อย่างราบรื่น สาวๆอาจต้องหมั่นตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่องยนต์อยู่บ่อยๆ เพื่อให้มั่นใจว่ามีปริมาณน้ำมันเครื่องเพียงพอสำหรับหล่อลื่นให้กับเครื่องยนต์ทั้งระบบนั่นเอง

วิธีตรวจเช็กน้ำมันเครื่องนั้นไม่ยาก เพียงแค่ใช้อุปกรณ์ เช่น เศษผ้า หรือกระดาษทิชชู่ เท่านั้น!

  1. จอดรถให้อยู่ในแนวระนาบ ไม่ลาดเอียง เปิดฝากระโปรงรถยนต์ให้เรียบร้อย
  2. มองหาก้านวัดระดับน้ำมันเครื่อง และดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องออกมา เช็ดทำความสะอาดน้ำมันเครื่อง ที่ติดกับก้านวัดออกด้วยเศษผ้า หรือกระดาษทิชชู่
  3. เสียบก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องคืนกลับจุดเดิมอีกครั้ง เพื่อตรวจเช็กระดับน้ำมันเครื่องที่มีอยู่ในอ่างน้ำมันเครื่อง
  4. ดึงก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องออกมาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่องที่บริเวณปลายของก้านวัด

ถ้าระดับน้ำมันเครื่องอยู่ระหว่างขีด “F” กับ “L” หรือ “Max กับ Min” แสดงว่าน้ำมันเครื่องอยู่ในระดับปกติ ไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป แต่ควรรักษาระดับของน้ำมันเครื่องให้อยู่สูงกว่าครึ่งหนึ่ง ของขีด  “F” กับ “L” หรือ “Max กับ “Min” อยู่เสมอ

TIPS:

  • สาวๆ ควรเช็กระดับน้ำมันเครื่อง ทุกๆ 1-2 สัปดาห์/ครั้ง หรือ อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง นะคะ
  • ต้องทำในขณะที่เครื่องยังร้อนหรือมีอุณหภูมิที่ยังคงอุ่นอยู่ โดยให้ตรวจวัดระดับน้ำมันเครื่อง หลังจากดับเครื่องประมาณ 1-3 นาที

น้ำมันเบรก-carro
2. น้ำมันเบรก

คือ ของเหลวชนิดหนึ่งไว้ส่งถ่ายแรงจากเท้าเรา ไปยังลูกสูบปั้มเบรคล่าง (คาลิเปอร์) ซึ่งเวลาเบรกนั้น ผ้าเบรกมีส่วนผสมของโลหะ กับจานเบรกที่เป็นโลหะเสียดสีกัน ก็จะทำให้เกิดความร้อนสะสมนั่นเอง!

วิธีเช็กน้ำมันเบรก เวลาเปิดกระโปรงหน้ารถ เราจะเห็นกระปุกน้ำมันเบรก (จะอยู่ติดกับตัวหม้อลมเบรก) มีคำว่า MAX และ MIN แน่นอนว่า ระดับน้ำมันเบรกต้องอยู่ที่ระดับ MAX เสมอนะคะ

TIPS:

  • ถ้าน้ำมันเบรกตกไปอยู่ที่ระดับ MIN ให้สันนิฐฐานไว้ 2 กรณีว่า อาจมีการรั่วของน้ำมันเบรกออกจากระบบเบรก ออกจากสายเบรก หรือผ้าเบรกอาจสึก เป็นผลให้ซึ่งระดับน้ำมันเบรกลดน้อยลง ควรรีบนำรถไปตรวจที่ศูนย์ซ่อมหรืออู่นะ อย่างปล่อยทิ้งไว้ เพื่อความปลอดภัยขณะขับขี่
  • หมั่นตรวจดูว่าที่ล้อแม็กซ์ หรือเบรก ว่ามีคราบน้ำมันเบรกรั่วซึม หรือกระจายออกมาบ้างหรือเปล่า? ถ้ามีก็ควรรีบนำรถไปเข้าศูนย์ซ่อมหรืออู่เช่นกันจ้า

 

ยางรถยนต์-carro3. ยางรถยนต์

ถือว่าเป็นชิ้นส่วนสำคัญที่สาวๆไม่ควรมองข้าม ถ้าหากยางรถยนต์มีการใช้งานเป็นเวลานานแล้ว ควรหมั่นเช็กยางรถยนต์กันสักหน่อยว่า ยางรถยนต์พร้อมใช้งานหรือไม่ หรือหมดสภาพไปแล้วหรือยัง? ไม่งั้นอาจเกิดอันตรายแบบกระทันหันได้นะ เพราะเราเป็นห่วง!

