Work From Home ทำงานที่บ้านให้ถูก หลีกเลี่ยงโรคออฟฟิศซินโดรม

หลายคนเคยได้ยินว่ามนุษย์เงินเดือนที่ทำงานออฟฟิศ ต้องนั่งกับโต๊ะและใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน มีความเจ็บป่วยชนิดหนึ่งเกิดขึ้นซึ่งทำให้คนเหล่านั้นทรมานจนบางคนถึงกับทำงานไม่ได้อีกเลย เรากำลังพูดถึงโรคออฟฟิศซินโดรม และใครว่าโรคออฟฟิศซินโดรม อาการเกิดขึ้นได้เฉพาะที่ออฟฟิศเท่านั้นล่ะ? จริง ๆ มันเกิดขึ้นได้ทุกที่แม้แต่ที่บ้านของเรา

ใช่แล้ว.. เรากำลังพูดถึง การทำงานที่บ้านแบบ “Work from home” เพราะการต้องทำงานที่บ้านนาน ๆ ก็เป็นบ่อเกิดของโรคออฟฟิศซินโดรมได้เช่นกัน รู้ใจเป็นห่วงชาวออฟฟิศทุกคนที่ต้องนั่งทำงานที่บ้านที่ทั้งเครียดและเงียบเหงา เราจึงอยากพามาเรียนรู้วิธีการทำงานที่บ้านแบบ Work from home ให้ดีต่อสุขภาพและไม่เป็นโรคออฟฟิศซินโดรมกัน จะเป็นอย่างไร ตามไปดูกันเลย!

Work From Home ทำงานที่บ้านให้ถูก หลีกเลี่ยงโรคออฟฟิศซินโดรม

โรคออฟฟิศซินโดรม คืออะไร?

นิยามของโรคออฟฟิศซินโดรมก็คือ กลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืด รวมทั้งการปวดจากการอักเสบของเนื้อเยื่อและเอ็น ปวดชาปลายประสาทที่เกิดจากการกดทับ ซึ่งสาเหตุมาจากการนั่งหรืออยู่ท่าเดิมเป็นเวลานาน ๆ ส่วนใหญ่แล้วจะเกิดกับผู้ป่วยที่ต้องนั่งโต๊ะทำงานเป็นเวลานาน ๆ ต่อวัน

การนั่งที่ทำให้เกิดการกดทับทั้งหลัง ขา แขน และข้อมือ เช่น การใช้คีย์บอร์ดหรือเมาส์ สภาวะทำงานที่มีแสงน้อยหรือรับแสงจากจอในปริมาณมากเกินไปจนเกินความเจ็บปวดกับปลายประสาทในร่างกาย ความเสียหายที่เกิดขึ้นทำให้มีอาการตามมา การปวดตามร่างข้อ เส้นเอ็นในร่างกาย ตาพร่ามัว ปวดหัว จนไปถึงอาการรุนแรง เช่น การวูบ หูอื้อ มึนงง ชา แม้อาการป่วยจะไม่ถึงแก่ชีวิต แต่ก็ทำให้ระบบในร่างกายผิดปกติ และอาจจะต้องเผชิญกับความเจ็บปวดแบบเรื้อรัง ทนทรมานไปตลอดชีวิต อีกทั้งมันยังส่งผลต่อสภาพจิตได้ด้วยอีกต่างหาก

Work From Home ทำงานที่บ้านให้ถูก หลีกเลี่ยงโรคออฟฟิศซินโดรม

Checklist โรคออฟฟิศซินโดรม อาการเป็นอย่างไร?

ถึงแม้จะเป็นการทำงานที่บ้าน แต่ลักษณะการทำงานของหลายคนก็ยังเหมือนการนั่งทำงานอยู่ออฟฟิศอยู่ดี ดังนั้นถ้าคุณมีอาการตามลักษณะต่อไปนี้ ต่อให้ทำงานที่บ้านแบบ Work from home คุณก็ยังมีความเสี่ยง

• นั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เกิน 6 ชั่วโมงต่อวัน
• ระหว่างนั่งทำงานคุณจะรู้สึกปวดเมื่อยต้นคอ ไหล่ หลัง เอว อยู่เสมอ
• หลังทำงานคุณจะรู้สึกปวดเมื่อยจนต้องกินยาแก้ปวด หรือบางครั้งต้องไปนวดเพื่อให้หายปวด
• บางครั้งคุณจะรู้สึกตาพร่ามัว อ่านตัวหนังสือที่หน้าจอคอมไม่ชัด