วิธีเช็กยางรถยนต์

  • ความลึกของดอกยางรถยนต์ไม่ควรต่ำกว่า 3 มิลลิเมตร ซึ่งความลึกของดอกยางใหม่ จะมีความลึกประมาณ 8 – 9 มิลลิเมตร หรือลองใช้ไม้ขีดไฟทิ่มลงไปในร่องยางรถยนต์ ถ้าคุณเห็นหัวไม้ขีดสีแดง ก็หมายความว่าดอกยางเหลือน้อยเกินไปที่จะใช้งานต่อไป!
  • เช็กดูโครงสร้างของยางชำรุดหรือไม่ เช่น ถูกของมีคมบาดเป็นรอยแผลใหญ่ หรือโครงสร้างซ้ำจากการเกิดอุบัติเหตุ เช่น ปีนขอบทางเท้าอย่างรุนแรง จนเกิดความเสียหายไปถึงกระทะล้อรถยนต์ ซึ่งหมายความว่า หน้ายางรถยนต์ โดยเฉพาะแก้มยางรถยนต์ จะถูกบดไปกับขอบทางเท้า ทำให้ได้รับความเสียหายมากแน่นอน ซึ่งถ้าแก้มยางรถยนต์ มีรอยแตก อาจนำไปสู่ ยางรถยนต์ระเบิด หรือแตก ขณะที่ขับขี่ด้วยความเร็วสูงได้นะคะ ( ข้อนี้ ถ้าเป็นมือใหม่ อาจมีการกะระยะเลี้ยวผิด ต้องระวังมากๆนะคะ )
  • อายุการใช้งานสูงสุดของ ยางรถยนต์ ไม่ควรเกิน 4-5 ปี นับตั้งแต่เริ่มใช้งาน

แบตเตอรี่-carro

4. แบตเตอรี่

มีหน้าที่เก็บ-จ่ายกระแสไฟฟ้าไปยังอุปกรณ์ต่างๆ ของเครื่องยนต์ทำงาน เช่น มอเตอร์สตาร์ท ระบบจุดระเบิด ในขณะที่สตาร์ทรถยนต์ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ป้อนพลังงานให้กับ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกหลายอย่างภายในรถ เช่น ระบบไฟส่องสว่าง วิทยุ และแตร เป็นต้น

วิธีเช็กแบตเตอรี่ ให้ระดับน้ำกลั่นอยู่ในตำแหน่ง UPPER LEVEL ไม่ควรเติมเกินกว่านี้ และสังเกตเวลาสตาร์ทรถ ถ้าเครื่องยนต์สตาร์ทติดยากกว่าปกติ ต้องบิดกุญแจหรือกดปุ่มสตาร์ทหลายๆ ครั้ง อาจจะเป็นสัญญานเตือนว่าแบตเตอรี่ใกล้หมดก็เป็นได้ อ่านต่อ.. 3 สัญญาณเตือน ว่า “แบตเตอรี่” รถยนต์ของคุณกำลังเสื่อม!

TIPS:

  • แบตเตอรี่รถส่วนใหญ่จะมีอายุการใช้งานประมาณ 4 – 5 ปี แต่ในภูมิอากาศเขตร้อนอาจจะอยู่ได้แค่ประมาณ 3 ปีเท่านั้น ถ้าชาร์จแบตเตอรี่แล้วพบว่า ประจุไหลออกทั้งที่ไม่ได้ใช้รถ แสดงว่าได้เวลาต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่แล้วล่ะ
  • หลังจากซื้อแบตเตอรี่ลูกใหม่ อย่าลืมกำจัดแบตเตอรี่ลูกเก่า ให้ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด แต่โดยปกติ ร้านจำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์ส่วนใหญ่ จะดูแลเรื่องการกำจัดแบตเตอรี่ให้แก่คุณเอง ข้อนี้หมดห่วง!
  • คุณสามารถทดสอบและชาร์จแบตเตอรี่ได้ที่ร้านจำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์ใกล้ๆบ้าน
  • ก่อนที่จะหาซื้อไดชาร์จใหม่ ควรให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบระบบให้ละเอียดขึ้น
  • ระวังอย่าให้เกิดการลัดวงจรระหว่างขั้วแบตเตอรี่เป็นอันขาด เพราะอาจทำให้เกิดไฟไหม้รุนแรง ทำให้ขั้วต่อเสียหาย หรือเกิดการระเบิด เนื่องจากก๊าซไฮโดรเจนที่เล็ดลอดออกมา