ถ้าคำตอบของคุณส่วนใหญ่คือใช่ ก็เป็นไปได้ว่าคุณกำลังเข้าข่ายที่จะป่วยด้วยโรคออฟฟิศซินโดรม ซึ่งสิ่งแรกที่ควรจะทำก็คือ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ส่งผลต่ออาการป่วย เช่น การนั่งทำงานเป็นเวลานาน การจ้องจอคอมพิวเตอร์มากเกินไป หรือการไม่ค่อยออกกำลังกายของคุณ

Work From Home ทำงานที่บ้านให้ถูก หลีกเลี่ยงโรคออฟฟิศซินโดรม

นั่งทำงานที่บ้านให้ปลอดภัย ป้องกันโรคออฟฟิศซินโดรม

โรคออฟฟิศซินโดรม อาการอักเสบของกล้ามเนื้อ และส่วนต่าง ๆ ที่เกิดจากการถูกกดทับเป็นเวลานาน การทำงานที่บ้านน่าจะช่วยให้การเกิดอาการปวดโรคออฟฟิศซินโดรมน้อยลงได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง ดังนี้

  • ยืดเส้นยืดสาย เปลี่ยนอิริยาบถอยู่เสมอ การทำงานที่บ้านก็มีข้อดีที่เราจำเป็นต้องประจำอยู่ที่โต๊ะทำงานอยู่เสมอ แค่มีคอมพิวเตอร์แบบแล็ปท็อปก็สามารถย้ายไปนั่งทำงานที่ส่วนอื่น ๆ ของบ้านได้สบาย ๆ เพราะอาการของโรคออฟฟิศซินโดรมมีสาเหตุหนึ่งก็คือ การนั่งทำงานด้วยท่าเดิม ๆ เป็นเวลานาน ทางที่ดีเราควรขยับขึ้นมายืดเส้นยืดสายหรือย้ายที่ทำงานไปที่โซฟา หรือไปนอนทำงานบนเตียงก็ได้
  • ปรับการนั่งให้เหมาะกับสรีระ ซึ่งสำหรับคนที่จำเป็นต้องนั่งที่โต๊ะทำงานไม่สามารถย้ายได้ และบางงานจำเป็นต้องทำต่อเนื่อง ไม่สามารถลุกไปยืดเส้นยืดสายได้บ่อย สิ่งที่พอจะทำได้ก็คือการปรับที่นั่งให้เหมาะกับสรีระ ท่านั่งควรจะไปข้างหลังเล็กน้อยให้หลังมีส่วนช่วยรับน้ำหนัก ไม่ให้น้ำหนักกดทับไปที่ใดที่หนึ่ง ไม่ควรนั่งหลังงอมันจะทำให้หลังรับน้ำหนักมากเกินไป ความสูงของโต๊ะควรจะพอดีกับระดับแขนให้การวางแขนลงบนโต๊ะหรือคอมพิวเตอร์ สามารถวางแขนได้พอดีไม่ห่างกันมากไป ถ้าสูงไปไหล่จะต้องรับน้ำหนัก แต่ถ้าน้อยไปกลับเป็นข้อมือที่รับน้ำหนักเพียงอย่างเดียว ให้หาระยะห่างของความสูงที่สมดุล
  • ใช้หูฟังช่วยในการทำงาน เพราะการทำงานบางชนิดก็จำเป็นจะต้องใช้โทรศัพท์มือถือในการติดต่อพูดคุย การใช้เป็นเวลานานต่อเนื่องก็ทำให้ร่างกายส่วนที่เกี่ยวข้องต้องรับภาะหนัก เช่น ข้อมือ สายตา หรือหูที่ต้องแนบกับโทรศัพท์ ดังนั้นหาหูฟังที่ช่วยให้ไม่ต้องถือโทรศัพท์และเอาโทรศัพท์แนบหู หากรู้สึกว่าจ้องจอโทรศัพท์นานเกินไปก็ต้องหาเวลาพักบ้าง
  • พักสายตาทุก 20 นาที เป็นเวลาที่เหมาะสมในการใช้อวัยวะส่วนหนึ่งส่วนใดทำงานเป็นเวลานาน ๆ การทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็เช่นกัน ทุก ๆ 20 นาที ควรพักสายตาออกจากจอคอมพิวเตอร์ หาที่สบายตามองเพื่อปรับสายตา มองต้นไม้เขียว ๆ หรือหลับตาสักพักก็ได้เพื่อให้ระบบประสาทตาไม่เครียดมากเกินไป
  • ออกกำลังกาย หลังการทำงานในทุกวัน ควรจะออกกำลังกาย เพราะเมื่อเรานั่งทำงานในออฟฟิศ ทุก ๆ วันการเดินทางกลับบ้านก็ยังมีระยะให้เราเดินให้ร่างกายได้ขยับ แต่การทำงานที่บ้าน ระยะห่างระหว่างโต๊ะทำงานกับเตียงนอนอาจจะใกล้เกินไป แนะนำว่าอย่าเพิ่งพุ่งตัวลงที่นอน ควรหาเวลาออกกำลังกาย เช่น ออกไปเดิน ไปวิ่ง หรือถ้าออกจากบ้านไม่ได้ก็บอดี้เวทหรือทำงานบ้านก็เป็นทางเลือกที่ดี

Work From Home ทำงานที่บ้านให้ถูก หลีกเลี่ยงโรคออฟฟิศซินโดรม

โรคออฟฟิศซินโดรม รักษายังไง?

โรคออฟฟิศซินโดรม อาการป่วยที่มีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต ดังนั้นความเจ็บป่วยจึงเกิดขึ้นพร้อมกันหลาย ๆ ระบบ ทั้งกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ระบบประสาท ซึ่งจะรักษาทางใดทางหนึ่งไม่ได้ ต้องอาศัยการวิเคราะห์ถึงสาเหตุและรักษาโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่จะวางแผนการรักษาจากหลายวิธีด้วยกัน เพราะการรักษาจำเป็นต้องอาศัยเครื่องมือและเทคโนโลยีที่หลากหลายถึงจะรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • เครื่องกระตุ้นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งเป็นการปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามากระตุ้นระบบประสาทเพื่อบรรเทาอาการปวด อาการชา และการอักเสบจากการทำงานที่ผิดปกติของปลายประสาท
  • คลื่นกระแทกช็อกเวฟ เป็นการใช้คลื่นกระแทกลงไปบนกล้ามเนื้อที่มีอาการปวดจากโรคออฟฟิศซินโดรม เพื่อช่วยลดอาการปวดและกระตุ้นให้เนื้อเยื่อซ่อมแซมตัวเอง ใช้ในกรณีที่มีอาการปวดเรื้อรังของระบบกล้ามเนื้อ เส้นเอ็นและกระดูก
  • การรักษาด้วยการจัดกระดูกสันหลัง ใช้เตียงจัดกระดูกสันหลังซึ่งปัจจุบันสามารถจัดกระดูกสันหลังได้แบบสามมิติ เพื่อจัดกระดูกสันหลังที่คดงอให้เข้าที่ เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาการปวดหลังจากการทำงานหนักเป็นเวลานานจนแนวกระดูกสันหลังเคลื่อน
  • การรักษาด้วยความเย็นจัด เป็นการใช้ความเย็นประมาณ -110 องศา เพื่อกระตุ้นให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายตอบสนองต่อความเย็น และปรับตัวสู้กับความเจ็บป่วยและความเครียด

Work From Home ทำงานที่บ้านให้ถูก หลีกเลี่ยงโรคออฟฟิศซินโดรม

โรคออฟฟิศซินโดรม อาจจะเป็นโรคที่ไม่ได้ร้ายแรงถึงชีวิตก็จริง แต่มันก็เป็นโรคที่ทำให้เจ็บปวดทรมานทางร่างกายและยังส่งผลต่อสุขภาพจิต แนวทางการรักษาก็เพียงแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตสักหน่อย ไม่ให้กล้ามเนื้อหรืออวัยวะอื่นใดทำงานในแบบเดิม ๆ ซ้ำ ๆ มากเกินไป ไม่ว่าจะทำงานอยู่ออฟฟิศ ทำงานที่บ้าน หรือที่ใดก็ตาม เราควรปรับการใช้ชีวิตให้มีการเคลื่อนไหวบ่อย ๆ อย่างน้อยทุก 20 นาที รวมไปถึงเรื่องการพักผ่อนจากงานเป็นระยะก็สำคัญด้วยเช่นกัน