น้ำหล่อเย็น-carro

5. น้ำหล่อเย็น

เป็นของเหลวอีก 1 จุด ที่สาวๆควรตรวจเช็กเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง แต่ถ้ารถที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 5 ปี ควรตรวจเช็กให้บ่อยขึ้น สัปดาห์ละประมาณ 2-3 ครั้ง

วิธีเช็กน้ำหล่อเย็น ควรทำในขณะที่เครื่องยนต์เย็นลงแล้ว (ห้ามเปิดฝาหม้อน้ำในขณะที่เครื่องยนต์ยังร้อน เพื่อป้องกันแรงดันของน้ำร้อน อาจจะพุ่งขึ้นมาได้นะคะ) โดยเช็กดูระดับน้ำในหม้อพักน้ำของหม้อน้ำให้อยู่ระหว่าง “FULL / MAX” และ “LOW” หากน้ำมีระดับต่ำกว่าขีด “LOW” ให้เติมน้ำยาหล่อเย็นให้อยู่ในระดับ “FULL / MAX” อยู่เสมอ ไม่ต้องเติมจนเต็มนะ!

TIPS:

  • อย่าปล่อยให้ระบบน้ำยาหล่อเย็นลดลงเกินกว่ากำหนด เพราะถ้าเกิดเครื่องยนต์มีความร้อนสูงมาก จะทำให้เครื่องยนต์น็อคและเสี่ยงพังเอาง่ายๆ
  • ส่วนการเติมน้ำยาหล่อเย็น ให้เติมน้ำยาแบบเดียวกันเท่านั้น เนื่องจากแต่ละยี่ห้อแต่ละสูตร มีการผสมสารเคมีที่แตกต่างกัน ซึ่งเมื่อผสมกันอาจทำปฏิกิริยาระหว่างกัน และไปกัดกร่อนส่วนต่างๆ ของระบบระบายความร้อนได้ ในกรณีที่ระดับน้ำในหม้อพักน้ำอยู่ในระดับต่ำ และยังไม่สามารถหาซื้อน้ำยาหล่อเย็นได้ สามารถเติมน้ำกลั่นแทนก่อนได้ค่ะ

น้ำปัดน้ำฝน-carro6. น้ำปัดน้ำฝน

ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลยนะ เพราะเวลาขับรถยามฝนตก หรือลุยทางที่มีฝุ่นมากๆ น้ำปัดน้ำฝนช่วยขจัดคราบสิ่งสกปรกที่กระเด็นมาติดบริเวณกระจกได้

วิธีเช็กน้ำปัดน้ำฝน เปิดฝาถังน้ำ และให้สังเกตุน้ำว่าแห้งหรือไม่ ถ้าแห้ง ให้หาน้ำเปล่ามาเดิมก่อนได้ (น้ำเปล่า คือ น้ำก๊อก, น้ำประปา หรือน้ำดื่ม)

TIPS:

  • ควรเติมให้ได้ระดับขีดที่กำหนดไว้ เผื่อเวลามีเหตุฉุกเฉินขณะขับรถ จะได้มีน้ำฉีดทำความสะอาดกระจกรถ ทำให้มองเห็นทางข้างหน้าได้ชัดเจน ไม่เป็นอันตรายนะคะ
  • ไม่ควรใช้ แชมพูผสมน้ำ เพราะแชมพู อาจตกตะกอน และทำให้เกิดการอุดดันที่รูหัวฉีด เดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่!

 

เป็นอย่างไรบ้างคะ คิดว่าคงไม่ยากเกินจนสาวๆ ทำตามกันไม่ได้นะคะ สมัยนี้เป็นผู้หญิงต้องสวย และสตรอง!

ดูแลรถยนต์ช่วงหน้าฝน


ตอนนี้ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเต็มตัวแล้ว ซึ่งช่วงฝนตกนี้เป็นอะไรที่เซ็งสุดๆ เลย เพราะมันทั้งเฉอะแฉะ ทั้งเปียก ทำอะไรก็ลำบากไปหมด ไหนจะไม่สบายจากการตากฝนอีก ดังนั้น เพื่อนๆ ต้องดูแลสุขภาพของตัวเองกันด้วยนะคะ

แต่เอ๋… นอกเหนือจากการดูแลสุขภาพของตัวเองแล้ว การดูแลรถยนต์ก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะการที่รถตากฝนบ่อยๆ รถก็อาจจะไม่สบายได้ ฉะนั้น คุณจึงต้องดูแลรถให้มากขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งยังต้องทำความสะอาด และดูแลอย่างเป็นพิเศษอีกด้วย

วันนี้ คาร์โร จึงมีเทคนิค เคล็ด(ไม่)ลับ วิธีดูแลรถยนต์ในช่วงหน้าฝนอย่างง่ายๆ มาฝาก

ดูแลรถยนต์ช่วงหน้าฝน

5 เทคนิค เคล็ด(ไม่)ลับ ดูแลรถยนต์ ในช่วงหน้าฝน

  • ลุยฝนมา ให้รีบล้างรถ

หลังจากที่รถของคุณผ่านการตากฝนมาอย่างหนักหน่วง สิ่งที่คุณควรทำ ก็คือ ใช้น้ำเปล่าฉีดล้างให้คราบต่างๆ หลุดออกจากรถไปให้หมดก่อน แล้วจึงค่อยเช็ดด้วยผ้าสำหรับเช็ดรถ

เพราะการที่รถตากฝนมา แล้วคุณดันปล่อยรถทิ้งไว้โดยไม่ล้าง เพราะคิดว่าน้ำฝนได้ชะล้างสิ่งสกปรกไปหมดแล้ว ก็อาจทำให้เกิดคราบฝังแน่น และส่งผลต่อสีรถของคุณได้

 

  • ห้ามเช็ดรถ โดยไม่ได้ล้าง

กรณีนี้ก็เช่นกัน คนส่วนใหญ่มักคิดว่าการที่รถของคุณไปลุยฝนมา ก็เหมือนเป็นการล้างรถแล้ว ดั้งนั้น พอถึงบ้านปั๊บคุณก็เลยเช็ดรถปุ๊บ ซึ่งเราขอบอกเลยว่า ห้ามทำเด็ดขาด เพราะถ้าคุณเช็ดรถโดยไม่ได้ล้าง ก็อาจทำให้เกิดรอยขนแมวกับรถของคุณได้

 

  • ใต้ต้นไม้ ห้ามจอดรถ

ในช่วงหน้าฝนแบบนี้ ทางที่ดีคุณควรจอดรถให้ห่างต้นไม้ไว้จะดีกว่า เพราะในช่วงที่ฝนตกหนัก กิ่งไม้ ใบไม้ เกสรดอกไม้ ผลของต้นไม้ อาจจะปลิวหล่นมาโดนรถของคุณได้ หรืออย่างหนัก ต้นไม้ทั้งต้นก็อาจโค่นล้มลงมาทับรถของคุณจนพังเสียหายยับเยิน

 

  • เคลือบสีรถ ช่วยได้เยอะ

รู้หรือไม่ว่า ฝนที่ตกลงมานั้นมีสภาพเป็นกรดอ่อนๆ ซึ่งจะส่งผลต่อสีรถของคุณ ทำให้สีรถหมอง ดังนั้น หลังจากที่คุณทำความสะอาดรถเรียบร้อยแล้ว คุณควรนำรถไปเคลือบสีซะ

เพราะการเคลือบสี นอกจากจะทำให้รถของคุณสีสวยไม่ซีดแล้ว ยังช่วยให้น้ำไม่เกาะรถอีกด้วย แถมยังช่วยป้องกันคราบต่างๆ ได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญยังช่วยให้คุณล้างรถได้ง่ายขึ้นอีก

 

  • หมั่นเช็กสภาพรถ

ในช่วงหน้าฝนแบบนี้ การตรวจเช็กสภาพรถยนต์ถือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ของคุณ

 

ดูแลรถยนต์ช่วงหน้าฝน

ตรวจเช็กสภาพรถยนต์ ในช่วงหน้าฝน
เพื่อป้องกันอันตรายในการขับขี่

  • ใบปัดน้ำฝน

เรื่องทัศนวิสัยในการขับขี่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ยิ่งในช่วงฝนตกหนักยิ่งทำให้การมองทางของผู้ขับขี่แย่เข้าไปใหญ่ ดังนั้น การมีใบปัดน้ำฝนที่ยังคงทำงานได้ดีอยู่ จะช่วยให้คุณอุ่นใจในเรื่องการขับขี่มากขึ้นยังไงล่ะ

 