และหากพบว่าร่างกายมีอาการปวด ชา ตามปลายประสาท จนน่าสงสัยว่าตัวเองจะเข้าข่ายอาการของ “โรคออฟฟิศซินโดรม” ก็ควรจะเริ่มหันมา ดูแลสุขภาพตัวเอง อย่าปล่อยปละละเลยจนอาการปวดเรื้อรังรักษาไม่หายแก้ไม่ได้ ถ้าหากเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วก็ยังไม่หายจริง ๆ ก็ถึงเวลาที่ต้องพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแล้วแหละ

รู้ใจเป็นห่วงทุกคนที่จะต้องเผชิญทั้งการเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์โรคระบาดจนต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตปกติ ถึงแม้รอดพ้นจากโรคระบาด ก็ยังต้องเสี่ยงเผชิญกับโรคออฟฟิศซินโดรมอีก และหากคุณคิดว่าตัวเองเป็นหนึ่งคนที่อยู่ในความเสี่ยงของโรคนี้และกังวลเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลที่ไม่แน่นอน คุณสามารถมองหาประกันสุขภาพที่จะคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลได้แบบทั่วถึง รู้ใจกว่า ประหยัดกว่า ต้องที่รู้ใจ ประกันออนไลน์ เช็คราคาประกันออนไลน์ได้ใน 60 วิ ประหยัดสูงสุด 30% ซื้อง่ายใน 3 นาที ดูข้อมูลประกันภัยต่าง ๆ ได้เลย

สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารและโปรโมชั่นใหม่ ๆ จากเราได้ทาง FB Fan page: Roojai หรือ คลิก add Official Line ของเราไว้ได้เช่นกัน

Burnout Syndrome ไม่ได้ขี้เกียจ ไม่ใช่โรคซึมเศร้า แค่หมดไฟในการทำงาน

เคยเป็นไหมในตอนทำงานกับอาการ “เปื่อย” แม้รู้ดีว่ารีบแค่ไหนแต่ไฟในการทำงานมันเหมือนมอดดับลง แบบนั้นเรียกว่าคุณกำลังอยู่ในอาการ Burnout Syndrome เรื่องราวของการเจ็บป่วยที่แอบแฝงอยู่กับชีวิตการทำงานที่หลายคนไม่รู้มาก่อนเลยว่าตัวเองกำลังมีความเสี่ยงที่จะเป็นผู้ป่วย “ภาวะหมดไฟในการทำงาน!”

โรคนี้เกิดขึ้นจากไหน มีลักษณะอย่างไร น่ากลัวแค่ไหนต่อร่างกาย และเราสามารถป้องกันการเจ็บป่วยในรูปแบบนี้ได้หรือไม่ หรือว่ามีวิธีการรักษาดูแลอาการอย่างไร มาทำความรู้จักกับการต่อยอดของ ออฟฟิศ ซินโดรม สู่ Burnout Syndrome กันดีกว่า ซึ่งมีผลต่อคุณมากเลยทีเดียว

รู้จักกับ Burnout Syndrome ภาวะหมดไฟในการทำงาน

Burnout Syndrome คืออะไร? อาการเจ็บป่วยที่เรียกว่า ภาวะหมดไฟในการทำงาน ถือเป็นโรคอุบัติใหม่ที่เกิดขึ้นจากวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปจากแต่เดิม มนุษย์เราทำงานในวิถีกสิกรรม ก่อนยกระดับมาเป็นการทำงานในภาคอุตสาหกรรมพร้อมทั้งการทำงานด้านเอกสารและ IT ที่ต้องขลุกอยู่แต่ในออฟฟิศตลอดเวลา และการทำงานในรูปแบบเดิมๆ ซ้ำๆ เหล่านี้กลายเป็นที่มาของปัญหาที่เรียกอาการเหล่านี้ว่า “หมดไฟในการทำงาน”