  • ยางรถยนต์

อย่างที่ทราบกันดีว่า ฝนตกถนนจะลื่นมาก และถ้าดอกยางของคุณไม่ดีล่ะก็ อุบัติเหตุถามหาแน่ๆ ดังนั้น คุณจึงควรหมั่นเช็กยางรถยนต์อยู่เสมอ ซึ่งการเช็กสภาพยางรถยนต์ก็ไม่ยากเลย คุณสามารถสังเกตได้จาก ถ้าดอกยางรถยนต์ของคุณมีความลึกต่ำกว่า 3 มิลลิเมตร ก็หมายความว่าถึงเวลาเปลี่ยนแล้วล่ะ

 

  • ระบบไฟส่องสว่าง

การตรวจเช็กระบบไฟส่องสว่าง จะช่วยลดอุบัติเหตุลงได้ ซึ่งคุณควรตรวจเช็กทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้า ไฟเบรกไฟท้าย ไฟเลี้ยว ไฟตัดหมอก หรือไฟส่องสว่างอื่นๆ เพราะการเช็กระบบไฟส่องสว่าง จะช่วยให้คุณมองเห็นทางได้ชัดเจนขึ้น

 

  • ระบบเบรก

เบรก คือ สิ่งที่สำคัญมากในการขับรถฝ่าฝนตก เพราะถ้าระบบเบรกทำงานได้ดี ก็จะช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุลงได้ แต่ถ้าคุณเบรกแล้วเริ่มมีเสียงดัง อันนี้ก็ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนผ้าเบรกได้แล้วล่ะค่ะ

 

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะหน้าฝน หน้าร้อน หน้าหนาว การตรวจเช็กสภาพรถยนต์ก็ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ควรทำอย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้ ก็เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเองทั้งสิ้น

จอดรถ, รถยนต์, ดูแลรถยนต์, วิธี

“จอดรถทิ้งไว้” “รถไม่ค่อยได้ใช้งาน”
ต้องดูแลรถยนต์อย่างไรบ้าง?

สงกรานต์ใกล้เข้ามาทุกที ผู้อ่านหลายๆ คนก็คงจะมีแพลนเตรียมตัวกลับบ้านในวันหยุดยาวที่จะมาถึง ซึ่งหลายๆคนที่มีครอบครัวใหญ่หน่อยก็มักจะขับรถกลับบ้าน และแน่นอนว่าก่อนการเดินทางครั้งนี้ คุณจะต้องตรวจเช็คสภาพและความพร้อมของเครื่องยนต์ก่อนออกเดินทางอยู่แล้ว เพื่อการขับขี่ที่ราบรื่นของคุณเอง และการถึงที่หมายอย่างปลอดภัย

สำหรับรถยนต์ที่ใช้งานทุกวันก็คงไม่มีปัญหาอะไร เพราะคุณจะรู้เสมอหากรถมีปัญหา คุณจึงสามารถส่งรถไปซ่อมบำรุงได้ทัน ก่อนจะนำมาขับอีกครั้ง แต่สำหรับรถยนต์ที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน หากรถมีปัญหา หรือมีอะไรสักอย่างเสีย เราก็คงจะไม่ทราบว่ารถเป็นอะไร ตรงไหน เพราะแทบจะไม่ได้แตะรถ ฉะนั้น สิ่งที่เราจะต้องเช็คเสมอ สำหรับรถใช้งานน้อยๆ รถที่จอดทิ้งไว้ หรือแทบไม่ใช้งาน จะมีอยู่ 6 เรื่อง นั่นก็คือ

 

1. แบตเตอรี่

จอดรถ, รถยนต์, ดูแลรถยนต์, วิธี

หลายคนเจอปัญหารถไม่ค่อยได้ใช้ แต่แบตหมด, แบตเสื่อม ทำไมถึงเสื่อม?เหตุผลก็คือ ถึงแม้ว่าจะไม่มีการเปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าไว้ แต่แบตเตอรี่ก็ยังคงมีการจ่ายกระแสไฟฟ้าไปเลี้ยงระบบในรถยนต์อยู่ เช่น ระบบกันขโมย ซึ่งหากจอดไว้โดยไม่มีการติดเครื่องยนต์เป็นเวลานาน ก็ทำให้แบตเตอรี่หมดประจุได้ ซึ่งวิธีแก้ไขก็คือ ควรสตาร์ทเครื่องยนต์ไว้ 10 นาทีหรือมากกว่านั้น อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง หรือทำทุกวันก็ได้ค่ะ