ซึ่งทาง องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ให้ความสำคัญต่อปัญหานี้มาก เพราะเจ้าโรคอุบัติใหม่ตัวนี้กำลังเป็นเนื้อร้ายที่กัดกร่อนพลังความสามารถของมนุษย์ทั่วไปที่โหมทำงานหนักมากเกินจนเกิดภาวะตื้อตันจนไม่อยากทำอะไรอีกต่อไป และมันกลายเป็นเหมือนเชื้อไฟที่พากันลุกลามจนเป็นสาเหตุก่อให้เกิดปัญหาโรคซึมเศร้า

โดยประเทศที่ถูกภาวะหมดไฟในการทำงานโจมตีอย่างหนักได้แก่ประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ที่พนักงานบริษัททำงานหนักยิ่งกว่าหนูถีบจักร มีภาวะบีบคั้นทางอารมณ์สูงมากจึงก่อให้เกิดปัญหา Burnout Syndrome ตามมา และกลายเป็นบทสรุปที่น่าเศร้าในหลายต่อหลายครั้ง

ซึ่งในปัจจุบันปัญหาเหล่านี้ได้ลุกลามเข้ามาในประเทศไทยแล้ว ไม่เพียงแต่ผู้คนในวัยทำงานที่ประสบกับปัญหานี้เท่านั้น ยังรวมไปถึงเด็กนักเรียนที่ถูกเคี่ยวเข็ญให้เรียนหนังสืออย่างหนักก็มีสิทธิ์ที่จะมีภาวะหมดไฟลงไปได้เช่นกัน ซึ่งทุกคนควรหันมาใส่ใจกับภาวะเหล่านี้

Burnout Syndrome ไม่ได้ขี้เกียจ ไม่ใช่โรคซึมเศร้า แค่หมดไฟในการทำงาน

สาเหตุหลักของอาการ “หมดไฟในการทำงาน”

สำหรับอาการเจ็บป่วยในรูปแบบของ Burnout Syndrome เป็นอาการเจ็บป่วยจากสภาพจิตใจเป็นหลัก โดยปัญหาทั้งหมดเกิดขึ้นมาจากการหักโหมทำงานหนักมากจนเกินไป รวมถึงปริมาณงานที่มีมากขึ้น นอกจากนั้นแล้ว งานที่ดูเหมือนไม่มากแต่มีความละเอียดและซับซ้อนของโครงสร้างสูงก็สามารถก่อให้เกิดภาวะนี้ได้

นอกจากนั้นแล้ว การได้รับมอบหมายงานที่เยอะ หรือยุ่งยาก แต่มีความเร่งด่วนสูงย่อมก่อให้เกิดปัญหานี้ตามได้ด้วยเช่นกัน โดยการเกิดภาวะหมดไฟในการทำงานจะมาในรูปแบบของความเครียดสะสม ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่ใหม่มากสำหรับสังคมไทยที่หลาย ๆ บริษัทในทุกวันนี้เลือกจ้างคนทำงานเพียงน้อยนิดแต่ต้องรับผิดชอบเนื้องานจำนวนมากจนเกิดภาวะความเครียดสะสมแบบนี้ขึ้นมานั่นเอง

การเร่งรีบแข่งขันกันทางด้านการศึกษา เป็นการผลักดันให้เด็กวัยรุ่นหนุ่มสาวยุคใหม่เกิดภาวะความตึงเครียดทางด้านอารมณ์จากการเรียนที่ไม่มีวันสิ้นสุดนับตั้งแต่เล็กจนโต ทำให้เกิดอาการหมดไฟไม่อยากทำอะไร และต่อยอดต่อมาจนกลายเป็นอาการของโรคซึมเศร้าที่เป็นผลพวงของภาวะการเจ็บป่วยในรูปแบบนี้ ดังนั้นเรื่องของ Burnout Syndrome เป็นเรื่องที่ไม่อาจมองข้ามโดยเด็ดขาด

Burnout Syndrome ไม่ได้ขี้เกียจ ไม่ใช่โรคซึมเศร้า แค่หมดไฟในการทำงาน

อาการไหนที่บ่งชี้ว่าคุณอยู่ในภาวะ Burnout Syndrome หรือเปล่า?