2. ของเหลวในรถยนต์จอดรถ, รถยนต์, ดูแลรถยนต์, วิธี

หากรถไม่ค่อยได้ใช้ เมื่อกลับมาใช้งานอีกครั้ง ควรเช็คของเหลวต่างๆ ในรถว่าพร้อมใช้งานแค่ไหน เช่น น้ำมันเครื่อง น้ำในหม้อน้ำ เพื่อหล่อเลี้ยงชิ้นส่วนต่างๆ ไม่ให้เกิดสนิม สำหรับน้ำมันเครื่อง ควรเปลี่ยนทุกๆ 6 เดือน หรือตามที่คู่มือรถกำหนด เพราะน้ำมันเครื่องมีวันหมดอายุ และเสื่อมสภาพ

3. ลมยาง, ยางรถยนต์จอดรถ, รถยนต์, ดูแลรถยนต์, วิธี

หากเราจะต้องจอดรถเอาไว้เป็นระยะเวลานานๆ แนะนำให้เติมลมยางมากกว่าปกติประมาณ 5 – 10 ปอนด์/ตารางนิ้ว หรือ นำรถไปขับเพื่อให้ยางได้หมุนบ้าง เพราะการจอดรถอยู่กับที่นานๆ จะทำให้เกิดอาการยางไม่คืนตัว โดยเกิดการยุบตัวของโครงยางส่วนหน้าที่สัมผัสกับพื้นได้ ทำให้โครงยางเสียรูป ไม่กลม วิธีที่ดีที่สุด หากต้องต้องจอดรถทิ้งไว้นานเกินกว่า 3 เดือนขึ้นไป คือ ให้ยกรถตั้งบนแท่นวางทั้ง 4 ล้อ ซึ่งทำให้น้ำหนักรถไม่กดทับลงบนยาง ซึ่งเป็นการรักษารูปร่างของยางได้ดีที่สุด

4. สตาร์ทเครื่องยนต์จอดรถ, รถยนต์, ดูแลรถยนต์, วิธี

แม้จะไม่ค่อยใช้รถ แต่คุณก็ควรนำรถออกไปขับบ้าง เป็นระยะทางสั้นไก็ได้ เพราะการสตาร์ทเครื่องยนต์ จะทำให้เครื่องยนต์ทำงานและชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่ และในรถยนต์นั้นมีชิ้นส่วนและอุปกรณ์ที่เป็นจุดหมุน เช่น ระบบช่วงล่าง ลูกหมากต่างๆ ซึ่งหากปล่อยให้อยู่กับที่นานๆ อาจทำให้เกิดการสึกหรอได้ง่าย

5. การทำความสะอาดจอดรถ, รถยนต์, ดูแลรถยนต์, วิธี

เพื่อไม่ให้ฝุ่นและสิ่งสกปรกเกาะอยู่ที่สีรถนานเกินไป จนยากที่จะล้างออก ควรมีการทำความสะอาดหรือล้างรถก่อน จึงค่อยใช้ผ้าคลุมรถ เพื่อป้องกันฝุ่น และรักษาสีของรถยนต์ ให้ดูเหมือนใหม่อยู่เสมอ

6. สถานที่จอดรถ

ควรจอดในที่ร่ม หลีกเลี่ยงการจอดรถใต้ต้นไม้ สถานที่เปียกชื้น ใกล้ถังขยะ เพราะอาจมีโอกาสที่หนูเข้ามาอาศัยหรือทำรังใต้กระโปรงรถได้ หากจอดรถใต้ต้นไม้จะต้องระวัง หากไม่ได้มีการคลุมรถ เนื่องจากต้นไม้จะมียางของต้นไม้ที่หล่นลงมา ทำให้สีรถด่างได้ รวมถึงกิ่งไม้ที่ตกลงมาตามแรงลม หรืออื่นๆ ซึ่งอาจทำให้รถของเราเกิดรอยขีดข่วนได้

สุดท้ายถ้าคุณมีรถที่ไม่ได้ใช้งาน หรือนานๆครั้งจะขับ อาจด้วยเพราะชีวิตประจำวันของคุณไม่ได้จำเป็นจะต้องใช้รถบ่อยๆ แนะนำให้นำรถมาขายด่วนกับคาร์โร (คลิก) จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาตรวจเช็คหรือคอยดูแล อีกทั้งถ้าคุณปล่อยรถเอาไว้นานๆ มีแต่ผลเสีย คือราคาตกลงเรื่อยๆทุกปี นอกจากนี้ถ้าคุณมาขายกับเรา คุณจะได้รับเงินสด ทันที! คุณจะยังได้เงินกลับไปทำประโยชน์อื่นๆได้อีกด้วยค่ะ