Burnout Syndrome หรือ ภาวะหมดไฟในการทำงาน เป็นภาวะที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพจิตใจ

ผลกระทบจากภาวะเครียดสะสมที่เกิดขึ้นจากการทำงานหรือการหมกมุ่นจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินไปจนทำให้เกิดภาวะเบื่อ ไม่อยากทำงานอีกต่อไป ซึ่งในปัจจุบันนี้ได้มีการแบ่งระดับของภาวะ Burnout Syndrome เป็น 3 ระดับใหญ่ๆ ด้วยกัน ดังนี้

  • ระดับเหนื่อยล้า

เมื่อนาฬิกาปลุกดังขึ้น มันคือความยากลำบากที่จะลุกไปทำงาน ระหว่างการเดินทางไปสู่ที่ทำงานเป็นเวลาอันแสนขมขื่น เมื่อไปถึงที่ทำงานแล้วเกิดภาวะตื้อ ตัน คิดอะไรไม่ออก เบื่อหน่ายในทุกสิ่งและทำงานแบบซังกะตาย ทั้งหมดนี้คือสัญญาณเริ่มต้นของภาวะหมดไฟในการทำงาน หรือ Burnout Syndrome แม้ว่ายังคงสามารถประคับประคองให้ทำงานต่อไปได้ แต่ถึงกระนั้นประสิทธิภาพสำหรับการทำงานจะค่อย ๆ ลดน้อยถอยลงไป งานเริ่มส่งช้า หรือไม่มีคุณภาพ ซึ่งถ้าไม่แก้ไขตั้งแต่ต้นย่อมมีผลต่อตัวบุคคลผู้กำลังเจอกับปัญหา Burnout Syndrome และองค์กรที่รับพวกเขาเข้าทำงานด้วย

  • ระดับทัศนคติเชิงลบ

เมื่อเริ่มมีความขุ่นข้องหมองใจในการทำงาน สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือทัศนคติต่าง ๆ ที่มีเกี่ยวกับงานจะตกต่ำลง ผู้ป่วยเริ่มมองทุกอย่างในแง่ลบทั้งสิ้น แม้กระทั่งเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็กลายเป็นประเด็นปัญหาใหญ่ได้ รวมไปถึงการมองผู้ร่วมงานคนอื่นในแง่ร้าย การมองดูที่ทำงานในมุมลบ ทั้งหมดนี้จะหล่อหลอมให้เกิดความรู้สึกห่อเหี่ยวภายในจิตใจ จนในท้ายที่สุดคือไม่ต้องการทำอะไรอีกต่อไปแล้ว

  • ระดับวิกฤต

ระดับนี้ถือเป็นระดับอันตรายที่สุดเพราะมีปัญหาเกี่ยวกับบุคลิกภาพและอารมณ์อย่างรุนแรง และมักมีปัญหาในเรื่องของอาการโรคซึมเศร้าเข้ามาเกี่ยวข้องอีกด้วย โดยในช่วงวิกฤตนี้จะมีปัญหาในการกระทบกระทั่งกันทางอารมณ์สูงมาก อาการโมโหเกรี้ยวกราด ไม่พอใจในสิ่งต่าง ๆ สูงขึ้นจนไม่อาจที่จะทำงานกับใครต่อไปได้ ซึ่งการแก้ไขปัญหาโดยทั่วไปคือการปลดพนักงานคนนั้นออกจากตำแหน่ง ไม่ใช่เป็นการดึงพนักงานคนนั้นออกมาแก้ไขปัญหา จนกลายเป็นการโยนปัญหาไปยังตัวผู้ป่วยในท้ายที่สุด

Burnout Syndrome ไม่ได้ขี้เกียจ ไม่ใช่โรคซึมเศร้า แค่หมดไฟในการทำงาน

การตรวจสอบว่าคุณกำลังหมดไฟในการทำงานหรือ Burnout หรือไม่?

เพื่อไม่ให้คุณต้องติดกับดักของการทำงานมากเกินไปจนหมดไฟในการทำงาน ลองเช็กตัวเองสักนิดเพื่อเป็นการประเมินผลตัวเองเบื้องต้นว่าเรากำลังมีความเสี่ยงหรือไม่ ซึ่งถ้าเรากำลังเข้าข่ายของผู้มีความเสี่ยงแล้วจะได้แก้ไขได้ทันท่วงที ที่นี้เราจะรู้ได้ยังไงว่าเข้าข่ายคนที่กำลังจะหมดไฟ ต้องเช็กลิสต์ตรวจสอบสภาวะการ Burnout ซึ่งอาการมีดังนี้

  • หงุดหงิด โมโหง่าย
  • เริ่มไม่พอใจในที่ทำงาน
  • มองเพื่อนร่วมงานในแง่ลบ
  • ปัดปัญหา ไม่แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
  • ขาดความกระตือรือร้น
  • ส่งงานสาย
  • งานถูกแก้ไขอยู่บ่อยครั้ง
  • มีงานที่ไม่เสร็จค้างสะสมอยู่มากเกินไป
  • ไม่อยากไปทำงาน

ถ้ามีอาการทั้งหมดหรือมากกว่าครึ่งหนึ่งของภาวะเหล่านี้ นั่นคือคุณกำลังเผชิญหน้ากับปัญหา Burnout Syndrome เข้าให้แล้ว ดังนั้นการจัดการกับสถานการณ์เหล่านี้คือวิธีการที่ดีที่สุดก่อนที่มันจะกำเริบกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่ขึ้นต่อมาในอนาคต

แล้วภาวะหมดไฟในการทำงานรวมถึงการเรียน มีวิธีแก้อย่างไร?

อาการ Burnout แก้ไขได้ หากผู้ที่กำลังเผชิญปัญหาเข้าใจกับสถานการณ์ของตนเอง ซึ่งมีวิธีการง่ายๆ ดังนี้

  1. พักผ่อนให้เพียงพอ หัวใจสำคัญสำหรับการแก้ไขปัญหาทั้งหมดคือการพักผ่อนที่ดี แม้ในความเป็นจริง การ Burnout นั้นมีผลกระทบที่ตามมาคือการนอนไม่หลับ ดังนั้นการฝึกตัวเองให้นอนเป็นเวลาย่อมเป็นเรื่องที่สำคัญมาก แม้ว่าไม่หลับ แต่การได้นอนพักสายตาย่อมทำให้ความเครียดและความวิตกกังวลลดลงไปได้
  2. แบ่งเวลาให้เหมาะสม การทำงานที่ดีคือการจัดสรรเวลาให้ถูกต้อง การหอบงานกลับมาทำที่บ้านแบบหามรุ่งหามค่ำคือทางเลือกที่ไม่เหมาะสม ดังนั้นการทำงานที่เต็มพิกัดแล้ว ควรเลือกที่จะพักผ่อน เพื่อให้คุณสามารถจัดสรรเวลาการทำงานและการพักผ่อนได้อย่างลงตัว จะช่วยให้คุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
  3. ปรึกษาแพทย์ ในกรณีที่แก้ไขปัญหาไม่ได้ การปรึกษาแพทย์นับเป็นทางเลือกที่จำเป็นอย่างยิ่งเพื่อแพทย์จะได้ทำการวินิจฉัยสำหรับการรักษาไม่ว่าจะเป็นการปรับรูปแบบการใช้ชีวิต หรือการรับประทานยาเพื่อการรักษา เป็นต้น

ภาวะ Burnout Syndrome คือ เรื่องที่ไม่ควรมองข้าม รู้เท่าทันปัญหาและรีบจัดการอย่างทันท่วงที จะทำให้คุณสามารถคงรักษาพลังในการทำงานได้อย่างมีความสุข และเพื่อให้การป้องกันเต็มไปด้วยประสิทธิภาพ เมื่อหมดไฟในการทำงานอาจทำให้คุณต้องเสี่ยงใกล้อุบัติเหตุมากขึ้น การมองหาประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลที่ “รู้ใจ” ย่อมตอบโจทย์ความคุ้มครองที่ดีที่สุดให้กับคุณได้ ปรึกษาเราในเรื่องประกันจะช่วยให้คุณอุ่นใจในทุกเวลาแห่งการใช้ชีวิตได้เสมอ เพราะเราทำให้ประกันภัยเป็นเรื่องง่าย ไม่ซับซ้อน ราคาดี และเชื่อถือได้!

ติดตามข้อมูลข่าวสารและโปรโมชั่นใหม่ ๆ จากรู้ใจได้ทาง FB fan page: Roojai หรือ คลิก add Official Line ของเราไว้ได้เลย